รหัสวชิ า 20000-1005
โดย
นางสาวสุนิสา เพช็ รเกษม
จดุ ประสงคร์ ายวิชา
1. มีความเขา้ ใจหลกั การที่เก่ียวขอ้ งกบั บุคคล นิติกรรม สญั ญา และหน้ี
2. มีความเขา้ ใจหลกั การกฎหมายแพง่ และพาณิชย์
3. มีเจตคติที่ดีตอ่ วชิ าชีพสมรรถนะรายวิชา
1. แสดงความรู้เกี่ยวกบั หลกั การของกฎหมายพาณิชย์
2. จดั ทาเอกสารประกอบท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั กฎหมายพาณิชย์
คาอธิบายรายวิชา
ศึกษาเก่ียวกบั ประมวลกฎหมายแพง่ พาณิชย์ วา่ ดว้ ยบุคคล นิติกรรม
สัญญา หน้ี และเอกเทศ สัญญาเฉพาะ สญั ญาที่เก่ียวกบั ซ้ือขาย เช่าซ้ือ
จา้ งทาของ รับขนส่ง การยมื การค้าประกนั การจานอง จานา การฝาก
ทรัพย์ เกบ็ ของในคลงั สินคา้ ตวั แทนนายหนา้ และประกนั ภยั และวธิ ีการ
จดั ทาเอกสารท่ีเก่ียวขอ้ งกบั กฎหมาย
ความหมายของกฎหมายพาณชิ ย์
กฎหมายพาณิชย์ คือ การวางระเบียบกฎหมายท่ี
เกี่ยวพนั ทางการคา้ หรือธุรกิจระหวา่ งบุคคล เช่น กฎหมายวา่
ดว้ ยการกู้ยืมเงิน กฎหมายเก่ียวกบั การค้าประกัน กฎหมาย
เก่ียวกบั สัญญาจานอง จานากฎหมายเกี่ยวกบั สัญญาซ้ือ
สญั ญาเช่า สญั ญาซ้ือ เป็นตน้
กฎหมายพาณชิ ย์....
กฎหมายเกย่ี วกบั การก้ยู ืมเงนิ
การกูย้ ืมเงินเป็ นการทานิติกรรมสัญญาอยา่ งหน่ึง ซ่ึงตาม
กฎหมายเรียกว่า นิติกรรม 2 ฝ่ าย เพราะคาว่า สัญญา จะตอ้ ง
ตกลงทากนั โดยบุคคลต้งั แต่ 2 ฝ่ ายเสมอไป ฉะน้นั การกูย้ ืมเงิน
ตามกฎหมายจึงเกิดความผูกพนั ระหว่างผูใ้ ห้กู้ เรียกว่า เจา้ หน้ี
ฝ่ ายหน่ึง และผูก้ ู้ เรียกว่า ลูกหน้ี ฝ่ ายหน่ึง โดยลูกหน้ีมีหนา้ ท่ี
จะตอ้ งใชเ้ งินคืน พร้อมกบั ดอกเบ้ียภายในเวลาท่ีกาหนด
การกยู้ มื เงินจะมีผลสมบูรณ์เม่ือมีการส่งมอบเงินใหแ้ ก่ผทู้ ี่
ยมื ซ่ึงเรียกวา่ ลูกหน้ี และการกยู้ มื เงินดงั กล่าวน้ีจะทาสญั ญาเป็น
หนงั สือ หรือเพียงการตกลงดว้ ยวาจากเ็ กิดเป็นสญั ญาท่ีมีความ
ผกู พนั กนั ตามกฎหมายโดยสมบูรณ์แลว้ แตถ้ า้ การกยู้ มื เงินเกินกวา่
หา้ สิบบาทโดยไม่มีหลกั ฐานเป็นหนงั สือลงลายมือชื่อผยู้ มื เป็น
สาคญั จะฟ้องบงั คบั คดีไม่ได้ คนเป็นจานวนมากเขา้ ใจวา่ การทา
