The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รายงานการใช้นวัตกรรม การพัฒนาผลการเรียนและความสามารถในการสร้างสรรค์บทเพลงตารางธาตุบนแอพพลิเคชั่น TIKTOK โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 โรงเรียนแก่งกระจานวิทยา

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

9. นางสาวศิริวรรณ แก้วจันทร์

รายงานการใช้นวัตกรรม การพัฒนาผลการเรียนและความสามารถในการสร้างสรรค์บทเพลงตารางธาตุบนแอพพลิเคชั่น TIKTOK โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 โรงเรียนแก่งกระจานวิทยา

รายงานการพัฒนานวัตกรรม ตามโครงการ Innovation For Thai Education (IFTE) การพัฒนาผลการเรียนและความสามารถในการสร้างสรรค์บทเพลงตารางธาตุ บนแอพพลิเคชัน TIKTOK โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 โรงเรียนแก่งกระจานวิทยา นางสาวศิริวรรณ แก้วจันทร์ ต าแหน่ง ครู โรงเรียนแก่งกระจานวิทยา อ าเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเพชรบุรี ส านักงานคณะกรรมการกการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ


ก รายงานการพัฒนานวัตกรรม ตามโครงการ Innovation For Thai Education (IFTE) ค ำน ำ ส านักงานศึกษาธิการจังหวัดเพชรบุรี ได้ด าเนินโครงการ Innovation For Thai Education (IFTE) การพัฒนานวัตกรรมทางการศึกษา เพื่อพัฒนาการศึกษาจังหวัดเพชรบุรี ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 และส่งเสริมสนับสนุนการพัฒนานวัตกรรมการบริหารจัดการ การจัดการเรียนรู้ และการนิเทศ การศึกษา โรงเรียนแก่งกระจานวิทยา ได้รับเกียรติเข้าร่วมโครงการดังกล่าว ได้ตระหนักถึงความส าคัญและ ประโยชน์ของการเข้าร่วมโครงการ จึงได้สร้างนวัตกรรมตามบริบทของโรงเรียน ส่งผลให้เกิดประโยชน์ต่อ นักเรียนเป็นล าดับต่อไป รายงานการพัฒนานวัตกรรม ตามโครงการ Innovation For Thai Education (IFTE) การ พัฒนานวัตกรรมทางการศึกษา กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ตามหลักสูตรสถานศึกษา ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ฉบับนี้ จัดท าขึ้นเพื่อ สร้างและการพัฒนา สื่อนวัตกรรม เพื่อน ามาใช้ในการจัดการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับผู้เรียนสอดคล้องกับเนื้อหา สาระ มาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัด และจุดประสงค์การเรียนรู้ นางสาวศิริวรรณ แก้วจันทร์ ครู ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเพชรบุรี


ข รายงานการพัฒนานวัตกรรม ตามโครงการ Innovation For Thai Education (IFTE) ชื่อเรื่อง การพัฒนาผลการเรียนและความสามารถในการสร้างสรรค์บทเพลงตารางธาตุ บนแอพพลิเคชัน TIKTOK โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 โรงเรียนแก่งกระจานวิทยา ผู้รำยงำน นางสาวศิริวรรณ แก้วจันทร์ ครู โรงเรียนแก่งกระจานวิทยา ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเพชรบุรี ปีกำรศึกษำ 2566 ********************************************************************************** บทคัดย่อ การพัฒนานวัตกรรมในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและ หลังเรียน เรื่องตารางธาตุ 2) ศึกษาความคงทนในการเรียนรู้ เรื่องตาราง 3) ประเมินผลงานการสร้างสรรค์ บทเพลงตารางธาตุบนแอพพลิเคชัน TIKTOK 4) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนต่อการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 โรงเรียนแก่งกระจาน วิทยา อ าเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จ านวน 44 คน ซึ่งได้มา โดยใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง จากประชากรนักเรียนแผนการเรียนวิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์ ใช้เวลาในการ จัดการเรียนรู้ 4 ชั่วโมง เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) เรื่อง ตารางธาตุ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบปรนัย จ านวน 20 ข้อ แบบประเมิน การสร้างสรรค์ผลงานเพลงบนแอพพลิเคชัน TIKTOK แบบประเมินความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) ผลการศึกษา พบว่า นักเรียนมีคะแนน สอบก่อนเรียนเฉลี่ย 10.21 คะแนน คะแนนสอบหลังเรียนเฉลี่ย 15.5 คะแนน โดยคะแนนเฉลี่ยหลังเรียน สูงกว่าก่อนเรียน 5.25 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 26.25 และคะแนนร้อยละความก้าวหน้าเฉลี่ย 26.25 ซึ่ง อยู่ในเกณฑ์พัฒนาการระดับกลาง ปล่อยให้เวลาผ่านไปเป็นระยะเวลา 3 สัปดาห์ แล้วท าการทดสอบซ้ าอีก ครั้งหนึ่งด้วยแบทททดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางเรียนฉบับเดิม นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 15.45 คะแนน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 1.90 แสดงให้เห็นว่ามีความคงทนของการเรียน ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยส าคัญทาง สถิติที่ระดับ 0.05 นักเรียนแต่ละกลุ่มได้รับผลการประเมินประเมินผลงานการสร้างสรรค์บทเพลงตารางธาตุ บนแอพพลิเคชัน TIKTOK อยู่ในระดับคุณภาพดี และนักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) อยู่ในระดับมากที่สุด


ค รายงานการพัฒนานวัตกรรม ตามโครงการ Innovation For Thai Education (IFTE) สำรบัญ หน้า ค าน า ก บทคัดย่อ ข บทที่ 1 ความเป็นมาและความส าคัญของปัญหา ความเป็นมาและความส าคัญของปัญหา 1 วัตถุประสงค์ 4 ขอบเขตของการศึกษา 4 สมมติฐาน 4 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 5 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 6 ความคงทนในการเรียนรู้ 9 แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) 12 ความพึงพอใจ 15 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 17 บทที่ 3 วิธีด าเนินการ การก าหนดประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 19 การสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการพัฒนา 19 การด าเนินการรวบรวมข้อมูล 23 การวิเคราะห์ข้อมูล 23 บทที่ 4 ผลการด าเนินการ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน เรื่องตารางธาตุ 25 ความคงทนในการเรียนรู้ เรื่องตารางธาตุ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 27 ผลการประเมินการสร้างสรรค์บทเพลงตารางธาตุบนแอพพลิเคชัน TIKTOK 28 ความพึงพอใจของนักเรียนต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) 28 บทที่ 5 สรุปและอภิปรายผล วัตถุประสงค์ 29 สรุปและอภิปรายผล 29 ข้อเสนอแนะ 32 บรรณานุกรม ภาคผนวก


ง รายงานการพัฒนานวัตกรรม ตามโครงการ Innovation For Thai Education (IFTE) สำรบัญตำรำง หน้า ตารางที่ 1 กิจกรรมการเรียนรู้ที่ใช้ในการจัดกิจกรรม 20 ตารางที่ 2 การก าหนดข้อสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องตารางธาตุ 21 ตารางที่ 3 เกณฑ์การให้คะแนนค าถามวัดระดับความพึงพอใจเชิงบวกและเชิงลบ 22 ตารางที่ 4 เกณฑ์การแปลความหมายของความพึงพอใจ 22 ตารางที่ 5 เกณฑ์คะแนนพัฒนาการสัมพัทธ์ 24 ตารางที่ 6 แสดงคะแนนวัดผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียนและหลังเรียน คะแนนความก้าวหน้า ทางการเรียนของนักเรียน และการทดสอบค่าทีโดยใช้สถิติค่าที แบบกลุ่มตัวอย่างไม่อิสระต่อกัน (Dependent samples t-test) 25 ตารางที่ 7 แสดงคะแนนวัดผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียนและหลังเรียน คะแนนความก้าวหน้า ทางการเรียนของนักเรียน และการทดสอบค่าทีโดยใช้สถิติค่าที แบบกลุ่มตัวอย่างไม่อิสระต่อกัน (Dependent samples t-test) (ต่อ) 26 ตารางที่ 8 แสดงผลการหาค่าเฉลี่ยก่อนเรียนหลังเรียน ผลต่างของคะแนนเฉลี่ย ก่อนเรียนและหลังเรียน และคะแนนความก้าวหน้า 27 ตารางที่ 9 เปรียบเทียบคะแนนวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน และเมื่อเวลาผ่านไป 3 สัปดาห์ (ความคงทนในการเรียนรู้) 27 ตารางที่ 10 ความพึงพอใจของนักเรียนต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการ จัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) เรื่อง ตารางธาตุ ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 28


1 รายงานการพัฒนานวัตกรรม ตามโครงการ Innovation For Thai Education (IFTE) บทที่ 1 ความเป็นมาและความส าคัญของปัญหา 1.1 ความเป็นมาและความส าคัญของปัญหา การปฏิรูปการเรียนรู้ถือเป็นหัวใจส าคัญของการปฏิรูปการศึกษา ตามที่พระราชบัญญัติการศึกษา แห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 (ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ , 2545) ได้ให้ความส าคัญกับการปฏิรูปการเรียนรู้ของผู้เรียน โดยยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถ เรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนส าคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียน สามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ กระบวนการจัดการศึกษาต้องเน้นความส าคัญทั้งความรู้ คุณธรรม กระบวนการเรียนรู้และต้องมีความหลากหลายสามารถบูรณาการตามความเหมาะสมของแต่ละ ระดับ เพื่อมุ่งพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้ และคุณธรรม มี จริยธรรมและวัฒนธรรมในการด ารงชีวิต และสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข สอดคล้องกับ แผนพัฒนาการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ ที่มีเป้าหมายเพื่อพัฒนาเยาวชนไทยให้เป็นคนดี เก่ง มีความสุข มีความรู้เชิงวิชาการและสมรรถนะทางวิชาชีพ เรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างมีคุณภาพ มีสุขภาพกาย และจิตใจที่สมบูรณ์ สามารถประกอบอาชีพและอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข (ส านักงานเลขาธิการสภา การศึกษา, 2553: 10) ดังนั้นกระบวนการจัดการศึกษาต้องค านึงถึงความเหมาะสมของผู้เรียน และประโยชน์ สูงสุดที่ผู้เรียนควรได้รับ อันจะน าไปสู่การเกิดการเรียนรู้อย่างแท้จริง พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 และ (ฉบับที่3) พ.ศ.2553 ในหมวดที่ 4 มาตรา 22 เกี่ยวกับการจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่า ผู้เรียนทุกคนมีความสามารถ เรียนรู้และพัฒนาตนเองได้และถือว่าผู้เรียนมีความส าคัญที่สุด เน้นทั้งความรู้และทักษะด้านวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยี (กรมวิชาการ, 2551) วิธีการจัดการกระบวนการเรียนรู้ถือเป็นปัจจัยส าคัญที่ท าให้เกิดการสร้าง องค์ความรู้ด้วยตนเอง ซึ่งกระบวนการจัดการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์ที่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ ในนวัตกรรมนี้ คือรูปแบบการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (Scientific Inquiry Process) คือ กระบวนการที่ผู้เรียนเกิด กระบวนการสร้างความรู้ กระบวนการคิด เรียนรู้จากประสบการณ์จริงลงมือปฏิบัติ ลงมือท าจริง และ สามารถน าความรู้ทางวิทยาศาสตร์ไปเชื่อมโยงและใช้ในชีวิตประจ าวันได้ เกิดเจตคติที่ดีต่อวิทยาศาสตร์ เกิดเป็นความสามารถในการสืบเสาะหาความรู้ของผู้เรียน รวมถึงความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการสืบเสาะ หาความรู้นั้นด้วย ดังนั้นหัวใจส าคัญในการสืบเสาะหาความรู้ก็เพื่อให้นักเรียนได้ใช้ทักษะกระบวนการในการ ตรวจสอบรวมรวมข้อมูล มาอธิบายปรากฏการณ์และแก้ปัญหาหรือข้อสงสัยเพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจ ในเนื้อหา โดยผ่านกระบวนการ 5 ขั้นตอน คือการตั้งค าถาม(Ark) การสืบสวน(Investigate) การเชื่อมโยง


2 รายงานการพัฒนานวัตกรรม ตามโครงการ Innovation For Thai Education (IFTE) (Create) การอภิปราย(Discuss) และการสะท้อนกลับหาข้อสรุป(Reflect) ผู้เรียนจะเกิดการเรียนรู้แบบ สืบเสาะหาความรู้ได้ดีจ าเป็นต้องได้รับการสนับสนุน จากการจัดกระบวนการเรียนรู้ของครูคือ The 5Es’s Learning Cycle ประกอบด้วยการกระตุ้นความสนใจ(Engage) การส ารวจ(Explore) การอธิบาย(Explain) การขยายประสบการณ์(Extend) และการประเมินผล (Evaluation) ผลการวิจัยของสาขาวิชาชีววิทยา สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2550) พบว่า การจัดกระบวนการเรียนรู้แบบสืบเสาะหา ความรู้ (5Es) สามารถพัฒนาผู้เรียนให้กล้าคิดกล้าท า กล้าซักถาม กล้าโต้แย้งกล้าแสดงออก รู้จักคิด วิเคราะห์ มีความคิดหลากหลาย มีจิตวิทยาศาสตร์ บรรยากาศการเรียน การสอนเป็นบรรยากาศการเรียนรู้ อย่างอิสระและสร้างสรรค์ ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ส าคัญในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์มุ่งหวังให้ผู้เรียนได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์ ที่เน้นการเชื่อมโยงความรู้ กับกระบวนการ มีทักษะส าคัญในการคันคว้าและสร้างองค์ความรู้ โดยใช้กระบวนการในการสืบเสาะหา ความรู้ และการแก้ปัญหาที่หลากหลาย ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ทุกขั้นตอน มีการท ากิจกรรมด้วย การลงมือปฏิบัติจริงอย่างหลากหลาย เหมาะสมกับระดับชั้น โดยได้ก าหนดสาระส าคัญไว้ดังนี้ วิทยาศาสตร์ ชีวภาพ เรียนรู้เกี่ยวกับ ชีวิตในสิ่งแวดล้อม องค์ประกอบของสิ่งมีชีวิต การด ารงชีวิตของมนุษย์และสัตว์การ ด ารงชีวิตของพืช พันธุกรรม ความหลากหลายทางชีวภาพ และวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต วิทยาศาสตร์ กายภาพ เรียนรู้เกี่ยวกับธรรมชาติของสาร การเปลี่ยนแปลงของสาร การเคลื่อนที่ พลังงาน และคลื่น วิทยาศาสตร์โลกและอวกาศ เรียนรู้เกี่ยวกับองค์ประกอบของเอกภพ ปฏิสัมพันธ์ภายในระบบสุริยะ เทคโนโลยีอวกาศ ระบบโลก การเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยา กระบวนการเปลี่ยนแปลงลมฟ้าอากาศ และผลต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม การออกแบบและเทคโนโลยีเรียนรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีเพื่อการด ารงชีวิต ในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ใช้ความรู้และทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์คณิตศาสตร์ และศาสตร์ อื่นๆ เพื่อแก้ปัญหาหรือพัฒนางานอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ด้วยกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม เลือกใช้ เทคโนโลยีอย่างเหมาะสมโดยค านึงถึงผลกระทบต่อชีวิต สังคม และสิ่งแวดล้อม วิทยาการค านวณ เรียนรู้ เกี่ยวกับการคิดเชิงค านวณ การคิดวิเคราะห์แก้ปัญหา เป็นขั้นตอนและเป็นระบบ ประยุกต์ใช้ความรู้ด้าน วิทยาการคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสารในการแก้ปัญหาที่พบในชีวิตจริงได้อย่างมี ประสิทธิภาพ วิทยาศาสตร์มีบทบาทส าคัญยิ่งในโลกปัจจุบัน และนับวันจะมีบทบาทมากขึ้นในอนาคต เพราะ วิทยาศาสตร์เกี่ยวข้องกับทุกคนทั้งในชีวิตประจ าวันและการงานอาชีพต่างๆ ตลอดจนเทคโนโลยีเครื่องมือ เครื่องใช้และผลผลิตต่างๆ ที่มนุษย์ใช้เพื่ออ านวยความสะดวกในชีวิตและการท างาน (ส านักวิชาการและ มาตรฐานการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ, 2551: 2) นอกจากนี้วิทยาศาสตร์ยังเป็นปัจจัยที่มีบทบาทและ ความส าคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาขีดความสามารถของประเทศ ซึ่งจะเห็นได้จากประเทศที่เป็นผู้น าทาง


