1
วัฒนธรรมถือเป็นแบบแผนการดาเนินชีวิตอันดีงามท่ีแต่ละชนชาติสรรค์สร้างข้ึน ประเทศ
ไทยเองเป็นประเทศหนึ่งที่มีวัฒนธรรมประจาชาติที่เป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่นซ่ึงได้ผ่านการ
สร้างสรรคแ์ ละปรับปรุงมาอย่างยาวนานนับตง้ั แต่อดีตจนถึงปจั จบุ นั
ทั้งน้ีลักษณะของวัฒนธรรมไทยมีบางส่วนที่มีท้ังเหมือนและแตกต่างจากวัฒนธรรมของ
ประเทศเพ่ือนบา้ น ดังน้ันการเรียนรู้ทาความเข้าใจวัฒนธรรมของตนเองและประเทศเพ่ือนบา้ นจึง
เป็นสิ่งจาเปน็ เพือ่ ประโยชน์ในการนาวฒั นธรรมไปใช้ในทางเสริมสร้างความสัมพนั ธท์ ่ีดีต่อกันและ
ชว่ ยปอ้ งกนั การกระทาทอ่ี าจนาไปสูค่ วามเข้าใจผิดตอ่ กนั ได้
1. ความรทู้ ่ัวไปเกีย่ วกับวฒั นธรรม
มนุษย์แตกต่างจากสัตว์ท้ังหลายก็เพราะมนุษย์มีวัฒนธรรม อันเป็นผลมาจากการสรรค์
สร้างสิ่งท่ีเป็นธรรมชาติมาปรุงแต่งให้เป็นส่ิงของ เคร่ืองใช้ ภาษา ศาสนา ขนบธรรมเนียม เพ่ือใช้
ตอบสนองความต้องการท้ังทางด้านร่างกายและจิตใจ และสั่งสมแล้วส่งผ่านไปยังอนุชนรุ่นหลังได้
ใชเ้ ปน็ แนวทางในการดาเนนิ ชีวิตใหเ้ ป็นสขุ
วฒั นธรรมของแต่ละสังคมจะมีลักษณะที่คล้ายคลึงกันบางส่วน หรือที่เรยี กวา่ “วัฒนธรรม
พนื้ ฐาน” และแตกตา่ งกนั บางส่วน ความแตกตา่ งกนั นี้เปน็ เพราะแต่ละสังคมมีประวัตศิ าสตร์ความ
เป็นมาไม่เหมือนกัน อยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน ทาให้วัฒนธรรมของแต่ละสังคมมี
เอกลักษณ์เฉพาะ ต่อมาเม่ือผู้คนจากสังคมต่างๆ มีปฏิสัมพันธ์กัน การแพร่กระจายทางวัฒนธรรม
ก็เกิดข้ึน ก่อให้เกิดปรากฏการณ์ทั้งท่ีมีการยอมรับและการปฏิเสธวัฒนธรรมอื่นท่ีแตกต่างไปจาก
วัฒนธรรมของตน
2
วัฒนธรรม หมายถึง ทุกสิ่งท่ีมนุษย์สร้างขึ้นเพื่อนาไปใช้ในชีวิตประจาวัน เป็นภูมิปัญญาท่ี
ผู้คนในแต่ละสังคมรุ่นก่อนๆ คิดสร้างสรรค์ และพัฒนาขึ้นจากของเดิม แล้วถ่ายทอดสืบต่อมายัง
คนรุ่นหลัง โดยผ่านทางกระบวนการเรียนรู้ต่างๆ วัฒนธรรมจึงนับเป็นภูมิปัญญาหรือมรดกทาง
สังคมอย่างหนึง่ ตัวอยา่ งของวัฒนธรรมสาคัญ ได้แก่ ภาษา ธรรมเนียม ประเพณี ศีลธรรมกฎหมาย
วิถีการดาเนินชีวิต เครื่องมือเครื่องใช้ ศิลปะ วิทยาศาสตร์ การปกครอง ศาสนารวมถึงอุปกรณ์ท่ี
เป็นวัตถุหรือส่ิงประดิษฐ์ โดยวัฒนธรรมต่างๆ น้ันสามารถปรับปรุงเปล่ียนแปลงได้ เพ่ือให้
สอดคลอ้ งกบั กาลสมยั
กล่าวได้ว่า วัฒนธรรมมีความสาคัญต่อมนุษย์มากนับต้ังแต่เกิดจนตาย เพราะวัฒนธรรม
เป็นแบบแผนทด่ี ีงามในการดาเนนิ ชวี ิตของมนษุ ย์ วฒั นธรรมในแต่ละสังคมอาจมีความแตกตา่ งกัน
ออกไปตามสภาพแวดล้อม ความเช่ือ ค่านิยม ของสังคมนั้นๆ แต่วัฒนธรรมของทุกสังคมล้วน
สะท้อนวิถีชีวิตที่ดีงามของคนในสังคมนั้น ทาให้ต้องเรียนรู้และถ่ายทอดวัฒนธรรมอย่างต่อเน่ือง
เพื่อท่คี นรนุ่ หลงั จะได้รับรู้และสานตอ่ วฒั นธรรมใหค้ งอยูต่ ลอดไป
อย่างไรก็ตามวัฒนธรรมบางอย่างในสังคมก็จะมีการเปลี่ยนแปลงไปตามสมัย เพ่ือให้
สอดคล้องกับสภาพสังคมที่เปล่ียนแปลงไป วัฒนธรรมบางอย่างที่สังคมไม่ต้องการก็จะค่อยๆ
สูญหายไป เช่น วัฒนธรรมการไว้ผมเปีย ผมจุก ผมแกละ ของเด็กไทยในอดีต ซึ่งปัจจุบันก็ค่อยๆ
หมดความนิยม หรือการนุง่ ผา้ โจงกระเบนของสตรไี ทย ปัจจบุ นั ก็แทบจะไมม่ ีให้เห็นแลว้ เป็นตน้
3
2. วฒั นธรรมไทย
ประเทศไทยมีวัฒนธรรมประจาชาติเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นด้านภาษา
วรรณคดี ศิลปะ ดนตรี อาหาร การแต่งกาย ล้วนเป็นสิ่งท่ีบรรพบุรุษได้สร้างและสั่งสมมาตั้งแต่
อดีต โดยวัฒนธรรมบางอย่างคนไทยได้รับอิทธิพลมาจากชาติอื่นแล้วนามาผสมผสานดัดแปลงให้
เข้ากบั สงั คมไทย จนกลายเปน็ เอกลักษณ์ของไทยไป
อย่างไรก็ตาม แม้คนไทยท้ังประเทศจะมีวัฒนธรรมไทยร่วมกัน แต่ในระดับภูมิภาคก็ยังมี
วฒั นธรรมประจาภาคที่แตกตา่ งกนั ออกไปตวั อย่าง เชน่
4
1) ภาคเหนือ ได้รับอิทธิพลบางส่วนมาจากเมียนมาและไทยใหญ่ พูด (อู้) ภาษาคาเมือง
