รายงาน
เร่ือง ทฤษฎีสัมพนั ธภาพระหว่างบุคลลของแฮรี่ สแตค็ ซัลลแิ วน
จดั ทำโดย
นาย พิมพล์ ภัส โพธศิ รมี า
๖๔๑๐๔๐๙๐๑๐ สาขา ภาษาไทย
คณะ ศึกษาศาสตร์
เสนอ
ดร. รอง ปัญสังกา
รายงานนีเ้ ป็นสว่ นหนง่ึ ของรายวชิ า ED๒๐๑ จติ วิทยาสำหรบั ครู
ภาคเรยี นท่ี ๒ ปีการศกึ ษา ๒๕๖๕
วทิ ยาลยั สันตพล อดุ รธานี
๒
คำนำ
รายงานเรอ่ื งนี้เป็นสว่ นหนง่ึ ของรายวิชา ED ๒๐๑ จติ วทิ ยาสำหรับครู โดยมจี ุดประสงค์
ในการศึกษาทฤษฎีสมั พันธภาพระหว่างบคุ ลลของซัลลิแวน เพอื่ ให้ไดเ้ รยี นรเู้ กี่ยวกับชีวประวตั ิของ
ซลั ลแิ วน และแนวคิดหลักเกี่ยวกับจิตวิทยาที่เก่ยี วข้องบุคลกิ ภาพระหว่างบุคคลทไี่ ด้ทำการศึกษาไว้ เช่น
โครงสร้างของบคุ ลกิ แบบแห่งบคุ ลิกภาพ เป็นต้น
ทงั้ น้ี เน้อื หาทั้งหมดสบื ค้นตามแหลง่ ข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต บทความเกี่ยวกบั ทฤษฎี
สัมพนั ธภาพระหว่างบคุ คลของซลั ลแิ วน ขอขอบพระคุณ ดร.รอง ปัญสังกา อย่างสงู ท่ใี ห้ที่กรุณาคำแนะนำ
เพือ่ การแกไ้ ข และใหข้ อ้ เสนอแนะตลอดการทำรายงานเลม่ นี้ ผจู้ ัดทำหวงั เป็นอย่างยง่ิ ว่ารายงานเล่มนจ้ี ะ
เป็นประโยชนก์ บั ผู้ที่สนใจท่จี ะศึกษาเกยี่ วกบั ทฤษฎีสัมพันธภาพระหวา่ งบุคคลของซัลลแิ วน
หรือผ้ทู ่ตี ้องการหาข้อมลู เพมิ่ เตมิ ในเรื่องของจติ วิทยาเร่อื งนไี้ มม่ ากก็น้อย
นาย พมิ พ์ลภสั โพธิศรีมา ผู้จัดทำ
๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๕
๓
ชีวประวัติ
แฮรี สแต็ค ซลั ลิแวน (Harry Stack Sullivan)
เกิดเมื่อวันที่ ๒๑ กมุ ภาพันธ์ ค.ศ. ๑๘๙๒ ทรี่ ัฐนวิ ยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา
เสยี ชวี ติ เมื่อวนั ท่ี ๑๔ มกราคม ค.ศ.๑๙๔๙ ทกี่ รุงปารีสประเทศฝร่ังเศส เขาได้รบั ปรญิ ญาแพทย์ศาสตร์
จากวทิ ยาลัยทางการแพทย์ของชิคาโกได้เข้าเป็นแพทย์ทหารในสงครามโลกคร้งั ที่ ๒ เมอ่ื สงครามยุตลิ ง
เขาไดร้ บั ราชการเป็นแพทยใ์ นสถาบันต่างๆ ต่อมาได้ทำงานในคณะแพทยศ์ าสตรม์ หาวิทยาลยั แมรี
แลนด์ ซง่ึ เปน็ ชว่ งเวลาท่เี ขาได้ศกึ ษาโรคจติ เภททม่ี ีมากในขณะนั้นซัลลิแวนเป็นท้งั นกั วิทยาศาสตร์
นักกล่าวสุนทรพจนท์ างดา้ นจิตเวช เป็นผูน้ ำในการฝึกฝนจิตแพทยใ์ นดา้ นบคุ ลิกภาพ เขาไดเ้ ริ่มตั้งทฤษฎี
ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งบุคคลตงั้ แต่ปี ค.ศ.๑๙๒๙ และสำเรจ็ ในกลางปี ค.ศ. ๑๙๓๐ ตลอดชีวิตของซลั ลิ
แวนได้มีผลงานการเขยี นเพียงเล่มเดียว คอื ทฤษฎีบคุ ลกิ ภาพในปี ๑๙๔๗ เมอ่ื เขาเสยี ชีวติ เพื่อนของเขาได้
นำเทปบันทึกเสยี งปาฐกถามาถอดความตพี ิมพอ์ อกเผยแพร่ทางวารสารเช่น
๑. Conception of Modern Psychiatry
๒. The Psychiatric Interview
๔
แนวคิดหลกั
แนวคิดหลักของซลั ลแิ วนเน้นความวติ กกงั วลและระบบตน (Anxiety and the Self-
System) โดยกล่าวว่า ความวิตกกงั วลเป็นความรสู้ กึ ทเ่ี จ็บปวดจากความรู้สึกไมไ่ ดร้ บั ความมัน่ คงปลอดภยั
และความพงึ พอใจทางสรรี วิทยา ก่อให้เกดิ ความรู้สึกวิตกกงั วล ซง่ึ เกิดและแสดงออกไดด้ ังนี้
ประการที่ ๑ ความวิตกกังวลที่เร่ิมต้นมาจากสัมพนั ธภาพระหวา่ งบุคคล เกิดจากความวิตกกังวลของ
มารดาถ่ายทอดไปยงั บุตร
ประการท่ี ๒ ความวติ กกังวลสามารถอธิบายและสงั เกตได้ บุคคลที่อย่ใู นภาวะวติ กกังวล สามารถบอก
ไดว้ า่ เขารู้สกึ อยา่ งไรและแสดงออกทางพฤติกรรมอยา่ งไร
ประการท่ี ๓ แตล่ ะคนจะพยายามดิ้นรนเพือ่ ขจัดความวติ กกังวล เช่น ในเด็กจะพยายามเรยี นรเู้ พ่ือ
หลกี เล่ยี งความวติ กกงั วลทเี่ กิดจากการถูกลงโทษ และแสวงหาความมน่ั คงโดยการยินยอมกระทำตาม
ความปรารถนาของบิดามารดา
ซลั ลแิ วนอธบิ ายว่า บุคคลพยายามลดความวิตกกังวลและเพม่ิ ความมั่นคงให้กับ
ตนเอง ซัลลแิ วนพยายามเน้นถึงพฤตกิ รรมทสี่ ังเกตได้ในขณะท่ี ซิกมนุ ด์ ฟรอยด์ เน้นกลไกทางจิต
(defense mechanism) ซงึ่ เป็นพฤตกิ รรมท่ีเกดิ จากความรสู้ กึ ในจิตใต้สำนกึ
โครงสรา้ งบคุ ลกิ ภาพ (Structure of Personality)
ซลั ลแิ วน(Sullivan) ได้อธิบายว่า โครงสรา้ งบคุ ลกิ ภาพมหี ลากหลายเปน็ ผลระหวา่ ง
ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งบุคคล อาจเป็นบุคคลท่ีมตี ัวตนจรงิ ๆ หรอื บุคคลในความคิดฝนั เช่น ดารานักแสดง
หรอื บคุ คลท่ีรูจ้ กั จากการอา่ น เช่น นวนิยาย บคุ คลในประวัติศาสตร์ เขากล่าววา่ ส่วนต่าง ๆ ของ
โครงสร้างบุคลกิ ภาพมนษุ ย์ เชน่ ความเช่ือ ความใฝ่ฝัน ค่านิยม ความปรารถนา ของชวี ิต ลกั ษณะอารมณ์
