องคค์ วามรู้ในการทาอาหารพ้นื บา้ นเมืองเพชร : แกงหัวโตนด
อาเภอบา้ นลาด จังหวัดเพชรบุรี
โครงการสง่ เสรมิ สนับสนุนการอนุรักษ์ฟน้ื ฟขู นบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรมท้องถ่ิน
ของจังหวัดเพชรบุรี ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕
กจิ กรรม : ส่งเสรมิ สนบั สนนุ การศกึ ษา การเรียนร้ถู า่ ยทอดองค์ความรู้มรดกภูมปิ ญั ญาท้องถิน่
การถ่ายทอดภูมิปญั ญาอาหารพื้นบ้านเมืองเพชร
โดย สานักงานวฒั นธรรมจังหวัดเพชรบุรี
โทร. ๐๓๒ ๔๒๔๓๒๓-๕
คานา
เอกสารฉบับนี้จัดทาขึ้นภายใต้โครงการส่งเสริมอนุรักษ์ฟื้นฟูขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม
ท้องถิ่นของจังหวัดเพชรบุรี ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕ กิจกรรม : ส่งเสริม สนับสนุนการศึกษา
การเรียนรู้ถ่ายทอดองค์ความรู้มรดกภูมิปัญญาท้องถ่ิน เพ่ือเป็นการเผยแพร่องค์ความรู้ด้านการทาอาหาร
พื้นถ่ิน สืบสาน สืบทอด และอนุรักษ์วัฒนธรรมของจังหวัดเพชรบุรใี หค้ งอยู่สืบไป ตลอดจนขับเคลื่อนเพชรบุรี
เปน็ เมอื งสร้างสรรค์ด้านอาหารของยูเนสโก
สานักงานวัฒนธรรมจังหวัดเพชรบุรี โดยกลุ่มส่งเสริม ศาสนาศิลปะและวัฒนธรรม คณะผู้จัดทา
เอกสารองค์ความรู้ฯ ฉบับนี้ หวังเป็นอย่างย่งิ ว่าจะเป็นประโยชน์กบั เด็ก เยาวชน และประชาชนผทู้ ่ีสนใจ หรือ
ต้องการสืบค้นเก่ียวกับองค์ความรู้ด้านการทาอาหารพ้ืนบ้าน : แกงหัวโตนด หรือ แกงหัวตาล ของชุมชน
คุณธรรมบ้านดงห้วยหลวง ตาบลบ้านทาน อาเภอบ้านลาด จังหวัดเพชรบุรี หากมีข้อแนะนาหรือขอ้ ผิดพลาด
ประการใด ผจู้ ัดทาขอนอ้ มรบั ไว้ และขออภยั มา ณ ที่นีด้ ้วย
สานกั งานวัฒนธรรมจังหวดั เพชรบุรี
คณะผจู้ ัดทา
สารบัญ ๑
๑
องคค์ วามรู้ในการทาอาหารพน้ื บ้านเมอื งเพชร : แกงหัวโตนด ๒
๑๒
ข้อมลู สภาพทั่วไป
ประวัติความเป็นมาของตาบลบา้ นทาน ๑๔
ความเป็นมาของชมุ ชนบ้านดงหว้ ยหลวง ๑๘
ประวตั ิต้นตาลเมืองเพชร
องค์ความรใู้ นการทาแกงหวั โตนด
- ส่วนประกอบในการทาแกงหวั โตนด
- ขัน้ ตอนการทา
ภาคผนวก
- โครงการสง่ เสรมิ สนบั สนนุ การอนรุ ักษ์ฟน้ื ฟขู นบธรรมเนยี ม ประเพณี วัฒนธรรมท้องถ่ิน
ของจงั หวัดเพชรบรุ ี ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕
- คณะผู้จัดทา
องค์ความรู้ในการทาอาหารพน้ื บา้ นเมอื งเพชร : แกงหวั โตนด
สภาพทั่วไป
อาเภอบ้านลาด จังหวัดเพชรบุรี เป็นอาเภอท่ีแยกพ้ืนท่ีการปกครอง มาจากอาเภอ
คลองกระแชงเดิม เม่ือ พ.ศ. ๒๔๕๙ (ปัจจุบันคืออาเภอเมืองเพชรบุรี) เหตุที่ต้องแยกออกมาเน่ืองจากบริเวณ
แถบน้ี มีโจรผู้ร้ายชุกชุม จึงมาต้ังท่ีทาการอาเภอและสถานีตารวจ เพ่ือดูแลทุกข์สุขของราษฎร อีกประการ
หนึ่งทอ้ งที่ อาเภอเมืองเดมิ มพี ้นื ท่ีกว้างขวางอยแู่ ล้ว อาเภอบ้านลาดเมื่อยกฐานะเป็นอาเภอใหม่ๆ เรียกกนั ว่า
อาเภอท่าช้าง เพราะอยู่ในตาบลท่าช้าง ต่อมาเปลี่ยนชื่ออาเภอบ้านลาด ตามชื่อตาบล เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๑
เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน อาเภอบ้านลาดเป็นอาเภอเล็กๆ ทิศเหนือติดต่ออาเภอเมือง และอาเภอเขาย้อย ทิศ
ตะวันตกติดต่อ เขตอาเภอท่ายางและอาเภอเขาย้อย ส่วนทิศใต้ติดต่อกับอาเภอท่ายาง อาเภอบ้านลาด เป็น
