ขนมหวาน 5 ชนิด
คำนำ
E-book เล่มนี้ จัดทำขึ้นเพื่อเป็นเนื้ อหา เรื่อง ขนมหวาน 5 ชนิ ด ในรายวิชา
261-201 เพื่อให้ได้ศึกษาหาความรู้ในเรื่องราวของขนมหวาน 5 ชนิ ด ได้แก่
ขนมลาดู ขนมอาซูรอ ขนมอาแป ขนมกรวย และเหนี ยวเหลือง/แดง โดย
ศึกษาผ่านแหล่งความรู้ต่างๆ โดยมีเนื้ อหาที่เกี่ยวกับ ชื่อขนมหวาน ประวัติ
ความเป็นมา ขั้นตอนการทำ และพิธีกรรมที่เกี่ยวข้อง
ผู้จัดทำคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่า E-book เล่มนี้ มีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ต่อผู้
ที่สนใจศึกษาขนมหวาน 5 ชนิ ด ได้แก่ ขนมลาดู ขนมอาซูรอ ขนมอาแป ขนม
กรวย และเหนี ยวเหลือง/แดง หากผู้จัดทำผิดพลาดประการใด ขออภัย ณ ที่นี้
ด้วย
ผู้จัดทำ E-book
สารบัญ หน้ า
เรื่อง 4
ขนมลาดู 9
ขนมอาซูรอ 17
ขนมอาแปบากา (แพนเค้ก) 23
ขนมกรวย (เตอปงซูนา) 27
ข้าวเหนี ยวสีเหลือง/สีแดง
ขนมลาดู
ประวัติความเป็นมา
ขนมพื้นบ้านมุสลิม นอกจากเป็นขนมที่มีรสชาติอร่อยแล้วยังมี
คุณประโยชน์ ต่อร่างกาย เป็นทั้งอาหารและยา ดังเช่น ขนมลาดู ที่
เป็นขนมสมุนไพร มีส่วนผสมของพริกไทย กานพลู ขิง กระเทียม
อบเชย เหมาะสำหรับสตรีหลังคลอด เป็นยาคลายเส้น บำรุงเลือด
ช่วยเพิ่มปริมาณน้ำนม และทำให้ร่างกายกระชับเร็วขึ้น จัดเป็น
ขนมยอดนิ ยมของสตรีมุสลิมที่หลังคลอด บ้านไหนที่มีหญิงคลอด
บุตรใหม่ญาติ ๆ มักจะหาซื้อขนมชนิ ดนี้ หรือบางคนหากจะไปเยี่ยม
สตรีที่คลอดบุตรนิ ยมนำขนมนี้ ไปฝาก ปัจจุบันขนมลาดูเป็นขนมที่
หาซื้อรับประทานยากไม่ค่อยมีคนทำขาย
ขั้นตอนการทำ
นำข้าวเหนี ยวมาล้างให้สะอาด
พักไว้ให้สะเด็ดน้ำ
นำพริกไทย กานพลู อบเชย ขิง กระเทียมมาผสมกับข้าวเหนี ยว
นำมาคั่วให้กรอบ แล้วนำไปโม่ให้เป็นแป้งละเอียด
(แบ่งเป็นสองส่วน นำไปใส่ในเครื่องปรุง อีกส่วนหนึ่ งนำไปคลุกกับขนม)
ตั้งกระทะต้มน้ำให้เดือด ใส่น้ำตาลทราย น้ำตาลแว่นทุบ เคี่ยวจนเป็น
ยางมะตูม ใส่แป้งข้าวเหนี ยวที่โม่ไว้
กวนให้เข้ากันจนเหนี ยวแล้วยกลง
นำขนมมาคลึงเป็นแผ่นบาง ๆ โรยแป้งข้าวเหนี ยวให้ทั่ว
ตัดเป็นชิ้นเล็กๆ รูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน
