The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การจัดการร้านธงฟ้า

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

การจัดการร้านธงฟ้า

การจัดการร้านธงฟ้า

Keywords: การจัดการร้านธงฟ้า

(19) การทำเครื่องกระเบื้อง เครื่องเคลือบเครื่องซีเมนต์ หรือดินเผา 60

(20) การทำหรือจำหน่ายกระแสไฟฟ้า 60

(21) การทำน้ำแข็ง 60

(22) การทำกาว แป้งเปียก หรือสิ่งที่มีลักษณะทำนองเดียวกัน

60

และการทำแป้งชนิดต่างๆ ที่มิใช่เครื่องสำอาง 60

(23) การทำลกู โป่ง เครื่องแก้ว เครื่องพลาสติกหรือเครื่องยางสำเร็จรปู 60

(24) การซักรีด หรือย้อมสี 60

(25) การขายของนอกจากที่ระบไุ ว้ในข้ออื่น ซึ่งผู้ขายมิได้เป็นผู้ผลิต 60

(26) รางวัลที่เจ้าของม้าได้จากการส่งม้าเข้าแข่ง
(27) การรับสินไถ่ทรัพย์สินที่ขายฝาก หรือการได้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน
60

โดยเด็ดขาดจากการขายฝาก 60

(28) การรมยาง การทำยางแผ่น หรือยางอย่างอื่นที่มิใช่ยางสำเร็จรปู 60

(29) การฟอกหนัง 60

(30) การทำน้ำตาล หรือน้ำเหลืองของน้ำตาล 60

(31) การจับสัตว์น้ำ 60

(32) การทำกิจการโรงเลื่อย 60

(33) การกลั่น หรือหีบน้ำมัน
(34) การให้เช่าซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่ไม่เข้าลักษณะตามมาตรา 40 (5)
60

แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม
60

ประมวลรษั ฎากร (ฉบบั ท่ี 16) พ.ศ. 2502 60

(35) การทำกิจการโรงสีข้าว 60

(36) การทำเกษตรกรรมประเภทไม้ล้มลุกและธัญชาติ 60

(37) การอบหรือบ่มใบยาสบู 60

(38) การเลี้ยงสัตว์ทุกชนิด รวมทั้งการขายวัตถุพลอยได้
(39) การฆ่าสัตว์จำหน่าย รวมทั้งการขายวัตถุพลอยได้

��

(40) การทำนาเกลือ 60

(41) การขายเรือกำปั่น หรือเรือมีระวาง ตั้งแต่หกตันขึ้นไป

เรือกลไฟหรือเรือยนต์มีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป หรือแพ 60

(42) การขายที่ดินเงินผ่อนหรือการให้เช่าซื้อที่ดิน 60

(43) การแสดงของนักแสดงละครภาพยนตร์ วิทยุหรือโทรทัศน์ นักร้อง นักดนตรี

นักกีฬาอาชีพ หรือนักแสดง เพื่อความบันเทิงใดๆ

สำหรับเงินได้ส่วนที่ไม่เกิน 300,000 บาท 60

สำหรับเงินได้ส่วนที่เกิน 300,000 บาท 40

การหักค่าใช้จ่ายตาม (ก) และ (ข) รวมกันต้องไม่เกิน 600,000 บาท

(44) เงินได้ที่มิได้ระบุไว้ตั้งแต่ข้อ (1) – ข้อ (43) ให้หักค่าใช้จ่ายตามความจำเป็น

และสมควรเท่านั้น




การหักค่าลดหย่อน

กรณีบุคคลธรรมดา หรือผู้ถึงแก่ความตายระหว่างปีภาษี หักค่าลดหย่อนได้ดังนี้

• ผู้มีเงินได้ 60,000 บาท

• คู่สมรส (ไม่มีเงินได้) 60,000 บาท

• ผู้มีเงินได้หรือคู่สมรสต่างฝ่ายต่างมีเงินได้ ให้หักลดหย่อนรวมกันได้

ไม่เกิน 120,000 บาท

• บตุ รชอบด้วยกฎหมายและบุตรบญุ ธรรม หักค่าลดหย่อนได้คนละ 30,000 บาท

ต้องเข้าเงื่อนไข ดังนี้ 

• บตุ รชอบด้วยกฎหมาย หักลดหย่อนได้ไม่จำกัดจำนวน 

• บุตรบญุ ธรรม หักลดหย่อนได้ไม่เกิน 3 คน 

กรณี มีบุตรชอบด้วยกฎหมายที่มีชีวิตอยู่จำนวนตั้งแต่ 3 คน จะนำบตุ รบุญธรรมมาหัก

อีกไม่ได้ 

กรณี มีบุตรชอบด้วยกฎหมายมีจำนวนไม่ถึง 3 คน ให้นำบตุ รบุญธรรมมาหักได้รวม

กับบุตรชอบด้วยกฎหมาย แต่รวมกันต้องไม่เกิน 3 คน 

• บตุ รที่นำมาหักลดหย่อนต้องไม่มีเงินได้ตั้งแต่ 30,000 บาทขึ้นไป และเข้าหลักเกณฑ์

ดังต่อไปนี้ 


50

(1) เป็นผู้เยาว์ หรือมีอายไุ ม่เกิน 25 ปี และกำลังศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยหรือ

อุดมศึกษา 

    (2) เป็นผู้ที่ศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถอันอยู่ใน

ความอุปการะเลี้ยงด

(3) การนับจำนวนบตุ ร ให้นับเฉพาะบุตรที่มีชีวิตอยู่ตามลำดับอายสุ ูงสดุ ของบุตร

โดยนับรวมบตุ รที่อยู่ในเกณฑ์ได้รับการลดหย่อนด้วย

• ค่าอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดาที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และอยู่ในความอุปการะเลี้ยงดู
ของผู้มีเงินได้ โดยบิดามารดาต้องมีเงินได้พึงประเมินในปีภาษีที่ขอหักลดหย่อนไม่เกิน
30,000 บาท หักค่าลดหย่อนคนละ 30,000 บาท และสามารถหักลดหย่อนสำหรับบิดา
มารดาของคู่สมรสได้อีกคนละ 30,000 บาท


• ค่าอุปการะเลี้ยงดูคนพิการหรือคนทุพพลภาพ หักค่าลดหย่อน คนละ 60,000 บาท

• ค่าเบี้ยประกันชีวิต (กรมธรรม์อายุ 10 ปีขึ้นไป) ของผู้มีเงินได้หักค่าลดหย่อนและ
ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินได้เท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท ทั้งนี้ หาก
คู่สมรสมีการประกันชีวิต และความเป็นสามีภริยาได้มีอยู่ตลอดปีภาษี ผู้มีเงินได้มีสิทธิหัก
ลดหย่อน สำหรับเบี้ยประกันชีวิตของคู่สมรสที่ไม่มีเงินได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน
10,000 บาท แต่หากสามีภริยาต่างฝ่ายต่างมีเงินได้


��

(ก) ถ้าความเป็นสามีภริยามิได้มีอยู่ตลอดปีภาษีที่ได้รับยกเว้นภาษี ให้สามีและภริยา
ซึ่งเป็นผู้มีเงินได้ต่างฝ่ายต่างได้รับยกเว้นภาษีตามจำนวนที่จ่ายจริง เฉพาะส่วนที่เกิน
10,000 บาท แต่ไม่เกิน 90,000 บาท ซึ่งไม่เกินเงินได้พึงประเมินของแต่ละคนหลังจาก
หักค่าใช้จ่าย ตามมาตรา 42 ทวิ ถึง มาตรา 46 แห่งประมวลรัษฎากรแล้ว

(ข) ถ้าความเป็นสามีภริยาได้มีอยู่ตลอดปีภาษีที่ได้รับยกเว้นภาษีและภริยาไม่ใช้สิทธิ
แยกยื่นรายการและเสียภาษีต่างหากจากสามีตามมาตรา 57 เบญจ แห่งประมวลรัษฎากร
ให้สามีและภริยาซึ่งเป็นผู้มีเงินได้ต่างฝ่ายต่างได้รับยกเว้นภาษีตามจำนวนที่จ่ายจริง เฉพาะ
ส่วนที่เกิน 10,000 บาท แต่ไม่เกิน 90,000 บาท ซึ่งไม่เกินเงินได้พึงประเมินของแต่ละคน
หลังจากหักค่าใช้จ่าย ตามมาตรา 42 ทวิ ถึงมาตรา 46 แห่งประมวลรัษฎากรแล้ว



























(ค) ถ้าความเป็นสามีภริยาได้มีอยู่ตลอดปีภาษีที่ได้รับยกเว้นภาษีและภริยาใช้สิทธิแยก
ยื่นรายการและเสียภาษีต่างหากจากสามี ตามมาตรา 57 เบญจ แห่งประมวลรัษฎากร ให้
สามีและภริยาซึ่งเป็นผู้มีเงินได้ต่างฝ่ายต่างได้รับยกเว้นภาษีตามจำนวนที่จ่ายจริง เฉพาะส่วน
ที่เกิน 10,000 บาท แต่ไม่เกิน 90,000 บาท ซึ่งไม่เกินเงินได้พึงประเมินของแต่ละคน
หลังจากหักค่าใช้จ่าย ตามมาตรา 42 ทวิ ถึงมาตรา 46 แห่งประมวลรัษฎากรแล้ว

• ค่าเบี้ยประกันสุขภาพบิดามารดาของผู้มีเงินได้และคู่สมรส หักค่าลดหย่อนเท่าที่
จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 15,000 บาท ทั้งนี้ บิดามารดาของผู้มีเงินได้และคู่สมรสต้องไม่มีเงินได้
พึงประเมินในปีภาษีที่ใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้เกิน 30,000 บาท

• เงินสะสมที่จ่ายเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หักลดหย่อนได้ตามจำนวนที่ได้จ่ายไป
จริงในปีภาษี แต่ไม่เกิน 10,000 บาท ส่วนที่เกิน 10,000 บาทแต่ไม่เกิน 490,000 บาท
ซึ่งไม่เกินร้อยละ 15 ของค่าจ้าง ให้หักจากเงินได้ 


52

• เงินค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทนุ รวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ได้รับยกเว้นเท่าที่จ่าย
เงินค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และ
ตลาดหลักทรัพย์ ในอัตราไม่เกินร้อยละ 15 ของเงินได้พึงประเมินที่ได้รับซึ่งต้องเสียภาษี
เงินได้ในปีภาษีนั้น และเมื่อรวมกับเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ เงินสะสมเข้ากองทุนสำรอง
เลี้ยงชีพ เงินสะสมเข้ากองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ เงินสะสมเข้ากองทุนสงเคราะห์ตาม
กฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน และเงินสะสมเข้ากองทุนการออมแห่งชาติแล้ว ต้องไม่เกิน
500,000 บาท 

• ค่าเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ หักค่าลดหย่อนในอัตราร้อยละ 15 ของเงินได้ที ่
นำมาเสยี ภาษเี งนิ ไดใ้ นแตล่ ะปี แตไ่ มเ่ กนิ 200,000 บาทตอ่ ป ี ทง้ั น้ี ตอ้ งเปน็ คา่ เบย้ี ประกนั ชวี ติ
แบบบำนาญ ความคุ้มครองตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป และจ่ายผลประโยชน์เงินบำนาญเมื่อผู้มีเงิน
ได้อายุตั้งแต่ 55 ปีขึ้นไปถึงอายุ 85 ปีหรือกว่านั้น และเมื่อรวมกับเงินสะสมเข้ากองทุน
สำรองเลี้ยงชีพ เงินสะสมเข้ากองทนุ บำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) เงินสะสมเข้ากองทนุ
สงเคราะห์ตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน เงินที่ซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการ
เลี้ยงชีพ (RMF) และเงินสะสมเข้ากองทนุ การออมแห่งชาติ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท 

• เงินสะสมกองทนุ การออมแห่งชาติ ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 500,000 บาท
และเมื่อรวมกับเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ เงินสะสมเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เงินสะสม
เข้ากองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ เงินสะสมเข้ากองทุนสงเคราะห์ตามกฎหมายว่าด้วย
โรงเรียนเอกชน และเงินที่ซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) แล้วต้อง
ไม่เกิน 500,000 บาท

• ค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) หักค่าลดหย่อนเท่าที่จ่ายจริง
แต่ไม่เกินร้อยละ 15 ของเงินได้พึงประเมินที่ได้รับซึ่งต้องเสียภาษีเงินได้ในปีนั้น แต่ไม่เกิน
500,000 บาท และต้องถือหน่วยลงทุนในกองทุนรวมระยะยาวต่อเนื่องกันไม่น้อยกว่า
7 ปีปฏิทิน แต่ไม่รวมถึงกรณีผู้มีเงินได้ไถ่ถอนหน่วยลงทุนรวมหุ้นระยะยาว เพราะ
ทุพพลภาพหรือตาย

• ดอกเบี้ยกู้ยืมที่จ่ายให้แก่ธนาคารหรือสถาบันการเงินอื่น บริษัทประกันชีวิต
สหกรณ์ หรือนายจ้าง สำหรับการกู้ยืมเงินเพื่อซื้อ เช่าซื้อ หรือสร้างอาคารอยู่อาศัย
โดยจำนองอาคารที่ซื้อหรือสร้างเป็นประกันการกู้ยืม หักค่าลดหย่อนตามจำนวนเท่าที่จ่ายจริง
แต่ไม่เกิน 100,000 บาท

