องค์ความรู้ในการทาอาหารพนื้ บา้ นเมอื งเพชร
แกงสม้ ปูใบชะคราม
อาเภอบา้ นแหลม จงั หวัดเพชรบรุ ี
โครงการสง่ เสรมิ สนบั สนนุ การอนุรักษ์ฟ้ืนฟูขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรมท้องถนิ่
ของจังหวดั เพชรบรุ ี ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕
กิจกรรม : ส่งเสรมิ สนบั สนนุ การศึกษา การเรยี นรูถ้ ่ายทอดองค์ความรูม้ รดกภูมิปญั ญาท้องถน่ิ
การถ่ายทอดภูมิปัญญาอาหารพืน้ บ้านเมอื งเพชร
โดย สานกั งานวฒั นธรรมจงั หวัดเพชรบรุ ี
โทร. ๐๓๒ ๔๒๔๓๒๓-๕
คานา
เอกสารฉบับน้ีจัดทาขึ้นภายใต้โครงการส่งเสริมอนุรักษ์ฟ้ืนฟูขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม
ท้องถ่ินของจังหวัดเพชรบุรี ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕ กิจกรรม : ส่งเสริม สนับสนุนการศึกษา
การเรียนรู้ถ่ายทอดองค์ความรู้มรดกภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อเป็นการเผยแพร่องค์ความรู้ด้านการทาอาหาร
พนื้ ถิ่น สืบสาน สืบทอด และอนุรักษ์วัฒนธรรมของจังหวัดเพชรบุรีให้คงอยู่สืบไป ตลอดจนขับเคลื่อนเพชรบุรี
เป็นเมืองสรา้ งสรรค์ดา้ นอาหารของยูเนสโก
สานักงานวัฒนธรรมจังหวัดเพชรบุรี โดยกลุ่มส่งเสริม ศาสนา และวัฒนธรรม คณะผู้จัดทาเอกสาร
องคค์ วามรฯู้ ฉบับนี้ หวังเป็นอย่างย่ิงว่าจะเป็นประโยชน์กับเด็ก เยาวชน และประชาชนผ้ทู ี่สนใจ หรือต้องการ
สืบค้นเก่ียวกับองค์ความรู้ด้านการทาอาหารพื้นบ้าน : แกงส้มปูใบชะคราม ของชุมชนคุณธรรมน้อมน้า
เศรษฐกิจพอเพียงบ้านดอนใน ตาบลแหลมผักเบ้ียอาเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี หากมีข้อแนะนา
หรอื ขอ้ ผิดพลาดประการใด ผู้จัดทาขอน้อมรบั ไว้ และขออภัยมา ณ ทน่ี ีด้ ้วย
สานักงานวัฒนธรรมจังหวัดเพชรบุรี
คณะผู้จดั ทา
สารบญั ๑
๑
องค์ความรู้ในการทาอาหารพนื้ บ้านเมืองเพชร : แกงส้มปูใบชะคราม ๓
๘
ขอ้ มลู สภาพทั่วไป ๙
ประวตั ิความเปน็ มาของตาบลแหลมผกั เบี้ย ๒๑
ความเปน็ มาของชมุ ชนบา้ นดอนใน
ภูมปิ ัญญาด้านอาหาร
ประวัตคิ วามเป็นมาของแกงปูใบชะคราม
แหล่งจาหน่าย
ภาคผนวก
- โครงการสง่ เสรมิ สนับสนุนการอนุรกั ษ์ฟ้ืนฟูขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรมทอ้ งถ่ิน
ของจังหวัดเพชรบรุ ี ประจาปงี บประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕
- คณะผู้จดั ทา
องค์ความรูใ้ นการทาอาหารพืน้ บ้านเมอื งเพชร : แกงส้มปูใบชะคราม
สภาพทั่วไป
ลกั ษณะภมู ิประเทศ จังหวัดเพชรบรุ ีพนื้ ท่ดี ้านตะวันตกเป็นป่าไมแ้ ละภูเขาสงู สลบั ซับซ้อน มีเทอื กเขา
ตะนาวศรเี ป็นเส้นกน้ั อาณาเขตระหว่างไทยกบั พมา่ เฉพาะในเขตจังหวดั เพชรบุรมี ีความยาวประมาณ 120
กโิ ลเมตร แมน่ า้ สายสาคัญไหลผา่ น 3 สาย ไดแ้ ก่ แม่น้าเพชรบุรี มคี วามยาวตลอดสาย 227 กิโลเมตร แมน่ า้
บางกลอย มีความยาว 44 กิโลเมตร และแมน่ ้าบางตะบูน มีความยาว 18 กิโลเมตร มีประชากรอาศยั หนาแน่น
ทางตะวนั ออกของพน้ื ที่ ซ่งึ เป็นทรี่ าบล่มุ ชายฝงั่ ทะเล ลักษณะภูมิประเทศจังหวัดเพชรบุรี แบง่ เป็น 3 เขต คือ
1. เขตภเู ขาและท่ีราบสงู อยู่ทางดา้ นตะวันตกของจงั หวัดตดิ กับพมา่ ในบริเวณอาเภอแก่งกระจานและ
อาเภอหนองหญา้ ปล้อง มภี ูเขาสงู และเป็นบรเิ วณทีส่ งู ชันของจังหวัด มลี ักษณะเป็นเทือกเขาทอดยาวจากเหนือ