พิธีกรรมที่เกี่ยวข้อง
หลังคลอดบุตร
ผู้หญิงหลังคลอดบุตนิยมรับประทาน เพื่อให้น้ำนมไหล สุขภาพดี
ขนมลาดู
ขนมอาซูรอ
ประวัติความเป็นมา
ขนมอาซูรอหรือขนมบูโบร์ซูรอ เป็นขนมที่ชาวไทยมุสลิม
ทำขึ้นในวันที่ 10 เดือนมุฮัรรอม ซึ่งเป็นเดือนแรกของปฏิทิน
อาหรับขนมชนิ ดนี้ เป็นขนมที่ได้จากการนำอาหารหลายอย่าง
มารวมกันแล้วกวนให้เป็นเนื้ อเดียวกันคล้ายขนมเปียกปูน
ประเพณี การกวนขนมอาซูรอเริ่มจากเจ้าภาพประกาศเชิญชวน
ชาวบ้านว่าจะมีการกวนขนม เมื่อถึงวันนั ดหมาย ชาวบ้านจะนำ
เครื่องปรุงขนมมารวมกันและช่วยกันกวน เมื่อเสร็จแล้วจะ
กล่าวขอพรพระเจ้าแล้วจึงแบ่งขนมไปกินกัน เครื่องปรุงขนมที่
ใช้ได้แก่ เครื่องแกง ข้าวสาร น้ำตาล กะทิ และของที่กินได้อื่นๆ
เช่น มัน กล้วย ผลไม้ เนื้ อสัตว์ ไข่
ประวัติความเป็นมา
ความเป็นมาของการกวนข้าวอาซูรอ หรือกวนขนมอาซูรอ
สืบเนื่ องจากได้เกิดน้ำท่วมใหญ่ในสมัยนบี นุฮ (อล) ทำให้เกิด
ความเสียหายแก่ทรัพย์สิน ไร่นาของประชาชนและสาวกของ
นบีนุฮ (อล) และคนทั่วไปอดอาหาร นบีนุฮ (อล) จึงประกาศ
ให้ผู้ที่มีสิ่งของเหลือพอจะรับประทานได้ ให้เอามากองรวมกัน
และให้เอาของเหล่านั้ นมากวนเข้าด้วยกัน เพื่อให้ทุกคนได้รับ
ประทานอาหารกันโดยทั่วหน้ า
ประวัติความเป็นมา
การกวนข้าวอาซูรอ (ขนมอาซูรอ) เป็นประเพณีท้องถิ่นของ
ชาวไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ คำว่า อาซูรอ เป็น
ภาษาอาหรับ แปลว่า การผสม การรวมกัน คือการนำสิ่งของที่
รับประทานได้หลายสิ่งหลายอย่างมากวนรวมกัน มีทั้งชนิ ด
คาวและหวาน การกวนข้าวอาซูรอจะใช้คนในหมู่บ้านมาช่วยกัน
คนละไม้คนละมือ เพื่อความสามัคคีและสร้างความพร้อม
เพรียงเป็นน้ำหนึ่ งใจเดียวกัน อันมีผลต่อการอยู่ร่วมกันของ
สังคมอย่างมีความสุข ก่อนจะแจกจ่ายให้รับประทานกัน เจ้า
ภาพจะเชิญบุคคลที่นั บถือของชุมชนขึ้นมากล่าวขอพร (ดูอา)
ก่อน จึงจะแจกให้คนทั่วไปรับประทานกัน
ประวัติความเป็นมา
ความเป็นมาของการกวนข้าวอาซูรอ หรือกวนขนมอาซูรอ
สืบเนื่ องจากได้เกิดน้ำท่วมใหญ่ในสมัยนบี นุฮ (อล) ทำให้เกิด
ความเสียหายแก่ทรัพย์สิน ไร่นาของประชาชนและสาวกของ