ทัศนคติ ฯลฯ ล้วนแลว้ แตถ่ กู หล่อหลอมมาจากความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลท้งั สนิ้ จากการศกึ ษาโครงสร้าง
ของบุคลิกภาพ เป็นการศกึ ษาท่ีแตกต่างกันของแต่ละคน ซึ่งสามารถแบ่งได้แบบหยาบ ๆ ๓ ประการคือ
๕
๑. กระบวนการปรับเปลย่ี นพลังงาน (Dynamism) คอื พฤติกรรมท่เี ป็นความเคยชินในด้าน
ความสมั พันธ์กับคนอืน่ เช่น ชอบรับใช้ชว่ ยเหลือบุคคลอื่น ชอบเอาเปรยี บ ชอบบ่นให้ ใคร ๆ
เห็นอกเห็นใจ ฯลฯ ศูนย์กลางของกระบวนการปรบั เปลยี่ นพลงั งานคือ ระบบตวั ตน (Self System)
หรอื Self ซง่ึ เป็นกระบวนการที่พัฒนามาจากวธิ กี ารป้องกันตนเอง เพ่อื ให้ความสัมพันธ์กับผู้อ่ืนดำเนินไป
อย่างราบรน่ื ความสมั พันธ์กับพ่อแม่ทำให้เดก็ เรียนรู้ว่าพฤตกิ รรมไหนทพี่ ่อแม่ พอใจ หรือไม่พอใจ การ
เรยี นรู้ลักษณะน้ีจะช่วยให้เดก็ ตัดสินว่า ตนเองเป็นคนดีหรือคนเลวตามคาํ บอกเล่าของพ่อแม่ ทำให้เด็ก
พัฒนาภาพของตนเอง (Self) การหลกี หนีความจรงิ เช่น การพดู ปดเสแสร้ง ทำมารยา อ้อน ฯลฯ เดก็ ทำ
เพอ่ื ผอ่ นคลายความกดดันต่างๆ ทางอารมณ์ และความคดิ ของเขาซงึ่ ลักษณะดงั กล่าวอาจเป็นนิสยั ติดตัว
เป็นส่วนหน่ึงของ Self และของบุคลกิ ภาพขึ้นอยู่กับลกั ษณะความสัมพนั ธ์ของเดก็ กับพ่อแม่
ซัลลิแวนไดอ้ ธบิ ายถึงความสัมพนั ธ์ของทารกท่มี ตี ่อพ่อแมว่ ่าเปน็ รากฐานในการ
ปรบั เปล่ยี นพลงั งาน (Dynamism) ในวยั ต่อมาทารกสามารถสร้างความอบอุ่นม่ันคงแก่ตนเองได้ เมอ่ื พบ
เหตกุ ารณไ์ ม่ต้องการและในการสร้างภาพตนเองเกดิ จากประสบการณ์ดังนี้
๑.ภาพตนเองที่ว่า “ฉันดี” (Good Me Self) จะเกิดจากประสบการณ์ทีไ่ ด้รบั การอบรมเลย้ี งดู
จากแม่ที่ใหค้ วามร้สู กึ รักใคร่ ออ่ นโยน เอาใจใส่อยา่ งใกล้ชิด เปน็ ห่วงเป็นใยซงึ่ ทารกจะเกดิ ความพงึ พอใจ
๒. ภาพตนเองทว่ี ่า “ฉันเลว” (Bad Me Self) เกดิ จากประสบการณ์ทไี่ ด้รับการอบรมเลีย้ งดแู บบ
ทอดท้งิ ไมด่ ูแล ไม่ตอบสนองความต้องการของทารก ทำให้ทารกเกดิ ความไมพ่ อใจเกดิ ความวิตกกังวล
๓. ภาพ “ไมใ่ ช่ฉัน” (Not Me) เกิดจากการท่ีทารกได้รับประสบการณ์ในลกั ษณะขเู่ ข็ญหรือเกดิ