ตัวอย่างวัฒนธรรมของชาวเหนือ เช่น บ้านประดับด้วยกาแล การแต่งกายผู้ขายจะนุ่งกางเกงท่ี
เรียกว่า “เด่ียว หรือเด่ียวสะดอ” ทาจากผ้าฝ้าย ย้อมสีน้าเงินหรือสีดา สวมเส้ือผ้าฝ้ายคอกลม
แขนส้ัน เรียกว่า“ เส้ือม่อฮ่อม” ผู้หญิงจะนุ่งผ้าซิ่น (ผ้าถุง) ยาวเกือบถึงตาตุ่ม ผ้าถุงจะมีความ
ประณีตลวดลายงดงาม สาหรับเส้ือจะเป็นรอคอกลมแขนยาว เกล้าผมมวย อาหารพ้ืนเมือง เช่น
แกงฮังเลนา้ พริกหน่มุ ไส้อวั่ ข้าวซอย เปน็ ตน้ ส่วนศิลปะการแสดง เช่น ฟอ้ นเล็บฟ้อนเงีย้ ว ตกี ลอง
สะบดั ชยั เปน็ ต้น
2) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรือภาคอีสาน มีวัฒนธรรมบางส่วนคล้ายคลึงกับลาวและ
เขมร พูด (เวา้ ) ภาษาอสี าน ตวั อย่างวัฒนธรรมภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ เชน่ บา้ นจะมีใต้ถุนสงู ทา
หน้าต่างเป็นช่องแคบๆ การแต่งกาย ผู้ชายจะใสก่ างเกงขาก๊วย ใสเ่ ส้ือคอกลม ใช้ผ้าขาวม้าคาดเอว
ฝ่ายหญิงนิยมนุ่งผ้าซ่ิน ใส่เสื้อคอกลมแขนยาว อาหารพื้นเมือง เช่น ปลาร้า ส้มตา ลาบก้อย แจ่ว
สว่ นศิลปะการแสดง เช่น เซ้ิงตา่ งๆ หมอลา การเป่าแคน การแสดงโปงลาง เป็นต้น
5
3) ภาคกลาง พูดภาษาภาคกลาง ตัวอย่าง วัฒนธรรมภาคกลาง เช่น บ้านจะมีใต้ถุนสูง
หลังคามีหน้าจ่ัว หน้าต่างกว้าง การแต่งกายพื้นเมือง ผู้ชายจะใส่กางเกงขาก๊วย เส้ือคอกลม มี
ผ้าขาวม้าไว้พาดบ่าหรือคาดเอว ผู้หญิงจะนุ่งผ้าถุงหรือโจงกระเบน สวมเสื้อคอกลมแขนยาว
อาหารพ้ืนเมือง เชน่ ตม้ ยา แกงสม้ น้าพรกิ ปลาทู แกงกะทิตา่ งๆ ข้าวแช่ สว่ นศลิ ปะการแสดง เช่น
รากลองยาว ราโทน ละครชาตรหี นงั ใหญ่ เป็นต้น
4) ภาคใต้ ได้รับวัฒนธรรมบางส่วนมาจากมาเลเซีย นับถือพระพุทธศาสนาและศาสนา
อิสลาม พูดภาษาใต้ (แหลงใต้) ตัวอย่างวัฒนธรรม เช่น บ้านจะยกพ้ืนสูง เสาวางอยู่บนตอหลังคา
ทรงสูง ลาดเอียง ชายคายาวย่ืน การแต่งกาย ผู้ชายจะนุ่งโสร่งเส้ือคอกลมแขนยาว นิยมใช้
ผ้าขาวมา้ พาดบา่ ฝ่ายหญิงนยิ มนุ่งซน่ิ หรือผ้าปาเต๊ะ ใสเ่ ส้ือคอกลมแขนยาว อาหารพื้นเมือง มักจะ
มีรสจัด เช่น แกงเหลือง แกงไตปลา น้าบูดู ส่วนศิลปะการแสดง เช่น โนห์รา ลิเกฮูลู เต้นรองเง็ง
เปน็ ต้น
c
6
2.1 ทม่ี าของวฒั นธรรมไทย
สังคมไทยมีวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของคนไทยมานานซึ่ง
เราอาจจาแนกท่ีมาของวฒั นธรรมไทยได้อย่างสังเขป ดังนี้
1) สภาพแวดล้อมทางภมู ิศาสตร์ เนอื่ งจากการมีทต่ี ั้งอยู่ในเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้และมี
สภาพภูมิอากาศแบบรอ้ นชืน้ พน้ื ท่สี ่วนใหญ่เปน็ พืน้ ทรี่ าบลมุ่ มแี ม่น้าท่อี ุดมสมบรู ณ์
ประชากรส่วนใหญ่จึงประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก ส่งผลให้ชีวิตความเป็นอยู่ของ
คนไทยส่วนใหญ่ผูกพันกับธรรมชาติ เกิดแบบแผนการดาเนินชีวิต ความเชื่อ ค่านิยม และ
ขนบธรรมเนียมประหาท่ีท่ีเก่ียวเนื่องกับอาชีพทางการเกษตร เช่น ประเพณีการทาขวัญข้าวการ
บูชาพระแม่โพสพ เปน็ ต้น
2) อิทธิพลจากพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาเผยแผ่เข้าสู่ประเทศไทยเม่ือประมาณ
พทุ ธศตวรรษท่ี 3 และหยั่งรากลึกในสังคมไทย เป็นศาสนาที่คนไทยส่วนใหญ่เคารพนับถืออิทธิพล
ของพระพทุ ธศาสนาได้ส่งผลทาให้เกดิ วฒั นธรรมอนั เกี่ยวเนื่องกบั กิจกรรม ทางพระพทุ ธศาสนาอยู่
มากในสังคมไทยการประกอบพิธีกรรมขนบธรรมเนียมประเพณีการสร้างสรรค์ศิลปะแขนงต่างๆ
ท้ังด้านสถาปัตยกรรม จิตรกรรม นาฏกรรมและดนตรี แบบแผนการดาเนินชีวิต การกาหนด
บรรทัดฐานทางสังคม และอ่ืน ๆ
3) อิทธิพลจากศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ศาสนาพราหมณ์-ฮินดูเป็น อีกศาสนาหนึ่งจาก
อินเดียท่ีเข้ามามีบทบาทต่อสังคมไทยนับต้ังแต่อดีต ทาให้เกิดวัฒนธรรมต้านลัทธิความเช่ือหลาย
อย่าง ไม่ว่าจะเป็นการนับถือบูชาเทพเจ้า การดาเนินชีวิตต้ังแต่เกิดจนตาย การประกอบพิธีวาง
ศิลาฤกษ์ การรดน้าสงั ข์ในพิธีมงคลสมรส เปน็ ต้น
4) ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ สังคมไทยมีภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ก่อนพุทธศตวรรษที่
17 ทาให้มรดกทางวัฒนธรรมบางอย่างได้กลายเป็นรากฐานท่ีสาคัญของวัฒนธรรมไทยในปัจจุบัน
เช่น การเคารพและเทิดทูนพระมหากษตั ริยม์ าตั้งแต่สมัยสุโขทัย การใช้ภาษาไทยทงั้ ภาษาพูดและ
ภาษาเขียนเป็นแบบแผนเดียวกัน การมีวัฒนธรรมในการดารงชีวิตและการนับถือศาสนาแม้จะ
แตกต่างกนั แต่ทั้งหมดกค็ ือคนไทยเปน็ ต้น
7
5) การรับเอาวัฒนธรรมอ่ืนมาปรับใช้ วัฒนธรรมภายนอกท่ีคนไทยรับเอาเข้ามาปรับใช้
ในช่วงแรกจะเป็นวัฒนธรรมอินเดีย เก่ียวกับศาสนา ลัทธิความเชื่อ ลักษณะการปกครอง
ขณะเดียวกันในสมัยสุโขทัยมีการติดต่อกับจีนจึงรับเอาวัฒนธรรมต่างๆ ของจีน โดยเฉพาะ
ทางด้านเศรษฐกิจเข้ามาปรับใช้ เช่น การทาถ้วยชามสังคโลก ซ่ึงเป็นสินค้าส่งออกท่ีสาคัญของ
สุโขทัย
ในสมัยอยุธยามีการติดต่อกับชาติตะวันตก สังคมไทยจึงได้รับเอาวัฒนธรรมทางด้านศิลป
วิทยาการสมัยใหม่ ลักษณะศิลปกรรมอาหารการกิน เช่น ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง รับ
อิทธิพลมาจากโปรตุเกส เป็นต้น ซ่ึงวัฒนธรรมตะวันตกในสมัยหลังๆ ได้เข้ามามีบทบาทต่อ
สงั คมไทยและผสมกลมกลืนกันจนบางอย่างแทบจะกลายเป็นเนอื้ เดียวกนั เช่น วัฒนธรรมดา้ นการ
แตง่ กายการรบั ประทานอาหาร เปน็ ต้น
นอกจากวัฒนธรรมด้ังเดิม คนไทยยังรับวัฒนธรรมอินเดีย จีน และนอกจากชาติอื่นๆ โดย
ปจั จุบันนิยมรับจากญี่ปุ่น เกาหลี เฉพาะบางส่วนบางด้านแล้วนามาปรบั แตง่ และผสมผสานเขา้ กับ
สภาพแวดล้อมของสังคมไทยซ่ึงวฒั นธรรมเหล่านี้กไ็ ด้กลายมาเป็นส่วนหนง่ึ ของวฒั นธรรมไทย
ดังนั้นแม้วัฒนธรรมไทยจะมีท่ีมาจากหลายแหล่ง แต่ในท่ีสุดก็จะถูกหล่อหลอมจน
กลายเป็นวัฒนธรรมไทย ท่ีมีลักษณะของตนเองโดยเฉพาะ ซ่ึงช่วยสร้างสรรค์สังคมไทยให้
เจรญิ กา้ วหน้าและยึดเหนีย่ วผคู้ นในสังคมให้มีความรสู้ ึกถึงความเปน็ พวกพ้องเดียวกนั
8
2.2 ลกั ษณะของวัฒนธรรมไทย
วัฒนธรรมไทยมีแหล่งท่ีมาต่างกันและเกิดการหล่อหลอมขึ้นจนเป็นวัฒนธรรมท่ีมีความ
เป็นเอกลักษณป์ ระจาชาติในที่นจี้ ะขอกล่าวถึงลกั ษณะท่ีสาคัญของวัฒนธรรมไทย ดังน้ี
1) เป็นวัฒนธรรมแบบเกษตรกรรม คนไทยมีความเก่ียวข้องกับน้าผู้คนส่วนใหญ่จะ
ประกอบอาชีพเกษตรกรรมทาการเพาะปลูกเล้ียงสัตว์ ดังนั้นวัฒนธรรมประเพณีและวิถีชีวิตส่วน
ใหญ่จึงมักเกี่ยวกับน้าและการเกษตร เช่น ประเพณีการทา่ ขวัญข้าว ประเพณีการลงแขกเกี่ยวข้าว
ประเพณีลอยกระทง เป็นต้น ทั้งนี้วัฒนธรรมบางอย่างก็อาจค่อยๆ เปลี่ยนแปลงตามสภาพของ
สังคม เปน็ ต้นวา่ ในบางพ้ืนที่ตอ้ งวา่ จา้ งแรงงานมาเกบ็ เกย่ี วแทนการลงแขก
2) เป็นวัฒนธรรมท่ียึดถือพิธีกรรม การกระทากิจกรรมหลายอย่างที่เก่ียวข้อกับการ
ดาเนินชีวิตในสังคมไทยจะมีการประกอบพิธีกรรมด้วยเสมอไม่ว่าจะเป็นการเกิด โกนผมไฟ
แต่งงาน ขึ้นบ้านใหม่ ครบรอบอายุ งานศพ เปิดกิจการใหม่ ซ่ึงจะมีทั้งพิธีในทางพระพุทธศาสนา
และศาสนาพราหมณ์-ฮินดูผสมผสานกันโดยผู้จัดทาพิธีจะมีความเชื่อว่าจะทาให้เกิดความเป็นสิริ
มงคลหรือชว่ ยสรา้ งผลบุญกศุ ลใหเ้ กดิ กับเจ้าของงานหรือแขกเหร่อื ทีม่ าในงาน
3) เป็นวัฒนธรรมท่ียึดถือการกุศลตามหลักศาสนา คนไทยนิยมทาบุญในงานเทศกาล
ต่างๆ เพื่อเป็นสิริมงคล และเพื่ออทุ ิศบุญกุศลให้ญาตทิ ่ีล่วงลับไปแลว้ ดังน้นั จึงสงั เกตเหน็ ได้ว่างาน
พธิ ีมงคล และอวมงคลของไทยมกั จะมีการทาบญุ เขา้ มาเป็นสว่ นหนงึ่ ของงานพธิ เี หล่านัน้ ดว้ ย
9
2
4) เป็นวัฒนธรรมท่ียึดถือเครือญาติและอาวุโส สังคมไทยมีความสัมพันธ์โดยยึดหลัก
อาวุโสคนท่ีมีอายุน้อยกว่า จะให้ความเคารพผู้ท่ีอายุมากกว่าเพราะถือว่าผู้อาวุโสเป็นผู้ที่สูง ด้วย
ประสบการณพ์ บเห็นเร่ืองราวในชีวิตมาก่อนการเข้าพบ และพูดคุยกนั ท่านผู้ใหญ่เหล่าน้ันจะทาให้
ไดร้ ับประสบการณ์ที่ดีแลว้ นามาปรับใช้ในชวี ิตไดด้ ังสภุ าษิตของไทยประโยคหนึ่งว่า “เดินตามหลัง