3 รายงานการพัฒนานวัตกรรม ตามโครงการ Innovation For Thai Education (IFTE) เศรษฐกิจในปัจจุบัน ซึ่งเป็นประเทศที่มีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีก าลังคนที่มีคุณภาพ มีความรู้และทักษะที่เป็นเลิศทางด้านวิทยาศาสตร์ (ส านักงานเลขาธิการสภาการศึกษา, 2553 : 49) สอดคล้อง กับส านักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ (2545: 7) ได้ก าหนดจุดมุ่งหมายการจัดการศึกษาไว้เพื่อพัฒนา ก าลังคนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อการพึ่งตนเองและเพิ่มสมรรถนะในการแข่งขันในระดับ นานาชาติและสร้างสังคมคุณธรรม ภูมิปัญญาและการเรียนรู้ นอกจากนี้ยังก าหนดจุดมุ่งหมายไว้เพื่อพัฒนา สังคมแห่งการเรียนรู้เพื่อสร้างความรู้ ความคิด ความประพฤติและคุณธรรมของคน โดยการด าเนินการ ฝึกทักษะ กระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญสถานการณ์และการประยุกต์ความรู้มาใช้เพื่อป้องกัน และแก้ไขปัญหา การจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ฝึกการปฏิบัติให้ท าได้ คิดเป็น ท าเป็น รักการอ่านและเกิดการใฝ่รู้อย่างต่อเนื่อง ดังนั้นการเตรียมทุกคนให้ได้รับการพัฒนาให้รู้วิทยาศาสตร์ (Scientific literacy for all) จึงเป็นจุดหมายสูงสุดของหลักสูตรวิทยาศาสตร์ โรงเรียนแก่งกระจานวิทยา สังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเพชรบุรี ส านักงาน คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ เป็นโรงเรียนที่มีการจัดการศึกษาในระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 – 6 บริบทของโรงเรียนแก่งกระจานวิทยา คือ เป็นโรงเรียนมัธยมขนาดกลาง ตั้งอยู่ใน อ าเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี นักเรียนมาจากพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ ผู้ปกครอง นักเรียนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม มีฐานะค่อนข้างยากจน และไม่ค่อยให้ความส าคัญต่อการศึกษา เท่าที่ควร จึงท าให้นักเรียนที่จบการศึกษาออกไปส่วนมากไม่ได้ศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา นักเรียนไม่มี เป้าหมายในการศึกษา ไม่รู้ว่าตนเองเรียนไปเพื่ออะไร ท าให้ยากต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การสอน ส่งผล ให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีโดยเฉลี่ยค่อนข้างต่ า ผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) ในวิชาวิทยาศาสตร์ ระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนแก่งกระจานวิทยา ปีการศึกษา 2565 มีคะแนนเฉลี่ยต่ ากว่าระดับประเทศ จึง เป็นเหตุผลที่ท าให้คณะครูกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้ปรึกษาหารือภายในกลุ่มสาระ การเรียนรู้ เพื่อหาทางแก้ไขปัญหา เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ในปีการศึกษา 2566 ต่อไป จากปัญหาที่พบในโรงเรียนแก่งกระจานวิทยา และจากการศึกษารวบรวมข้อมูล ท าให้เกิดแนวคิด ในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับรายวิชา เคมี จึงได้มีการพัฒนานวัตกรรม เกี่ยวกับการพัฒนาผลการเรียนและ ความสามารถในการสร้างสรรค์บทเพลงตารางธาตุบนแอพพลิเคชัน TIKTOK โดยใช้กระบวนการจัดการ เรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 โรงเรียนแก่งกระจานวิทยา


4 รายงานการพัฒนานวัตกรรม ตามโครงการ Innovation For Thai Education (IFTE) 1.2 วัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน เรื่องตารางธาตุ ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 4/1 2. เพื่อศึกษาความคงทนในการเรียนรู้ เรื่องตารางธาตุ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 3. เพื่อประเมินผลงานการสร้างสรรค์บทเพลงตารางธาตุบนแอพพลิเคชัน TIKTOK 4. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) 1.3 ขอบเขตของการศึกษา 1.3.1 ประชากร ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนแก่งกระจานวิทยา อ าเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเพชรบุรี 1.3.2 กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ศึกษาเป็นนักเรียนชั้นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนแก่งกระจานวิทยา อ าเภอ แก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเพชรบุรี ได้จากการเลือกแบบเจาะจง จากประชากรนักเรียนแผนการเรียนวิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์ เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 จ านวน 44 คน 1.3.3 ตัวแปรที่ศึกษา 1.3.3.1 ตัวแปรต้น คือ กระบวนการจัดการเรียนรู้โดยกระบวนการเรียนรู้แบบสืบเสาะหา ความรู้ (5Es) 1.3.3.2 ตัวแปรตาม 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมี เรื่องตารางธาตุ 2) ความคงทนในการเรียนรู้ เรื่องตารางธาตุ 3) ผลงานการสร้างสรรค์บทเพลงตารางธาตุบนแอพพลิเคชัน TIKTOK 4) ความพึงพอใจของนักเรียนต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยกิจกรรมการเรียนแบบสืบเสาะหา ความรู้ (5Es) เรื่องตารางธาตุ 1.4 สมมติฐาน


5 รายงานการพัฒนานวัตกรรม ตามโครงการ Innovation For Thai Education (IFTE) 1. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยกิจกรรมการเรียนแบบสืบเสาะหา ความรู้ (5Es) เรื่องตารางธาตุ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติ ที่ระดับ 0.05 2. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยกิจกรรมการเรียนแบบสืบเสาะหา ความรู้ (5Es) เรื่องตารางธาตุ และการสร้างสรรค์บทเพลงตารางธาตุบนแอพพลิเคชัน TIKTOK มีคะแนน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกับคะแนนความคงทนทางการเรียนไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 3. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 สร้างสรรค์บทเพลงตารางธาตุบนแอพพลิเคชัน TIKTOK อยู่ ในระดับ ดี 4. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยกิจกรรมการเรียนแบบสืบเสาะหา ความรู้ (5Es) มีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ในระดับมากที่สุด 1.6 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1.6.1 นักเรียนได้รับการส่งเสริมและพัฒนาด้านความรู้และทักษะกระบวนการท างานเป็นกลุ่ม เรื่อง ตารางธาตุ ด้วยกิจกรรมการเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) 1.6.2 ครูได้แผนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) เพื่อน าไปใช้พัฒนาการจัดการ เรียนรู้ วิชาเคมี เรื่อง ตารางธาตุ ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 1.6.3 นักเรียนได้รับการส่งเสริมให้มีความกล้าคิดกล้าแสดงออกมากยิ่งขึ้น


6 รายงานการพัฒนานวัตกรรม ตามโครงการ Innovation For Thai Education (IFTE) บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การศึกษาค้นคว้าในการพัฒนานวัตกรรม เรื่อง การพัฒนาผลการเรียนรู้และความสามารถในการ สร้างสรรค์บทเพลงตารางธาตุบนแอพพลิเคชัน TIKTOK โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหา ความรู้ (5Es) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 โรงเรียนแก่งกระจานวิทยา ได้ศึกษาค้นคว้าข้อมูล เกี่ยวกับทฤษฎี แนวคิด หลักการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องดังนี้ 2.1 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2.2 ความคงทนในการเรียนรู้ 2.3 แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) 2.4 ความพึงพอใจ 2.5 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2.1 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2.1.1 ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน มีนักวิชาการหรือนักการศึกษาหลายท่านได้ให้ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ดังนี้ กู๊ด และคาเตอร์ (Good ; & Carter . 1971) ได้ให้ความหมายของผลสัมฤทธิ์ (Achievement) หมายถึง ความส าเร็จ ความคล่องตัว ความช านาญในทักษะหรือประยุกต์ใช้ความรู้ต่างๆ ส่วนผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน (Academic Achievement) หมายถึง ความรู้หรือทักษะอันเกิดจากการเรียนรู้ในวิชาต่างๆ ที่ได้เรียนมาแล้ว ซึ่งได้จากผลการทดสอบของครูผู้สอน หรือผู้รับผิดชอบในการสอนหรือทั้งสองอย่างรวมกัน นิพัทธา ชัยกิจ (2551 : 54) ได้ให้ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ หมายถึง ความรู้ความสามารถของผู้เรียนทางด้านวิทยาศาสตร์ ซึ่งสามารถวัดได้จากพฤติกรรมที่เกิดขึ้นกับผู้เรียน หลังจากการเรียนรู้ ปานใจ ไชยวรศิลป์ (2549 : 16) ได้ให้ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ผลรวม ของมวลประสบการณ์ที่ได้จากการเรียน ซึ่งโดยปกติจะพิจารณาจากคะแนนสอบ การฝึกอบรมหรืทอคะแนน ที่ได้จากงานที่ครูมอบหมายให้หรือทั้งสองอย่าง ศุภพงค์ คล้ายคลึง (2548 : 27) ได้กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ผลส าเร็จที่เกิด จากพฤติกรรมการกระท ากิจกรรมของแต่ละบุคคล ที่ต้องอาศัยความพยายามอย่างมาก ทั้งองค์ประกอบที่


7 รายงานการพัฒนานวัตกรรม ตามโครงการ Innovation For Thai Education (IFTE) เกี่ยวข้องกับสติปัญญา และองค์ประกอบที่ไม่ใช่สติปัญญา ซึ่งสามารถสังเกตและวัดได้ด้วยเครื่องมือทาง จิตวิทยา หรือแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ด้านต่างๆ ภพ เลาหไพบูลย์ (2542 : 295) ได้ให้ความหมาย ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ว่าเป็นพฤติกรรมที่ แสดงออกถึงความสามารถในการกระท าสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ จากที่ไม่เคยกระท าได้ หรือกระท าได้น้อยก่อนที่จะมี การเรียนรู้ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่สามารถวัดได้ จากความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนข้างต้น พอสรุปความหมาย ได้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียน หมายถึง ผลของความรู้ความสามารถของผู้เรียน ซึ่งเป็นผลมาจากการสะสมประสบการณ์จากการ จัดกิจกรรมการเรียนการสอน การฝึกทักษะ สามารถกระท าสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้จากที่ไม่เคยกระท าได้มาก่อน ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่สามารถวัดได้จากการสังเกตและวัดด้วยเครื่องมือทางจิตวิทยา หรือแบบทดสอบวัดผลใน ด้านต่างๆ 2.1.2 ประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน พิชิต ฤทธิ์จรูญ (2545 : 96) กล่าวไว้ว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ 1. แบบทดสอบที่ครูสร้างขึ้นเอง หมายถึง แบบทดสอบที่มุ่งวัดผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนเฉพาะของ กลุ่มที่ครูสอน เป็นแบบทดสอบที่ครูสร้างขึ้นใช้กันโดยทั่วไปในสถานศึกษา มีลักษณะเป็นแบบทดสอบ ข้อเขียน ซึ่งแบ่งออกได้อีก 2 ชนิด คือ 1.1 แบบทดสอบอัตนัย เป็นแบบทดสอบที่ก าหนดค าถามหรือปัญหาแล้วให้ผู้ตอบเขียน แสดงความรู้ ความคิด เจตคติ ได้อย่างเต็มที่ 1.2 แบบทดสอบปรนัย หรือแบบให้ตอบสั้นๆ เป็นแบบทดสอบที่ก าหนดให้ผู้สอบเขียน ตอบสั้นๆ หรือมีค าตอบให้เลือกแบบจ ากัดค าตอบ ผู้ตอบไม่มีโอกาสแสดงความรู้ ความคิด ได้อย่าง กว้างขวางเหมือนแบบทดสอบอัตนัย แบบทดสอบชนิดนี้แบ่งออกเป็น 4 แบบ คือ แบบทดสอบถูก-ผิด แบบทดสอบเติมค า แบบทดสอบจับคู่ และแบบทดสอบเลือกตอบ 2. แบบทดสอบมาตรฐาน หมายถึง แบบทดสอบที่มุ่งวัดผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนทั่วๆไป ซึ่งสร้าง โดยผู้เชี่ยวชาญ มีการคิดวิเคราะห์ และปรับปรุงอย่างดีจนมีคุณภาพ กล่าวคือ มีมาตรฐานในการด าเนินการ สอบ วิธีการให้คะแนนการแปลความหมายของคะแนน ล้วน สายยศ และอังคณา (2543 : 146-147) ได้กล่าวว่า แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็น แบบทดสอบที่วัดความรู้ของนักเรียนที่ได้เรียนไปแล้ว ซึ่งมักเป็นข้อค าถามให้นักเรียนตอบด้วยกระดาษและ ดินสอกับให้นักเรียนปฏิบัติ รูปแบบของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่สร้างง่ายและนิยมใช้มี 2 แบบ คือ