มาใต้ พืน้ ท่ีถดั จากบรเิ วณนจี้ ะค่อย ๆ ลาดต่าลงมาทางด้านตะวนั ออก บริเวณนเี้ ปน็ ตน้ กาเนดิ แมน่ า้ เพชรบุรี
และแมน่ ้าปราณบรุ ี
2. เขตทรี่ าบลุ่มแมน่ า้ บริเวณตอนกลางของจังหวัดซึง่ อุดมสมบูรณ์ทีส่ ดุ มีแมน่ ้าเพชรบรุ ีซง่ึ เปน็ แมน่ า้
สายสาคญั ไหลผา่ น และมีเข่ือนแกง่ กระจานและเข่ือนเพชรบรุ ีซง่ึ เปน็ แหล่งน้าระบบชลประทาน บริเวณนี้เปน็
เขตเกษตรกรรมท่สี าคญั ของจังหวดั เขตนค้ี อื บริเวณบางส่วนของอาเภอเมอื งเพชรบรุ ี อาเภอทา่ ยาง อาเภอ
ชะอา อาเภอบ้านลาด อาเภอบา้ นแหลม และอาเภอเขาย้อย
3. เขตที่ราบฝ่ังทะเล อยทู่ างดา้ นตะวันออกของจงั หวัด ตดิ กบั ชายฝง่ั ทะเลด้านอา่ วไทย บรเิ วณน้ี
นับเปน็ แหล่งเศรษฐกิจท่ีสาคัญยิง่ ของจงั หวัดในด้านการประมง การท่องเท่ยี ว เขตนี้ได้แก่ บา้ นแหลม ทา่ ยาง
และชะอา ลกั ษณะพ้นื ทชี่ ายฝ่ังเพชรบุรี เหนือแหลมหลวงไปทางทิศเหนอื เป็นพนื้ ท่ชี ายฝ่ังหาดโคลน มรี ะบบ
นเิ วศป่าชายเลน ดา้ นทิศใต้ของแหลมหลวงลงไปดา้ นทิศใต้เป็นหาดทราย แหลมหลวงซึง่ อยู่ในพืน้ ท่ีตาบลแหลม
ผักเบย้ี จงึ เป็นแหลมท่ีแบ่งระบบนิเวศป่าชายเลน ออกจากระบบนิเวศหาดทราย เหนือแหลมหลวงข้นึ ไปดา้ นทิศ
เหนอื มลี ักษณะเปน็ หาดโคลนเพราะอยูใ่ กล้พน้ื ทช่ี มุ น้าของแม่น้าสายใหญ่ ได้แก่ แมน่ ้าเพชรบรุ ี แม่น้าบาง
ตะบนู แม่นา้ แม่กลอง แม่นา้ ท่าจนี และแม่น้าบางปะกง เมอ่ื ฤดูน้าหลากนา้ จากแมน่ า้ ได้พัดพาตะกอนลงสู่ทะเล
เป็นจานวนมาก จึงสง่ ผลใหพ้ ้ืนท่ีของชายฝง่ั แถบน้มี ีตะกอนในน้าสงู สง่ ผลใหช้ ายฝงั่ มโี คลนจานวนมาก ซงึ่
เหมาะแก่ระบบนิเวศปา่ ชายเลน เป็นแหลง่ อนบุ าลสตั ว์ทะเล บริเวณอา่ วไทยในเขตอาเภอบ้านแหลมถือว่าเปน็
อ่าวท่ีพบหอยหลากชนิด เชน่ หอยเสียบ หอยปากเปด็ หอยตระกาย หอยตลับ หอยหลอด หอยแครง เปน็ ต้น
โดยเฉพาะหอยแครง เป็นแหลง่ ทพ่ี บมากทส่ี ุดในโลก ภายหลังได้มกี ารตดั ไมป้ ่าชายเลนนาไปเผาถ่าน ทาลายป่า
เพือ่ ทานากุ้งกลุ าดา จึงสง่ ผลใหป้ ่าชายเลนถกู ทาลายเป็นจานวนมาก
ประวตั คิ วามเปน็ มาของ ตาบลแหลมผกั เบีย้
ตาบลแหลมผกั เบ้ยี เป็นตาบลหนง่ึ ของอาเภอบ้านแหลม อยู่ทางทศิ ตะวันออกเฉยี งใต้ ของ
อาเภอ หา่ งจากตัวอาเภอประมาณ 29 กิโลเมตร พ้นื ที่ของตาบลติดชายฝ่ังทะเลอ่าวไทย แต่เดิมรปู ลักษณะของ
ตาบล เป็นหาดทรายขาว มีผักเบี้ยข้ึนเป็นจานวนมาก และหาดทรายขาวนี้ย่ืนออกไปในทะเล มีลักษณะแหลม
และขาว ชาวบ้านต่างพากันเรยี กบริเวณนี้ว่า “แหลมผักเบี้ย” ต่อมามกี ารเปลี่ยนแปลงทางภูมิศาสตร์ น้าทะเล
ได้กดั กร่อน บริเวณพื้นท่ีของหมู่บ้านหายไปเป็นจานวนมาก ราษฎรไดอ้ พยพเข้ามาต้ังถิ่นฐานอยู่ อพยพมาจาก
ที่ไหน ไม่มีใครทราบ มาสรา้ งบา้ นเรือนอยู่ตามบริเวณชายฝง่ั และประกอบอาชีพทาการประมงเป็นส่วนใหญ่ จึง
เรียกช่ือหมู่บ้านแห่งน้ีว่า “บ้านแหลมผักเบ้ีย” ต่อมาทางราชการได้มีการจัดต้ังตาบลขึ้น จึงเรียกตาบลนี้ว่า
“ตาบลแหลมผักเบย้ี ” จนถงึ ปจั จบุ ันน้ี
ตาบลแหลมผกั เบ้ีย แบง่ การปกครองออกเปน็ ๔ หมบู่ า้ น คือ
หมทู่ ี่ ๑ บา้ นพะเนิน(บ้านดอนนอก)
หมูท่ ี่ ๒ บา้ นดอนใน
หมู่ท่ี ๓ บ้านดอนกลาง
หมทู่ ี่ ๔ บา้ นดอนคดี
บา้ นดอนใน ตั้งอยู่หมู่ท่ี ๒ บ้านดอนใน เปน็ ชอ่ื เรยี กกนั มานานหลายช่ัวอายคุ นแล้ว ไมส่ ามารถ
หาชอ่ื ผตู้ ้ังชอื่ หมบู่ า้ นไดร้ ูแ้ ตว่ ่าตาบลแหลมผกั เบีย้ นน้ั มีอยู่สามดอน คือ ดอนนอก ดอนกลาง และ ดอนใน
