รายวชิ า งานวิชาเขยี นแบบ ใบความรู้ ที่ 2.1 ชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 4
เรือ่ ง การเลอื กมุมมองภาพฉายและการ ครูผู้สอนนายพงษกร เจรญิ ศลิ ป์
หน่วยการเรยี นร้ทู ี่ 2 เขียนภาพฉายจากภาพ 3 มิติ
เรือ่ ง ภาพฉาย
หลกั การเขียนภาพฉาย(Orthographic projection)
Orthographic projection คือ วิธีการฉายภาพหรือถ่ายทอดภาพจริงของวัตถุจากลักษณะ
ภาพสามมิติ ออกมาเป็นภาพสองมิติ ภาพที่ตามองเห็น เช่น โต๊ะ เก้าอี้ ฯลฯ เป็นภาพสามมิติ
คือ มองเห็นความกว้าง ความยาว หนา สูง หรือลึก เมื่อนำไปเขียนในแบบหรือถ่ายทอดออกมาเป็น
เพียงรูปด้าน เช่น ด้านบน ด้านหน้า ฯ รูปด้านต่าง ๆ จะมีเพียงสองมิติ เช่น รูปด้านบนก็จะแสดง
ให้เห็นเพียงความกว้างกับความยาว หรือรูปด้านหน้าแสดงให้เห็นเพียงความยาวกับความสูง
เท่านั้น วิธีการของ Orthographic ก็คือ การถ่ายทอดรูปร่างจริงของวัตถุแต่ละมุม แต่ละด้านออก
ไปสูพ่ ื้นราบนนั่ เอง
การมองภาพฉาย
การมองภาพฉายเป็นการมองตง้ั ฉากกบั ระนาบด้านต่าง ๆ ทีช่ นิ้ งานต้งั อยู่ ซ่ึงระนาบดา้ นจะมอี ยู่ 6 ดา้ น
เหมือนช้ินงานต้งั อยู่ในกล่องแกว้ สเ่ี หลย่ี มทม่ี ผี นังของกลอ่ งแก้วเปน็ ระนาบดา้ นต่าง ๆ ดังตัวอย่างในรปู ที่ 6.1
รปู ที่ 1.1
ภาพที่เกิดขึ้นจากการมองจะมีลักษณะเป็นพื้นที่ของผิวชิ้นงานที่มีเส้นขอบของชิ้นงานล้อมรอบอยู่
การมองชิ้นงานในแต่ละด้าน จะเกิดภาพทแี่ ตกตา่ งกนั ไปตามรปู ร่างของชิน้ งาน และจำนวนพ้ืนที่ผิวของช้ินงาน
ในแตล่ ะด้าน
1. การมองชน้ิ งานตามทิศทางหมายเลข
การมองตามทศิ ทางหมายเลข 1 จะเหน็ ผวิ ของช้นิ งาน 1 ส่วน รปู ร่างเหมือนตัว L กลบั ดา้ น ดงั ในรูปท่ี 1.2
รปู ท่ี 1.2
2. การมองชน้ิ งานตามทิศทางของหมายเลข 2
การมองตามทศิ ทางของหมายเลข 2 จะเห็นพ้นื ท่ผี ิวของชิ้นงาน 2 ส่วน เปน็ รปู สี่เหล่ยี ม 2 รูปตดิ กัน ใน
แนวตง้ั ดังรูปที่ 1.3
รูปที่ 1.3
3. การมองชิ้นงานตามทิศทางของหมายเลข 3
การมองตามทิศทางหมายเลข 1 จะเห็นผวิ ของชนิ้ งาน 1 สว่ น รูปร่างเหมอื นตัว L ซ่ึงจะตรงกันข้ามของทศิ ทาง
หมายเลข 1 ดังรูป 1.4
รปู ที่ 1.4
4. การมองชน้ิ งานตามทิศทางของหมายเลข 4
การมองตามทิศทางของหมายเลข 4 จะเห็นพ้นื ท่ผี ิวของชิน้ งาน 1 สว่ น เปน็ รูปสี่เหลีย่ ม มีเส้นประตรงกลาง
รูปสี่เหลย่ี ม ซึง่ แสดงใหเ้ หน็ ส่วนที่บงั เอาไว้ ดังรปู ท่ี 1.5
รปู ที่ 1.5
5. การมองชน้ิ งานตามทิศทางของหมายเลข 5
การมองตามทศิ ทางของหมายเลข 5 จะเหน็ พ้นื ที่ผิวของชน้ิ งาน 2 สว่ น เป็นรูปสเ่ี หลย่ี ม 2 รปู ติดกนั
ดงั ในรูปท่ี 1.6
รูปที่ 1.6
6. การมองช้นิ งานตามทศิ ทางของหมายเลข 6
การมองตามทศิ ทางของหมายเลข 6 จะเหน็ พื้นท่ผี ิวของชน้ิ งาน 1 สว่ น เปน็ รปู สเ่ี หลีย่ มผนื ผ้า มเี สน้ ประ
แสดงช้นิ งานส่วนที่ถูกบังเอาไวต้ รงกลาง ดังรปู ท่ี 1.7
รูปท่ี 1.7
มาตรฐานในการมองภาพฉาย
การมองภาพฉายจากชิ้นงานสามารถมองได้ 6 ด้าน ภาพที่เกิดจากการมองในทิศทางของ
หมายเลข 1 จะเหมือนกับทิศทางหมายเลข 3 ภาพที่เกิดจากการมองในทิศทางของหมายเลข 2
จะเหมือนกับทิศทางของหมายเลข 4 และภาพที่เกิดจากการมองในทิศทางของหมายเลข 5 จะคล้ายกับ