ผ้ใู หญ่หมาไมก่ ัด” นอกจากน้ี สังคมไทยยงั ให้ความสาคัญกบั ความกตญั ญูต่อพอ่ แม่ ผปู้ กครอง การ
เคารพผู้อาวุโสเป็นวัฒนธรรมอันดีงาม อีกประการหน่ึงครูบาอาจารย์ และผู้มีพระคุณต่างๆ จึงมี
การอบรมส่งั สอนใหบ้ ตุ รหลานมีการปฏิบัตทิ ด่ี งี ามสังคมไทย
5) เป็นวัฒนธรรมท่ีมีการผสมผสาน วัฒนธรรมไทยต้ังแต่อดีตจนถึงปัจจุบันได้รับการ
ผสมผสานทางวัฒนธรรมมาจากสังคมอ่ืน เช่น การรับเอาวัฒนธรรมด้านลัทธิความเชื่อ และการ
ประกอบพิธีกรรมศาสนามาจากสังคมอินเดีย รับเอาวัฒนธรรมด้านเศรษฐกิจการค้าขายมาจาก
สังคมจีน รับเอาวัฒนธรรมด้านการแต่งกายการใช้เทคโนโลยีต่างๆ เช่น โทรศัพท์เคล่ือนที่
คอมพวิ เตอรร์ ะบบจพี เี อสจากสังคมตะวันตก เป็นต้น
6) เป็นวัฒนธรรมท่ีนิยมความสนุกสนาน กิจกรรมของสังคมไทยส่วนใหญ่จะมีการ
สอดแทรกความสนุกสนานไว้ด้วยเสมอไม่ว่าจะเป็นการร้องและร่าจนเป็นวัฒนธรรมการละเล่น
พ้ืนบ้าน เช่น เพลงเรือ เพลงฉ่อย เป็นต้น ซึ่งเป็นการละเล่น หลังเสร็จส้ินฤดูเก็บเก่ียวการละเล่น
พื้นบา้ นท่ีแทรกไวด้ ว้ ยความสนุกสนาน
10
3. ความคล้ายคลึงและความแตกต่างระหว่างวัฒนธรรมไทยกับวัฒนธรรมในภูมิภาค
เอเชยี ตะวันออกเฉียงใต้
วัฒนธรรมในประเทศเพ่ือนบ้านของไทยในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้น้ัน มีความ
น่าสนใจหลายอย่าง ซึ่งมีทั้งที่คล้ายคลึงและแตกต่างไปจากวัฒนธรรมไทย ซึ่งการศึกษาเรียนรู้
วฒั นธรรมของประเทศเพื่อนบา้ นจะช่วยทาใหเ้ รามคี วามรคู้ วามเขา้ ใจประเทศเพ่ือนบ้านของเราได้
ชดั เจนยิ่งข้ึน
3.1 ลักษณะของวัฒนธรรมประเทศเพอ่ื นบ้าน
ลกั ษณะสาคัญของวฒั นธรรมในประเทศเพอ่ื นบา้ น สามารถสรุปเป็นภาพรวมได้ ดงั น้ี
1) เป็นวัฒนธรรมสังคมเกษตรกรรม ประเทศเพ่ือนบ้านของไทย ถ้าไม่นับรวมสิงคโปร์
ทัง้ หมดจะมีวัฒนธรรมแบบสังคมเกษตรกรรม ประชากรส่วนใหญ่ของประเทศจะทาการเพาะปลูก
เป็นอาชีพหลัก ซึ่งพืชผลที่ทาการเพาะปลูกมีหลากหลายชนิด โดยมีข้าวเป็นผลผลิตท่ีสาคัญ วิถี
ชีวติ ของผคู้ นจะขนึ้ อยกู่ ับปจั จยั ทางธรรมชาติเปน็ หลกั
211
2) เป็นวัฒนธรรมแบบผสมผสาน วัฒนธรรมของประเทศเพ่ือนบ้าน ถงึ แมจ้ ะมีแก่นท่ีเป็น
เอกลักษณ์เฉพาะของตน แต่ก็จะเป็นวัฒนธรรมแบบผสมผสาน อันเป็นผลมาจากการยอมรับเอา
วัฒนธรรมภายนอกเข้ามาปรับใช้ ซ่ึงวัฒนธรรมภายนอกที่มีอิทธิพลสาคัญ คือ วัฒนธรรมของ
ประเทศเพ่ือนบา้ น ประกอบดว้ ยวฒั ธรรมอินเดีย วัฒนธรรมจีน วัฒนธรรมอิสลาม และวัฒนธรรม
ตะวันตก ดังนั้น จึงสามารถสังเกตได้ว่า ถ้าประเทศเพื่อนบ้านได้รับเอาวัฒนธรรมภายนอกจาก
แหล่งเดียวกันเข้ามาใช้วัฒนธรรมของประเทศก็จะคล้ายคลงึ กัน ตัวอย่าง เช่น ประเทศอินโดนีเซีย
มาเลเซีย และบรูไนรับเอาวัฒนธรรมอิสลามมาปรับใช้เหมือนกัน ทาให้วัฒนธรรมของทั้ง 3
ประเทศมีศลิ ปะและวัฒนธรรมคล้ายคลึงกันไม่แตกต่างกันมากนัก ส่วนประเทศไทย ลาว เมียนมา
เป็นวฒั นธรรมของชาวพุทธ
3) เป็นวัฒนธรรมท่ีมีศาสนาและลัทธิความเชื่อเป็นรากฐาน วัฒนธรรมของประเทศ
เพื่อนบ้าน มีรากฐานสาคัญมาจากศาสนาและลัทธิความเชื่อท่ีประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ
เคารพนับถือติดต่อกันมาอย่างยาวนาน นับต้ังแต่อดีตโดยศาสนาท่ีเข้ามามีบทบาทสาคัญใน
ภูมิภาคน้ี ได้แก่ พระพุทธศาสนา ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ศาสนาอิสลาม และศาสนาคริสต์ ซ่ึง
ประเทศท่ีมีวัฒนธรรมเป็นแบบสังคมชาวพุทธ ได้แก่ เมียนมา ลาว และกัมพูชาประเทศที่มี
วัฒนธรรมแบบสังคมอิสลาม ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และบรูไน ประเทศที่มีวัฒนธรรมเป็น
แบบสังคมชาวคริสต์ ได้แก่ ฟิลิปปินส์ และติมอร์-เลสเต ส่วนเวียดนามสงิ คโปรจ์ ะมีวัฒนธรรมเป็น
แบบสงั คมจนี ประชากรสว่ นใหญ่นบั ถือลัทธคิ วามเชื่อตามอย่างจนี เป็นสว่ นใหญ่
212
4) เป็นวัฒนธรรมท่ีมีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมเฉพาะของตน เน่ืองจากประเทศเพ่ือน