บ้านดอนในนี้เปน็ หมู่บ้านเลก็ ๆ ท่ีตั้งอยบู่ นท่ีดอนสูงดา้ นใน น้าทะเลทว่ มไม่ถึงบนดอน เป็นที่มาของคาว่า
“บา้ นดอนใน”
ชมุ ชนบ้านดอนใน หมู่ 2 ตาบลแหลมผกั เบยี้ อาเภอบ้านแหลม จังหวดั เพชรบรุ ี เป็นหมู่บ้าน
หน่ึงในชุมชนเป้าหมายการพัฒนาเปน็ ชมุ ชนทอ่ งเทยี่ วต้นแบบ ชาวบา้ นส่วนใหญ่ประกอบอาชีพประมงพื้นบ้าน
พน้ื ที่ของตาบลแหลมผักเบย้ี ติดชายฝ่ังทะเลอ่าวไทยมี “แหลมหลวง” เป็นแหลมเล็ก ๆ ย่ืนไปในทะเล บรเิ วณน้ี
เปน็ จดุ รอยตอ่ แยกหาดทรายกับหาดโคลนออกจากกนั โดยทศิ เหนือเป็นหาดโคลนสว่ นทิศใตเ้ ปน็ หาดทราย โดย
แหลมหลวงเป็นหาดทรายจดุ แรกของอ่าวไทยซีกใต้ จึงเรียกว่า “ทรายเม็ดแรก” ของทะเลอ่าวไทย มีระยะทาง
ยาวกว่า 2 กิโลเมตร ส่วนทะเลทางทิศเหนือตั้งแต่กรุงเทพฯ สมุทรสาคร สมุทรสงคราม มาจนถึงเพชรบุรีจะ
เป็นทะเลโคลนทั้งหมด ชุมชนรวมกลุ่มกันจัดการท่องเที่ยวเพื่อเป็นทางเลอื กให้กับนักท่องเที่ยวที่ ช่นื ชอบการ
ทอ่ งเทยี่ วสมั ผัสวิถชี ุมชนที่เรียบง่าย ใช้วันเวลาเพื่อเรียนรู้ธรรมขาติรว่ มอนุรกั ษ์ระบบนิเวศชายฝ่ังกับชุมชน อิ่ม
ปากอิ่มใจกับอาหารม้ืออร่อยจากทะเลสด ๆ รสเด็ดฝีมือแม่ครัวชาวบ้าน และพักผ่อนท่ามกลางกลิ่นอาย
ชายทะเลบริสุทธ์ิ จะเลือกพักผ่อนแบบโฮมสเตย์เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้วิถีพื้นถิ่น หรือส่วนตัวแบบ
รสี อรท์ ชมุ ชนมใี หเ้ ลือกตามไลฟส์ ไตล์
สถานทส่ี าคญั ในชมุ ชน
วดั สมุทรธาราม
วดั สมุทรธาราม ตั้งอยู่หมู่ท่ี ๓ ตาบลแหลมผักเบี้ย อาเภอบ้านแหลมเป็นวัดท่ีตั้งอยู่บนชายหาดแหลม
ผักเบ้ีย ซึ่งเป็นหาดทรายที่สงบเงียบ สวยงาม ร่มรื่นด้วยทิวสนตลอดแนวชายหาด เหมาะกับการพักผ่อนแบบ
ส่วนตัวหรือมาเป็นครอบครัว ด้านหลังวัดมีเจดีย์รายเจดีย์รายย่อมุมไม้สิบสองเรียงรายอยู่ สภาพค่อนข้าง
สมบรู ณ์ ทาใหเ้ ป็นท่สี นใจของนกั ท่องเท่ียวเป็นอยา่ งมาก
วัดสมุทรโคดม
วัดสมุทรโคดมหรือท่ีชาวบ้านเรียกกันว่า วัดพะเนิน ต้ังอยู่ถนนชลประทาน หมู่ท่ี ๑ ตาบลแหลม
ผักเบี้ย อาเภอบ้านแหลม สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย มีอุโบสถเป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กผนังอุโบสถมีภาพ
จิตรกรรมเทพชุมนุม มีหลวงพ่ออู่ทอง หลวงพ่ออู่เงินเป็นท่ีเคารพสักการะของคนในชุมชนและจังหวัด
ใกล้เคยี ง
โครงการศึกษาวจิ ัยและพัฒนาส่งิ แวดล้อมแหลมผกั เบยี้
โครงการศกึ ษาวิจัยและพัฒนาส่ิงแวดลอ้ มแหลมผักเบี้ยตัง้ อย่ทู ่ีแหลมผกั เบ้ยี จ.เพชรบุรี เปน็ พ้ืนทีแ่ ปลง
ทดลองของโครงการตามแนวพระราชดาริเก่ียวกับการพัฒนาและฟื้นฟูป่าชายเลน และสถานีบาบัดน้าเสีย
ชุมชน โดยยึดหลักการ "ธรรมชาติช่วยธรรมชาติ" นอกจากนี้ยังเป็นพื้นท่ีที่ชาวบ้านในพ้ืนที่ใช้เป็นแหล่ง
ประกอบอาชีพอื่นๆจากผลผลิตจากสภาพธรรมชาติที่ดีอันเน่ืองมาจากโครงการฯ เช่นการใช้พืชที่ปลูกไว้ใช้
ในการกรองน้าเสีย เช่น กกธูป เพื่อทาจักสาน, การทาประมงและจับสัตว์น้าในพื้นที่ป่าชายเลนท่ีเกิดข้ึนใหม่
เปน็ ต้น
๒. แหล่งท่องเท่ียวทางธรรมชาติ
1. หาดทรายเม็ดแรก
แหลมทรายเลก็ ๆ ท่ยี นื่ ออกไปในทะเล เป็นหาดทรายสขี าว ดา้ นซ้ายของแหลมเปน็
ทะเลโคลน สว่ นดา้ นขวาเปน็ ทะเลทราย เป็นทม่ี าของคาวา่ “หาดทรายเม็ดแรก”
2. ลอ่ งเรือชมนกหายากและวาฬบรดู า้
ล่องเรือชมป่าโกงกาง ส่องนกหายากที่อพยพจากเมืองหนาว ป่าชายเลนซึ่งเป็นแหล่งหากิน
ของนกชายทะเลท่ีสาคัญมาก ท้ังนกอพยพและนกประจาถ่ิน เมื่อเข้าฤดูหนาวจะสามารถพบกับนกทะเลปาก
