The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ใบเนื้อหาภาพฉาย เรื่อง การเลือกมุมมองภาพฉายและการเขียนภาพฉายจากภาพ 3 มิติ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by manzatm.34, 2022-03-10 04:14:19

ใบเนื้อหาภาพฉาย เรื่อง การเลือกมุมมองภาพฉายและการเขียนภาพฉายจากภาพ 3 มิติ

ใบเนื้อหาภาพฉาย เรื่อง การเลือกมุมมองภาพฉายและการเขียนภาพฉายจากภาพ 3 มิติ

รายวชิ า งานวิชาเขยี นแบบ ใบความรู้ ที่ 2.1 ชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 4
เรือ่ ง การเลอื กมุมมองภาพฉายและการ ครูผู้สอนนายพงษกร เจรญิ ศลิ ป์
หน่วยการเรยี นร้ทู ี่ 2 เขียนภาพฉายจากภาพ 3 มิติ
เรือ่ ง ภาพฉาย

หลกั การเขียนภาพฉาย(Orthographic projection)

Orthographic projection คือ วิธีการฉายภาพหรือถ่ายทอดภาพจริงของวัตถุจากลักษณะ
ภาพสามมิติ ออกมาเป็นภาพสองมิติ ภาพที่ตามองเห็น เช่น โต๊ะ เก้าอี้ ฯลฯ เป็นภาพสามมิติ
คือ มองเห็นความกว้าง ความยาว หนา สูง หรือลึก เมื่อนำไปเขียนในแบบหรือถ่ายทอดออกมาเป็น
เพียงรูปด้าน เช่น ด้านบน ด้านหน้า ฯ รูปด้านต่าง ๆ จะมีเพียงสองมิติ เช่น รูปด้านบนก็จะแสดง
ให้เห็นเพียงความกว้างกับความยาว หรือรูปด้านหน้าแสดงให้เห็นเพียงความยาวกับความสูง
เท่านั้น วิธีการของ Orthographic ก็คือ การถ่ายทอดรูปร่างจริงของวัตถุแต่ละมุม แต่ละด้านออก
ไปสูพ่ ื้นราบนนั่ เอง

การมองภาพฉาย

การมองภาพฉายเป็นการมองตง้ั ฉากกบั ระนาบด้านต่าง ๆ ทีช่ นิ้ งานต้งั อยู่ ซ่ึงระนาบดา้ นจะมอี ยู่ 6 ดา้ น
เหมือนช้ินงานต้งั อยู่ในกล่องแกว้ สเ่ี หลย่ี มทม่ี ผี นังของกลอ่ งแก้วเปน็ ระนาบดา้ นต่าง ๆ ดังตัวอย่างในรปู ที่ 6.1

รปู ที่ 1.1
ภาพที่เกิดขึ้นจากการมองจะมีลักษณะเป็นพื้นที่ของผิวชิ้นงานที่มีเส้นขอบของชิ้นงานล้อมรอบอยู่
การมองชิ้นงานในแต่ละด้าน จะเกิดภาพทแี่ ตกตา่ งกนั ไปตามรปู ร่างของชิน้ งาน และจำนวนพ้ืนที่ผิวของช้ินงาน
ในแตล่ ะด้าน

1. การมองชน้ิ งานตามทิศทางหมายเลข
การมองตามทศิ ทางหมายเลข 1 จะเหน็ ผวิ ของช้นิ งาน 1 ส่วน รปู ร่างเหมือนตัว L กลบั ดา้ น ดงั ในรูปท่ี 1.2

รปู ท่ี 1.2
2. การมองชน้ิ งานตามทิศทางของหมายเลข 2

การมองตามทศิ ทางของหมายเลข 2 จะเห็นพ้นื ท่ผี ิวของชิ้นงาน 2 ส่วน เปน็ รปู สี่เหล่ยี ม 2 รูปตดิ กัน ใน
แนวตง้ั ดังรูปที่ 1.3