นบีนุฮ (อล) และคนทั่วไปอดอาหาร นบีนุฮ (อล) จึงประกาศ
ให้ผู้ที่มีสิ่งของเหลือพอจะรับประทานได้ ให้เอามากองรวมกัน
และให้เอาของเหล่านั้ นมากวนเข้าด้วยกัน เพื่อให้ทุกคนได้รับ
ประทานอาหารกันโดยทั่วหน้ า
ขั้นตอนการทำ
นำกะทะใบใหญ่ตั้งไฟ มีไม้พายสำหรับคนขนมอาซูรอ หลัง
จาก ตั้งกะทะบนเตา
คั้นน้ำกะทิใส่ลงไป ตำหรือบดเครื่องแกงหยาบ ๆ ใส่ลงใน
น้ำกะทิ
เมื่อกะทิเดือดใส่อาหารดิบต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้ว คนด้วยไม้
พายจนกระทั่งทุกอย่างเปื่ อยยุ่ย กวนต่อไปจนเป็นเนื้ อ
เดียวกัน
เมื่อแห้งได้ที่แล้วตักใส่ถาด โรยหน้ าด้วยไข่เจียวหั่นบาง ๆ
หรืออาจโรยหน้ ากุ้ง เนื้ อสมัน ปลาสมัน ผักชี หอมหั่นฝอย
แล้วแต่รสนิ ยมของท้องถิ่น แล้วตัดเป็นชิ้น ๆ แจกจ่ายกัน
รับประทาน
พิธีการที่เกี่ยวข้อง
วันอาซูรอ
ขนมอาซูรอ
ขนมอาแปบากา
(แพนเค้ก)
ประวัติความเป็นมา
ขนมอาแปบากา เป็นขนมที่มีความนิ ยมมากในสมัยโบราณ
ของชุมชนมุสลิมใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ขนมอาแปบากานํ ามา
ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา เช่น เมื่อมีคนเสียชีวิตเป็นเวลา 7 วัน
ญาติของผู้เสียชีวิตจะช่วยทำขนมอาแปบากาเป็นจำนวนมาก โดยนํ า
ขนมอาแปบากามาจัดใส่จากพร้อมห่อด้วยกระดาษสีต่างๆ แล้วบริจาค
ให้แก่คนที่มางานศพ และคนที่อ่านคัมภีร์อัลกุรอานอุทิศบุญกุศลให้
แก่ผู้เสี ยชีวิต
ขั้นตอนการทำ
นํ าตะไคร้และข่าหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ และตําให้ละเอียดเตรียมไว้
นํ าน้ำตาลแว่น ใส่ภาชนะและใส่น้ าแล้วตวง ตั้งบนเตา
นํ ากล้วยหอมหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ เตรียมไว้ไฟ กวนให้น้ าตาลแว่น
ละลายน้ำ
นํ าแป้งข้าวเหนี ยว และแป้งข้าวเจ้ามาใส่ในภาชนะ
นำวัตถุดิบที่เตียมไว้ มาคลุกเคล้าให้เข้ากันนวดประมาณ 15 นาที
และพักไว้ 2 ชั่วโมง
ขั้นตอนการทำ
นํ าไข่1ฟอง ใส่ภาชนะและใส่น้ ามันลงไปแล้วกวนเตรียมไว้
นํ ากระทะ ตั้งบนเตา นํ าไข่ที่ผสมน้ำมันที่เตรียมไว้ใส่ลงในกระทะ
เกลี่ยให้ทั่วกระทะ เมื่อกระทะร้อนพอสมควร นํ าแป้งที่หมักไว้ใส่