8 รายงานการพัฒนานวัตกรรม ตามโครงการ Innovation For Thai Education (IFTE) 1. อัตนัย หรือความเรียง (Subjective or Essay Type) หมายถึง แบบทดสอบที่ก าหนด ปัญหา หรือค าถามให้ผู้ตอบเขียนตอบยาวๆ เหมาะส าหรับการวัดหลายๆด้านในแต่ละข้อ เช่น วัดความคิด วัดภาษา วัดอารมณ์ 2. แบบปรนัยหรือแบบใช้ตอบสั้นๆ (Subjective or Shot Answer Type) หมายถึง แบบทดสอบที่ให้ค าตอบสั้นๆ หรือก าหนดค าตอบให้เลือก อาจเป็นค าตอบ ถูก-ผิด จับคู่ แบบเติมค าหรือ แบบเลือกตอบ จากที่กล่าวมาข้างต้นสรุปได้ว่า ประเภทของแบบทดสอบที่นิยมใช้ มี 2 แบบ คือ แบบอัตนัย หรือเป็นความเรียงใช้เขียนตอบยาวๆ ใช้วัดความคิด เจตคติ และแบบปรนัยเป็นแบบทดสอบที่ให้ค าตอบ สั้นๆ มี 4 แบบ ได้แก่ แบบทดสอบถูก-ผิด แบบทดสอบจับคู่ แบบเติมค า และแบบเลือกตอบ 2.1.3 การประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ในการก าหนดวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมที่พึงประสงค์ที่ต้องการให้เกิดขึ้นกับผู้เรียนได้มีนักวิจัย กล่าวไว้ดังนี้ ขนิษฐา กรก าแหง (2551 : 57-58 ; อ้างอิงจากบลูม. 1965 : 205) ได้กล่าวถึงล าดับขั้นตอนที่ใช้ใน การเขียนวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมด้านความรู้ความคิดไว้ 6 ขั้นตอน คือ 1. ความรู้ความจ า หมายถึง การระลึกหรือท่องจ าความรู้ต่างๆ ที่ได้เรียนมาแล้วโดยตรง ใน ขั้นนี้รวมถึงการระลึกถึงข้อมูล ข้อเท็จจริงต่างๆ ไปจนถึงเกณฑ์ ทฤษฎีจากต ารา ดังนั้นขั้นความรู้ความจ าจึง จัดได้ว่าเป็นขั้นต่ าสุด 2. ความเข้าใจ หมายถึง ความสามารถที่จะจับใจความส าคัญของเนื้อหาที่ได้เรียนหรืออาจ แปลความจากตัวเลข การสรุป การย่อความต่างๆ การเรียนรู้ในขั้นที่สูงกว่าการท่องจ าตามปกติอีกขั้นหนึ่ง 3. การน าไปใช้ หมายถึง ความสามารถที่จะน าความรู้ที่นักเรียนได้เรียนมาแล้วไปใช้ใน สถานการณ์ใหม่ ดังนั้นในขั้นนี้จึงรวมถึงความสามารถในการเอากฎ มโนทัศน์ หลักส าคัญวิธีการน าไปใช้ การเรียนรู้ในขั้นนี้ถือว่า นักเรียนจะต้องมีความเข้าใจในเนื้อหาเป็นอย่างดีเสียก่อน จึงจะน าความรู้ไปใช้ได้ ดังนั้นจึงจัดอันดับให้สูงกว่าความเข้าใจ 4. การวิเคราะห์ หมายถึง ความสามารถที่จะแยกแยะเนื้อหาวิชา ลงไปเป็นองค์ประกอบ ย่อยๆ เหล่านั้นเพื่อที่จะได้มองเห็นหรือเข้าใจความเกี่ยวโยงต่างๆ ในขั้นนี้จึงรวมถึงการแยกแยะหา ส่วนประกอบย่อยๆ หาความสัมพันธ์ระหว่างส่วนย่อยๆ เหล่านั้นตลอดจนหลักส าคัญต่างๆ ที่เข้ามาเกี่ยวข้อง การเรียนรู้ในขั้นนี้ ถือว่าสูงกว่าการน าเอาไปใช้ และต้องเข้าใจทั้งเนื้อหา และโครงสร้างของบทเรียน 5. การสังเคราะห์ หมายถึง ความสามารถที่จะน าเอาส่วนย่อยๆ มาประกอบกันเป็นสิ่งใหม่ การสังเคราะห์จึงเกี่ยวกับการวางแผน การออกแบบการทดลอง การตั้งสมมติฐาน การแก้ปัญหาที่ยาก การ


9 รายงานการพัฒนานวัตกรรม ตามโครงการ Innovation For Thai Education (IFTE) เรียนรู้ในระดับนี้เป็นการเน้นพฤติกรรมที่สร้างสรรค์ในอันที่จะสร้างแนวคิด หรือแบบแผนใหม่ๆขึ้นมา ดังนั้น การสังเคราะห์เป็นสิ่งที่สูงกว่าการวิเคราะห์อีกขั้นหนึ่งนั่นเอง 6. การประเมินค่า หมายถึง ความสามารถที่จะตัดสินใจเกี่ยวกับคุณค่าต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ค าพูด นวนิยาย บทกวี หรือรายงานการวิจัย การตัดสินใจดังกล่าวจะต้องวางแผนอยู่บนเกณฑ์ที่แน่นอน เกณฑ์ดังกล่าวอาจจะเป็นสิ่งที่นักเรียนคิดขึ้นมาเองหรือน ามาจากที่อื่นก็ได้ การเรียนรู้ในขั้นนี้ถือว่าเป็นการ เรียนรู้ขั้นสูงสุดของความรู้ความจ า 2.2 ความคงทนในการเรียนรู้ 2.2.1 ความหมายของความคงทนในการเรียนรู้ ความคงทนในการเรียนมีความจ าเป็นและส าคัญมากส าหรับวิชาเคมี เพราะธรรมชาติของวิชาเคมี ต้องใช้ความรู้เดิมเป็นฐาน ส าหรับการเรียนรู้เนื้อหาในระดับที่สูงขึ้น และมีความต่อเนื่องกันไปตามล าดับ จน สามารถน าความรู้ที่ได้จากการเรียนรู้ไปใช้แก้ปัญหาในชีวิตประจ าวันได้ จากความส าคัญดังกล่าวมีผู้ให้ ความหมายของความคงทนในการเรียนรู้ไว้ดังนี้ อดัม (Adams. 1967 : 9) กล่าวว่า การคงไว้ซึ่งผลการเรียนหรือความสามารถที่จะระลึกได้ต่อสิ่ง เร้าที่เคยเรียนหรือเคยมีประสบการณ์รับรู้มาแล้ว หลังจากที่ได้ทอดทิ้งไว้ชั่วระยะเวลาหนึ่งก็คือ ความคงทน ในการจ า และในการประเมินผลการเรียนรู้ที่มีการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นแล้วหรือยังหรือเกิดการเปลี่ยนแปลง ไปมากน้อยเพียงใด ถ้าเราประเมินผลทันทีที่ผู้เรียนท าสิ่งนั้นที่เราต้องการได้ส าเร็จ ผลที่ได้คือผลของการ เรียนรู้ แต่ถ้าเราคอยให้เวลาล่วงเลยไประยะหนึ่งอาจเป็น 2 นาที 5 นาที หรือหลายๆวันค่อยประเมินผล การเปลี่ยนแปลงที่ได้คือผลการเรียนรู้ของความคงทนในการจ า กมลรัตน์ หล้าสุวงษ์ (2540) ให้ความหมายว่า ความสามารถสะสมประสบการณ์ต่างๆ ได้รับจาก การเรียนรู้ทั้งทางตรงและทางอ้อม แล้วสามารถถ่ายทอดออกมาในรูปการระลึกได้หรือการจ าได้ เกษมศรี ภัทรภูริสกุล (2544 : 40) ได้กล่าวว่า ความคงทนในการเรียน หมายถึง ความสามารถ ในการสะสม ระลึกถึงเนื้อหาหรือสิ่งต่างๆ ที่นักเรียนได้รับการเรียนรู้หรือได้รับประสบการณ์มาก่อนใน ระยะเวลาที่ทิ้งช่วงห่างกันออกไประยะหนึ่ง ประณิตา อุทาน (2532) ได้ให้ความหมายว่า ความคงทนในการจ า คือความคงทนไว้ซึ่งผลการ เรียนรู้ หรือตามความสามารถที่จะระลึกได้ต่อสิ่งเร้าที่เคยเรียนหรือเคยมีประสบการณ์การเรียนรู้มาแล้ว หลังจากที่ได้ทิ้งระยะเวลาหนึ่ง


10 รายงานการพัฒนานวัตกรรม ตามโครงการ Innovation For Thai Education (IFTE) รัชนี มณีโกศล (2540) กล่าวว่า ความคงทนในการเรียนรู้ หมายถึง ความสามารถในการจ าและ ระลึกได้จากประสบการณ์เดิมที่เคยได้รับมาแล้ว อีกทั้งยังสามารถน ามาใช้ในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้หลังจาก ทิ้งไว้ระยะหนึ่ง ศิริพร ทุเครือ (2544) กล่าวว่า ความคงทนในการเรียนรู้ หมายถึง ความสามารถในการระลึกถึง การเรียนรู้ที่ได้เรียนผ่านไปแล้ว ซึ่งในกระบวนการเรียนการสอนนอกจากความเข้าใจในเรื่องเนื้อหาแล้ว เรื่อง ของความจ าเป็นสิ่งส าคัญและจ าเป็นต่อการเรียนรู้มาก เพราะผู้เรียนจะได้น าความรู้นั้นไปใช้ในสถานการณ์ ต่างๆ ได้อย่างถูกต้องและเหมาะสมต่อไป สามารถ สุขาวงษ์ (2537) กล่าวว่า ความคงทนในการเรียนรู้ หมายถึง การที่คนเราจ าเรื่องราว ต่างๆ ที่รับรู้ได้นั้นมีความส าคัญเป็นอย่างยิ่งต่อการด าเนินชีวิตและการปรับตัวให้ตนเองอยู่ได้ในสังคมที่ เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว สุกัญญา เทียนพิทักษ์กุล (2543 : 51) ได้กล่าวว่า ความคงทนในการเรียน หมายถึง ความสามารถในการจ า และการระลึกได้ต่อประสบการณ์ที่รับรู้มาแล้วหลังจากได้ทิ้งช่วงไว้ระยะหนึ่ง อรรคพล ค าภู (2543 : 28) ได้กล่าวว่า ความคงทนในการเรียนรู้ หมายถึง การที่ร่างกายสามารถ ที่จะแสดงอาการหรือพฤติกรรมที่เคยเรียนมาแล้ว หรือมีประสบการณ์รับรู้มาแล้วหลังจากที่ทอดทิ้งไว้ชั่ว ระยะเวลาหนึ่ง โดยไม่มีการกระท าอาการนั้นออกมาเลยในช่วงเวลาที่ทิ้งไป จากความหมายที่กล่าวมาสามารถสรุปได้ว่า ความคงทนในการเรียนรู้ หมายถึง ความสามารถที่ จะระลึกได้ต่อสิ่งเร้าที่เคยเรียนหรือที่เคยมีประสบการณ์รับรู้มาแล้ว หลังจากได้ทิ้งเวลาไว้ช่วงระยะหนึ่ง หรือ การคงไว้ซึ่งพฤติกรรมที่เกิดขึ้นจากการเรียนรู้ และสามารถที่จะระลึกได้เมื่อเวลาผ่านไปในระยะเวลา 2 สัปดาห์ โดยการประเมินด้วยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2.2.2 การทดสอบความคงทนในการเรียนรู้ ชีราพร ภู่ตระกูล (ทิพรัตน์ สัตระ. 2549 : 36 ; อ้างอิงจาก ชีราพร ภู่ตระกูล. 2546 : 32) กล่าวว่า การวัดความคงทนในการเรียนรู้ เป็นการสอบซ้ าโดยใช้แบบทดสอบฉบับเดียวกันไปทดสอบกับกลุ่ม ตัวอย่างกลุ่มเดียว เวลาในการทดสอบครั้งแรกและครั้งที่สองควรเว้นห่างกันประมาณ 2 สัปดาห์ ในการศึกษาเกี่ยวกับความจ าว่าบุคคลใดมีความจ ามากน้อยเพียงใด มีวิธีการทดสอบ 2 วิธี คือ 1. การจ าได้ (Recognition) หมายถึง การจ าได้ในสิ่งที่พบเห็นโดยการแสดงสิ่งของหรือ เหตุการณ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ถูกทดสอบเคยประสบมาแล้วได้เห็นต่อหน้า ผู้ถูกทดสอบก็จะเปรียบเทียบการรับรู้ ของตนในอดีตและเลือกตอบตามความคิดเห็น หรือจะตอบว่าจ าได้หรือไม่ได้เท่านั้น 2. การระลึก (Recall) ผู้ระลึกจะสร้างเหตุการณ์ต่างๆจากความจ า อาจจะเขียนหรือเล่าใน สิ่งที่เรียนรู้ผ่านไปแล้ว โดยไม่ให้โอกาสทบทวนก่อนการทดสอบ การทดสอบประเภทนี้มี 3 วิธี คือ


11 รายงานการพัฒนานวัตกรรม ตามโครงการ Innovation For Thai Education (IFTE) 2.1 การระลึกเสรี (Free recall) เป็นการระลึกสิ่งเร้าใดๆ ก่อนหรือหลังก็ได้ดยไม่ต้อง เรียงล าดับ 2.2 การระลึกตามล าดับ (Cerial recall) เป็นการระลึกสิ่งเร้าตามล าดับ เช่น หมายเลข โทรศัพท์ 2.3 การระลึกซ้ า (Relearning) หมายถึง การท าซ้ าๆ หรือการเสนอสิ่งเร้าซ้ าๆในการ เรียนรู้ การเรียนรู้แบบนี้มักใช้วัดด้วยเวลาหรือจ านวนครั้ง กล่าวโดยสรุป คือ การทดสอบความคงทนในการเรียนรู้จะต้องใช้ข้อสอบฉบับเดียวกัน มา ทดสอบกับกลุ่มตัวอย่างเดิม และทิ้งระยะห่างของการทดสอบครั้งแรกกับครั้งที่สองประมาณ 2 สัปดาห์ โดยสามารถท าการทดสอบการจ าและการระลึกได้จากความรู้ที่ได้รับมา 2.2.3 ระยะเวลาในการวัดความคงทนในการเรียนรู้ มีนักการศึกษาหลายท่านได้ท าการศึกษาเกี่ยวกับช่วงเวลาในการทดสอบความคงทนในการ เรียนรู้ไว้ดังนี้ แอดคินสันและชิพฟริน (Atkinson; & Shiffirin. 1986; อ้างอิงจาก ยุพิน จันทร์ศรี. 2546 : 32) มีความเห็นว่า ในการทดสอบความคงทนในการจ า ควรเว้นระยะเวลาห่างจากการทดสอบครั้งแรก ประมาณ 1 วัน เพราะเป็นช่วงระยะเวลาที่ความจ าระยะสั้นจะฝังตัวกลายเป็นความจ าระยะยาวหรือความ คงทนในการจ า ชวาล แพรัตกุล (2526) กล่าวว่า ในการสอนซ้ าโดยแบบทดสอบแบบฉบับเดียวกันไปลองกับ บุคคลกลุ่มเดียวกัน เวลาในการทดสอบครั้งแรกและครั้งที่สองควรเว้นให้ห่างกันประมาณ 2-4 สัปดาห์ ชัยพร วิชชาวุธ (2520) ได้กล่าวว่า การศึกษาทบทวนสิ่งที่จ าได้อยู่แล้วซ้ าอีก จะช่วยให้ ความจ าถาวรมากยิ่งขึ้น ช่วงระยะเวลาที่ความจ าระยะสั้นจะฝังตัวกลายเป็นความจ าระยะยาว หรือความ คงทนในการจ าในเวลาประมาณ 14 วัน หลังจากได้เรียนรู้ผ่านไปแล้ว ทิพรัตน์ สัตระ (2549 : 37) การทดสอบวัดความคงทนนั้นจะต้องมีการทดสอบที่ใช้ข้อสอบ ฉบับเดียวกัน โดยมีการเว้นระยะครั้งแรกกับครั้งที่สองประมาณ 2 สัปดาห์ เป็นอย่างต่ า เพราะช่วงนี้เป็น การฝังตัวของความจ าระยะสั้นเป็นระยะยาวหรือความคงทนนั่นเอง นันนาลลี่ (Nunnally, 1959) กล่าวว่า เพื่อก่อให้เกิดความคลาดเคลื่อนต่างๆ น้อยลง ควรเว้น ช่วงเวลาในการสอบซ้ าห่างกันอย่างน้อย 2 สัปดาห์ เพราะความเคยชินในการท าแบบทดสอบจะให้ค่า สหสัมพันธ์ระหว่างคะแนนทั้งสองครั้งสูง ลินด์วอลล์ และนิทโค (ศิริพร ทุเครือ, 2544 : อ้างอิงจาก Lindvall and Nitko, 1967) ได้ ให้ข้อเสนอแนะว่า การสอบซ้ าควรใช้เวลาห่างกัน 1 สัปดาห์ถึง 1 เดือน เพราะการเว้นช่วงเวลาดังกล่าว จะท าให้เกิดความคงทนของคะแนนที่ได้จากการสอบซ้ า