ความหวาดกลวั อยา่ งรุนแรง ทำใหเ้ กิดความวติ กกงั วลสูง และแสดงพฤติกรรมออกมาในเชิงปฏิเสธ
ว่า “ไมใ่ ช่ฉนั ” เพราะเปน็ สิ่งทท่ี ารกไมต่ ้องการรบั รอู้ ยา่ งยงิ่
๒. กระบวนการสร้างภาพบุคคล (Personification) คือมโนภาพของบุคคล วาดเป็นภาพตวั เอง
เป็นภาพคนอนื่ ทม่ี สี ัมพันธภาพกบั ตวั เอง โดยจะมีความเกย่ี วข้องอย่างลกึ ซง้ึ กบั ความรู้สึก เจตคตแิ ละ
ความคดิ ที่บุคคลมีขนึ้ เน่ืองจากได้รบั ประสบการณ์ทางด้านความพึงพอใจและวิตกกงั วล และมีความ
เกยี่ วข้องกบั ประสบการณ์ของบคุ คลท่ีเคยได้รบั จากบุคคลอ้างอิง และสร้างภาพบุคคลจากประสบการณ์ท่ี
ได้รบั ได้ผลติ อันจะทำให้บคุ คลมองเห็นความสัมพนั ธ์ระหว่างตนกับบุคคลอน่ื นั้นกค็ ือบคุ คลสามารถ
ที่จะประเมินตนเองได้ ดังนี้ ภาพก็จะเกดิ ขึ้น
๓. กระบวนการคดิ (Cognitive Process) ซัลลิแวนเชอ่ื ว่ากระบวนการคิดเป็น สว่ นหนึ่งของโครงสร้าง
บุคลิกภาพ ซ่ึงมี ๓ ลกั ษณะใหญ่ๆ คอื
๖
๓.๑. ประสบการณ์โปรโตแทคซคิ (Prototaxic) เป็นประสบการณท์ ี่ยงั ไม่ไดพ้ ัฒนาปรบั ปรงุ เป็น
ความคดิ ระดับทารก เกี่ยวกับการรับรูด้ า้ นประสาทสัมผสั ความร้สู ึกทเ่ี กิดขึน้ ในทันทีทันใด โดยปราศจาก
การเชื่อมโยงกับสง่ิ แวดลอ้ มและในทีส่ ดุ บุคคลไม่สามารถรําลกึ ได้อกี
๓.๒. ประสบการณ์พาราแทคซคิ (Parataxic) เป็นประสบการณ์ที่ต่อเนอื่ งจากประสบการณ์โปโตแทค
ซคิ บุคคลเร่มิ เชอ่ื มโยงสง่ิ แวดล้อมให้มคี วามสัมพันธเ์ ปน็ ประสบการณ์ได้ แยกไดว้ ่าสิ่งใดคือตนเอง ส่ิงใดท่ี
ไมใ่ ช่ตนเอง ซ่งึ เปน็ ลักษณะการเขา้ ใจสมั พันธภาพ ระหว่าง สิ่งตา่ งๆ
๓.๓. ประสบการณ์ซนิ แทคซิค (Syntaxic) เป็นประสบการณ์ข้ันสงู สดุ ของบุคคล เริ่มเรียนรู้ติดต่อโดย
ใช้ภาษา คําพดู สัญลักษณ์ มผี ลให้บคุ คลสามารถติดต่อส่ือสารกบั บุคคลอื่นได้อย่างม่ันคง
การพัฒนาบุคลิกภาพของซลั ลแิ วน
ซลั ลแิ วนไดแ้ บ่งการพฒั นาบคุ ลิกภาพตามประสบการณเ์ ป็น ๗ ขัน้ คือ
๑. ขน้ั ทารก (Infancy) อายแุ รกเกดิ -๑๘ เดอื น วยั น้จี ะมีความสขุ กบั การใชป้ ากในการตอบสนองความ
ตอ้ งการอาหารของตนเองด้วยการดูดหรือการเคลือ่ นไหวรา่ งกายดว้ ยการใช้ประสาทตาสมั ผัสกับมือใน
การดดู น้วิ ตนเอง
๒. ขนั้ วยั เดก็ (Childhood) อายุ ๑๘ เดอื น - ๕ เดอื น เปน็ ระยะทีเ่ ริ่มหดั พูด ฝึกออกเสียงไดช้ ัดเจน