ลงกระทะครึ่งถ้วยตวง แล้วเกลี่ยให้แบนพอประมาณ นาน 2-3
นาที แล้วพลิกอีกด้านหนึ่ งพอสุกแล้วยกลงจากเตา
นํ ามาจัดใส่จานพร้อมรับประทาน
พิธีกรรมที่เกี่ยวข้อง
งานศพทำบุญครบ7วัน
งานแต่งงาน
งานเข้าสุนั ต
ขนมอาแปบากา
(แพนเค้ก)
ขนมกรวย
(เตอปงซูนา)
ประวัติความเป็นมา
ต้นกำเนิ ดของขนมกรวย เป็นขนมของไทยที่มีชื่อเรียกตาม
ลักษณะของขนมที่ได้ คือการนำขนมใส่ลงในกรวยใบตองแล้ว
นึ่ งให้สุก หรืออาจจะเรียกชื่อตามส่วนผสมที่ใส่ในกรวย เช่น
ขนมฟักทอง ขนมเผือก ขนมกล้วยเละ และขนมถ้วยหน้ ากะทิ
ถ้าใส่ถ้วยตะไลก็เรียก ขนมถ้วย แต่เมื่อนึ่ งใส่กรวยก็เรียกว่า
ขนมกรวยหรือขนมหางหนูทเพราะปลายแหลมๆนิ่ มๆ
ขนมกรวยเป็นขนมหวานชนิ ดหนึ่ ง ที่นิ ยมรับประทานกันใน
ท้องถิ่น ทำโดยใช้แป้งข้าวเจ้าเป็นส่วนผสม บรรจุในรูปกรวยที่ทำ
ด้วยใบตองแล้วนึ่ งให้สุก รับประทานง่าย ในอดีตนิ ยมป้อนเด็ก
ทารก เนื่ องจากขนมบรรจุอยู่ในกรวย จึงเรียกว่า ‘ขนมกรวย’
ขั้นตอนการทำ
นำส่วนผสมที่ 1 นวดแป้งข้าวเจ้ากับแป้งถั่วเขียวให้เข้ากัน โดยเติมน้ำลง
ทีละน้ อย นวดต่อไปสัก 10 นาที แล้วใส่น้ำตาลปึก นวดต่อไปจนเข้ากันดี
แล้วเติมน้ำส่วนที่เหลือ พักไว้
นำส่วนผสมที่ 2 ผสมส่วนหน้ ากะทิ คนแป้งกับกะทิและเกลือให้เข้ากัน
ตั้งรังถึงให้น้ำเดือด อย่าใส่น้ำมาก เพราเวลาน้ำเดือดอาจโดนขนมได้
เสียบกรวยใบตองที่ทำไว้ลงในรูของรังถึง โดยเหลือรูว่างให้ไอน้ำพลุ่ง
ขึ้นข้างบนได้ด้วย หยอดส่วนผสมที่ 1 ลงในกรวยประมาณ 3/4 ของ
กรวย ยกขึ้นนึ่ งประมาณ 5 นาที จากนั้ นหยอดส่วนผสมที่ 2 ให้เต็มปาก
กรวยพอดี แล้วนำไปนึ่ งต่อประมาณ 3-5 นาที จนสุก
พักไว้จนเย็นสนิ ทจึงเสิร์ฟ
พิธีกรรมที่เกี่ยวข้อง
งานมงคลต่าง ๆ เช่น ขึ้นบ้านใหม่ ทำบุญ เป็นต้น
ในอดีตนิ ยมป้อนเด็กทารก
ขนมกรวย
ข้าวเหนี ยวสี
เหลือง/สี แดง
ประวัติความเป็นมา
ข้าวเหนี ยวที่ปรากฏในประเพณีท้องถิ่น ของชาวไทยมุสลิม
ปัตตานี เรียกว่า ปูโล๊ะสมางัต บาง คนเรียกว่า สมางัต เป็นภาษา
มลายูถิ่น แปลว่า เรียกขวัญ แต่ชาวไทยมุสลิมเรียกข้าวเหนี ยวมูน
3 สี ว่า สมางัต เนื่ องจากในพิธีเข้าสุหนั ต ชาวไทยมุสลิมปัตตานี