รูปที่ 1.3

3. การมองชิ้นงานตามทิศทางของหมายเลข 3
การมองตามทิศทางหมายเลข 1 จะเห็นผวิ ของชนิ้ งาน 1 สว่ น รูปร่างเหมอื นตัว L ซ่ึงจะตรงกันข้ามของทศิ ทาง

หมายเลข 1 ดังรูป 1.4

รปู ที่ 1.4
4. การมองชน้ิ งานตามทิศทางของหมายเลข 4

การมองตามทิศทางของหมายเลข 4 จะเห็นพ้นื ท่ผี ิวของชิน้ งาน 1 สว่ น เปน็ รูปสี่เหลีย่ ม มีเส้นประตรงกลาง
รูปสี่เหลย่ี ม ซึง่ แสดงใหเ้ หน็ ส่วนที่บงั เอาไว้ ดังรปู ท่ี 1.5

รปู ที่ 1.5

5. การมองชน้ิ งานตามทิศทางของหมายเลข 5
การมองตามทศิ ทางของหมายเลข 5 จะเหน็ พ้นื ที่ผิวของชน้ิ งาน 2 สว่ น เป็นรูปสเ่ี หลย่ี ม 2 รปู ติดกนั

ดงั ในรูปท่ี 1.6

รูปที่ 1.6
6. การมองช้นิ งานตามทศิ ทางของหมายเลข 6

การมองตามทศิ ทางของหมายเลข 6 จะเหน็ พื้นท่ผี ิวของชน้ิ งาน 1 สว่ น เปน็ รปู สเ่ี หลีย่ มผนื ผ้า มเี สน้ ประ
แสดงช้นิ งานส่วนที่ถูกบังเอาไวต้ รงกลาง ดังรปู ท่ี 1.7

รูปท่ี 1.7

มาตรฐานในการมองภาพฉาย
การมองภาพฉายจากชิ้นงานสามารถมองได้ 6 ด้าน ภาพที่เกิดจากการมองในทิศทางของ

หมายเลข 1 จะเหมือนกับทิศทางหมายเลข 3 ภาพที่เกิดจากการมองในทิศทางของหมายเลข 2
จะเหมือนกับทิศทางของหมายเลข 4 และภาพที่เกิดจากการมองในทิศทางของหมายเลข 5 จะคล้ายกับ
ทิศทางการมองของหมายเลข 6 ดังนั้น อาจสรุปได้ว่า ภาพฉายเพียงสามด้านสามารถให้รายละเอียดของ
ชิ้นงานได้ครบถ้วน เพื่อให้การมองภาพฉายเป็นไปในรูปแบบที่เป็นมาตรฐาน และมีความเข้าใจตรงกัน
ระหว่างผู้เขียนแบบกับผู้อ่านแบบ ได้มีการกำหนดวิธีการมองภาพฉายโดยใช้หลักการของฉากรับภาพ
ที่มี 4 มมุ เปน็ ตวั กำหนดความสัมพันธ์ของภาพฉาย 3 ด้าน ดังในรปู ที่ 1.8

รปู ที่ 1.8

จากรปู ที่ 1.8 เป็นฉากรบั ภาพส่เี หลีย่ มที่มีแผ่นฉากก้ันกง่ึ กลาง ทำใหแ้ บง่ ฉากเป็น 4 ส่วน แตล่ ะส่วนจะ
มีลกั ษณะเป็นมุม โดยกำหนดให้

- มมุ ท่ีอย่ดู ้านบนขวา เป็นฉากรบั ภาพมุมที่ 1 (First Angle Projection)
- มุมท่ีอยู่ด้านบนซ้าย เป็นฉากรับภาพมุมที่ 2 (Second Angle Projection)
- มุมท่ีอยูด่ า้ นลา่ งซา้ ย เป็นฉากรับภาพมุมที่ 3 (Third Angle Projection)
- มุมทีอ่ ยดู่ า้ นลา่ งขวา เปน็ ฉากรับภาพมุมที่ 4 (Fourth Angle Projection)
การมองภาพจะอาศยั ฉากรับภาพมุมใดมุมหนึ่งมาเป็นฉากรบั ภาพ ในระบบที่ใชใ้ นยโุ รปทีเ่ รียกว่า
ISO Method E (E=European) จะใชฉ้ ากรับภาพมมุ ที่ 1(First Angle Projection) สว่ นระบบอเมริกนั
ท่เี รยี กว่า ISO Method A(A=American) จะใช้รับภาพมุมที่ 3 (Third Angle Projection)