แหล่งชุมชน ท่ีมีความโดดเด่นที่สืบทอดกันมาท้ังด้านวิถีชีวิต อาชีพ ภาษา อาหารพ้ืนบ้าน องค์ความรู้
ประเพณี วิถีชีวิต และสถานที่ท่องเท่ียวคือเขาแด่น ซ่ึงเป็นเอกลักษณ์ของอาเภอ ผลิตผลของบ้านลาดท่ีมีช่ือ
เสยี บง คอื ผลไม้ต่างๆ เชน่ ละมุด มะนาว ชมพู่ นอกจากน้ยี งั มขี ้าว น้าตาล
อาเภอบ้านลาดนับเป็นอาเภ อท่ีมีการทาผลิตผลทางการเกษตรเป็นอันดับต้นของ จังหวัด
เพชรบุรี ซ่ึงมีต้นตาล เป็นเอกลักษณ์มีการทาน้าตาลโตนดในกลุ่มเกษตรกรในพ้ืนท่ีอาเภอบ้านลาด ดังจะมีคา
ขวัญของอาเภอบ้านลาดว่า “ละมุดหวาน น้าตาลเด็ด ชมพู่เพชรเลิศล้า สายน้าศักด์ิสิทธ์ิ ชีวิตนักปราชญ์”
ซ่ึงต้นตาลในพ้ืนที่อาเภอบ้านลาดจะมีมากเป็นอันดับหนึ่งในจังหวัดเพชรบุรี โดยมีตาบลต่างๆ ประกอบด้วย
1๘ ตาบล แต่ทางการปกครองมกี ารรวมกนั เหลอื ๑๕ ตาบล ประกอบดว้ ย
1. ตาบลบ้านลาด
2. ตาบลบา้ นหาด
3. ตาบลไร่มะขาม
4. ตาบลตาหรุ
5. ตาบลถ้ารงค์
6. ตาบลหนองกระเจด็
7. ตาบลสมอพลือ
8. ตาบลทา่ ช้าง
9. ตาบลไรส่ ะท้อน
10. ตาบลหนองกะปุ (ตาบลหนองกะปุ รวมกบั ตาบลหว้ ยข้อง)
11. ตาบลหว้ ยลกึ
12. ตาบลไร่โคก
13. ตาบลโรงเข้ (ตาบลโรงเข้ รวมกับ ตาบลสะพานไกร และตาบลลาดโพธ์ิ)
14. ตาบลทา่ เสน
15. ตาบลบา้ นทาน
ประวัติความเป็นมาตาบลบ้านทาน
ตาบลบ้านทาน มีท่ีมาจากในสมัยท่ีไทยรบกับพม่า ทหารของพม่าเดินทางเข้ามาในพื้นท่ี
มาขอน้าจากชาวบ้านแถบน้ี แล้วชาวบ้านให้น้าด่ืมแก่ทหารของพม่า โดยไม่ไดร้ งั เกยี จว่า ทหารพม่าเป็นข้าศึก
ของไทย จนเรยี กขานวา่ เป็น “บ้านทาน” และเรยี กเป็นชือ่ ตาบลมาจนถึงทุกวันนี้
ตาบลบา้ นทาน มจี านวนประชากรทั้งส้นิ 2,๕๑๒ คน ๗๐๗ หลงั คาเรือน มี ๖ หมู่บ้าน
ประกอบด้วย
- ๒-
หมู่ 1 บ้านไรโ่ พธิ์ จานวน ๓๗๐ คน จานวน ๑๒๐ ครวั เรือน
หมู่ 2 บ้านไรส่ ัตย์ จานวน ๓๔๒ คน จานวน ๙๓ ครวั เรือน
หมู่ 3 บา้ นไร่ขนนุ จานวน ๓๔๔ คน จานวน ๙๔ ครวั เรือน
หมู่ 4 บ้านหนองพระ จานวน ๕๐๒ คน จานวน ๑๔๐ ครวั เรอื น
หมู่ 5 บ้านไรต่ อ จานวน ๓๙๕ คน จานวน ๑๑๘ ครวั เรือน
หมู่ 6 บ้านดงหว้ ยหลวง จานวน ๕๕๙ คน จานวน ๑๔๒ ครวั เรอื น
ความเปน็ มาของชุมชนบา้ นดงห้วยหลวง หมู่ 6 ตาบลบา้ นทาน อาเภอบ้านลาด จังหวดั เพชรบรุ ี
บา้ นดงห้วยหลวง น้ัน เมอ่ื กอ่ นยังไมใ่ ช่ช่ือบา้ นดงห้วยหลวงสมัยก่อนยังเป็นชอ่ื “ บา้ นดงขี้หลวง”
หรือ “บ้านดงหลวง” บ้างเหตุท่ีช่ือหมู่บ้านเป็นชื่อดังกล่าว ก็เพราะว่ามีพืชท้องถ่ิน ช่ือว่า “มันหลวง”
ขึน้ มากมายโดยทั่วพื้นที่ และมีห้วยธรรมชาติไหลมาจากป่าต้นน้าจาก “หุบผางู” ในพื้นที่รอยต่อระหวา่ งเขต
ตาบลบ้านทาน และ หมู่ท่ี 6 บ้านโป่งสลอด ตาบลหนองกะปุ อาเภอบ้านลาด จังหวัดเพชรบุรี มาเปล่ียนเป็น
ช่ือหมู่บ้านดงห้วยหลวง ในปี พ.ศ. 2521 หลังจากที่มีการจัดตั้งโรงเรียนบ้านดงห้วยหลวง จึงกลายมาเป็นช่ือ
“หมบู่ า้ น บา้ นดงหว้ ยหลวง” เป็นทางการปัจจบุ ัน
สภาพทั่วไปของชุมชนบา้ นดงหว้ ยหลวง
ท่ีต้งั
หมู่ ๖ บา้ นดงหว้ ยหลวง ตาบลบ้านทาน อาเภอบา้ นลาด จงั หวดั เพชรบุรี
อย่หู า่ งจากอาเภอบา้ นลาด ประมาณ 11 กโิ ลเมตร
อยู่หา่ งจากจังหวดั เพชรบรุ ี ประมาณ 20 กโิ ลเมตร
อาณาเขตตดิ ต่อ
ทศิ ตะวนั ตก ตดิ ต่อกบั ตาบลหนองหญา้ ปล้อง อาเภอหนองหญา้ ปล้อง