สญั ญาจะตอ้ งทาเป็นหนงั สือเสมอไปน้นั เป็นความเขา้ ใจผดิ เพราะ
สญั ญาอาจเกิดข้ึนไดด้ ว้ ยการตกปากลงคา ไม่จาเป็นตอ้ งทาเป็น
หนงั สือแต่อยา่ งใด แต่คนที่รอบคอบควรทาเป็นหนงั สือเพอื่ จะได้
มีหนงั สือสญั ญาเป็นพยานเอกสาร ถา้ มีการผดิ สญั ญาเกิดข้ึน กเ็ ป็น
หลกั ฐานในการฟ้องบงั คบั คดีได้
ผจู้ ดั ทา : ครูสุปรีดา อนนั ตเ์ วชานุวฒั น์
ดอกเบี้ย คือ ค่าตอบแทนท่ีบุคคลหนึ่งต้องใช้ให้แก่
อีกบุคคลหน่ึงเพ่ือการท่ีได้ใช้เงินบุคคลน้ัน หรือเพ่ือทดแทน
การไม่ชาระหนี้หรือชาระหนี้ไม่ถูกต้อง กฎหมายกาหนดอัตรา
ดอกเบีย้ ข้นั สูงสุดไม่เกนิ ร้อยละ 15 ต่อปี เว้นแต่เป็ นการกู้ยืมเงิน
จากบริษทั เงินทุนหรือธนาคารหรือสถาบันการเงินอื่นท่ีกฎหมาย
กาหนดซ่ึงอาจเรียกอตั ราดอกเบีย้ เกนิ ร้อยละ 15 ต่อปี ได้ โดย ให้
เป็ นไปตามกฎหมายพเิ ศษของบริษทั เงนิ ทุนหรือธนาคาร
การเรียกดอกเบยี้ เกนิ อตั รา คือ เกนิ ร้อยละ 15 อาจทาให้
การเรียกดอกเบยี้ ตกเป็ นโมฆะท้งั หมดหรือเสียไปท้งั หมดไม่
อาจจะเรียกคืนได้ แม้จะเรียกเพยี งในอตั ราร้อยละ 15 หรือตา่
กว่า จะเรียกคืนได้เพยี งตวั เงนิ ต้นเท่าน้ัน และยงั อาจทาให้ผู้ท่ี
เรียกดอกเบยี้ เกนิ อตั ราต้องรับผดิ มโี ทษในทางอาญาอกี ด้วย
อายุความฟ้องคดเี กยี่ วกบั การก้ยู ืมเงนิ โดยทวั่ ไปจะต้อง
ฟ้องภายใน 10 ปี บนั แต่วนั ทห่ี นีถ้ ึงกาหนดชาระคืน
กฎหมายเกย่ี วกบั การคา้ ประกนั
การค้าประกัน เป็ นการทานิติกรรมสัญญาประเภท
หน่ึง ซ่ึงมีบุคคลภายนอก เรียกว่า ผู้คา้ ประกัน โดยเข้ามาทา
สัญญาผูกพันตนต่อเจ้าหนี้ว่า ตนจะชาระหนี้แทนให้ในเมื่อ
ลูกหนีไ้ ม่ชาระหนีน้ ้ัน
สัญญาคา้ ประกันน้ันจะต้องทาหลักฐานเป็ นหนังสือไว้
และลงลายมือชื่อผู้คา้ ประกนั ไว้ด้วย มิฉะน้ันจะฟ้องร้องบังคบั
คดไี ม่ได้ไม่ว่ามีวงเงินมากน้อยเพยี งใด
การเข้าไปทาสัญญาค้าประกันบุคคลอ่ืนน้ันอาจทาให้
ผู้ค้าประกันตกเป็ นลูกหนี้เพราะต้องรับผิดตามสัญญาน้ัน ๆ
และเสียเปรียบอย่างมาก ฉะน้ันก่อนที่จะสัญญา คา้ ประกัน
ใคร จะต้องพจิ ารณาให้รอบคอบและมขี ้อควรระวงั ดงั นี้
1. ผู้คา้ ประกนั อาจจะต้องรับผดิ อย่างไม่มขี ้อจากดั กล่าวคือ