12 รายงานการพัฒนานวัตกรรม ตามโครงการ Innovation For Thai Education (IFTE) จากที่มีผู้กล่าวถึงระยะเวลาในการวัดความคงทนในการเรียนรู้ สรุปได้ว่า การวัดความคงทนใน การเรียนรู้จะต้องมีการเว้นระยะครั้งแรกกับครั้งที่สอง ประมาณ 2 สัปดาห์ ถึง 1 เดือน เพราะช่วงนี้เป็น การฝังตัวของความจ าระยะสั้นเป็นความจ าระยะยาว เรียกว่าความคงทน 2.3 แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) 2.3.1 ความหมายของการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) พิมพ์พันธ์ เดชะคุปต์ (2546) ได้ให้ความหมายของการสืบสวนว่า หมายถึง การจัดการเรียน การสอนที่ให้นักเรียนเป็นผู้ค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเอง หรือสร้างความรู้ด้วยตนเอง โดยการใช้กระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ ครูเป็นผู้อ านวยความสะดวก เพื่อให้นักเรียนบรรลุเป้าหมาย ทิศนา แขมมณี (2545) ได้ให้ความหมายของการจัดการเรียนการสอนโดยเน้นกระบวนการ สืบสวนว่า หมายถึง การด าเนินการเรียนการสอน ผู้สอนกระตุ้นผู้เรียนให้เกิดค าถาม เกิดความคิด และลง มือเสาะแสวงหาความรู้ เพื่อน ามาประมวลหาค าตอบ หรือข้อสรุปด้วยตนเอง โดยที่ผู้สอนช่วยอ านวยความ สะดวกในการเรียนรู้ด้านต่างๆ ให้แก่ผู้เรียน เช่นด้านการสืบค้นหาแหล่งเรียนรู้ การศึกษาข้อมูล การ วิเคราะห์ การสรุปข้อมูล การอภิปรายโต้แย้งทางวิชาการ และการท างานร่วมกับผู้อื่น วัฒนา ระงับทุกข์ (2542) ได้ให้ความหมายของการสืบเสาะหาความรู้ว่า หมายถึง การใช้ ค าถามที่มีความหมาย เพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนสืบค้นหรือค้นหาค าตอบในประเด็นปัญหาที่ก าหนด ชาตรี เกิดธรรม (2542) ได้ให้ความหมายว่า เป็นการสอนที่ฝึกให้นักเรียนรู้จักค้นคว้าหาความรู้ โดยใช้กระบวนการทางความคิด หาเหตุผล จะค้นพบความรู้หรือแนวทางแก้ปัญหาถูกต้องด้วยตนเอง ภพ เลาหไพบูลย์ (2542) ให้ความหมายของการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) ว่า เป็นการ สอนที่เน้นกระบวนการแสวงหาความรู้ที่จะช่วยให้นักเรียนได้ค้นพบความจริงต่างๆ ด้วยตนเอง ให้นักเรียนได้ มีประสบการณ์ตรงในการเรียนรู้เนื้อหาวิชา ครูวิทยาศาสตร์จึงจ าเป็นต้องมีการเตรียมสภาพแวดล้อมในการ เรียนรู้ ศึกษาโครงสร้างกระบวนการสอน การจัดล าดับเนื้อหา โดยครูท าหน้าที่คล้ายผู้ช่วย และนักเรียนท า หน้าที่คล้ายผู้จัดวางแผนการเรียน นักเรียนเป็นผู้เริ่มต้นในการจัดการเรียนการสอนด้วยตนเอง มีความ กระตือรือร้นที่จะศึกษาหาความรู้โดยวิธีการเช่นเดียวกับการท างานของนักวิทยาศาสตร์ และเปลี่ยน แนวความคิดจากการที่เป็นผู้รับความรู้มาเป็นผู้แสวงหาความรู้และใช้ความรู้ จากนิยามที่กล่าวมาสรุปได้ว่า การจัดการเรียนการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) เป็นการ จัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยครูเป็นผู้กระตุ้นให้นักเรียนโดยการใช้ค าถาม หรือสถานการณ์เพื่อเกิดความคิด ในการเสาะแสวงหาความรู้ใหม่ๆ ด้วยตนเอง โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 2.3.2 ลักษณะส าคัญของการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es)


13 รายงานการพัฒนานวัตกรรม ตามโครงการ Innovation For Thai Education (IFTE) นักการศึกษาได้กล่าวถึงลักษณะส าคัญของการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) ไว้ ดังนี้ สาโรช โศภีรักข์ (2546) ได้กล่าวถึงลักษณะส าคัญของการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) ว่า เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ก าหนดปัญหา วางแผนและก าหนดวิธีการค้นหาความรู้เอง แก้ปัญหาเอง จน ในที่สุดผู้เรียนจะได้รับค าตอบจากกิจกรรมที่ตัวเองวางแผนไว้ การเรียนรู้ของผู้เรียนได้จากการค้นพบของ ผู้เรียนเอง พิมพ์พันธ์ เดชะคุปต์ (2546) ได้กล่าวถึงลักษณะส าคัญของการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) ว่า เป็นวิธีการที่นักเรียนค้นหาความรู้ด้วยตนเอง ด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และครูเป็นเพียงผู้ อ านวยความสะดวก เพื่อให้สอดคล้องกับการเรียนการสอนในปัจจุบันที่เน้นทั้งความรู้และกระบวนการหา ความรู้ด้วยตนเอง ชาตรี เกิดธรรม (2542) นักเรียนต้องเป็นผู้กระท าการค้นหา และเกิดการค้นพบด้วยตนเองเป็น หลัก สรุปได้ว่า ลักษณะส าคัญของกระบวนการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) คือการเน้นที่ผู้เรียน เป็นส าคัญในการค้นหา โดยผู้เรียนมีบทบาทเป็นผู้ปฏิบัติการเพื่อแสวงหาความรู้ ทั้งที่ต้องมีการทดลอง หรือไม่ใช้การทดลอง เพื่อค้นพบข้อความรู้ต่าง ๆ เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้ 2.3.3 องค์ประกอบส าคัญของการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ตามกระบวนการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) มี องค์ประกอบที่ส าคัญดังนี้ 2.3.3.1 ครู มีบทบาทที่ส าคัญคือ เป็นผู้อ านวยความสะดวก เพื่อให้ผู้เรียนสามารถค้นคว้า หา ความรู้มีองค์ประกอบที่ส าคัญดังนี้ 1) เป็นผู้กระตุ้นให้ผู้เรียนคิด โดยก าหนดปัญหาแล้วให้นักเรียนวางแผนหาค าตอบเอง หรือ กระตุ้นให้ผู้เรียนก าหนดปัญหาและวางแผนหาค าตอบเอง 2) เป็นผู้ให้การเสริมแรง โดยการให้รางวัล กล่าวชม เพื่อให้ก าลังใจ เพื่อเกิดพฤติกรรม การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง 3) เป็นผู้ให้ข้อมูลย้อนกลับ โดยการบอกข้อดีข้อบกพร่องของผู้เรียน 4) เป็นผู้แนะน าและก ากับ เป็นผู้แนะน าเพื่อให้ผู้เรียนเกิดความคิด และควบคุมไม่ให้ออก นอกลู่นอกทาง 5) เป็นผู้จัดระเบียบ เป็นผู้จัดบรรยากาศและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งอุปกรณ์สื่อการเรียนการ สอนแก่ผู้เรียน


14 รายงานการพัฒนานวัตกรรม ตามโครงการ Innovation For Thai Education (IFTE) 2.3.3.2 นักเรียน มีบทบาทเป็นผู้ปฏิบัติการทดลองหรือวางแผนการทดลองเพื่อหาค าตอบ หรือตั้งปัญหาและวางแผนการทดลองเพื่อหาค าตอบ การค้นหาค าตอบกระท าด้วยตนเอง โดยใช้กระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ 2.3.4 ข้อแตกต่างของรูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) และรูปแบบการสอนแบบ อื่นๆ 2.3.4.1 รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) ใช้เมื่อต้องการเน้นกระบวนการคิดและ ทักษะการคิดเป็นหลักมากกว่ามุ่งเน้นให้เกิดความเข้าใจอย่างลุ่มลึกในเนื้อหาที่เรียน 2.3.4.2 ปัญหา สมมติฐานและข้อมูลทุกชนิดในกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ต้องจากตัว ผู้เรียน ดังนั้น ครูควรต้องวางแผนการสอนอย่างรอบคอบและระมัดระวัง เพื่อให้ค าแนะน าและอ านวยความ สะดวกในการเรียนรู้ในระดับที่เหมาะสม ครูผู้สอนต้องมีประสบการณ์อย่างมากในการวางแผนจัดกิจกรรม ตามกระบวนการเรียนรู้ 2.3.4.3 บทเรียนในรูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) ส่วนใหญ่เป็นบทเรียนต่อเนื่อง และต้องการเวลาเรียนมากกว่า 1 คาบเรียน ขึ้นไป 2.3.5 จุดเด่นของการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) 2.3.5.1 ผู้เรียนมีแรงจูงใจในการเรียนรู้สูง เพราะผลจากการสืบเสาะหาความรู้ หรือการส ารวจ เกี่ยวกับปัญหาต่างๆ นั้นจะน ามาซึ่งค าตอบในสิ่งที่นักเรียนอยากรู้โดยตรง และความรู้ที่ได้รับจะเป็นความรู้ ประเภทที่น าไปใช้งานได้ และเป็นแบบบูรณาการที่สามารถใช้ได้จริงในชีวิตประจ าวัน แต่หากผู้เรียนต้องการ หาค าตอบให้กับค าถามที่ครูตั้งให้ ความรู้ได้รับก็จะเป็นเรื่องนอกตัว และไม่เกี่ยวกับตนเอง ที่เป็นสิ่งไกลตัว ผู้เรียนและไม่สามารถน าไปใช้ในชีวิตประจ าวันได้อย่างแท้จริง 2.3.5.2 ผู้เรียนเห็นความส าคัญของกระบวนการคิด และกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ กับ เนื้อหาที่เรียน ว่าการส ารวจปัญหาและสืบค้นข้อมูลในเนื้อหาประเภทต่างๆ ต้องเริ่มต้นจากกระบวนการใด อย่างไร 2.3.6 รูปแบบกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ รูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) มีหลายรูปแบบ แต่รูปแบบที่ผู้ ศึกษาน ามาใช้ในการพัฒนาครั้งนี้ พัฒนาจากรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) ของ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (กรมวิชาการ, 2545ก) ประกอบด้วย 5 ขั้น ดังนี้ 1) ขั้นสร้างความสนใจ (engagement) เป็นการน าเข้าสู่บทเรียนหรือเรื่องที่สนใจ ซึ่งอาจเกิดขึ้น เองจากความสงสัย ความสนใจของนักเรียนเองหรือเกิดจากการอภิปรายภายในกลุ่ม เรื่องที่น่าสนใจอาจมา จากเหตุการณ์ที่ก าลังเกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น หรือเป็นเรื่องที่เชื่อมโยงกับความรู้เดิมที่เพิ่งเรียนรู้มาแล้ว เป็น ตัวกระตุ้นให้นักเรียนสร้างค าถาม ก าหนดประเด็นที่จะศึกษา


15 รายงานการพัฒนานวัตกรรม ตามโครงการ Innovation For Thai Education (IFTE) 2) ขั้นส ารวจและค้นหา (exploration) เป็นการวางแผนก าหนดแนวทางการส ารวจตรวจสอบ ตั้งสมมติฐาน ก าหนดทางเลือกที่เป็นไปได้ ลงมือปฏิบัติเพื่อเก็บข้อมูล ข้อสนเทศ หรือปรากฏการณ์ต่างๆ วิธีการตรวจสอบอาจใช้ได้หลายวิธี เช่น ท าการทดลอง ท ากิจกรรมภาคสนาม การใช้คอมพิวเตอร์ จาก เอกสารหรือแหล่งข้อมูลอื่นๆ เพื่อให้ได้ข้อมูลเพียงพอที่จะใช้ในขั้นต่อไป 3) ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (explanation) เมื่อได้ข้อมูลที่เพียงพอจากการส ารวจ ตรวจสอบ แล้วจึงน าข้อมูลข้อสารสนเทศที่ได้มาวิเคราะห์ แปลผล สรุปผล และน าเสนอในรูปแบบต่างๆ เช่น การ บรรยายสรุป การสร้างตาราง การวาดภาพ ฯลฯ 4) ขั้นขยายความรู้ (elaboration) เป็นการน าความรู้ที่สร้างขึ้นไปเชื่อมโยงกับความรู้เดิมหรือ แนวคิดที่ได้ค้นคว้าเพิ่มเติมหรือข้อสรุปที่ได้ไปใช้อธิบายสถานการณ์หรือเหตุการณ์อื่นๆ ถ้าใช้อธิบายเรื่องต่างๆ ได้มากก็แสดงว่าข้อจ ากัดน้อย ซึ่งจะช่วยให้เชื่อมโยงกับเรื่องต่างๆ และท าให้เกิดความรู้กว้างขวางขึ้น 5) ขั้นประเมิน (evaluation) เป็นการประเมินการเรียนรู้ด้วยกระบวนการต่างๆ ว่านักเรียนมี ความรู้อะไร อย่างไร และมากน้อยเพียงใด จากการศึกษาทฤษฎี และหลักการดังกล่าว ผู้ศึกษาจึงสนใจน าการจัดกิจกรรมแบบสืบเสาะหา ความรู้ (5Es) ทั้ง 5 ขั้น คือ ขั้นสร้างความสนใจ ขั้นส ารวจและค้นหา ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป ขั้นขยาย ความรู้ และขั้นประเมิน มาใช้ในการพัฒนาผลการเรียน วิชา เคมี เรื่องตารางธาตุ ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 4/1 โรงเรียนแก่งกระจานวิทยา เพื่อให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่า ก่อนเรียน 2.4 ความพึงพอใจ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดได้นั้น ครูผู้สอนต้องค านึงถึงบรรยากาศในการ เรียนรู้ของนักเรียน สถานการณ์ สื่ออุปกรณ์การเรียนรู้ และสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการจัดการเรียนรู้ เพื่อ ตอบสนองความต้องการของผู้เรียน ให้ผู้เรียนเรียนรู้อย่างมีความสุข เกิดความพึงพอใจในการเรียน ซึ่งเป็น สิ่งส าคัญที่กระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความต้องการที่จะเรียน 2.4.1 ความหมายของความพึงพอใจ ความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ ส่งผลให้การจัดการเรียนรู้มีประสิทธิภาพ และท าให้ผู้เรียนเกิด การเรียนรู้อย่างมีความหมาย สามารถน าไปใช้ในชีวิตประจ าวันได้ โดยนักการศึกษา ได้ให้ความหมายของ ความพึงพอใจไว้ ดังนี้


