The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เรื่อง ปริมาตรของพีระมิด โดยใช้รูปแบบการสอน (KLAKIDD MODEL)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

6. นายสุนทร รุ่งสว่าง

การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เรื่อง ปริมาตรของพีระมิด โดยใช้รูปแบบการสอน (KLAKIDD MODEL)

รายงานการใช้นวัตกรรมการจัดการเรียนการสอน การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เรื่อง ปริมาตรของพีระมิด โดยใช้รูปแบบการสอน KLAKIDD Model สุนทร รุ่งสว่าง ครู วิทยฐานะช านาญการ กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนวัดจันทราวาส(ศุขประสารราษฎร์) ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเพชรบุรี ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ


ก ค าน า นวัตกรรม “การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เรื่อง ปริมาตรของ พีระมิดโดยใช้รูปแบบการสอนแบบ KLAKIDD Model” เป็นนวัตกรรมที่คิดค้นและพัฒนาขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหา การจัดการเรียนการสอนรายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน 6 เรื่อง ปริมาตรของพีระมิด ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 3 โรงเรียนวัดจันทราวาส(ศุขประสารราษฎร์) ให้มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ดีขึ้น ซึ่งจากการด าเนินการ อย่างต่อเนื่อง พบว่าสามารถแก้ปัญหาทางด้านการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ได้เป็นอย่างดี เป็นที่หน้าพอใจ เกิดผลงานเป็นที่ประจักษ์ และเป็นแนวทางและวิธีการสอนที่เป็นที่ยอมรับในระดับกลุ่มสาระและระดับ โรงเรียน ขอขอบคุณ ผู้บริหาร และบุคลากร โรงเรียนวัดจันทราวาส(ศุขประสารราษฎร์) ส านักงานเขตพื้นที่ การศึกษามัธยมศึกษาเพชรบุรี และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกท่าน ที่ให้ความร่วมมือในการขับเคลื่อนนวัตกรรม จนประสบความส าเร็จ หวังเป็นอย่างยิ่งว่านวัตกรรม “การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 เรื่อง ปริมาตรของพีระมิด โดยใช้รูปแบบการสอนแบบ KLAKIDD Model” จะเป็นประโยชน์ ต่อนักเรียนและโรงเรียนวัดจันทราวาส(ศุขประสารราษฎร์) ในการน าไปประยุกต์ใช้เพื่อแก้ปัญหาด้านการ จัดการเรียนการสอนในโอกาสต่อไป สุนทร รุ่งสว่าง ต าแหน่ง ครู วิทยฐานะช านาญการ โรงเรียนวัดจันทราวาส(ศุขประสารราษฎร์)


ข สารบัญ หน้า ค าน า ก สารบัญ ข บทคัดย่อ ค บทที่ 1 บทน า 1 บทที่ 2 วรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง 6 บทที่ 3 วิธีการด าเนินการวิจัย 14 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 24 บทที่ 5 สรุป และอภิปรายผล 27บรรณานุกรม 30 ภาคผนวก 32


ค ชื่อนวัตกรรม การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เรื่อง ปริมาตรของพีระมิด โดยใช้รูปแบบการสอนแบบ KLAKIDD Model ประเภทนวัตกรรม ด้านการจัดการเรียนรู้ ผู้เสนอผลงานนวัตกรรม นายสุนทร รุ่งสว่าง ต าแหน่ง ครู วิทยฐานะช านาญการ สถานศึกษา โรงเรียนวัดจันทราวาส(ศุขประสารราษฎร์) สังกัด ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเพชรบุรี บทคัดย่อ งานวิจัยเรื่อง “การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เรื่อง ปริมาตร ของพีระมิด โดยใช้รูปแบบการสอนแบบ KLAKIDD Model” ในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเปรียบเทียบ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ปริมาตรของพีระมิด โดยใช้รูปแบบการสอนแบบ KLAKIDD Model 2) เพื่อ ประเมินความพึงพอใจของนักเรียนต่อการเรียนการสอนเรื่อง ปริมาตรของพีระมิด โดยใช้รูปแบบการสอนแบบ KLAKIDD Model และ 3) เพื่อพัฒนารูปแบบการสอน โดยใช้รูปแบบการสอนแบบ KLAKIDD Model กลุ่ม ตัวอย่างคือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/2โรงเรียนวัดจันทราวาส (ศุขประสารราษฎร์) ปีการศึกษา 2566 จ านวน 35 คน เป็นหน่วยวิเคราะห์ (unit of analysis) สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ร้อยละ (percentage : %) มัชฌิมเลขคณิต(arithmetic mean : ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (standard deviation : S.D.) ผลการวิจัย พบว่า 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหน่วยการเรียนรู้ เรื่อง ปริมาตรของพีระมิด ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนวัดจันทราวาส (ศุขประสารราษฎร์) โดยใช้การจัดการเรียนการสอนรูปแบบ KLAKIDD Model หลัง เรียนสูงกว่าก่อนเรียน 2. ผลการวิเคราะห์แบบสอบถามความพึงพอใจในการจัดการเรียนรู้โดยใช้นวัตกรรมการสอนรูปแบบ KLAKIDD Model อยู่ในระดับมากที่สุด 3. ผลการวิเคราะห์ระดับการประเมินนวัตกรรมการสอน KLAKIDD Model โดยภาพรวมอยู่ในระดับ มากทุกด้าน


บทที่ 1 บทน า 1. ความส าคัญและสภาพปัญหาของปัญหา สถานการณ์ของโลกที่ก าลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เป็นกระแสแห่งความเป็นโลกาภิวัตน์ (globalization) ปัจจุบันสังคมจ าเป็นต้องอาศัยระบบเศรษฐกิจฐานความรู้ ความก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและการสื่อสาร ท าให้สังคมโลกมีการลื่นไหลระหว่างวัฒนธรรมมากขึ้น การเมืองแบบเสรี ประชาธิปไตยเป็นที่นิยมยอมรับกันทั่วโลก ประเทศไทยจะมีความสัมพันธ์กับชุมชนโลกบนพื้นฐานของศักดิ์ศรี และความเท่าเทียมกัน จะมีความสามารถในการแข่งขันและร่วมมือกับประชาคมโลกได้ต่อเมื่อเรามีการเปลี่ยน แนวทางการจัดการศึกษาให้สามารถพัฒนาคนและสังคมไทยให้มีสมรรถนะในการแข่งขัน มีคุณภาพสูงขึ้นรู้จัก เลือกที่จะรับกระแสของวัฒนธรรมต่างชาติ ปลูกจิตส านึกและความภาคภูมิใจในความเป็นคนไทย รวมถึงการ กระจายอ านาจสู่ท้องถิ่นในการจัดการศึกษา เพื่อพัฒนาคุณภาพของผู้เรียนให้ทันต่อสภาวการณ์โลก (ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, 2561: บทน า) สอดคล้องกับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 ได้กล่าวถึงแนวการจัดการศึกษาในมาตรา 26 ให้สถานศึกษา จัดการประเมินผู้เรียนโดยพิจารณาจากพัฒนาการของผู้เรียน ความประพฤติการสังเกตพฤติกรรมการเรียน การร่วมกิจกรรมและ การทดสอบควบคู่ไปในกระบวนการเรียนการสอนตามความเหมาะสมของแต่ละระดับ และรูปแบบการศึกษา ให้สถานศึกษาใช้วิธีการที่หลากหลายในการจัดสรรโอกาสการเข้าศึกษาต่อและ ให้น าผล การประเมินผู้เรียนมาใช้ประกอบการพิจารณาด้วย(ส านักงานเลขาธิการสภาการศึกษา, 2562, หน้า 8 - 10) คุณภาพการศึกษาเป็นประเด็นที่ประเทศต่างๆ ทั่วโลกให้ความสนใจกันอย่างกว้างขวาง เพราะถือว่า เป็นตัวชี้วัดที่ส าคัญด้านสถานภาพทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ แต่มุมมอง ในการพัฒนาคุณภาพ การศึกษาเพื่อสามารถตอบสนองผู้มีส่วนได้ส่วนเสียซึ่งมีทั้งผู้รับบริการการศึกษาซึ่งได้แก่ นักเรียน พ่อแม่ ผู้ปกครองและชุมชนนั้นอาจแตกต่างกันไปตามบริบท ความเชื่อ หรือกระบวนทัศน์ในการพัฒนาในแต่ละยุค สมัย การพัฒนาคุณภาพการศึกษาเป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงหรือปรับปรุงพัฒนาการจัดการศึกษา เพื่อให้ ได้ผลลัพธ์ตามมาตรฐานที่ก าหนดไว้และจะต้องสร้างความพึงพอใจของผู้ปกครองชุมชน และสังคมโดยทั่วไป ทั้งนี้การพัฒนาคุณภาพ การศึกษาเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ต้องอาศัยความรับผิดชอบ ทั้งใน ระดับประเทศ และระดับสถานศึกษา โดยค านึงถึงองค์ประกอบส าคัญ 5 ประการ ได้แก่ หลักสูตร สื่อการสอน และเทคโนโลยีการประเมินผลผู้เรียน การพัฒนาครูการประเมินคุณภาพสถานศึกษา และการสนับสนุน ทรัพยากรทางการศึกษาที่เชื่อมโยงกับทักษะ 3 ทักษะ ส าหรับศตวรรษที่ 21 ทั้งนี้ต้องอาศัย แนวคิดและ ทฤษฎีทางการบริหารการศึกษา การเรียนรู้และการสอนเป็นฐานในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา (รัตนา ดวงแก้ว, 2554) และเนื่องจากโลกยุคปัจจุบันชีวิตของคนเราต้องเกี่ยวข้องกับตัวเลข การคิดค านวณ และค่าทางสถิติ อยู่ตลอดเวลาจ าเป็นอย่างยิ่งที่หลักสูตรการศึกษาต้องให้ความส าคัญกับวิชาที่เกี่ยวข้องกับจ านวนตัวเลข ฝึกให้ ผู้เรียนคิดเป็นท าเป็น มีทักษะในการคิดค านวณเพื่อน าไปใช้แก้ปัญหาในชีวิตประจ าวัน แต่ส่วนใหญ่นักเรียนมี


2 ปัญหาในด้านการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ ซึ่งเป็นผลตามมาก็คือนักเรียนที่จบหลักสูตรมัธยมศึกษามีความรู้ใน วิชาคณิตศาสตร์ไม่เหมาะสมกับระดับชั้น ผู้เรียนมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อวิชาคณิตศาสตร์ ท าให้เกิดปัญหาในการ เรียนในระดับที่สูงขึ้นซึ่งเป็นการล้มเหลวในกระบวนการจัดการเรียนรู้เป็นอย่างมาก เพราะวิชาคณิตศาสตร์ถือ ว่าเป็นเป็นเครื่องมือส าคัญในการด ารงชีวิตประจ าวัน (อุกฤษฏ์ ทองอยู่ , 2562 : 1) วิชาคณิตศาสตร์มีบทบาท ส าคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาความคิดของมนุษย์ ท าให้มนุษย์มีความคิดสร้างสรรค์คิดอย่างมีเหตุผล เป็นระบบ ระเบียบ มีแบบแผนสามารถวิเคราะห์ปัญหาและสถานการณ์ได้อย่างถี่ถ้วนรอบคอบ ท าให้สามารถคาดการณ์ วางแผน ตัดสินใจ และแก้ปัญหาได้อย่างถูกต้องเหมาะสม และคณิตศาสตร์เป็นเครื่องมือในการศึกษา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีตลอดจนศาสตร์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องคณิตศาสตร์จึงมีประโยชน์ต่อการด ารงชีวิตและ ช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้คณิตศาสตร์ยังช่วยพัฒนามนุษย์ให้สมบูรณ์มีความสมดุลทั้งทาง ร่างกายจิตใจ สติปัญญา อารมณ์สามารถคิดเป็น ท าเป็น แก้ปัญหาเป็นและสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่าง มี ความสุข (กระทรวงศึกษาธิการ, 2560 : 1) การจัดการเรียนการสอนรายวิชาคณิตศาสตร์ โรงเรียนวัดจันทราวาส(ศุขประสารราษฎร์) ยังมี ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนยังไม่เป็นที่น่าพอใจ อีกทั้งยังพบว่าผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) ปีการศึกษา 2565 วิชาคณิตศาสตร์ คิดเป็นร้อยละ 20.04 ซึ่งมีคะแนนร้อยละน้อยกว่าระดับประเทศ และระดับจังหวัด จากสภาพปัญหาเรื่องผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนโรงเรียนวัดจันทราวาส (ศุขประสารราษฎร์) จึงเห็นความจ าเป็นที่จะพัฒนาคุณภาพในเรื่องการยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็น การเร่งด่วน โดยการศึกษาสภาพ ปัญหา และหาแนวทางการแก้ไข จัดการเรียนการสอนเพื่อยกยกระดับ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนวัดจันทราวาส(ศุขประสารราษฎร์) อ าเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี โดยใช้รูปแบบ KLAKIDD Model มาเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวข้างต้น 2. วัตถุประสงค์ของการด าเนินการ 1. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ปริมาตรของพีระมิด โดยใช้รูปแบบการสอนแบบ KLAKIDD Model 2. เพื่อประเมินความพึงพอใจของนักเรียนต่อการเรียนการสอนเรื่อง ปริมาตรของพีระมิด โดยใช้ รูปแบบการสอนแบบ KLAKIDD Model 3. เพื่อพัฒนารูปแบบการสอนโดยใช้รูปแบบการสอนแบบ KLAKIDD Model 3. สมมติฐาน การจัดการเรียนกานสอนรูปแบบ KLAKIDD Model มีคะแนนสอบหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน และ ความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนการสอน KLAKIDD Model มีความพึงพอใจระดับดีขึ้นไป


3 4. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1) ด้านความรู้หรือผลที่ได้รับ 1.1 ท าให้ทราบสภาพปัจจุบันและปัญหาเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนวิชาคณิตศาสตร์ของ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนวัดจันทราวาส(ศุขประสารราษฎร์) 1.2 ท าให้ได้นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 เรื่อง ปริมาตรของพีระมิด โดยใช้รูปแบบการสอนแบบ KLAKIDD Model ที่ผ่านการ ประเมินตรวจสอบคุณภาพและปรับปรุง 2) ด้านการน าความรู้หรือผลที่ได้รับไปใช้ 2.1 สถานศึกษาน าความรู้จากสภาพปัจจุบันและปัญหาเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนรายวิชา คณิตศาสตร์ ไปใช้เพื่อการวางแผนป้องกันการจัดการเรียนการสอนรายวิชาคณิตศาสตร์ให้ดียิ่งขึ้น 2.2 เป็นแนวทางส าหรับครู ในการใช้การจัดการเรียนการสอนแบบ KLAKIDD Model ไปแก้ปัญหา ในชั้นเรียนและในลักษณะเดียวกันกับเรื่องนี้ 5. ขอบเขตการวิจัย 1) ขอบเขตด้านตัวแปร/เนื้อหา - สภาพปัจจุบันและปัญหาการเรียนการสอนรายวิชาคณิตศาสตร์ - ประสิทธิภาพนวัตกรรมการศึกษา - ประสิทธิผลนวัตกรรมการศึกษา - ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการใช้นวัตกรรมการศึกษา 2) ขอบเขตด้านแหล่งข้อมูล - นักเรียนโรงเรียนวัดจันทราวาส(ศุขประสารราษฎร์) จ านวน 1497 คน - นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนวัดจันทราวาส(ศุขประสารราษฎร์) จ านวน 265 คน - นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ห้อง 2 โรงเรียนวัดจันทราวาส(ศุขประสารราษฎร์) จ านวน 35 คน 6. นิยามศัพท์เฉพาะ 1. เจตคติต่อวิชาคณิตศาสตร์หมายถึง เจตคติต่อวิชาคณิตศาสตร์เป็นสิ่งส าคัญที่ครูผู้สอนต้อง ตระหนัก ถึงและให้ความส าคัญอยู่เสมอว่า จะท าอย่างไรให้นักเรียนเกิดเจตคติที่ดีต่อวิชาคณิตศาสตร์ เพื่อ ส่งผลให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสามารถของนักเรียนที่เกิดจากการเรียนรู้ ซึ่งได้จากการ พิจารณาคะแนนที่ได้จากการท าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่สร้างขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับจุดประสงค์ การเรียนรู้ที่พึงประสงค์