เริม่ มเี พ่ือนและตอ้ งการใหผ้ ู้อื่นยอมรบั สถานภาพของตนเอง
๓. ข้ันวยั เยาว์ (Juvenile Era) อายรุ ะหวา่ ง ๕-๑๒ ปี เปน็ วยั ทีเ่ ข้าโรงเรียน พัฒนาการทางร่างกายเร็ว
มากเรม่ิ ร้จู ักสงั คม มีการรว่ มมอื และแขง่ ขนั เรียนรทู้ ี่จะควบคุมตนอง
๔. ขั้นก่อนวัยรุ่น (Pre- Adolescence) อายุ ๑๑-๑๓ ปี เริม่ มวี ุฒิภาวะทางเพศ มกี ารกลา้ แสดงออก
มากขึ้นและยังต้องการความเท่าเทียมกับผู้ใหญ่
๕. ขน้ั วยั รุ่นตอนต้น (Early Adolescence) อายรุ ะหวา่ ง ๑๓- ๑๗ ปี เป็นวยั ทีม่ คี วามพอใจในเรอื่ งเพศ
ต้องการคบเพื่อนเดยี วกนั และต่างเพศ ตอ้ งการความเปน็ อิสระไม่อยากพง่ึ พาใคร
๖. ขน้ั วัยรุ่นตอนปลาย (Late Adolescence) อายุ ๑๗-๑๙ ปี รา่ งกายเจริญเต็มที่ มคี วามคิด
สรา้ งสรรค์ มคี วามรูแ้ ละเขา้ ใจตนเอง เรยี นรูบ้ ทบาทในสงั คมได้ดี
๗
๗. ข้นั วัยผใู้ หญ่ (Adulthood) อายุระหว่าง ๒๐-๓๐ ปี เป็นวัยที่มีพัฒนาการทกุ อยา่ งสมบูรณเ์ ต็มท่ี
สรา้ งความสัมพันธก์ บั ผูอ้ ่ืนสร้างหลักฐาน มคี วามรับผดิ ชอบตอ่ หนา้ ที่
ลักษณะบุคลิกภาพเกดิ ขน้ึ ไดอ้ ยา่ งไร
ลกั ษณะบุคลกิ ภาพ ถกู หล่อหลอมจาก ความกดดนั ทางกายภาพและจิต และ การหาทาง
ปลดปลอ่ ยเป็นอสิ ระจากความกดดันเหลา่ นั้น ใครจะมีบคุ ลิกเช่นใดขน้ึ อยกู่ บั วา่ เขาใช้วิธใี ดในการขจัด
ความกดดัน ตามแนวคิดของซลั ลแิ วน ความกดดนั ของมนุษย์อาจแบง่ ได้ ๒ ประเภท คอื
๑. ความกดดนั ซ่ึงเกิดจากการผ่อนคลายความปรารถนาทางกาย
๒.ความกดดันท่เี กิดจากความกงั วลใจ
แบบแห่งบุคลกิ ภาพของซัลลแิ วน
ซลั ลแิ วนเหน็ วา่ ผ้ทู ่ีมคี วามสัมพนั ธก์ ันและกนั กับผู้อื่นยอ่ มมหี วังก้าวไปสบู่ คุ ลิกภาพแห่ง
ความเป็นผใู้ หญใ่ นท่สี ุด ส่วนผู้ท่ีบกพรอ่ งในความสัมพนั ธย์ ่อมแสดงอาการของโรคจติ โรคประสาท โดยซลั
ลแิ วนจำแนกอาการเหลา่ นนั้ ไว้กว่า ๑๐ ประการ แตใ่ นที่นี้จะนำมากล่าวเฉพาะลกั ษณะเด่น ๆ ๖ ประการ
ดงั นี้
๑. ประเภทหมกมุ่นอยูแ่ ต่กบั ตนเอง (Self obsorbed) หรอื พวกคิดฝัน เมอื่ ยงั เปน็ ทารกยังแยกตัวเอง
ออกจากโลกภายนอกไม่ออก ถา้ ได้รบั การทนถุ นอมก็รู้สึกวา่ โลกดี ตัวเราก็ดี แตถ่ า้ ไดร้ ับการเลยี้ งดู ไมด่ ี ก็