ช้อน ซึ่งเป็นหนึ่งในนกที่มีการพูดถึงกันมากท่ีสุดในวงการดูนกทั่วโลก เพราะเป็นนกที่มีความเส่ียงขั้นวิกฤติต่อ
การสูญพนั ธ์ (Critically endangered)
ชมวาฬบรดู า้ ดูวาฬบรดู า้ ทจ่ี ะวา่ ยหาปลากินบรเิ วณแหลมผกั เบ้ียในช่วงเดอื นตลุ าคม – ธนั วาคม
3. ป่าชายเลน
“สะพานไม้” เส้นทางธรรมชาติ ร่มร่ืนด้วย ป่าชายเลนอย่างต้นโกงกางและต้นแสม มีสัตว์น้า
และฝูงนกให้ช่ืนชม เป็นส่วนหนึ่งของโครงการศึกษาวิจัยและพัฒนาสิ่งแวดล้อมแหลมผักเบ้ียอันเน่ืองมาจาก
พระราชดาริ
3.แหล่งเรียนรู้ /เศรษฐกจิ พอเพียง
บ้านดอนในมีฐานการเรียนรู้ ดังน้ี
๑. การเพาะเลยี้ งสาหรา่ ยพวงอง่นุ
สาหรา่ ยพวงองนุ่ เปน็ สาหรา่ ยน้าเค็ม พบได้ในทะเลตามธรรมชาติ มีการรบั ประทานสาหรา่ ยชนิดนี้
กันมานานในกลุ่มคนท่ีชายฝง่ั ทะเล แตห่ ลังจาก มกี ารวจิ ัยในหลายประเทศ โดยเฉพาะในประเทศญีป่ นุ่ พบว่า
สาหร่ายชนดิ นี้ มีคณุ ประโยชน์ หลายอย่าง อาทิ แรธ่ าตุและวิตามนิ เช่น วติ ามนิ บี 2 วติ ามนิ อี เกลือแร่ และ
สารอาหารสาคญั อย่างแมกนเี ซยี ม แคลเซียม โพแทสเซียม สังกะสี ไอโอดนี เบต้าแคโรทีน พร้อมทง้ั กรดอะมโิ น
ทีจ่ าเปน็ ตอ่ รา่ งกาย ชนิดทหี่ าไม่ไดจ้ ากพชื บนบก และยังมีแคลอรตี า่ โซเดยี มต่า มไี ฟเบอรส์ งู จงึ ชว่ ยกระตุ้น
ระบบขบั ถา่ ยได้ดี
ด้วยเหตุนี้ ทางกรมประมง ของไทย จงึ ได้สง่ เสรมิ และให้ความรู้แก่เกษตรกรที่สนใจ และหนึ่งในน้นั คือ
เกษตรกรผู้เพาะเล้ยี งสาหรา่ ยพวงองนุ่ ที่ ต.แหลมผักเบยี้ อ.บา้ นแหลม จ.เพชรบรุ ี บนพ้ืนทีก่ ว่า 30 ไร่ และ
หน่งึ ในฟารม์ เลยี้ งสาหร่ายที่ประสบความสาเร็จ มผี ลผลติ สง่ ไปจาหนา่ ยทว่ั ประเทศ จานวน 3,000-4,000
กิโลกรมั ตอ่ เดือน ในราคากโิ ลกรมั ละ 250 บาทถึง 300 บาท ทาใหเ้ ขามรี ายได้สงู ถงึ 7 แสนถึง 9 แสนบาท ต่อ
เดอื น
2. การทาผา้ มดั ย้อมจากไม้โกงกาง
โกงกาง เปน็ ไม้ตน้ ขนาดใหญ่ สูง 25-35 ม. ระบบรากเป็นระบบรากแกว้ มีรากเสรมิ ออกเหนือ
โคนต้น 3-8 ม. รากทีโ่ คนต้นหรอื รากค้ายนั ลาต้นแตกแขนงระเกะระกะไม่เป็นระเบยี บ ทามุมเกือบต้ัง
ฉากกบั ลาต้นและหักเกือบเป็นมุมฉากลงดินเพ่ือพยุงลาต้น เรอื นยอดรูปกรวยคว่าแคบๆ เป็นพืชป่าชาย
เลยทีม่ ีผลตอ่ การดารงชวี ติ ของประชากรในแถบนี้
ประโยชน์
๑. น้าจากเปลอื กใชช้ ะล้างแผล หา้ มเลอื ด แก้ท้องร่วง แก้บิด
๒. เปลือกให้น้าฝาดสนี า้ ตาลใช้ ย้อมผ้า อวน
๓. ลาตน้ ใช้ทาเสาเข็มในท่ีนา้ ทะเลขน้ึ ถงึ เผา่ ถา่ น
๔. เน่ืองจากเปลือกมสี ารแทนนินและฟนี อล เปน็ สารทใ่ี ช้ทาสี, หมึกและยา จงึ มีการนาไปสกดั
๕. ใบ เปน็ สมนุ ไพรได้ ตามเสริม
การทาผ้ามดั ย้อม
ป่าไม้โกงกางนอกจากจะเปน็ ระบบนิเวศนท์ ด่ี ีแลว้ ชาวบา้ นดอนในยงั นาเอาเปลือกไม้โกงกาง
มาประยุกตใ์ ช้ในการแต่งกายตามสมยั นยิ มดว้ ยการใช้วธิ ีมดั ยอ้ มจากสีเปลือกไมโ้ กงกาง องค์ความรเู้ กยี่ วกบั
ศิลปะการนาผา้ มาย้อมดว้ ยสีทไ่ี ดจ้ ากธรรมชาติ เป็นภมู ิปญั ญาที่มาจากแนวคดิ ของพระพุทธเจา้ ซ่งึ การเรียนรู้
และปฏบิ ตั กิ ิจกรรมดังกล่าวเหมือนกับเราไดเ้ รยี นรแู้ ละปฏิบตั ธิ รรมะไปด้วย เช่น เราจะไดส้ มาธิจากการดึงปม
ชายผา้ หรือการพึงพาธรรมชาตแิ ละพ่ึงพาตวั เอง หรอื การไม่ตามกระแสของสงั คมท่ีฟุ้งเฟอ้ ฟมุ่ เฟอื ยเกินความ
จาเปน็
การทาผา้ มดั ย้อมใชเ้ อง เปน็ ความภาคภูมใิ จของคนทาและคนที่จะสวมใส่ ด้วย เพราะ