4 3. รูปแบบการสอน หมายถึง แบบ (pattern) ของการสอนที่มีการจัดกระท าพฤติกรรมขึ้นจ านวน หนึ่งที่มีความแตกต่างกัน เพื่อจุดหมายหรือจุดเน้นที่เฉพาะเจาะจงอย่างใดอย่างหนึ่ง และสามารถน ามา แก้ปัญหาการจัดการเรียนการสอนได้ตามบริบทของสถานศึกษา 4. การรู้จัก หมายถึง การที่ได้รู้ข้อมูลเชิงประจักษ์ ที่จ าเป็นเกี่ยวกับตัวนักเรียนที่ท าให้เข้าใจตัว นักเรียนมากขึ้นสามารถน าข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อการคัดกรองนักเรียนให้เป็นประโยชน์ในการส่งเสริมด้านการ จัดการเรียนการสอน การป้องกันและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ของนักเรียนได้ 5. การเชื่อมโยง หมายถึง การสร้างองค์ความรู้ใหม่จากความรู้เดิมที่นักเรียนมีจากการจัดกิจกรรมที่มี ความเชื่อมโยงของเนื้อหา ท าให้นักเรียนเกิดทักษะการเรียนรู้ที่เกิดจากการเชื่อมโยง และพัฒนาองค์ความรู้ได้ ด้วยตนเอง 6. กิจกรรมที่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ หมายถึง กระบวนการเรียนการสอนที่เน้นให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมและ มีปฏิสัมพันธ์กับกิจกรรมการเรียนรู้ผ่านการปฏิบัติที่หลากหลายรูปแบบ เช่น การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ การ ระดมสมอง การแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และการท ากรณีศึกษา เป็นต้น โดยกิจกรรมที่น ามาใช้ควรช่วยพัฒนา ทักษะการ คิดวิเคราะห์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ การสื่อสาร/น าเสนอ และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ อย่างเหมาะสม บทบาทของผู้เรียนนอกจากการมีส่วนร่วมในกิจกรรมดังกล่าวข้างต้นแล้ว ยังต้องมีปฏิสัมพันธ์ กับผู้สอนและผู้เรียนกับผู้เรียนด้วยกันด้วย ผู้สอนควรลดบทบาทในการถ่ายทอดความรู้แก่ผู้เรียนในลักษณะ การบรรยายลง และเพิ่มบทบาท ในการกระตุ้นให้ผู้เรียนมีความกระตือรือร้นที่จะท ากิจกรรมต่างๆ รวมถึงการ จัดเตรียมสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมในการเรียนรู้ 7. ความรู้หมายถึง กระบวนการของการขัดเกลา เลือกใช้และบูรณาการ การใช้สารสนเทศจนเกิด เป็นความรู้ใหม่ (new knowledge) ความรู้ใหม่ เกิดจากการผสมผสานความรู้และประสบการณ์เดิมผนวกกับ ความรู้ใหม่ที่ได้รับความรู้ดังกล่าวเป็นความรู้ที่อยู่ภายในตัวบุคคล เป็นความรู้ที่ไม่ปรากฏชัดแจ้ง (tacit knowledge) หากความรู้เหล่านั้นได้ถูกถ่ายทอดออกมาในรูปของการเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรความรู้นั้นจะ กลายเป็นความรู้ที่ปรากฏชัดแจ้ง (explicit knowledge) 8. การแนะน า หมายถึง เป็นกระบวนการของสัมพันธภาพในการให้ความช่วยเหลือซึ่งเต็มไปด้วย ความอบอุ่น การยอมรับ และความเข้าใจ ระหว่างผู้ให้การปรึกษา ซึ่งครูผู้สอนที่ได้รับการฝึกอบรมในการให้ ความช่วยเหลือกับผู้รับการปรึกษา ซึ่งต้องการความช่วยเหลือ เพื่อช่วยให้ผู้รับการปรึกษาได้เข้าใจตนเองและ สิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้น ได้เรียนรู้พฤติกรรมใหม่ๆ มีทัศนคติใหม่เกิดขึ้น ส าหรับน าไปประกอบการตัดสินใจ แก้ปัญหาหรือวางโครงการศึกษาและประกอบอาชีพ ตลอดจน พัฒนาตนเองในด้านต่างๆ 9. การอภิปราย หมายถึง การสนทนาแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างครูกับนักเรียนหรือนักเรียนกับ นักเรียน เพื่อให้เกิดปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันในการแบ่งปันข้อมูล ในด้านความรู้ ความคิด ข้อคิดเห็น รวมถึง ความรู้สึกโดยทุกคนสามารถมีส่วนร่วมในการเรียนรู้อย่างเท่าเทียมกัน 10. การพัฒนา หมายถึง การเปลี่ยนแปลง การปรับปรุงสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีขึ้นและเป็น ที่น่าพึงพอใจ และสามารถน าสิ่งต่าง ๆ ที่ได้จากการพัฒนามาต่อยอดหรือดัดแปลงให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีขึ้นในงาน ที่มีความสัมพันธ์ในลักษณะเดียวกัน


5 7. กรอบแนวคิด ภาพที่ 1 องค์ประกอบของตัวแปรที่ศึกษา 8. กรอบแนวคิดพัฒนารูปแบบการสอน KLAKIDD Model ภาพที่ 2 แผนผังแนวความคิดการออกแบบนวัตกรรม การจัดการเรียนการสอน รูปแบบ KLAKIDD Model - ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาคณิตศาสตร์ พื้นฐาน 5 เรื่อง ปริมาตรของพีระมิด - ความพึงพอใจในการจัดการเรียนการสอนโดยใช้ นวัตกรรมการสอนรูปแบบ KLAKIDD Model รูปแบบการสอน CIPPA Model ขั้นที่ 1 ทบทวนความรู้เดิม ขั้นที่ 2 แสวงหาความรู้ใหม่ ขั้นที่ 3 เชื่อมโยงความรู้เดิม ขั้นที่ 4 การแลกเปลี่ยนความรู้กลุ่ม ขั้นที่ 5 การสรุปความรู้ ขั้นที่ 6 การแสดงผลงาน ขั้นที่ 7 การประยุกต์ใช้ความรู้ วิเคราะห์รูปแบบการ สอนให้สอดคล้องกับ การพัฒนาการสอน ข อ ง นั ก เ รี ย น ใ น ระดับชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 3 รูปแบบการสอน KLAKIDD Model K1 = การรู้จัก (นักเรียน, หลักสูตร) L = การเชื่อมโยง (ความรู้เดิม) A = กิจกรรมที่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ K2 = ความรู้ I = การให้ค าแนะน า ชี้แนะ D1 = การอภิปราย D2 = การพัฒนา


บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ในการศึกษาค้นคว้าเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เรื่อง ปริมาตรของพีระมิด โดยใช้รูปแบบการสอนแบบ KLAKIDD Model ได้ศึกษาค้นคว้าข้อมูล เกี่ยวกับทฤษฎี แนวคิด หลักการต่างๆ น าเสนอตามหัวข้อต่อไปนี้ 1. หลักสูตรสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ สาระที่ 1 จ านวนและพีชคณิต มาตรฐาน ค1.1 เข้าใจความหลากหลายของการแสดงจ านวน ระบบจ านวน การด าเนินการ ของจ านวนผลที่เกิดขึ้นจากการด าเนินการ สมบัติของการด าเนินการ และน าไปใช้ มาตรฐาน ค1.2 เข้าใจและวิเคราะห์แบบรูป ความสัมพันธ์ ฟังก์ชั่น ล าดับและอนุกรม และ น าไปใช้ มาตรฐาน ค1.3 ใช้นิพจน์ สมการ อสมการ และเมทริกซ์ อธิบายความสัมพันธ์ หรือช่วย แก้ปัญหาที่ก าหนดให้ สาระที่ 2 การวัดและเรขาคณิต มาตรฐาน ค2.1 เข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับการวัดและคาดคะเนขนาดของสิ่งที่ต้องการวัดและ น าไปใช้ มาตรฐาน ค2.2 เข้าใจและวิเคราะห์รูปเรขาคณิต สมบัติของรูปเรขาคณิตความสัมพันธ์ ระหว่างรูปเรขาคณิต และทฤษฎีบททางเรขาคณิต และน าไปใช้ สาระที่ 3 สถิติและความน่าจะเป็น มาตรฐาน ค3.1 เข้าใจกระบวนการทางสถิติ และใช้ความรู้ทางสถิติในการแก้ปัญหา มาตรฐาน ค3.2 เข้าใจหลักการนับเบื้องต้น ความน่าจะเป็น และน าไปใช้ 2. ความส าคัญของคณิตศาสตร์ วิชาคณิตศาสตร์เป็นรายวิชาที่ฝึกให้นักเรียนได้มีการพัฒนาทักษะในหลาย ๆ ด้าน ฝึกให้นักเรียนมีการ เชื่อมโยง ทักษะการคิดค านวณอย่างมีเหตุผล และมีความส าคัญต่อการพัฒนาและต่อยอดองค์ความรู้ในศาสตร์ ต่าง ๆ ซึ่งมีนักวิชาการและนักการศึกษาได้ให้ความหมายของ ความส าคัญของคณิตศาสตร์ ไว้ดังนี้ กระทรวงศึกษาธิการ (2551: 1) ได้กล่าวไว้ว่า คณิตศาสตร์มีบทบาทส าคัญยิ่งต่อการพัฒนาความคิด มนุษย์ท าให้มนุษย์มีความคิดสร้างสรรค์คิดอย่างมีเหตุผลเป็นระบบมีแบบแผน สามารถวิเคราะห์ปัญหาหรือ สถานการณ์ได้อย่างถี่ถ้วนรอบคอบช่วยให้คาดการณ์วางแผนตัดสินใจแก้ปัญหาและน าไปใช้ในชีวิตประจ าวัน


7 ได้อย่างถูกต้องเหมาะสม นอกจากนี้คณิตศาสตร์ยังเป็นเครื่องมือในการศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี และศาสตร์อื่น ๆ คณิตศาสตร์จึงมีประโยชน์ต่อการด าเนินชีวิตช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้นและสามารถอยู่ ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข สรุปได้ว่า คณิตศาสตร์เป็นศาสตร์อย่างหนึ่ง เป็นวิชาที่เกี่ยวข้องกับการคิด การค านวณ อย่างมีระบบ แผน และมีเหตุผล และเป็นวิชาที่มีความส าคัญอย่างยิ่งวิชาหนึ่ง ซึ่งมีความจ าเป็นต่อชีวิตความเป็นอยู่ของ มนุษย์ และเป็นเครื่องมือในการฝึกฝน และ ปลูกฝังให้นักเรียนเป็นผู้รู้จักคิดอย่างเป็นระบบ มีเหตุผล ช่าง สังเกต รอบคอบ มีความคิดริเริ่ม สร้างสรรค์ ตลอดจนมีความสามารถในการวิเคราะห์และแก้ปัญหาใน สถานการณ์ต่างๆ ได้ 3. เจตคติต่อวิชาคณิตศาสตร์ การเรียนการสอนวิชาคณิตศาสตร์ในปัจจุบัน สิ่งที่ส าคัญประการหนึ่งที่ควรค านึงถึงควบคูไปกับการให้ ความรูด้านเนื้อหาวิชา คือเจตคติของนักเรียนต่อวิชาคณิตศาสตร์ ดังนั้นสิ่งส าคัญที่ครูคณิตศาสตร์ควรสร้างขึ้น ตามแนวคิดของ Wilson (1971 : 685-689) มีดังนี้ 1. ความพึงพอใจ (Willingness) เป็นสภาวะที่เกิดความอยากจะรับความส าคัญของคณิตศาสตร์ที่จะ มากระตุนความรูสึก 2. ความสนใจ (Interest) เป็นสภาวะที่เกิดขึ้นต่อเนื่องจากความพึงพอใจเมื่อสิ่งเร้ามากระตุ้นหรือมี สถานการณบางอย่างเกิดขึ้น บุคคลนั้นจะเลือกรับหรือเลือกให้ความสนใจเฉพาะสิ่งที่ชอบหรือน าความพอใจมา ให้ 3. แรงจูงใจ (Motivation) ในกรณีที่นักเรียนสนใจวิชาคณิตศาสตร์ พฤติกรรมที่ตามมาก็คือพยายาม จะท าสิ่งต่าง ๆ ให้ส าเร็จโดยไมท้อถอย 4. ความวิตกกังวล (Anxiety) เป็นสภาวะจิตที่มีความตึงเครียด ซึ่งอาจจะเนื่องมาจากการที่ตั้ง ความหวังไวแล้วกลัวท าไมส าเร็จ หรือไดท าไปแล้วและไมส าเร็จ หรือความไมพรอมที่จะท าสิ่ง หนึ่งแต่ต้อง ท าไมส าเร็จ หรือไดท าไปแล้วและไมส าเร็จ หรือความไมพรอมที่จะท าสิ่งหนึ่งแต่ ตองท า 5. แนวคิดแห่งตน (Self-concept) เป็นความรูสึกเกี่ยวกับสภาพของตนเองหลังจากที่ไดเกี่ยวข้องกับ วิชาคณิตศาสตร์ เป็นความรูสึกรวม ๆ ต่อวิชาคณิตศาสตร์ของตนเอง อัญชลี แจ่มเจริญ และคนอื่น ๆ (2526 : 63) กล่าวว่า การสร้างเจตคติที่ดีต่อวิชาคณิตศาสตร์ให้แก นักเรียน นับเป็นสิ่งที่ส าคัญที่ครูผู้สอนจะต้องสร้างเพื่อให้นักเรียนมีความรักคณิตศาสตร์ เห็นความส าคัญของ คณิตศาสตร์ ชื่นชมในกิจกรรมคณิตศาสตร์รู้คุณค่าทางคณิตศาสตร์ที่มีในชีวิตประจ าวัน และตระหนักว่า ความก้าวหน้าทางวิทยาการของมนุษยชาติส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับคณิตศาสตร์ สรุปได้ว่า เจตคติต่อวิชาคณิตศาสตร์เป็นสิ่งส าคัญที่ครูผู้สอนต้องตระหนัก ถึงและให้ความส าคัญอยู่ เสมอว่า จะท าอย่างไรให้นักเรียนเกิดเจตคติที่ดีต่อวิชาคณิตศาสตร์ เพื่อส่งผลให้การเรียนการสอนมี ประสิทธิภาพยิ่งขึ้น


8 4. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จินตนา ภู่ขาว (2547 : 46) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นความรู้ความเข้าใจความสามารถและ ทักษะที่เกิดจากการเรียนของบุคคลอันเกิดจากการเรียนการสอนและการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมประสบการณ์ เรียนรู้ทั้งด้านความรู้ที่เป็นทักษะรวมถึงคุณภาพการจัดกิจกรรม การเรียนการสอน Good (1973 : 7) อ้างถึงใน ประพนธ์จ่ายเจริญ (2544 : 53) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง การเข้าถึงความรู้หรือพัฒนาทักษะทางการเรียน ซึ่งโดยปกติพิจารณาจากคะแนนสอบหรือคะแนนที่ได้จากงาน ที่ครูมอบหมายให้หรือทั้งสองอย่าง สรุปได้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสามารถของนักเรียนที่เกิดจากการเรียนรู้ซึ่งได้จาก การพิจารณาคะแนนที่ได้จากการท าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่สร้างขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับ จุดประสงค์การเรียนรู้ที่พึงประสงค์ 5. รูปแบบการสอน รูปแบบการเรียนการสอนมีความหมายในลักษณะเดียวกับระบบการเรียนการสอน ซึ่งนักการ ศึกษา โดยทั่ว ไปนิยมใช้ค าว่า “ระบบ” ในความหมายที่เป็นระบบใหญ่ ครอบคลุมองค์ประกอบส าคัญๆ ของ การศึกษา หรือการเรียนการสอนในภาพรวม และนิยมใช้ค าว่า “รูปแบบ” กับระบบที่ ย่อยกว่าโดยเฉพาะกับ “วิธีการสอน” ในด้านความหมายของรูปแบบการสอน มีผู้ให้ความหมายไว้หลายแง่มุม ดังนี้ Saylor and others (1981 : 271) กล่าวว่า รูปแบบการสอน (teaching model) หมายถึง แบบ (pattern) ของการสอนที่มีการจัดกระท าพฤติกรรมขึ้นจ านวนหนึ่งที่มีความแตกต่างกัน เพื่อ จุดหมายหรือ จุดเน้นที่เฉพาะเจาะจงอย่างใดอย่างหนึ่ง ทิศนา แขมมณี (2551 : 3-4) กล่าวว่า รูปแบบการสอน หมายถึง สภาพหรือลักษณะของการ จัดการ เรียนการสอนที่จัดขึ้นอย่างมีระบบระเบียบ มีแบบแผนตามหลักปรัชญา ทฤษฎี หลักการ แนวคิด หรือความ เชื่อต่างๆ โดยอาศัยวิธีสอนและเทคนิคการสอนต่างๆ เข้ามาช่วยให้สภาพการเรียน การสอนนั้นเป็นไปตาม หลักการที่ยึดถือ ดังนั้น คุณลักษณะส าคัญของรูปแบบการสอนจึงต้อง ประกอบด้วยสิ่งต่างๆ ต่อไปนี้ 1. มีปรัชญาหรือทฤษฎีหรือหลักการหรือแนวคิดหรือความเชื่อที่เป็นพื้นฐานหรือเป็นหลักการของรูปแบบการ สอนนั้นๆ 2. มีการบรรยายหรืออธิบายสภาพหรือลักษณะของการจัดการเรียนการสอน 3. มีการจัดระบบ คือ มีการจัดองค์ประกอบและความสัมพันธ์ขององค์ประกอบของระบบให้สามารถน าผู้เรียนไปสู่เป้าหมายอย่างมี ประสิทธิภาพ สรุปได้ว่า รูปแบบการสอน หมายถึง แบบ (pattern) ของการสอนที่มีการจัดกระท าพฤติกรรมขึ้น จ านวนหนึ่งที่มีความแตกต่างกัน เพื่อจุดหมายหรือจุดเน้นที่เฉพาะเจาะจงอย่างใดอย่างหนึ่ง และสามารถน ามา แก้ปัญหาการจัดการเรียนการสอนได้ตามบริบทของสถานศึกษา