บ้านของไทยเกือบทุกประเทศ มีภูมิหลังทางประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนาน ซ่ึงการที่ไทยเป็นชาติ
เก่าแก่ย่อมจะส่งผลให้มีมรดกตกทอดทางวัฒนธรรมมาก ดังน้ัน แม้จะมีพรมแดนติดต่อกัน แต่
หลายประเทศก็จะมีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมเฉพาะของตน ไม่เหมือนเพ่ือนบ้านใกล้เคียง ดังจะ
เห็นได้จากหลายประเทศที่มีภาษาพูดภาษาเขียน การแต่งกาย อาหารการกินที่เป็นเอกลักษณ์
เฉพาะ ซ่ึงเมื่อพบเห็นสามารถจะบอกได้ทันทีว่าเป็นของประเทศใด เช่น ชาวเวียดนามใช้ภาษา
เวยี ดนาม ชาวกมั พชู าใชภ้ าษาเขมร ชาวมาเลเซียใชภ้ าษามาเลย์ เปน็ ตน้
ประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านต่างก็มีลักษณะของวัฒนธรรมท่ีเป็นเอกลักษณ์ของ
ตนเอง ลักษณะทางวัฒนธรรมเหล่าน้ีแม้จะมีความโดดเด่นเฉพาะตัวของแต่ละประเทศ แต่ก็จะมี
ลกั ษณะบางอย่างที่คล้ายคลึงกัน ซ่ึงสะท้อนให้เห็นได้ว่าประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออก
เฉียงใต้มี ความเช่ือมโยงสมั พันธ์กนั มีการแลกเปล่ียนรวมไปถึง การผสมผสานทางวฒั นธรรมอย่าง
ลงตัว ซึ่งถือเป็นปัจจัยสาคัญประการหน่ึงท่ีช่วยเสริม ความสัมพันธ์และความเข้าใจอันดีต่อกันได้
เพราะลักษณะทางวฒั นธรรมจะช่วยให้เราทราบถึงรากเหง้าความเปน็ มาของคนในแต่ละประเทศท่ี
มีวัฒนธรรมแตกตา่ งกันไป
การท่ีเราเป็นสมาชิกในประเทศภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เราจึงจาเป็นจะต้องทา
ความเข้าใจลักษณะสาคัญทางวัฒนธรรมทั้งของประเทศตนเองและประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาค
เพราะวัฒนธรรมเป็นสิ่งสาคญั ที่จะช่วยสรา้ งมิตรภาพและความสัมพนั ธอ์ ันดตี อ่ กนั
213
3.2 ความคลา้ ยคลงึ และความแตกตา่ งของวฒั นธรรม
วฒั นธรรมของประเทศเพอ่ื นบา้ นมีทั้งทีค่ ล้ายคลึงกับวัฒนธรรมไทย ขณะเดียวกันก็มีความ
แตกตา่ งดว้ ยเชน่ กนั จึงจะขอสรปุ ใหเ้ หน็ ภาพรวมความคลา้ ยคลึงและความแตกต่างของวัฒนธรรม
ในแต่ละด้าน ดังน้ี
1) วัฒนธรรมด้านที่อยู่อาศัย เน่ืองจากเป็นสังคมท่ีตั้งอยู่ในเขตร้อน ลักษณะวัฒนธรรม
การกอ่ สรา้ งที่อยู่อาศัยส่วนใหญ่ จึงมคี วามคล้ายคลงึ กันนั่น คือ ใชว้ ัสดุที่เป็นไม้ สร้างบ้านยกพ้นื ให้
สงู ข้ึนจากพื้นดิน พื้นบ้านปูด้วยไม้กระดาน ฝาบ้านใช้ไม้กระดานที่สูงขึ้น และมีช่องลมเพ่ือระบาย
อากาศ ในบ้านส่วนหลังคามคี วามลาดชัน และมีชายคายาวยื่นออกมาเพื่อปอ้ งกันแดด และฝนได้ดี
มีการกั้นเป็นห้องๆ เช่น ห้องนอน ห้องน่ังเล่น ห้องครัว และนอกชาน โดยการต่อเรือนออกไป
บ้านเรือนส่วนใหญ่ จึงมีลักษณะสูงโปร่งมีหน้าต่างหลายบาน ส่วนใต้ถุนบ้าน "จะใช้ทากิจกรรม
อืน่ ๆ หรอื เป็นทีเ่ ก็บวัสดอุ ปุ กรณห์ รอื เลีย้ งสัตว์ เปน็ ต้น
ความแตกต่างของวัฒนธรรมด้านท่ีอยู่อาศัยจะอยู่ที่รูปแบบสถาปัตยกรรมของแต่ละ
ประเทศและแต่ละท้องถ่ินท่ีนา่ มาตกแต่งให้ลักษณะของที่อยูอ่ าศัยและช่ือเรียกแตกตา่ งกันออกไป
เช่น เรือนไทย เรือนเมยี นมา (พม่า) เรือนปั้นหยา เปน็ ตน้
14
2) วัฒนธรรมด้านการนับถือศาสนา ศาสนาสาคัญที่เผยแผ่เข้ามาและได้รับการยอมรับ
นับถือจากชนชาติในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงได้ ได้แก่ พระพุทธศาสนาซึ่งเป็นศาสนาท่ีผู้คน
ส่วนใหญใ่ นประเทศไทยเมียนมาลาวกัมพูชานับถือ ดงั น้ัน ประเพณีพิธีกรรมทางศาสนาลทั ธิความ
เช่ือต่างๆ ของเมียนมาลาวกัมพูชาก็จะคล้ายคลึงกับไทย เช่น ทาบุญตักบาตร สวดมนต์ไหว้พระ
ให้ความเคารพพระสงฆ์นิยม ให้บุตรหลานเข้ารับการอุปสมบท เป็นต้น สาหรับประเทศมาเลเซีย
บรูไน อินโดนีเซีย ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลามจึงมีวัฒนธรรมแบบอิสลาม ประเทศ
ฟลิ ปิ ปินส์ได้รับอิทธิพลจากศาสนาคริสต์ประเทศสิงคโปร์ และเวียดนามนบั ถือหลายศาสนา แตน่ ับ
ถอื ลทั ธิธรรมเนียมตามแบบจนี เปน็ หลัก
3) วัฒนธรรมต้านประเพณีและพิธีกรรม หากชาติใดท่ีมีรากฐานการนับถือศาสนาเป็น
