The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by kent2513, 2020-07-16 21:30:06

เอกสารประกอบการสอนการแก้ปัญหาคณิตศาสตร์

เอกสารประกอบการสอน


158421: การแกปญหาทางคณิตศาสตร์


___________________________________________________________

อาจารย์ทรงชัย อักษรคิด





รายละเอยดของเอกสาร




1. เนอหาการสอน






ความสําคัญของการแก้ปญหาและการตั้งปญหา ประเภทของปญหา ความเชือทีเกียวข้อง






กับการแก้ปญหาและการตั้งปญหา กระบวนการและยทธวิธีในการแก้ปญหา เทคนคการตั้งปญหา

การสอนการแก้ปญหา การสอนการตั้งปญหา การประเมินผลการแก้ปญหา การประเมินผลการตั้ง



ปัญหา

2. วัตถุประสงค์การสอน
1. เพื่อให้นิสิตมีความรู้ความเข้าใจและเกิดความตระหนักในการแก้ปญหาและการตั้งปญหา



ทางคณตศาสตร์



2. เพื่อให้นิสิตมีประสบการณและเกิดทักษะในการแก้ปญหาและการตั้งปญหาทางคณิตศาสตร์

3. เพื่อให้นิสิตมีความรู้ความเข้าใจและพร้อมสําหรับการสอนการแก้ปญหาและการตั้งปญหา


ทางคณตศาสตร์



3. รายชอหน่วยการสอน
ี่


หนวยท 1 การสร้างความตระหนักในการแก้ปญหาและการตั้งปญหา


1.1 ความสําคัญของการแก้ปญหาและการตั้งปญหา

1.2 ประเภทของปญหา






1.3 ความเชือทีเกียวข้องกับการแก้ปญหาและการตั้งปญหา

ี่


หนวยท 2 การเสริมและฝกทักษะการแก้ปญหาและการตั้งปญหา

2.1 กระบวนการและยุทธวิธีในการแก้ปัญหา

2.2 เทคนคการตั้งปญหา

หนวยท 3 การเตรียมความพร้อมเพือการสอนการแก้ปญหาและการตั้งปญหา




ี่

3.1 การสอนการแก้ปญหา
3.2 การสอนการตั้งปญหา


3.3 การประเมินผลการแก้ปญหา

3.4 การประเมินผลการตั้งปญหา


4. กําหนดการสอน




หน่วยการสอน เนื้อหา / กิจกรรม หนาเอกสาร ครั้งที / ระยะเวลา



ชีแจงรายละเอียด
 ชี้แจงและแนะนารายวิชา

-  ชี้แจงเอกสารประกอบการสอน - ครั้งที่ 1
 ชี้แจงรูปแบบการสอน (3 ชั่วโมง)
 ชี้แจงการวัดและประเมินผล




หนวยท 1 1.1 ความสําคัญของการแก้ปญหาและ ๓ – ๙
การสร้างความ การตั้งปญหา ครั้งที่ 2 และ 3

ตระหนกใน  กิจกรรม 1 …………………………………... ๔ (6 ชั่วโมง)


การแก้ปญหาและการ  กิจกรรม 2 …………………………………... ๘

ตั้งปญหา 1.2 ประเภทของปญหา ๑๐ – ๒๐


 กิจกรรม 3 …………………………………... ๑๐ ครั้งที่ 4 และ 5
 กิจกรรม 4 …………………………………... ๑๑ (6 ชั่วโมง)
 กิจกรรม 5 …………………………………... ๑๗
 กิจกรรม 6 …………………………………... ๒๐

1.3 ความเชือทีเกียวข้องกับการแก้ปญหาและ ๒๑ – ๒๓




การตั้งปญหา ครั้งที่ 6

 กิจกรรม 7 …………………………………... ๒๑ (3 ชั่วโมง)




หนวยท 2 2.1 กระบวนการและยุทธวิธีในการแก้ปญหา ๒๔ – ๔๔


การเสริมและฝกทักษะ  กิจกรรม 8 …………………………………... ๓๕ ครั้งที่ 7 และ 8
การแก้ปญหาและการ  กิจกรรม 9 …………………………………... ๓๖ (6 ชั่วโมง)