ทิศตะวนั ออก ติดต่อกบั บา้ นไรต่ อ หมู่ ๕ ตาบลบา้ นทาน
ทิศใต้ ติดต่อกับ บ้านโปง่ สลอด ตาบลหนองกะปุ
ทิศเหนอื ตดิ ต่อกับ ตาบลไรโ่ คก
แผนทบ่ี า้ นดงหว้ ยหลวง
- ๓-
หมู่ 6 บา้ นดงห้วยหลวง มีประชากรทง้ั สนิ้ ๕๕๙ คน ชาย ๒๙๘ คน หญงิ ๒๗๐ คน
จานวน 142 หลังคาเรอื น
การปกครอง
ทาเนยี บผใู้ หญ่บา้ น หม่ทู ี่ 6 บ้านดงห้วยหลวง
1. นายอนิ ประสาตร์
2. นายพร ประสาตร์
3. นายมงคล ประสาตร์
4. นายหนู บัวตูม
5. นายมงคล ประสาตร์
5. นายยุทธนา ประสาตร์ (กานนั ตาบลบา้ นทานปัจจุบัน)
ลกั ษณะภมู ิประเทศ
ลกั ษณะภูมปิ ระเทศโดยทั่วไปเป็นพน้ื ทภี่ ูเขา โดยพื้นท่ีภเู ขาอยทู่ างทิศตะวนั ตกของตาบลอยู่
ในพ้ืนทปี่ ่าสงวนแห่งชาติป่ายางหกั และป่าเขาปุ้ม มยี อดเขาเนนิ เขมร เขาพระใน และเขาพระนอกพ้ืนท่ีมีความ
ลาดเอยี งจากทศิ ตะวนั ตกไปยังทศิ ตะวนั ออกซ่งึ เป็นทร่ี าบ
สภาพสังคม
- การศึกษา
โรงเรียนประถมศกึ ษา จานวน ๑ แหง่ (โรงเรียนบ้านดงหว้ ยหลวง)
ท่ีอา่ นหนังสือพิมพ์ประจาหมู่บา้ น จานวน ๑ แห่ง
หอกระจายข่าว จานวน ๑ แห่ง
- การสาธารณสขุ
โรงพยาบาลส่งเสริมสขุ ภาพชุมชน จานวน ๑ แหง่
- อาชญากรรม
ปัญหาอาชญากรรมในหมูบ่ ้านบ้านไมม่ ี แต่กม็ ีการป้องกันโดยมีหนว่ ยใหบ้ รกิ ารให้
ประชาชนเกิดความปลอดภยั ในชวี ติ และทรัพยส์ ิน
อพปร./ก้ภู ยั ประจาหมบู่ า้ น
- ยาเสพติด
ปัญหายาเสพติดองค์การบรหิ ารสว่ นตาบลและหมู่บา้ นได้รณรงคใ์ หเ้ ยาวชนหา่ งไกล
ยาเสพติด ร้ถู ึงโทษ พิษภัยของยาเสพตดิ และร้จู กั ใชเ้ วลาว่างให้เปน็ ประโยชน์
- ๔-
ทรัพยากรธรรมชาติ
ลกั ษณะของดิน
ดินในพน้ื ที่มลี กั ษณะเปน็ ดนิ ร่วน และดนิ เหนียวปนทราย ซึ่งเป็นดินทีม่ ีความอุดมสมบรู ณ์
ส่วนใหญป่ ลูกข้าว และพืชสวน เชน่ มะนาว ถ่วั ฝักยาว แตงกวา กล้วย และพืชผักสวนครัว
ลกั ษณะของนา้
มีลาคลองไหลผา่ น เหมาะแก่การทาเกษตรกรรม เช่น ทานา ทาสวนผลไม้ นอกจากน้ันยังมี
ลาห้วย ฝาย บอ่ อ่างเก็บนา้ ในพืน้ ท่ี
ลักษณะของไม้และปา่ ไม้
พน้ื ท่รี าบลุ่มเชงิ เขาโดยมพี ้ืนท่ีภูเขาในบรเิ วณพนื้ ที่ปา่ สงวนแห่งชาติ ป่ายางหกั และป่าเขาปุ้ม
มีตน้ ไม้ใหญ่ยืนตน้ เชน่ ตน้ ยางนา ต้นประดู่ ตน้ ไผ่
แหลง่ ศกึ ษาดงู านและแหลง่ ท่องเท่ียวท่สี าคญั
วดั โพธิเรียง
วดั โพธิเ์ รียง ตงั้ อยเู่ ลขที่ 62 หมูท่ ี่ 1 ตาบลบา้ นทาน อาเภอบ้านลาด จังหวดั เพชรบรุ ี สงั กดั
คณะสงฆม์ หานิกาย ทดี่ นิ ตัง้ วัดมีเนอื้ ที่ 32 ไร่ 1 งาน อาณาเขต ทิศเหนือจดแมน่ า้ ทศิ ใตจ้ ดถนนหลวง ทิศ
ตะวันออกจดที่ดนิ เอกชน ทิศตะวันตกจดทดี่ ินวดั จนี มที ่ีธรณสี งฆ์ จานวน 1 แปลง เนื้อท่ี 19 ไร่ อาคาร
เสนาสนะ ประกอบด้วย อุโบสถ กว้าง 12 เมตร ยาว 31 เมตร สรา้ งเม่ือ พ.ศ. 2508 เปน็ ตกึ ทรงไทย ศาลาการ
เปรยี ญ กวา้ ง 11.40 เมตร ยาว 26.70 เมตร สรา้ งเม่ือ พ.ศ. 2499 เปน็ อาคารทรงไทย หอสวดมนต์ กว้าง
8.50 เมตร ยาว 25.65 เมตร สรา้ งเม่อื พ.ศ. 2504 เปน็ อาคารทรงไทย กุฏิสงฆ์ ปูชนยี วตั ถมุ ี
- ๕-
พระประธานประจาอุโบสถ ปางสมาธิ เนอื้ หนิ ทราย พระพุทธรปู ปางชนะมาร พ.ศ. 2514 ธรรมาสนท์ รงบษุ บก
2 หลงั ตู้พระไตรปิฎกลายรดนา้ ลงรักปดิ ทอง 1 ตู้ ตู้พระไตรปิฎกไมส้ กั เขยี นภาพสฝี ุ่น 3 ตู้