ผลงานชิ้นดังกลา่ วเปน็ ศิลปะหนง่ึ เดยี วในโลกทไี่ ม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน(รับรองได)้ โดยมเี ราเป็น
ศลิ ปนิ เอก ท่ีสาคญั สีท่ีได้จากธรรมชาติจะมคี ุณสมบตั ใิ นการรักษาโรคภยั ไข้เจ็บไปในตัวดว้ ย เช่น ผ้าย้อมคราม
ย้อมฝางแดง เป็นต้น
กิจกรรมการทาผ้ามดั ย้อมของชุมชนบ้านดอนใน เป็นทสี่ นใจของนกั ท่องเทีย่ วและนักจัด
รายการโทรทัศน์ จะมีรายการทวี ีมาตดิ ตอ่ ขอถ่ายทารายการเพื่อแนะนาสถานทที่ ่องเทีย่ วอยู่เนืองๆ
3. การจักสานจากตน้ ธปู ฤาษี
ธปู ฤๅษี หรอื กกชา้ งธปู ฤๅษีจัดเปน็ ชนิดพนั ธต์ุ ่างถน่ิ ทเี่ ข้ามาแพร่ระบาดรกุ รานจนก่อให้เกิด
ความเสียหายตอ่ ระบบนเิ วศในประเทศไทย มเี ขตการกระจายพันธใุ์ นประเทศไทยทว่ั ทุกภาค พบในทลี่ ่มุ ท้ังนา้
จดื และน้าเค็ม ผลเสียท่เี กิดจากธปู ฤๅษตี ่อสภาพแวดลอ้ ม ทาใหเ้ กดิ น้าเสยี ในแหล่งน้าตา่ ง ๆ สง่ กล่นิ เหม็นไป
รอบ ๆ สร้างความราคาญแก่ผู้สญั จร และผู้อยูอ่ าศัยบริเวณน้นั ข้ึนอย่างหนาแน่นปกคลมุ เน้อื ท่ีไดม้ าก ทาให้มี
ลกั ษณะเป็นท่รี ก และสกปรกทาให้สตั วม์ ีพิษเขา้ ไปอาศยั อยู่ได้ เป็นแหล่งหลบซอ่ นอาศยั ของโรค แมลง และ
ศตั รูพชื แย่งน้าและอาหารจากพืชปลกู ทาใหผ้ ลผลติ และคุณภาพผลผลิตลดลง นอกจากน้ี ยงั ทาให้แหลง่ น้าตื้น
เขนิ รากและซากธูปฤๅษีทบั ถมกันแนน่ สตั ว์นา้ ไมส่ ามารถอาศยั อยู่ได้ และเมื่อทับถมไปนาน ๆ จะทาใหเ้ กิดนา้
เสีย น้าเน่า ขาดออกซิเจน สตั วน์ ้าก็จะตาย และเนอ่ื งจากธูปฤๅษีขึน้ ปกคลุมอยู่อย่างแนน่ ทึบ ทาให้พรรณพชื
ด้ังเดิม เช่น กกและหญ้าหลายชนดิ ไมล้ ้มลกุ รวมทัง้ ไม้พุ่มท่ีขนึ้ ตามริมน้าหรอื ท่ชี น้ื แฉะขาดแสงไม่สามารถ
แขง่ ขันได้และค่อย ๆ สูญหายไปจากพ้นื ที่
โครงการวจิ ัยและพัฒนาสง่ิ แวดลอ้ มแหลมผักเบี้ยอันเนื่องมาจากพระราชดาริของ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ร.9 ตงั้ อยบู่ นพนื้ ที่ตาบลแหลมผกั เบี้ย ได้มที าแปลงทดลองปลูกพชื ประเภท กก
(ต้นธูปฤาษี) เพื่อบัดน้าเสยี ต้นธูปฤาษีเปน็ วัชพืชท่ขี ยายพนั ธุ์อยา่ งรวดเร็ว และเจริญเตบิ โตไวมากในพ้ืนท่ีทีท่ า
การเกษตร แตเ่ ป็นพชื ที่มีประโยชน์มากในด้านการบาบัดน้าเสียและ มีวฏั จกั รในการเตบิ โตและการดูดซึม
สารอาหารในระยะเวลาจากดั และเมื่อครบกาหนด 90 วนั จะต้องมีการตัดเพื่อใหแ้ ตกกอใหม่ ส่วนที่ตัดไปก็จะ
นาไปทิง้ ไวเ้ ฉย ๆ ทางโครงการจะได้คิดหาวธิ ที ี่จะนาต้นธปู ฤาษกี ลบั มาใชป้ ระโยชน์เพื่อใหม้ ีมลู คา่ และใช้
ประโยชนอ์ ยา่ งคุ้มค่าและเกดิ ประโยชนม์ ากขน้ึ จึงได้นาแนวคิดทีจ่ ะทาผลิตภณั ฑ์แปรรปู ต้นธปู ฤาษี เพื่อให้คน
ในชมุ ชนในหมู่บ้านซ่ึงประกอบอาชีพประมงไดใ้ ช้เวลาวา่ งใหเ้ ปน็ ประโยชนแ์ ละเปน็ การกระจายรายได้สู่ชุมชน
โดยทางโครงการพระราชดาริใหก้ ารสนับสนนุ ในเรื่องวตั ถุดิบ และสถานทจี่ าหน่ายผลิตภัณฑ์ และไดจ้ ดั ต้งั กลมุ่
ซ่งึ มีสมาชกิ ครงั้ แรก 15 คน และต่อมาหนว่ ยงานราชการ ได้รวมกล่มุ เพื่อจัดต้ังกลมุ่ สตรีพัฒนาจักรสาน ข้ึน
4. ธนาคารปมู ้า
แพปลาชมุ ชนแหลมผกั เบ้ีย มีการทาประมงชายฝั่งมายาวนาน โดยใช้เครือ่ งมือที่หลากหลาย
ขนึ้ อยู่กับฤดูกาลและสตั วน์ ้าที่ตอ้ งการ ชว่ งหนึ่งในอดตี มีการทาประมงกันมากจนทรัพยากรสตั วน์ า้ ลดลงอยา่ ง
นา่ ใจหาย ชุมชนจงึ ได้รเิ รมิ่ โครงการ“ธนาคารป”ู เพ่ือใหส้ มาชิกทีไ่ ดป้ ูไขน่ อกกระดองนามาบริจาคให้กบั กลมุ่