ตั้งปญหา 2.2 เทคนคการตั้งปญหา ๓๘ – ๔๔

 กิจกรรม 10 ………………………………… ๔๓ ครั้งที่ 9 และ 10
 กิจกรรม 11 ……………………………. ๔๔ (6 ชั่วโมง)



หนวยท 3 3.1 การสอนการแก้ปญหา ๔๕ – ๕๖ ครั้งที่ 11


การเตรียมความพร้อม  กิจกรรม 12 ………………………………… ๕๖ (3 ชั่วโมง)

เพือการสอนการ 3.2 การสอนการตั้งปญหา ๕๗ – ๖๐


แก้ปญหาและการตั้ง  กิจกรรม 13 ………………………………… ๖๐ ครั้งที่ 12

ปัญหา (3 ชั่วโมง)

3.3 การประเมินผลการแก้ปญหา ๖๑ – ๖๗ ครั้งที่ 13

 กิจกรรม 14 ………………………………… ๖๗ (3 ชั่วโมง)


3.4 การประเมินผลการตั้งปญหา ๖๘ – ๗๒ ครั้งที่ 14

 กิจกรรม 15 ………………………………… ๗๑ (3 ชั่วโมง)


- ทดสอบปลายภาคเรียน - ครั้งที่ 15
(3 ชั่วโมง)


ี่
หน่วยท 1


การสร้างความตระหนกในการแกปญหาและการตั้งปญหา




เนื้อหา / กิจกรรม


1.1 ความสําคัญของการแก้ปญหาและการตั้งปญหา

1.2 ประเภทของปญหา





1.3 ความเชือทีเกียวข้องกับการแก้ปญหาและการตั้งปญหา

แนวคิด

1. การแก้ปญหากับการตั้งปญหาเปนกิจกรรมทีสําคัญในการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์









การแก้ปญหาควรเปนจุดมงหมายหลักและเปนกิจกรรมหลักของการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ และ

การตั้งปญหาสามารถส่งเสริมการสร้างความคิดใหมๆ จากประเด็นเนอหาทีมีอยู และขยายความรู้






ความเข้าใจในเนอหาทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนออกไปได้ นอกจากนผลการศึกษาวิจัยหลายชิน






ชีให้เห็นว่าการตั้งปญหาเปนยทธวิธีการสอนทีได้ผลวิธีหนงทีสามารถปรับปรงความสามารถในการ







แก้ปญหาของนักเรียนได้




2. ครูผู้สอนควรเข้าใจถึงการใช้ปญหาประเภทต่างๆ ตามบทบาทหนาทีทีแตกต่างกัน



ออกไปในการสอนคณิตศาสตร์ ได้แก่ ในการสอนเพือการแก้ปญหา (Teaching for problem





solving) จะใช้ปญหาประเภท “โจทย์ทีท้าทายแต่เนอหาเฉพาะ” ส่วนในการสอนเกียวกับการ


แก้ปญหา (Teaching about problem solving) จะใช้ปญหาประเภท “ปญหากระบวนการทีเนนการ







ใช้ยทธวิธี” “ปญหาทีประยุกต์ ใช้ในชีวิตจริง” และ “การสํารวจทางคณิตศาสตร์” และการสอนทีควบคู ่


ไปกับการแก้ปญหา (Teaching via problem solving) จะใช้ปญหาประเภท “คําถามปลายเปดแบบ

สั้น”

3. ความเชือทีเกียวข้องกับการแก้ปญหาและการตั้งปญหาของนักเรียนแต่ละคนนั้น




เปลียนแปลงได้ยาก นักเรียนจะค่อยๆ พัฒนาความเชือของตนไปอยางช้าๆ ซึงต้องใช้ระยะเวลาที ่







ขึนอยูกับลักษณะกิจกรรมทางคณิตศาสตร์ทีครูผู้สอนจัดวางไว้ให้และมวลประสบการณทีนักเรียน


ได้รับ ดังนั้นครูผู้สอนจึงเปนผู้ทีมีบทบาทสําคัญต่อการพัฒนาความเชือทีเหมาะสมให้แก่นักเรียน ซึง