พระปรางค์ศิลปะขอม 1 องค์ ระฆงั เนื้อทองสารดิ 1 ลกู วัดโพธเ์ิ รยี ง ตงั้ เม่ือ พ.ศ. 2325 ได้รับพระราชทาน
วสิ ุงคามสีมา เมื่อ พ.ศ. 2514 เขตวิสงุ คามสีมา กว้าง 16 เมตร ยาว 37 เมตร การปกครองเจา้ อาวาสปจั จุบัน
คอื พระสมุห์สนิ จิรธมโฺ ม
วัดจนั ทาราม
ต้ังอยู่เลขท่ี 60 หมู่ท่ี 1 ตาบลบ้านทาน อาเภอบ้านลาด จงั หวัดเพชรบุรี สงั กดั คณะสงฆ์
มหานิกาย ท่ีดินตัง้ วดั มีเน้อื ท่ี 11 ไร่ 1 งาน 85 ตารางวา ทศิ เหนือจดถนน ร.พ.ช. ทศิ ใต้ ทศิ ตะวนั ออกและทิศ
ตะวนั ตกจดทางเดนิ สาธารณะ มที ธ่ี รณีสงฆ์ จานวน 5 แปลง เนอ้ื ท่ี 36 ไร่ 2 งาน 30 ตารางวา อาคาร
เสนาสนะ ประกอบด้วย อโุ บสถ กว้าง 7.30 เมตร ยาว 16.30 เมตร สร้างเมื่อ พ.ศ. 2442 เป็นอาคารคอนกรีต
เสรมิ เหล็ก มจี ิตรกรรมฝาผนัง มภี าพลายเสน้ เพียงเล็ก ๆ อยู่ในสภาพชารดุ หอสวดมนต์ กวา้ ง 4.80 เมตร
ยาว 13.30 เมตร สร้างเมื่อ พ.ศ. 2542 เปน็ อาคารไม้ทรงไทย กุฏสิ งฆ์ จานวน 4 หลงั เป็นอาคารไม้ทรงไทย
สรา้ งเมอ่ื พ.ศ. 2540 ได้ยา้ ยทตี่ ง้ั เดมิ เพราะพนื้ ท่ีเอียงมาก ศาลาอเนกประสงค์ กวา้ ง 17.50 เมตร ยาว 37.20
เมตร สร้างเมื่อ พ.ศ. 2545 เปน็ อาคารไม้ทรงไทย ศาลาบาเพ็ญกุศล จานวน 1 หลัง เปน็ อาคารครงึ่ ตึกคร่ึงไม้
นอกจากน้ีมี คือ ศาลาฌาปนสถาน 1 หลงั ศาลาพกั ร้อน 2 หลงั และศาลาเกบ็ ศพ 1 หลัง
ปูชนียวตั ถุ มีพระประธานประจาอโุ บสถ ปัน้ ด้วยปูน สรา้ งพร้อมกบั อโุ บสถ เจดีย์และพระพุทธรปู 1 องค์
วัดจันทาราม ตั้งเมอื่ พ.ศ. 2400 หลวงพอ่ เริ่มอยวู่ ัดโพธิเ์ รยี งเห็นสถานท่เี หมาะสมตอ่ การ
สร้างวดั จงึ มอบท่ีดนิ ให้สร้างวดั และนิมนต์พระลมิ มาอยจู่ าพรรษา พระลิมได้ก่อสร้างเสนาสนะตา่ ง ๆ เชน่ กฏุ ิ
อุโบสถ ศาลาการเปรยี ญ หอสวดมนต์ ทา่ นเป็นเจ้าคณะตาบลท่าชา้ ง ตอ่ มาท่านได้มรณภาพลง พอถึงพระ
อธกิ ารไล ได้สร้างอาคารเรียนประถมศกึ ษา แต่ไดร้ ือ้ โดยไปซ้ือท่ีดิน 2 แปลง ย้ายโรงเรียนไปอยู่สว่ นหนง่ึ
ตอ่ มากุฏิทรุดโทรมจงึ ยา้ ยมาปลูกในที่ปจั จุบนั น้ี ปี พ.ศ. 2540 ไฟไหมก้ ฏุ ิ จานวน 12 ห้อง
สว่ นท่ีเหลอื ย้ายมาสรา้ งเปน็ ศาลาบาเพญ็ กศุ ล 1 หลงั ได้รบั พระราชทานวิสงุ คามสมี าเมือ่ พ.ศ. 2442 เขต
วสิ ุงคามสีมา กวา้ ง 7.20 เมตร ยาว 16.30 เมตร การบริหารและการปกครอง ปจั จุบันเจา้ อาวาส คอื
พระอธิการสุพจ พหชุ า
- ๖-
โรงเรียนบ้านดงหว้ ยหลวง
โรงเรยี นบา้ นดงห้วยหลวง เปดิ เรียนเมือ่ วันที่ ๑๖ มิถนุ ายน พ.ศ. ๒๕-๐ โดยเปิดสอนเปน็
สาขาของโรงเรียนวดั จันทาราม มีนายประชมุ มา้ ยอเุ ทศ หวั หน้าหมวดการศึกษาธิการอาเภอบ้านลาด เปน็
ผดู้ าเนินงานฝา่ ยราชการ ทางฝา่ ยประชานมีนายพร ประสาตร์ ผใู้ หญบ่ า้ นหมู่ 6 ตาบลบ้านทาน และประชาชน
ช้นั นาอีกหลายราย มีอาทิ นายหนู บวั ตมู นายเปรย ทองปล้อง นายน้อย บัวตูม นายเงนิ หวงั ผล
นายตู้ หวงั ผล นายเจยี น ธุรกิจ นายหอม มะลทิ อง นายยง ทองปลอ้ ง นายสารวย รัตนกจิ นายดี อยู่สุข
นายวัน เอย่ี มอาจ นายมาก รตั นกิจ นายมาก ใจบุญ และยังมีอกี หลายนายเป็นหัวเรี่ยวหวั แรง ไดช้ ่วยกันหา
อุปกรณ์ในการก่อสร้างอาคารช่วั คราวนข้ี ้ึน ๑ หลัง บนทด่ี ินของนายพาน นางพวง บุญยนื เปดิ เรียนครง้ั แรกมี
นกั เรยี น 57 คน เปิดเรยี นตัง้ แต่ ป. 1 – ป.4 มคี รูช่วยราชการ ๓ คน คือ นายแผ้ว ราพึง นางสาอาง อาภาชัย