รับผดิ เช่นเดยี วกบั ลูกหนีท้ ุกอย่างรับผดิ ท้งั เงินต้น ดอกเบยี้
และค่าสินไหมทดแทนซึ่งลูกหนีค้ ้างชาระ
2. การคา้ ประกันอย่างจากดั ความรับผิด จะต้องกาหนดไว้ใน
สัญญาอย่างชัดเจน จะรับผิดเป็ นวงเงินเท่าใด เช่น น้ อยกว่า
ต้นเงินกู้ หรือไม่รับผิดชอบในส่วนดอกเบี้ย และค่าสินไหม
ทดแทนอ่ืนๆ
กฎหมายเกย่ี วกบั สัญญาจานอง
จานอง หมายถึง การเอาทรัพยส์ ินไปไวก้ บั บุคคลอื่น
เพื่อเป็นประกนั การชาระหน้ี การทาสัญญาจานองเป็ นการตก
ลงทาสัญญา ซ่ึงเรียกว่า ผูจ้ านอง กบั ผูร้ ับจานอง โดยเอา
ทรัพยส์ ินของตน ไดแ้ ก่ อสังหาริมทรัพย์ เช่น ท่ีดิน หรือ
ทรัพยท์ ่ีติดกบั ท่ีดิน เช่น บา้ น ตน้ ไม้ แร่ธาตุในดิน เป็ นตน้
และยงั มีความหมายรวมถึงสังหาริ มทรัพย์บางประเภทท่ี
กฎหมายยอมให้ใช้เป็ นประกนั การชาระหน้ีไดเ้ ช่นเดียวกับ
อสงั หาริมทรัพย์ ไดแ้ ก่
1. เรือกาป่ัน หรือเรือมรี ะวางต้งั แต่หกตนั ขนึ้ ไป เรือกลไฟ
หรือเรือยนต์มีระวางต้งั แต่ห้าตนั ขนึ้ ไป
2. แพ
3. สัตว์พาหนะ
4. สังหาริมทรัพย์อื่นๆ ซ่ึงกฎหมายบัญญตั ิไว้ให้จดทะเบียน
เฉพาะการ
การทาสัญญาจานอง สัญญาจานองเป็ นหลักประกันใน
การชาระหนีอ้ ย่างหน่ึง แต่เป็ นการประกนั ด้วยตัวทรัพย์ ฉะน้ัน
การทาสัญญาจานองจึงต้องระบุทรัพย์สินที่จานองไว้ให้ละเอยี ด
ว่าเป็ นทรัพย์สินประเภทใด ราคามากน้อยเพียงใด มีจานวน
เท่าใด และสัญญาจานองน้ันต้องทาเป็ นหนังสือลงลายมือช่ือผู้
จานองและผู้รับจานองท้ังสองฝ่ าย และต้องไปจดทะเบียนต่อ
พนักงานเจ้าหน้าท่ี เช่น กรมที่ดิน สานักงานท่ีดินจังหวัด
หรือไปจดทะเบียนทอ่ี าเภอ เช่น จานองทดี่ นิ ทไ่ี ม มโี ฉนด หรือ
จานองเฉพาะบ้าน หรือโรงเรือนหรือสัตว์พาหนะ เป็ นต้น
การบงั คบั จานอง คือ การทผ่ี ู้รับจานองเรียกให้ผู้จานองชาระ
หนี้ โดยบังคบั เอาจากทรัพย์สินท่ีนามาจานอง ซ่ึงได้ 2 วธิ ี
ดงั นี้
1. ผู้รับจานองมีจดทะเบยี นบอกลูกหนีภ้ ายในเวลาท่ี
กาหนด และบอกด้วยว่าถ้าลูกหนีไ้ ม่ปฏบิ ัตติ ามจะฟ้องคดี
ต่อศาลให้ยดึ ทรัพย์สินท่ีจานองไว้ขายทอดตลาด
2. ลูกหนีข้ าดส่งดอกเบีย้ เป็ นเวลา 5 ปี และไม่สามารถ