เพื่อนาไปปล่อยไข่ก่อนนาไปขาย โดยเลง็ เหน็ วา่ การอนรุ ักษ์ทรัพยากรเปน็ สงิ่ สาคญั ที่ตอ้ งทาควบคู่ไปกบั การทา
ประมงอย่างรบั ผิดชอบ
แนวคิดและการดาเนินการของธนาคารปมู า้ คือคณะกรรมการชมุ ชนจะรบั บรจิ าคปมู า้ ไข่
นอกกระดองที่ติดมากับอวนหรอื เครื่องมือประมงอนื่ ๆ ของสมาชกิ ซ่ึงปูมา้ ไข่เหล่านีจ้ ะถูกนามาปล่อยใน
กระชัง ถงั หรือบอ่ พักทส่ี รา้ งไว้บรเิ วณชายหาดในหมบู่ า้ น เพ่อื ให้แมป่ ูม้าได้วางไข่กอ่ นทีจ่ ะถูกนาไปขายหรอื
บรโิ ภค
นอกเหนือจากการเพ่ิมปริมาณปูในทะเลแลว้ กลุม่ ฟ้นื ฟทู รัพยากรปูมา้ ยังพฒั นาตอ่ ยอดเป็น
แหลง่ ทอ่ งเทยี่ วเชงิ อนรุ ักษ์อีกดว้ ย เชน่ มีรา้ นอาหารท่ใี ช้ปมู ้าจากท่ีเลีย้ งในธนาคาร จดั โฮมสเตยเ์ พ่ือศกึ ษาและ
ใช้ชีวิตในแบบชาวประมง ซึง่ ช่วยสร้างงาน สรา้ งรายไดเ้ พ่มิ เติมใหก้ บั คนในพื้นท่ีอกี ดว้ ย
เป็นที่นา่ สนใจว่า ระบบธนาคาร สามารถนามาประยกุ ต์ใชก้ บั การเลี้ยงปูม้าจนพัฒนาเป็น
ระบบท่ีย่ังยนื ได้ ซง่ึ ผลประ โยชนไ์ ม่ใชแ่ ค่เพยี งผู้เลี้ยงหรอื ผู้บรโิ ภค แตย่ ังส่งผลดตี อ่ เศรษฐกจิ และระบบนิเวศน์
อกี ด้วย
5. การทาอาหาร/ขนมไทย จากใบชะคราม
ชะคราม (Seablite) เป็นพชื ล้มลกุ ที่พบไดเ้ ฉพาะพืน้ ที่ดินเค็มตามชายทะเล พบแพร่กระจาย
ท่ัวไปในแถบจงั หวดั ที่ติดกบั ทะเล ซึง่ นิยมนามาประกอบอาหารจาพวกแกงต้มต่างๆ แตห่ ากใบมีรสเค็มจัดจึง
นิยมนาใบมาลวกน้าเพื่อละลายเกลอื ให้น้อยลงก่อน ก่อนจะนาไปประกอบอาหาร อาทิ แกงส้ม แกงหอยแครง
แกงมัสม่นั เป็นต้น
ชะครามเปน็ ท่ีพบไดเ้ ฉพาะตามพืชชายทะเลทม่ี ีการแพร่กระจายในทกุ ประเทศทัว่ โลก ทง้ั
เอเชีย ยุโรป อเมรกิ า และแอฟริกา สว่ นประเทศไทยพบได้บริเวณแถบจงั หวดั ทม่ี ีพืน้ ท่ีติดกบั ทะเลทางภาค
ตะวันออก และตอ่ เน่ืองมาจนถงึ ภาคกลาง และภาคใต้ ซึ่งจะพบเติบโตตามพืน้ ที่โลง่ ดินเค็มถัดจากแนวป่า
โกงกางหรือชายทะเลออกมา อาทิ ชายป่าโกงกาง และนาเกลอื เป็นต้น
ลาตน้ ชะคราม เปน็ พืชล้มลุกหลายปี มลี าตน้ แตกกงิ่ เปน็ ทรงพ่มุ ขนาดเล็ก ลาต้นสงู ประมาณ
0.3-1.5 เมตร โคนตน้ แตกก่ิงตง้ั แต่ระดบั ล่างของลาต้น ลาต้นออ่ นมสี ีเขียว เมือ่ แกเ่ ต็มท่ีจะมีมสี นี า้ ตาลอมแดง
เร่อื หรอื สีแดงเร่ือ ผวิ ลาต้นเป็นตุ่มแผลจากรอยร่วงของใบ ลาตน้ ออ่ นมลี ักษณะฉา่ นา้ หากแก่เต็มท่จี ะกลายเป็น
เน้อื ไมอ้ ่อน ส่วนรากของชะคราม ประกอบด้วยรากแก้วท่แี ทงลกึ ลงดินในแนวต้งั และรากแขนงทีค่ ่อนข้างแทง
ออกตามแนวขนานกับพน้ื ดิน และพบรากอากาศแทงออกจากโคนลาต้น
ใบ ชะคราม จดั เป็นพืชใบเล้ยี งเดยี่ ว ใบแทงออกเป็นใบเดี่ยวๆตามความยาวของก่ิง ใบมี
ลน้ิ ใบเปน็ แผ่นบางๆสีนา้ ตาลอ่อน แผน่ ใบมลี ักษณะทรงกระบอก เกือบเปน็ รูปทรงกลม เรยี วยาว และมี
ลักษณะอวบนา้ ส่วนปลายใบแหลม ใบอ่อนสีเขยี วอ่อน ตอ่ มาทเ่ี จรญิ เตม็ ที่จะมสี ีเทาเงินอมเขียว และ
เปล่ียนเปน็ สีน้าตาลหรือสแี ดงเร่ือหรอื สคี ราม เม่ือตน้ แก่เต็มที่ ขนาดใบยาวประมาณ 2-5 เซนตเิ มตร กวา้ ง
ประมาณ 2-5 มิลลเิ มตร
ดอก ชะคราม ออกดอกเปน็ ช่อแขนงบรเิ วณปลายกิง่ ความยาวของช่อดอกประมาณ 5-15
เซนตเิ มตร แตล่ ะแขนงมดี อกยอ่ ยเกาะกนั เป็นกระจกุ 3-5 ดอก ซ้อนกนั ตามความยาวของกา้ นช่อดอก ดอก
ย่อยแตล่ ะดอกมีขนาดเลก็ ขนาดประมาณ 2.5-3 มิลลิเมตร ประกอบด้วยกลีบดอก 5 กลบี กลบี ดอกออ่ นมสี ี