9 6. การรู้จัก (Know) ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (2547 : 35) การรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล หมายถึง การรู้ข้อมูลที่จ าเป็นเกี่ยวกับตัวนักเรียนซึ่งเป็นข้อมูลเชิงประจักษ์มิใช่การใช้ความรู้สึกหรือการคาดเดา โดยเฉพาะในการแก้ไขปัญหานักเรียน ซึ่งจะท าให้ไม่เกิดข้อผิดพลาดต่อการช่วยเหลือนักเรียนหรือเกิดได้น้อย ที่สุด สรุปได้ว่า การรู้จัก(นักเรียน) (Know) หมายถึง การที่ได้รู้ข้อมูลเชิงประจักษ์ ที่จ าเป็นเกี่ยวกับตัว นักเรียนที่ท าให้เข้าใจตัวนักเรียนมากขึ้นสามารถน าข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อการคัดกรองนักเรียนให้เป็น ประโยชน์ในการส่งเสริมด้านการจัดการเรียนการสอน การป้องกันและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ของนักเรียนได้ 7. การเชื่อมโยง (Link) Thorndike, Edward L. (1966 : 28-29) นักการศึกษาและจิตวิทยาชาวอเมริกันที่มีชื่อเสียงได้เป็น ผู้ให้ก าเนิดทฤษฎีแห่งการเรียนรู้ ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันอย่างแพร่หลาย ซึ่งมีชื่อว่า ทฤษฎีสัมพันธ์เชื่อมโยง (Connectionism Theory) จากการที่ธอร์นไดค์ ได้ศึกษาเรื่อง การเรียนรู้ของสัตว์ และต่อมาได้กลายมาเป็น ทฤษฎีการเรียนรู้ทั่วไปโดยอาศัยวิธีการทางวิทยาศาสตร์นั้น เป็นที่รู้จักกันดีในนามทฤษฎีความสัมพันธ์ เชื่อมโยงในเรื่องนี้ นอกจากธอร์นไดค์จะได้ย้ าในเรื่องการฝึกหัดหรือการกระท าซ้ าแล้ว เขายังให้ความส าคัญ ของการให้รางวัลหรือการลงโทษ ความส าเร็จหรือความผิดหวังและความพอใจหรือความไม่พอใจ แก่ผู้เรียน อย่างทัดเทียมกันด้วย ยืน ภู่วรวรรณ (2556 : 38-40) กล่าวถึงหลักการของทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้ ดังนี้ 1. ทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้เป็นทฤษฎีการเรียนรู้ที่มีพื้นฐานมาจากความรู้ที่มีอยู่บนโลก มากกว่าความรู้ที่มีอยู่ในตัวของแต่ละคน 2. ทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้เชื่อว่าการเรียนรู้และองค์ความรู้มาจากความคิดที่หลากหลาย 3. การเรียนรู้ตามทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้เป็นกระบวนการเชื่อมโยงแหล่งสารสนเทศ 4. ทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้เชื่อว่าการเรียนรู้เกิดขึ้นได้จากเครื่องมือเครื่องจักรที่ไม่ใช่มนุษย์ 5. ทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้เชื่อว่าการเรียนรู้มีอะไรมากกว่าการรู้ 6. ทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้เชื่อว่าการท าให้มีการเชื่อมโยงท าให้เกิดการเรียนรู้อย่าง ต่อเนื่อง 7. ทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้เชื่อว่าการรับรู้เกี่ยวกับการเชื่อมโยงการหาข้อมูล ความคิด และ แนวคิดส าคัญ คือแก่นของทักษะการเรียนรู้ 8. ทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้เป็นกิจกรรมการเรียนรู้ที่ผู้เรียนเป็นผู้ปฏิบัติกิจกรรม สรุปได้ว่า การเชื่อมโยง(ความรู้) (Link) หมายถึง การสร้างองค์ความรู้ใหม่จากความรู้เดิมที่นักเรียนมี จากการจัดกิจกรรมที่มีความเชื่อมโยงของเนื้อหา ท าให้นักเรียนเกิดทักษะการเรียนรู้ที่เกิดจากการเชื่อมโยง และพัฒนาองค์ความรู้ได้ด้วยตนเอง


10 8. กิจกรรมที่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ (Activity and Active Leanning) ค าว่า Active Learning มีหลายความหมายด้วยกัน โดยมีผู้ให้ค าจ ากัดความ ค าว่า Active Learning ไว้ว่าหมายถึง การจัดการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม การจัดการเรียนรู้แบบกระตือรือร้น หรือ บางครั้งอาจเรียกว่า การจัดการเรียนรู้เชิงรุก ซึ่งนับว่ามีความหมายเดียวกัน Active Learning คือ กระบวนการจัดการเรียนรู้ที่ ผู้เรียนได้ลงมือกระท าและได้ใช้กระบวนการคิดเกี ่ยวกับสิ่งที ่ได้กระท า ลงไป (Bonwell & Eison, 1991) เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ภายใต้สมมติฐานพื้นฐาน 2 ประการ คือ 1) การเรียนรู้เป็นความพยายามโดย ธรรมชาติของมนุษย์และ 2) แต่ละบุคคลมีแนวทางในการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน (Meyers & Jones, 1993) โดย ผู้เรียนจะถูกเปลี่ยนบทบาทจากผู้รับความรู้ (Receive) ไปสู่การมีส่วนร่วมในการสร้างความรู้ (Co-creators) สถาพร พฤฑฒิกุล (2558 : 10) กล่าวว่า Active Learning เป็นกระบวนการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด การสร้างสรรค์ทางปัญญา (Constructivism) ที่เน้นกระบวนการเรียนรู้มากกว่าเนื้อหาวิชา เพื่อช่วยให้ผู้เรียน สามารถเชื่อมโยงความรู้หรือสร้างความรู้ให้เกิดขึ้นในตนเอง ด้วยการลงมือปฏิบัติจริงผ่านสื่อหรือกิจกรรมการ เรียนรู้ที่มีครูผู้สอนเป็นผู้แนะน า กระตุ้น หรืออ านวยความสะดวก ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ขึ้น โดย กระบวนการคิดขั้นสูง กล่าวคือ ผู้เรียนมีการวิเคราะห์ สังเคราะห์ และการประเมินค่าจากสิ่งที่ได้รับจาก กิจกรรมการเรียนรู้ท าให้การเรียนรู้เป็นไปอย่างมีความหมายและน าไปใช้ในสถานการณ์อื่นๆได้อย่างมี ประสิทธิภาพ สรุปได้ว่า กิจกรรมที่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ (Activity and Active Leanning) เป็นกระบวนการเรียน การสอนที่เน้นให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมและมีปฏิสัมพันธ์กับกิจกรรมการเรียนรู้ผ่านการปฏิบัติที่หลากหลายรูปแบบ เช่น การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ การระดมสมอง การแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และการท ากรณีศึกษา เป็นต้น โดยกิจกรรมที่น ามาใช้ควรช่วยพัฒนาทักษะการ คิดวิเคราะห์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ การสื่อสาร/น าเสนอ และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างเหมาะสม บทบาทของผู้เรียนนอกจากการมีส่วนร่วมในกิจกรรมดังกล่าว ข้างต้นแล้ว ยังต้องมีปฏิสัมพันธ์กับผู้สอนและผู้เรียนกับผู้เรียนด้วยกันด้วย ผู้สอนควรลดบทบาทในการ ถ่ายทอดความรู้แก่ผู้เรียนในลักษณะการบรรยายลง และเพิ่มบทบาท ในการกระตุ้นให้ผู้เรียนมีความ กระตือรือร้นที่จะท ากิจกรรมต่างๆ รวมถึงการจัดเตรียมสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมในการเรียนรู้ 9. ความรู้(Knowledge) มานัส ปันหล้า (ออนไลน์) กล่าวว่า ความรู้ คือสิ่งที่สั่งสมมาจากการศึกษาเล่าเรียน การค้นคว้าหรือ ประสบการณ์ รวมทั้งความสามารถเชิงปฏิบัติและทักษะความเข้าใจ หรือสารสนเทศที่ได้รับมาจาก ประสบการณ์ สิ่งที่ได้รับมาจากการได้ยิน ได้ฟัง การคิดหรือการปฏิบัติองค์วิชาในแต่ละสาขาซึ่งในความคิดของ ผู้นั้นคิดว่า นิยามของค าว่า ความรู้ นั้นเป็นสิ่งที่ยากที่จะก าหนดขอบเขตของความหมาย แต่ถ้าเราเริ่มจากค า ว่า "ข้อมูล" หรือ "ข้อเท็จจริง" สิ่งที่ได้คือความจริงต่าง ๆ ที่ปรากฏเกิดขึ้น การด าเนินการต่าง ๆ ท าให้เกิด ข้อมูล เช่น เมื่อเรามีการซื้อขายสินค้า ก็มีการจดบันทึกหลักฐาน เช่น การออกใบเสร็จ ใบสั่งของ เอกสารก ากับ เป็นรายการแสดงการด าเนินการ สิ่งเหล่านี้เรียกว่าข้อมูล ข้อมูลจึงเป็นเรื่องของข้อเท็จจริงที่เกิดจากการ


11 กระท าของมนุษย์ เกิดจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เกิดจากกิจกรรมต่าง ๆ ที่ต้องด าเนินการทั้งในระดับ ส่วนตัว ระดับการท างานร่วมกัน และระดับกลุ่ม องค์กร ตลอดจนระดับสังคม และชุมชนต่าง ๆ และความรู้ นั้นก็มีอยู่ 2 ชนิดคือ 1. ความรู้ที่ฝังอยู่ในสมอง ( Tacit Knowledge ) อาจเรียกง่ายๆ ว่า ความรู้ในตัวคน ได้แก่ ความรู้ที่ เป็นทักษะ ประสบการณ์ ความคิดริเริ่ม พรสวรรค์ หรือสัญชาติญาณของบุคคลในการท าความเข้าใจสิ่งต่างๆ บางครั้งเรียกว่าความรู้แบบนามธรรม 2. ความรู้ที่ชัดแจ้ง ( Explicit Knowledge ) อาจเรียกว่าความรู้นอกตัวคนเป็นความรู้ที่สามารถ รวบรวม ถ่ายทอดได้ โดยผ่านวิธีต่างๆ เช่นการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรเป็นหนังสือ ต าราเอกสาร กฎระเบียบ วิธีปฏิบัติงาน เป็นต้น บางครั้งเรียกว่าเป็นความรู้แบบรูปธรรม พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 (2546 ) ได้อธิบายความหมายของความรู้ไว้ว่า เป็นสิ่งที่ สั่งสมมาจากการศึกษาเล่าเรียน การค้นคว้า หรือประสบการณ์ รวมทั้งความสามารถเชิงทักษะและการปฏิบัติ หรือความเข้าใจ หรือสารสนเทศที่ได้รับมาจาก ประสบการณ์ หรือสิ่งที่ได้รับจากการได้ยิน การฟัง การคิด การปฏิบัติ สรุปได้ว่า ความรู้ (Knowledge) หมายถึง กระบวนการของการขัดเกลา เลือกใช้และบูรณาการ การ ใช้สารสนเทศจนเกิดเป็นความรู้ใหม่ (new knowledge) ความรู้ใหม่ เกิดจากการผสมผสานความรู้และ ประสบการณ์เดิมผนวกกับความรู้ใหม่ที่ได้รับความรู้ดังกล่าวเป็นความรู้ที่อยู่ภายในตัวบุคคล เป็นความรู้ที่ไม่ ปรากฏชัดแจ้ง (tacit knowledge) หากความรู้เหล่านั้นได้ถูกถ่ายทอดออกมาในรูปของการเขียนเป็นลาย ลักษณ์อักษรความรู้นั้นจะกลายเป็นความรู้ที่ปรากฏชัดแจ้ง (explicit knowledge) 10. การแนะน า (Introduction) การให้ค าแนะน า (Introduction)หรือ การให้การปรึกษา (Counseling) ค าว่า Counseling มีผู้ให้ ความหมายว่า หมายถึง การให้ค าปรึกษา ซึ่งมีความหมายเหมือนกัน เพียงแต่ใช้ค าในภาษาไทย แตกต่างกัน ในที่นี้จึงได้รวบรวมความหมายของการแนะน า ไว้ดังนี้ อัญธิญา ทองอ่อน (2564 : 20) การให้ค าปรึกษาหรือการให้การปรึกษา หมายถึง ความร่วมมือกัน ระหว่างผู้ให้การปรึกษา และผู้รับการปรึกษา โดยผู้ให้การปรึกษามีหน้าที่ช่วยให้ผู้รับการปรึกษามีความเข้าใจ ตนเอง เข้าใจปัญหา เข้าใจสิ่งแวดล้อม ตามสภาพปัญหาหรือสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และสามารถปฏิบัติตน หรือ ตัดสินใจแก้ไขปัญหาในสถานการณ์นั้นๆ ได้ด้วยตนเองอย่างเหมาะสม Burks และ Stefflre (1979 : 26) ได้ให้ความหมายของการให้การปรึกษาไว้ว่า การให้การปรึกษา (Counseling) เป็นสัมพันธภาพทางวิชาชีพ ระหว่างผู้ให้การปรึกษากับผู้รับการปรึกษาแต่อาจจะมีจ านวน มากกว่านั้นในกรณีของการให้การปรึกษาเป็นกลุ่ม มีจุดหมายเพื่อช่วยให้ผู้รับการปรึกษาเข้าใจตนเองและ สิ่งแวดล้อม สามารถตัดสินใจและแก้ปัญหาได้ด้วยตนเอง สรุปได้ว่า การแนะน า (Introduction) หมายถึง เป็นกระบวนการของสัมพันธภาพในการให้ความ ช่วยเหลือซึ่งเต็มไปด้วยความอบอุ่น การยอมรับ และความเข้าใจ ระหว่างผู้ให้การปรึกษา ซึ่งครูผู้สอนที่ได้รับ


12 การฝึกอบรมในการให้ความช่วยเหลือกับผู้รับการปรึกษา ซึ่งต้องการความช่วยเหลือ เพื่อช่วยให้ผู้รับการ ปรึกษาได้เข้าใจตนเองและสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้น ได้เรียนรู้พฤติกรรมใหม่ๆ มีทัศนคติใหม่เกิดขึ้น ส าหรับน าไป ประกอบการตัดสินใจแก้ปัญหาหรือวางโครงการศึกษาและประกอบอาชีพ ตลอดจน พัฒนาตนเองในด้านต่างๆ 11. การอภิปราย (Discuss) นิรัญชลา ทับพุ่ม (2564 : 20) กล่าวว่า การร่วมกันแสดงความคิดเห็น แลกเปลี่ยนความรู้ ความคิด เกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ซึ่งอาจน าไปสู่การหาข้อสรุปในการแก้ปัญหา ซึ่งเมื่อน ามาใช้ในการจัดกิจกรรมการ เรียนการสอนจะเป็นวิธีการที่ท าให้นักเรียนได้รับความรู้และเกิดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และท างานร่วมกับ ผู้อื่นได้อย่างดี การอภิปรายจึงจ าเป็นส าหรับการศึกษาในทุกระดับชั้น ทิศนา แขมมณี (2553 : 10) กล่าวว่า การอภิปรายในชั้นเรียน หมายถึง กระบวนการที่ครูเปิดโอกาส ให้นักเรียนพูดคุย แลกเปลี่ยนข้อมูล ความคิดเห็น และประสบการณ์ร่วมกันในประเด็นที่ก าหนด เพื่อให้ นักเรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ที่ครูวางแผนไว้ สรุปได้ว่า การอภิปรายในชั้นเรียน (Discuss) หมายถึง การสนทนาแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างครูกับ นักเรียนหรือนักเรียนกับนักเรียน เพื่อให้เกิดปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันในการแบ่งปันข้อมูล ในด้านความรู้ ความคิด ข้อคิดเห็น รวมถึงความรู้สึกโดยทุกคนสามารถมีส่วนร่วมในการเรียนรู้อย่างเท่าเทียมกัน 12. การพัฒนา (Development) สนธยา พลศรี (2547 : 2) กล่าวว่า การพัฒนา หมายถึง การเปลี่ยนแปลงสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้เกิด ความ เจริญเติบโตงอกงามและดีขึ้นจนเป็นที่พึงพอใจ ความหมาย ดังกล่าวนี้เป็นที่มาของความหมายในภาษาไทย และเป็นแนวทางในการก าหนดความหมายอื่นๆ นิรันดร์ จงวุฒิเวศน์(2550 : 10) กล่าวว่า การพัฒนา หมายถึง ความเจริญก้าวหน้าโดยทั่ว ๆ ไป เช่น การ พัฒนาชุมชน พัฒนา ประเทศ คือการท าสิ่งเหล่านั้นให้ดีขึ้น เจริญขึ้น สนองความต้องการของประชาชนส่วน ใหญ่ให้ได้ดียิ่งขึ้น หรืออาจกล่าวได้ว่า “การพัฒนา” เป็นกระบวนการของการเคลื่อนไหวจากสภาพที่ไม่น่า พอใจไปสู่สภาพที่น่าพอใจ การพัฒนาจึงเป็นกระบวนการที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ไม่หยุดนิ่ง และมี ความสัมพันธ์โดยตรงกับความเปลี่ยนแปลง กล่าวคือ การพัฒนาเป็นกระบวนการของการเปลี่ยนแปลงที่มีการ วางแผนไว้แล้ว ท าให้ลักษณะเดิมเปลี่ยนไปโดยมุ่งหมายว่า ลักษณะใหม่ที่เข้า มาแทนที่นั้นจะดีกว่าลักษณะเก่า สภาพเก่า แต่โดยธรรมชาติแล้วเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นย่อม เกิดปัญหาในตัวมันเองเพียงแต่ว่าจะมีปัญหา มากหรือปัญหาน้อยต่อการยอมรับการเปลี่ยนแปลง นั้น ๆ สรุปได้ว่า การพัฒนา (Development) หมายถึง การเปลี่ยนแปลง การปรับปรุงสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพื่อให้ เกิดผลลัพธ์ที่ดีขึ้นและเป็นที่น่าพึงพอใจ และสามารถน าสิ่งต่าง ๆ ที่ได้จากการพัฒนามาต่อยอดหรือดัดแปลง ให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีขึ้นในงานที่มีความสัมพันธ์ในลักษณะเดียวกัน