ครูเองก็ควรมีความเชือทีเหมาะสมเสียก่อน แล้วจึงค่อยส่งเสริมหรือสอดแทรกความเชือทีเหมาะสม




ลงไปในการจัดการเรียนการสอน






1.1 ความสําคัญของการแกปญหาและการตั้งปญหา


----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
กิจกรรม 1 (อภิปรายทั้งชั้นเรียน)
กิจกรรม 1






ก่อนการอบรมในเนอหาเรืองน ให้นสิตลองอภิปรายร่วมกันว่า




1. การแก้ปญหามีความสําคัญอยางไร


2. การตั้งปญหามีความสําคัญอยางไร


3. การแก้ปญหาและการตั้งปญหามีความสัมพันธ์กันอยางไร


----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------



“การแก้ปญหาควรเปนจดเนนของหลักสูตรคณิตศาสตร์และควรเป็น


เปาหมายสําคัญของการเรียนการสอนคณิตศาสตร์รวมถึงเปนส่วนที่บรณาการกิจกรรม






ทั้งหมดทางคณิตศาสตร์ การแก้ปญหาไมใชเปนหัวข้อเรื่องทางคณิตศาสตร์ที่แยก


ออกมา แต่ควรเปนกระบวนการที่สอดแทรกอยูในหลักสูตรที่มีการจัดสภาพการเรียนรู้

ให้นักเรียนได้รับทั้งแนวคิด (Concept) และทักษะต่างๆ ทางคณิตศาสตร์”
(NCTM. 1989: 23)

ข้อความดังกล่าวข้างต้นอยูในหลักการและมาตรฐานสําหรับคณิตศาสตร์ในโรงเรียนของ

สภาครูคณิตศาสตร์แห่งชาติสหรัฐอเมริกาทีเนนยําถึงบทบาทของการแก้ปญหาในหลักสูตร




คณิตศาสตร์ในโรงเรียน และมักสอดคล้องกับหลักการในการจัดการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ใน


โรงเรียนแทบทกประเทศทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยด้วย โดยในหลักสูตรการศึกษาขั้นพืนฐาน
พุทธศักราช 2544 ของไทยได้กําหนดมาตรฐานการเรียนรู้ให้นักเรียนมีความสามารถในการแก้




ปัญหา (มาตรฐาน ค 6.1) ซึงเปนมาตรฐานการเรียนรู้ทีจําเปนสําหรับนักเรียนทุกคนทีอยูใน


มาตรฐานการเรียนรู้ด้านทักษะ/กระบวนการทางคณิตศาสตร์ (สาระที่ 6) (กรมวิชาการ. 2545: 6-7)


ทั้งนคูมือการจัดการเรียนรู้กลุมสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ได้แนะนําว่าผู้สอนต้องให้โอกาสนักเรียน






ได้ฝกคิดด้วยตนเองให้มาก โดยจัดสถานการณหรือปญหาหรือเกมทีนาสนใจ ท้าทายให้อยากคิด





เริ่มต้นด้วยปญหาทีเหมาะสมกับศักยภาพของนักเรียนแต่ละคนหรือนักเรียนแต่ละกลุม โดยอาจเริม



ด้วยปัญหาทีนักเรียนสามารถใช้ความรู้ทีเรียนมาแล้วมาประยกต์ก่อน ต่อจากนั้นจึงเพิมสถานการณ ์

หรือปญหาทีแตกต่างจากทีเคยพบมา และสําหรับนักเรียนทีมีความสามารถสูง ผู้สอนควรเพิมปญหา











ทียากซึงต้องใช้ความรู้ทีซับซ้อนหรือมากกว่าทีกําหนดไว้ในหลักสูตรให้นักเรียนได้ฝกคิดด้วย (กรม
วิชาการ. 2545: 195)





ความสามารถในการแก้ปญหาถือว่าเปนหัวใจของคณิตศาสตร์ (Foong Pui Yee. 2007:
54; อ้างอิงจาก Cockcroft Report. 1982. Mathematics count: Report of the committee of


inquiry into the teaching of mathematics in school. London: HMSO) ทั้งนหากเราพิจารณาถึง
กรอบหลักสูตรคณิตศาสตร์ของประเทศทีมีผลการทดสอบระดับนานาชาติของนักเรียนอยูในชั้นแนว