พระพุทธศาสนา ประเพณีและพิธีกรรมต่างๆก็จะคล้ายคลึงกับไทย เช่น การทาบุญเล้ียงพระ การ
เวียนเทียนเนื่องในวันสาคัญทางศาสนา เป็นต้น สาหรับประเพณีอื่นๆ ที่ไม่เก่ียวข้องกับศาสนา
พบว่าหากเป็นประเทศที่มีพรมแดนตดิ ต่อกบั ไทย เชน่ เมยี นมา ลาว กัมพูชา ก็จะมปี ระเพณหี ลาย
อย่างคล้ายคลึงกับไทย เช่น ประเพณีสงกรานต์ ประเพณีลอยกระทงเพยี ง แตร่ ายละเอียดของการ
จดั พิธีอาจจะแตกต่างกันออกไป ขณะเดียวกันวฒั นธรรมการแสดงความเคารพด้วยการไหว้ของคน
ไทยชาตเิ หล่าน้ีกจ็ ะมธี รรมเนยี มการไหว้เช่นเดียวกนั
สาหรับชาติอ่ืน ๆ ได้แก่ มาเลเซีย อินโดนีเซีย บรูไน จะมีประเพณีพิธีกรรมตามแบบ
อิสลาม เวียดนามกับสิงคโปร์ จะมีประเพณีพิธีกรรมตามแบบจีน และมีวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามา
ผสมผสานสว่ นมาตทิ ม่ี ีแบบแผนประเพณพี ธิ ีกรรมเหมือนอยา่ งตะวันตกคือฟิลปิ ปนิ ส์
215
4) วัฒนธรรมด้านการแต่งกาย การแต่งกายของผู้คนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงได้
หากไม่นับชุดพ้ืนเมืองและชุดประจาชาติก็จะแต่งกายไม่แตกต่างกัน คือ ในสังคมเมืองผู้ชายนิยม
สวมเสื้อกับกางเกงผู้หญิงสวมเส้ือกับกางเกงหรือ กระโปรง แต่ในชนบท ผูห้ ญิงจานวนมากก็ยังคง
สวมใส่ผ้าซิ่นกันอยู่ทั้งนี้ชุดประจาชาติของประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีเอกลักษณ์
เฉพาะตัวไดท้ นั ทีว่าชุดแต่งกายนัน้ ๆ เปน็ ของชนชาตไิ ด้ๆ
5) วัฒนธรรมด้านภาษา ประเทศเพ่ือนบา้ นท่ีมภี าษาพดู และเขียนคล้ายคลงึ กับไทยก็ คือ
ลาวเพียงชาติเดียว ส่วนชาติอื่นจะใช้ภาษาของตน ไม่ว่าจะเป็นเมียนมา เวียดนาม อินโดนีเซีย
ฟิลิปปินส์ โดยท่ภี าษาองั กฤษ และภาษาจนี จะเปน็ ภาษากลางท่ใี ชต้ ิดตอ่ กันได้ท่วั ท้ังภูมิภาค
6) วัฒนธรรมด้านอาหาร อาหารของประชากรในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ส่วน
ใหญ่จะประกอบด้วยข้าว พืชผัก และเน้ือสัตว์ ท่ีหาได้ง่ายในท้องถ่ิน การปรุงอาหารโดยมากใช้
กะทิและเคร่ืองเทศเป็นเครื่องปรุงรสรสชาติของอาหารจะจัดจ้าน โดยอาหารของประเทศใน
ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงได้จะมีอยู่อย่างหลากหลายสีสันดูน่า รับประทานมีรสชาติเผ็ดร้อน
ประเทศที่รบั ประทานอาหารไมแ่ ตกตา่ งจากคนไทยก็ยังคงเป็นเมียนมา ลาว กัมพชู า ขณะเดียวกัน
ก็มอี าหารจากชาตอิ ืน่ ๆ เชน่ สหรัฐอเมรกิ า ฝรั่งเศส ญปี่ ุน่ เกาหลที ่ไี ดเ้ ขา้ มาเผยแพรด่ ้วย
216
4. วฒั นธรรมกับปัจจยั ในการสรา้ งความสมั พนั ธ์อันดี
การที่ประเทศไทยมิได้ต้ังอยู่ในภูมิภาคเพียงลาพังประเทศเดยี ว แต่มีเพ่ือนบ้านอยู่รายรอบ
ดังนั้น จึงมีความจาเปน็ ที่จะต้องทาความเข้าใจเกี่ยวกับเร่ืองราวของประเทศเพื่อนบา้ น โดยเฉพาะ
การศึกษาเก่ียวกบั วฒั นธรรมเพ่ือจะได้เกิดความเข้าใจร่วมกัน และนาวฒั นธรรมไปชว่ ยเสริมสร้าง
ความสมั พนั ธ์ท่ดี ซี ง่ึ สามารถจะจาแนกได้ ดงั นี้
4.1 วฒั นธรรมท่ีเปน็ ปัจจยั ในการสัมพนั ธ์อันดคี วาม
1) วฒั นธรรมด้านศาสนาทกุ ศาสนา ล้วนมหี ลกั ธรรมคาสอนสาคัญที่คล้ายคลึงกัน นน่ั คือ
ให้กระทาความดี ละเว้นกระทาสิ่งไม่ดี ให้ศาสนิกชนมีความรักความเมตตา ให้มีความอดทนอด
กล้ัน มีความเสียสละ รู้จักให้อภัยต่อกัน ไม่เบียดเบียนผู้อ่ืน เป็นต้น ดังน้ัน จึงควรวัฒนธรรม
ทางด้านศาสนา มาเป็นแนวทางปฏิบัติตน ถ้าเห็นเพ่ือนบ้านเดือดร้อนก็ต้องรีบให้ความช่วยเหลือ
หรือกล่าวถึงประเทศเพ่ือนบ้านในแง่ท่ีดี ไม่กล่าวไปในทางที่ทาให้เสียหายรวมท้ังไม่เอารัดเอา
เปรียบด้วยประการท้ังปวง ตลอดจนระมัดระวังการเข้าไปยุ่งเกี่ยวในทานองแทรกแซงกิจการ
ภายในของประเทศเพ่ือนบา้ น
2) วัฒนธรรมด้านภาษาภาษา เป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่ง ในการนาไปสู่ความเข้าใจอันดี
ระหว่างกันความแตกต่างทางด้านวัฒนธรรม ทาให้การใช้ภาษามีความแตกต่างกันตามไปด้วย ซ่ึง
คาพูดที่มีความหมายเชิงบวกของวัฒนธรรมหนึ่ง อาจจะมีความหมายในเชิงลบของอีกวัฒนธรรม