13 13. เอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง วิมล วงษ์ใหญ่ (2561 : 79-83) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง ปัจจัยการบริหารที่ส่งผลต่อผลลัพธ์ของโรงเรียน มัธยมศึกษาในโครงการโรงเรียนมาตรฐานสากล สังกัดส านักงานศึกษาธิการจังหวัดปทุมธานี ผลการวิจัยพบว่า ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หลังการจัดการ เรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับเทคนิคการจัดทีมแข่งขัน สูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ ระดับ .01 2) ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับเทคนิคการจัด ทีมแข่งขันอยู่ในระดับมากที่สุด วิการณ์ แก้วมะ (2558 : 126-134) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง การพัฒนาชุดการเรียนการสอนโดยใช้การ เรียนรู้แบบร่วมมือรูปแบบ STAD เรื่อง พื้นที่ผิวและปริมาตร กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 3 ผลการวิจัยพบว่า 1. ชุดการเรียนการสอนคณิตศาสตร์โดยใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือแบบ STAD มี ประสิทธิภาพเป็น 77.41/77.25 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 75/75 ที่ตั้งไว้ 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่เรียน ด้วยชุดการเรียนการสอน คณิตศาสตร์โดยใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือรูปแบบ STAD เรื่อง พื้นที่ผิวและปริมาตร หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่าง มีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .01 3. ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 3 ที่เรียนโดยใช้ชุดการ เรียนการสอนคณิตศาสตร์โดยใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือแบบ STAD เรื่อง พื้นที่ผิวและ ปริมาตร มีความพึงพอใจโดยรวมอยู่ในระดับมาก สุธาสินี แพงใจ (2560 : 85-89) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ และพฤติกรรมการเรียน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ ความคล้ายโดยการจัดการเรียนรู้ ตามรูปแบบ CIPPA ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ ความคล้าย โดยการจัดการเรียนรูปตามรูปแบบ CIPPA หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมี นัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วย การเรียนรู้ ความคล้าย โดยการจัดการเรียนรูปตามรูปแบบ CIPPA หลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 60 อย่างมี นัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) พฤติกรรมการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หลังการจัดการเรียนรู้ ตามรูปแบบ CIPPA โดยรวมอยู่ในระดับมาก จีราวะดี เกษี (2560 : 131-138) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง ผลของการจัดกิจกรรมการเรียนรูแบบ SSCS เพื่อส่งเสริมความสามารถในการแกปัญหาทางคณิตศาสตร์ และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ผลการวิจัยพบว่า 1. แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรูแบบ SSCS มีประสิทธิภาพ E1/E2 เท่ากับ 86.00/86.50 และแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรูแบบปกติมีประสิทธิภาพเท่ากับ 77.01/77.33 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 75/75 ที่ตั้งไว 2. แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรูแบบSSCS มีดัชนีประสิทธิผลเท่ากับ 0.7065 แสดงว่านักเรียนนั้นมีความก้าวหน้าทางการเรียนเพิ่มขึ้นร้อยละ 70.65 และแผนการจัดกิจกรรม การเรียนรู แบบปกติ มีดัชนีประสิทธิผลเท่ากับ 0.6631 แสดงว่านักเรียนมีความก้าวหนาทางการเรียน ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 66.31 3. นักเรียนที่เรียนรู้ในการแกปัญหาทางคณิตศาสตร์และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่านักเรียนที่เรียน รูโดยวิธีการจัดกิจกรรมการเรียนรูแบบปกติ อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05


บทที่ 3 วิธีการด าเนินการ การพัฒนานวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 เรื่อง ปริมาตรของพีระมิด โดยใช้รูปแบบการสอนแบบ KLAKIDD Model เป็นการพัฒนา รูปแบบการจัดการเรียนการสอน โดยมีวิธีการด าเนินการตามล าดับหัวข้อดังต่อไปนี้ 1. ประชากรและกลุ่มเป้าหมาย ประชากร นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนวัดจันทราวาส(ศุขประสารราษฎร์) ปีการศึกษา 2566 จ านวน 265 คน กลุ่มเป้าหมาย นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที ่ 3 ห้อง 2 โรงเรียนวัดจันทราวาส(ศุขประสารราษฎร์) ปี การศึกษา 2566 จ านวน 35 คน 2. ตัวแปรที่ศึกษา ตัวแปรที่ใช้ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้ ประกอบด้วยตัวแปรต้น และตัวแปรตาม ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ 1) ตัวแปรต้น คือ การจัดการเรียนรู้โดยใช้นวัตกรรมการสอนรูปแบบ KLAKIDD Model 2) ตัวแปรตาม คือ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ในหน่วยการเรียนรู้ เรื่อง ปริมาตรของพีระมิด ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และความพึงพอใจในการจัดการเรียนรู้โดยใช้นวัตกรรมการสอนรูปแบบ KLAKIDD Model 3. การออกแบบนวัตกรรม จากสภาพปัญหาและสาเหตุตลอดจนแนวคิดและประสบการณ์เกี่ยวกับการจัดการเรียน การสอน คณิตศาสตร์ ดังกล่าว ผู้พัฒนานวัตกรรมได้ก าหนดแนวทางในการออกแบบนวัตกรรม ในการจัดการ เรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง ปริมาตรพีระมิด KLAKIDD Model ซึ่งกระบวนการสอนโดยรูปแบบ KLAKIDD Model พัฒนาแนวคิดการสอนมาจากกระบวนการสอนรูปแบบ CIPPA โดยผ ่านการ วิเคราะห์ สังเคราะห์รูปแบบการสอนจากผู้เชี่ยวชาญ


15 ภาพที่ 3 แผนผังแนวความคิดการออกแบบนวัตกรรม โดยมีขั้นตอนในการออกแบบและพัฒนารูปแบบการสอน KLAKIDD Model ขึ้นโดยใช้หลักแนวคิด ADDIE Model ซึ่งเป็นรูปแบบในการออกแบบกระบวนการเรียนรู้ และพัฒนาอย่างเป็นระบบที่ได้รับการ ย อ ม รับทั่ วโ ล ก คิ ด ค้น ขึ้นโ ด ย Florida State University’s Center for Educational Technology ประกอบด้วยขั้นตอน 5 ขั้นตอน คือ 1) การวิเคราะห์ (Analysis) ประเด็นพัฒนา : การศึกษาโลกในยุคปัจจุบันมีความจ าเป็นต่อการพัฒนาประเทศชาติ และระบบ การศึกษาเป็นปัจจัยส าคัญที่จะพัฒนาคุณภาพของนักเรียน ซึ่งปัจจุบันผลของการจัดการศึกษาของระบบ การศึกษาของประเทศไทยยังไม่บรรลุวัตถุประสงค์ตามเป้าหมายของแผนการศึกษาชาติ โรงเรียนวัดจันทราวาส (ศุขประสารราษฎร์) เห็นความส าคัญต่อการพัฒนาคุณภาพของผู้เรียน และพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนการ สอนที่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญมีทักษะที่จ าเป็นในศตวรรษที่ 21 การจัดการเรียนสอนรายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน 5 เป็นรายวิชาการค านวณผู้เรียนขาดความรู้ ความเข้าใจและขาดแรงจูงใจในการเรียนวิชาคณิตศาสตร์และมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ ากว่าค่าเป้าหมายของ สถานศึกษา จึงมีความจ าเป็นที่ต้องคิดค้นและพัฒนานวัตกรรมการจัดการเรียนการสอนเพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ ความเข้าใจต่อการเรียนวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐานมากยิ่งขึ้น 2) การออกแบบ (Design) - น าผลการวิเคราะห์มาออกแบบนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้เพื่อแก้ไขปัญหาด้านทัศนคติในการ เรียนของนักเรียน และเพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน - ด าเนินการออกแบบและสร้างนวัตกรรม ที่สอดคล้องกับประเด็นปัญหา รวมถึงสอดคล้องกับ เทคนิควิธีการสอนของครูผู้สอน เพื่อสามารถน านวัตกรรมไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รูปแบบการสอน CIPPA Model ขั้นที่ 1 ทบทวนความรู้เดิม ขั้นที่ 2 แสวงหาความรู้ใหม่ ขั้นที่ 3 เชื่อมโยงความรู้เดิม ขั้นที่ 4 การแลกเปลี่ยนความรู้กลุ่ม ขั้นที่ 5 การสรุปความรู้ ขั้นที่ 6 การแสดงผลงาน ขั้นที่ 7 การประยุกต์ใช้ความรู้ วิเคราะห์รูปแบบการ สอนให้สอดคล้องกับ การพัฒนาการสอน ข อ ง นั ก เ รี ย น ใ น ระดับชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 3 รูปแบบการสอน KLAKIDD Model K1 = การรู้จัก (นักเรียน, หลักสูตร) L = การเชื่อมโยง (ความรู้เดิม) A = กิจกรรมที่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ K2 = ความรู้ I = การให้ค าแนะน า ชี้แนะ D1 = การอภิปราย D2 = การพัฒนา


16 - น าเสนอนวัตกรรม KLAKIDD Model เสนอต่อที่ประชุมกลุ่มย่อย และที่ประชุมกลุ่มสาระการ เรียนรู้คณิตศาสตร์เพื่อร่วมกันออกแบบและให้ข้อเสนอแนะต่อการพัฒนานวัตกรรม 3) การพัฒนา (Development) - ศึกษาหลักการ แนวคิด ทฤษฎีการเรียนรู้และรูปแบบการเรียนการสอนที่เกี่ยวข้อง เพื่อใช้ เป็นแนวคิดพื้นฐานในการสังเคราะห์และก าหนดโครงร่างรูปแบบการจัดการเรียนการสอน โดยใช้รูปแบบ การสอนแบบ KLAKIDD Model - สังเคราะห์รูปแบบการจัดการเรียนรู้รายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน 5 เรื่อง ปริมาตรพีระมิด โดยใช้ รูปแบบการสอนแบบ KLAKIDD Model - สร้างรูปแบบการจัดการเรียนรู้รายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน 5 เรื่อง ปริมาตรพีระมิด โดยใช้ รูปแบบการสอนแบบ KLAKIDD Model ซึ่งประกอบด้วยสาระส าคัญ คือ ความเป็นมาและความส าคัญ แนวคิดและทฤษฎีพื้นฐาน ความมุ่งหมาย กระบวนการจัด การเรียนรู้บทบาทของนักเรียน บทบาทของผู้สอน การวัดและประเมินผล และการน าไปใช้ - จัดท าแบบประเมินนวัตกรรม KLAKIDD Model โดยก าหนดรูปแบบของข้อค าถามแบบมาตรา ส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ตามแนวคิดของลิเคิร์ท (Likert’s five rating scales) แล้วน าไปใช้ในการเก็บ รวบรวมข้อมูลความคิดเห็นต่อนวัตกรรม KLAKIDD Model จากผู้เชี่ยวชาญ ประกอบด้วย ผู้บริหาร และคณะ ครูโรงเรียนวัดจันทราวาส(ศุขประสารราษฎร์) จ านวน 13 คน ได้แก่ ผู้อ านวยการ 1 คน รองผู้อ านวยการ 3 คน หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้8 คน และหัวหน้ากิจกรรมพัฒนาผู้เรียน 1 คน ผลการวิเคราะห์แบบประเมินนวัตกรรม KLAKIDD Model ผลการวิเคราะห์ระดับการประเมินนวัตกรรม KLAKIDD Model ผู้วิจัยวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่ามัชฌิม เลขคณิต (X̅) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ระดับและล าดับในภาพรวม โดยน าค่าเฉลี่ยเทียบกับเกณฑ์ตาม แนวคิดของเบสท์(Best) ซึ่งผลการวิเคราะห์มีรายละเอียดดังนี้ ตารางที่1 ค่ามัชฌิมเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ระดับและล าดับระดับการประเมินนวัตกรรม KLAKIDD Model โดยภาพรวม (n = 13) ข้อ องค์ประกอบ X̅ S.D. ระดับ ล าดับ 1 ด้านคุณภาพ 4.34 0.70 มาก 1 2 ด้านคุณประโยชน์ 4.23 0.67 มาก 3 3 ด้านความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ 4.26 0.63 มาก 2 รวม 4.28 0.67 มาก


17 จากตารางที่ 1 พบว่า ระดับการประเมินนวัตกรรม KLAKIDD Model โดยภาพรวมอยู่ในระดับ มาก (X̅= 4.28, S.D. = 0.67) เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้าน โดยเรียงค่ามัชฌิมเลข คณิตจากมากไปน้อย ได้ดังนี้ ด้านคุณภาพ (X̅ = 4.34, S.D. = 0.70) ด้านคุณประโยชน์ (X̅ = 4.26, S.D. = 0.63) และด้านความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ (X̅ = 4.23, S.D. = 0.67) ตามล าดับ ตารางที่ 2 ค่ามัชฌิมเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ระดับและล าดับระดับการประเมินนวัตกรรม KLAKIDD Model ด้านคุณภาพ (n = 13) ข้อ ด้านคุณภาพ X̅ S.D. ระดับ ล าดับ 1 คุณลักษณะของนวัตกรรม 4.28 0.77 มาก 4 2 คุณภาพขององค์ประกอบในนวัตกรรม 4.52 0.70 มาก 1 3 การออกแบบนวัตกรรม 4.35 0.71 มาก 2 4 ประสิทธิภาพของนวัตกรรม 4.32 0.69 มาก 3 รวม 4.36 0.72 มาก จากตารางที่ 2 พบว่า ระดับการประเมินนวัตกรรม KLAKIDD Model ด้านคุณภาพ โดย ภาพรวมอยู่ในระดับมาก (X̅= 4.36, S.D. = 0.72) เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้าน โดย เรียงค่ามัชฌิมเลขคณิตจากมากไปน้อย ได้ดังนี้ คุณภาพขององค์ประกอบในนวัตกรรม (X̅ = 4.52, S.D. = 0.70) การออกแบบนวัตกรรม (X̅ = 4.35, S.D. = 0.71) ประสิทธิภาพของนวัตกรรม (X̅ = 4.32, S.D. = 0.69) และคุณลักษณะของนวัตกรรม (X̅ = 4.28, S.D. = 0.77) ตามล าดับ ตารางที่ 3 ค่ามัชฌิมเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ระดับและล าดับระดับการประเมินนวัตกรรม KLAKIDD Model ด้านคุณประโยชน์ (n = 13) ข้อ ด้านคุณประโยชน์ X̅ S.D. ระดับ ล าดับ 1 ความสามารถในการแก้ปัญหาหรือพัฒนาทักษะใน ศตวรรษที่ 21 4.42 0.79 มาก 2 2 ประโยชน์ที่นักเรียนได้รับจากนวัตกรรม 4.52 0.67 มาก 1 3 ประโยชน์ต่อสถานศึกษาที่ได้รับจากนวัตกรรม 4.32 0.81 มาก 3 รวม 4.42 0.76 มาก