บางครอบครัว ใช้ข้าวเหนี ยวป้อนให้กับเด็กที่ จะเข้าสุหนั ตเพื่อ
เรียกขวัญกาลังใจ ดังนั้ นจึงเรียกข้าวเหนี ยวที่ใช้ในพิธี ว่า สมางัต
มาจนถึงปัจจุบัน ข้าวเหนี ยวที่ใช้ในพิธีเข้าสุหนั ต เป็นข้าวเหนี ยว
มูน 3 สี คือ สีแดง สีเหลือง สีขาว มีวิธีทำคือ นำข้าว เหนี ยวแช่น้ า
2 ชั่วโมง แล้วซาวให้สะอาดนาไปนึ่ งจนสุก เมื่อข้าวเหนี ยวสุกแบ่ง
ออกเป็นสามส่วนเท่ากัน ส่วนแรกนำไปมูนด้วยกะทิที่ผสมสีแดง
ประวัติความเป็นมา
ส่วนที่สองนำไปมูนกับกะทิที่ผสมขมิ้น หรือสีเหลือง ส่วนที่
สาม นำไปมูนกับกะทิอย่างเดียว ก็จะได้ข้าวเหนี ยวสามสี คือ แดง
เหลือง ขาว จากนั้ นนำข้าวเหนี ยวแต่ละสีไปประกอบเป็นพุ่ม
เหมือนพุ่มดอกไม้ที่ประดับในพาน บนยอดของพุ่มมีไข่เป็ด หรือ
ไข่ที่ต้มแล้ว และแกะ เปลือกย้อมสีแดง ตรงรอยประกบของข้าว
เหนี ยวแต่ละสี มีการนำข้าวเหนี ยวสีอื่นมาทำเป็นเส้นตัดขอบ
ระหว่างกันเพื่อให้ดูเด่น บนพื้นข้าวเหนี ยวรอบ ๆ พุ่มจะตกแต่ง
เป็นลวดลายต่าง ๆ ด้วยความประณีต ข้าวเหนี ยวที่ทำเสร็จแล้ว
จะถูกใช้ในพิธีกินสมางัต โดยจะให้เด็กเลือกหยิบเองว่าจะกิน
สีไหนส่วน “ปูโล๊ะกูนิ ง”
ประวัติความเป็นมา
ข้าวเหนี ยวเหลืองที่ปรากฏในประเพณีการเกิด พิธีโกนผม
และการตั้งชื่อ ที่เจ้าภาพจะจัดเตรียมเสริฟสำรับอาหารพร้อมกับ
เนื้ อสัตว์ที่ทำอะกีเกาะฮให้แก่ทารก ให้แขกผู้มีเกียรติ รับประทาน
ด้วย เป็นข้าวเหนี ยวมูนด้วยกะทิสีเหลือง รับประทานคู่กับสามา
หรือมัสมั่นกุ้ง หรือแกงกุ้ง ปลาแห้งทอด เส้นไข่ม้วน หรือสังขยา
โดยเจ้าภาพจะเสริฟ ข้าวเหนี ยวเหลืองนี้ หลังจากโต๊ะอีหม่าม โต๊ะ
ครูหรือผู้นาทางศาสนาประกอบพิธีอะกีเกาะฮเ์สร็จจากการ
สัมภาษณ์ถึงที่มาความเข้าใจของการทำข้าวเหนี ยวเหลืองใน
ประเพณีการเกิด พิธีโกนผม และตั้งชื่อทารก พบว่า ได้ปฏิบัติ
สื บทอดจากบรรพบุรุ ษ
ประวัติความเป็นมา
มีความเชื่อว่าเป็นการสร้างขวัญกาลังให้แก่เด็กทารก และ
ครอบครัวผู้ปฏิบัติ “ในวันอะกีเกาะฮ โกนผมไฟ และตั้งชื่อ บาง
ครอบครัวนิ ยมทา “ปูโล๊ะกูนิ ง” หรือ ที่เรียกว่า ข้าวเหนี ยวเหลือง
โดยมีความเชื่อว่า เป็น การสร้างขวัญให้แก่เด็กแรกเกิดในการตั้ง