เขยี วอมเหลอื ง กลีบดอกแกม่ ีสแี ดงเร่อื
ผล ชะคราม มีขนาดเลก็ ทรงกลม ขนาดผลประมาณ 2 มิลลเิ มตร เปลือกผลอ่อนมีสีเขียว
อมนา้ ตาล ผลแก่มสี ีนา้ ตาล ด้านในผลประกอบด้วยเมล็ด 1 เมล็ด ทมี่ ีลักษณะกลมแบน ยาวประมาณ 0.5-0.8
มลิ ลิเมตร เปลือกเมล็ดมสี ีนา้ ตาล และเปน็ มนั วาว เม่ือเมล็ดแก่จะแตกออกเป็น 2 ซี่ ซ่ึงด้านในจะมีเมล็ดยอ่ ย
จานวนมาก
ประโยชนช์ ะคราม
1. ยอดอ่อน และใบอ่อน ชาวบา้ นนยิ มนามาประกอบอาหารได้หลายเมนู เพือ่ เพ่ิมรสเค็ม
ใหแ้ ก่อาหาร อาทิ แกงส้ม แพนงหมู-เนอ้ื มสั ม่ัน แกงหอยแครง แกงปู รวมถึงรับประทานเปน็ ผักสดคูก่ ับ
นา้ พรกิ หรืออาหารอื่นๆ ทั้งน้ี ชาวบ้านมักนาใบชะครามมาลวกหรือตม้ นา้ ก่อน เพื่อลดความเค็มของเกลอื ก่อน
นาไปประกอบอาหารหรือรับประทาน
2. ใบใช้ในการถอนอาการแพ้จากยางตน้ ไมต้ ่าง
คณุ คา่ ทางโภชนาการใบชะคราม (100 กรัม)
คุณค่าทางโภชนาการ ใบชะครามสด ใบชะครามลวก
โปรตนี 1.81% 1.58%
ไขมนั 0.15% 0.15%
ใยอาหาร 2.40% 2.10%
คารโ์ บไฮเดรต 2.97% 2.49%
แคลเซยี ม 36.68 มิลลิกรมั 43.27 มลิ ลกิ รมั
โซเดียม 2,577 มลิ ลกิ รัม 1656 มลิ ลกิ รัม
วิตามนิ C 0.14 มิลลิกรมั
เบต้า แคโรทีน 1,683 ไมโครกรัม 1,265 ไมโครกรัม
ในพื้นท่ีชายทะเลของไทย แม้กระท่ังบ้านดอนใน แหลมผกั เบ้ยี เพชรบุรี นยิ มนายอดชะคราม
ไปแกงกะทิหรอื แกงส้ม รับประทานได้เชน่ แกงใสป่ ู หอยแครงแกงส้ม ยา กนิ กับน้าพริกหรอื ใสใ่ นไขเ่ จียว ใช้
เปน็ ยาแกท้ ้องผูก ใบชะครามก่อนนามารบั ประทานต้องทาให้สกุ ก่อน โดยรดู เฉพาะใบนาไปต้มแล้วบีบนา้ ออก
จนหมดรสเค็ม[2] ชาวมอญใชใ้ บชะครามทาอาหารไดห้ ลายอย่าง ใบใช้ทาอาหารได้หลายอยา่ ง เช่น ยา
ชะครามปูทะเล แกงเลียง แกงคว่ั กบั ปูทะเลหรอื กงุ้ ห่อหมกชะครามโดยใช้ชะครามแทนใบยอ แกงส้ม ลวก
กะทิกนิ กับน้าพริกหรือปลาร้าหลน ใชท้ าขนมแบบเดียวกับขนมกล้วยโดยใชใ้ บชะครามแทนกลว้ ย รากใชเ้ ป็น
ยาบารงุ กระดกู แก้พิษฝี
ใบของชะคราม ทาอาหารได้อร่อยหลายเมนู โดยที่ใบของชะครามจะดดู เอาความเกลือจาก
ดนิ มาเก็บไว้ จึงทาให้ใบมรี สเค็ม ดงั นน้ั ในการปรงุ อาหารจึงใช้ใบอ่อน นามาล้างนา้ ใหส้ ะอาด แล้วต้ม คน้ั นา้ ทิ้ง
ไป 2-3 คร้งั เพ่อื ใหล้ ดความเค็มลง
ตัวอยา่ งเมนูของใบชะคราม
แกงชะครามกุ้งสด ไขเ่ จยี วใบชะคราม
น้าพรกิ ผกั ชะคราม ยาผกั ชะคราม
แกงปลายา่ งใบชะคราม ขนมต้มสมุนไพรใบชะคราม
๑1.ภูมปิ ญั ญาดา้ นอาหารพื้นบา้ นของชุมชนบา้ นดอนใน ตาบลแหลมผกั เบี้ย
นางบุญภา ศรีสมศักด์ิ
อายุ 64 ปี
อยบู่ า้ นเลขที่ 41/2 หม่ทู ี่ 2
ตาบลแหลมผกั เบย้ี
อาเภอบ้านแหลม
จงั หวัดเพชรบุรี
โทรศพั ท๐์ ๙๐๙๙๐๓๕๓๖
นางสาวปณั ฑวรรณ จุลฑกาน
อายุ 43 ปี
อยู่บา้ นเลขท่ี 51 หมทู่ ่ี 2
ตาบลแหลมผักเบี้ย
อาเภอบ้านแหลม
จังหวัดเพชรบุรี
นางวเิ ชียร ทองน้อย
อายุ 45 ปี
อยบู่ ้านเลขท่ี 67 หมู่ 2
ตาบลแหลมผักเบยี้
อาเภอบา้ นแหลม
จังหวัดเพชรบุรี
โทรศพั ท์ 086 6651125
นางอจั ฉรี เสรมิ ทรัพย์
อายุ 52 ปี
อยูบ่ า้ นเลขที่ 8 หม่ทู ี่ 2
ตาบลแหลมผักเบย้ี
อาเภอบา้ นแหลม
จงั หวัดเพชรบรุ ี
โทรศพั ท์ 080 2502537
การทาอาหารพืน้ บ้านเมอื งเพชร
แกงสม้ ปูใบชะคราม
แกงส้มปูใบชะคราม เป็นเมนูอาหารพ้ืนบ้านตาบลแหลมผักเบ้ีย อาเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี
เป็นการนาเอาใบชะครามที่มีรสชาติอร่อยกลมกล่อมมาแกงรวมกับปูม้าเน้ือแน่นๆ เค้ียวเพลิน ทาให้