18 จากตารางที่ 3 พบว่า ระดับการประเมินนวัตกรรม KLAKIDD Model ด้านคุณประโยชน์โดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก (X̅= 4.42, S.D. = 0.76) เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้าน โดยเรียงค่า มัชฌิมเลขคณิตจากมากไปน้อย ได้ดังนี้ ประโยชน์ที่นักเรียนได้รับจากนวัตกรรม (X̅ = 4.52, S.D. = 0.67) ความสามารถในการแก้ปัญหาหรือพัฒนาทักษะในศตวรรษที่ 21 (X̅ = 4.42, S.D. = 0.79) และประโยชน์ต่อ สถานศึกษาที่ได้รับจากนวัตกรรม (X̅ = 4.32, S.D. = 0.81) ตามล าดับ ตารางที่ 4 ค่ามัชฌิมเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ระดับและล าดับระดับการประเมินนวัตกรรม KLAKIDD Model ด้านความคิดสร้างสรรค์ (n = 13) ข้อ ด้านความคิดสร้างสรรค์ X̅ S.D. ระดับ ล าดับ 1 ความแปลกใหม่ของนวัตกรรม 4.46 0.71 มาก 2 2 จุดเด่นของนวัตกรรม 4.58 0.67 มาก 1 รวม 4.52 0.69 มาก จากตารางที่ 4 พบว่า ระดับการประเมินนวัตกรรม KLAKIDD Model ด้านความคิดสร้างสรรค์โดย ภาพรวมอยู่ในระดับมาก (X̅= 4.52, S.D. = 0.69) เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้าน โดย เรียงค่ามัชฌิมเลขคณิตจากมากไปน้อย ได้ดังนี้ จุดเด่นของนวัตกรรม (X̅ = 4.58, S.D. = 0.67 และความ แปลกใหม่ของนวัตกรรม (X̅ = 4.46, S.D. = 0.71) ตามล าดับ 4) การด าเนินการใช้นวัตกรรม (Implement) - น านวัตกรรม KLAKIDD Model ที่ได้พัฒนาขึ้นและผ่านการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญไปใช้ใน การจัดการเรียนการสอนในรายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน 5 เรื่อง ปริมาตรพีระมิด กับนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ห้อง 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนวัดจันทราวาส(ศุขประสารราษฎร์) จ านวน 35 คน ภาพที่ 4 รูปแบบนวัตกรรมการจัดการเรียนการสอน KLAKIDD Model


19 4.1 Know : การรู้จัก ขั้นรู้จักนักเรียน - การวิเคราะห์มูลผู้เรียนรายบุคคล โดยข้อมูลจากครูที่ปรึกษา ครูผู้สอนในชั้นเรียนที่ผ่านมา - การท าแบบท าสอบก่อนเรื่อง ปริมาตรพีระมิด 4.2 Link : การเชื่อมโยง ขั้นเชื่อโยงความรู้ - การทบทวนองค์ความรู้เดิมโดยผ่านกิจกรรม Kahoot 4.3 Activity and Active Leanning : กิจกรรมที่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ ขั้นกิจกรรมที่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ - นักเรียนร่วมท ากิจกรรม “ปริมาตรของพีระมิด” เป็นกิจกรรมที่ให้นักเรียนได้น าความรู้ เดิมเรื่อง ปริมาตรของปริซึม เมื่อนักเรียนท ากิจกรรมเสร็จสิ้นแล้วนักเรียนจะสามารถสรุปความสัมพันธ์ของ ปริมาตรของปริซึมและปริมาตรของพีระมิดได้ และในขั้นตอนนี้นักเรียนจะสามารถสรุปสูตรการหาปริมาตร ของพีระมิดได้ 4.4 Knowledge : ความรู้ ขั้นความรู้ - นักเรียนและครูร่วมกันแสดงวิธีท าการหาค่าปริมาตรของพีระมิด โดยครูผู้สอนจะค่อย ถามนักเรียน เพื่อให้นักเรียนได้เกิดการสังเกต และเกิดเรียนรู้เพื่อที่จะหาปริมาตรของพีระมิด - ครูมอบหมายแบบฝึกทักษะให้นักเรียนช่วยกันหาค าตอบจากแบบฝึกทักษะ - ครูผู้สอนมอบหมายภาระชิ้นงาน โดยครูตั้งเงื่อนไขให้นักเรียนน าความรู้ เรื่อง ปริมาตร ของพีระมิด ไปใช้ในการท าชิ้นงาน ตัวอย่างโจทย์ภาระชิ้นงาน “ให้นักเรียนออกแบบบรรจุภัณฑ์รูปทรงพีระมิด โดยบรรจุภัณฑ์นี้จะต้องสามารถบรรจุผลิตภัณฑ์ได้ในปริมาตร 300 ลูกบาศก์เซนติเมตร” 4.5 Introduction : การแนะน า - ครูผู้สอนค่อยให้ค าแนะน า ชี้แนะนักเรียนระหว่างที่นักเรียนท าแบบฝึกทักษะและภาระ ชิ้นงาน เพื่อให้นักเรียนมีความเข้าใจในมากยิ่งขึ้น 4.6 Discuss : อภิปราย - นักเรียนน าเสนอชิ้นงาน โดยนักเรียนและครูร่วมกันอภิปราย พร้อมร่วมกันประเมินผล ชิ้นงานภายในห้องเรียน - ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายแบบฝึกทักษะ 4.7 Development : การพัฒนา - ครูและนักเรียนน าผลการอภิปรายมาพัฒนาการจัดการเรียนการสอนและภาระชิ้นงานที่ ได้รับมอบหมายในครั้งต่อไป


20 5) การประเมินผลนวัตกรรม - ประเมินคุณภาพนักเรียน โดยการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังการ จัดการเรียนรู้โดยใช้นวัตกรรมการสอนรูปแบบ KLAKIDD Model ในหน่วยการเรียนรู้ เรื่อง ปริมาตรของ พีระมิด ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย - ประเมินความพึงพอใจในการจัดการเรียนรู้โดยใช้นวัตกรรมการสอนรูปแบบ KLAKIDD Model โดยนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย 4. เครื่องมือเก็บข้อมูลและวิธีการสร้างเครื่องมือ 1) เครื่องมือเก็บข้อมูล การวิจัยครั้งนี้มีเครื่องมือ 3 ประเภท คือ 1) แบบประเมินนวัตกรรม KLAKIDD Model 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหน่วยการเรียนรู้ เรื่อง พีระมิด และ 3) แบบสอบถามความพึงพอใจ ในการจัดการเรียนรู้โดยใช้นวัตกรรมการสอนรูปแบบ KLAKIDD Model มีรายละเอียดดังนี้ 1.1 แบบประเมินนวัตกรรม KLAKIDD Model ประเมินนวัตกรรม KLAKIDD Model มีลักษณะเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ตาม แนวคิดของลิเคิร์ท (Likert’s five rating scales) โดยก าหนดน้ าหนักและคะแนน ดังต่อไปนี้ 5 หมายถึง การสอนรูปแบบ KLAKIDD Model อยู่ในระดับมากที่สุด มีคะแนนเท่ากับ 5 4 หมายถึง การสอนรูปแบบ KLAKIDD Model อยู่ในระดับมาก มีคะแนนเท่ากับ 4 3 หมายถึง การสอนรูปแบบ KLAKIDD Model อยู่ในระดับปานกลาง มีคะแนนเท่ากับ 3 2 หมายถึง การสอนรูปแบบ KLAKIDD Model อยู่ในระดับน้อย มีคะแนนเท่ากับ 2 1 หมายถึง การสอนรูปแบบ KLAKIDD Model อยู่ในระดับน้อยที่สุด มีคะแนนเท่ากับ 1 1.2 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหน่วยการเรียนรู้ เรื่อง ปริมาตรของพีระมิด ประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้นวัตกรรมการสอน รูปแบบ KLAKIDD Model ในหน่วยการเรียนรู้ เรื่อง ปริมาตรพีระมิด เป็นข้อสอบปรนัย 4 ตัวเลือก จ านวน 10 ข้อ เพื่อเปรียบเทียบค่าความก้าวหน้าก่อนเรียนและหลังเรียน 1.3 แบบสอบถามความพึงพอใจในการจัดการเรียนรู้โดยใช้นวัตกรรมการสอนรูปแบบ KLAKIDD Model สอบถามความพึงพอใจในการจัดการเรียนรู้โดยใช้นวัตกรรมการสอนรูปแบบ KLAKIDD Model ในหน่วยการเรียนรู้ เรื่อง ปริมาตรของพีระมิด มีลักษณะเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ตาม แนวคิดของลิเคิร์ท (Likert’s five rating scales) โดยก าหนดน้ าหนักและคะแนน ดังต่อไปนี้ 5 หมายถึง ความพึงพอใจในการจัดการเรียนรู้โดยใช้นวัตกรรมการสอนรูปแบบ KLAKIDD Model ในหน่วยการเรียนรู้ เรื่อง ปริมาตรพีระมิด อยู่ในระดับมากที่สุด มีคะแนนเท่ากับ 5 4 หมายถึง ความพึงพอใจในการจัดการเรียนรู้โดยใช้นวัตกรรมการสอนรูปแบบ KLAKIDD Model ในหน่วยการเรียนรู้ เรื่อง ปริมาตรพีระมิด อยู่ในระดับมาก มีคะแนนเท่ากับ 4


21 3 หมายถึง ความพึงพอใจในการจัดการเรียนรู้โดยใช้นวัตกรรมการสอนรูปแบบ KLAKIDD Model ในหน่วยการเรียนรู้ เรื่อง ปริมาตรพีระมิดอยู่ในระดับปานกลาง มีคะแนนเท่ากับ 3 2 หมายถึง ความพึงพอใจในการจัดการเรียนรู้โดยใช้นวัตกรรมการสอนรูปแบบ KLAKIDD Model ในหน่วยการเรียนรู้ เรื่อง ปริมาตรพีระมิด อยู่ในระดับน้อย มีคะแนนเท่ากับ 2 1 หมายถึง ความพึงพอใจในการจัดการเรียนรู้โดยใช้นวัตกรรมการสอนรูปแบบ KLAKIDD Model ในหน่วยการเรียนรู้ เรื่อง ปริมาตรพีระมิด อยู่ในระดับน้อยที่สุด มีคะแนนเท่ากับ 1 2) วิธีการสร้างเครื่องมือ ผู้วิจัยได้ออกแบบการสร้างและพัฒนาเครื่องมือส าหรับการวิจัยทั้ง 3 ประเภท ดังนี้ 2.1แบบประเมินนวัตกรรม KLAKIDD Model ขั้นที่ 1 ศึกษาวรรณกรรม หลักการ แนวคิด และทฤษฎีที่เกี่ยวข้องจากหนังสือ ต ารา เอกสาร คู่มือ และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการประเมินนวัตกรรมการศึกษา ขั้นที่ 2 น าข้อมูลที่ได้จากการศึกษามาประมวล เพื่อก าหนดเป็นโครงสร้าง และปรับปรุง เครื่องมือในการวิจัย ก าหนดรูปแบบของข้อค าถาม และสร้างเครื่องมือแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ตามแนวคิดของลิเคิร์ท (Likert’s five rating scales) ขั้นที่ 3 ตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา (content validity) โดยน าแบบประเมินนวัตกรรมให้ ผู้เชี่ยวชาญ จ านวน 13 ท่าน พิจารณาค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index of Item Objective Congruence : IOC) ของข้อค าถาม แล้วเลือกค าถามที่มีค่า IOC ตั้งแต่ 0.5 ขึ้นไป โดยสรุปได้ว่า ค่าความตรงเชิงเนื้อหา เท่ากับ 0.66 – 1 ขั้นที่ 4 จัดท าแบบประเมินนวัตกรรม KLAKIDD Model ฉบับสมบูรณ์ แล้วน าไปใช้ในการ จัดการเรียนการสอนกับกลุ่มเป้าหมาย 2.2 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหน่วยการเรียนรู้ เรื่อง ปริมาตรพีระมิด ขั้นที่ 1 ศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการวัดและประเมินผล และสร้างแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทาง การเรียน เรื่อง ปริมาตรของพีระมิด ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 วิเคราะห์เนื้อหา และตัวชี้วัด ขั้นที่ 2 น าข้อมูลที่ได้จากการศึกษามาประมวล และจัดท าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียน เรื่อง ปริมาตรพีระมิด จ านวน 10 ข้อ ขั้นที่ 3 ตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา (content validity) โดยน าแบบสอบถามที่สร้างขึ้นให้ ผู้เชี่ยวชาญ จ านวน 3 ท่าน พิจารณาค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index of Item Objective Congruence : IOC ) ของข้อค าถาม แล้วเลือกค าถามที่มีค่า IOC ตั้งแต่ 0.5 ขึ้นไป โดยสรุปได้ว่า ค่าความตรงเชิงเนื้อหา เท่ากับ 0.66 – 1 ขั้นที่ 4 น าแบบทดสอบไปทดลองใช้ (try out) กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/4จ านวน 35 คน


22 ขั้นที่ 5 น าแบบสอบถามกลับคืนมาค านวณหาความเที่ยงตามวิธีการของ ครอนบาค โดย พิจารณาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่า (α – coefficient) ซึ่งค่าความเที่ยงของแบบสอบถามทั้งฉบับที่วิเคราะห์ได้เท่ากับ 0.972 ขั้นที่ 6 จัดท าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ปริมาตรของพีระมิด ฉบับสมบูรณ์ แล้วน าไปใช้ในการทดสอบกับกลุ่มเป้าหมาย 2.3 แบบสอบถามความพึงพอใจในการจัดการเรียนรู้โดยใช้นวัตกรรมการสอนรูปแบบ KLAKIDD Model ขั้นที่ 1 ศึกษาวรรณกรรม หลักการ แนวคิด และทฤษฎีที่เกี่ยวข้องจากหนังสือ ต ารา เอกสาร คู่มือ และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการสอบถามความพึงพอใจในการจัดการศึกษา ขั้นที่ 2 น าข้อมูลที่ได้จากการศึกษามาประมวล เพื่อก าหนดเป็นโครงสร้าง และปรับปรุงเครื่องมือใน การวิจัย ก าหนดรูปแบบของข้อค าถาม และสร้างเครื่องมือแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ตามแนวคิดของลิ เคิร์ท (Likert’s five rating scales) ขั้นที่ 3 ตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา (content validity) โดยน าแบบสอบถามที่สร้างขึ้นให้ ผู้เชี่ยวชาญ จ านวน 3 ท่าน พิจารณาค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index of Item Objective Congruence : IOC) ของข้อค าถาม แล้วเลือกค าถามที่มีค่า IOC ตั้งแต่ 0.5 ขึ้นไป โดยสรุปได้ว่า ค่าความตรงเชิงเนื้อหา เท่ากับ 0.66 – 1 ขั้นที่ 4 จัดท าแบบสอบถามความพึงพอใจในการจัดการเรียนรู้โดยใช้นวัตกรรมการสอน รูปแบบ KLAKIDD Model ฉบับสมบูรณ์ แล้วน าไปใช้กับกลุ่มเป้าหมาย 5. การเก็บรวบรวมข้อมูล การเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยด าเนินการตามขั้นตอนต่อไปนี้ 1)แบบประเมินนวัตกรรม KLAKIDD Model ขั้นที่ 1 ผู้วิจัยแจ้งขอความอนุเคราะห์ผู้เชี่ยวชาญ ประกอบด้วย ผู้บริหาร และคณะครูโรงเรียนวัด จันทราวาส(ศุขประสารราษฎร์) จ านวน 13 คน ได้แก่ผู้อ านวยการ 1 คนรองผู้อ านวยการ 3 คน หัวหน้ากลุ่ม สาระการเรียนรู้8 คน และหัวหน้ากิจกรรมพัฒนาผู้เรียน 1 คน และด าเนินการส่งแบบประเมินนวัตกรรมการ สอนรูปแบบ KLAKIDD Model ขั้นที่ 2 ตรวจสอบความสมบูรณ์ของแบบประเมินที่ได้รับกลับคืนมาเพื่อน ามาลงรหัสข้อมูล แล้ว น าไปวิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมส าเร็จรูป 2)แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหน่วยการเรียนรู้เรื่อง ปริมาตรของพีระมิด ขั้นที่ 1 ผู้วิจัยด าเนินการจัดสอบกับกลุ่มเป้าหมาย ด้วยแบบทดสอบก่อนเรียน หน่วยการเรียนรู้ เรื่อง ปริมาตรของพีระมิด


23 ขั้นที่ 2 ผู้วิจัยจัดการเรียนรู้โดยใช้นวัตกรรมการสอนรูปแบบ KLAKIDD Model ในหน่วย การเรียนรู้ เรื่อง ปริมาตรของพีระมิด กับกลุ่มเป้าหมาย ขั้นที่ 3 ผู้วิจัยด าเนินการจัดสอบกับกลุ่มเป้าหมาย ด้วยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลัง เรียน หน่วยการเรียนรู้ เรื่อง ปริมาตรของพีระมิด กับกลุ่มเป้าหมาย 3) แบบสอบถามความพึงพอใจในการจัดการเรียนรู้โดยใช้นวัตกรรมการสอนรูปแบบ KLAKIDD Model ขั้นที่ 1 ผู้วิจัยแจ้งขอความอนุเคราะห์กลุ่มเป้าหมายตอบแบบสอบถามความพึงพอใจในการจัดการ เรียนรู้โดยใช้นวัตกรรมการสอนรูปแบบ KLAKIDD Model ขั้นที่ 2 ผู้วิจัยด าเนินการเก็บข้อมูลกับกลุ่มเป้าหมาย และติดตามรวบรวมแบบสอบถามความพึง พอใจในการจัดการเรียนรู้โดยใช้นวัตกรรมการสอนรูปแบบ KLAKIDD Model 6. การวิเคราะห์ข้อมูล 1)แบบประเมินนวัตกรรม KLAKIDD Model ขั้นที่ 1 น าแบบประเมินนวัตกรรมการสอนรูปแบบ KLAKIDD Model มาตรวจสอบความถูกต้อง และความสมบูรณ์ของแบบสอบถามทุกฉบับ ขั้นที่ 2 วิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้โปรแกรมส าเร็จรูป 2) วิเคราะห์ข้อมูลจากแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหน่วยการเรียนรู้ เรื่อง ปริมาตรของ พีระมิด ด าเนินการโดยผู้วิจัยน าแบบทดสอบมาจัดกระท า ดังนี้ ขั้นที่ 1 น าแบบทดสอบก่อนเรียน และหลังเรียนของกลุ่มเป้าหมายมาตรวจสอบความสมบูรณ์ ขั้นที่2 จัดระบบข้อมูล ก่อนเรียน และหลังเรียน ขั้นที่ 3 วิเคราะห์ข้อมูล และตรวจสอบค่าความก้าวหน้า 3) วิเคราะห์ข้อมูลจากแบบสอบถามความพึงพอใจในการจัดการเรียนรู้โดยใช้นวัตกรรม การสอนรูปแบบ KLAKIDD Model ขั้นที่ 1 น าแบบสอบถามความพึงพอใจในการจัดการเรียนรู้โดยใช้นวัตกรรมการสอนรูปแบบ KLAKIDD Model มาตรวจสอบความถูกต้อง และความสมบูรณ์ของแบบสอบถามทุกฉบับ ขั้นที่ 2 วิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้โปรแกรมส าเร็จรูป 7. สถิติที่ใช้ในการวิจัย เพื่อให้การวิเคราะห์ข้อมูลตรงตามวัตถุประสงค์ของการวิจัย ได้ใช้สถิติ ดังนี้มัชฌิมเลขคณิต (arithmetic mean : X̅ ) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (standard deviation : S.D.)


บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การน าเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลงานวิจัยเรื ่อง “การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เรื่อง ปริมาตรพีระมิด โดยใช้รูปแบบการสอนแบบ KLAKIDD Model” เพื ่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ ของการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยน าข้อมูลที ่ได้จากการผลการทดสอบวัด ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก ่อนและหลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้นวัตกรรมการสอนรูปแบบ KLAKIDD Model ในหน ่วยการเรียนรู้เรื ่อง ปริมาตรของพีระมิด ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที ่ 3 และ แบบสอบถามความพึงพอใจในการจัดการเรียนรู้โดยใช้นวัตกรรมการสอนรูปแบบ KLAKIDD Model น ามาวิเคราะห์ และน าเสนอผลการวิเคราะห์โดยใช้ตารางประกอบค าบรรยาย ดังนี้ 1. ผลการวิเคราะห์แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหน่วยการเรียนรู้เรื่อง ปริมาตรของพีระมิด ผลการวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหน่วยการเรียนรู้ เรื่อง ปริมาตรของพีระมิด ก่อนเรียนและ หลังเรียน จากการจัดการเรียนการสอน โดยใช้นวัตกรรมการสอนรูปแบบ KLAKIDD Model ผู้วิจัยวิเคราะห์ ข้อมูล ร้อยละของคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียน และตรวจสอบค่าความก้าวหน้า ได้ผลดังตารางที่ 5 ตารางที่ 5 ผลการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนหน่วยการเรียนรู้เรื่อง ปริมาตรของพีระมิด เลขที่ ชื่อ – สกุลนักเรียน Pre Post คะแนน ความ ก้าวหน้า พัฒนาการใน การเรียนรู้ ดี พอใช้ ปรับปรุง 1 เด็กชายกฤษณะ คุณเกิด 3 6 +3 2 เด็กชายชุติวัต เปลี่ยนทัพ 2 7 +5 3 เด็กชายธนพล อนุกูล 2 8 +6 4 เด็กชายธนภัทร เจริญลาภ 3 6 +3 5 เด็กชายธนิสร พึ่งทรัพย์ 7 10 +3 6 เด็กชายนันทิพัฒน์ สุขส าราญ 1 7 +6 7 เด็กชายนันทิวัฒน์ ลิ้มตระกูล 7 10 +3 8 เด็กชายพีรภัทร พลายเผือก 2 8 +6 9 เด็กชายภัทรพล วงษ์ด าเนิน 4 8 +4 10 เด็กชายเมธาพร ศิลศร 3 6 +3 11 เด็กชายรพีพัฒน์ แก้วสะอาด 2 7 +5 12 เด็กชายวรพล กลั้นกลืน 2 7 +5 13 เด็กชายสหรัถ จันทร์กระจ่าง 5 9 +4


25 เลขที่ ชื่อ – สกุลนักเรียน Pre Post คะแนน ความ ก้าวหน้า พัฒนาการใน การเรียนรู้ ดี พอใช้ ปรับปรุง 14 เด็กชายสิทธิกร มาคล้าย 5 8 +3 15 เด็กหญิงกนกขวัญ รูปทอง 6 10 +4 16 เด็กหญิงกิตยาภรณ์ ถมยา 4 8 +4 17 เด็กหญิงจารุวรรณ วัดน้อย 6 10 +4 18 เด็กหญิงจิราภัค สุขสวัสดิ์ 2 7 +5 19 เด็กหญิงชลดา ม่วงไหมทอง 1 6 +5 20 เด็กหญิงญาตาวี สรรพประเสริฐ 5 9 +4 21 เด็กหญิงณัฏฐณิชา ล่ าลือ 2 7 +5 22 เด็กหญิงณัฐณิชา สาคร 2 8 +6 23 เด็กหญิงณิชาภัทร คะเชนทร 1 6 +5 24 เด็กหญิงทิฆัมพร เพ็ชรโบราณ 3 8 +5 25 เด็กหญิงธนัชญาภรณ์ ช่างกลั่น 3 9 +6 26 เด็กหญิงนพธีรา เทียมวงศ์ 1 8 +7 27 เด็กหญิงปาลิตา โพธิ์บ ารุง 5 9 +4 28 เด็กหญิงพรรณษา ฉิมเงิน 2 7 +5 29 เด็กหญิงภัทรวดี สีตา 1 7 +6 30 เด็กหญิงภาวินี นิลด า 1 7 +6 31 เด็กหญิงลักขณา วัดรัตน์ 2 6 +4 32 เด็กหญิงสุภาพร พูลเกตุ 3 7 +4 33 เด็กหญิงอังคนา ปานยิ้ม 3 8 +5 34 เด็กหญิงอาทิตยา สินคงอยู่ 2 8 +6 35 เด็กหญิงกุษาลดา อนุสรณ์บัณฑิต 2 6 +4 คะแนนเฉลี่ย 3.00 7.66 ตารางที่ 6 เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน เรื่อง ปริมาตรของพีระมิด สอบ X̅ S.D. t Sig. ก่อนเรียน 3.00 0.56 10.86 0.000 หลังเรียน 7.66 0.98


26 จากตารางที่ 6 พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหน่วยการเรียนรู้ เรื่อง ปริมาตรของพีระมิด ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 ห้อง 2 โรงเรียนวัดจันทราวาส(ศุขประสารราษฎร์) โดยใช้การจัดการเรียนการสอนรูปแบบ KLAKIDD Model อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 โดยก่อนเรียนมีค่าเฉลี่ยของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เท่ากับ 3.00 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.56 และหลังเรียนมีค่าเฉลี่ยของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเท่ากับ 7.66 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.98 2. ผลการวิเคราะห์แบบสอบถามความพึงพอใจในการจัดการเรียนรู้โดยใช้นวัตกรรมการสอนรูปแบบ KLAKIDD Model ผลการวิเคราะห์แบบสอบถามความพึงพอใจในการจัดการเรียนรู้โดยใช้นวัตกรรมการสอนรูปแบบ KLAKIDD Model ผู้วิจัยวิเคราะห์ข้อมูล ได้ผลดังตารางที่ 7 ตารางที่ 7ผลการวิเคราะห์แบบสอบถามความพึงพอใจในการจัดการเรียนรู้โดยใช้นวัตกรรมการสอนรูปแบบ KLAKIDD Model ที่ ผลการประเมิน ระดับคุณภาพ 5 4 3 2 1 1. ครูสร้างทัศนคติที่ดีในการเรียนให้กับผู้เรียน 85.71 11.43 2.86 0.00 0.00 2. บุคลิกภาพ การแต่งกายและการพูดจาของครูเหมาะสม 88.57 11.43 0.00 0.00 0.00 3. ครูมอบหมายภาระงานที่เหมาะสมแก่ผู้เรียน 82.86 14.29 2.86 0.00 0.00 4. ครูเปิดโอกาสให้ผู้เรียนซักถามปัญหา 80.00 14.29 5.71 0.00 0.00 5. ครูจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ Active Learning 85.71 11.43 2.86 0.00 0.00 6. ครูส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัติจริง มีการแก้ปัญหา 85.71 11.43 2.86 0.00 0.00 7. ครูให้ผู้เรียนฝึกกระบวนการคิด คิดวิเคราะห์ คิดสร้างสรรค์ 91.43 5.71 2.86 0.00 0.00 8. ครูส่งเสริมให้ผู้เรียนท างานร่วมกันทั้งเป็นกลุ่มและรายบุคคล 77.14 14.29 8.57 0.00 0.00 9. ครูคอยกระตุ้นให้นักเรียนตื่นตัวในการเรียนเสมอ 82.86 11.43 5.71 0.00 0.00 10 ครูมีการเสริมแรงให้ผู้เรียนที่ร่วมกิจกรรมการเรียนการสอน 88.57 5.71 5.71 0.00 0.00 11 ครูยอมรับความคิดเห็นของผู้เรียนที่ต่างไปจากครู 91.43 5.71 2.86 0.00 0.00 12 ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน 91.43 8.57 0.00 0.00 0.00 13 ผู้เรียนน าความรู้จากการแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกันมาปรับประยุกต์ใช้กับ ตนเองได้ 82.86 17.14 0.00 0.00 0.00 14 ครูส่งเสริมทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของผู้เรียน 85.71 14.29 0.00 0.00 0.00 15 ครูมีการประเมินผลการเรียนด้วยวิธีการที่หลากหลาย ยุติธรรม 91.43 8.57 0.00 0.00 0.00 รวม 86.10 11.05 2.85 - - จากตารางที่ 7 พบว่า ผลการวิเคราะห์แบบสอบถามความพึงพอใจในการจัดการเรียนรู้โดยใช้ นวัตกรรมการสอนรูปแบบ KLAKIDD Model อยู่ในระดับมากที่สุด ร้อยละ 86.10 อยู่ในระดับมาก ร้อยละ 11.05 และอยู่ในระดับปานกลาง ร้อยละ 2.85


บทที่ 5 สรุป และอภิปรายผล งานวิจัยเรื่อง “การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เรื่อง ปริมาตร พีระมิด โดยใช้รูปแบบการสอนแบบ KLAKIDD Model” ซึ ่งใช้นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที ่ 3/2 โรงเรียนวัดจันทราวาส (ศุขประสารราษฎร์)จ านวน 35 คน เป็นหน่วยวิเคราะห์ (unit of analysis) สถิติที่ใช้ใน การวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ร้อยละ (percentage : %) มัชฌิมเลขคณิต(arithmetic mean : x) ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน (standard deviation : S.D.) สามารถสรุปผลการศึกษาค้นคว้าได้ดังนี้ 1. วัตถุประสงค์ของการศึกษาค้นคว้า 1. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ปริมาตรของพีระมิดโดยใช้รูปแบบการสอนแบบ KLAKIDD Model 2. เพื่อประเมินความพึงพอใจของนักเรียนต่อการเรียนการสอนเรื่อง ปริมาตรของพีระมิดโดยใช้ รูปแบบการสอนแบบ KLAKIDD Model 3. เพื่อพัฒนารูปแบบการสอนโดยใช้รูปแบบการสอนแบบ KLAKIDD Model 2. สรุปผลการศึกษาค้นคว้า จากการด าเนินการจัดการเรียนการสอน เรื่อง ปริมาตรของพีระมิดโดยใช้รูปแบบการสอนแบบ KLAKIDD Model ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนวัดจันทราวาส(ศุขประสารราษฎร์)สรุปผลการ ทดลองได้ว่า เป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ดังนี้ 1. นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ หลังเรียนสูงกว่าก่อน เรียน เฉลี่ยเท่ากับ 11.12 สูงขึ้นคิดเป็นร้อยละ 55.65 2. ผลการวิเคราะห์แบบสอบถามความพึงพอใจในการจัดการเรียนรู้โดยใช้นวัตกรรมการสอนรูปแบบ KLAKIDD Model อยู่ในระดับมากที่สุด 3. ผลการวิเคราะห์ระดับการประเมินนวัตกรรมการสอน KLAKIDD Model โดยภาพรวมอยู่ในระดับ มากทุกด้าน และเมื่อพิจารณารายด้านพบว่าอยู่ในระดับมากทุกตัวชี้วัด 3. อภิปรายผลการศึกษาค้นคว้า การวิจัย “การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เรื่อง ปริมาตรของ พีระมิด โดยใช้รูปแบบการสอนแบบ KLAKIDD Model” ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียน วัดจันทราวาส(ศุขประสารราษฎร์) มีประเด็นอภิปรายผลการวิจัยดังนี้


28 จากผลการวิจัยพบว่า การจัดการเรียนการสอนรูปแบบ KLAKIDD Model เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน เรื่อง ปริมาตรของพีระมิด ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนวัดจันทราวาส (ศุขประสารราษฎร์) โดยภาพรวมนักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน โดยเฉลี่ยก่อน เรียนเท่ากับ 3.00 และคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนเท่ากับ 7.66 คะแนนเฉลี่ยเพิ่ม 4.66 ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากการ จัดการเรียนรู้แบบ KLAKIDD Model เป็นรูปแบบการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ มีกระบวนการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับการพัฒนาคุณภาพนักเรียนในศตวรรษที่ 21 มีการวิเคราะห์ผู้เรียนก่อน การจัดการเรียนการสอนเพื่อทราบจุดอ่อน และจุดที่ควรพัฒนาให้กับนักเรียน เปิดโอกาสให้นักเรียนได้แสดง ความสารถทางการเรียนรู้ด้วยตนเอง มีการเชื่อมโยงองค์ความรู้เดิมเพื่อพัฒนาและสร้างองค์ความรู้ใหม่ด้วย ตนเอง มีการจัดกิจกรรมรูปแบบ Active Learning พร้อมกับเสริมทักษะทางด้านความรู้ ให้ผู้เรียนสามารถน า ความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้ในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ และเป็นรูปแบบการจัดการเรียนการสอนที่ครูผู้สอน และนักเรียนสามารถร่วมกันอภิปรายและพัฒนากระบวนการการจัดการเรียนการสอนเพื่อน าผลการจัดการ เรียนการสอนไปพัฒนาในเนื้อหาและองค์ความรู้อื่นต่อไป จึงเห็นได้ว่าผลสัมฤทธิ์ที่เกิดขึ้นหลังจากการจัดการ เรียนรู้รูปแบบ KLAKIDD Model สูงกว่าก่อนเรียน ซึ่งสอดคล้องสุธาสินี แพงใจ (2560 : 85-89) ได้ ศึกษาวิจัยเรื่อง การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์และพฤติกรรมการเรียน ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ ความคล้ายโดยการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบ CIPPA ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ ความคล้าย โดย การจัดการเรียนรูปตามรูปแบบ CIPPA หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ ความคล้าย โดย การจัดการเรียนรูปตามรูปแบบ CIPPA หลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 60 อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) พฤติกรรมการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หลังการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบ CIPPA โดยรวมอยู่ ในระดับมาก และสอดคล้องกับนฤมล ทิพย์พินิจ (2560 : 100-105) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง การศึกษาผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน เรื่องการแกโจทย์ปัญหาการบวก ลบ คูณ หารระคน โดยใช้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เทคนิค KWDL ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านสามัคคีธรรม จังหวัดนครศรีธรรมราช ผลการวิจัย พบว่า แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์โดยใช้เทคนิค KWDLของนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปที่ 3 ที่สร้างและ พัฒนาขึ้น มีค่าประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่ก าหนด E1/E2 เทกับ 87.33/84.33 และมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์เทคนิค KWDL หลังเรียน ( X = 16.87, S.D. = 1.74) สูงกว่าก่อนเรียน ( X = 10.27, S.D. = 1.70) อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์โดยใช้เทคนิค KWDL อยู่ในระดับมาก ( X = 4.13, S.D. = 0.90) การวิเคราะห์แบบสอบถามความพึงพอใจในการจัดการเรียนรู้โดยใช้นวัตกรรมการสอนรูปแบบ KLAKIDD Model อยู่ในระดับมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 86.1 รองลงมาคือ ระดับมาก คิดเป็นร้อยละ 11.05 และระดับปานกลาง คิดเป็นร้อยละ 2.85 ซึ่งจะเห็นได้ว่านักเรียนส่วนใหญ่มีความพึงพอใจในการจัดการเรียนรู้ โดยใช้นวัตกรรมการสอนรูปแบบ KLAKIDD Model อยู่ในระดับมากที่สุด ทั้งนี้อาจเป็นเพราะการจัดการเรียน