แสดงให้เป็ นทพ่ี อใจแก่ศาลว่า ราคาทรัพย์สินน้ันเกนิ กว่า
จานวนหนีท้ ค่ี ้างชาระ และทรัพย์สินน้ันไม่ติดจานองกบั
เจ้าหนรี้ ายอื่นๆ
กฎหมายเกย่ี วกบั สัญญาจานา
จานา หมายถึง การเอาสังหาริมทรัพย์ไปไว้กับ
บุคคลหนึ่ง เพื่อเป็ นประกันการชาระหนี้ สัญญาจานา
แตกต่างกับสัญญาจานองในสาระสาคัญที่ว่า สัญญาจานา
เป็ นการนาทรัพย์สินเฉพาะสังหาริมทรัพย์ไปไว้กับบุคคลอ่ืน
เท่าน้ัน อสังหาริมทรัพย์จงึ ไม่อาจนาไปจานาได้
การทาสญั ญาจานา สญั ญาจานาจึงตอ้ งประกอบดว้ ย
หลกั เกณฑท์ ่ีสาคญั 2 ประการ คือ
1. ทรัพย์ที่จานาต้องเป็ นสังหาริมทรัพย์
2. ต้องส่งมอบทรัพย์สินทจ่ี านาให้แก่ผู้รับจานาด้วย ถ้าไม่มี
การส่ งมอบทรัพย์สินถือว่าสัญญาจานาน้ันไม่ สมบูรณ์
ตามกฎหมาย
การบังคบั จานา เมื่อหนีถ้ งึ กาหนดชาระ ถ้าลูกหนีไ้ ม่
ชาระหนี้ ผู้รับจานาย่อมมีสิทธิทจี่ ะให้ชาระหนีเ้ อกบั
ทรัพย์สินทจี่ านาไว้ โดยต้องมกี ารบอกกล่าวเป็ นหนงั สือไป
ยงั ลูกหนีก้ ่อนว่าให้ชาระหนีภ้ ายในวนั ทก่ี าหนดในคาบอก
กล่าว ถ้าลูกหนีไ้ ม่ชาระหนีต้ ามคาบอกกล่าว ผู้รับจานาย่อม
มีสิทธิเอาทรัพย์สินท่ีจานาออกขายทอดตลาดได้ แต่ไม่มี
สิทธิที่จะนาไปขายโดยวธิ ีอ่ืนทีม่ ิใช่การขายทอดตลาด
การบงั คบั จานาน้ันไม่ต้องขอให้ศาลพพิ ากษาบงั คบั
เหมือนกบั การจานอง ทจ่ี ะต้องขอให้ศาลบงั คบั ทุกกรณีไป
กฎหมายเกี่ยวกบั สญั ญาซ้ือขาย
สญั ญาซ้ือขายตามกฎหมายอาจแยกไดเ้ ป็นหลายประเภท
ดงั น้ี
1. สัญญาซื้อขายธรรมดา
2. สัญญาขายฝาก
3. สัญญาขายตามตัวอย่าง ขายตามพรรณนา
และขายเผื่อชอบ
4. การขายทอดตลาด
สัญญาซื้อขายที่เกดิ ขึน้ ในชีวติ ประจาวนั มีบางประเภทเท่าน้ัน เช่น สัญญาซื้อขาย
ธรรมดา สัญญาขายฝาก
1. สัญญาซื้อขายธรรมดา เป็ นการทค่ี ู่สัญญาฝ่ ายหน่ึงทเ่ี รียกว่า ผ้ขู าย โอน
กรรมสิทธ์ิแห่งทรัพย์สินให้แก่บุคคลอกี ฝ่ ายหน่ึงเรียกว่า ผ้ซู ื้อ โดยผู้ซื้อตกลงว่าจะ
ชาระราคาทรัพย์สินน้ันให้แก่ผ้ขู าย ฉะน้ันสัญญาซื้อขาย จึงมสี าระสาคญั อยู่ทก่ี าร
ตกลงยนิ ยอมโอนกรรมสิทธ์ิ ได้แก่ ความเป็ นเจ้าของในทรัพย์สิน ให้แก่ผ้ซู ื้อทนั ทที ี่
ได้มกี ารตกลงซื้อขายกนั แม้จะยงั ไม่ได้มกี ารชาระราคาทรัพย์ หรือยังไม่ได้มกี าร