จากโรงเรียนวัดจนั ทาราม และนางสาวฉวี สรอ้ ยศรี จากโรงเรยี นบา้ นแหลม
ปีการศึกษา 2521 จังหวดั ได้อนญุ าตใหโ้ รงเรียนบ้านดงห้วยหลวง จัดต้ังและเปดิ ทาการสอน
เปน็ เอกเทศได้ ตามคาสงั่ หนังสือ พบ 59/291 ลงวันที่ 3 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2521 ประชาชนและครไู ดร้ ว่ มกนั
หาทีด่ นิ ให้แกโ่ รงเรยี นใหม่แทนท่ดี ินแปลงเดมิ ซึง่ มที ่ีดินเพียง 2 ไร่เศษ ยากแกก่ ารขยายในวันขา้ งหนา้ และมผี มู้ ี
จติ ศรัทธาอุทิศทดี่ ินใหแ้ กโ่ รงเรยี น 3 ราย คือ นายหนู นางแปน้ บัวตมู นายเงนิ นางผ่วน คาหวังผล นาง
เผือก ราพงึ มอบให้รายละ 1 ไร่ 2 งาน และได้จดั ซ้ือเพมิ่ อีก 1 ไร่ จาก นายเสา นางจอน อยูส่ ขุ ดว้ ยเงินของ
ประชาชนในคราวจดั งาน เม่ือวนั ท่ี 17 ธนั วาคม พงศ. 2520เมื่อได้ที่ดนิ แล้วคณะกรรมการชุดเดิมได้รื้ออาคาร
หลงั เกา่ มาปลกู ในที่ดินแปลงใหม่ ซึ่งมเี นื้อท่ี 5 ไร่เศษ และเปิดเม่ือวันที่ 20 พฤษภาคม 2521 มนี กั เรยี น 67
คน ทาการสอน ตงั้ แตช่ นั้ ป.1 – ป. 5 มีครู 6 คน
โรงเรียนบ้านดงหว้ ยหลวง ระยะห่างจากอาเภอบา้ นลาด 15 กิโลเมตร ระดับชั้นทเี่ ปิดสอน
คือระดบั ชนั้ อนบุ าล ถึง ประถมศกึ ษา ปัจจบุ ันผอู้ านวยการโรงเรยี นคือ นางสาวอัครวรรณ เผือกผ่อง
โบราณสถาน
เขาพระ
สมยั กอ่ นมพี ระองค์หน่ึงออกธุดงค์มายังเขาพระ ท่านจึงคิดสร้างเจดีย์ข้ึน จึงได้หาบอิฐแดงที่จะใชส้ ร้าง
ทม่ี สี ่วนผสมของแกลบขา้ วข้ึนไปยังยอดเขาพระและยงั มชี าวที่มชี อ่ื วา่ ตาแชม่ ชว่ ยหาบอฐิ แดงขนึ้ ไปดว้ ย
ก่อสรา้ งเปน็ ฐานขนาดใหญ่แตท่ าได้แต่ฐานเพราะพระองค์น้นั ได้มรณภาพเสยี ก่อน เหลือไวแ้ ต่บาตรพระและ
ฐานเจดีย์ในปจั จบุ ัน (บาตรพระปจั จุบันไม่มแี ลว้ ) ทางด้านขึ้นเขาพระมีชื่อเรียกวา่ ด่านตาแชม่ มาจนถึง
ปจั จุบันนี้
:ซากอิฐแดงท่มี สี ่วนผสมของแกลบทยี่ งั หลงเหลืออยู่
- ๗-
ศนู ยก์ ารเรียนรู้เกษตรทฤษฎีใหมแ่ ละวฒั นธรรมท้องถน่ิ
ท่ตี งั้ 90 หมู่ 6 ตาบลบา้ นทาน อาเภอบา้ นลาด จงั หวดั เพชรบรุ ี
เปน็ แหลง่ เรยี นรดู้ ้านเศรษฐกิจพอเพยี ง เป็นแหล่งศกึ ษาดงู านของชมุ ชน ผ้มู าศกึ ษาดงู านติดตอ่ ที่
นายอบ บัวตมู ปราชญช์ าวบา้ นดา้ นเศรษฐกิจพอเพียง โดยมฐี านการเรยี นรู้ต่างๆ ดังน้ี
ฐานการเรยี นรู้ที่ 1 การทาปุ๋ยหมักจากมลู สัตว์
ฐานการเรยี นรู้ท่ี 2 การทาน้าหมักชีวภาพ
ฐานการเรยี นรู้ที่ 3 การเล้ียงกอ้ นเช้ือเหด็ ภูฐาน
ฐานการเรียนรู้ท่ี 4 การทาน้าส้มควนั ไม้
ฐานการเรียนรูท้ ่ี 5. การทาบัญชคี รวั เรือน
ฐานการเรียนรู้ท่ี 6 การปลูกมะนาวในบ่อซีเมนต์
ฐานการเรียนร้ทู ่ี ๗ การเลยี้ งเปด็ ไข่และไก่ไข่
ฐานการเรยี นรู้ที่ 8 การปรบั ปรงุ ดิน
ศนู ยก์ ารเรียนรู้เรื่องตาล
มีการเรียนร้ใู นเรื่องของตาล ซงึ่ ในหมบู่ า้ นดงห้วยหลวงกลุ่มตาลอายุมากกว่า 150 ปี มีการจดั
กจิ กรรมสาหรบั นักท่องเที่ยวมาศึกษาเรยี นรู้วถิ ีการทาตาล ตง้ั แตก่ ารเคย่ี วตาล ซึ่งชุมชนบา้ นดงหว้ ยหลวง จะมี
การทาตาลตลอดท้ังปี จะมีเตาตาลให้เห็นอยเู่ ปน็ จานวนมาก ลกั ษณะของเตาตาลจะมุงด้วยหลังคาทีท่ าจาก
ใบตาล เรียก คอม้า และจะมีลกั ษณะเตีย้ ลมจะไม่เขา้ ภายใน ซ่งึ ถือเป็นภูมปิ ัญญาของคนโบราณ