29 การสอนรูปแบบ KLAKIDD Model เป็นกระบวนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ ให้ความส าคัญและมีความ เข้าใจนักเรียนในทุกด้าน ตั้งแต่การรู้จักนักเรียน การให้ค าปรึกษาและการแนะน าเพื่อพัฒนา ดังที่มาสโลว์ (1970 : 80) กล่าวว่าความสุขเกิดจากความส าเร็จ นักเรียนมีความสุขในการเรียน มีความสนใจ มีความ รับผิดชอบ และเกิดความส าเร็จในการท างาน ดังนั้นการจัดการเรียนการสอนโดยรูปแบบ KLAKIDD Model เป็นรูปแบบการสอนอีกรูปแบบหนึ่งที่ควรน ามาใช้ในการจัดการเรียนการสอนเพื่อให้ผู้เรียนได้รับการพัฒนา อย่างรอบด้าน ผลการวิเคราะห์ระดับการประเมินนวัตกรรมการสอน KLAKIDD Model โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ทุกด้าน และเมื่อพิจารณารายด้านพบว่าอยู่ในระดับมากทุกตัวชี้วัด 4. การน าผลการพัฒนาไปใช้และการเผยแพร่ นวัตกรรม “การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เรื่อง ปริมาตรของ พีระมิด โดยใช้รูปแบบการสอนแบบ KLAKIDD Model” สามารถน าไปประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนการสอนใน หน่วยการเรียนรู้อื่น ๆ รวมถึงสามารถน าไปจัดการเรียนการสอนในรายวิชาอื่น ๆ ได้อีกทั้งเผยแพร่ KLAKIDD Model ให้กับสถานศึกษาและผู้ที่สนใจดังนี้ 1. เผยแพร่เป็นเอกสารทางวิชาการให้กับโรงเรียนวัดจันทราวาส(ศุขประสารราษฎร์) 2. เผยแพร่ผลงานผ่าน website โรงเรียนวัดจันทราวาส(ศุขประสารราษฎร์) 3. เผยแพร่ผลงานผ่านการประชุมสรุปงานประจ าปีการศึกษา 2565 ณ โรงเรียนวัดจันทราวาส(ศุข ประสารราษฎร์) 5. ข้อเสนอแนะในการศึกษาค้นคว้า 1. นวัตกรรม “การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เรื่อง ปริมาตร ของพีระมิดโดยใช้รูปแบบการสอนแบบ KLAKIDD Model” ที่พัฒนาขึ้น หน่วยงานและสถานศึกษาอื่นๆ สามารถน าไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมและเกิดประโยชน์ได้ 2. ควรมีการศึกษารูปแบบการจัดการเรียนการสอนวิชาคณิตศาสตร์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการ จัดการเรียนการสอนและน ามาบูรณาการและประยุกต์ใช้ร่วมกัน 6. จุดเด่นหรือลักษณะพิเศษของนวัตกรรม 1. เป็นนวัตกรรมที่สังเคราะห์ขึ้น โดยอาศัยแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอน มา ประยุกต์เข้ากับกระบวนการที่ส าคัญในการจัดการเรียนการสอนวิชาคณิตศาสตร์ 2. นวัตกรรมมุ่งในการแก้ไขปัญหาการจัดการเรียนการสอน โดยเน้นการจัดการเรียนการสอนที่เน้น ผู้เรียนเป็นส าคัญ เน้นให้ผู้เรียนได้มีการสร้างองค์ความรู้และสรุปความรู้ได้ด้วยตัวเองเพราะจะให้นักเรียนเกิด การเรียนรู้ได้อย่างถาวรมากยิ่งขึ้น


30 บรรณานุกรม กระทรวงศึกษาธิการ. (2551). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย. จินตนา ภู่ขาว. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาไทยโดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ 4 MAT. วิทยานิพนธ์ ครุศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร, 2547. จีราวะดี เกษี. (2560). ผลของการจัดกิจกรรมการเรียนรูแบบ SSCS เพื่อส่งเสริมความสามารถในการแก ปัญหาทางคณิตศาสตร์และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3. วิทยานิพนธ์ครุศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. ทิศนา แขมมณี. 2551. รูปแบบการเรียนการสอน : ทางเลือกที่หากหลาย. พิมพ์ครั้งที่5. กรุงเทพฯ : ส านักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. สถาพร พฤฑฒิกุล. (2558). การบริหารการศึกษากับการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ 21. วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา, 28(2) นิรันดร์ จงวุฒิเวศย์. (2550). แนวคิดแนวทางการพัฒนาชุมชน. กรุงเทพฯ : กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย. สนธยา พลศรี. (2547). ทฤษฎีและหลักการพัฒนาชุมชน (พิมพ์ครั้งที่ 5). กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์. มานัส ปันหล้า. (2566). ความรู้. ค้นเมื่อ 12 กรกฎาคม 2566, จาก https://www.gotoknow.org/ ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน. (2547). แนวทางการด าเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือ นักเรียนในสถานศึกษา.กรุงเทพฯ :องค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ร.ส.พ. ยืน ภู่วรวรรณ. (2556) “เทคโนโลยีอุบัติใหม่” เอกสารประกอบการบรรยายการประชุมทางวิชาการ นเรศวรวิจัย ครั้งที่ 9. วันที่ 28-29 กรกฎาคม 2556 ที่ มหาวิทยาลัยนเรศวร จ.พิษณุโลก. ทิศนา แขมมณี. (2553). ศาสตร์การสอนองค์ความรู้เพื่อการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ. กรุงเทพฯ: ส านักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. นิรัญชลา ทีบพุ่ม. (2564). การส่งเสริมทักษะการอภิปรายโต้แย้งทางคณิตศาสตร์ โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้ ด้วยวิธีการเปิด เรื่อง ความคล้าย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 รัตนา ดวงแก้ว. (2554). สหสัมพันธ์พหุคูณระหว่าง เชาวน์ปัญญา สภาพแวดล้อมทางปัญญา และฐานะ ทางสังคมมิติกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนิสิตระดับปริญญาตรี. ครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขา วิจัยการศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. วิมล วงษ์ใหญ่. (2561). การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง ระบบสมการเชิงเส้นของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับเทคนิคการจัด ทีมแข่งขัน. วิทยานิพนธ์ครุศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยราชภัฏ สงขลา.


31 วิการณ์ แก้วมะ. (2558). การพัฒนาชุดการเรียนการสอนโดยใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือรูปแบบ STAD เรื่อง พื้นที่ผิวและปริมาตร กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3. วิทยานิพนธ์ครุ ศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร. นฤมล ทิพย์พินิจ. (2560). การแกโจทย์ปัญหาการบวก ลบ คูณ หารระคน โดยใช้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เทคนิค KWDL ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านสามัคคีธรรม จังหวัด นครศรีธรรมราช. วิทยานิพนธ์ครุศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัย ราชภัฏสุราษฎร์ธานี. ส านักง านคณะก ร รมก า รก า รศึกษ าขั้นพื้น ฐ าน (2561) . แนวท า งก า รด าเนิน ง านโ ร งเ รี ยน มาตรฐานสากล ปรับปรุง พ.ศ. 2561. กรุงเทพฯ: ชุมนุมสหกรณ์ การเกษตรแห่งประเทศ ไทย. ส านักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. (2562). เครื่องมือส่งเสริมการขับเคลื่อนประสิทธิภาพการ จัดการ เรียนรู้ของสถานศึกษาระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน (ส าหรับผู้บริหารสถานศึกษา). กรุงเทพฯ: พริกหวานกราฟฟิค. อัญชลีแจมเจริญ และคนอื่นๆ. ศึกษาวิธีสอนวิชากลุ่มทักษะคณิตศาสตร์. กรุงเทพฯ : โรงพิมพเจริญผล, 2526. อัญธิญา ทองอ่อน. (2564). การพัฒนาโปรแกรมเสริมสร้างทักษะการให้ค าปรึกษานักเรียนระดับ มัธยมศึกษาของครูสังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาหนองคาย. ปริญญาการศึกษา มหาบัณฑิต สาขาการบริหารและพัฒนาการศึกษา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. อุกฤษฏ์ ทองอยู่. (2562). การพัฒนาความสามารถการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ โดยใช้การเรียนรู้ แบบร่วมมือเทคนิค TGT ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 2. วิทยานิพนธ์ศึกษาศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชา หลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์. Burks, H. M., and Stefflre, B. (1979). Theories of Counseling. 3rd ed. New York: McGrawHill. Good, Carter. Dictionary of Education. New York : MaGraw–Hili Company. 1973. Maslow, Abraham Harold. (1970). Motivation and Personality (2nded). New York : Happer and Row. Thorndike, Edward L. (1966) Human learning. Cambridge, Mass. : M.I.T. Press. Wilson, Jame W. Evaluation of Learning in Secondary School Mathematics in Handbook and Formative Evaluation of Student Learning. Edited by Benjamin S. Bloom. New York : McGraw – Hill, 1971.


32 ภาคผนวก


33 ค่าดัชนีความสอดคล้องของเครื่องมือวิจัย แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหน่วยการเรียนรู้เรื่อง ปริมาตรของพีระมิด ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนวัดจันทราวาส(ศุขประสารราษฎร์) มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ค 2.1 เข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับการวัด วัดและการคาดคะเนขนาดของสิ่งที่ต้องการวัด และน าไปใช้ ตัวชี้วัด ค 3.2 ประยุกต์ใช้ความรู้เรื่องปริมาตรของพีระมิด กรวย และทรงกลมในการแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ และปัญหาในชีวิตจริง ค าชี้แจง ขอความกรุณาท่านโปรดพิจารณาแบบทดสอบแต่ละข้อว่ามีความเหมาะสมสอดคล้องกับมาตรฐาน การเรียนรู้และตัวชี้วัดหรือไม่ โปรดท าเครื่องหมาย ลงในช่อง + 1 เมื่อเห็นว่าสอดคล้อง ช่อง 0 เมื่อไม่แน่ใจ ช่อง -1 เมื่อเห็นว่าไม่สอดคล้อง ข้อ ข้อค าถาม ความคิดเห็น ของ ผู้เชี่ยวชาญ รวม IOC แปล 1 2 3 1 ข้อใดกล่าวถึง “พีระมิด” ถูกต้องที่สุด ก. รูปเรขาคณิตสามมิติที่มีฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยมมียอด แหลม ไม่อยู่บนระนาบเดียวกันกับฐาน ข. รูปเรขาคณิตสามมิติที่มีฐานเป็นรูปเหลี่ยมใด ๆ มี ยอดแหลม ไม่อยู่บนระนาบเดียวกันกับฐาน ค. รูปเรขาคณิตสามมิติที่มีฐานเป็นรูปวงกลมมียอด แหลม ไม่อยู่บนระนาบเดียวกันกับฐาน ง. รูปเรขาคณิตสามมิติที่มีฐานเป็นรูปเหลี่ยม ไม่อยู่ บนระนาบเดียวกันกับฐาน +1 +1 +1 3/3 1.00 ใช้ได้


34 ข้อ ข้อค าถาม ความคิดเห็น ของ ผู้เชี่ยวชาญ รวม IOC แปล 1 2 3 2 จากรูปตอบค าถามข้อ 2-3 หมายเลข 1 แสดงส่วนใดของพีระมิด ก. สันของพีระมิด ข. ส่วนสูงเอียง ค. ส่วนสูงตรง ง. ฐาน +1 +1 +1 3/3 1.00 ใช้ได้ 3 หมายเลข 2 แสดงส่วนใดของพีระมิด ก. สันของพีระมิด ข. ยอดของพีระมิด ค. ส่วนสูงตรง ง. ฐาน +1 +1 +1 3/3 1.00 ใช้ได้ 4 ข้อใดกล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างปริมาตรของปริซึมและ พีระมิดถูกต้อง ก. พีระมิดและกรวยที่มีพื้นที่ฐานและความสูง เท่ากันจะมีปริมาตรเท่ากัน ข. พีระมิดและกรวยที่มีพื้นที่ฐานและความสูงเท่ากัน ปริมาตรปริซึมจะเป็น 2 เท่าของพีระมิด ค. พีระมิดและกรวยที่มีพื้นที่ฐานและความสูง เท่ากัน ปริมาตรปริซึมจะเป็น 3 เท่าของพีระมิด ง. ไม่มีข้อใดถูก +1 +1 +1 3/3 1.00 ใช้ได้ 5 ข้อใดคือปริมาตรของพีระมิด ก. 1 2 × พื้นที่ฐาน × ความสูง ข. 1 3 × พื้นที่ฐาน × ความสูง ค. 1 4 × พื้นที่ฐาน × ความสูง ง. 1 5 × พื้นที่ฐาน × ความสูง +1 +1 +1 3/3 1.00 ใช้ได้


35 ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบค่าดัชนีความสอดคล้องของเครื่องมือวิจัย ……………………………………………. ……………………………………………. ……………………………………………. (นางสาวพันธ์ทิพา พิณทิพย์) (นางสาวพรทิพย์ พ่วงทอง) (นางสาวพรวี มาลัยเลิศ) หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ครู คศ.3 กลุ่มสาระฯคณิตศาสตร์ ครู คศ.3 กลุ่มสาระฯคณิตศาสตร์ ข้อ ข้อค าถาม ความคิดเห็น ของ ผู้เชี่ยวชาญ รวม IOC แปล 1 2 3 6 จากรูป เป็นรูปคลี่ของพีระมิดใด ก. พีระมิดฐานหกเหลี่ยม ข. พีระมิดฐานเจ็ดเหลี่ยม ค. พีระมิดฐานแปดเหลี่ยม ง. พีระมิดฐานเก้าเหลี่ยม +1 +1 +1 3/3 1.00 ใช้ได้ 7 พีระมิดแก้วอันหนึ่งมีฐานสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง 12 เซนติเมตร ยาว 17 เซนติเมตร พีระมิดสูง 11 เซนติเมตร พีระมิดนี้มี ปริมาตรเท่าใด ก. 748 ลูกบาศก์เซนติเมตร ข. 758 ลูกบาศก์เซนติเมตร ค. 768 ลูกบาศก์เซนติเมตร ง. 778 ลูกบาศก์เซนติเมตร +1 +1 +1 3/3 1.00 ใช้ได้ 8 จากรูปมีปริมาตรเท่าใด ก. 90 ลูกบาศก์หน่วย ข. 92 ลูกบาศก์หน่วย ค. 94 ลูกบาศก์หน่วย ง. 96 ลูกบาศก์หน่วย +1 +1 +1 3/3 1.00 ใช้ได้ 9 จากรูปข้อ 8 พีระมิดนี้มีพื้นที่ฐานเท่าใด ก. 20 ตารางหน่วย ข. 22 ตาราหน่วย ค. 24 ตารางหน่วย ง. 26 ตารางหน่วย +1 +1 +1 3/3 1.00 ใช้ได้ 10 ขนมเทียนมีลักษณะใกล้เคียงกับพีระมิดฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัส ต้องการท าขนมเทียนให้มีฐานแต่ละด้านยาว 4 สูง 5 จ านวน 20 ห่อถ้าต้องใช้แป้งประมาณ 3 4 ของเนื้อขนม จะต้องใช้แป้ง กี่ลูกบาศก์หน่วย ก. 380 ข. 400 ค. 420 ง. 440 +1 +1 +1 3/3 1.00 ใช้ได้


36 ค่าดัชนีความสอดคล้องของเครื่องมือวิจัย แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหน่วยการเรียนรู้เรื่อง ปริมาตรของพีระมิด ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนวัดจันทราวาส(ศุขประสารราษฎร์) Case Processing Summary N % Cases Valid 10 100.0 Excludeda 0 .0 Total 10 100.0 a. Listwise deletion based on all variables in the procedure. Reliability Statistics Cronbach's Alpha Cronbach's Alpha Based on Standardized Items N of Items .963 .972 10 Summary Item Statistics Mean Minimum Maximum Range Maximum / Minimum Variance N of Items Item Means 4.623 4.232 4.873 .602 1.213 .032 10