มอบทรัพย์สินทข่ี ายให้แก่ผ้ซู ื้อ เช่น จะชาระราคาให้ภายหลงั หรือผ่อนชาระให้เป็ น
งวดๆ แต่เมื่อได้ตกลงทาสัญญาซื้อขายกนั แล้ว กจ็ ะเกดิ ผลทางกฎหมายขึ้นทันที
กล่าวคือ กรรมสิทธ์ิในทรัพย์สินท่ซี ื้อขาย ถ้าเป็ นประเภทสังหาริมทรัพย์กจ็ ะโอนตก
ไปเป็ นกรรมสิทธ์ิของผ้ซู ื้อทนั ทเี มื่อได้ทาสัญญาตกลงกนั แม้อาจจะยงั ไม่มีการชาระ
ราคา หรือยงั ไม่ได้ส่งมอบทรัพย์สินน้ันให้แก่ผู้ซื้อกต็ าม แต่ผู้ซื้อกเ็ ป็ นเจ้าของ
กรรมสิทธ์ิในทรัพย์สินท่ซี ื้อแล้ว
การทาสัญญาซื้อขายโดยท่วั ไปไม่จาเป็ นต้องทาสัญญาเป็ น
หนังสือ หรือหลกั ฐานแต่ประการใด ความสาคญั อยู่ท่กี ารตกลง
ยนิ ยอมซื้อขายกนั เมื่อตกลงซื้อขายกนั แล้วแม้การตกลงน้ันจะทา
การตกลงด้วยวาจากต็ าม กรรมสิทธ์ิในทรัพย์ท่ซี ื้อขายจะโอนเป็ น
ของผู้ซื้อทนั ที แม้จะยงั ไม่ได้มีการส่งมอบทรัพย์สินท่ีซื้อขายหรือ
ยงั ไม่มกี ารชาระราคากต็ าม
ข้อยกเว้น การซื้อขายทรัพย์บางประเภท ได้แก่ อสังหาริมทรัพย์
ซึ่งหมายถงึ ทดี่ นิ ทรัพย์ทต่ี ดิ อยู่กบั ทดี่ นิ หรือทีป่ ระกอบเป็ นอนั
เดยี วกบั ทดี่ นิ และสิทธิท้งั หลายอนั เกย่ี วกบั กรรมสิทธ์ิในทด่ี นิ
ด้วย และยงั รวมถงึ การซื้อขายสังหาริมทรัพย์ชนิดพเิ ศษบาง
ประการ ได้แก่
1. เรือกาป่ันหรือเรือมรี ะวางต้งั แต่หกตนั ขนึ้ ไป
2. เรือกลไฟหรือเรือยนต์มีระวางต้งั แต่ห้าตันขึน้ ไป
3. แพทคี่ นอยู่อาศัย
4. สัตว์พาหนะ
การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ดงั ทไ่ี ด้กล่าวมา และการ
ซื้อขายสังหาริมทรัพย์ชนิดพเิ ศษ 1, 2, 3 และ 4 กฎหมาย
บังคบั ให้ต้องทาตามแบบไว้เป็ นพเิ ศษ กล่าวคือ
1. ต้องทาสัญญาเป็ นหนงั สือไว้ต่อกนั และ
2. ต้องจดทะเบยี นต่อพนักงานเจ้าหน้าทตี่ ามประเภทและ
ลกั ษณะของทรัพย์ที่ซื้อขาย เช่น การซื้อขายที่ดนิ มีโฉนด
ต้องไปจดทะเบยี นทกี่ รมทีด่ นิ สานักงานที่ดนิ กรมจงั หวดั
หรือ ทท่ี าการอาเภอสาหรับทดี่ นิ ท่ีไม่มีโฉนด เป็ นต้น
ถ้าคู่สัญญาซื้อขายไม่ทาแบบทกี่ ฎหมายกาหนดไว้ การ
ซื้อขายดงั กล่าวจะตกเป็ นโมฆะ กล่าวคือ การเสียเปล่า การ