ชื่อ และโกนผม เป็นการปฏิบัติตามบรรพบุรุษ สืบทอดต่อๆ กัน
มาสมัยปูย่า ตายาย พ่อแม่เขาทำกันมาก็เลยทำต่อๆกัน เช่นเดียว
กับ การทำข้าวเหนี ยวเหลือง ในพิธีคอตัมอัลกุรอาน พบว่า หลัง
จากเด็กได้คอตัม อัลกุรอาน ผู้ปกครองบางรายจัดทำข้าวเหนี ยว
เหลือง ให้เด็ก เพื่อเป็นการสร้างขวัญกาลังใจให้แก่เด็ก เด็กคน
ใดสามารถอ่านคัมภีร์กุรอานได้จบทั้งเล่ม
ประวัติความเป็นมา
จึงถือเป็นความสำเร็จอย่างหนึ่ งของเด็ก และเป็นความภาคภูมิใจ
ของพ่อแม่ญาติพี่น้ อง ด้วยเหตุนี้ พ่อแม่จึงมีการเฉลิมฉลองความ
สำเร็จให้แก่ลูกของตัวเอง ซึ่งการทำข้าวเหนี ยวนี้ เป็นสื่อสัญลักษณ์
ของการสร้าง “สมางัต” หรือที่เรียกว่า สร้างขวัญกาลังใจให้กับเด็ก
ที่มุ่งมั่น ตั้งใจเรียนอัลกุรอานจนอ่านอัลกรุอาน จบ 1 รอบ ซึ่งการ
ทำข้าวเหนี ยวเหลืองนี้ ไม่ได้เป็นข้อบังคับทางศาสนา อิสลามไม่ได้
กำหนดให้ทาข้าวเหนี ยว เหลืองหลังจากคอตัม อัลกุรอาน อิสลาม
เพียงกาหนดให้ผู้ปกครองมุสลิมจะต้องให้บุตรหลานของตนได้รับ
การศึกษาศาสนา เรียนรู้คาภีร์อัลกุรอานที่ถือเป็นธรรมนูญแห่งชีวิต
ของชาวมุสลิม ตั้งแต่อายุ 7 ขวบ แต่ที่ ผู้ปกครองทำข้าวเหนี ยวในวัน
ที่บุตรหลานคอตัมอัลกุรอาน เพื่อเป็นการแสดงถึงการฉลองความ
สาเร็จ ให้แก่ลูก เป็นการสร้างขวัญกาลังใจให้แก่ลูก
ประวัติความเป็นมา
ซาวข้าวเหนี ยวจนน้ำใส ( จะขัดด้วยสารส้มเพื่อให้เมล็ดข้าวใส
หรือไม่ขัดก็ได้)
เติมน้ำสะอาด ผสมขมิ้นผง แช่ข้าวเหนี ยว ไว้ 3-5 ชั่วโมง
สงข้าวเหนี ยวที่แช่แล้ว ใส่กระชอน พักจนสะเด็ดน้ำ เมล็ดข้าว
ที่แห้งเท่ากันจะทำให้ตอนนึ่ งจะสุกเสมอกัน หากเปียกบ้าง
แห้งบ้าง เมล็ดข้าวเหนี ยวจะนิ่ มไม่เสมอกัน
เทลงในผ้าขาวบาง นึ่ งในน้ำเดือด 20 นาที
ข้าวเหนี ยวนึ่ งสุก ยกลงเทใส่อ่างผสม
ใส่น้ำกะทิที่ต้มไว้ คนให้เข้ากัน
ปิดฝาไว้ 20 นาที
ครบเวลา นำมาคนตะล่อมอีกครั้ง แล้วกดให้แน่ น
พิธีกรรมที่เกี่ยวข้อง
พิธีแต่งงาน พิธีโกนผม ตั้งชื่อ พิธีคอตัมอัลกุรอาน
ข้าวเหนี ยวสี เหลือง/สี แดง
สมาชิกภายในกลุ่ม
1.นางสาวญาดา มูฮิ 6220117128
2.นางสาวนูไอนี สอรามัน 6220117150
3.นางสาวฟาห์มีน เจ๊ะสมาแอ 6220117154