หน้า เชน ประเทศสิงคโปร์ ดังภาพประกอบข้างล่างน (Ng Swee Fong. 2007: 17; อ้างอิงจาก
Curriculum Planning and Development Division (CPDD). 2006. Mathematics Syllabus-
Primary 2007. Singapore: Ministry of Education) จะพบว่าหลักสูตรคณิตศาสตร์ของสิงคโปร์มี
เปาหมายหลักทีเรียกว่าเปนแก่นกลาง (Core) ของหลักสูตรคือการพัฒนาความสามารถในการแก้




ปัญหาของนักเรียนในสถานการณทีหลากหลายซึงประกอบด้วยปญหาทีไมคุ้นเคย (Non-routine







problems) ปัญหาปลายเปิด (Open-ended problems) และปญหาในโลกแห่งความเปนจริง (Real-
world problems)




































กรอบหลักสูตรคณิตศาสตร์ในประเทศสิงคโปร์


ที่มา: Ng Swee Fong. 2007. The Singapore Primary Mathematics Curriculum In

Teaching Primary School Mathematics: A Resource Book. Lee Peng Yee. p.17.








จากภาพประกอบข้างต้น กล่าวได้ว่าการแก้ปญหาทางคณิตศาสตร์จะประสบความสําเร็จ






ขึนอยูกับองค์ประกอบทีสัมพันธ์กันทั้งห้าด้าน คือ 1) แนวคิด (Concepts) ซึงเปนพืนฐานความรู้ทาง


คณิตศาสตร์ทีจําเปนสําหรับการแก้ปญหาทางคณิตศาสตร์ ได้แก่ แนวคิดเรืองจํานวน พีชคณิต



เรขาคณิต สถิติ ความนาจะเปน และการวิเคราะห์ 2) ทักษะ (Skills) โดยนักเรียนสามารถใช้ทักษะ



ต่างๆ ซึงมีความสัมพันธ์ต่อกันเพือการแก้ปญหา ได้แก่ การคํานวณเชิงตัวเลข การดําเนินการทาง



พีชคณิต มมมองเชิงปริภมิ การวิเคราะห์ข้อมูล การวัด การใช้เครืองมือทางคณิตศาสตร์ และ

การประมาณค่า 3) กระบวนการ (Processes) ทีสําคัญสําหรับนักเรียนต่อการแก้ปญหา ได้แก่



การให้เหตุผล การสือสารและการเชือมโยง ทักษะและวิธีการคิด และการประยกต์ใช้และการสร้าง


ตัวแบบ 4) การรู้คิด (Metacognition) ซึงเปนความสามารถของนักเรียนในการกํากับความคิดของ




ตนเอง และควบคุมการเรียนรู้ด้วยตนเอง และ 5) เจตคติ (Attitudes) ซึงเปนลักษณะเฉพาะทาง


การเรียนคณิตศาสตร์ทีควรเกิดขึนในตัวนักเรียน ได้แก่ ความเชือ ความสนใจ การเห็นความสําคัญ

และรู้คุณค่า ความเชือมั่นในตนเอง และความเพียรพยายาม



นักการศึกษาหลายทานได้ให้ความหมายทีแตกต่างกันออกไปของคําว่า “การแก้ปญหา”



ในวิชาคณิตศาสตร์ แต่หลักใหญ่ใจความแล้วพบว่ามีสิงทีตรงกันคือ การแก้ปญหาเปนวิธีการของ



การได้มาซึงคําตอบเมือต้องเผชิญกับปญหา ซึงผู้แก้ปญหาต้องอาศัยแนวคิด ทักษะ และ




กระบวนการต่างๆ ทางคณิตศาสตร์ออกมาใช้ในการแก้ปญหา (Polya. 1980: 1, Krulik; &


Rudnick. 1995: 3) ประสบการณในการแก้ปญหาทีครูควรหยิบยืนให้กับนักเรียนควรประกอบด้วย