หน่ึงก็เป็นไปได้ ดงั นั้น จึงควรมีการสง่ เสริมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ภาษาระหวา่ งกันซ่ึงจะเปน็ ประโยชน์
ท้ังในเรื่องของการส่ือสารทาความเข้าใจ รวมทั้งยังเป็นการเปิดโอกาสให้การถ่ายทอดทาง
วัฒนธรรมในด้านตา่ งๆ สามารถกระทาไดส้ ะดวกยงิ่ ข้ึน
217
3) วัฒนธรรมต้านขนบธรรมเนียมประเพณี ขนบธรรมเนียมประเพณีถือเป็นวัฒนธรรม
อนั ดีงามของทุกสังคม เป็นเครอื่ งมือชว่ ยจรรโลงจิตใจผู้คนให้สดชื่น เบิกบาน สงบคิดและทาแต่ส่ิง
ท่ีดี ดังน้ัน จึงควรส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการจัดงานเกี่ยวกับการเผยแพร่ขนบธรรมเนียม
ประเพณีต่างๆ เพ่ือเชื่อมความสัมพันธ์ เพราะจะช่วยทาให้ผู้คนของประเทศต่างๆ มีความสนิท
สนมรักใคร่กลมเกลียวกัน ตัวอย่าง เช่น การจัดประเพณีไหลเรือไฟขอชาวไทยและชาวลาว การ
ประกวดวงดนตรีกันตรึมของชาวไทยและชาวกัมพูชา รวมทั้งส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการจัดส่ง
นกั แสดงดา้ นศิลปะวัฒนธรรมแลกเปลย่ี นระหวา่ งกนั ดว้ ย
4) วัฒนธรรมด้านการศึกษา การศึกษาช่วยสร้างความเจริญงอกงามทางด้านสติปัญญา
ให้แก่ผู้คน ซึ่งเมื่อผู้คน มสี ติปัญญามีความเฉลยี วฉลาดย่อมจะหาทางแกไ้ ขปัญหาต่างๆ อย่างสันติ
วิธี ดังนั้น จึงควรส่งเสริมให้ประชากรของประเทศได้มีการศึกษาเรื่องราว ของประเทศเพ่ือนบ้าน
อย่างกว้างขวาง หรือเปิดโอกาสให้นักศึกษาจากประเทศเพื่อนบ้านมาศึกษาที่ประเทศไทย และ
นกั ศึกษาไทยไปศึกษาทีป่ ระเทศเพื่อนบา้ น
ปัจจุบันสถาบันการศึกษาหลายแห่งของไทย ได้ให้ความสนใจศึกษาสังคมวัฒนธรรมของ
ประเทศเพ่ือนบ้านอย่างจริงจัง โดยมีการต้งั ศูนย์ศึกษาดามมหาวิทยาลัยและวิทยาลัยต่างๆ รวมท้ัง
มีองค์กรภาคเอกชน ที่ตั้งเป็นชมรมเพื่อค้นคว้าวิจัยหาความรู้อย่างละเอียด และเป็นระบบ
นอกจากน้ีสถาบันการศึกษาหลายแห่ง ได้เปิดสอนภาษาของประเทศเพ่ือนบ้านเหล่านี้ เพื่อให้เรา
ได้เรียนรู้เกี่ยวกับเพ่ือนบ้านอย่างละเอียดลึกซ้ึง และในทางกลับกันสถาบันการศึกษาของประเทศ
เพอ่ื นบ้านที่ทาการศึกษาเรอ่ื งราวของประเทศไทยด้วยเชน่ กัน
218
5) วัฒนธรรมด้านเนติธรรม หรือวัฒนธรรมด้านกฎหมาย หรือขนบธรรมเนียมประเพณีท่ี
มคี วามสาคญั เสมอด้วยกฎหมาย หรือการกระทาบางอย่างที่ไมม่ กี ฎหมายหา้ มไว้ แต่ถา้ ใครทาเข้าก็
เป็นที่รังเกียจของสังคม เช่น พ่อแม่มีหน้าที่เล้ียงดูบุตร ถ้าพ่อแม่เพิกเฉยละท้ิงหน้าท่ีก็จะถูก
กฎหมายลงโทษ ส่วนเมื่อลกู โตขึ้นต้องมีหน้าที่เลยี้ งดูพอ่ แม่เป็นการตอบแทนพระคุณไม่เช่นนั้นจะ
เป็นการผิดหลักศีลธรรม เพราะพระพุทธศาสนาสอนในเร่ืองของความกตัญญูกตเวทีต่อบุพการี
เป็นต้น
4.2 วัฒนธรรมท่ีเป็นปจั จัยท่อี าจนาไปสูค่ วามเข้าใจผดิ ต่อกัน
การเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีให้มีความคงทนย่อมเป็นเร่ืองยาก ในทางกลับกันการ
กระทาทีไ่ มเ่ จตนาขาดความเขา้ ใจหรือหลงผดิ ก็อาจนาไปสู่ความบาดหมางความเขา้ ใจผิดต่อกันได้
ซ่ึงวัฒนธรรมบางอย่างที่เราควรเรียนรู้เพื่อจะได้ไม่ไปกระทาการใดๆ ท่ีอาจนาไปสู่ความเข้าใจผิด
กบั ประเทศเพือ่ นบ้านมี ดงั น้ี
1) วัฒนธรรมด้านภาษาภาษา ภาษาเป็นเรื่องการสื่อสาร มีทั้งภาษาพูด ภาษาเขียน
และอวัจนภาษา (ภาษาท่ีไม่ใช้ถ้อยคา แต่สามารถส่ือสารกันรู้เร่ือง) แต่ละชาติจะใช้ภาษาที่เป็น
วัฒนธรรมของตน ดังนั้น จึงไม่ควรนาเอาภาษาของชาติเพ่ือนบ้านมาใช้ในทานองล้อเลียน ดูหมิ่น
หรือกระทาการใดๆ ไปในทางทเ่ี สยี หายรวมท้ังถ้าไม่แนใ่ จ และขาดความรอู้ ย่างเพียงพอ ในการใช้
ภาษาน้ันๆ แล้วก็ไม่ควรนาภาษาของชาติเพื่อนบ้านมาใช้ส่ือสาร เพราะอาจทาให้เกิดความเข้าใจ
ตอ่ กันได้ นอกจากนีค้ นบางกลุ่มบางคนมกั ยกย่องวัฒนธรรมของกลุ่มหรอื ชนชาตขิ องตนวา่ ดีกว่า
เหนือกว่าของชาติอ่ืน และแสดงอาการเหยียดหยามวัฒนธรรมของชาติอ่ืน เหตุการณ์เช่นนี้มัก
ก่อให้เกิดความรู้สึกต่อต้านและความเป็นอริต่อกัน ดังน้ัน ทุกคนควรยอมรับความเหมือนและ