• เงินสมทบประกันสังคม หักค่าลดหย่อนเท่าที่จ่ายจริง

• ค่าเบี้ยประกันสุขภาพ หักค่าลดหย่อนเท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 15,000 บาท
แต่เมื่อรวมกับเบี้ยประกันชีวิตสำหรับกรมธรรม์ประกันชีวิตที่มีกำหนดตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป
และเงนิ ฝากทจ่ี า่ ยไวก้ บั ธนาคารทม่ี กี ฎหมายจดั ตง้ั ขน้ึ โดยเฉพาะแลว้ ตอ้ งไมเ่ กนิ 100,000 บาท


��

• เงินบริจาค 

- เงินบริจาคสนับสนุนการศึกษา หักลดหย่อนได้ 2 เท่าของที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน
ร้อยละ 10 ของเงินได้หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนอื่น

- เงินบริจาคสาธารณประโยชน์ หักลดหย่อนได้ 2 เท่าของที่จ่ายจริง แต่ไม่เกินร้อยละ
10 ของเงินได้หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนอื่น ได้แก่ เงินบริจาคให้แก่กองทนุ พัฒนาครู
คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษาที่กระทรวงศึกษาธิการจัดตั้งขึ้น เงินบริจาคในการ
จัดหาหนังสือหรือสื่ออิเล็กทรอนิกส์เพื่อส่งเสริมการอ่าน เงินบริจาคในการจัดให้คนพิการ
ได้รับสิทธิเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้จากสิ่งอำนวยความสะดวก เงินบริจาคให้แก่องค์กร
ปกครองส่วนท้องถิ่นในการจัดตั้งศนู ย์พัฒนาเด็กเล็ก เงินบริจาคเพื่อสนับสนุนการกีฬา และ
เงินบริจาคเข้าโครงการฝึกอบรมอาชีพและการจัดกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการบำบัดแก้ไข
ฟื้นฟู และสงเคราะห์เด็กและเยาวชนของสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนหรือ
ศนู ยฝ์ กึ และอบรมเดก็ และเยาวชน กระทรวงยตุ ธิ รรม เงนิ บรจิ าคใหก้ องทนุ พฒั นาสง่ิ ปลอดภยั
และสร้างสรรค์ กองทุนเสริมงานวัฒนธรรม กองทุนเสริมศิลปะร่วมสมัย กองทุนส่งเสริม
งานจดหมายเหตุหรือกองทนุ โบราณคดี และเงินบริจาคให้สถานศึกษาของรัฐ โรงเรียนเอกชน
(แต่ไม่รวมถึงโรงเรียนนอกระบบ) 

- เงินบริจาคทั่วไป หักลดหย่อนได้เท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินได้หลัง

หักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนอื่น


54

��

อตั ราภาษเี งินได้บุคคลธรรมดา


เงนิ ได้สุทธิ (บาท)
ชว่ งเงินไดส้ ุทธขิ องแตล่ ะขนั้
อตั ราภาษี


0 - 150,000
150,000
ไดร้ ับยกเวน้

150,001 - 300,000
150,000
5%

300,001 - 500,000
200,000
10%

500,001 - 750,000
250,000
15%

750,001 - 1,000,000
250,000
20%

1,000,001 - 2,000,000
1,000,000
25%

2,000,001 - 5,000,000
3,000,000
30%

5,000,001 บาทขนึ้ ไป
35%


วธิ ีการคำนวณภาษีเงินได้บคุ คลธรรมดา


กฎหมายไทยจะคิดคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเป็นรายปีปฏิทิน (ปีภาษี) โดย
ต้องใช้ 2 วิธีคู่กัน แล้วเลือกใช้วิธีที่คำนวณแล้วเสียภาษีสูงกว่า ได้แก่

• วิธีคำนวณจากเงินได้สุทธิแบบขั้นบันได 0 - 35%

โดยคำนวณจากเงินได้สทุ ธิด้วยสมการง่ายๆ คือ


เงนิ ได้ - คา่ ใชจ้ ่าย - ค่าลดหย่อน = เงินไดส้ ุทธ


จากนั้น


เงินไดส้ ทุ ธิ x อัตราภาษี = เงินภาษีท่ตี อ้ งจา่ ย




• วิธีคำนวณแบบเหมา 0.5%

การคำนวณวิธีนี้จะนำมาใช้ก็ต่อเมื่อคุณมีรายได้ทางอื่น นอกเหนือจากเงินเดือน
เพียงอย่างเดียว โดยการนำรายได้ทางอื่นทั้งหมดที่ไม่ใช่เงินเดือนไปคูณ 0.5% ก็จะได้เป็น
ค่าภาษีเงินได้ที่ไม่ใช่เงินเดือน x 0.005 = ค่าภาษี

และจะต้องเข้าเงื่อนไขครบทกุ ข้อต่อไปนี้เท่านั้น

• คำนวณแล้วเกิน 5,000 บาท (แปลว่ามีรายได้ทุกทาง (ยกเว้นเงินเดือน) รวมกัน
แล้วเกิน 1,000,000 บาท)

• คำนวณภาษีแบบเหมาแล้วได้มากกว่าคำนวณภาษีแบบขั้นบันได


56

แบบแสดงรายการภาษีเงนิ ได้บคุ คลธรรมดา


ภ.ง.ด. 90 แบบแสดงรายการภาษีเงินได้บคุ คลธรรมดาสำหรับผู้มีเงินได้กรณีทั่วไป

แบบแสดงรายการภาษีเงินได้บคุ คลธรรมดาสำหรับผู้มีเงินได้จากการ

ภ.ง.ด. 91 จ้างแรงงานตามมาตรา 40 (1) แห่งประมวลรัษฎากร ประเภทเดียว

แบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับใช้ยื่น

ก่อนถึงกำหนดเวลายื่นแบบแสดงรายการภาษี

ภ.ง.ด. 93 แบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาครึ่งปี สำหรับผู้มีเงินได้ตาม

มาตรา 40 (5) (6) (7) (8) แห่งประมวลรัษฎากร


ภ.ง.ด. 94


บญั ชที ตี่ อ้ งจัดทำ


1. การจัดทำบัญชีแสดงรายได้และรายจ่ายของบุคคลธรรมดาที่มิได้จดทะเบียนภาษี
มูลค่าเพิ่ม

• เป็นผู้ประกอบการที่มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ได้แก่ บุคคลธรรมดา
ห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล ผู้ถึงแก่ความตายระหว่างปีภาษี และ
กองมรดกที่ยังมิได้แบ่ง

• เป็นผู้ประกอบการที่มีเงินได้มาตรา 40(5)-(8) แห่งประมวลรัษฎากร และไม่ได้
จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม จะต้องจัดทำบัญชีหรือรายงานแสดงรายได้และรายจ่ายประจำวัน
ซึ่งเรียกว่า “รายงานเงินสดรับ-จ่าย”

• ประโยชน์ของการจัดทำ “รายงานเงินสดรับ-จ่าย” จะช่วยให้ผู้ประกอบการทราบ
รายได้ รายจ่ายและผลกำไร นอกจากนั้น ยังนำไปใช้ประกอบการพิจารณาขอสินเชื่อ
จากสถาบันการเงินได้ด้วย


��

2. การหักค่าใช้จ่ายเหมาสำหรับเงินได้พึงประเมินมาตรา 40(5)-(8) แห่งประมวล
รัษฎากร ของผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

• ผู้ประกอบการที่ยื่นแบบเสียภาษีเงินได้ครึ่งปี หรือเงินได้ประจำปีภาษี สามารถเลือก
หักค่าใช้จ่ายเหมาในอัตราร้อยละของเงินได้พึงประเมิน ตามที่กฎหมายกำหนด สำหรับเงินได้
มาตรา 40(5)-(8) แห่งประมวลรัษฎากร แต่ก็สามารถเลือกหักค่าใช้จ่ายจริงได้ หากค่าใช้จ่าย
จริงสูงกว่าค่าใช้จ่ายเหมา

• อัตราการหักค่าใช้จ่ายเหมาสำหรับเงินได้มาตรา 40(5)-(8) แห่งประมวลรัษฎากร
จะกำหนดไว้ในพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ฉบับที่ 11 สำหรับ
เงินได้มาตรา 40(8) แห่งประมวลรัษฎากรที่ไม่ได้ระบุไว้ในพระราชกฤษฎีกา ฉบับที่ 11
จะต้องหักค่าใช้จ่ายจริงเท่านั้น

• การหักค่าใช้จ่ายตามจริง ให้นำมาตรา 65 ทวิ และ มาตรา 65 ตรี แห่งประมวล
รัษฎากรมาบังคับใช้ โดยอนุโลม ** ศึกษาได้จากพระราชกฤษฎีกา ฉบับที่ 11



3. กิจการที่มีสิทธิออกใบกำกับภาษีอย่างย่อ

• กิจการที่เป็นการขายสินค้าในลักษณะขายปลีก หรือกิจการให้บริการรายย่อย
แก่บคุ คลจำนวนมากสามารถออกใบกำกับภาษีอย่างย่อได้

• การขายปลีก เป็นการขายให้แก่ผู้บริโภคโดยตรง เพื่อนำไปบริโภคหรือใช้สอย มิได้
มีวัตถปุ ระสงค์นำไปขายต่อ เช่น ขายของชำ ขายยา ห้างสรรพสินค้า เป็นต้น

• การให้บริการรายย่อยแก่บุคคลจำนวนมาก เช่น กิจการภัตตาคาร โรงแรม
ซ่อมแซมทกุ ชนิด เป็นต้น

** ศึกษาได้จาก ประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 32)




58

4. ไม่ต้องออกใบกำกับภาษี หากขายสินค้าหรือให้บริการครั้งหนึ่งไม่เกิน 1,000 บาท
สำหรับผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มที่ขายสินค้าหรือการให้บริการรายย่อยที่
ประกอบกิจการดังนี้

• ขายสินค้าหรือให้บริการ ไม่เคยมีมลู ค่าของฐานภาษีเดือนใดถึง 300,000 บาท หรือ

• ขายสินค้าหรือให้บริการ ที่มีสถานประกอบการเป็นรถเข็น แผงลอย หรือหน่วยขาย
ลักษณะทำนองเดียวกันหรือ

• การให้บริการแสดง การเล่น การกีฬา การแข่งขัน การประกวด หรือลักษณะทำนอง
เดียวกันที่จัดขึ้นเพื่อเก็บเงินจากผู้ดู ผู้ฟัง ผู้เล่น หรือผู้เข้าแข่งขัน

**ผู้ประกอบการรวบรวมมูลค่าการขายหรือการให้บริการที่มีมูลค่าครั้งหนึ่งไม่เกิน
1,000 บาท ใน 1 วันทำการ เพื่อจัดทำใบกำกับภาษีอย่างย่อเพียง 1 ฉบับ เพื่อใช้ประกอบการ
ลงรายงานภาษีขาย

**กรณีผู้ซื้อสินค้าหรือใช้บริการร้องขอใบกำกับภาษี จะต้องออกใบกำกับภาษีให้

**ศึกษาได้จาก ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 154)



5. ไม่ต้องออกใบกำกับภาษีเมื่อขายน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีมูลค่าครั้งหนึ่งไม่เกิน 1,000 บาท

• เป็นสถานบริการน้ำมันเชื้อเพลิงที่ได้รับอนุมัติเป็นการขายสินค้าหรือให้บริการรายย่อย
แก่บุคคลจำนวนมาก

** หากผู้ซื้อน้ำมันร้องขอใบกำกับภาษี จะต้องออกใบกำกับให้

** ศึกษาได้จาก ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมลู ค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 54)


��

6. การออกใบกำกับภาษีให้แก่ผู้ซื้อสินค้ารายหนึ่งรายใดเป็นจำนวนหลายครั้งใน 1 วัน

• สามารถออกใบกำกับภาษีรวมเพียงครั้งเดียวใน 1 วันทำการได้

** ศึกษาได้จากคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.86/2542 ลงวันที่ 19 กรกฎาคม 2542



7. ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มที่ออกใบกำกับภาษีแบบเต็มรูป ในแต่ละ
วันตั้งแต่ 100 ฉบับขึ้นไป

• หากได้จัดทำรายงานสรุปการขายประจำวันไว้ ไม่ต้องลงรายงานภาษีขายเป็นราย
ใบกำกับภาษี จะลงรายการเฉพาะมูลค่าสินค้าหรือบริการ และจำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มทั้งหมด
ต่อวัน ในรายงานภาษีขายได้ และต้องลงรายการภายใน 3 วันทำการ นับแต่วันที่ระบุไว้ใน
ใบกำกับภาษี

** ศึกษาได้จากประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 89) ข้อ 7



8. การลงรายการรายงานภาษขี ายของผปู้ ระกอบการจดทะเบยี นทอ่ี อกใบกำกบั ภาษอี ยา่ งยอ่

• ลงรายการเฉพาะมูลค่าสินค้าหรือบริการ และจำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มตั้งแต่วันที่ได้รับ
หรือพึงได้รับ และให้ลงรายการภายใน 3 วัน

• ไม่ต้องระบุชื่อผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการ และรายการสินค้าหรือบริการ

* ศึกษาได้จากประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 89) ข้อ 7



9. ขออนุมัติยื่นแบบแสดงรายการภาษีและชำระภาษีรวมกัน (ภ.พ.30)

• โดยปกติผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม จะต้องยื่นแบบเสียภาษี (ภ.พ.30)
เป็นรายสถานประกอบการ กรณีมีสถานประกอบการหลายแห่ง

• ผู้ประกอบการสามารถขออนมุ ัติยื่นแบบและชำระภาษีรวมกัน ณ สำนักงานใหญ่ หรือ
สาขาใดสาขาหนึ่งได้ ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่าย