ทั้งการแก้ปญหาหลายๆ ปญหาทีใช้ยทธวิธีในการแก้ปญหาเดียวกัน และการแก้ปญหาเดียวกันด้วย









การใช้ยทธวิธีการแก้ปญหาหลายๆ ยทธวิธีทีแตกต่างกัน การแก้ปญหาไมควรใช้วิธีเหมือนกับ






การให้ทําแบบฝกหัดทีทําซาๆ ด้วยปญหาประเภทเดิมๆ ทีใช้วิธีการแก้แบบเดิมๆ เพียงแบบเดียว

แต่ควรใช้ปญหาทีไมคุ้นเคยสําหรับใช้ประเมินหรือสะท้อนความสามารถต่างๆ ทีมีอยูในตัวนักเรียน






ผ่านวิธีการแก้ปญหาทีหลากหลายและคําตอบต่างๆ ของนักเรียน (Foong Pui Yee. 2007: 54-55)


แนนอนว่าการแก้ปญหาเปนกระบวนการสําคัญทีควรได้รับการเรียนรู้ ฝกฝน และพัฒนา




ให้เปนทักษะติดตัวนักเรียนตั้งแต่ยังเปนเด็กเล็กๆ จนกระทั่งถึงนักศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย แต่


นักคณิตศาสตร์และนักวิทยาศาสตร์ทีมีชื่อเสียงทั้งหลายต่างเห็นพ้องต้องกันมานานแล้วว่า การ




มองเห็นปญหาหรือการตั้งปญหาด้วยตนเองนั้นสําคัญยิงกว่าการแก้ปญหาเสียอีก (สสวท. 2550:



131) ยกตัวอยางเชน ถ้า เซอร์ ไอแซก นวตัน (Sir Isaac Newton, ชวง ค.ศ.1643-1727) ทําเฉย



เมยไมคิดว่า “การทีลูกแอปเปลตกลงบนพืนดิน” นั้นเปนปญหาแล้ว ความรู้เรืองแรงโนมถ่วงหรือแรง






ดึงดูดของโลกก็อาจจะไมเกิดขึน หรือถ้านักคณิตศาสตร์ในสมัยก่อนละเลยไมได้สนใจว่า “การพิสูจน์




สัจพจนที 5 ของยุคลิดสามารถทําได้หรือไม่” นั้นเป็นปัญหาแล้ว เรขาคณิตนอกแบบยุคลิด (Non-




Euclidean Geometry) ก็อาจจะไมเกิดขึน หรือถ้า เลออนฮาร์ด ออยเลอร์ (Leonhard Euler, ชวง
ค.ศ.1707-1783) เพิกเฉยต่อสถานการณทีว่า “การเดินผ่านสะพานโคนกส์เบิร์ก (Konigsberg





Bridges) ให้ครบทั้งเจ็ดสะพานโดยไม่ให้ซ้าเส้นทางเดิมและกลับมายังจุดเริมต้นทําได้หรือไม” นั้น






เปนปญหาแล้ว ความรู้เรืองทฤษฎีข่ายงาน (Network theory) ก็อาจจะไมเกิดขึ้น เปนต้น




จากผลงานการวิจัยของนักการศึกษาคณิตศาสตร์พบว่าประสบการณในการตั้งปญหาของ



นักเรียนสามารถส่งเสริมความรู้ความเข้าใจในเนอหาคณิตศาสตร์ รวมทั้งยังสร้างความตืนเต้นและ


ก่อให้เกิดแรงกระตุ้นต่อการเรียนการสอนด้วย (English. 1998) โดยเฉพาะอยางยิง อิงลิชได้ยืนยัน

ว่าการตั้งปญหาชวยพัฒนาการคิด ทักษะการแก้ปญหา เจตคติและความมั่นใจในการทําคณิตศาสตร์






รวมทั้งยังชวยขยายความเข้าใจทีกว้างขึนในแนวคิด (Concepts) ทางคณิตศาสตร์ ซึงจะเห็นได้จาก
ตัวอยาง ดังน ้ ี

นักเรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นทีเรียนรู้เกียวกับทฤษฎีบทพีทาโกรัสยอมบอกได้