เป็นเกิดเป็นเมนูอาหารท่ีรสชาติเข้ากันเอามากๆนอกจากนี้ยังมีเคล็ดลับในการเลือกกะปิที่เป็น
ส่วนผสมในเครื่องแกงน้ันควรเลือกกะปิแกงเพ่ือให้ ได้รสชาติที่เข้มข้นเพื่อให้ แกงส้มปูใบชะคราม
ออกมามีรสชาติที่อร่อย
วัตถุดิบ ประกอบด้วย ½ กิโลกรัม
ชะคราม 2 กิโลกรัม
ปูม้า 1 ถ้วย
นา้ พริกแกง 1 ช้อนโต๊ะ
นา้ ปลา 1 ช้อนโต๊ะ
นา้ ตาลปิ๊บ 1 ช้อนชา
เกลือสมุทร 1 ปั้น
มะขาเปียก
ขั้นตอนการทา
1. เริ่มจากการตานา้ พริกแกง มีส่วนผสม ดังนี้
พริกแห้งเม็ดใหญ่แกะเมล็ดออกแช่น้าจนนุ่ม 5 เม็ด
เกลือสมุทร ¼ ช้อนชา
หอมแดงแกะเปลือกหั่น 5 หัว
กะปิ 1 ช้อนชา
โดยโขลกพริกแห้งกับเกลือเข้าด้วยกันจนละเอียด ใส่ หอมแดง ลงโขลกให้เป็นเน้ือเดียวกัน โดยค่อยๆใส่
ทีละอย่างตามลาดับ จึงใส่กะปิ โขลกรวมกันจนละเอียดเข้ากันดี ตักใส่ถ้วย พักไว้
2. เตรียมชะครามโดยรูดใบชะครามจากกิ่ง เริ่มจากปลายยอดมาถึงโคน จนหมด จะได้ใบ
ชะครามประมาณ 2 ถ้วย ตั้งหม้อน้า 4 ถ้วย บนไฟกลางปิดฝา ต้มนานประมาณ 5 นาที พอเดือดใส่ใบ
ชะครามลงต้มนานประมาณ 10-15 นาที ตักขึ้น ใส่ลงอ่างนา้ ใช้มือขยาใบชะครามเพื่อให้คลายรสเค็ม
สงข้ึน บีบให้สะเด็ดนา้ ต้มและขยาซ้าอีก 3 ครั้ง ชิมพอให้เหลือรสเค็มเล็กน้อย ใส่ถ้วย พักไว้
3.นาปูม้าสด หั่นเอาปลายขาออก ดึงกระดองออกเขี่ยเอานมปูออก และหั่นออกเป็นสี่ส่วน
ใส่จาน แล้วพักไว้
4. ตั้งหม้อใส่น้าประมาณ คร่ึงหม้อ บนไฟกลางประมาณ 3 นาที เมื่อนา้ เดือด ใส่น้าพริกแกงลง
คนให้น้าพริกละลายเป็นเน้ือเดียวกับน้า ประมาณ 4 นาที จนส่งกลิ่นหอม เคร่ืองแกง ใส่เน้ือปูคนให้ท่ัว
ปรุงรสด้วยน้าปลา น้าตาลป๊ีบ เกลือ และส้มมะขามเปียก คนให้เข้ากัน ชิมรส เปรี้ยว เค็ม หวาน
คนเป็นระยะประมาณ 3 นาที พอเดือด ใส่ใบชะครามลงต้ม คนให้ท่ัว ลดเป็นไฟอ่อน เคี่ยวต่ออีก
1 - 2 นาทีคนเป็นระยะ เพ่ือให้รสใบชะครามออกมาในน้าแกง ปิดไฟ ตักใส่ถ้วย พร้อมรับประทาน
แหลง่ ผลติ และจาหน่าย
ชุมชนคณุ ธรรมบ้านดอนใน ตาบลแหลมผกั เบ้ยี อาเภอบ้านแหลม จงั หวัดเพชรบรุ ี
ภาคผนวก
คณะผจู้ ดั ทา
ที่ปรกึ ษา นางสาวคะนงึ ไขล่ อื นาม วัฒนธรรมจงั หวดั เพชรบุรี
คณะทางาน ผอู้ านวยการกลุม่ สง่ เสริม ศาสนา ศิลปะและวฒั นธรรม
๑. นางประไพจิต บุญประถัมภ์ สานกั งานวัฒนธรรมจังหวัดเพชรบุรี
นกั วิชาการวฒั นธรรมชานาญการ
๒. นางสาวลางสาด พุม่ ดอกไม้ สานกั งานวัฒนธรรมจงั หวดั เพชรบุรี
นกั วชิ าการวัฒนธรรมชานาญการ
๓. นางสมุ นา โชคลาภ สานักงานวัฒนธรรมจังหวดั เพชรบุรี
นักวิชาการวัฒนธรรมชานาญการ
๔. นางสุพรรณี รงุ่ มณี สานักงานวฒั นธรรมจังหวัดเพชรบรุ ี
5. นางกัลยารตั น์ รา่ ยเรอื ง นักวชิ าการวฒั นธรรมชานาญการ
สานกั งานวฒั นธรรมจังหวดั เพชรบุรี
6. นางอรอนงค์ บุญประเสริฐ นกั วชิ าการวฒั นธรรมชานาญการ
สานักงานวัฒนธรรมจังหวดั เพชรบุรี
๕. นางรตั นท์ วิพร มสี ขุ นักวชิ าการวฒั นธรรมปฏิบัติการ
สานักงานวฒั นธรรมจังหวัดเพชรบุรี
ขอขอบคุณ ชมุ ชนคุณธรรมฯบา้ นดอนใน ตาบลแหลมผกั เบ้ยี อาเภอบา้ นแหลม จงั หวัดเพชรบรุ ี
องค์การบรหิ ารสว่ นตาบลแหลมผกั เบีย้ อาเภอบ้านแหลม จงั หวัดเพชรบรุ ี
ผู้ถ่ายทอดภูมิปัญญาอาหารพื้นบา้ น
นางอัจฉรี เสรมิ ทรัพย์ ผูใ้ หญบ่ ้านหมู่ท่ี 2 บา้ นดอนใน ตาบลแหลมผกั เบย้ี
อยูบ่ ้านเลขที่ 8 หม่ทู ่ี 2 ตาบลแหลมผักเบีย้ อาเภอบ้านแหลม จงั หวดั เพชรบรุ ี
โทรศพั ท์ 080 2502537