** การจัดทำรายงานภาษีขาย ภาษีซื้อ รายงานสินค้าและวัตถุดิบ ให้จัดทำเป็นราย
สถานประกอบการ ไม่ว่าจะได้รับอนมุ ัติให้ยื่นแบบและชำระภาษีรวมกันหรือไม่



10. หลักฐานประกอบรายจ่าย กรณีผู้รับเงินไม่มีใบเสร็จรับเงินให้

• รายจ่ายต่างๆ ที่จ่ายให้บคุ คลธรรมดาทั่วไป เช่น ค่าแรงงาน โดยปกติผู้รับเงินไม่ออก
หลักฐานการรับเงินให้ ทางออกก็คือให้ผู้จ่ายเงินทำเอกสารโดยระบุ ชื่อ นามสกุล ที่อยู่
ของผู้รับเงิน การจ่ายเงินเป็นค่าอะไร จำนวนเงินเท่าไร วัน เดือน ปี ที่รับเงิน พร้อมลงลายมือ
ชื่อของผู้รับเงิน หรือจะมีสำเนาบัตรประชาชน ประกอบหลักฐานด้วยจะดียิ่งขึ้น




60

แนวทางการวางแผนภาษจี ากร้านคา้ ประเภทบุคคลธรรมดา


1 เลือกยื่นแสดงรายได้แบบหักค่าใช้จ่ายตามจ่ายจริง

2 จัดทำบัญชีรายรับรายจ่ายเพื่อคำนวณกำไรที่ได้จากการค้าขาย

3 รวบรวมเอกสารการจ่ายเงินที่เกี่ยวกับการประกอบกิจการทั้งหมด ได้แก่

- ค่าสินค้า

- ค่าขนส่ง

- ค่าโทรศัพท์

- เงนิ เดอื นลกู จา้ ง รวมถงึ กรณใี หบ้ คุ คลในครอบครวั มาชว่ ยงาน ควรมจี า่ ยเงนิ เดอื น

ตามความเหมาะสม

- ค่าเช่ารถ กรณีมีการเช่ารถเพื่อขนส่ง หรือว่าจ้างให้ส่งสินค้า


��

ตวั อยา่ งในการวางแผนภาษี


รายได้จากการขายสนิ คา้
เหมาจ่าย
ตามจา่ ยจริง



หกั คา่ ใช้จา่ ย
3,600,000.00
3,600,000.00


เหมาจ่ายตามกฎหมาย
(2,160,000.00)
(2,700,000.00)

รอ้ ยละ 60 ตามบิล
(192,000.00)

คา่ ใช้จ่ายทรี่ วบรวมได้
(12,000.00)

(36,000.00)

คา่ สินค้าตามบลิ ซ้ือ
(2,400.00)

คา่ แรงงาน เดือนละ 8,000 จำนวน 2 คน
(21,600.00)

คา่ โทรศพั ท์ เดือนละ 1,000

ค่าขนส่งตามบลิ

คา่ น้ำประปา เดือนละ 200

คา่ ไฟฟ้า เดือนละ 1,800


หักค่าลดหยอ่ น
(60,000.00)
(60,000.00)

(90,000.00)
(90,000.00)

ตนเอง
(25,000.00)
(25,000.00)

บุตร 3 คน
(100,000.00)
(100,000.00)

ค่าเบยี้ ประกนั ชวี ติ
(36,000.00)
(36,000.00)

ดอกเบยี้ ท่ีอยอู่ าศยั
1,129,000.00
325,000.00

บริจาค

เงินไดส้ ทุ ธิ


ภาษเี งินไดบ้ ุคคลธรรมดา
77,500.00
8,750.00

อัตราเหมา 0.005
18,000.00
18,000.00

ภาษที ่ตี ้องชำระ
77,500.00
18,000.00


62

โจทย์ตัวอยา่ งเพ่อื ทดสอบความเข้าใจ


• ร้านร่วมใจสามัคคี เป็นกิจการเจ้าของคนเดียว มีเงินได้จากการขายสินค้าอุปโภค
บริโภค เดือนละ 300,000 บาท




คำถามที่ 1 รา้ นร่วมใจสามัคคี มหี นา้ ทตี่ อ้ งเสยี ภาษีอะไรบา้ ง


คำตอบ: ภาษีมลู ค่าเพิ่ม และ ภาษีเงินได้บคุ คลธรรมดา




คำถามที่ 2 รา้ นร่วมใจสามัคคี ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีอะไรบา้ ง


คำตอบ: ภาษีมลู ค่าเพิ่ม ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีมลู ค่าเพิ่ม (ภพ.30)

ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ครึ่งปี (ภงด.94)
และ แบบแสดงรายการภาษีเงินได้ประจำปี (ภงด.90)




คำถามที่ 3 ร้านร่วมใจสามัคคี ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี
2561 จำนวนเท่าใด โดยให้เงื่อนไขว่า มีบุตร 3 คน มีประกันชีวิตจำนวน
100,000 บาท และมบี ิลเกยี่ วกบั คา่ ใช้จ่ายเดือนละ 250,000 บาท


คำตอบ:

1. วิธีคำนวณแบบขั้นบันได

วิธีนี้คำนวณจากจากเงินได้สุทธิด้วยสมการง่ายๆ คือ

เงินได้ - ค่าใช้จ่าย - ค่าลดหย่อน = เงินได้สุทธิ

จากนั้น

เงินได้สุทธิ x อัตราภาษี = เงินภาษีที่ต้องจ่าย



2. วิธีคำนวณแบบเหมา 0.5%

วิธีคำนวณแบบเหมา 0.5% นี้จะนำมาใช้ก็ต่อเมื่อคุณมีรายได้ทางอื่นนอกเหนือจาก
เงินเดือนเพียงอย่างเดียว โดยการนำรายได้ทางอื่นทั้งหมดที่ไม่ใช่เงินเดือนไปคณู 0.5% ก็
จะได้เป็นค่าภาษี

เงินได้ที่ไม่ใช่เงินเดือน x 0.005 = ค่าภาษี

วิธีคำนวณแบบเหมา 0.5% จะนำมาใช้ก็ต่อเมื่อเข้าเงื่อนไขครบทุกข้อต่อไปนี้เท่านั้น

• คำนวณแล้วเกิน 5,000 บาท หมายถึง มีรายได้ทกุ ทาง ยกเว้นเงินเดือน รวมกัน
แล้วเกิน 1,000,000 บาท

• คำนวณภาษีแบบเหมาแล้วได้มากกว่าคำนวณภาษีแบบขั้นบันได


��

กจิ การประเภทนิตบิ คุ คล



การจัดตั้ง กิจการประเภทนิติบคุ คล คือ กิจการที่มีกลุ่มบคุ คล หรือองค์กร ร่วมกันดำเนิน
กิจการ แล้วก่อตั้งเป็นนิติบุคคลตามวิธีการที่กฎหมายกำหนด โดยมีสิทธิและหน้าที่ต่างๆ
ภายในขอบเขตวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ การจัดตั้งนิติบุคคล ไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนกิจการ
เจ้าของคนเดียว ผู้เป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้น ต้องตกลงกันเป็นลายลักษณ์อักษร โดยมีข้อ
ตกลงกันในเรื่องทุน การแบ่งผลกำไร ความรับผิดชอบต่างๆ อย่างชัดเจน โดยร้านธงฟ้า
ประชารัฐที่เป็นนิติบุคคล อยู่ในรปู ห้างหุ้นส่วนจำกัดและบริษัทจำกัด



ห้างห้นุ สว่ นจำกัด มีลักษณะดังนี้

1. มีสัญญาร่วมกันระหว่างบุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป

2. มีการนำเงินสด ทรัพย์สินอื่น แรงงาน และสติปัญญามาลงทุนร่วมกัน

3. มีการกระทำกิจกรรมร่วมกัน

4. มีวัตถปุ ระสงค์ที่จะแบ่งปันผลการดำเนินงาน




64

ห้างหุ้นสว่ นแบง่ ออกได้ 2 ประเภท คอื


1. ห้างหนุ้ สว่ นสามัญ (Ordinary Partnership) คือ ห้างหุ้นส่วนที่หุ้นส่วนทุกคน
ต้องรับผิดชอบในหนี้สินของห้างอย่างไม่จำกัดจำนวน แบ่งออกเป็น 2 ชนิดคือ

• ห้างหุ้นส่วนสามัญที่ไม่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล เรียกว่า “ห้างหุ้นส่วนสามัญ”
หากการดำเนินธุรกิจของห้างเกิดความเสียหาย เจ้าหนี้สามารถเรียกร้องจากหุ้นส่วนคนใด
คนหนึ่งหรือทกุ คนก็ได้โดยไม่จำกัดจำนวน

• ห้างหุ้นส่วนสามัญที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล เรียกว่า “ห้างหุ้นส่วนสามัญ
นิติบุคคล” การกระทำกิจกรรมหรือนิติกรรมใดๆ ต้องกระทำในนามห้างหุ้นส่วนสามัญ
นิติบุคคลเท่านั้น หากมีความเสียหายเกิดขึ้นจากห้างหุ้นส่วน ห้างต้องรับผิดชอบก่อน หากมี
ส่วนเกินที่ห้างต้องรับผิดชอบ จะเป็นความรับผิดชอบของหุ้นส่วนคนใดคนหนึ่งหรือทั้งหมด
ก็ได้

2. ห้างหุ้นส่วนจำกัด (Limited Partnership) เป็นห้างหุ้นส่วนที่ต้องจดทะเบียน
เป็นนิติบุคคล ซึ่งมีหุ้นส่วน 2 ประเภท คือ หุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิดชอบเหมือน
ห้างหุ้นส่วนสามัญ และหุ้นส่วนประเภทจำกัดความรับผิดตามจำนวนที่ถือหุ้นลงทุน
โดยหุ้นส่วน ผู้จัดการจะต้องเป็นหุ้นส่วนแบบไม่จำกัดความรับผิดเท่านั้น ส่วนผู้ถือหุ้นแบบ
จำกัดความรับผิดจะเข้ามาเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการไม่ได้


��

ข้อดีข้อเสยี ของกิจการประเภทหา้ งหุ้นส่วน




ข้อดี


1. จัดตั้งขึ้นโดยง่าย เพียงให้มีสัญญาระหว่างผู้เป็นหุ้นส่วนเท่านั้น

และจะเลิกเมื่อใดก็ได้

2. มีความยืดหยุ่นเงินทุนสงู กว่ากิจการแบบเจ้าของคนเดียว

3. ได้รับความเชื่อถือทางการเงิน มีเครดิตสงู กว่ากิจการเจ้าของคนเดียว

4. มีความคล่องตัวในการประกอบธุรกิจ สามารถเปลี่ยนวัตถุประสงค์

และวิธีการได้ตามสถานการณ์

5. สามารถระดมคนที่มีความรู้ความสามารถร่วมกิจการได้

6. การบริหารธุรกิจมีความรอบคอบ รัดกมุ และดูแลรักษาผลประโยชน์ได้ดีกว่า

กิจการเจ้าของคนเดียว

7. งานมีประสิทธิภาพ สามารถแบ่งงานกันได้ตามความถนัด




ขอ้ เสีย


1. หุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิด ต้องรับผิดชอบในหนี้สินโดยไม่จำกัดจำนวน

อาจกระทบถึงสินทรัพย์ส่วนตัว

2. การดำเนินงานอาจล่าช้า เนื่องจากมีหลากหลายความคิด

3. การเพิ่มหรือลดทุนอาจไม่คล่องตัว เนื่องจากต้องได้รับความยินยอมจากผู้ร่วมทนุ

4. ความเสียหายจากการกระทำของหุ้นส่วนคนหนึ่งคนใด จะกระทบถึงหุ้นส่วนทุกคน

5. หา้ งหนุ้ สว่ นอาจหยดุ ชะงกั หรอื เลกิ กจิ การ เมอ่ื หนุ้ สว่ นคนใดคนหนง่ึ เสยี ชวี ติ หรอื ลาออก



บริษัทจำกัด มีลักษณะดังนี้

• มีบุคคลอย่างน้อย 3 คน มารวมกันจัดตั้ง บคุ คลกลุ่มนี้เรียกว่า “คณะผู้ก่อการ”
จากนั้น

• ทำหนังสือบริคณห์สนธิ ซึ่งมีรายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับบริษัทที่จัดตั้งขึ้น ได้แก่
ชื่อบริษัท สถานที่ตั้ง วัตถุประสงค์ ชื่อผู้ก่อการ อาชีพผู้ก่อการ ชนิดของหุ้นที่ออกจำหน่าย
จำนวนหนุ้ มลู คา่ หนุ้ และนำหนงั สอื บรคิ ณหส์ นธไิ ปจดทะเบยี นทก่ี รมการคา้ กระทรวงพาณชิ ย์
• คณะผู้ก่อการจะต้องทำหนังสือชี้ชวน เพื่อให้มีผู้สนใจมาซื้อหุ้นของบริษัทและ
จะต้องดำเนินการให้มีผู้มาจองหุ้นของบริษัท จนครบจำนวนหุ้นที่ขอจดทะเบียน




66

• เมื่อมีผู้จองหุ้นจนครบทุกหุ้นแล้ว บริษัทเรียกผู้จองหุ้นทุกคนประชุมจัดตั้งบริษัท
โดยในที่ประชุมจะต้องเลือกตั้งกรรมการบริหารบริษัทอย่างน้อย 1 คน และกำหนดอำนาจ
หน้าที่ของกรรมการในการกระทำการแทนบริษัท และดำเนินการเรียกเก็บค่าหุ้นครั้งแรก
อย่างน้อย 25% ของมลู ค่าหุ้น หลังจากเรียกเก็บค่าหุ้นครั้งแรกแล้ว