16 รายงานการพัฒนานวัตกรรม ตามโครงการ Innovation For Thai Education (IFTE) ธีรพงศ์ แก่นอินทร์ (2545 : 36) ได้ให้ความหมายความพึงพอใจต่อการเรียนการสอนว่าเป็น ความรู้สึกพึงพอใจต่อการปฏิบัติของนักศึกษา ในระหว่างการเรียนการสอน การปฏิบัติของอาจารย์ ผู้สอน และสภาพบรรยากาศโดยทั่วไปของการเรียนการสอน อัมพวา รักบิดา (2549 : 47) ได้ให้ความหมายของความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ไว้ว่า หมายถึง ความรู้สึกที่ดีต่อการจัดการเรียนรู้หรือความชอบของผู้เรียนที่เป็นผลมาจากการจัดการเรียนรู้ ซึ่ง เกิดขึ้นเมื่อผู้เรียนปฏิบัติกิจกรรมและได้รับผลส าเร็จตามความมุ่งหมาย รวมทั้งได้รับผลตอบแทนตามความ ต้องการของผู้เรียน สุดารัตน์ อะหลีแอ (2558 : 48) ได้สรุปความหมายของความพึงพอใจว่า หมายถึงความรู้สึกดี ความชอบ และการให้คุณค่าของผู้เรียนต่อการจัดการเรียนรู้ อันเป็นผลมาจากการจัดการเรียนรู้ ผู้สอน ความพร้อมและบรรยากาศของการจัดการเรียนรู้ รวมถึงการที่ผู้เรียนปฏิบัติกิจกรรมแล้วประสบผลส าเร็จตาม ความต้องการของผู้เรียน จากความหมายข้างต้นสรุปได้ว่า ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกพึงพอใจชอบ และความ สนใจของนักเรียนต่อการจัดการเรียนรู้ อันเป็นผลมาจากการจัดการเรียนรู้ ผู้สอน และบรรยากาศของการ จัดการเรียนรู้ รวมถึงการที่ผู้เรียนปฏิบัติกิจกรรมแล้วประสบผลส าเร็จตามความต้องการของผู้เรียน 2.4.2 ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับความพึงพอใจ ทฤษฎีแรงจูงใจของมาสโลว์ (Maslow) แสดงให้เห็นถึงการเปรียบเทียบระหว่างตัวตนที่เป็นอยู่กับ ตัวตนในอุดมคติหรือตัวตนที่ต้องการ ซึ่งมาสโลว์เสนอแนวคิดเกี่ยวกับลักษณะความต้องการของมนุษย์ ออกเป็น 5 ด้าน ซึ่งจะพัฒนาเป็นล าดับขั้น โดยมนุษย์ต้องได้รับการตอบสนองความต้องการเบื้องต้น เสียก่อนจึงจะเกิดความต้องการด้านอื่นๆ ที่อยู่ในระดับสูงขึ้นไป (วันเพ็ญ พิศาลพงศ์, 2540: 23) ซึ่งมี รายละเอียด ดังนี้ 1. ความต้องการด้านร่างกาย (Physiological Needs) เป็นความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ที่ จ าเป็นส าหรับการด ารงชีวิต ต้องต่อสู้ดิ้นรนเพื่อสนองความต้องการขั้นนี้เสียก่อนจึงจะมีความต้องการขั้นอื่น ตามมา 2. ความต้องการความมั่นคงปลอดภัย (Safety Need) เป็นความต้องการที่จะมีชีวิตอยู่อย่าง มั่นคงและปลอดภัย ปราศจากภัยอันตรายทั้งปวง สังเกตได้จากพฤติกรรมของมนุษย์ที่ชอบอยู่ในสังคมที่สงบ เรียบร้อย มีระเบียบวินัย และมีกฎหมายคุ้มครอง 3. ความต้องการความรักและความต้องการเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม (Love and Belonging Needs) เป็นความต้องการอยากมีเพื่อนฝูง มีคนรักใคร่ ต้องการให้ความรักกับผู้อื่นและอยากได้รับความรัก จากผู้อื่น บุคคลที่มีความต้องการในขั้นนี้จะกระท าพฤติกรรมเพื่อให้รู้สึกว่าตนเองไม่โดดเดี่ยว อ้างว้าง หรือ ถูกทอดทิ้ง


17 รายงานการพัฒนานวัตกรรม ตามโครงการ Innovation For Thai Education (IFTE) 4. ความต้องการมีเกียรติยศและศักดิ์ศรี (The Esteem Needs) เป็นความต้องการของมนุษย์ เกือบทุกคนในสังคม บุคคลที่มีความต้องการในขั้นนี้มีลักษณะ เช่น ต้องการได้รับการยกย่องจากบุคคลอื่น ต้องการชื่อเสียงเกียรติยศหรือความภาคภูมิใจเมื่อตนประสบผลส าเร็จ 5. ความต้องการพัฒนาตนเองไปสู่ระดับที่สมบูรณ์ที่สุด คือ ความต้องการแสดงความเป็นจริง แห่งตน (Self-Actualization) เป็นความต้องการที่เน้นถึงการเป็นตัวของตัวเอง ประสบความส าเร็จด้วย ตนเอง และพัฒนาศักยภาพตนเองให้เต็มที่ Scott (1970: 124) ได้เสนอความคิดในเรื่องการจูงใจให้เกิดความพึงพอใจต่อการท างานที่ให้ผลใน เชิงปฏิบัติมีลักษณะ ดังนี้ 1. งานควรมีส่วนสัมพันธ์กับความต้องการส่วนตัวและมีความหมายส าหรับผู้ท างาน 2. งานนั้นต้องมีการวางแผนและวัดผลส าเร็จได้โดยใช้ระบบการท างาน และการควบคุมที่มี ประสิทธิภาพ 3. เพื่อให้ได้ผลในการสร้างแรงจูงใจภายใน เป้าหมายของงานจะต้องมีลักษณะดังนี้ คนท างาน มีส่วนในการตั้งเป้าหมาย ได้รับทราบผลส าเร็จจากการท างานโดยตรง และงานนั้นสามารถท าให้ส าเร็จได้ จากทฤษฎีแรงจูงใจสรุปได้ว่า ความต้องการเป็นพื้นฐานที่ท าให้เกิดแรงจูงใจส่งผลให้บุคคลแสดง พฤติกรรมที่น าไปสู่เป้าหมายและสามารถท างานได้อย่างมีประสิทธิภาพ 2.5 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง อับดุลเลาะ อูมาร์ (2560) ท าการศึกษาผลของการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) (5Es) เรื่องสมดุลเคมี ที่มีต่อแบบจ าลองทางความคิด ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และความพึงใจของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนเตชะปัตตนยานุกูล จังหวัดปัตตานี พบว่า แบบจ าลองทางความคิดเรื่อง สมดุลเคมีครั้งที่ 1 ถึง 5 ของนักเรียนดีขึ้นตามล าดับ และพบว่า คะแนนเฉลี่ยแบบจ าลองทางความคิดใน แต่ละครั้งแตกต่างกันอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ยกเว้นครั้งที่ 3 กับ 5 และครั้งที่ 4 กับ 5 ส่วนแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเคมีและแบบวัดความพึงพอใจของนักเรียน พบว่านักเรียนที่ได้รับการ จัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) (5Es) มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเคมีหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และนักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหา ความรู้ (5Es) (5Es) อยู่ในระดับมากที่สุด อาชิ ดราแม (2558 : 89) ศึกษาผลการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (5Es) ร่วมกับวิธีแก้โจทย์ปัญหาของโพลยา พบว่า นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหา


18 รายงานการพัฒนานวัตกรรม ตามโครงการ Innovation For Thai Education (IFTE) ความรู้ (5Es) ร่วมกับวิธีแก้โจทย์ปัญหาของโพลยา มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องไฟฟ้าสถิต หลังการ จัดการเรียนรู้สูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .01 แทนรวี เล็บครุฑ (2556: 51) ที่ศึกษาการพัฒนาความเข้าใจเรื่องสมดุลเคมีและเจตคติต่อการเรียน วิชาเคมีของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ด้วยกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ 5E พบว่านักเรียนที่เรียนรู้ด้วย กิจกรรม 5E มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องสมดุลเคมี หลังการจัดการเรียนรู้สูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้ อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 จินตวีร์ โยสีดา (2554: 64) ซึ่งศึกษาการพัฒนาชุดกิจกรรมสืบเสาะหาความรู้ เรื่อง ไบโอดีเซล ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย พบว่านักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดกิจกรรมสืบ เสาะหาความรู้ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องไบโอดีเซล หลังการจัดการเรียนรู้สูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้ อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05


19 รายงานการพัฒนานวัตกรรม ตามโครงการ Innovation For Thai Education (IFTE) บทที่ 3 วิธีด าเนินการ การพัฒนานวัตกรรม เรื่อง การพัฒนาผลการเรียนรู้และความสามารถในการสร้างสรรค์บทเพลง ตารางธาตุบนแอพพลิเคชัน TIKTOK โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 โรงเรียนแก่งกระจานวิทยา มีขั้นตอนการด าเนินการดังนี้ 3.1 การก าหนดประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 3.2 การสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการพัฒนา 3.3 การด าเนินการรวบรวมข้อมูล 3.4 การวิเคราะห์ข้อมูล 3.1 การก าหนดประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 3.1.1 ประชากร ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนแก่งกระจานวิทยา อ าเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเพชรบุรี 3.1.2 กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ศึกษาเป็นนักเรียนชั้นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนแก่งกระจานวิทยา อ าเภอ แก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเพชรบุรี ได้จากการเลือกแบบเจาะจง จากประชากรนักเรียนแผนการเรียนวิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์ เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 จ านวน 44 คน 3.2 การสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการพัฒนา เครื่องมือที่ใช้ในการพัฒนา มีดังนี้ 3.2.1 แผนการจัดการเรียนรู้ วิชาเคมี เรื่องตารางธาตุ ด าเนินการสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหา ความรู้ (5Es) เรื่องตารางธาตุ ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ตามล าดับขั้นตอน ดังนี้ 3.2.1.1 ศึกษาและวิเคราะห์หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 มาตรฐานการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ และสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ค าอธิบายรายวิชา ตัวชี้วัด จุดประสงค์การเรียนรู้และหน่วยการเรียนรู้ จากหลักสูตรโรงเรียนแก่งกระจานวิทยา ดังตารางที่ 1


20 รายงานการพัฒนานวัตกรรม ตามโครงการ Innovation For Thai Education (IFTE) ตารางที่ 1 กิจกรรมการเรียนรู้ที่ใช้ในการจัดกิจกรรม หน่วย การเรียนรู้ ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ ส าคัญ แผนการจัด การเรียนรู้ วิธีการสอน อ ะ ต อ ม และตาราง ธาตุ ระบุหมู่ คาบ ความ เป็นโลหะ อโลหะ และ กึ่งโลหะ ของธาตุเรพรี เซนเททีฟ และธาตุ แทรนซิชันในตารางธาตุ ตารางธาตุในปัจจุบัน จั ด เ รี ยง ธ า ตุ ต า ม เ ล ข อ ะ ต อ ม แ ล ะ ส ม บั ติ ที่ คล้ายคลึงกันเป็นหมู่และ คาบ โดยอาจแบ่งธาตุใน ตารางธาตุเป็นกลุ่มธาตุ โลหะ กึ่งโลหะ และอโลหะ นอกจากนี้ อาจแบ่งเป็น กลุ่มธาตุเรพรี-เซนเททีฟ และกลุ่มธาตุแทรนซิชัน แผนที่ 3 ตารางธาตุ แบบสืบเสาะหา ความรู้ (5 E sInstructional Model) 3.2.1.2 วิเคราะห์รายละเอียดของเนื้อหา เรื่องตารางธาตุ เพื่อน ามาเขียนแผนการจัดการ เรียนรู้ให้สอดคล้องตามเนื้อหาสาระ ตัวชี้วัดและจุดประสงค์การเรียนรู้ 3.2.1.3 ก าหนดจุดประสงค์ กิจกรรมการเรียนรู้ สื่อประกอบการเรียนรู้ วิธีการวัดและ ประเมินผล 3.2.1.4 ด าเนินการสร้างสื่อประกอบตามกิจกรรมการเรียนรู้ ประกอบด้วย ใบความรู้ ใบ กิจกรรม สื่อการเรียนการสอน แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน โดยได้ก าหนดบทบาทของครูและ นักเรียน 3.2.1.5 น าแผนการจัดการเรียนรู้ และสื่อประกอบตามกิจกรรมการเรียนรู้ที่สร้างขึ้นไปให้ ผู้เชี่ยวชาญจ านวน 3 ท่าน (ดังรายนามแนบในภาคผนวก ก) ท าการตรวจสอบความเหมาะสมของรูปแบบ โดยทั่วไป ภาษาที่ใช้ ความเหมาะสมของกิจกรรมและสื่อประกอบการสอน เพื่อที่จะได้ปรับปรุงให้สมบูรณ์ ยิ่งขึ้น 3.2.1.6 การทดลองใช้เพื่อหาประสิทธิภาพของกิจกรรมและสื่อการเรียนรู้ โดยน าไปทดลอง ใช้กับนักเรียนที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง จ านวน 6 คน แล้วสอบถามปัญหาและข้อบกพร่องจากนักเรียนที่เป็นกลุ่ม ทดลอง พบข้อบกพร่องต่างๆ ทั้งด้านนักเรียนและด้านสื่อประกอบการเรียนรู้แล้วท าการปรับปรุงแก้ไข 3.2.2 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องตารางธาตุ สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องตารางธาตุ ส าหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 4 มีจ านวน 20 ข้อ ตามขั้นตอนดังนี้


21 รายงานการพัฒนานวัตกรรม ตามโครงการ Innovation For Thai Education (IFTE) 3.2.2.1 ศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการประเมินผลการเรียนรู้ การสร้างแบบทดสอบวัด ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ 3.2.2.2 วิเคราะห์เนื้อหาที่สอน ผลการเรียนรู้ จุดประสงค์การเรียนรู้ และก าหนดจ านวน ข้อสอบ จ านวน 20 ข้อ โดยพิจารณาจากน้ าหนักส าคัญตามจุดประสงค์การเรียนรู้ แล้วน ามาสร้างเป็น ตารางก าหนดข้อสอบขึ้น ดังแสดงในตารางที่ 2 ตารางที่ 2 การก าหนดข้อสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องตารางธาตุ ผลการเรียนรู้ จ านวนข้อสอบ รู้ – เข้าใจ น าไปใช้ วิเคราะห์ รวม ระบุหมู่ คาบ ความเป็นโลหะ อโลหะ และกึ่ง โลหะ ของธาตุเรพรีเซนเททีฟ และธาตุ แทรนซิชันในตารางธาตุ 5 8 7 20 3.2.2.3 สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบเลือกตอบ จ านวน 40 ข้อ ส าหรับน าไปทดลองใช้แล้วคัดให้เหลือจ านวน 20 ข้อ ตามที่ก าหนดไว้ในตารางที่ 2 และเมื่อสร้างเสร็จแล้ว น าแบบทดสอบไปหาค่าความสอดคล้องระหว่างจุดประสงค์กับพฤติกรรมที่ต้องการวัด โดยให้ผู้เชี่ยวชาญ พิจารณาความเหมาะสม 3.2.2.4 น าแบบทดสอบซึ่งปรับปรุงแก้ไขแล้วไปทดลองใช้กับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 5/1 โรงเรียนแก่งกระจานวิทยา ที่เคยเรียนเรื่องตารางธาตุมาแล้ว จ านวน 30 คน เพื่อหาดัชนีความ ยากและดัชนีอ านาจจ าแนกเป็นรายข้อ และค่าความเชื่อมั่น (KR-20) โดยใช้โปรแกรม Microsoft Excel ช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูล 3.2.2.5 พิจารณาคัดเลือกข้อสอบตามจ านวนที่ได้ก าหนดไว้ จ านวน 20 ข้อ ซึ่งมีค่าดัชนี ความยากอยู่ระหว่าง 0.20 – 0.80 ค่าดัชนีอ านาจจ าแนกอยู่ระหว่าง 0.20 – 0.93 และมีค่าความเชื่อมั่น 0.87 ส าหรับน าไปใช้กับนักเรียนกลุ่มตัวอย่างต่อไป 3.2.3 แบบประเมินการสร้างสรรค์บทเพลงตารางธาตุบนแอพพลิเคชัน TIKTOK ด าเนินการสร้างแบบประเมินการสร้างสรรค์บทเพลงตารางธาตุบนแอพพลิเคชัน TIKTOK ตามขั้นตอนดังนี้ 3.2.3.1 ศึกษาเอกสารที่เกี่ยวกับการสร้างแบบประเมินภาระงาน/ชิ้นงาน 3.2.3.2 สร้างแบบประเมินการสร้างสรรค์บทเพลงตารางธาตุบนแอพพลิเคชัน TIKTOK