- ๘-
ศนู ย์การเรียนรกู้ ล่มุ จกั สาน
เป็นการรวมกล่มุ จักสาน ศนู ย์กลางอยู่ ณ บา้ นของนางมา ชาวไทย ซงึ่ มีการเปิดเป็นกลุม่ จกั
สาน เพอื่ สามารถนามาผลิตขายในปัจจบุ ัน การทาจักสานจากไม้ไผ่ เช่น มอบ ที่ใช้สาหรับครอบปากวัว เพราะ
สมัยก่อนปล่อยววั เดนิ ไปมาในทุ่งววั จะไปกินพชื ไร่ของชาวบ้าน มจี ักสานสาแหรกไว้ใชห้ าบหญ้า หาบฟาง หาบ
เมด็ โตนด สามารถนาไปขายเพ่มิ รายได้ นักท่องเทย่ี วสามารถเขา้ มาเรยี นรู้ได้
ผลิตภัณฑ์ของชมุ ชน
น้าตาลโตนด
สามารถหาซื้อได้ที่เตาตาลทุกแห่งในหมบู่ ้าน
ลูกตาลเฉาะ
สามารถหาซื้อได้ในหมบู่ ้านเพราะชาวบา้ นจะขนึ้ ตาลทุกวัน
- ๙-
ชางวงตาล
เปน็ ผลติ ภณั ฑ์ที่คิดคน้ รว่ มกันระหวา่ งชาวบ้านและผทู้ รงคุณวุฒิ ซง่ึ เป็นวิทยากรของสานกั งาน
วฒั นธรรมจังหวดั ในการอบรมใหค้ วามร้เู กยี่ วกับชุมชนท่องเท่ยี วทางวัฒนธรรม สามารถหาซื้อไดท้ ่ี กล่มุ
ชาวบ้านนาโดย นายยทุ ธนา ประสาตร์ กานันตาบลดงหว้ ยหลวง
นา้ ลอนตาล
ชมุ ชนจะจัดทาเพื่อต้อนรับนักทอ่ งเที่ยวท่ีเข้ามาเยีย่ มเยยี นในหมู่บา้ น ทั้งนจี้ ะต้องแจ้งลว่ งหนา้ เพื่อ
จดั เตรยี มอุปกรณ์ในการทา
- ๑๐
-
วฒั นธรรม ศลิ ปะการแสดง ประเพณี
ประเพณีสลากภตั
ประเพณีสลากภัต เปน็ ประเพณกี ารถวายข้าวสาร อาหารแห้ง แดพ่ ระภิกษสุ งฆ์ ท่เี ปน็
เอกลักษณ์ของอาเภอบา้ นลาด การถวาย สลากภัตมกั จะจัดในระหวา่ งเดือน 8 – เดอื น 10 ซึง่ เป็นฤดฝู น
พระภกิ ษุสงฆ์จาพรรษาเปน็ เวลา 3 เดอื น บางครงั้ ไม่สามารถออกไปบณิ ฑบาตได้ ประชาชนจึงนาของแห้ง เช่น
ข้าวสาร นา้ ปลา ขนม นม เนย ที่สามารถเก็บไวไ้ ดน้ าน จัดใสห่ าบไปถวายแต่การถวายน้ันเป็นไปตามศรัทธา
บางคนจัดดีมีของ มาก บางคนกจ็ ัดนอ้ ยไมเ่ สมอกัน จึงใช้วธิ ใี หพ้ ระสงฆจ์ บั สลาก (ฉลาก) เมือ่ จบั ฉลากตรงกบั
หมายเลข ใด เจ้าของหาบฉลากก็หาบไปถวายแด่พระภิกษุรูปนนั้
ประเพณีวัวลาน
การเลน่ ววั ลานมวี ิวัฒนาการมาจากการใช้ววั นวดขา้ ว เพราะลักษณะลานนวดข้าวเปน็ วงกลม
วธิ ีการนวดข้าวนนั้ ววั ทอ่ี ยู่ใกล้จุดศนู ย์กลางไม่ต้องใชก้ าลังและ ฝเี ท้ามากเพราะอยใู่ นชว่ งหมนุ รอบสนั้ แตว่ ัวตัว
ทีอ่ ย่นู อกสุดอยหู่ ่างจากจดุ ศูนย์กลางมาก ระยะทางท่ี ตอ้ งหมุนจะยาวกว่าจงึ ต้องเลือกววั ตวั ที่มกี าลงั และฝีเทา้ ดี
ด้วยเหตุน้เี กษตรกรจึงคิดการเล่นววั ลาน ข้ึนมาเพื่อความสนุกสนานประกวดว่าววั ของใครจะมฝี เี ท้าและกาลงั
ดกี วา่ กันและยงั มผี ลตอ่ การค้าขาย ววั ใชง้ านอกี ด้วยเพราะวัวทีช่ นะการเล่นววั ลานจะมผี ูส้ นใจซื้อในราคาสงู
- ๑๑
ประเพณเี ทศนม์ หาชาติ -
เทศนม์ หาชาตเิ ป็นประเพณีที่ทาในชว่ งหลังออกพรรษา หลงั กฐนิ ก่อนการเทศนม์ หาชาติ จะมี
การแจง้ ให้ชาวบา้ นไดท้ ราบล่วงหนา้ เพอ่ื ท่ชี าวบา้ นจะได้มเี วลาเตรยี มของไปทาบุญ ในวันเทศน์มหาชาติ
เจา้ ภาพแตล่ ะกณั ฑเ์ ทศน์ จะนาเครื่องกัณฑ์เทศน์ใสก่ ระจาด การจัดตกแตง่ สถานทจ่ี ะทาในลักษณะคล้ายป่า
โดยในหมบู่ า้ นจะทาทว่ี ัดจันทาราม ซึ่งจะมีชาวบ้านในตาบลมาร่วมกันมาก โดยจะทา 2 วัน คือวนั แรกจะเป็น
ร่ายคาถาพนั และวนั ท่ี 2 จะเป็นการเทศน์ตัง้ แต่กณั ฑ์ที่ 1 – 13
การแสดงกลองยาว
การแสดงเพลงพวงมาลยั
- ๑๒ -
ประวตั ิต้นตาลโตนดเมืองเพชร