• ขอจดทะเบียนเป็นบริษัทจำกัดเพื่อให้มีสภาพเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย โดยนำ
สำเนาการประชมุ หนังสือบริคณห์สนธิระเบียบข้อบังคับไปขอจดทะเบียน ต้องมีผู้สอบบัญชี
รับอนุญาตเป็นผู้สอบบัญชีของบริษัทจำกัด และต้องมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ภายใน
ราชอาณาจกั ร




ขอ้ ดีข้อเสยี ของกจิ การประเภทบริษทั จำกดั



ข้อดี


1. สามารถระดมทุน โดยการออกหุ้นเพิ่ม หรือจัดหาทนุ โดยกู้ยืมจากสถาบันการเงิน

ซึ่งจะได้รับความเชื่อถือมากกว่ากิจการรปู แบบอื่น

2. การดำเนินกิจการไม่ยึดติดกับความคงอยู่ของผู้ถือหุ้น

3. ผู้ถือหุ้นจำกัดความรับผิดชอบเฉพาะมูลค่าของหุ้นที่ยังชำระไม่ครบเท่านั้น

4. สามารถจ้างผู้บริหารมืออาชีพที่มีความรู้ ความสามารถ

และประสบการณ์บริหารแทนได้

5. ผู้ถือหุ้นมีอิสระในการโอนหรือขายหุ้น ไม่ต้องขอความเห็นชอบจากบริษัท

หรือผู้ถือหุ้นรายอื่น




ขอ้ เสีย


1. การจัดตั้งบริษัทมีขั้นตอนตามกฎหมายที่ยุ่งยาก และซับซ้อน

2. ต้องเปิดเผยข้อมลู ให้ผู้ถือหุ้นและบคุ คลภายนอกทราบ

3. มีผู้เกี่ยวข้องจำนวนมาก ทั้งผู้ถือหุ้น กรรมการ และพนักงาน

ผลเสียหายจากการปฏิบัติงานอาจส่งผลกระทบต่อธรุ กิจของบริษัท

4. มีภาระภาษีค่อนข้างสงู และซับซ้อน โดยต้องเสียภาษีธุรกิจในฐานะนิติบุคคล

และภาษีบคุ คลธรรมดาในฐานะผู้ถือหุ้นที่ได้รับเงินปันผล


��

ภาษที เ่ี กี่ยวข้อง


• ภาษีมูลค่าเพิ่ม มีรายละเอียดเกี่ยวกับขั้นตอน วิธีการ และอัตราการชำระ
เช่นเดียวกับธุรกิจประเภทกิจการเจ้าของคนเดียว หรือกิจการของบุคคลธรรมดาที่กล่าวแล้ว
ข้างต้น

• ภาษีเงินได้นิติบุคคล ในส่วนของบริษัทและห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตาม
กฎหมายไทย 4 รปู แบบ ได้แก่ 

• บริษัทจำกัด

• บริษัทมหาชน จำกัด 

• ห้างหุ้นส่วนจำกัด 

• ห้างหุ้นส่วนสามัญจดทะเบียน มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้จากกำไรสทุ ธิ


นิตบิ ุคคลตามมาตรา 39 คำนวนภาษี
กำไรสทุ ธิ x อตั ราภาษี

ทีม่ เี งนิ ไดพ้ ึงประเมนิ ผ้ปู ระกอบการจะต้อง = ภาษีเงนิ ได

มีหน้าท่ีเสยี ภาษีทุกรอบ ทำการปรบั ปรุงรายจา่ ย
ระยะเวลาบัญช
ี ตามงบการเงินให้เป็น ผู้ประกอบการสามารถศึกษาข้อมูล
รายจ่ายทางภาษ
ี เพิ่มเติมเกี่ยวกับการคำนวนภาษีใน
แต่ละหัวข้อที่ลิงก์ด้านล่าง

• เงี่อนไขการคำนวณกำไรสทุ ธิ

• อัตราภาษีและการคำนวณภาษี


ชำระเงนิ
ย่นื แบบแสดงรายกา



สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขา
(e-Filing & e-Paymen
t)

ธนาคารพาณิชย์ (Counter/ATM/ ผู้ประกอบการสามารถศึกษาข้อมลู การยื่นแบบรายการทาง
Internet/Tele/Phone/Mobile
ออนไลน์ได้ที่หัวข้อ “การยื่นภาษีเงินได้นิติบคุ คลผ่านอินเทอร์เน็ต”

/Tax smart card)
เอกสารประกอบ : งบดุล บัญชีทำการและบัญชีกำไรขาดทุน
e-Payment ATM on internet/ พร้อมรายละเอียดประกอบ งบกระแสเงินสดและหลักฐานอื่นๆ

Internet Credit Card
ภาษีครึ่งรอบระยะเวลาบัญชี : ยื่นภายใน 2 เดือนนับจากวัน
ที่ทำการไปรษณีย์ Tesco/7-eleven
สุดท้ายของทกุ 6 เดือนแรกของรอบระยะเวลาบัญชี “ภ.ง.ด. 51”

ภาษีเมื่อสิ้นรอบระยะเวลาบัญชี : ยื่นภายใน 150 วันนับจาก

วันสดุ ท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี “ภ.ง.ด. 50”

การคำนวณภาษเี งนิ ไดน้ ติ บิ คุ คลจากกำไรสทุ ธิ


ตามประมวลรัษฎากรได้กำหนดให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล เสียภาษีเงินได้
โดยคำนวณจากกำไรสุทธิ ซึ่งได้จากการประกอบกิจการในรอบระยะเวลาบัญชี โดยให้นำ
รายได้ที่เกิดขึ้นในรอบระยะเวลาบัญชี แม้ว่าจะยังไม่ได้รับชำระในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น
มาคำนวณเป็นรายได้ และให้นำรายจ่ายที่เป็นที่มาของรายได้ แม้จะยังมิได้จ่ายในรอบระยะ
เวลาบัญชีนั้น คำนวณเป็นรายจ่าย ซึ่งแบ่งตามระยะเวลาการชำระภาษีเงินได้ดังนี้



1. การคำนวณภาษีเงินได้ครึ่งรอบระยะเวลาบัญชี  ให้คำนวณภาษีเงินได้จากประมาณ
การกำไรสุทธ ิ ซึ่งกำหนดให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มิใช่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วน
นิติบุคคล จัดทำประมาณการกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิ ที่เกิดจากการประกอบกิจการ
ในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น โดยให้คำนวณและชำระภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นจำนวนกึ่งหนึ่ง
ของประมาณการกำไรสทุ ธิในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น



2. การคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลเมื่อสิ้นรอบระยะเวลาบัญชี ให้นำกำไรสุทธิที่ได้
ประมาณการแล้ว คูณกับอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล จะได้จำนวนภาษีเงินได้ที่ต้องชำระ
กรณีไม่ปรากฏว่ามีกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิ บริษัทไม่ต้องคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคล
หรือไม่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบคุ คลนั่นเอง



อัตราภาษีนิติบุคคล คำนวณได้ดังนี้



• อัตราภาษีของบริษัทและห้างหุ้นส่วนทั่วไป


กำไรสทุ ธิ x อัตราร้อยละ 20


��

• อัตราภาษีของ SMEs กรณีขอจดแจ้ง


อตั ราภาษี – SMEs กรณขี อจดแจง้


อัตราภาษี


กำไรสุทธิ
2558 2559 2560 2561

พรฎ. (ฉ.530) แก้ไข พรฏ. (ฉ.595) พรฏ. (ฉ.595) พรฏ. (ฉ.530) แก้ไข

พรฏ. (ฉ.603)
พรฎ. (ฉ.603)

1 – 300,000 ยกเว้น ยกเว้น ยกเว้น
ยกเว้น

300,001 – 3,000,000 10% ยยกกเเวว้้นน 10%
15%

3,000,001 ขึ้นไป 10% 20%


- บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล

- จัดตั้งขึ้นก่อนวันที่ 1 มกราคม 2559

- ไม่มีทุนที่ชำระแล้วในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีใดเกิน 5 ล้านบาท

- ไม่มีรายได้จากการขายสินค้าและการให้บริการในรอบระยะเวลาบัญชีใดเกิน 30 ล้านบาท

- ขอจดแจ้งทำบัญชีชุดเดียวต่อกรมสรรพากร เมื่อวันที่ 15 มกราคม – 15 มีนาคม 2559




• อัตราภาษีของ SMEs กรณีทั่วไป


อตั ราภาษี – SMEs กรณีทั่วไป


อัตราภาษี


กำไรสุทธิ
2558 2559 2560

พรฎ. (ฉ.530) แก้ไข พรฎ. (ฉ.530) แก้ไข พรฎ. (ฉ.530) แก้ไข

พรฎ. (ฉ.603) พรฎ. (ฉ.603)
1 – 300,000
พรฎ. (ฉ.603)


ยกเว้น ยกเว้น ยกเว้น

15%

300,001 – 3,000,000 10% 10% 20%


3,000,001 ขึ้นไป 10% 10%

- บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล

- ไม่มีทุนที่ชำระแล้วในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีใดเกิน 5 ล้านบาท

- ไม่มีรายได้จากการขายสินค้าและการให้บริการในรอบระยะเวลาบัญชีใดเกิน 30 ล้านบาท


70

ตัวอย่างในการวางแผนภาษ


บุคคลธรรมดา
นิติบคุ คล


รายไดจ้ ากการขายสนิ ค้า
3,600,000.00
3,600,000.00

หักค่าใช้จ่าย

(2,700,000.00)

เหมาจา่ ยตามกฎหมาย
(360,000.00)

ร้อยละ 60 ตามบลิ


คา่ ใช้จ่ายที่รวบรวมได้
(192,000.00)

(12,000.00)

คา่ สนิ คา้ ตามบิลซอ้ื
(2,700,000.00)
(36,000.00)

(2,400.00)

เงนิ เดอื นกรรมการ (เจา้ ของกจิ การ)
-
(21,600.00)


ค่าแรงงาน เดือนละ 8,000



จำนวน 2 คน
(192,000.00)


คา่ โทรศพั ท์ เดือนละ 1,000
(12,000.00)


คา่ ขนสง่ ตามบิล
(36,000.00)


ค่าน้ำประปา เดือนละ 200
(2,400.00)


ค่าไฟฟ้า เดอื นละ 1,800
(21,600.00)


หักค่าลดหย่อน
(60,000.00)
-

ตนเอง
(90,000.00)
-

บุตร 3 คน
(25,000.00)
-

คา่ เบี้ยประกันชีวิต
(100,000.00)
-

ดอกเบยี้ ทอ่ี ยู่อาศัย
(36,000.00)
-

บริจาค
325,000.00
276,000.00

เงนิ ไดส้ ุทธิ

8,750.00
-

ภาษเี งนิ ได้บุคคลธรรมดา
18,000.00
-

อตั ราเหมา 0.005
18,000.00
-

ภาษีที่ตอ้ งชำระ
-


ค่าใช้จ่ายเก่ียวกบั นิติบคุ คล - คา่ ทำบญั ช
ี 24,000.00
36,000.00

ค่าใชจ้ า่ ยเกยี่ วกบั นิตบิ ุคคล - ค่าสอบบัญช
ี -
10,000.00

รวมค่าใชจ้ ่ายทตี่ ้องชำระภาษี
42,000.00
46,000.00


��

72

กิจการประเภทกองทนุ หมู่บ้าน



การจัดตั้ง กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง เป็นกองทุนที่เกิดขึ้นตามนโยบายของรัฐบาล
โดยรัฐจัดสรรเงินลงไปในแต่ละหมู่บ้าน เพื่อเป็นแหล่งเงินทุนหมุนเวียน การลงทุนสร้างงาน
สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้กับคนในชุมชน หลักการสำคัญของกองทุน คือ เพื่อสร้างความ
เป็นชุมชนให้สามารถพึ่งตนเอง โดยให้ชุมชนเป็นผู้บริหารจัดการกองทุนเหล่านี้ด้วยตนเอง
ซึ่งกองทุนต้องเอื้อประโยชน์ต่อคนในชุมชนและสามารถเชื่อมโยงกระบวนการเรียนรู้ให้กับ
หน่วยงานราชการและเอกชนได้




ภาษที เี่ กยี่ วขอ้ ง


• ภาษีเงนิ ได้

กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ จัดตั้งขึ้นเพื่อกระทำกิจการตามนโยบายของรัฐบาล
สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เป็นผู้กำกับดูแล ซึ่งสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นส่วนราชการ
มีฐานะเป็นนิติบุคคลที่ไม่เข้าลักษณะเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล คณะกรรมการ
กองทุนหมู่บ้านฯ จึงไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบคุ คล

• ภาษีธุรกิจเฉพาะ

กองทนุ หมบู่ า้ นฯ มวี ตั ถปุ ระสงคใ์ นการจดั ตง้ั เพอ่ื ใหบ้ รกิ ารเงนิ กแู้ กส่ มาชกิ จงึ เขา้ ลกั ษณะเปน็
การประกอบกิจการโดยปกติเยี่ยงธนาคารพาณิชย์ อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะตาม
มาตรา 91/2(5) แห่งประมวลรัษฎากร

•  
อากรแสตมป์
สัญญากู้ยืมเงิน เข้าลักษณะตราสาร 5 แห่งบัญชีอัตราอากรแสตมป์ ตามประมวลรัษฎากร
ซึ่งผู้ให้กู้เข้าลักษณะฝ่ายที่ต้องเสียอากรเป็นรัฐบาล ดังนั้น สัญญากู้ยืมเงิน รวมทั้ง
คู่ฉบับหรือคู่ฉีกดังกล่าว จึงได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียอากรแสตมป์ ตามมาตรา 121
แห่งประมวลรัษฎากร