สูญเปล่า ไม่เกดิ ผลตามกฎหมายแต่ประการใด ฉะน้ันการซื้อ
ขายในลกั ษณะนีจ้ งึ ต้องระมัดระวงั เป็ นพเิ ศษ มฉิ ะน้ันจะเกดิ
ความเสียหายขนึ้ ได้
2. สัญญาขายฝาก เป็ นสัญญาซื้อขายทม่ี ลี กั ษณะ
พเิ ศษ กล่าวคือ เหมือนกบั การทาสัญญาซื้อขายธรรมดาดงั ท่ี
ได้กล่าวมาแล้ว เพราะสัญญาขายฝากน้ันกค็ ือสัญญาซื้อขาย
ซึ่งกรรมสิทธ์ิในทรัพย์ท่ซี ื้อขายต้องตกเป็ นกรรมสิทธ์ิของผู้
ซื้อ แต่ท้งั นี้ มีข้อตกลงเป็ นพเิ ศษว่า ผู้ขายอาจขอไถ่
ทรัพย์สินน้ันคืนไป ฉะน้นั สัญญาขายฝาก จงึ ต้อง
ประกอบด้วยสาระสาคญั ดงั นี้
1. เป็ นสัญญาซื้อขายซ่ึงกรรมสิทธ์ิในทรัพย์สินตกไปยงั ผู้ซื้อ
แล้ว และ
2. ต้องมขี ้อตกลงกนั ในขณะทาสัญญาว่า ผู้ขายมีสิทธิทจ่ี ะไถ่
ทรัพย์สินน้ันคืนได้ ซ่ึงหมายถงึ การขอซื้อคืนน่ันเอง
ในการขอไถ่คืนหรือซื้อคืนทรัพย์สินน้ันอาจจะตกลงราคา
ไถ่คืนเป็ นจานวนมากน้อยเพยี งใดกไ็ ด้ เช่น ในตอนทาสัญญาซื้อ
ขาย สมมุตวิ ่ามีการซื้อขายกนั เพยี ง 10,000 บาท แต่ในตอนซื้อ
คืนได้ตกลงราคากนั ไว้สูงถงึ 100,000 บาท หรือ 1,000,000 บาท
เช่นนี้ ผู้ขายกต็ ้องผูกพนั ตามสัญญา
การกาหนดราคาไถ่คืนสูงกว่าราคาทรัพย์สินทซ่ี ื้อขายแต่
แรกเป็ นจานวนหลายเท่าตวั น้ัน ย่อมไม่เป็ นธรรมกบั ผู้ขาย
การไถ่คืน กฎหมายห้ามมใิ ห้ใช้สิทธิไถ่ทรัพย์สินซ่ึง
ขายฝากเม่ือพ้นกาหนดเวลา ดงั ต่อไปนี้
1.ถ้าเป็ นอสังหาริมทรัพย์ กาหนด 10 ปี นับต้งั แต่วนั ซื้อขาย
2.ถ้าเป็ นสังหาริมทรัพย์ กาหนด 3 ปี นับต้งั แต่วนั ซื้อขาย
ฉะน้ันถ้ามาขอไถ่คืนหรือซื้อทรัพย์สินคืนภายหลงั
ระยะเวลาดงั กล่าว แม้จะช้าไปเพยี งแค่วนั เดียวกอ็ าจใช้สิทธิ
ดงั กล่าวได้ เพราะผู้ซื้อมีสิทธิทจ่ี ะปฏิเสธได้ตามกฎหมาย และ
ตราบใดทยี่ งั ไม่ใช้สิทธิขอไถ่คืน กรรมสิทธ์ิในทรัพย์สินกย็ งั คง
เป็ นของผู้ซื้อ หากพ้นกาหนดเวลาไถ่แล้วกรรมสิทธ์ิไม่อาจ
ย้อนกลบั มาเป็ นของผู้ขายได้อกี เลย จากหลกั กฎหมายข้อนีท้ า
ให้ผู้ซื้อที่เป็ นนายทุนบางคนพยายามหลกี เลย่ี งไม่ยอมให้ไถ่คืน
เนื่องจากทรัพย์สินน้ันมีค่ามากกว่าเงินท่จี ะนามาไถ่คืน จงึ หลบ
หน้าไม่ยอมพบผู้ขายฝาก จนหมดเวลาไถ่คืนทา