ว่าจากรูปต่อไปน ‘พื้นที่ A เทากับพื้นที่ B บวกกับพื้นที่ C’



A
B
C








นักเรียนทีได้รับการฝกฝนให้มีมมมองทีแตกต่างซึงสามารถขยายเงือนไขของความรู้เดิม






ออกไปได้ อาจตั้งปญหาขึนใหมได้ว่า ถ้ารูปบนด้านทั้งสามของรูปสามเหลียมมมฉากไมใชรูป

สีเหลียมจัตุรัส แต่เปนรูปอืนๆ เชน รูปวงกลม รูปครึงวงกลม รูปสามเหลียมด้านเทา หรือรูปที ่










คล้ายกันแบบอืนๆ เปนต้น แล้ว ‘พื้นที่ A จะเทากับพื้นที่ B บวกกับพื้นที่ C หรือไม เพราะเหตุใด’


A A A
B A B B B
C C C C






หรือถ้ารูปสามเหลี่ยมไมเปนรูปสามเหลี่ยมมมฉาก (เปนรูปสามเหลียมมมปานหรือรูป





สามเหลียมมมแหลม) แล้วรูปสีเหลียมจัตุรัสบนด้านทั้งสามของรูปสามเหลียมจะมีความสัมพันธ์กัน



อยางไร นั่นคือ ‘พื้นที่ A และพื้นที่ B บวกกับพื้นที่ C จะมีความสัมพันธ์กันอยางไร เพราะเหตุใด’


A A
B
C B C




นอกจากน ไวติน (Whitin. 2004: 129) ยังกล่าวด้วยว่าการตั้งปญหาอยางอิสระด้วยตัว




ของนักเรียนเองเปนการพัฒนาความคิดทางสติปญญาและการสืบสวนสอบสวนโดยใช้ความคิดเพื่อ

ถามคําถามต่างๆ อยางมีหลักการและเหตุผล คําถามต่างๆ เหล่านั้นเปนผลมาจากข้อความ




คาดการณทีผู้ตั้งปญหาคิดสร้างขึนมา ซึงสามารถท้าทายความคิดและขยายขอบเขตการสํารวจทาง


คณิตศาสตร์มากขึ้น


----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

กิจกรรม 2 (กิจกรรมกลุม กลุมละ 3 คน)


กิจกรรม 2





ปญหาทางคณิตศาสตร์ข้อหนงในหนังสือตําราเรียน (สสวท. 2550: 15 – 16) เปนดังน ้ ี


‘แพะตัวหน่งเจ้าของใช้เชือกผูกติดไว้ที่โคนเสาของโรงนา ซึ่งมีหญ้า

อ่อนเขียวขจีอยูรอบๆ โรงนา ถ้าเชือกที่ผูกแพะนั้นมีความยาว 15 เมตร

บริเวณพืนของโรงนามีลักษณะเปนรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดกว้าง 6

เมตร และยาว 9 เมตร อยากทราบว่าบริเวณที่แพะสามารถกินหญ้าได้



มากที่สดนั้นมีพืนที่เปนเท่าไร’

1. จงแก้ปญหาข้างต้น


2. จงตั้งปญหาทีท้าทายมา 1 ปัญหา โดยการปรับขยายข้อมูลหรือเงือนไข



ของปญหาข้างต้น
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------




นักการศึกษาคณิตศาสตร์หลายทานมองว่าการแก้ปญหากับการตั้งปญหาเปนกระบวนการ


ที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันและเปนกิจกรรมทีสําคัญในการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ทั้งนโพลยา (Polya.