บัญชีทต่ี อ้ งจดั ทำ


บัญชีรายรับ - รายจ่ายเงินกองทุน


��

กจิ การประเภทสหกรณ์



การจัดตั้ง สหกรณ์  คือองค์กรหนึ่งซึ่งมีการรวมกลุ่มกันจัดตั้ง
ขึ้นมาด้วยความสมัครใจภายใต้การปกครองตนเอง เพื่อตอบ
สนองความต้องการที่จำเป็นในชีวิต รวมทั้งความหวังทาง
เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมร่วมกัน โดยทั้งหมดตั้งอยู่
บนพื้นฐานแห่งความรับผิดชอบต่อตนเอง และการช่วยตนเอง
และมีความซื่อสัตย์สจุ ริตเป็นที่ตั้ง




้อ้อดดขีีขออ้้ เเสสยียี ขขอองงกกิจจิ กกาารรปปรระะเเภภททสสหหกกรรณณ์์



ข้อดี


1. หลักการสำคัญประการหนึ่งของระบบสหกรณ์ คือ การมีส่วนร่วมของสมาชิก
ทุกคน  โดยความสมัครใจ จึงทำให้เกิดความผูกพันระหว่างสมาชิกในการ
ดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ


2. แก้ไขปัญหาการขาดแคลนปัจจัยการผลิต เนื่องจากสมาชิกสามารถนำปัจจัย
การผลิตที่มีอยู่มาผลิตเป็นผลผลิต หรือผลิตภัณฑ์ของสมาชิก เพื่อรวบรวมเข้า
กองกลาง วิธีนี้เรียกว่า  “วิธีกงสี” ทำให้เกิดการประหยัดค่าใช้จ่ายในการผลิต
การตลาดและการขนส่ง


3. สนับสนุนการแบ่งงานกันทำตามความชำนาญเฉพาะอย่าง หรือตามชุมชน ตำบล
ภูมิภาค เช่น โครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ เป็นการสนับสนุนนโยบายของ
รัฐบาล


4. สามารถดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ เช่น ผลิต บริโภค แลกเปลี่ยน จำแนก
แจกจ่าย จัดสรรผลตอบแทนแก่เจ้าของปัจจัยการผลิต เพื่อการดำรงชีพ
โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาปัจจัยภายนอก


ขอ้ เสยี


1. หากสมาชิกไม่มีความพร้อมก็จะไม่สามารถใช้ประโยชน์จากสหกรณ์ได้เต็มที่
เป็นผลให้การใช้ปัจจัยการผลิตที่มีจำกัด ไม่มีประสิทธิภาพ


2. สถานการณ์ทางเศรษฐกิจในปัจจุบันทำให้มีการแข่งขันสูง การบริหารจัดการของ
สหกรณ์จึงมีความสำคัญ เพื่อดำเนินการตัดสินใจจะผลิตอะไร ผลิตเพื่ออะไร
ผลิตอย่างไร





74

ภาษที เ่ี กีย่ วข้อง


• ภาษเี งนิ ได


สหกรณ์จัดตั้งเป็นนิติบุคคล ตามพระราชบัญญัติสหกรณ์ ไม่เข้าลักษณะเป็นบริษัท
หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมิน
ให้แก่สหกรณ์ ไม่มีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย

• ภาษมี ลู คา่ เพม่ิ

สหกรณ์ต้องชำระภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 81(1)(ก) แห่งประมวลรัษฎากร



บัญชที ่ตี ้องจดั ทำ

เอกสารประกอบการลงบัญชีของสหกรณ์มีดังนี้

• ใบเสร็จรับเงินจากบริษัท ห้างร้านที่สหกรณ์ไปซื้อสินค้า

• ใบเสร็จรับเงินของสหกรณ์  ใช้บันทึกรายการรับเงินของสหกรณ์  ทั้งจากสมาชิกและ
ไม่ใช่สมาชิก

• ใบเบิกเงิน ใช้บันทึกรายการจ่ายเงินของสหกรณ์ในกรณีที่สหกรณ์ไม่สามารถเรียก
ใบเสร็จรับเงินจากผู้รับเงินได้

• ใบนำส่งฝากออมทรัพย์ใช้บันทึกเป็นหลักฐานการนำเงินส่งเงินฝากออมทรัพย์ของ
สมาชิก

• ใบถอนเงนิ ฝากออมทรพั ย์ ใชบ้ นั ทกึ เปน็ หลกั ฐานเมอ่ื สมาชกิ ถอนเงนิ ฝากออมทรพั ย์
จากสหกรณ์

• ใช้ขายสินค้าประจำวัน ใช้บันทึกรายการขายสินค้า จำนวนสินค้า จำนวนเงิน และ
หมายเลขสมาชิกผู้ซื้อสินค้าในแต่ละวัน  และสรุปยอดขายในแต่ละวัน



การลงบญั ชใี นสมดุ บญั ช ี  

เป็นการนำเอาหลักฐานจากเอกสารประกอบการลงบัญชี มาบันทึกลงในสมุดบัญชีเป็น
ประจำวันที่มีรายการเกิดขึ้น ได้แก่

• การลงบัญชีในสมุดเงินสดประจำวัน  เป็นหน้าที่ของพนักงานบัญชี ในการบันทึก
รายการรับเงินทุกรายการของแต่ละวันลงในด้านรายการรับ โดยใช้ใบเสร็จรับเงิน ใบขาย
สินค้าประจำวัน ใบนำส่งเงินฝากออมทรัพย์เป็นหลักฐานการลงบัญชีและบันทึกรายการ
จ่ายเงินทุกรายการของแต่ละวัน ลงในด้านรายการจ่ายเงิน โดยใบเบิกเงินใบเงินฝาก
ออมทรัพย์  และใบเสร็จรับเงินของร้านค้า (กรณีซื้อสินค้าและร้านค้ามีใบเสร็จให้) เป็น
หลักฐานการลงบัญชี ตลอดจนสรปุ เงินสดคงเหลือประจำวัน


��

• การลงบัญชีในสมุดซื้อสินค้า เป็นหน้าที่ของพนักงาน ในการบันทึกรายการซื้อสินค้า
เป็นเงินสด โดยใช้ใบเสร็จรับเงินของร้านค้าเป็นหลักฐานการลงบัญชี ในกรณีซื้อสินค้าเป็น
เงินเชื่อใช้ใบส่งของของร้านค้าเป็นหลักฐานในการลงบัญชี ทั้งนี้ให้ผู้จัดการเป็นผู้กำหนด
ราคาขายสินค้าแต่ละรายการ




ภาษอี ื่นๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง


• ภาษีโรงเรือนและที่ดิน

กฎหมายกำหนดให้เจ้าของโรงเรือนสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นที่มีหน้าที่ต้องเสียภาษ ี
โรงเรอื นและทด่ี นิ ยน่ื แบบแจง้ รายการเพอ่ื เสยี ภาษโี รงเรอื นและทด่ี นิ (ภ.ร.ด.2) ณ สำนกั งานเขต
ซึ่งโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างนั้นตั้งอยู่ ภายในเดือนกมุ ภาพันธ์ของทกุ ปี โดยภาษีโรงเรือนและ
ที่ดินคิดอัตราค่าภาษีร้อยละ 12.5 ของค่ารายปี 

ค่ารายปี หมายถึง จำนวนเงินซึ่งทรัพย์สินนั้นสมควรให้เช่าได้ในปีหนึ่งๆ ในกรณีที่
ทรัพย์สินนั้นให้เช่า ให้ถือว่าค่าเช่านั้นคือค่ารายปี แต่ถ้าเป็นกรณีที่มีเหตุอันสมควรที่ทำให้
พนักงานเจ้าหน้าที่เห็นว่าค่าเช่านั้นมิใช่จำนวนเงินอันสมควรที่จะให้เช่าได้ หรือเป็นกรณีที่หา
ค่าเช่าไม่ได้เนื่องจากเจ้าของทรัพย์สินดำเนินการเอง หรือด้วยเหตุประการอื่น ให้พนักงาน
เจ้าหน้าที่ มีอำนาจประเมินค่ารายปีได้ โดยคำนึงถึงลักษณะทรัพย์สิน ขนาด พื้นที่ ทำเล
ที่ตั้ง และบริการสาธารณะที่ทรัพย์สินนั้นได้รับประโยชน์


ผู้มหี น้าท่เี สยี ภาษียื่น
เจา้ หนา้ ที่แจง้ ยอด
ร้อยละ 12.5



แบบเพอื่ ขอประเมนิ ภาษี
ค่าภาษี (ภ.ร.ด.8)
ของค่าเชา่
ชำระเงิน

ผู้มีหน้าที่เสียภาษี คือ “ผู้รับประเมิน”

หรือ เจ้าของกรรมสิทธิ์ในโรงเรือนและ
ทรัพย์สินที่อยู่ในกรงุ เทพมหานคร
ทรัพย์สินรายป
ี ผู้รับประเมินจะต้องชำระ

สิ่งปลกู สร้างที่ต้องเสียภาษี :
ติดต่อที่สำนักการคลัง ณ สำนักงานเขต
ภาษี ภายใน 30 วัน

- โรงเรือน อาคาร สิ่งปลูกสร้างต่างๆ
ที่ทรัพย์สินตั้งอยู่
นับแต่วันถัดจากวันที่

เช่น ตึกแถว ร้านค้า สำนักงาน

ได้รับแจ้งประเมิน

อพาร์ตเมนต์ โรงแรม โรงพยาบาล
ทรัพย์สินที่อยู่ในส่วนภมู ิภาค ติดต่อที่


โรงภาพยนตร์ คลังสินค้า
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ทรัพย์สิน
สำนักการคลัง

- ที่ดินซึ่งใช้ต่อเนื่องกับโรงเรียน อาคาร
ตั้งอยู่
สำนักงานเขต หรือ

สิ่งปลูกสร้างต่างๆ
ที่ทำการปกครองส่วนท้องถิ่น



ภ.ร.ด.2
ธนาคารกรงุ ไทย




แจ้งรายการทรัพย์สินและค่าเช่า หรือ

ประโยชน์อื่นที่อาจคิดเป็นตัวเงินได้

การยื่นขอประเมิน:ภายในเดือน

กมุ ภาพันธ์ของทุกปี

76

• ภาษีป้าย

ภาษีป้าย คือ ภาษีที่จัดเก็บจากป้ายโฆษณาสินค้าต่างๆ ได้แก่ ป้ายที่แสดงชื่อ ยี่ห้อ
หรือเครื่องหมายที่ใช้ในการประกอบการค้า หรือประกอบกิจการอื่น เพื่อหารายได้หรือ
โฆษณาการค้า หรือกิจการอื่นเพื่อหารายได้ ไม่ว่าจะได้แสดง หรือโฆษณาไว้ที่วัตถุใดๆ ด้วย
อักษร ภาพ หรือเครื่องหมายที่เขียน แกะสลัก จารึก หรือทำให้ปรากฏด้วยวิธีอื่น

ผู้มีหน้าที่เสียภาษีป้าย  คือ เจ้าของป้าย หรือผู้ครอบครองอาคาร หรือที่ดินที่ป้ายนั้น
ติดตั้งหรือแสดงอยู่เป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษีป้ายตามลำดับ

กำหนดระยะเวลาให้ยื่นแบบแสดงรายการ  ให้เจ้าของป้ายซึ่งจะต้องเสียภาษีป้าย ยื่น
แบบแสดงรายการภาษีป้าย (ภ.ป.1)  ณ ฝ่ายรายได้สำนักงานเขตซึ่งป้ายนั้นติดอยู่ภายใน
เดือนมีนาคมของทุกปี

• ฐานภาษีและอัตราภาษี

ให้คำนวณจากขนาดกว้างคูณยาวของป้าย และอัตราภาษีให้คิดจากประเภทของป้าย
เช่น เป็นอักษรไทย หรือต่างประเทศ หรือรูปภาพ

กรณีป้ายมีขอบเขตกำหนดไว้  การคำนวณพื้นที่ป้าย ให้เอาส่วนกว้างที่สุดคูณด้วย
ส่วนยาวที่สุดเป็นขอบเขตของป้าย

กรณีที่ป้ายไม่มีขอบเขตกำหนดไว้ ให้ถือเอาตัวอักษร ภาพหรือเครื่องหมาย ที่อยู่ริมสุด
เป็นขอบเขต เพื่อกำหนดส่วนที่กว้างที่สุดและยาวที่สดุ แล้วคำนวณตามตาราง


��

หลักเกณฑ์

ขอ้ กำหนด

และขอ้ ปฏบิ ัต


ที่ร้านคา้

ธงฟา้ ประชารัฐ


ตอ้ งทราบ


78

1. หลกั เกณฑ์

กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าภายใน ได้ออกประกาศหลักเกณฑ์การรับสมัคร
การคัดเลือกและการเพิกถอนร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ ที่จำหน่ายสินค้าให้กับประชาชนผู้ถือ
บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ




1.1 สินค้าที่จำหน่ายในร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่

(1) สินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นต่อการครองชีพ เช่น อาหารสด ผัก ผลไม้
เครื่องปรุงรส อาหารและเครื่องดื่ม ของใช้ประจำวัน ยาสามัญประจำบ้าน เป็นต้น รวมทั้ง
สินค้าทางการเกษตร สินค้าเกษตรแปรรูป สินค้าชุมชน สินค้าโอทอป

(2) สินค้าเพื่อการศึกษา เช่น เครื่องแบบนักเรียน เครื่องเขียน สมุด หนังสือ
เป็นต้น

(3) สินค้าวัตถุดิบเพื่อเกษตรกรรม เช่น ปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยเคมี เมล็ดพันธ์ุพืช เป็นต้น