ให้ทรัพย์สินน้ันหลุดจานองตกเป็ นของผ้ซู ื้อโดย
เดด็ ขาด ซึ่งกฎหมายกไ็ ด้แก้ไขว่า ถ้าผู้ขายฝากไม่พบตวั ผู้ซื้อ
หรือผู้ซื้อไม่ยอมรับไถ่คืน กใ็ ห้ผู้ขายฝากนาเงินค่าไถ่ไปวางไว้
ท่ีสานักงานวางทรัพย์ โดยเงนิ ที่นาไปวางไว้ทส่ี านักงานวาง
ทรัพย์ จะมีผลเท่ากบั ผู้ขายฝากได้มาไถ่ถอนจานองจากผู้ซื้อ
แล้ว
แบบของสัญญาของฝาก มหี ลกั เกณฑ์ทต่ี ้องปฏบิ ัติในการ
ทาสัญญาเช่นเดยี วกบั การซื้อขายทรัพย์สินธรรมดาท่ไี ด้กล่าว
มาแล้ว
ข้อควรระมดั ระวงั ผู้ขายจะต้องระมดั ระวงั เป็ นพเิ ศษและ
ต้องไตร่ตรองให้รอบคอบ โดยเฉพาะในเร่ืองราคาทจี่ ะขอไถ่คืน
เพราะถ้าล่วงเลยไปแล้วจะไม่มีสิทธิขอไถ่คืนได้แต่ประการใดเลย
การทาสัญญาขายฝากเป็ นผลให้ผู้ยากจน เช่น ชาวไร่
ชาวนา ต้องสูญเสียทดี่ นิ ให้แก่ผู้เอารัดเอาเปรียบไปเป็ นจานวนมาก
ในปัจจุบนั นีร้ ัฐบาลได้ตระหนักถงึ ความได้เปรียบและเสียเปรียบ
ของสัญญาขายฝากจงึ ได้ดาเนินการเพื่อหามาตาการที่จะป้องกนั
และแก้ไขปัญหานีต้ ่อไป
กฎหมายเกย่ี วกบั สัญญาเช่าทรัพย์
การเช่า หมายถงึ การใช้ทรัพย์สินของผู้อ่ืนเป็ นการ
ช่ัวคราว โดยจ่ายค่าเช่าเป็ นการตอบแทน ทรัพย์สินไม่ว่าจะ
เป็ นอสังหาริมทรัพย์ หรือสังหาริมทรัพย์ ย่อมทาสัญญาเช่า
ได้เสมอไป โดยเรียกคู่สัญญาฝ่ ายหน่ึงว่า ผู้ให้เช่า ทาการตก
ลงให้บุคคลอกี คนหน่ึงเรียกว่า ผู้เช่า ได้ใช้หรือได้รับ
ประโยชน์จากทรัพย์สินอย่างใดอย่างหน่ึง โดยมรี ะยะเวลา
จากดั และผู้เช่าอาจตกลงจ่ายค่าเช่าเป็ นเงินตอบแทน
ฉะน้ันสัญญาเช่าทรัพย์จึงต่างกบั สัญญาซื้อขายในประการสาคญั
ทวี่ ่า การเช่าจะต้องมีระยะเวลาอนั จากดั จะกาหนดไว้ 1 ปี หรือ 3 ปี ก็
ได้ และผู้เช่าจะไม่ได้กรรมสิทธ์ิในทรัพย์สินทเี่ ช่าแต่อย่างใด
การเช่าอสังหาริมทรัพย์จะต้องทาหลกั ฐานไว้เป็ นหนังสือต่อกนั
โดยลงลายมือช่ือคู่สัญญาฝ่ ายทต่ี ้องรับผดิ จงึ จะฟ้องร้องบังคบั กนั ได้
ถ้าเป็ นการเช่าอสังหาริมทรัพย์มกี าหนด 3 ปี ขนึ้ ไป หรือเป็ น
การเช่าทมี่ ีกาหนดตลอดอายุของผู้เช่า หรือผู้ให้เช่า จะต้องทาเป็ นหนังสือ
และจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าท่ี จงึ จะฟ้องร้องบังคบั คดกี นั ได้ตาม