22 รายงานการพัฒนานวัตกรรม ตามโครงการ Innovation For Thai Education (IFTE) 3.2.3.3 น าแบบประเมินการสร้างสรรค์บทเพลงตารางธาตุบนแอพพลิเคชัน TIKTOK ไปให้ ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบภาษา ความครอบคลุมเนื้อหาในด้านต่างๆ และความตรงเชิงเนื้อหาแล้วน ามาปรับปรุง แก้ไข ตามข้อเสนอแนะ 3.2.4 แบบสอบถามความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ ด าเนินการสร้างแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียน ต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้ กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) เรื่องตารางธาตุ ตามขั้นตอน ดังนี้ 3.2.4.1 ศึกษาเอกสารที่เกี่ยวกับการสร้างแบบสอบถามความพึงพอใจในการเรียน 3.2.4.2 สร้างแบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้ แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) โดยมีเนื้อหาในการวัด 3 ด้าน คือ ด้านกิจกรรมการเรียนการสอน ด้านสื่อ การเรียนการสอน และด้านครูผู้สอน ลักษณะของแบบสอบถามเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่าของลิเคอร์ท (Likert rating scale) จ านวน 13 ข้อ โดยแบ่งความคิดเห็นออกเป็น 5 ระดับ คือ เห็นด้วยอย่างยิ่ง เห็นด้วย ไม่แน่ใจ ไม่เห็นด้วย และไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง โดยมีเกณฑ์การให้คะแนนค าถามเชิงบวกและเชิงลบ ดังแสดงในตารางที่ 3 ตารางที่ 3 เกณฑ์การให้คะแนนค าถามวัดระดับความพึงพอใจเชิงบวกและเชิงลบ ระดับความพึงพอใจ ค าถามเชิงบวก ค าถามเชิงลบ ระดับความเห็น คะแนน ระดับความเห็น คะแนน 1. ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง พึงพอใจน้อยที่สุด 1 พึงพอใจมากที่สุด 5 2. ไม่เห็นด้วย พึงพอใจน้อย 2 พึงพอใจมาก 4 3. ไม่แน่ใจ พึงพอใจปานกลาง 3 พึงพอใจปานกลาง 3 4. เห็นด้วย พึงพอใจมาก 4 พึงพอใจน้อย 2 5. เห็นด้วยอย่างยิ่ง พึงพอใจมากที่สุด 5 พึงพอใจน้อยที่สุด 1 เกณฑ์ในการแปลความหมาย ดังแสดงในตารางที่ 4 ตารางที่ 4 เกณฑ์การแปลความหมายของความพึงพอใจ คะแนน ความหมาย 4.51 – 5.00 มีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด 3.51 – 4.50 มีความพึงพอใจในระดับมาก 2.51 – 3.50 มีความพึงพอใจในระดับปานกลาง 1.51 – 2.50 มีความพึงพอใจในระดับน้อย 1.00 – 1.50 มีความพึงพอใจในระดับน้อยที่สุด


23 รายงานการพัฒนานวัตกรรม ตามโครงการ Innovation For Thai Education (IFTE) 3.2.4.3 น าแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบภาษา ความ ครอบคลุมเนื้อหาในด้านต่างๆ และความตรงเชิงเนื้อหาแล้วน ามาปรับปรุงแก้ไข ตามข้อเสนอแนะ 3.3 การด าเนินการรวบรวมข้อมูล ในการพัฒนานวัตกรรมในครั้งนี้ ผู้พัฒนานวัตกรรมได้ด าเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยตนเอง ตามขั้นตอนดังนี้ 3.3.1 แบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 6 -7 คน โดยคละคนที่มีความสามารถเก่ง กลาง และ อ่อน โดยนักเรียนต้องท ากิจกรรมร่วมกับเพื่อนในกลุ่มเดิมตลอดระยะเวลาในการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ตารางธาตุ 3.3.2 ผู้สอนแนะน าวิธีการจัดการเรียนการสอนและบทบาทของนักเรียน ในการจัดการเรียนโดยใช้ กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) 3.3.3 จัดให้นักเรียนท าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียน เรื่องตารางธาตุ จ านวน 20 ข้อ ใช้เวลา 30 นาที 3.3.4 ด าเนินการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) ที่สร้างขึ้น ใช้เวลา 4 ชั่วโมง 3.3.5 เมื่อสิ้นสุดการเรียนรู้ตามแผนการจัดการเรียนที่สร้างขึ้นแล้ว ให้นักเรียนท าแบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องตารางธาตุ (ชุดเดียวกันกับแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียน เรื่องตาราง ธาตุ โดยสลับตัวเลือกและล าดับข้อ) ประเมินการสร้างสรรค์บทเพลงตารางธาตุบนแอพพลิเคชัน TIKTOK ของนักเรียนแต่ละกลุ่ม และประเมินความพึงพอใจของนักเรียนต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบว นการ จัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) 3.4 การวิเคราะห์ข้อมูล ผู้พัฒนานวัตกรรมน าข้อมูลที่เก็บรวบรวมจากเครื่องมือที่ใช้ในการพัฒนานวัตกรรม มาวิเคราะห์ ข้อมูลทางสถิติ โดยด าเนินการวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้ 3.4.1 .วิเคราะห์คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ซึ่งได้จากการสอบก่อนเรียนและหลังเรียน โดย การหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ใช้สถิติค่าทีแบบกลุ่มตัวอย่างไม่อิสระต่อกัน (Dependent samples t-test) 3.4.2 วิเคราะห์คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ซึ่งได้จากการสอบก่อนเรียนและหลังเรียน เพื่อ วิเคราะห์หาคะแนนความก้าวหน้าทางการเรียนของนักเรียน โดยหาได้จากสูตร ดังนี้ ร้อยละความก้าวหน้า (% Gain) = X 100 คะแนนหลังเรียน – คะแนนก่อน คะแนนเต็มของแบบทดสอบ


24 รายงานการพัฒนานวัตกรรม ตามโครงการ Innovation For Thai Education (IFTE) 3.4.3 วิเคราะห์คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน กับคะแนนทดสอบความคงทนในการ เรียนรู้หลังจากทิ้งระยะห่างจากการสดสอบหลังเรียนไว้ 3 สัปดาห์ โดยใช้สถิติค่าทีแบบกลุ่มตัวอย่างไม่อิสระ ต่อกัน (Dependent samples t-test) 3.4.4 วิเคราะห์พัฒนาการทางการเรียนของนักเรียนจากคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ตารางธาตุ ก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้สูตรคะแนนพัฒนาการ (Growth score) วัดคะแนนเพิ่มสัมพัทธ์ (Relative Gain Score) และน าคะแนนมาเทียบเกณฑ์ระดับพัฒนาการของ ศิริชัย กาญจนวาสี (2552 : 268) ดังตารางที่ 5 ตารางที่ 5 เกณฑ์คะแนนพัฒนาการสัมพัทธ์ของ ศิริชัย กาญจนวาสี (2552 : 268) คะแนนพัฒนาการสัมพัทธ์ ระดับพัฒนาการ 76 – 100 พัฒนาการระดับสูงมาก 51 – 75 พัฒนาการระดับสูง 26 – 50 พัฒนาการระดับกลาง 0 - 25 พัฒนาการระดับต้น 3.4.5 วิเคราะห์คะแนนการประเมินการสร้างสรรค์บทเพลงตารางธาตุบนแอพพลิเคชัน TIKTOK โดยระบุเป็นระดับคุณภาพ 3.4.6 วิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้ แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) (5Es) โดยหาค่าเฉลี่ย (mean) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) และแปลผล ค่าเฉลี่ยของคะแนนความพึงพอใจกับเกณฑ์ที่ก าหนดไว้ ดังตารางที่ 4


25 รายงานการพัฒนานวัตกรรม ตามโครงการ Innovation For Thai Education (IFTE) บทที่ 4 ผลการด าเนินการ ผลการพัฒนานวัตกรรม เรื่องการพัฒนาผลการเรียนรู้และความสามารถในการสร้างสรรค์บทเพลง ตารางธาตุบนแอพพลิเคชัน TIKTOK โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 โรงเรียนแก่งกระจานวิทยา มีสามารถน าเสนอตามล าดับดังต่อไปนี้ 4.1 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน เรื่องตารางธาตุ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 4/1 4.2 ความคงทนในการเรียนรู้ เรื่องตารางธาตุ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 4.3 ผลการประเมินการสร้างสรรค์บทเพลงตารางธาตุบนแอพพลิเคชัน TIKTOK การประเมินผล 4.4 ความพึงพอใจของนักเรียนต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) 4.1 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน เรื่องตารางธาตุ ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 4.1.1 คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน ในการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในครั้งนี้ ได้ใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ตารางธาตุ จ านวน 20 ข้อ คะแนนเต็ม 20 คะแนน ทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน กับนักเรียนกลุ่ม ตัวอย่าง จ านวน 44 คน ใช้เวลาในการทดสอบครั้งละ 30 นาที และน าข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ทางสถิติ วิเคราะห์หาคะแนนความก้าวหน้าทางการเรียนของนักเรียน และทดสอบค่าทีโดยใช้สถิติค่าทีแบบกลุ่ม ตัวอย่างไม่อิสระต่อกัน (Dependent samples t-test) ได้ผลดังนี้ ตารางที่ 6 แสดงคะแนนวัดผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียนและหลังเรียน คะแนนความก้าวหน้าทางการเรียนของ นักเรียน และการทดสอบค่าทีโดยใช้สถิติค่าทีแบบกลุ่มตัวอย่างไม่อิสระต่อกัน (Dependent samples ttest) คนที่ ก่อน เรียน หลัง เรียน คะแนน พัฒนาการ (% Gain) คนที่ ก่อน เรียน หลัง เรียน คะแนน พัฒนาการ (% Gain) 1 11 18 7 35 23 11 16 5 25 2 10 15 5 25 24 12 12 0 0 3 12 12 0 0 25 11 15 4 20


26 รายงานการพัฒนานวัตกรรม ตามโครงการ Innovation For Thai Education (IFTE) ตารางที่ 7 แสดงคะแนนวัดผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียนและหลังเรียน คะแนนความก้าวหน้าทางการเรียนของ นักเรียน และการทดสอบค่าทีโดยใช้สถิติค่าทีแบบกลุ่มตัวอย่างไม่อิสระต่อกัน (Dependent samples ttest) (ต่อ) คนที่ ก่อน เรียน หลัง เรียน คะแนน พัฒนาการ (% Gain) คนที่ ก่อน เรียน หลัง เรียน คะแนน พัฒนาการ (% Gain) 4 9 14 5 25 26 10 15 5 25 5 10 15 5 25 27 10 16 6 30 6 8 15 7 35 28 11 18 7 35 7 10 15 5 25 29 11 17 6 30 8 11 10 -1 -5 30 10 16 6 30 9 9 14 5 25 31 10 16 6 30 10 11 16 5 25 32 10 15 5 25 11 11 17 6 30 33 9 15 6 30 12 12 18 6 30 34 11 17 6 30 13 8 15 7 35 35 8 18 10 50 14 8 14 6 30 36 8 16 8 40 15 9 15 6 30 37 9 15 6 30 16 11 17 6 30 38 12 17 5 25 17 10 15 5 25 39 13 12 -1 -5 18 10 16 6 30 40 12 15 3 15 19 12 18 6 30 41 11 16 5 25 20 9 16 7 35 42 10 15 5 25 21 9 14 5 25 43 11 18 7 35 22 9 15 6 30 44 12 18 6 30


27 รายงานการพัฒนานวัตกรรม ตามโครงการ Innovation For Thai Education (IFTE) ตารางที่ 8 แสดงผลการหาค่าเฉลี่ยก่อนเรียนหลังเรียน ผลต่างของคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนและหลังเรียน และคะแนนความก้าวหน้า การ ทดสอบ จ านวน นักเรียน ก่อนเรียน หลังเรียน คะแนน พัฒนาการ (% Gain) ระดับ พัฒนาการ ผลรวม 44 451 682 231 1155 พัฒนาการ ระดับกลาง ค่าเฉลี่ย 44 10.25 15.5 5.25 26.25 ค่า S.D. 44 1.31 1.78 2.15 10.73 ร้อยละ 44 51.25 77.5 26.25 26.25 จากตารางที่ 8 พบว่า นักเรียนมีคะแนนสอบก่อนเรียนเฉลี่ย 10.21 คะแนน คะแนนสอบหลัง เรียนเฉลี่ย 15.5 คะแนน โดยคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน(คะแนนพัฒนาการเฉลี่ย) 5.25 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 26.25 และคะแนนร้อยละความก้าวหน้าเฉลี่ย 26.25 ซึ่งอยู่ในเกณฑ์พัฒนาการ ระดับกลาง 4.2 ความคงทนในการเรียนรู้ เรื่องตารางธาตุ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องตารางธาตุ ของนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง หลังเรียนเสร็จแล้วท า การทดสอบทันที เมื่อปล่อยให้เวลาผ่านไปเป็นระยะเวลา 3 สัปดาห์ แล้วท าการทดสอบซ้ าอีกครั้งหนึ่งด้วย แบทททดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางเรียนฉบับเดิม ได้ผลดังตาราง ตารางที่ 9 เปรียบเทียบคะแนนวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน และเมื่อเวลาผ่านไป 3 สัปดาห์ (ความคงทนในการเรียนรู้) การ ทดสอบ จ านวน นักเรียน หลังเรียน ผ่านไป 3 สัปดาห์ คะแนน พัฒนาการ (% Gain) ระดับ พัฒนาการ ผลรวม 44 682 680 229 1155 พัฒนาการ ระดับกลาง ค่าเฉลี่ย 44 15.5 15.45 5.20 26.25 ค่า S.D. 44 1.78 1.90 2.19 10.40 ร้อยละ 44 77.5 77.25 25.95 26.25 จากตารางที่ 9 พบว่า คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องตารางธาตุ ของนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง หลังเรียนเสร็จแล้วท าการทดสอบทันที มีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 15.5 คะแนน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 1.78 เมื่อปล่อยให้เวลาผ่านไปเป็นระยะเวลา 3 สัปดาห์ แล้วท าการทดสอบซ้ าอีกครั้งหนึ่งด้วยแบทททดสอบวัด ผลสัมฤทธิ์ทางเรียนฉบับเดิม นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 15.45 คะแนน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 1.90


28 รายงานการพัฒนานวัตกรรม ตามโครงการ Innovation For Thai Education (IFTE) ทั้งนี้เพื่อวัดความคงทนในการเรียนของนักเรียน เมื่อท าการทดสอบทางสถิติปรากฏว่า นักเรียนมีคะแนน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนแล้วทดสอบทันที กับเมื่อปล่อยทิ้งไว้เป็นระยะเวลา 3 สัปดาห์ แล้วจึงท า การทดสอบ ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 4.3 ผลการประเมินการสร้างสรรค์บทเพลงตารางธาตุบนแอพพลิเคชัน TIKTOK การประเมินการสร้างสรรค์ผลงานบทเพลงตารางธาตุบนแอพพลิเคชัน TIKTOK ท าการประเมิน โดยใช้แบบประเมินภาระงาน/ชิ้นงาน ที่สร้างขึ้นเอง ผลการประเมินปรากฏว่า นักเรียนแต่ละกลุ่มอยู่ใน ระดับคุณภาพดี 4.4 ความพึงพอใจของนักเรียนต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบ สืบเสาะหาความรู้ (5Es) จากการวิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง ต่อการจัดกิจกรมการเรียนรู้โดยใช้ กระบวนจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) วิชาเคมี เรื่อง ตารางธาตุ ซึ่งประเมินได้โดยใช้ แบบสอบถามความพึงพอ จ านวน 13 ข้อ โดยมีเนื้อหาในการประเมิน 3 ด้าน ผลการประเมินดังแสดงใน ตารางที่ 10 ตารางที่ 10 ความพึงพอใจของนักเรียนต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหา ความรู้ (5Es) เรื่อง ตารางธาตุ ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 จากตารางที่ 10 พบว่านักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการจัดการ เรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) เรื่อง ตารางธาตุ อยู่ในระดับมากที่สุด (mean 4.65 , SD 0.36 ) และ เมื่อพิจารณาในแต่ละด้านที่ประเมิน พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจด้านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้อยู่ใน ระดับมากที่สุด (mean 4.74 , SD 0.27 ) ด้านสื่อประกอบการเรียนรู้อยู่ในระดับมากที่สุด (mean 4.59 , SD 0.39 ) และด้านครูผู้สอนอยู่ในระดับมากที่สุด (mean 4.61 , SD 0.36 ) รายการประเมิน Mean SD ระดับ 1. ด้านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 4.74 0.27 มากที่สุด 2. ด้านสื่อประกอบการเรียนรู้ 4.59 0.39 มากที่สุด 3. ด้านครูผู้สอน 4.61 0.38 มากที่สุด เฉลี่ย 4.65 0.36 มากที่สุด