1.2 คุณสมบัติของร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ

(1) เป็นร้านค้าที่จำหน่ายสินค้าตามข้อ 3 อยู่แล้ว (ร้านค้าปลีกและร้านโชห่วย
ท้องถิ่น ร้านค้าสหกรณ์ ผู้ผลิตสินค้าชุมชน โอทอป) โดยไม่เป็นสาขาของร้านค้าส่งค้าปลีก
สมัยใหม่ระดับประเทศ

(2) มีทำเลและสถานที่ตั้งร้านค้าที่แน่นอนและอยู่ในแหล่งชุมชน การคมนาคม
สะดวก

(3) ร้านค้าที่เป็นหน่วยรถเคลื่อนที่ ที่ดำเนินการโดยกระทรวงพาณิชย์




��

1.3 หลักเกณฑ์การพิจารณาคัดเลือกร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ

(1) ให้มีร้านค้าธงฟ้าประชารัฐครอบคลุมและกระจายในทุกพื้นที่อย่างน้อย
ตำบลละ 1 แห่ง และสามารถจำหน่ายสินค้าให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ตามเป้าหมาย
ที่กำหนดประมาณ 500-600 คน

(2) คัดเลือกร้านค้าที่มีสถานที่ตั้งในแหล่งชมุ ชน การคมนาคมสะดวก และมีความ
พร้อมในการจำหน่ายสินค้าให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐในแต่ละพื้นที่

(3) คัดเลือกร้านค้าที่ครอบคลุมพื้นที่ที่กำหนดและมีจำนวนร้านค้าที่เหมาะสมกับ
จำนวนเป้าหมายของผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐในแต่ละพื้นที่

(4) ในพื้นที่ที่มีจำนวนร้านค้าธงฟ้าประชารัฐครบที่กำหนดตามเกณฑ์ (1)-(3)
ข้างต้นแล้ว ให้ร้านค้าที่รับสมัครเกินกว่าเป้าหมายขึ้นบัญชีสำรองไว้ เพื่อพิจารณาคัดเลือกใน
กรณีที่จะต้องเพิ่มจำนวนร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ หรือทดแทนร้านค้าธงฟ้าประชารัฐที่ขอ
ยกเลิกหรือถกู กรมการค้าภายในเพิกถอน

(5) ให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้า และ/หรือสำนักงานพาณิชย์จังหวัดเป็นผู้พิจารณา
คัดเลือกร้านค้าตามหลักเกณฑ์ (1)-(4) โดยพิจารณาตามความเหมาะสมและความจำเป็นใน
แต่ละพื้นที่ ในกรณีร้านค้าจำหน่ายสินค้าที่ผลิตในชมุ ชนท้องถิ่น เช่น ผลิตผลทางการเกษตร
สินค้าเกษตรแปรรูป สินค้าโอทอป เป็นต้น จะได้รับการพิจารณาเป็นกรณีพิเศษ และผลการ
พิจารณาคัดเลือกให้ถือเป็นที่สุด


80

2. เงอื่ นไขในการปฏบิ ตั ขิ องรา้ นคา้ ธงฟา้ ประชารฐั
(1) ได้รับการติดตั้งเครื่อง EDC เรียบร้อยแล้ว

(2) ต้องปิดป้ายสัญลักษณ์ “ธงฟ้าประชารัฐ” หน้าร้านและบริเวณชั้นวางสินค้า
และสติ๊กเกอร์รับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ

(3) ให้มีการจำหน่ายสินค้าโครงการธงฟ้าประชารัฐที่มีการลดราคาจำหน่ายต่ำกว่า
ราคาตลาดหรือราคาจำหน่ายไม่สูงกว่าที่กรมการค้าภายในกำหนด

(4) ให้มีการจำหน่ายสินค้าทางการเกษตร สินค้าเกษตรแปรรูป สินค้าชุมชน
สินค้าโอทอป และสินค้าตามโครงการที่กรมการค้าภายในกำหนด

(5) สินค้าที่จำหน่ายต้องมีคุณภาพ มาตรฐาน ตามที่หน่วยงานของรัฐกำกับดูแล
กำหนดไว้และไม่หมดอายุ

(6) ห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ยาสบู ทกุ ชนิด หรือสินค้าฟุ่มเฟือยให้กับ
ผู้ใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ

(7) ห้ามปรับราคาจำหน่ายสินค้าเพิ่มสงู ขึ้น โดยไม่มีเหตผุ ลสมควร

(8) ห้ามรับแลกการใช้สิทธิใช้จ่ายตามบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเป็นเงินสดหรือสิ่ง
ตอบแทนอื่นๆ

(9) ห้ามบังคับให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐต้องซื้อสินค้าเป็นมูลค่าที่ร้านค้ากำหนด
หรือเกินกว่าวงเงินที่ผู้ถือบัตรมีสิทธิ

(10) ห้ามยึดหรือเก็บบัตรสวัสดิการแห่งรัฐไว้

(11) ห้ามบังคับ ขู่เข็ญ ในการซื้อสินค้าตามรายการที่ร้านค้ากำหนด

(12) ห้ามปฏิเสธการรับชำระค่าสินค้าด้วยบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ไม่ว่ากรณีใดๆ
ทั้งสิ้น

(13) ห้ามหาผลประโยชน์
อื่นใดจากบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่
มิใช่วัตถุประสงค์ของโครงการบัตร
สวัสดิการแห่งรัฐ

(14) ห้ามกระทำการอื่นใด
ที่กรมการค้าภายในเห็นว่าเป็นการ
เอาเปรียบผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ

(15) ห้ามกระทำความผิด
ตามกฎหมายของกรมการค้าภายใน
หรือกระทำการอื่นใดที่กรมการค้า
ภายในเห็นว่ามีความผิด


��

3. การเพกิ ถอนรา้ นคา้ ธงฟ้าประชารัฐ

(1) กรมการค้าภายในหรือจังหวัดในพื้นที่มีสิทธิเพิกถอนการเป็นร้านค้าธงฟ้า
ประชารัฐ สำหรับร้านค้าธงฟ้าประชารัฐที่ไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนดตาม
ข้อ 8 โดยจะมีหนังสือแจ้งให้ทราบการเพิกถอนสิทธิ และจะแจ้งกรมบัญชีกลางพิจารณาการ
ส่งคืนเครื่อง EDC ต่อไป

(2) ร้านค้าธงฟ้าประชารัฐที่ถูกเพิกถอน ไม่มีสิทธิเรียกค่าใช้จ่ายหรือค่าเสียหาย
ใดๆ ทั้งสิ้น และจะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการถูกเพิกถอน รวมทั้งต้องคืน
ป้ายประชาสัมพันธ์สัญลักษณ์ “ธงฟ้าประชารัฐ” และสติ๊กเกอร์แก่กรมการค้าภายใน รวมทั้ง
ไม่มีสิทธิใช้ป้ายสัญลักษณ์ “ธงฟ้าประชารัฐ” อีกต่อไป



กรณีผู้ได้รับคัดเลือกให้เป็นร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ ตามประกาศกรมการค้าภายใน
ฉบับเดิมอยู่แล้วในวันที่ประกาศฉบับนี้ใช้บังคับ ให้ถือว่าเป็นร้านค้าธงฟ้าประชารัฐตาม
ประกาศฉบับนี้ และต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดไว้ตามประกาศฉบับนี้

บรรดาการใดที่ได้ดำเนินการหรืออยู่ระหว่างการพิจารณาตามประกาศกรมการค้า
ภายในฉบับเดิมอยู่ในวันประกาศฉบับนี้ใช้บังคับ ให้ดำเนินการต่อไปภายใต้หลักเกณฑ์และ
วิธีการที่กำหนดไว้ ตามประกาศฉบับนี้


82

การเช่อื มโยง

และซ้ือขาย


ผลิตภณั ฑช์ ุมชน

และทอ้ งถนิ่


��

4.1 การเชือ่ มโยงซื้อขายผลติ ภณั ฑ์ชุมชน

และทอ้ งถน่ิ กับรา้ นคา้ ธงฟา้ ประชารัฐ

ธุรกิจชุมชน คือ ทางเลือกที่จะให้ชุมชนได้มีโอกาสดึงดูดรายได้จากเมืองคืนสู่ชุมชน
และท้องถิ่น แม้ว่ารัฐบาลจะมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อแก้ไขปัญหาปากท้องของ
ประชาชนผ่านกลไกตลาดชุมชน และการเชื่อมโยงการท่องเที่ยวในแต่ละจังหวัด เพื่อสร้าง
ความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจท้องถิ่นแล้วก็ตาม แต่ลำพังการอาศัยนักท่องเที่ยวเพื่อเข้ามา
จับจ่ายใช้สอยในชุมชนและท้องถิ่น อาจไม่เพียงพอกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน
ดังนั้น หากมีการเชื่อมโยงซื้อขายผลิตภัณฑ์ชุมชนและท้องถิ่น กับ ร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ
ในระดับตำบล อำเภอ และจังหวัด ตลอดจนเชื่อมโยงสินค้าดังกล่าวไปยังผู้ผลิตสินค้า
รายใหญ่ในการจัดส่งสินค้าอุปโภคบริโภคมายังชุมชนและท้องถิ่น และในขณะเดียวกันก็
รับสินค้าจากชุมชนและท้องถิ่นไปกระจายให้กับผู้บริโภคในเมือง ก็จะเป็นการหมุนเวียนทาง
เศรษฐกิจที่จะช่วยเหลือประชาชนในชุมชนและท้องถิ่นได้มากยิ่งขึ้น


84

การเช่ือมโยงและซอื้ ขายผลติ ภณั ฑช์ ุมชนและทอ้ งถ่นิ


การเชื่อมโยงเครือข่ายสินค้าชมุ ชน สินค้าอปุ โภคบริโภคกับศูนย์กระจายสินค้าในระดับ
จังหวัดและระดับอำเภอ

สินค้าอุปโภคบริโภค

• การจำหน่ายสินค้า โดยผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคที่ผลิตจากในเมืองนำไปจำหน่าย
ในพื้นที่ ส่งสินค้าขาล่องและขาขึ้น เพื่อช่วยเหลือผู้ผลิตสินค้าในพื้นที่ เช่น สินค้าเกษตร
สินค้าชมุ ชน โดยนำสินค้ามาจำหน่ายในเขตเมือง โดยขอให้ผู้ผลิตสินค้าในการช่วยเหลือการ
จัดทำ logistic

• การเชื่อมโยงสินค้า สินค้าอุปโภคบริโภค ผู้ผลิตสินค้าจำหน่ายสินค้าให้กับร้าน
ธงฟ้าประชารัฐโดยผ่านร้านค้าธงฟ้าที่เป็นศูนย์กระจายสินค้าระดับจังหวัด/อำเภอ ในราคา
ที่ถูกกว่าท้องตลาด โดยเป็นศูนย์จำหน่ายสินค้าให้กับร้านค้าธงฟ้าประชารัฐในระดับพื้นที ่
เพื่อนำไปจำหน่ายในราคาที่เป็นธรรมแก่ประชาชน




สนิ ค้าชุมชน

• สินค้าเด่น มีการคัดเลือกสินค้าชุมชนจากกลุ่มเกษตรกรผู้ผลิตในพื้นที่ เพื่อนำมา
จำหน่ายนอกพื้นที่ เช่นการนำกะปิจากจังหวัดระนอง น้ำพริกกุ้งเสียบจากจังหวัดพังงา
เชื่อมโยงกับร้านค้าธงฟ้าประชารัฐที่มีศักยภาพ นำไปจำหน่ายในภาคเหนือ ภาคตะวันออก
เฉียงเหนือ และภาคกลาง ส่งผลให้ผู้ผลิตสินค้าชมุ ชนมีรายได้จากการจำหน่ายสินค้าเพิ่มขึ้น
และมีแหล่งจำหน่ายสินค้าแน่นอน และในอนาคตมีการดำเนินการในลักษณะเดียวกันใน
ทุกภาค คัดเลือกสินค้าเด่นในแต่ละภาค นำไปจำหน่ายนอกแหล่งผลิตต่อไป


��

• สินค้าทั่วไป ให้ร้านค้าธงฟ้าใน
พื้นที่ นำสินค้าชุมชนที่ผลิตได้ในชุมชน
มาจำหน่ายเพื่อเพิ่มรายได้ให้ผู้ผลิตด้วย
เช่น ผัก ผลไม้ สินค้า OTOP อาหารสด
เป็นต้น


สนิ คา้ เกษตร


ในช่วงผลผลิตออกสู่ตลาดมาก เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรให้มีช่องทางการจำหน่าย
โดยเฉพาะการนำสินค้าไปจำหน่ายนอกแหล่งผลิต โดยขอให้ร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ ที่เป็น
ศูนย์กระจายสินค้าระดับจังหวัด/อำเภอ หรือร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ ช่วยรับซื้อ กระจาย
ผลผลิตสินค้าเกษตรไปจำหน่ายให้กับผู้บริโภค ในพื้นที่ เช่น หอมหัวใหญ่ กระเทียม ผลไม้
(ลำไย สับปะรด) หรือสินค้าเกษตรอื่นๆ


86

การบรหิ ารจดั การเครอื ขา่ ย รา้ นค้าธงฟ้าประชารฐั


เพื่อให้ร้านค้าธงฟ้าประชารัฐเป็นศูนย์กลางในการรักษาเสถียรภาพราคาสินค้าของชุมชน
และเป็นศูนย์กลางในการกระจายสินค้าผลิตภัณฑ์ของชุมชนและผลผลิตทางการเกษตร
อย่างมีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องมีการสร้างเครือข่ายและบริหารจัดการที่ดี ดังนี้