ตาลโตนด มีถิ่นกาเนิดในเอเซียตอนใต้แถบฝ่ังตะวันออกของประเทศอินเดียและกระจัด
กระจายข้ึนอยู่ทั่วภูมิภาคเอเซีย ได้แก่ อินเดีย ศรีลังกา สหภาพเมียนม่าร์ กัมพูชา มาเลเซีย
อินโดนีเซีย และไทยในประเทศไทยตาลโตนดได้มีการบันทึกข้อมูลเป็นลายลักษณ์อักษรมาต้ังแต่สมัยโบราณ
เชน่ จารึกวดั แดนเมือง จารึกวัศรีคณู เมอื ง จารึกวดั ศรีเมอื ง และจารึกวัดถ้าสุวรรณคูหา จากจารึกเหล่าน้ีเองจึง
เชื่อกันว่าตาลโตนดมีการปลูกมาต้ังแต่ก่อนสมัยทวาราวดี ประมาณพุทธศตวรรษที่ 11-16 เพราะได้พบตรา
ประทับเป็นรูปคนปีนต้นตาลแสดงว่า ในสมัยน้ันได้รู้จักวิธีใช้ประโยชน์จากต้นตาลกันแล้ว แหล่งปลูกต้น
ตาลโตนดในประเทศไทยที่สาคัญได้แก่ จังหวัดเพชรบุรี สุพรรณบุรี นครปฐม และในภาคใต้ จังหวัดสงขลา
(อาเภอสะทงิ พระ และอาเภอระโนด) การแพร่กระจายของแหลง่ ปลูกตาลโตนดน้นั เชอื่ กนั ว่าสัตว์เป็นตัวนาพา
ไป ได้แก่ ช้างและวัวควาย ทั้งนี้ช้างจะกลืนกินเมล็ดตาลโตนดท้ังเมล็ด และช้างจะสามารถเห็นทางได้ไกลเป็น
ระยะร้อยกิโลเมตร จึงทาให้เมล็ดตาลโตนดแพร่กระจายจากท่ีหนึ่งไปสู่อีกที่หน่ึงได้ในระยะไกล ๆ ในขณะท่ีวัว
และควายจะชอบกินผลตาลสุก และจะดูดกินความหวานส่วนของเส้นใยผลตาลสุกที่ห่อหุ้มรอบเมล็ดแต่ไม่กิน
เมล็ดตาล ซึ่งมีลักษณะแข็งมาก และจะทิ้งเมล็ดไว้บริเวณใกล้เคียงที่ กิน จึงไม่แพร่กระจายไปไกล
มาก ตาลโตนด จัดเป็นไม้ตระกลู เก่าแก่ตระกูลหน่ึงในโลกซ่ึงมีมากกว่า 4,000 ชนิด (Species) เป็นต้นไม้ที่
มีอายุยืนนับเป็นร้อยปี และอยู่กับจังหวัดเพชรบุรี มาตั้งแต่โบราณกาล และผลิตผลจากต้นตาลโดยเฉพาะ
น้าตาลโดนดยังเป็นส่วนผสมท่ีสาคัญในการทาขนมหวานเมืองเพชร ซ่ึงมีช่ีอเสียงต้ังแต่อดีดจนถึง ปัจจุบัน
ดงั คาสวดสุบนิ กมุ ารที่มีอายุมากกว่ารอ้ ยปี กลา่ วว่า
โตนดเตา้ แลจาวตาล เป็นเครื่องหวานเพชรบรุ ี
กินกับน้าตาล ของมากมีมาช่วยกัน
จากตานานของจงั หวดั เพชรบรุ กี ลา่ วว่าในปี พ.ศ. 2134 สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช และ
สมเด็จพระเอกาทศรถ ไดเ้ สด็จมาประทับแรม ณ พระตาหนักโตนดหลวง (อยู่ในเขตตาบลบางเก่า อาเภอ
ชะอา) เพอื่ ประพาสทางทะเล
นักชวี วทิ ยามีความเหน็ วา่ ตาลโตนดนา่ จะมีถิ่นกาเนิดทางฝ่ังตะวันออกของอินเดยี ขยายไปสศู่ รี
ลังกา สหภาพเมียนม่าร์ ไทย อินโดนีเซีย กัมพูชา ส่วนในประเทศไทยพบมากท่ีจังหวัดเพชรบุรี สุพรรณบุรี
นครปฐม ส่วนภาคใต้พบมากที่อาเภอสทิงพระ อาเภอระโนด จังหวัดสงขลา การแพร่กระจาย ของตาลโตนด
น้ัน นักวิชาการบางท่านให้ความเห็นว่า การแพร่กระจายของตาลโตนดนั้น สัตว์ก็มีส่วนด้วยเหมือนกัน เช่น
เวลาช้างกินเมล็ดตาลโตนด จะกลืนท้ังเมล็ด และช้างจะเดินทางไกลนับเป็นร้อยๆกิโลเมตร ทาให้ตาลโตนด
แพร่กระจายจากที่หนึ่งไปสู่อีกท่ีหนึ่งได้เช่นกัน ตรงข้ามกับวัว ควาย ซ่ึงชอบ เมล็ดตาลโตนดสุกเหมือนกัน
แต่วัวควายได้แต่แทะและดูดกินส่วนของเส้นใยของเมล็ดตาล พอหมดรสหวานก็จะทิ้งไว้ใกล้เคียงบริเวณ
เดิม ไม่แพร่กระจายไปสู่ถิ่นอ่ืน ไม่กินเมล็ดตาล ซ่ึงมีลักษณะแข็งมาก และจะท้ิงเมล็ดไว้บริเวณใกลเ้ คียงที่กิน
จึงไมแ่ พรก่ ระจายไปไกลมาก
“ตาลโตนด” หรือ “ตน้ ตาล” นับเป็นตน้ ไม้ที่เปน็ สญั ลักษณข์ องเพชรบรุ ีก็ว่าได้ เพราะเม่ือเดิน