1954) ได้กล่าวว่า กระบวนการเรียนรู้คณิตศาสตร์ผ่านการแก้ปญหานั้น การตั้งปญหานับว่าเป็น









ส่วนหนงทีมีความสําคัญและเปนส่วนทีแยกออกจากกันไมได้จากการแก้ปญหา สอดคล้องกับแนวคิด

ของอิงลิช (English. 1998) ทีเสนอความคิดเห็นว่าการแก้ปญหานั้นมักจะมาคูกันกับการตั้งปัญหา





อยูเสมอซึงเปนพืนฐานทีสําคัญของการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โดยการตั้งปัญหามีความหมาย






รวมถึงการสร้างปญหาใหมๆ ขึนมาจากสถานการณทีกําหนดให้ หรือเปนการสร้างปญหาโดยการ




ปรับขยายเงือนไขของปญหาเดิมทีเคยแก้มาแล้วซึงปญหาทีสร้างยังคงสัมพันธ์กับปญหาเดิมอยูก็ได้










นอกจากนบราวน และวอลเทอร์ (Brown; & Walter. 2005: 1-3) มีแนวคิดว่าการแก้ปัญหาสัมพันธ์

อยางลึกซึงกับการตั้งปญหาในสองลักษณะคือ



1) การแก้ปญหาใหมๆ ทีดีซึงต้องใช้การระดมทักษะต่างๆ มากมายในการแก้ปญหา







มีความจําเปนอยางยิงทีจะต้องใช้การตั้งปญหาทีดีขึนมาก่อน







2) เมือเราแก้ปญหาจนค้นพบคําตอบแล้วบางครั้งเราอาจจะยังไมเข้าใจนัยสําคัญของ




สิงทีได้ลงมือทําไปจนกว่าเราจะเริมสร้าง ขยาย และวิเคราะห์ปญหาใหมๆ ทีเกียวข้องสัมพันธ์กันกับ








ปญหาเดิม ทั้งนการตั้งปญหาสามารถชวยให้เราเข้าใจในประเด็นเนอหาต่างๆ ทางคณิตศาสตร์ได้





อยางลงลึกมากขึน และยังชวยให้เราค้นพบประเด็นความรู้ใหมๆ เพิมเติมขึ้นมาอีกได้


ผลการวิจัยเชิงสังเคราะห์ของซิลเวอร์ (Silver. 1994: 19-28) ในปี ค.ศ.1994 ที่แสดงถึง
การผนวกกันระหว่างการตั้งปญหาทางคณิตศาสตร์กับกระบวนการสอนและการเรียนรู้ พบว่า การ



ตั้งปญหาสามารถชวยปรับปรงความสามารถในการแก้ปญหาของนักเรียนได้ ซึงส่วนนถือได้ว่าเรา












ใช้การตั้งปญหาเปนยทธวิธีการสอนแบบหนงทีชวยปรับปรงความสามารถในการแก้ปญหาของ







นักเรียน และในป ค.ศ.1995 รดนทสกีและคณะ (Rudnitsky A.; et al. 1995) ได้ทําการวิจัยทดลอง


กับนักเรียนเกรด 3 และ 4 โดยให้นักเรียนเขียนปญหาต่างๆ ในเรืองการบวกและการลบด้วยตนเอง






พบว่ามีการปรับปรงทีดีขึนเกียวกับความสามารถในการแก้ปญหาและความคงทนของกลุมทดลอง
ซึ่งทําให้คิดได้ว่าเด็กกําลังสร้างความรู้ให้เกิดขึนและสามารถสร้างความรู้ใหมๆ ผ่านประสบการณ ์


ของตนเองและปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัวได้

งานวิจัยทดลองกับนักเรียนอาย 15 ปี ในปี ค.ศ.1985 ของเฟอร์กูสันและแฟร์เบิร์น



(Ferguson; & Fairburn. 1985: 504-507) พบในทํานองเดียวกันว่ามีการปรับปรงทีดีขึนเกียวกับ



ความสามารถในการแก้ปญหาของนักเรียนในกลุมทดลองหลักจากทีนักเรียนได้ผ่านการเรียนรู้โดย


ใช้การตั้งปญหามาแล้วเปนเวลากว่า 6 เดือน และจากการวิจัยทดลองในป ค.ศ.1982 ของเวิร์ทซและ



คาห์น (Wirtz; & Kahn. 1982: 48-50) กับนักเรียนตั้งแต่ระดับชั้นอนบาลถึงเกรด 6 จากหลายๆ
โรงเรียน โดยแบ่งกลุ่มตัวอย่างเปน 3 กลุ่ม คือ