37 ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบค่าดัชนีความสอดคล้องของเครื่องมือวิจัย ……………………………………………. ……………………………………………. ……………………………………………. (นางณฤดี เจริญวรภักดิ์) (นางสาวจันทร์ผ่อง สมุทรผ่อง) (นายปฏิญญา ปักกิ่งเมือง) หัวหน้างานวิจัยในชั้นเรียน รองฯกลุ่มบริหารงานวิชาการ ผู้อ านวยการโรงเรียน ค่าดัชนีความสอดคล้องของเครื่องมือวิจัย แบบสอบถามความพึงพอใจในการจัดการเรียนรู้โดยใช้นวัตกรรมการสอนรูปแบบ KLAKIDD Model เรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เรื่อง ปริมาตรของพีระมิดโดย ใช้รูปแบบการสอนแบบ KLAKIDD Model โปรดท าเครื่องหมาย ลงในช่อง + 1 เมื่อเห็นว่าสอดคล้อง ช่อง 0 เมื่อไม่แน่ใจ ช่อง -1 เมื่อเห็นว่าไม่สอดคล้อง ข้ อ ข้อค ำถำม ควำมคิดเห็น ของ ผู้เชี่ยวชำญ รวม IOC แปล 1 2 3 1. ครูสร้างทัศนคติที่ดีในการเรียนให้กับผู้เรียน +1 +1 +1 3/3 1.00 ใช้ได้ 2. บุคลิกภาพ การแต่งกายและการพูดจาของครูเหมาะสม +1 +1 +1 3/3 1.00 ใช้ได้ 3. ครูจัดสรรค์ภาระงานที่เหมาะสมแก่ผู้เรียน +1 +1 +1 3/3 1.00 ใช้ได้ 4. ครูเปิดโอกาสให้ผู้เรียนซักถามปัญหา +1 +1 +1 3/3 1.00 ใช้ได้ 5. ครูจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ Active Learning +1 +1 +1 3/3 1.00 ใช้ได้ 6. ครูส่งเสริมผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัติจริงมีการจัดการและการแก้ปัญหา +1 +1 +1 3/3 1.00 ใช้ได้ 7. ครูให้ผู้เรียนฝึกกระบวนการคิด คิดวิเคราะห์ คิดสร้างสรรค์ +1 +1 +1 3/3 1.00 ใช้ได้ 8. ครูส่งเสริมให้ผู้เรียนท างานร่วมกันทั้งเป็นกลุ่มและรายบุคคล +1 +1 +1 3/3 1.00 ใช้ได้ 9. ครูคอยกระตุ้นให้นักเรียนตื่นตัวในการเรียนเสมอ +1 +1 +1 3/3 1.00 ใช้ได้ 10. ครูมีการเสริมแรงให้ผู้เรียนที่ร่วมกิจกรรมการเรียนการสอน +1 +1 +1 3/3 1.00 ใช้ได้ 11. ครูยอมรับความคิดเห็นของผู้เรียนที่ต่างไปจากครู +1 0 +1 2/3 0.66 ใช้ได้ 12. ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน +1 +1 +1 3/3 1.00 ใช้ได้ 13. ผู้เรียนน าความรู้จากการแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกันมาปรับ ประยุกต์ใช้กับตนเองได้ +1 +1 +1 3/3 1.00 ใช้ได้ 14. ครูส่งเสริมทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของผู้เรียน +1 +1 +1 3/3 1.00 ใช้ได้ 15. ครูมีการประเมินผลการเรียนด้วยวิธีการที่หลากหลาย ยุติธรรม +1 +1 +1 3/3 1.00 ใช้ได้


38 แบบประเมินความคิดเห็นต่อ นวัตกรรม KLAKIDD Model ชื่อ – สกุล ครูผู้สอน นายสุนทร รุ่งสว่าง รหัสวิชา ค23101 รายวิชา คณิตศาสตร์พื้นฐาน กลุ่มสาระการเรียนรู้ คณิตศาสตร์ เรื่อง ปริมาตรของพีระมิด ที่ ผลการประเมิน ระดับคุณภาพ ข้อเสนอแนะ 5 4 3 2 1 ด้านคุณภาพ 1 คุณลักษณะของนวัตกรรม 2 คุณภาพขององค์ประกอบในนวัตกรรม 3 การออกแบบนวัตกรรม 4 ประสิทธิภาพของนวัตกรรม ด้านคุณประโยชน์ 5 ความสามารถในการแก้ปัญหาหรือพัฒนาทักษะใน ศตวรรษที่ 21 6 ประโยชน์ที่นักเรียนได้รับจากนวัตกรรม 7 ประโยชน์ต่อสถานศึกษาที่ได้รับจากนวัตกรรม ด้านความคิดสร้างสรรค์ 8 ความแปลกใหม่ของนวัตกรรม 9 จุดเด่นของนวัตกรรม รวม ข้อเสนอแนะ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ลงชื่อ..................................................................ผู้ประเมิน (...............................................................)


39 โรงเรียนวัดจันทราวาส(ศุขประสารราษฎร์) จังหวัดเพชรบุรี แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 15 เรื่อง ปริมาตรของพีระมิด จ านวน 2 คาบเวลา 100 นาที หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง พีระมิด กรวย ทรงกลม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ชื่อวิชา คณิตศาสตร์พื้นฐาน ครูผู้สอน นายสุนทร รุ่งสว่าง 1. มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัด มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ค 2.1 เข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับการวัด วัดและการคาดคะเนขนาดของสิ่งที่ต้องการวัด และน าไปใช้ ตัวชี้วัด ค 3.2 ประยุกต์ใช้ความรู้เรื่องปริมาตรของพีระมิด กรวย และทรงกลมในการแก้ปัญหาคณิตศาสตร์และปัญหาในชีวิตจริง 2. สาระส าคัญ/ความคิดรวบยอด - พีระมิด คือ รูปเรขาคณิตสามมิติที่มีฐานเป็นรูปเหลี่ยมใดๆ มียอดแหลมที่ไม่อยู่บนระนาบเดียวกันกับฐานและทุก หน้าเป็นรูปสามเหลี่ยมที่มีจุดยอดร่วมกัน - พีระมิดที่มีพื้นที่ฐานและความสูงเท่ากับปริซึมนั้น พีระมิดจะมีปริมาตรเป็น 1 ใน 3 ของปริมาตรของปริซึม - ปริมาตรของพีระมิด = 1 3 x พื้นที่ฐาน x ความสูง 3. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. นักเรียนสามารถอธิบายลักษณะและส่วนต่าง ๆ ของพีระมิดได้(K) 2. นักเรียนสามารถอธิบายและบอกสูตรการหาปริมาตรของพีระมิดได้ถูกต้อง (K) 3. นักเรียนสามารถหาปริมาตรของพีระมิดและน าความรู้ไปใช้ในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ได้(K) 4. นักเรียนสามารถแก้ปัญหาและให้เหตุผลของการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ได้(P) 5. นักเรียนสามารถเชื่อมโยงองค์ความรู้เดิมและสรุปเป็นองค์ความรู้ใหม่ได้(P) 6. นักเรียนร่วมกันท างานที่ได้รับมอบหมายอย่างเป็นระบบ (A) 7. นักเรียนตระหนักในคุณค่าและเจตคติที่ดีต่อวิชาคณิตศาสตร์ (A) 4. สาระการเรียนรู้ - ลักษณะของพีระมิด - รูปคลี่ของพีระมิด - ปริมาตรของพีระมิด 5. สมรรถนะส าคัญของผู้เรียน 1) ความสามารถในการสื่อสาร 2) ความสามารถในการคิด 3) ความสามารถในการแก้ปัญหา 4) ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 5) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี 6. ทักษะของผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 (3R8C) 1) ทักษะการอ่าน (Reading) 2) ทักษะการเขียน (Writing) 3) ทักษะการคิดค านวณ (Arithmetic)


40 7. กิจกรรมการเรียนรู้ วิธีการจัดการเรียนรู้โดยใช้นวัตกรรมการสอนรูปแบบ KLAKIDD Model ชั่วโมงที่ 1 รูปแบบการสอน KLAKIDD Model ขั้น K1 = การรู้จัก (นักเรียน, หลักสูตร) 1. ครูผู้สอนแจ้งจุดประสงค์ของบทเรียน ดังนี้ เมื่อเรียนจบชั่วโมงนี้แล้ว นักเรียนจะสามารถ 1.1 บอกลักษณะและหาปริมาตรของพีระมิดได้ 1.2 ประยุกต์ใช้ความรู้เกี่ยวกับปริมาตรของพีระมิด ในการแก้ปัญหาได้ 2. ครูผู้สอนให้นักเรียนท าแบบท าสอบก่อนเรียน เรื่อง ปริมาตรของพีระมิด 3. ครูผู้สอนให้ทบทวนความรู้ก่อนเรียนโดยให้นักเรียนเล่นเกมผ่านแอพพลิเคชั่น kahoot (โดยจะเป็นการทบทวน เนื้อหา ปริมาตรและพื้นที่ผิวของปริซึมและทรงกระบอก ทฤษฎีบทพีทาโกรัส) รูปแบบการสอน KLAKIDD Model ขั้น L = การเชื่อมโยง (ความรู้เดิม) 4. ครูผู้สอนสนทนากับนักเรียนในเรื่อง พีระมิด กรวย และทรงกลม พร้อมยกตัวอย่างสิ่งรอบตัวต่าง ๆ ที่มี ส่วนประกอบที่มีลักษณะคล้าย พีระมิด กรวย ทรงกลม โดยครูใช้สื่อ PowerPoint ที่ครูสร้างขึ้น ดังนี้ 5. ครูให้นักเรียนยกตัวอย่างสิ่งที่อยู่รอบตัวเราที่มีลักษณะคล้ายกับพีระมิด กรวย และทรงกลม ตามล าดับ พีระมิด : หลังคา ขนมเทียน พีระมิดกีซา เป็นต้น กรวย : กรวยไอศกรีม กรวยจราจร หมวกทรงกรวย เป็นต้น ทรงกลม : ลูกแก้ว ผลส้ม ช๊อคบอล เป็นต้น 6. ครูผู้สอนแจ้งนักเรียนว่าวันนี้เราจะมาเรียนรู้เกี่ยวกับรูปทรงของพีระมิด 7. ครูผู้สอนบอกถึงลักษณะของพีระมิด “พีระมิด คือ รูปเรขาคณิตสามมิติที่มีฐานเป็นรูปเหลี่ยมใด ๆ มียอดแหลมที่ไม่อยู่บนระนาบเดียวกันกับฐานและทุก หน้าเป็นรูปสามเหลี่ยมที่มีจุดยอดร่วมกันที่ยอดแหลม” พร้อมทั้งแสดงส่วนต่าง ๆ ของพีระมิดให้นักเรียนเห็นผ่านสื่อ PowerPoint ที่ครูสร้างขึ้น


41 8. ครูผู้สอนซักถามนักเรียน ดังนี้ “พีระมิดเรียกชื่อตามลักษณะของส่วนใด” โดยครูผู้สอนชี้ให้นักเรียนสังเกต ลักษณะของพีระมิดที่ครูได้แจ้งไปแล้ว ซึ่งให้นักเรียนได้ช่วยกันสังเกตและร่วมตอบค าถาม “เรียกชื่อพีระมิดตามลักษณะของฐาน” 9. ครูผู้สอนย้ ากับนักเรียนว่า “ลักษณะการเรียกชื่อพีระมิดนั้น จะเรียกตามลักษณะของฐาน” 10. ครูผู้สอนยกตัวอย่างพร้อมทั้งให้นักเรียนช่วยกันตอบว่าเป็นพีระมิดแบบใด ผ่านสื่อ PowerPoint ที่ครูสร้างขึ้น 11. ครูผู้สอนแสดงรูปคลี่ของพีระมิดให้นักเรียนดูผ่านสื่อ PowerPoint ที่ครูสร้างขึ้น 12. ครูผู้สอนสนทนาถึงปริมาตร โดยครูผู้สอนสอบถามความรู้เดิมของนักเรียนว่า “ปริมาตร คืออะไร” และให้ นักเรียนร่วมกันตอบค าถามโดยครูผู้สอนสรุปความหมายของปริมาตรให้นักเรียน รูปแบบการสอน KLAKIDD Model ขั้น A = กิจกรรมที่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ 13. จากนั้นครูผู้สอนให้นักเรียนท ากิจกรรม ปริมาตรของพีระมิด โดยแบ่งกลุ่มตามกลุ่มที่นักเรียนนั่ง ครูผู้สอนแจก กล่องกิจกรรมให้นักเรียนด าเนินกิจกรรมตามรายละเอียดที่แจ้งในใบกิจกรรมซึ่งครูผู้สอนอธิบายนักเรียนถึงขั้นตอนการท า กิจกรรมพร้อมทั้งให้นักเรียนบันทึก/ตอบค าถามลงในแบบบันทึกกิจกรรม - กิจกรรมปริมาตรของพีระมิด เป็นกิจกรรมที่ให้นักเรียนให้นักเรียนได้ตรวจปริมาตร 2 ปริมาตรเพื่อเปรียบเทียบ ปริมาตรของปริซึมกับพีระมิดและสรุปการหาปริมาตรของพีระมิดได้ 14. ครูผู้สอนสุ่มนักเรียนโดยให้ตัวแทนนักเรียนกลุ่มที่ครูผู้สอนสุ่มออกมาแสดงความคิดเห็นตามแบบบันทึกกิจกรรม รูปแบบการสอน KLAKIDD Model ขั้น K2 = ความรู้ 15. ครูผู้สอนสรุปความรู้จากการท ากิจกรรมข้างต้น “เราต้องเทเม็ดโฟมจากพีระมิดใส่ลงในปริซึม 3 ครั้ง จึงจะได้เม็ดโฟมเต็มปริซึมพอดี เราจึงคาดการณ์ได้ว่าปริมาตร ของพีระมิดเป็นหนึ่งในสามของปริมาตรของปริซึมที่มีพื้นที่ฐานเท่ากันและความสูงเท่ากัน” 16. ครูผู้สอนแสดงความสัมพันธ์ของปริมาตรของพีระมิดกับปริซึมผ่านสื่อ PowerPoint ที่ครูสร้างขึ้น


42 17. นักเรียนและครูผู้สอนร่วมกันสรุปกิจกรรมเกี่ยวกับความสัมพันธ์ปริมาตรของพีระมิดและปริซึม “ปริมาตรของพีระมิดเป็น 1 ส่วน 3 ของปริมาตรของปริซึมที่มีพื้นที่ฐานและความสูงเท่ากัน” 18. ครูผู้สอนถามนักเรียนว่า “สูตรปริมาตรของปริซึม คืออะไร” (ปริมาตรของปริซึม = พื้นที่ฐาน x ความสูง) 19. ครูผู้สอนให้นักเรียนช่วยกันสรุปสูตรการหาปริมาตรของพีระมิด (ปริมาตรของพีระมิด = 1 3 x พื้นที่ฐาน x ความสูง) 20.ครูผู้สอนสรุปสูตรพีระมิดผ่านสื่อ PowerPoint ที่ครูสร้างขึ้น 21. ครูผู้สอนยกตัวอย่างที่ 1 เกี่ยวกับการหาปริมาตรของพีระมิด ผ่านสื่อ PowerPoint ที่ครูสร้างขึ้น - ครูผู้สอนและนักเรียนร่วมกันอ่านโจทย์และร่วมกันหาข้อมูลที่โจทย์ให้มาและครูผู้สอนถามนักเรียนว่า “โจทย์ต้องการทราบอะไร” - ครูผู้สอนถามนักเรียนพร้อมทั้งอธิบายขั้นตอนการหาปริมาตรของพีระมิด 22. ครูผู้สอนยกตัวอย่างที่ 2 เกี่ยวกับการหาความสูงของพีระมิด ผ่านสื่อ PowerPoint ที่ครูสร้างขึ้น - ครูผู้สอนและนักเรียนอ่านโจทย์และร่วมกันหาข้อมูลที่โจทย์ให้มาและครูผู้สอนถามนักเรียนว่า “โจทย์ต้องการทราบ อะไร” - ครูผู้สอนถามนักเรียนพร้อมทั้งอธิบายขั้นตอนการหาความสูงของพีระมิดโดยใช้องค์ความรู้การหาปริมาตรของ พีระมิด


43 รูปแบบการสอน KLAKIDD Model ขั้น I = การให้ค าแนะน า ชี้แนะ 23. ครูผู้สอนมอบหมายแบบฝึกทักษะ เรื่อง ปริมาตรของพีระมิด โดยครูผู้สอนค่อยให้ค าแนะน าและชี้แนะนักเรียน 24. ครูผู้สอนมอบหมายงานให้นักเรียนจับคู่ออกแบบบรรจุภัณฑ์รูปทรงพีระมิดโดยครูผู้สอนก าหนดว่าบรรจุภัณฑ์ นั้นต้องบรรจุผลิตภัณฑ์ได้ 300 ลูกบาศก์เซนติเมตร ชั่วโมงที่ 2 รูปแบบการสอน KLAKIDD Model ขั้น D1 = การอภิปราย 25. ครูผู้สอนและนักเรียนร่วมกันสรุปความรู้ ทักษะ และเจตคติที่ได้รับหรือได้ฝึกฝนจากกิจกรรมการเรียนรู้ รวมถึง การน าไปใช้ประโยชน์จริงในชีวิตประจ าวัน 26. นักเรียนแต่ละกลุ่มออกมาน าเสนอชิ้นงานของตัวเอง รูปแบบการสอน KLAKIDD Model ขั้น D2 = การพัฒนา 27. ครูและนักเรียนร่วมกันประเมินชิ้นงานของนักเรียน 28. นักเรียนและครูร่วมกันสรุปกิจกรรมและ น าข้อเสนอแนะต่าง ๆ จากครูและเพื่อนในชั้นเรียนจดบันทึกลงสมุด เพื่อน าข้อเสนอแนะต่าง ๆ ไปพัฒนาต่อไป 29. นักเรียนท าแบบทดสอบหลังเรียน 8. สื่อ/แหล่งเรียนรู้ 1. หนังสือเรียนรายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน เล่ม 2 (สสวท. กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ปรับปรุง พ.ศ. 2560) 2. PowerPoint เรื่อง : พีระมิด 3. ใบกิจกรรม : ปริมาตรชองพีระมิด 4. สื่อรูปคลี่/รูปทรง พีระมิดและปริซึม 5. โปรแกรม Kahoot 9. ชิ้นงาน/ภาระงาน 1. ใบกิจกรรมปริมาตรของพีระมิด 2. แบบจ าลองบรรจุภัณฑ์รูปทรงพีระมิด


44


45


Click to View FlipBook Version