หลกั การมองภาพฉายมุมที่ 1
เป็นฉากรบั ภาพมุมท่ี 1 มาพจิ ารณา จะได้ฉากรับภาพทมี่ ี 3 ดา้ น ดังในรปู ที่ 1.9

รูปที่ 1.9
เมื่อนำชิ้นงานมาวางระหว่างฉากรับภาพทั้ง 3 ด้าน แล้วมองชิ้นงานตามทิศทางของลูกศร
3 ทิศทาง จะได้ภาพฉายที่มองเห็นเกิดขึ้นที่ฉากรับภาพด้านหลังทั้ง 3 ด้าน ดังในรูปที่ 1.10
(การวางชิ้นงานระหว่างฉากรับภาพ และภาพฉายที่เกิดขึ้นบนฉากรับภาพเป็นเพียงจินตนาการเท่าน้ัน)
เมื่อนำช้ินงานออกจะไดภ้ าพ 2 มติ ิของรูปดา้ นทง้ั 3 ด้านของช้ินงาน

รูปท่ี 1.10 รูปท่ี 1.11

จากรูปที่ 1.11 ภาพฉายที่เกิดขึ้นบนฉากทั้ง 3 ด้าน จะมีรูปร่างที่แตกต่างกันตามภาพที่
มองเห็นในแต่ละทิศทาง แต่ภาพที่เกิดขึ้นบนฉากรับภาพที่ทำมุมตั้งฉาก ซึ่งกันและกันทำให้ดูยาก
เพื่อความสะดวกในการดูแบบภาพฉาย จึงหมุนฉากรับภาพด้านขวาไป 90 องศา และหมุนฉาก
รบั ภาพดา้ นล่างลงไป 90 องศา ใหฉ้ ากรับภาพทั้งสามอยใู่ นระนาบเดยี วกนั ดังแสดงในรปู ที่ 1.12

รปู ท่ี 1.12
จากนั้นนำฉากรับภาพ 3 ด้านที่แผ่ออกเป็นระนาบเดียวกันมาพิจารณา กำหนดให้ภาพฉายที่อยู่บน
ฉากรับภาพรูปบนด้านซ้ายเป็นภาพด้านหน้า ภาพฉายรปู บนดา้ นขวาเป็นภาพด้านขา้ ง และภาพฉายด้านล่างท่ี
เกดิ จากการมองดา้ นบนของชิ้นงานเป็นภาพดา้ นบน ดังแสดงในรปู ท่ี 1.13

ภาพด้านหน้า
ภาพดา้ นขา้ ง
ภาพดา้ นบน

รูปท่ี 1.13

เมื่อพจิ ารณาภาพ 3 มติ ิ และภาพฉายของช้นิ งานตามระบบการมองภาพฉายมมุ ที่ 1 จะพบว่า
ภาพฉายท้งั 3 ด้าน มีความสัมพนั ธ์กนั คือ
1. ภาพดา้ นขา้ งเกิดจากการมองทางด้านซ้ายของภาพด้านหนา้ ภาพดา้ นบนเกดิ จากการมองทางด้านบนของดา้ นหนา้
2. ขนาดความสงู ของภาพด้านหน้าจะเท่ากบั ความสงู ของภาพด้านข้าง
3. ขนาดความกว้างของภาพด้านหนา้ จะเท่ากบั ความกว้างของภาพดา้ นบน
4. ขนาดความสงู ของภาพด้านบนจะเทา่ กับความกวา้ งของภาพด้านข้าง


Click to View FlipBook Version