• ศูนย์ระดับจังหวัด เป็นศูนย์กลางร้านค้า ที่มี 1 ร้าน 1 จังหวัด ซึ่งเป็นร้านค้าขายปลีก-ส่ง
ขนาดใหญ่ ที่มีเครือข่ายและมีประสบการณ์ในการบริหารจัดการจัดส่งสินค้า รวมถึงบริหาร
สินค้าคงคลัง เพื่อเป็นศูนย์กลางในการรับซื้อสินค้าจากกลุ่ม Supplier ผลิตภัณฑ์ชุมชน
และผลผลิตทางการเกษตร เพื่อกระจายให้กับเครือข่าย

• ศูนย์ระดับอำเภอ เป็นศูนย์กลางร้านค้า ที่มี 1 ร้าน 1 อำเภอ ซึ่งเป็นร้านค้าขายปลีก-ส่ง
ที่มีศักยภาพ และมีประสบการณ์เกี่ยวกับความต้องการของผู้บริโภคในพื้นที่ รวมถึง
มีเครือข่ายร้านค้าเพื่อเป็นศูนย์กลางในการรับซื้อ/Order สินค้าจากกลุ่ม Supplier
ผลิตภัณฑ์ชุมชน และผลผลิตทางการเกษตร เพื่อกระจายให้กับเครือข่าย

• ร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ คือร้านค้าทั่วไปที่สมัครและได้รับสิทธิ์ให้เป็นร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ
เพื่อเป็นร้านค้าในการช่วยลดค่าครองชีพให้กับประชาชน และได้รับสิทธิ์ในการพัฒนา
ศักยภาพจากรัฐบาล Suppliers ร้านค้าชุมชน กลุ่มเกษตรกร


Supplier
รา้ นค้าชมชุน
กล่มุ เกษตรกร


ศนู ย์ระดับอำเภอ


ศนู ย์ระดับอำเภอ
ศูนย์ระดับอำเภอ


ศนู ย์ระดับอำเภอ


��

ร้านธงฟ้าประชารัฐ
Supplier
รา้ นคา้ ชมชุน

กลมุ่ เกษตรกร

สินคา้ ธงฟ้าประชารฐั

ผลิตภัณฑ์ชุมชน

สนิ ค้าเกษตร


การบรหิ ารจัดการศูนยร์ ้านธงฟ้าประชารฐั


สำรวจความตอ้ งการ
ศูนย์ระดับอำเภอ

ของประชาชน
Supplier


- ความต้องการสินค้า

- บริการของร้านค้า


มีการจัดทำบัญช
ี Application Online

รายรบั รายจา่ ย

- บริหารจัดการการสั่งซื้อ

- เสียภาษีประจำปี
- บริหารจัดการสต๊อก

- รายงานยอดจำหน่าย

จังหวดั ในพื้นท่ี
- วิเคราะห์ความต้องการสินค้า

จังหวดั นอกพ้นื ท
ี่
ศนู ยร์ ะดบั จงั หวดั


ศนู ยร์ ะดบั จงั หวดั


ศนู ย์ระดบั อำเภอ
ร้านธงฟา้ ประชารัฐ


88

4.2 ความร้เู รอื่ งการเจรจาธุรกจิ

1. การเจรจาจบั คู่ธุรกจิ (Business Matching) คืออะไร


ระบบเศรษฐกิจของประเทศไทยนั้นขับเคลื่อนไปด้วยธุรกิจทั้งขนาดกลางและขนาด
ย่อมมากกว่าร้อยละ 90 ของธุรกิจในประเทศ อย่างไรก็ตาม มีเพียงประมาณร้อยละ 30
ของธรุ กิจ SME เท่านั้นที่มีศักยภาพเพียงพอต่อการส่งออกสินค้าไปยังต่างประเทศ แต่ใช่ว่า
ผู้ประกอบการของไทยจะนิ่งดูดายมองเห็นโอกาสขยายกิจการไปตลาดต่างประเทศเป็นของ
ผู้เล่นรายใหญ่เท่านั้น ดังนั้น จึงเป็นที่มาของคำว่า Business Matching

Business Matching หรือเรียกอีกอย่างว่า การจับคู่ธรุ กิจ นั้นความหมายมันก็ตรง
ตัวเลยคือการหา Partner ทางธุรกิจมาร่วมมือกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในธรุ กิจที่กำลังจะเปิด
ตลาดใหม่ในต่างประเทศ แล้วมันเหมาะกับใคร? คำตอบคือผู้ที่จะลงทุนธุรกิจในประเทศ
นั้นๆ เลย เพราะ Business Matching นี้หมายรวมถึงการหาคู่ค้าในหลายด้าน ขึ้นอยู่กับ
ว่านักลุงทุนอยู่ในส่วนไหนของสายต้นน้ำ-ปลายน้ำ นักธุรกิจนั้นอาจกำลังมองหา Partner
ที่เป็น Suppliers, Agents, Distributors, Service Providers หรือ Buyers ก็ได้
บางครั้งการจับคู่ทางธุรกิจยังหมายรวมไปถึงการหา แฟรนไชส์ หาผู้ร่วมวางแผนธุรกิจ
และอื่นๆ ได้อีกด้วย

หลายๆ ประเทศได้มีการจัดตั้งหน่วยงานด้านการ Business Matching เพื่อเป็น
ตัวกลางระหว่างประเทศในการช่วยเหลือและคัดกรองนักธุรกิจ SME ไม่ว่าจะเป็นการ
คัดกรองนักธุรกิจและช่วยจับคู่ที่เหมาะสมให้แก่นักลงทุน การจัด Event เพื่อดึงหน่วย
ธุรกิจต่างๆ ให้เข้ามาพบปะกัน การให้ความรู้ หรือการประสานงานให้นักธุรกิจทั้ง 2 ฝ่าย
มาเจรจากัน ทั้งที่จะเข้ามาทำธุรกิจในประเทศของตนและนักธุรกิจของตนที่จะไปลงทุนใน
ต่างประเทศ เช่น ฮ่องกง มีองค์กรชื่อ HKTDC และเมืองไทยก็มี F.I.T ซึ่งเป็นหน่วยงาน
จับคู่ธรุ กิจที่ให้การสนับสนุน Business Matching ของ SME ไม่ว่าจะในเชิง จัดหาคู่ค้า
คู่ร่วมลงทนุ ให้คำแนะนำรวมถึงจัดอบรมต่างๆ


��

2. การเจรจาจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) จับคู่ คู่หู
ไปด้วยกัน ร่งุ ดว้ ยกัน




การดำเนินธุรกิจที่ดี ผู้บริหารหรือเจ้าของกิจการต้องรู้จัก “งัด” เอากลยุทธ์ดีๆ ที่จะ
ช่วยส่งเสริมและขับเคลื่อนกิจการให้เติบโตไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงและสดใส การทำ 
Business Matching หรือจับคู่ธุรกิจ ถือเป็นหนึ่งใน “กลยทุ ธ์” ที่จะช่วยให้ธรุ กิจก้าวต่อไป
อย่างมีคุณภาพ เรามาดูกันว่า แนวคิดการทำ Business Matching ดีอย่างไรและมี
ข้อได้เปรียบอะไรบ้าง รายละเอียดดังนี้




1. การทำ Business Matching จะช่วยต่อเตมิ ในสงิ่ ที่ยงั ขาดซง่ึ กนั และกนั


บางครั้งการลงทุนทำอะไรใหม่ๆ ก็เป็นเรื่องที่ยากและต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก
แต่หากเราจับคู่ธุรกิจที่ส่งเสริมซึ่งกันและกัน ก็จะช่วยลดภาระ ลดต้นทุนทางการเงินไปได้
มากมาย ยกตัวอย่างเช่น เราเป็นธุรกิจประกอบกิจการร้านอาหารที่มีจำนวนสาขาไม่มากนัก
ทำให้บริการลูกค้าได้ไม่ทั่วถึง อย่างลูกค้าบางคนอยากทานอาหาร แต่ก็ไม่อยากเดินทางไป
ที่ร้าน หากเราคิดจับคู่ธุรกิจกับบริการที่รับจัดส่งสินค้าตามบ้าน โดยปล่อยให้การจัดส่งและ
เก็บเงินเป็นหน้าที่ของคู่ธุรกิจของเราแทน ทำแบบนี้เท่ากับเราสามารถเพิ่ม “ฐานลูกค้า”
มากขึ้น โดยที่ใช้ต้นทุนต่ำ ถ้าอาหารร้านของเรามีรสอร่อยดีอยู่แล้ว การกระจายสินค้าออกไป
ในวงกวา้ งจะชว่ ยใหร้ า้ นเราเปน็ ทร่ี จู้ กั มากขน้ึ ในขณะเดยี วกนั กช็ ว่ ยเพม่ิ ฐานลกู คา้ ไปในตวั ดว้ ย  



2. การทำ Business Matching ชว่ ยเปดิ ตลาดตา่ งประเทศ


Business Matching หรือการจับคู่ธุรกิจนั้นถูกนำมาใช้ในแวดวงของนักธุรกิจที่
ต้องการขายสินค้าของตนเองในตลาดต่างประเทศ จนนักธุรกิจหลายๆ คนถือว่าการทำ
Business Matching เป็น “สูตรสำเร็จ” ที่ช่วยในการบุกเบิกตลาดต่างประเทศกันเลย
ทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง SME ที่ยังมีเครือข่ายไม่กว้างขวาง โดยการทำ Business
Matching สำหรับกิจการที่ต้องการขายสินค้าของตนในต่างประเทศ ก้าวแรกก็ต้องเลือก
บริษัทท้องถิ่นเพื่อร่วมทุน โดยเข้าไปนำเสนอกิจการของเราผ่านงานแสดงสินค้าต่างๆ เพื่อ
หาคู่ค้า ที่จะทำตลาดในพื้นที่นั้นๆ เมื่อเราได้คู่ค้ามาแล้วก็ต้องเลือกให้ Match กับกิจการ
ของเรามากที่สุด


90

3. การทำ Business Matching จะชว่ ยเพม่ิ ความแขง็ แกรง่ ทางการเงนิ ใหก้ บั เราและคคู่ า้


ข้อดีอีกประการของการทำ Business Matching ก็คือ การที่เราสามารถเสริมความ
แข็งแกร่งทางการเงินให้แก่กันได้ ยกตัวอย่างเช่น หากเราคิดจะทำธุรกิจในต่างประเทศ ถ้าเรา
ใช้แหล่งเงินทุนในประเทศของเราเอง เราอาจประสบกับปัญหา “อัตราแลกเปลี่ยน” ที่ควบคมุ
ได้ยาก แต่หากเราไปเจรจากับ “แหล่งทุน” ที่ประเทศนั้นๆ ต้นทุนความเสี่ยงในเรื่อง
ของอัตราแลกเปลี่ยนก็จะลดลงไปอย่างมาก ข้อดีของการเสริมความแข็งแกร่งด้านการเงิน
ให้กับเราและคู่ค้าของเรา จะช่วยทำให้ “สภาพคล่อง” ของกิจการเราดีขึ้น และถ้าหากเรา
ขาดเงินทุนในการทำกิจการต่างประเทศจริงๆ เราก็ยังมีทางเลือกในการเสริมสภาพคล่อง
จากแหล่งเงินทุนในประเทศเราได้เหมือนเดิม กล่าวโดยสรุปของการทำ  Business
Matching  สำหรับธุรกิจยุคใหม่ โดยเฉพาะ  SME  หรือแม้แต่ธุรกิจ Startup ถือว่าเป็น
เรื่องที่ “จำเป็น” เพื่อให้เกิดการขยายตัวของกิจการ และเราสามารถขอคำปรึกษาจาก
ผู้เชี่ยวชาญทางด้านธุรกิจ


��

3. 8 เทคนคิ การเจรจาต่อรอง ทางธรุ กิจให้สำเร็จอย่างใจหวัง


ในการทำธุรกิจสิ่งที่คุณหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คือการติดต่อสื่อสาร การเจรจาต่อรอง
ทางธุรกิจ ที่บางครั้งผลออกมาก็ประสบความสำเร็จอย่างที่คาดหวังไว้ แต่ในบางครั้งผล
ออกมาก็ล้มเหลวอย่างน่าเสียดาย นั่นก็เพราะการเจรจาต่อรอง เป็นสิ่งที่คุณคาดเดาไม่ได้ว่า
ผลลัพธ์จะออกมาในรูปแบบใด เทคนิคดีๆ ที่จะเข้ามาเป็นตัวช่วยในการลดความเสี่ยงของการ
เจรจา ให้มีโอกาสในการล้มเหลวน้อยที่สุดมาให้ทุกท่านได้อ่าน ที่มีถึง  8 เทคนิคสำหรับการ
เจรจาต่อรอง ทางธุรกิจให้ประสบความสำเร็จอย่างใจหวัง  โดยสามารถเริ่มทำได้จากตัวคุณเอง
ดังนี้


1. มกี ารวางแผนและเตรียมตัวล่วงหน้า


การวางแผนและเตรียมตัวล่วงหน้า ในการเจรจาเพื่อต่อรองทางธุรกิจนั้น ถือเป็นเรื่อง
พื้นฐานที่นักธุรกิจมืออาชีพต้องมี และต้องทำอยู่เสมอ โดยการวางแผนเตรียมตัวล่วงหน้าใน
การเจรจาทางธุรกิจก็คือการวางแผนที่จะรับมือกับผู้เจรจา หากผู้เจรจามีปฏิกิริยาตอบโต ้
ที่แตกต่างกันออกมา ไม่ว่าจะเป็นการโต้แย้ง หรือแสดงความต้องการที่ขัดแย้งกับ
จุดประสงค์ในการเจรจา เพื่อลดความเสี่ยงและความเสียหายในการเจรจาให้น้อยที่สุด และ
การเตรียมตัว โดยการเตรียมความพร้อมในเรื่องที่จะทำการเจรจา ทั้งการศึกษาเตรียมข้อมลู
เบื้องต้นที่จำเป็นจะต้องใช้ในการเจรจา ตลอดจนถึงการศึกษาลักษณะนิสัยของคู่เจรจาเพื่อ
เตรียมแนวทางและฝึกฝนการพดู คยุ ให้คล่องแคล่วไม่ติดขัดในการพดู คุย