ทิศทางการมองของหมายเลข 6 ดังนั้น อาจสรุปได้ว่า ภาพฉายเพียงสามด้านสามารถให้รายละเอียดของ
ชิ้นงานได้ครบถ้วน เพื่อให้การมองภาพฉายเป็นไปในรูปแบบที่เป็นมาตรฐาน และมีความเข้าใจตรงกัน
ระหว่างผู้เขียนแบบกับผู้อ่านแบบ ได้มีการกำหนดวิธีการมองภาพฉายโดยใช้หลักการของฉากรับภาพ
ที่มี 4 มมุ เปน็ ตวั กำหนดความสัมพันธ์ของภาพฉาย 3 ด้าน ดังในรปู ที่ 1.8
รปู ที่ 1.8
จากรปู ที่ 1.8 เป็นฉากรบั ภาพส่เี หลีย่ มที่มีแผ่นฉากก้ันกง่ึ กลาง ทำใหแ้ บง่ ฉากเป็น 4 ส่วน แตล่ ะส่วนจะ
มีลกั ษณะเป็นมุม โดยกำหนดให้
- มมุ ท่ีอย่ดู ้านบนขวา เป็นฉากรบั ภาพมุมที่ 1 (First Angle Projection)
- มุมท่ีอยู่ด้านบนซ้าย เป็นฉากรับภาพมุมที่ 2 (Second Angle Projection)
- มุมท่ีอยูด่ า้ นลา่ งซา้ ย เป็นฉากรับภาพมุมที่ 3 (Third Angle Projection)
- มุมทีอ่ ยดู่ า้ นลา่ งขวา เปน็ ฉากรับภาพมุมที่ 4 (Fourth Angle Projection)
การมองภาพจะอาศยั ฉากรับภาพมุมใดมุมหนึ่งมาเป็นฉากรบั ภาพ ในระบบที่ใชใ้ นยโุ รปทีเ่ รียกว่า
ISO Method E (E=European) จะใชฉ้ ากรับภาพมมุ ที่ 1(First Angle Projection) สว่ นระบบอเมริกนั
ท่เี รยี กว่า ISO Method A(A=American) จะใช้รับภาพมุมที่ 3 (Third Angle Projection)
หลกั การมองภาพฉายมุมที่ 1
เป็นฉากรบั ภาพมุมท่ี 1 มาพจิ ารณา จะได้ฉากรับภาพทมี่ ี 3 ดา้ น ดังในรปู ที่ 1.9
รูปที่ 1.9
เมื่อนำชิ้นงานมาวางระหว่างฉากรับภาพทั้ง 3 ด้าน แล้วมองชิ้นงานตามทิศทางของลูกศร
3 ทิศทาง จะได้ภาพฉายที่มองเห็นเกิดขึ้นที่ฉากรับภาพด้านหลังทั้ง 3 ด้าน ดังในรูปที่ 1.10
(การวางชิ้นงานระหว่างฉากรับภาพ และภาพฉายที่เกิดขึ้นบนฉากรับภาพเป็นเพียงจินตนาการเท่าน้ัน)
เมื่อนำช้ินงานออกจะไดภ้ าพ 2 มติ ิของรูปดา้ นทง้ั 3 ด้านของช้ินงาน
รูปท่ี 1.10 รูปท่ี 1.11
จากรูปที่ 1.11 ภาพฉายที่เกิดขึ้นบนฉากทั้ง 3 ด้าน จะมีรูปร่างที่แตกต่างกันตามภาพที่
มองเห็นในแต่ละทิศทาง แต่ภาพที่เกิดขึ้นบนฉากรับภาพที่ทำมุมตั้งฉาก ซึ่งกันและกันทำให้ดูยาก
เพื่อความสะดวกในการดูแบบภาพฉาย จึงหมุนฉากรับภาพด้านขวาไป 90 องศา และหมุนฉาก
รบั ภาพดา้ นล่างลงไป 90 องศา ใหฉ้ ากรับภาพทั้งสามอยใู่ นระนาบเดยี วกนั ดังแสดงในรปู ที่ 1.12
รปู ท่ี 1.12
จากนั้นนำฉากรับภาพ 3 ด้านที่แผ่ออกเป็นระนาบเดียวกันมาพิจารณา กำหนดให้ภาพฉายที่อยู่บน
ฉากรับภาพรูปบนด้านซ้ายเป็นภาพด้านหน้า ภาพฉายรปู บนดา้ นขวาเป็นภาพด้านขา้ ง และภาพฉายด้านล่างท่ี
เกดิ จากการมองดา้ นบนของชิ้นงานเป็นภาพดา้ นบน ดังแสดงในรปู ท่ี 1.13
ภาพด้านหน้า
ภาพดา้ นขา้ ง
ภาพดา้ นบน
รูปท่ี 1.13
เมื่อพจิ ารณาภาพ 3 มติ ิ และภาพฉายของช้นิ งานตามระบบการมองภาพฉายมมุ ที่ 1 จะพบว่า
ภาพฉายท้งั 3 ด้าน มีความสัมพนั ธ์กนั คือ
1. ภาพดา้ นขา้ งเกิดจากการมองทางด้านซ้ายของภาพด้านหนา้ ภาพดา้ นบนเกดิ จากการมองทางด้านบนของดา้ นหนา้
2. ขนาดความสงู ของภาพด้านหน้าจะเท่ากบั ความสงู ของภาพด้านข้าง
3. ขนาดความกว้างของภาพด้านหนา้ จะเท่ากบั ความกว้างของภาพดา้ นบน
4. ขนาดความสงู ของภาพด้านบนจะเทา่ กับความกวา้ งของภาพด้านข้าง