ความแตกต่างของวัฒนธรรมของชนชาติอ่ืนและพยายามเรียนรู้ เพื่อให้เกิดความเข้าใจว่า
วัฒนธรรมของประเทศเพ่ือนบ้านก็เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมของบ้านเมืองของเขา เราควร
ตระหนักว่าวัฒนธรรมของชนแต่ละชาติย่อมมีคุณค่า และได้รับการยกย่องจากประชากรของชาติ
นนั้ ๆ จึงไม่ควรไปดถู กู เหยียดหยาม
219
2) วัฒนธรรมเกี่ยวกับการปลกุ กระแสชาตนิ ิยม การแสดงออกซ่ึงความรักชาติน้นั เป็นส่ิง
ท่ดี ี แต่ในบางกรณีก็มกี ารนาไปใช้แสวงหาประโยชน์ โดยการปลกุ กระแสชาตินิยม มีการกล่าวอ้าง
ถึงเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ ความมีศักด์ิศรีจนนาไปสู่ความเข้าใจผิดกับประเทศเพื่อนบ้านได้
และจะเปน็ ตน้ เหตทุ าให้เกดิ ความหวาดระแวงต่อกนั จนนาไปสู่ปญั หาต่างๆ ตามมาไดอ้ กี
3) วฒั นธรรมด้านศาสนา เรื่องของศาสนาเป็นเรอ่ื งละเอียดอ่อน เปน็ เรอื่ งความเชอื่ ความ
ศรัทธา โดยไม่จาเป็นต้องใช้เหตุผล ดังน้ัน จึงไม่ควรพาดพิงศาสนาอื่น ไม่ว่าจะด้วยคาพูดหรือการ
กระทา เพราะจะเป็นต้นเหตุนาไปสู่ความบาดหมางได้ง่าย นอกจากน้ีเมื่อต้องไปอยู่ในสังคมของผู้
นับถือศาสนาอน่ื ก็ยงิ่ จะต้องมีความสารวมไมก่ ระทาสงิ่ ใดๆ ทข่ี ัดกบั ข้อบญั ญตั ขิ องศาสนานั้น
4) วัฒนธรรมตา้ นความเชอ่ื และทศั นคตเิ ชงิ ลบ ผู้คนในแตล่ ะประเทศก็จะมวี ถิ ีการดาเนิน
ชีวิตท่ีเหมาะสมสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมทางสังคมของประเทศของเขา ดังน้ัน จึงไม่ควรไปดู
หมิ่นการกระทาการแสดงออก หรือนาไปเปรียบเทียบการกระทาต่างๆ ที่ส่ือออกมาแล้วมี
ความหมายไปในเชงิ ลบ ต้องฟงั ตระหนักเสมอวา่ แต่ละประเทศต่างมีโอกาสไม่เทา่ กนั ตอ้ งเข้าใจว่า
วิถกี ารดาเนินชีวิตของเพ่อื นบา้ นเจริญไมท่ ัดเทียมกบั เรา ประเทศท่ีมคี วามเจริญทางดา้ นวัตถุมากก็
อาจจะมีความสขุ น้อยลงกเ็ ปน็ ได้
5) วัฒนธรรมต้านขนบธรรมเนียมประเพณี ในแต่ละชาติแตล่ ะประเทศจะมีความ
ละเอียดออ่ น ในเร่ืองบางเร่อื งไมเ่ หมอื นกนั ซงึ่ อาจจะเป็นเหตุที่นาไปสู่ความเข้าใจผดิ กนั ได้งา่ ย อนั
เน่อื งมาจากความเคยชินหรือความไมร่ ู้ แต่เราตอ้ งพึงตระหนักไว้วา่ เรือ่ งบางอย่างในอีกวฒั นธรรม
หน่ึงทาได้ แต่อีกวัฒนธรรมหนึง่ อาจจะทาไมไ่ ด้ ตวั อย่าง เชน่ บริเวณศาสนสถานของบางประเทศ
ไม่อนุญาตให้ผ้หู ญงิ เขา้ ไป เชน่ ในประเทศเมยี นมาจะหา้ มไม่ให้ผู้หญงิ ขึน้ ไปปดิ ทองท่อี งคพ์ ระธาตุ
อนิ ทร์แขวน (ไจก์ทโ่ี ย) เป็นตน้
220
ดังนั้น จะเห็นได้ว่าการมีความรู้ และความเข้าใจในเร่ืองวัฒนธรรม ย่อมน่าไปสู่การสร้าง
ความสัมพันธ์ท่ดี ีระหวา่ งคนในสงั คมเดยี วกนั และคนต่างสงั คมได้ หากเราปฏิเสธที่จะเรียนรู้ในเร่ือง
วัฒนธรรมก็จะทาให้เป็นคนมีโลกทัศนแ์ คบ ไม่สนใจแมแ้ ต่ส่งิ ท่มี ีอยู่ และเกิดขึ้นในสังคมของตนเอง
จนอาจสง่ ผลให้เกิดปัญหาข้นึ ได้ เม่อื ต้องคบค้าสมาคมกับเพ่ือนฝูงคนรอบข้างและคนอ่นื ๆ ทอ่ี าศัย
อยูใ่ นสังคม
ขณะเดียวกันหากเราไม่เรียนรู้วัฒนธรรมเพื่อนบ้าน อาจทาให้เราวางตัวได้ไม่ถูกต้องเมื่อ
ต้องติดต่อสื่อสารกัน จนก่อให้เกิดความไม่เข้าใจระหว่างกัน และอาจทาให้เสียโอกาสท่ีจะได้รับรู้
ส่วนท่ีดีงามและความก้าวหน้าที่คนในสังคมอื่นคิดประดิษฐ์ข้ึน และท่ีสาคัญหากเราหลงคิดว่า
วัฒนธรรมของตนดีกว่า เด่นกว่าวัฒนธรรมของผู้อื่น ก็จะก่อให้เกิดการยกตนว่าเหนือกว่า อันจะ
เกดิ เปน็ อคติต่อเพอื่ นบ้านและจะกอ่ ใหเ้ กดิ เปน็ ข้อขัดแย้ง จนนาไปสู่ความเข้าใจผดิ ตอ่ กันได้
กลา่ วโดยสรุป ได้ว่าวัฒนธรรมเปน็ ส่ิงที่มคี ณุ ค่าในสังคม ทกุ สงั คมเปน็ สิ่งทีท่ าให้สังคมมีการ
พัฒนา เจริญงอกงาม และเป็นปัจจัยสาคัญในการสร้างสัมพันธ์ท่ีดีหรืออาจนาไปสู่ความเข้าใจผิด
ต่อกันได้ ดังน้ัน การอยู่ร่วมกันในสังคมให้ได้อย่างสันติสุขสมาชิก ในสังคมต้องทาความเข้าใจ
วฒั นธรรมทงั้ ในสังคมของตนเองและสังคมเพื่อนบา้ น เพ่ือการปฏิบัติตอ่ กันอย่างถกู ต้อง