ระยะเวลาทกี่ าหนดน้ัน มฉิ ะน้ันจะฟ้องร้องให้บงั คบั ได้เพียงแค่ 3 ปี
และอสังหาริมทรัพย์กฎหมายมิให้เช่ากนั เกนิ กว่า 30 ปี
กฎหมายเกยี่ วกบั สัญญาเช่าซื้อ
สัญญาเช่าซื้อมลี กั ษณะแตกต่างกบั สัญญาเช่าธรรมดา กล่าวคือ
การเช่าซื้อเป็ นการทาสัญญาเช่าส่วนหนึ่งและมีคาม่นั ว่าจะขายทรัพย์สินน้ัน
ให้ หรือว่าจะให้ทรัพย์สินน้ันตกเป็ นสิทธิแก่ผู้เช่า เมื่อผู้เช่าได้ใช้ เงนิ เป็ น
ค่าเช่าครบจานวนตามทก่ี าหนดไว้ในสัญญา
สัญญาเช่าซื้อ มขี ้อแตกต่างกบั การขายและการซื้อผ่อนส่งด้วย
เพราะการขายและการซื้อผ่อนส่งกรรมสิทธ์ิในทรัพย์สินได้โอนไปเป็ น
ของผู้ซื้อแล้ว เพยี งแต่ผู้ซื้อมขี ้อผูกพนั ทจ่ี ะต้องชาระราคาให้จนครบ
ภายหลงั แต่การเช่าซื้อ กรรมสิทธ์ิในทรัพย์สินทเี่ ช่ายังเป็ นของผู้ให้เช่า
อยู่
แบบของสัญญาเช่าซื้อ การเช่าซื้อมขี ้อสาคญั ว่าจะต้องทาเป็ น
หนังสือ จะตกลงเช่าซื้อกนั ด้วยวาจาไม่ได้ มิฉะน้ันจะตกเป็ น
โมฆะถือเสมือนว่าไม่มกี ารเช่าซื้อกนั เลย และการทาสัญญาเช่าซื้อเป็ น
หนังสือน้ันคู่สัญญาอาจทากนั เองได้ ไม่ต้องทาต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
การผดิ นัดไม่ชาระค่าเช่าซื้อ ถ้าผู้เช่าซื้อผดิ นัดไม่ใช้เงนิ
ค่าเช่าสองคราวตดิ ๆ กนั หรือได้กระทาผดิ สัญญาในข้อที่เป็ นส่วน
สาคญั เจ้าของทรัพย์สินหรือผู้ให้เช่ามสี ิทธิบอกเลกิ สัญญาเสียได้
เม่ือบอกเลกิ สัญญาแล้วผู้ให้เช่าซื้อมสี ิทธิกลบั เข้าครอบครองทรัพย์สิน
ทใ่ี ห้เช่าน้ันได้ และยงั มสี ิทธิรับเงนิ ทไ่ี ด้มาเป็ นค่าเช่าก่อนเลกิ ทา
สัญญาเสียท้งั หมดกไ็ ด้
ตัวอย่าง นาย ก ได้ทาสัญญาเช่าซื้อรถยนต์คันหน่ึง
จากบริษทั ข กาหนดชาระเงินค่าเช่าในวนั สิ้นเดือนของทุก
เดือน ต่อมา นาย ก ผู้เช่าผดิ นัด ไม่ชาระเงินค่าเช่าติดกนั 2
เดือนตดิ ต่อกนั คือ เดือนมนี าคมและเดือนเมษายน ในกรณนี ี้
บริษัท ข ผู้ให้เช่ามสี ิทธิบอกเลกิ สัญญาได้ แต่ถ้า นาย ก ผดิ
นัดการผ่อนชาระเพยี งเดือนเดยี ว หรือหลายเดือนแต่ไม่ติดกนั
จะผดิ นัดกค่ี ร้ังกต็ าม บริษัท ข ผู้ให้เช่าไม่มีสิทธิบอกเลกิ
สัญญา
จบแลว้ คะ