29 รายงานการพัฒนานวัตกรรม ตามโครงการ Innovation For Thai Education (IFTE) บทที่ 5 สรุปผล และอภิปรายผล การพัฒนานวัตกรรม เรื่องการพัฒนาผลการเรียนรู้และความสามารถในการสร้างสรรค์บทเพลง ตารางธาตุบนแอพพลิเคชัน TIKTOK โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 โรงเรียนแก่งกระจานวิทยา สามารถสรุปและอภิปรายผล ดังนี้ 5.1 วัตถุประสงค์ 5.2 สรุปและอภิปรายผล 5.3 ข้อเสนอแนะ 5.1 วัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน เรื่องตารางธาตุ ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 4/1 2. เพื่อศึกษาความคงทนในการเรียนรู้ เรื่องตารางธาตุ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 3. เพื่อประเมินผลงานการสร้างสรรค์บทเพลงตารางธาตุบนแอพพลิเคชัน TIKTOK 4. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) 5.2 สรุปและอภิปรายผล การพัฒนานวัตกรรม เรื่องการพัฒนาผลการเรียนรู้และความสามารถในการสร้างสรรค์บทเพลง ตารางธาตุบนแอพพลิเคชัน TIKTOK โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 โรงเรียนแก่งกระจานวิทยา สามารถสรุปผล ได้ดังนี้ 5.2.1 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน เรื่องตารางธาตุ ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 4/1 นักเรียนกลุ่มตัวอย่างเมื่อได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบ สืบเสาะหาความรู้ (5Es) เรื่อง ตารางธาตุ พบว่า นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน 5.25 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 26.25 และคะแนนร้อยละความก้าวหน้าเฉลี่ย 26.25 ซึ่งอยู่ในเกณฑ์พัฒนาการ ระดับกลาง เนื่องจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) ส่งเสริมให้นักเรียนได้แสวงหาความรู้ สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง โดยใช้กระบวนการกลุ่ม ซึ่งเป็นกระบวนที่ ฝึกให้ผู้เรียนได้ท างานร่วมกันกับผู้อื่น รู้จักแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบภายในกลุ่ม มีกระบวนการบริหาร


30 รายงานการพัฒนานวัตกรรม ตามโครงการ Innovation For Thai Education (IFTE) จัดการที่ดีภายในกลุ่ม สร้างสัมพันธไมตรีในกลุ่ม อีกทั้งนักเรียนน าเนื้อหาที่เรียนมาสร้างเป็นเกมการแข่งขัน ระหว่างทีม ท าให้เกิดความสนุกสนานในการเรียน ผู้เรียนสนใจและตั้งใจเรียนอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับงานวิจัยของ กาญจนา กาฬภักดี (2561) ที่ศึกษาการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียน วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง ลักษณะ องค์ประกอบ และสมบัติของหิน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้นตอน (5Es) พบว่า นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยจากการท าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ในการ พัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ในครั้งนี้ผู้ศึกษาค้นคว้า ใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ โดยใช้ กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้นตอน(5Es) เนื่องจากเป็นกิจกรรมที่ช่วยให้นักเรียนได้ฝึกการคิดและเน้น การสืบเสาะค้นคว้าหาความรู้ได้ด้วยตนเอง ส่งผลต่อการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ของนักเรียนให้สูงขึ้น อับดุลเลาะ อูมาร์ (2560) ท าการศึกษาผลของการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) เรื่องสมดุลเคมี ที่มีต่อแบบจ าลองทางความคิด ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และความพึงใจของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนเตชะปัตตนยานุกูล จังหวัดปัตตานี พบว่า แบบจ าลองทางความคิดเรื่องสมดุล เคมีครั้งที่ 1 ถึง 5 ของนักเรียนดีขึ้นตามล าดับ และพบว่า คะแนนเฉลี่ยแบบจ าลองทางความคิดในแต่ละ ครั้งแตกต่างกันอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ยกเว้นครั้งที่ 3 กับ 5 และครั้งที่ 4 กับ 5 ส่วน แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเคมีและแบบวัดความพึงพอใจของนักเรียน พบว่านักเรียนที่ได้รับการจัดการ เรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเคมีหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญ ทางสถิติที่ระดับ .01 และนักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) อยู่ใน ระดับมากที่สุด อาชิ ดราแม (2558 : 89) ศึกษาผลการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (5Es) ร่วมกับวิธีแก้โจทย์ปัญหาของโพลยา พบว่า นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการสืบ เสาะหาความรู้ (5Es) ร่วมกับวิธีแก้โจทย์ปัญหาของโพลยา มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องไฟฟ้าสถิต หลัง การจัดการเรียนรู้สูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .01 แทนรวี เล็บครุฑ (2556: 51) ที่ศึกษาการพัฒนาความเข้าใจเรื่องสมดุลเคมีและเจตคติต่อการ เรียนวิชาเคมีของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ด้วยกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ 5E พบว่านักเรียนที่เรียนรู้ด้วย กิจกรรม 5E มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องสมดุลเคมี หลังการจัดการเรียนรู้สูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้ อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 จินตวีร์ โยสีดา (2554: 64) ซึ่งศึกษาการพัฒนาชุดกิจกรรมสืบเสาะหาความรู้ เรื่อง ไบโอดีเซล ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย พบว่านักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดกิจกรรมสืบ เสาะหาความรู้มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องไบโอดีเซล หลังการจัดการเรียนรู้สูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้ อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05


31 รายงานการพัฒนานวัตกรรม ตามโครงการ Innovation For Thai Education (IFTE) 5.2.2 ความคงทนในการเรียนรู้ เรื่องตารางธาตุ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 จากการศึกษาความคงทนในการเรียนรู้ของนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง โดยการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนหลังเรียนเสร็จทันที กับเมื่อเวลาผ่านไป 3 สัปดาห์ แล้วท าการทดสอบซ้ าอีกครั้งหนึ่งด้วย แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางเรียนฉบับเดิม พบว่านักเรียนกลุ่มตัวอย่างมีคะแนนความคงทนของการเรียนรู้ และคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 แสดงให้ เห็นว่า นักเรียนที่เรียนโดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) สามารถจดจ าได้ดี มี ความรู้ความเข้าใจเนื้อหา อีกทั้งการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ ยังส่งผลให้นักเรียน สามารถจดจ าเรื่องราวและเนื้อหาได้ดีเมื่อเวลาผ่านไป สอดคล้องกับงานวิจัยของ จตุพร โกศลวัฒน์ (2555) ท าการศึกษาความคงทนในการเรียนรู้ ของนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง พบว่า นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนกับคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนเมื่อเวลาไป 4 สัปดาห์ ไม่แตกต่างอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ทั้งนี้เนื่องจากในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ นักเรียนมีบทบาทและมีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมอย่างเท่าเทียมกัน การใช้เทคนิคกลุ่มร่วมมือโดยใช้เกมมา ประกอบ ท าให้นักเรียนสนุกสนาน และมีความสุขในการเรียน นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมคิด ร่วมท า ร่วม แก้ปัญหา คนเก่งให้การช่วยเหลือคนที่อ่อนกว่า นักเรียนทุกคนภายในกลุ่มจึงช่วยกันเต็มที่ เพื่อเตรียมความ พร้อมส าหรับการแข่งขัน ท าให้นักเรียนมีความพร้อมอยู่ตลอดเวลา ในการเตรียมความรู้ท าให้นักเรียน สามารถจดจ าสิ่งที่ได้เรียนมาจึงเป็นความรู้ที่คงทน 5.2.3 ผลงานการสร้างสรรค์บทเพลงตารางธาตุบนแอพพลิเคชัน TIKTOK นักเรียนกลุ่มตัวอย่างที่สร้างสรรค์บทเพลงตารางธาตุบนแอพพลิเคชัน TIKTOK ได้รับการ ประเมินโดยใช้แบบประเมินภาระงาน/ชิ้นงาน ที่สร้างขึ้นเอง ผลการประเมินปรากฏว่า นักเรียนแต่ละกลุ่ม อยู่ในระดับคุณภาพดี เนื่องจากเป็นสิ่งที่นักเรียนชอบและมีความถนัด นักเรียนจึงให้ความสนใจในการ น าเสนอบทเพลงตารางธาตุมากขึ้น 5.2.4 ความพึงพอใจของนักเรียนต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) นักเรียนที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหา ความรู้ (5Es) เรื่อง ตารางธาตุ โดยภาพรวมมีความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมในระดับมากที่สุด และเมื่อ พิจารณาในแต่ละด้านที่ประเมิน พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจด้านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้อยู่ในระดับ มากที่สุด ด้านสื่อประกอบการเรียนรู้อยู่ในระดับมากที่สุด และด้านครูผู้สอนอยู่ในระดับมากที่สุด ทั้งนี้ เนื่องจากในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เป็นการจัดกิจกรรมที่หลากหลาย เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ ครูมีสื่อ ประกอบการสอนที่น่าสนใจ นักเรียนมีส่วนร่วมในทุกๆ กิจกรรม มีการเล่นเกมการแข่งระหว่างกลุ่ม ท าให้ นักเรียนเกิดความสนุกสนาน ตื่นเต้น ส่งผลให้เกิดการสร้างองค์ความรู้ด้วยตัวนักเรียนเอง โดยมีเพื่อน สมาชิกในกลุ่มคอยช่วยเหลือ ส่วนครูเป็นผู้ให้ค าปรึกษา แนะน า เกิดความร่วมมือระหว่างครูและนักเรียน


32 รายงานการพัฒนานวัตกรรม ตามโครงการ Innovation For Thai Education (IFTE) ท าให้บรรยากาศในห้องเรียนเต็มไปด้วยความสนุกสนานและเป็นกันเอง ท าให้นักเรียนเห็นคุณค่าของการ เรียนและพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) กล่าวโดยสรุป การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) เรื่อง ตารางธาตุ เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมให้นักเรียนมีทักษะในด้านการแสวงหาความรู้ การท างานกลุ่ม ส่งเสริมให้นักเรียนรู้จักการอยู่ร่วมกันในสังคม ที่ต้องมีการช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน เป็นการเสริมสร้าง คุณลักษณะที่ดีให้เกิดกับนักเรียน รู้จักการแก้ไขปัญหาในสถานการณ์ต่างๆ โดยการระดมความคิด เกิดความ รักและความสามัคคีในหมู่คณะ อีกทั้งยังเป็นการฝึกทักษะกระบวนการคิด รู้จักการท างานอย่างเป็นระบบ และส่งเสริมให้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างเพื่อน อีกทั้งเกมการแข่งขันระหว่างกลุ่มที่นักเรียนทุกกลุ่มได้ สร้างขึ้น และทุกคนได้มีส่วนร่วมในการแข่งขัน ท าให้เกิดความสนใจในการเรียน บรรยากาศในห้องเรียนไม่ น่าเบื่อหน่าย สามารถเข้าใจเนื้อหาได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้นักเรียนยังสามารถน าเนื้อหาที่ได้เรียน ไปสร้างสรรค์ เป็นบทเพลงเกี่ยวกับตารางธาตุ โดยใช้แอพพลิเคชันที่นักเรียนก าลังให้ความสนใจเป็นอย่างมากในปัจจุบัน จึงท าให้เกิดความกระตือรือร้นในการท างาน นักเรียนได้แสดงความสามารถของตนเอง และมีความสุขในการ เรียน 5.3 ข้อเสนอแนะ 5.3.1 ข้อเสนอแนะในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบสืบ เสาะหาความรู้ (5Es) 5.3.1.1 ในการสอนด้วยกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) ผู้สอนควร ออกแบบกิจกรรมโดยค านึงถึงเวลาที่ใช้ในการจัดการเรียนการสอน ออกแบบกิจกรรมให้เหมาะสมกับ ศักยภาพของนักเรียน และกิจกรรมที่จัดต้องมีความสนุกสนาน แปลกใหม่ เพื่อกระตุ้นให้นักเรียนสนใจ และ การให้แรงเสริมด้านบวก เช่น รางวัล จะท าให้นักเรียนมีก าลังใจในการเรียนมากขึ้น 5.3.1.2 ในการจัดกิจกรรมโดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) เน้น ให้นักเรียนได้ศึกษาด้วยตนเอง โดยอาศัยกระบวนการกลุ่ม ดังนั้นผู้สอนควรมีวิธีการในการกระตุ้นให้นักเรียน มีส่วนร่วมในการท ากิจกรรม เพื่อให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ไปพร้อมๆกัน


33 รายงานการพัฒนานวัตกรรม ตามโครงการ Innovation For Thai Education (IFTE) บรรณานุกรม กระทรวงศึกษาธิการ. (2551). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ : ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จ ากัด. กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ. แนวทางการวัดและประเมินผลการเรียนตามหลักสูตรการ ศึกการขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์องค์การรับส่ง สินค้าและพัสดุภัณฑ์ (ร.ส.พ.), 2545. . การจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว, 2546. ชวาล แพรัตกุล. เทคนิคการวัดผล. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ไทยวัฒนาพาณิช, 2526. ชัยพร วิชชาวุธ. มูลสารจิตวิทยา. กรุงเทพมหานคร : ส านักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2520. ทิศนา แขมมณี. ศาสตร์การสอน : องค์ความรู้เพื่อการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ. พิมพ์ครั้งที่ 10. กรุงเทพมหานคร : ส านักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2545. ภพ เลาหไพบูลย์. (2542). แนวการสอนวิทยาศาสตร์. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ไทยวัฒนาพาณิช. ศิริพร ทุเครือ. ผลของเรียนแบบร่วมมือโดยใช้แผนผังมโนท ัศน์ที่มีผลสัมฤทธิ์ต่อการเรียนและ ความคงทนในการเรียนรู้ กลุ่มสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิตของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4. วิทยานิพนธ์ปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต : มหาวิทยาลัย ศรีนครินทรวิโรฒ, 2544.