รสู้ ึกว่าโลกร้าย ตวั เราก็ร้าย เรากต็ อ้ งหาอะไรดๆี มาแทน
๒. ประเภทเหลอื ขอ (incorrigible) ได้แกบ่ ุคคลที่ไมม่ ีความเป็นมิตรกบั ใคร มอี ารมณข์ ่นุ มัว ไมอ่ ยากเข้า
กับใคร แต่มขี อ้ ยกเวน้ คือ ถ้ากบั ผตู้ ่ำกว่าตนแล้ว บุคคลประเภทนก้ี ็จะดีต่อ อาการ เชน่ น้ี จะเหน็ ได้ในวัย
เยาวก์ อ่ นวัยรุ่น
๓. ประเภทคา้ นตลอดกาล (Negative)ได้แก่บุคคลทไี่ ม่ลงรอยกบั ผู้ใด ชอบด้าน ชอบเถียง ชอบปฏิเสธ
เน่ืองมา จากเดก็ เคยเรียกร้องความสนใจ เคยใช้วธิ นี ี้ ครั้นโตข้นึ ก็ใชว้ ิธีท่ีเคยใช้ และยงิ่ มีความชำนาญใน
การคัดค้านยิง่ ข้นึ ด้วย
๘
๔. ประเภทไม่สสู ีกับใคร (Asocial)ไดแ้ กบ่ คุ คลท่ปี ลีกตวั จากการติดต่อกับบคุ คลอน่ื ใหม้ ากท่ีสดุ ไม่ไวใ้ จ
ใคร วา่ จะจริงใจใยดีกบั ตน ร้สู ึกวา่ ทำคุณกบั ใครไมข่ ึ้น มักจะใจนอ้ ย ท้งั น้ี เพราะร้สู กึ มาแต่ต้นวา่ ไม่มีใคร
รักตน
๕. ประเภทต้องพง่ึ พาผอู้ ่ืน (Inadequate)ได้แก่บุคคลท่ียึดผ้ใู หญ่ หรือเจ้านายเหมอื นไมเ้ ลอื้ ยยึดหลกั
ได้แตเ่ ปน็ ผู้ คอยตาม หรือ ให้ผอู้ น่ื เป็นผูค้ อยช้ีนิว้ บัญชา ส่ังงาน ใหท้ ำโนน่ ทำนีไ่ มม่ ีความคิดเป็นของตนเอง
๖. ประเภทรกั รว่ มเพศ (Homosexuality) ได้แก่บุคคลทไ่ี มร่ ักเพศตรงขา้ มตามปกติท่วั ไป แตม่ ีความ
พอใจในเพศเดยี วกัน หญิงร่วมรักกับหญงิ ชายร่วมรักกับชาย หรอื พวกทอ่ี ยากเป็นเพศ ตรงกนั ขา้ ม เชน่
ผู้ชายอยากเปน็ ผู้หญงิ ผหู้ ญงิ อยากเป็นผชู้ าย
๙
บรรณานุกรม
แนวคิดตามทฤษฎสี ัมพันธภาพระหวา่ งบุคคล แฮร่ี สแตค ซลั ลแิ วน ( Harry Stack Sullivan ). (๒๕๕๙)
สบื คน้ เมือ่ ๓๐ พฤศจิกายน. ๒๕๖๕,
จาก http://hanjsah.blogspot.com/๒๐๑๖/๐๑/harry-stack-sullivan.html
ทฤษฎสี ัมพนั ธภาพระหวา่ งบคุ คลของซลั ลแิ วน. (ม.ป.ป.). สืบคน้ เมอื่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๕,
จาก https://coggle.it/diagram/YA-msKdEAToPo๕Rn/t/ทฤษฎสี ัมพนั ธภาพระหว่างบุคคล-
Atitaya Inyong. (๒๕๖๕). กล่มุ แนวคดิ จิตวิเคราะห์_แฮร่ี สแตค ซลั ลแิ วน
สืบคน้ เมื่อ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๕ , จาก https://youtu.be/itmyg๔๒๘Cew