92

2. มคี วามกล้าได้กล้าเสีย


ความกล้าก็เป็นอีกหนึ่งส่วนที่มีความสำคัญ และสามารถเข้ามาเป็นปัจจัยหลักในการ
ตัดสินผลของการเจรจาได้ในบางครั้ง เพราะในการเจรจาคุณไม่สามารถรู้ได้เลยว่า
ฝ่ายตรงข้ามมีความต้องการอะไรนอกเหนือจากสิ่งที่คุณได้วางไว้หรือไม่ หากคู่เจรจาได้ยื่น
ข้อเสนอที่คุณไม่สามารถทำตามได้ คุณก็ควรจะงัดความกล้าของคุณออกมาเพื่อปฏิเสธ
ข้อเสนอนั้นไป เพื่อรักษาผลประโยชน์ของตัวเองไว้ให้มากที่สุด




3. มีจดุ ยืนเป็นของตัวเอง


นักธุรกิจที่ดีควรมีจุดยืนเป็นของตัวเอง ในการเจรจาต่อรอง เพราะสิ่งที่คุณต้องรักษา
ไว้คือผลประโยชน์ของบริษัท ดังนั้นสิ่งที่คุณควรยึดเป็นจุดยืนก็คือวัตถุประสงค์ที่ทำให้เกิด
การต่อรอง ที่คุณจะต้องทำให้สำเร็จหลังจากเกิดการต่อรอง โดยไม่ผิดจากวัตถุประสงค์ที่
คุณได้วางไว้ก่อนเกิดการเจรจา แต่ในบางครั้งคุณก็ไม่ควรยึดมั่นในจุดยืนที่ได้วางไว้มาก
จนเกินไป จนไม่เปิดโอกาสในการรับฟังข้อเสนอ หรือความคิดเห็นของคู่เจรจา


��

4. มีความฉลาดทางความคิด


ความฉลาดทางความคิด เป็นลักษณะของการคิดอย่างมีแบบแผน สามารถรับมือได้
กับปัญหาที่ไม่คาดฝันในเวลาอันรวดเร็ว เพื่อทำให้การเจรจาประสบความสำเร็จ สำหรับ
นักธุรกิจความฉลาดทางการคิดถือว่าเป็นเรื่องสำคัญในการเจรจาต่อรองเป็นอย่างมาก
และในบางครั้งยังเป็นตัวตัดสินว่าการเจรจาในครั้งนี้จะประสบความสำเร็จหรือไม่





5. มคี วามน่าเชอ่ื ถือ


ความน่าเชื่อถือเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับการทำธุรกิจ เพราะนักธุรกิจที่จะทำ
การเจรจาให้สำเร็จนั้น จำเป็นต้องมีพื้นฐานในเรื่องของความน่าเชื่อถือ หรือเทคนิคดีๆ ที่จะ
ทำให้คุณเป็นนักเจรจาที่มีความน่าเชื่อถือ ซึ่งคุณสามารถเพิ่มความน่าเชื่อถือของคุณได้จาก
เทคนิคที่ใช้ในการพูดคุยเจรจาต่อรอง บุคลิกภาพที่แสดงออกมาระหว่างการพูดคุย หรือ
การหาเหตผุ ล หลักการอ้างอิงในคำพูดของคุณให้มีความน่าเชื่อถือเพิ่มมากขึ้นก็ได้เช่นกัน




6. มีความอ่อนน้อมถอ่ มตัว


ความอ่อนน้อมถ่อมตนก็ถือว่าเป็นเทคนิคสำคัญในการเจรจาต่อรอง ที่นักธุรกิจ
ไม่ควรละทิ้ง เพราะในการเจรจาหากต่างฝ่ายต่างมีความอ่อนน้อมถ่อมตนก็จะส่งผลให้
การเจรจานั้น เป็นไปอย่างราบรื่น อย่าทำการโอ้อวด หรือพูดจาเกินจริงเพื่อให้อยู่เหนือกว่า
คู่เจรจา เพราะนั่นไม่ใช่วิธีการที่ดีสำหรับการเจรจา และไม่ใช่วิธีที่จะทำให้การเจรจา
ประสบความสำเร็จได้อย่างใจหวังแน่นอน




94

7. มีช้ันเชิง


ชั้นเชิงในที่นี้ก็คือไหวพริบในการพูดตอบคำถาม ที่จะทำให้การเจรจาเป็นไปได้ด้วยดี
ที่ในบางครั้งก็จะแสดงให้เห็นว่าคุณนั้นมีแต้มที่นำหน้า หรือเหนือกว่าคู่เจรจา ที่ได้เข้ามา
เป็นส่วนสำคัญสำหรับการเจรจา เพราะสถานการณ์สามารถพลิกผัน หรือเปลี่ยนแปลง
ได้ตลอดเวลา หากคุณมีชั้นเชิงแล้วละก็ เหตุการณ์แบบนี้จะไม่สามารถทำให้คุณพลาด
หรือทำการเจรจาไม่สำเร็จแน่นอน




8. มีความคิดในแง่บวก


การจะทำให้งานเจรจาต่อรองนี้ประสบความสำเร็จ คุณจำเป็นต้องเป็นคนที่มีความคิด
ในเชิงบวก เพื่อตัดความกังวลใจที่จะส่งผลให้การเจรจาของคุณผิดพลาดได้ง่าย หรือไม่มี
สมาธิในการเจรจาที่จะส่งผลให้เกิดความผิดพลาดได้ง่าย เทคนิคการมีความคิดในแง่บวกจึง
จำเป็นอยู่ไม่น้อย หากคณุ ต้องการให้งานเจรจาของคุณออกมาประสบความสำเร็จ

อย่างที่ได้บอกไว้ข้างต้นว่าการเป็นนักธุรกิจสิ่งที่คุณไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ คือ การ
เจรจากับคู่ค้าทางธุรกิจ ที่ไม่รู้ว่าผลลัพธ์จะออกมาในรูปแบบไหน แต่สิ่งที่คุณสามารถทำได้
คือการลดความเสี่ยง เพิ่มโอกาสให้การเจรจาออกมาประสบความสำเร็จให้มากที่สุด ด้วย
การนำ 8 เทคนิคการเจรจาต่อรองดีๆ ที่สามารถเริ่มทำได้จากตัวคุณเอง ไปใช้ในการเจรจา
ทางธรุ กิจในอนาคต




��

ผู้ผลิตสนิ คา้

(Supplier)

และศนู ยก์ ระจาย

สินคา้

ระดับจงั หวัด


และอำเภอ


96

ร้านค้าธงฟ้าประชารัฐที่เป็นศนู ย์กระจายสินค้าระดับจังหวัดและระดับอำเภอ

ณ วันที่ 5 มิถนุ ายน 2561



ังหวัด ศนู ย์จังหวัด ศนู ย์อำเภอ จังหวัด ศนู ย์จังหวัด ศูนย์อำเภอ

กระบี่ 3 7 เพชรบูรณ์ 1 6

กาญจนบุรี 1 1 แพร่ 1 8

กาฬสินธ์ุ 3 13 ภเู ก็ต 1 -

กำแพงเพชร 1 16 มหาสารคาม 1 13

ขอนแก่น 1 26 มุกดาหาร 1 8

จันทบุรี 2 11 แม่ฮ่องสอน - 1

ฉะเชิงเทรา 1 10 ยโสธร 1 8

ชลบุรี 1 4 ยะลา 4 2

ชัยนาท 1 3 ร้อยเอ็ด 2 28

ชัยภูมิ - 8 ระนอง 2 5

ชุมพร 3 7 ระยอง 3 1

เชียงราย 1 17 ราชบรุ ี 1 10

เชียงใหม่ 1 25 ลพบุรี 1 6

ตรัง 1 2 ลำปาง 1 7

ตราด 1 8 ลำพูน 1 8

ตาก 1 12 เลย 1 1

นครนายก 1 1 ศรีสะเกษ 1 7

นครปฐม 1 1 สกลนคร 1 21

นครพนม 1 12 สงขลา 3 12

นครราชสีมา 7 65 สตูล 1 6

นครศรีธรรมราช 1 21 สมทุ รปราการ 1 6

นครสวรรค์ 2 15 สมทุ รสงคราม - 2

นนทบุรี 1 2 สมุทรสาคร 1 2

นราธิวาส 1 12 สระแก้ว 1 -

น่าน 1 15 สระบรุ ี 1 13

บึงกาฬ 1 7 สิงห์บุรี 2 6

บุรีรัมย์ 1 4 สุโขทัย 1 9

ปทุมธานี 1 3 สุพรรณบรุ ี 2 1

ประจวบคีรีขันธ์ 1 9 สรุ าษฎร์ธานี 1 19

ปราจีนบรุ ี 1 - สุรินทร์ 2 4

ปัตตานี 1 11 หนองคาย 1 2

พระนครศรีอยธุ ยา 1 7 หนองบัวลำภ ู 1 1

พะเยา 1 5 อ่างทอง - 4

พังงา 1 7 อำนาจเจริญ 1 7

พัทลงุ - 2 อดุ รธานี 4 37

พิจิตร 1 2 อุตรดิตถ์ 1 1

พิษณโุ ลก 1 8 อุทัยธานี 1 10

เพชรบุรี 1 4 อบุ ลราชธานี 2 42

รวม 101 707

กองบริหารการพาณิชย์ภมู ิภาค

รายชื่อตัวแทนจำหน่ายของบริษัทผู้ผลิตที่เข้าร่วมโครงการธงฟ้าประชารัฐ

288 ถ.ศรีนครินทร์ แขวงหัวหมาก เ

ขตบทางี่อกยะู่ ปิ กรุงเทพฯ 10240
ลำดับ บริษัท เบอร์ติดต่อ ผู้ประสานงาน

08-1174-2408 คณุ สขุ ชัย ชยุติ

1 บริษัท กรีนสปอต จำกัด

09-9242-6362 คุณขวัญใจ กลมกลาง


2 บริษัท กัญนภัทร กรุ๊ป จำกัด 522 หมู่ 12 ตำบลโคกกรวด อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา 30280 09-4256-6969 คณุ ธนภัทร ชองรัมย์


3 บริษัท เกียรติคงทนพาณิชย์ จำกัด 42 หมู่ 11 ตำบลหัวไทร อำเภอหัวไทร จังหวัดนครศรีธรรมราช 80170 08-9231-4914 คุณโชติมา พรรณสังเกต


4 บริษัท ข้าวรวมพลังวิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด 55/12 หมู่ 2 ตำบลบ้านป้อม อำเภอพระนครศรีอยธุ ยา 09-8956-2547 คุณธีรสินทร์ ธนชวโรจน์


จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 13000


5 บริษัท เจ๊ไน้ 88 จำกัด 88 หมู่ 1 ตำบลเชียงรากน้อย อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี 12160 06-2393-6588 คณุ นิภาวรรณ พงษ์ขยัน


6 บริษัท เจียเม้งมาร์เก็ตติ้ง จำกัด 110/3 หมู่ 2 ถ.เลี่ยงเมืองนนทบรุ ี ต.บางกระสอ 08-4387-3159 คุณฉัตรกานต์ ปาลเดชพงศ์


อ.เมืองนนทบรุ ี จ.นนทบรุ ี 11000


7 บริษัท ชัวร์เคมีคอล ซัพพลาย จำกัด 54/19 ม.5 ต.ละหาร อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี 11110 0-2190-6096 คณุ อรัญญา รุ่งเรืองฤทธิ์


08-1361-8373


8 บริษัท ซากุระโปรดัคส์ (ไทยแลนด์) จำกัด 1,1/1-2 ถ.ราชพฤกษ์ แขวงบางระมาด เขตตลิ่งชัน กรงุ เทพฯ 10170 0-2432-3240-7 คุณสุธาพัฒน์ ผลาสิริสิทธิ์


08-1496-9684


9 บริษัท ซีพี คอนซูเมอร์โพรดักส์ จำกัด 36 ถ.รามอินทรา แขวงมีนบุรี เขตมีนบรุ ี กรุงเทพฯ 10510 08-4580-5138 คุณนฤมล แสงระวี


10 บริษัท ทวีชัย ฟู้ด แมนแู ฟคเจอริ่ง จำกัด 289 หมู่ที่ 7 ตำบลกำแพงเพชร อำเภอรัตภูมิ จังหวัดสงขลา 90180 08-1963-6513 คุณสุนิษา กาบูลย์


11 บริษัท ทิปโก้ เอฟแอนด์บี จำกัด 118/1 ทิปโก้ทาวเวอร์ ชั้น 28-29 ถ.พระราม 6 แขวงพญาไท 0-2273-6833, คณุ อรทัย ไทยพลับ


เขตพญาไท กทม. 10400 09-5205-1920


12 บริษัท ที เอ็น พี เฮลท์แคร์ จำกัด 94/7 ม.9 ซ.ยิ้มประกอบ (งามวงศ์วาน 8) ถ.งามวงศ์วาน ต.บางเขน 0-2555-9999 คณุ สเุ มธ ธารางกูร


อ.เมือง จ.นนทบรุ ี 11000


Click to View FlipBook Version