ทางผ่านจงั หวัดเพชรบุรคี ราใด ภาพทคี่ นุ้ เคยก็จะทุ่งนาเขียวขจีทม่ี ีตน้ ตาลข้นึ อยูเ่ รียงรายทัง้ ต้นใหญ่ตน้ เล็กทั่ว
บรเิ วณ 2 ข้างทาง และผลติ ผลจากตน้ ตาลโดยเฉพาะนา้ ตาลโตนดยงั เปน็ ส่วนผสมท่สี าคญั ในการทาขนมหวาน
เมอื งเพชร ทีม่ ีชอ่ื เสยี งต้ังแต่อดตี จนถึงปจั จุบัน จนกลา่ วได้ว่า “เมือ่ นึกถึงเพชรบุรี ต้องนึกถึงต้นตาล”
ปัจจบุ นั ต้นตาลของเมืองเพชรบรุ มี ีจานวนลดนอ้ ยลงอย่างเห็นไดช้ ดั เน่อื งจากต้นตาลน้ันเป็นตน้ ไมท้ ส่ี ามารถใช้
ประโยชน์ได้ทุกส่วน ทาให้ชาวบ้านหนั มาตดั ตน้ ตาลขายเพิ่มรายไดม้ ากย่งิ ข้นึ ตลอดจนไมม่ ีใครคดิ ท่ีจะอนรุ ักษ์
ต้นตาลทเ่ี ป็นต้นไมค้ ่เู มอื งเพชรบุรีใหค้ งอยูด่ ังเดมิ
- ๑๓ -
-
ชมุ ชนบ้านดงห้วยหลวง เป็นหมู่บ้านที่มีต้นตาลเปน็ จานวนมาก ประชาชนมีวิถีชีวิตที่เกี่ยวกับ
ตาลโตนด อาหารพ้ืนบ้านท้ังอาหารคาวและอาหารหวานส่วนใหญ่มีตาลโตนดเป็นวัตถุดิบในการทา เช่น
อาหารคาว แกงหวั โตนด โตนดจม้ิ น้าพริก อาหารหวานเชน่ โตนดทอด ขนมโตนดสกุ ลกู ตาลลอยแกว้
แกงหัวโตนด เปน็ ภาษาทอ้ งถน่ิ ของบา้ นลาด หรอื แกงหวั ตาล เป็นภาษาทางการ เปน็ อาหาร
พ้ืนบ้านของอาเภอบ้านลาด จังหวัดเพชรบุรีที่เป็นเอกลักษณ์และเป็นท่ีนิยมใช้ต้อนรับแขกที่มาเย่ียมเยือน
เสมอ เนื่องจากวัตถุดบิ ในการปรุงมาจากหัวตาลออ่ น ซง่ึ เป็นผลิตผลจากต้นตาลซงึ่ มีมากและหางา่ ยในทอ้ งถ่ิน
ของชมุ ชน
- ๑๔ -
-
องค์ความรใู้ นการทาอาหารพน้ื บา้ นเมอื งเพชร : แกงหวั โตนด
แกงหัวโตนด หรือ แกงหัวตาล เป็นอาหารโบราณท่ีอยู่คู่กับเมืองเพชรบุรีมานาน ซ่ึงเป็นเพราะเพชรบุรี
เต็มไปด้วยต้นตาล ทาให้อาหารหลายอย่างถูกดัดแปลงมาจากต้นตาล ไม่ว่าจะเป็น ขนมตาล ลูกตาลเชื่อม
น้าตาลโตนด สาหรับแกงหัวตาลนั้นได้มาจากลูกตาลอ่อนที่ถูกนามาปอกเปลือกแล้วฝานบาง ๆ ผสมกับ
เครอื่ งแกงตามสูตรของชาวเพชรบุรี
แกงหัวโตนดหรือแกงหัวตาล
สว่ นประกอบในการทาแกงหัวโตนด
พริกแห้ง กระชาย
กระเทียม ผวิ มะกรูด ขา่ ตะไคร้ซอยละเอยี ด ใบมะกรูด
- ๑๕ -
-
พรกิ ชีฟ้ า้ สดห่นั สวยงาม กะปิ
ปลาทแู กะนากา้ งออก
มะพรา้ วขดู และคนั้ คั้นครัง้ แรกเป็นหัวกะทิ และคน้ั ครงั้ ต่อไป เรยี กหางกะทิ
- ๑๖ -
-
น้าปลา
นา้ ตาลโตนด
หมยู ่าง
- ๑๗ -
-
โตนดหรือลกู ตาลท่ีออ่ นปอกเปลอื กและสบั ดา้ นบนเป็นชนิ้ บางๆๆ
ขั้นตอนการทา - ๑๘ -
-
1. นาพรกิ ขา่ ตะไคร้ กระเทียม กระชายหนั่ ละเอียด กะปิ มาตาให้ละเอียด ใสป่ ลาทแู กะ
ตาพร้อมกันให้ละเอียด
๒. นาหม้อตั้งไฟระดับกลาง นาหวั กะทใิ ส่ นาพรกิ แกงใส่คนใหเ้ ขา้ กันจนหอมกรนุ่
- ๑๙ -
๓. ใส่หมยู า่ งคนให้เข้ากัน
๔. หลังจากเข้ากนั ดีแล้วนาหางกะทใิ สต่ ้งั จนเดอื ด
๕. นาหวั โตนดที่หน่ั ซอยแลว้ ใส่ลงหมอ้ รอจนเดือด
- ๒๐ -
๖. หลังจากนัน้ ปรุงรสด้วยนา้ ปลา นา้ ตาล ตามใจชอบ ตกแต่งดว้ ยใบมะกรูด พริก
แกงหวั โตนด จะมีรสชาดคล้ายนา้ ยากะทิ แตจ่ ะมคี วามขื่นของหัวโตนด และเปลือกโตนดอ่อนปนอยู่
รสจะเผ็ดอ่อน หวาน เค็ม นา้ แกงจะมีกลิ่นของกระชายและใบมะกรูด สีของน้าแกงจะมีสีแดงอ่อน ออกสีขาว
ดว้ ยกะทิ ท่ีไม่แตกมนั รับประทานกับขา้ วสวยรอ้ นๆ หรืออาจจะรับประทานกับขนมจนี ก็อร่อยได้เหมอื นกัน
.........................