34 รายงานการพัฒนานวัตกรรม ตามโครงการ Innovation For Thai Education (IFTE) ภาคผนวก ประกอบไปด้วย - รายนามผู้เชี่ยวชาญในการตรวจคุณภาพเครื่องมือ - เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล - ตัวอย่างเครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง - คุณภาพของเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล - คะแนนสอบ - ภาพประกอบ


35 รายงานการพัฒนานวัตกรรม ตามโครงการ Innovation For Thai Education (IFTE) รายนามผู้เชี่ยวชาญในการตรวจคุณภาพของเครื่องมือที่ใช้ในการพัฒนานวัตกรรม เรื่องการพัฒนาผลการเรียนรู้และความสามารถในการสร้างสรรค์บทเพลงตารางธาตุ บนแอพพลิเคชัน TIKTOK โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 โรงเรียนแก่งกระจานวิทยา 1. นายชัยชาญ แก้วชิงดวง หัวหน้าฝ่ายบริหารงานวิชาการ โรงเรียนแก่งกระจานวิทยา 2. นางสาวสริตา พรมจันทร์ หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนแก่งกระจานวิทยา 3. นางธนัญญา ประภา หัวหน้างานวัดและประเมินผล โรงเรียนแก่งกระจานวิทยา


36 รายงานการพัฒนานวัตกรรม ตามโครงการ Innovation For Thai Education (IFTE) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ตารางธาตุ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ************************************************************************* ค าชี้แจง 1. แบบทดสอบฉบับนี้เป็นแบบปรนัยชนิดเลือกตอบทั้งหมด 2. ให้นักเรียนเลือกข้อที่นักเรียนเห็นว่าถูกต้องที่สุด แล้วกาเครื่องหมาย X ลงในกระดาษค าตอบ ให้ตรงกับค าตอบที่นักเรียนเลือก 3. แบบทดสอบมีจ านวน 20 ข้อ เวลา 30 นาที 1. ธาตุ X เป็นธาตุเรพรีเซนท์เททีฟ อยู่หมู่ 3 คาบ 4 หมายถึงธาตุในข้อใด ก. As ข. Al ค. Ge ง. Ga 2. ข้อใดต่อไปนี้กล่าวผิดเกี่ยวกับตารางธาตุ ก. แถวแนวตั้งของธาตุเรียกว่า หมู่ ข. แถวแนวนอนทั้ง 7 ของตารางเรียกว่า คาบ ค. ตารางธาตุ คือ การจัดเรียงธาตุในเคมีของ ตารางในรูปแบบของตารางบนพื้นฐานของเลขอะตอม เท่านั้น ง. ธาตุโลหะอยู่ฝั่งซ้ายของตารางธาตุ 3. ธาตุเรพรีเซนท์เททีฟ มีทั้งหมดกี่หมู่ ก. 7 หมู่ ข. 8 หมู่ ค. 9 หมู่ ง. 10 หมู่ 4. K ในตารางธาตุ หมายถึงธาตุใด ก. โพแทสเซียม ข. ฟอสฟอรัส ค. แคลเซียม ง. โซเดียม 5. ข้อใดประกอบด้วยธาตุที่มีสมบัติเป็นอโลหะทั้งหมด ก. C O Br I ข. B Hg Zn C ค. Si P Li Na ง. O Ca S P 6. ข้อใดผิดเกี่ยวกับธาตุหมู่ 8A ก. เฉื่อยต่อการเกิดปฏิกิริยา ข. พบในรูปอะตอมอิสระ ค. มีเวเลนซ์อิเล็กตรอนเท่ากับ 8 ง. มีสถานะเป็นของเหลวหรือแก๊ส 7. ข้อใดไม่ใช่โลหะแทรนซิชัน ก. Mn ค. Mg ค. Mo ง. Nb 8. ธาตุใดเป็นธาตุที่มีสมบัติเป็นโลหะ ก. ออกซิเจน ข. ไอโอดีน ค. คลอรีน ง. โซเดียม 9. ธาตุในข้อใดสามารถท าปฏิกิริยากับน้ าอย่างรุนแรง ก. แมกนีเซียม ข. คลอรีน ค. โซเดียม ง. ฮีเลียม 10. ธาตุใดต่อไปนี้ว่องไวต่อการเกิดปฏิกิริยามากที่สุด ก. F2 ค. O2 ค. Na ง. Cl2


37 รายงานการพัฒนานวัตกรรม ตามโครงการ Innovation For Thai Education (IFTE) 11. ข้อใดต่อไปนี้กล่าวถึงธาตุที่อยู่ในคาบเดียวกันใน ตารางธาตุได้ถูกต้อง ก. เป็นแถวของธาตุในแนวตั้ง ข. เป็นธาตุที่มีสมบัติคล้าย ๆ กัน ค. เป็นธาตุที่มีจ านวนเวเลนซ์อิเล็กตรอนเท่ากัน ง. เป็นธาตุที่มีจ านวนระดับพลังงานเท่ากัน 12. ข้อใดไม่ใช่ลักษณะของตารางธาตุในปัจจุบัน ก. ธาตุกลุ่ม B มีสมบัติเป็นโลหะ ข. ธาตุที่อยู่หมู่เดียวกันจะมีจ านวนโปรตอนเท่ากัน ค. ธาตุหมู่ VIIIA มีความว่องไวต่อปฏิกิริยาน้อย ที่สุด ง. ธาตุที่มีความเป็นโลหะมากที่สุดจะอยู่ทางซ้าย มือสุดของตารางธาตุ 13. ธาตุในข้อใดเป็นธาตุแฮโลเจน ก. Mg ข. Cl ค. O ง. Cu 14. ธาตุ Ca , Mg , Sr จัดเป็นธาตุในข้อใด ก. โลหะแอลคาไลน์เอิร์ท ข. โลหะแอลคาไล ค. ธาตุคาลโคเจน ง. แก๊สเฉื่อย 15. กลุ่มของธาตุในข้อใดมีสมบัติเป็นโลหะ อโลหะและ กึ่งโลหะ ตามล าดับ ก. Li , Ca , F ข. Na , S , B ค. Al , C , N ง. Si , Mg , Ne 16. ธาตุในข้อใดเป็นกลุ่มธาตุ f-block ก. ธาตุแอกทิไนด์ ข. ธาตุแทรนซิชัน ค. ธาตุกัมมันตรังสี ง. ธาตุเรพรีเซนเททีฟ 17. ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับ กฎพิริออดิก ก. การจัดเรียงธาตุโดยแบ่งเป็นโลหะกับอโลหะ ข. การจัดธาตุเป็นกลุ่ม ๆ ละ 3 ธาตุตามสมบัติที่ คล้ายคลึงกัน ค. เรียงธาตุตามมวลอะตอมจากน้อยไปมากพบว่า ธาตุมีสมบัติคล้ายกันเป็นช่วง ๆ ง. เรียงธาตุตามมวลอะตอมจากน้อยไปมากพบว่า ธาตุที่ 8 จะมีสมบัติเหมือนกับธาตุที่ 1 เสมอ 18. ตารางธาตุในปัจจุบันใช้หลักการอะไรในการจัดธาตุ เป็นหมวดหมู่ ก. เรียงตามล าดับมวลอะตอมจากน้อยไปมาก ข. เรียงตามล าดับมวลโมเลกุลจากน้อยไปมาก ค. เรียงตามล าดับเลขอะตอมจากน้อยไปมาก ง. เรียงตามล าดับความเป็นโลหะและอโลหะ 19. ธาตุแทรนซิชันมีสมบัติใดแตกต่างจากธาตุหมู่ 1A ก. น าความร้อนและไฟฟ้าได้ดี ข. เสียอิเล็กตรอนเมื่อรวมตัวกับอโลหะ ค. มีพลังงานไอออไนเซชันล าดับที่ 1 ต่ า ง. เกิดสารประกอบที่มีเลขออกซิเดชันได้หลายค่า 20. ธาตุอินเนอร์แทรนซิชัน มี 2 คาบอะไรบ้าง ก. คาบแลนทานัม และแอคทินัม ข. คาบแลนทาไนด์ และแอคทาไนด์ ค. คาบเรพรีเซนเททีฟ และแทรนซิชัน ง. คาบเวเลนซ์อิเล็กตรอน และแทรนซิชัน


38 รายงานการพัฒนานวัตกรรม ตามโครงการ Innovation For Thai Education (IFTE) เฉลยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ตารางธาตุ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ข้อ ค าตอบ ข้อ ค าตอบ 1 ง 11 ง 2 ค 12 ข 3 ข 13 ข 4 ก 14 ก 5 ก 15 ข 6 ง 16 ก 7 ค 17 ค 8 ง 18 ค 9 ก 19 ง 10 ก 20 ข


39 รายงานการพัฒนานวัตกรรม ตามโครงการ Innovation For Thai Education (IFTE) แบบสอบถามความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้ แบบสืบเสาะหาความรู้ เรื่อง ตารางธาตุ ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ************************************************************************************************************************************************************** ค าชี้แจง 1. แบบสอบถามฉบับนี้สร้างขึ้นเพื่อส ารวจความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้ โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ เรื่อง ตารางธาตุ ส าหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 4 2. แบบสอบถามฉบับนี้ประกอบด้วย 3 ตอน คือ ตอนที่ 1 ข้อมูลของผู้ตอบแบบสอบถาม ตอนที่ 2 รายการส ารวจความพึงพอใจของนักเรียน ตอนที่ 3 ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม ตอนที่ 1 ข้อมูลของผู้ตอบแบบสอบถาม ให้นักเรียนท าเครื่องหมาย / ให้ตรงตามความเป็นจริงเกี่ยวกับข้อมูลของนักเรียน เพศ ชาย หญิง ตอนที่ 2 รายการส ารวจความพึงพอใจของนักเรียน ให้นักเรียนท าเครื่องหมาย / ลงในช่องระดับความพึงพอใจให้ตรงตามความรู้สึกที่แท้จริงของ นักเรียน 5 หมายถึง ระดับความพึงพอใจมากที่สุด 4 หมายถึง ระดับความพึงพอใจมาก 3 หมายถึง ระดับความพึงพอใจปานกลาง 2 หมายถึง ระดับความพึงพอใจน้อย 1 หมายถึง ระดับความพึงพอใจน้อยที่สุด


40 รายงานการพัฒนานวัตกรรม ตามโครงการ Innovation For Thai Education (IFTE) ข้อที่ รายการประเมิน ระดับความพึงพอใจ 5 4 3 2 1 ด้านการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ 1 ท าให้นักเรียนเข้าใจเนื้อหาและบทเรียนได้ง่ายขึ้น 2 ท าให้นักเรียนกระตือรือร้นในการเรียนมากขึ้น 3 ท าให้นักเรียนมีโอกาสซักถามแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้อื่น ได้มากขึ้น 4 นักเรียนมีกระบวนการในการแสวงหาความรู้ 5 นักเรียนเกิดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ กล้าแสดงออก และมี ความรับผิดชอบ ด้านสื่อประกอบการเรียนการสอน 1 สื่อประกอบการเรียนการสอนมีความเหมาะสม 2 เอกสารมีความชัดเจน ครบถ้วน ครอบคลุมเนื้อหาตรงตาม ตัวชี้วัด 3 แบบฝึกหัดมีความเหมาะสมกับเนื้อหาและผู้เรียน 4 สื่อที่ใช้มีความน่าสนใจ ด้านครูผู้สอน 1 ครูมีความรู้ความสารถในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 2 ครูมีความตั้งใจและเต็มใจใจสอนนักเรียนอย่างเต็มความสามารถ 3 บุคลิกภาพของครูขณะจัดกิจกรรมการเรียนรู้มีความเหมาะสม 4 ครูเป็นที่ปรึกษาให้กับนักเรียนได้ในขณะท ากิจกรรม ตอนที่ 3 ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ..............................................................................................................................................................................


41 รายงานการพัฒนานวัตกรรม ตามโครงการ Innovation For Thai Education (IFTE) ค าชี้แจง : ครูผู้สอนประเมินผลงาน/ชิ้นงานของนักเรียนตามรายการที่ก าหนด แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับ ระดับคะแนน ก าหนดระดับคะแนน ดังนี้ 4 หมายถึง ดีมาก 3 หมายถึง ดี 2 หมายถึง พอใช้ 1 หมายถึง ปรับปรุง ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน ............../................./................ กลุ่มที่ รายการประเมิน ความถูกต้องของ เนื้อหา ความคิดสร้างสรรค์ การมีส่วนร่วม การเลือกใช้เพลง 1 2 3 4 5 6 7 8 แบบประเมินผลงานการสร้างสรรค์บทเพลงตารางธาตุบนแอพพลิเคชัน TIKTOK (ผลงาน/ชิ้นงาน)


42 รายงานการพัฒนานวัตกรรม ตามโครงการ Innovation For Thai Education (IFTE) เกณฑ์ประเมินผลงาน ประเด็นที่ประเมิน ระดับคะแนน 4 3 2 1 1. ผลงานมีความ ถูกต้องของ เนื้อหา เ นื้ อ ห า ส า ร ะ ข อง ผ ล ง า น ถู ก ต้ อ ง ครบถ้วน เ นื้ อ ห า ส า ร ะ ข อง ผลงานถูกต้องเป็น ส่วนใหญ่ เ นื้ อ ห า ส า ร ะ ข อง ผลงานถูกต้องเป็น บางประเด็น เ นื้ อ ห า ส า ร ะ ข อง ผลงานไม่ถูกต้องเป็น ส่วนใหญ่ 2. ผลงานมีความคิด สร้างสรรค์ ผลงานแสดงออกถึง ความคิดสร้างสรรค์ แปลกใหม่และเป็น ระบบ ผลงานมีแนวคิด แปลกใหม่แต่ยังไม่ เป็นระบบ ผ ล ง า น มี ค ว า ม น่าสนใจ แต่ยังไม่มี แนวคิดแปลกใหม่ ผ ล ง า น ไ ม่ แ ส ด ง แนวคิดใหม่ 3. การมีส่วนร่วมใน การสร้างผลงาน ทุกคนในกลุ่มมีส่วน ร่ ว ม ใ น ก า ร ส ร้ าง ผลงาน สมาชิกในกลุ่มส่วน ใหญ่ มีส่วนร่วมใน การสร้างผลงาน ส ม า ชิ กบ าง คนใน กลุ่มมีส่วนร่วมในการ สร้างผลงาน สมาชิกบางคนไม่มี ส่วนร่วมในการสร้าง ผลงาน 4. การเลือกใช้เพลง เ พ ลง ที่ เ ลื อ ก ใ ช้ มี เนื้อหาเหมาะสมกับ นักเรียน เพลงที่เลือกใช้ส่วน ใหญ่มีเนื้อหา เหมาะสมกับนักเรียน เ พ ลง ที่ เ ลื อ ก ใ ช้ มี เ นื้ อ ห า บ า ง ส่ ว น เหมาะสมกับนักเรียน เพลงที่เลือกใช้ส่วน ใ ห ญ่ มี เ นื้ อ ห า ไ ม่ เหมาะสมกับนักเรียน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 14–16 ดีมาก 11–13 ดี 8–10 พอใช้ ต่ ากว่า 8 ปรับปรุง


43 รายงานการพัฒนานวัตกรรม ตามโครงการ Innovation For Thai Education (IFTE) การหาค่าความตรงเนื้อหาของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องตารางธาตุ โดยใช้ดัชนีความสอดคล้องระหว่างแบบทดสอบกับจุดประสงค์การเรียนรู้ ตารางที่ 1 ค่าความสอดคล้อง ( IOC ) ระหว่างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์กับจุดประสงค์การเรียนรู้ ข้อที่ คะแนนความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ รวม IOC สรุปผล คนที่ 1 คนที่ 2 คนที่ 3 1 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ 2 +1 +1 -1 2 0.67 ใช้ได้ 3 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ 4 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ 5 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ 6 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ 7 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ 8 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ 9 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ 10 -1 +1 +1 2 0.67 ใช้ได้ 11 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ 12 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ 13 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ 14 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ 15 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ 16 +1 -1 +1 2 0.67 ใช้ได้ 17 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ 18 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ 19 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ 20 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้


44 รายงานการพัฒนานวัตกรรม ตามโครงการ Innovation For Thai Education (IFTE) แผนการจัดการเรียนรู้ ภาพประกอบ


Click to View FlipBook Version