- กลุ่มที 1 ใช้เพียงปญหาต่างๆ จากหนังสือตําราเรียนเทานั้น




- กลุ่มที 2 ไม่ได้ใช้การเรียนการสอนทั้งหมดในการแก้ปญหา

- กลุ่มที 3 ใช้การเรียนการสอนแบบการตั้งปญหา


เมื่อให้ทําการทดสอบด้วยแบบทดสอบมาตรฐานกับนักเรียนทั้งสามกลุ่ม ผลปรากฏว่ากลุ่มที 3 มี

คะแนนทีดีกว่าอีกสองกลุ่มอย่างเห็นได้ชัด


จากการวิจัยทดลองในป ค.ศ.1999 ของดิคเคอร์สัน (Dickerson. 1999) โดยได้ศึกษาหา



ความสัมพันธ์ของผลการเรียนการสอนทั้งหมดห้าวิธี ทีจะปรับปรงผลสัมฤทธิ์ในการแก้ปญหาของ


นักเรียน ผลปรากฏว่ามีความแตกต่างอยางมีนัยสําคัญทางสถิติระหว่างนักเรียนทีได้รับการสอนโดย




ใช้การตั้งปญหากับนักเรียนทีได้รับการสอนทีไมใช้การตั้งปญหา ซึงสนับสนนว่าการเรียนการสอน





โดยใช้การตั้งปญหาจะให้ผลทีดีกว่า



จากแนวคิดเกียวกับความสําคัญของการแก้ปญหาและตั้งปญหาดังกล่าวข้างต้น สรุปได้ว่า




มมมองของนักการศึกษาคณิตศาสตร์ทั้งหลายกล่าวว่า การแก้ปญหากับการตั้งปญหาเปนกิจกรรมที ่




สําคัญในการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์ การแก้ปญหาควรเปนจดมงหมายหลักและเปนกิจกรรมหลัก


ของการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ และการตั้งปญหาสามารถส่งเสริมการสร้างความคิดใหมๆ จาก


ประเด็นเนอหาทีมีอยู และขยายความรู้ความเข้าใจในเนอหาทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนออกไปได้
















นอกจากนผลการศึกษาวิจัยหลายชินชีให้เห็นว่าการตั้งปญหาเปนยทธวิธีการสอนทีได้ผลวิธีหนงที ่
สามารถปรับปรุงความสามารถในการแก้ปญหาของนักเรียนได้








1.2 ประเภทของปัญหา



----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
กิจกรรม 3 (อภิปรายทั้งชั้นเรียน)
กิจกรรม 3






ก่อนการอบรมในเนอหาเรืองน ให้นสิตลองอภิปรายร่วมกันว่า





แบบฝกหัดทีอยูในหนังสือเรียนคณิตศาสตร์ทั่วไปของนักเรียน ใชปญหาทางคณิตศาสตร์



หรือไม เพราะเหตุใด









----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


โดยทั่วไปแล้วบทเรียนคณิตศาสตร์มักถูกออกแบบมาในลักษณะของโจทย์หรืองานทาง





คณิตศาสตร์ซึงมอบหมายให้นักเรียนฝกทํา งานต่างๆ เหล่านเรามักอ้างว่าเปนปญหาทาง







คณิตศาสตร์ ซึงมีระดับตั้งแต่เปนแบบฝกหัดเพือใช้ทบทวนหรือฝกฝนการคํานวณ หรือเปนโจทย์


ปญหาแบบขั้นตอนเดียว จนกระทั่งถึงงานทีท้าทายซึงมักเรียกว่าเปนปญหาแบบหลายขั้นตอน



อย่างไรก็ตามเราจะเห็นว่าในหนังสือตําราเรียนคณิตศาสตร์โดยทั่วไปนั้น ไมใชทกปญหาจะเป็น




ปัญหาทีแท้จริง แม้แต่โจทย์ปญหาก็มักจะมีขั้นตอนวิธีแก้แบบตรงไปตรงมาซึ่งนักเรียนสามารถทํา





ได้โดยตรงไมสลับซับซ้อนมากนัก ทั้งนเพราะจดมงหมายสําคัญของงานต่างๆ ในหนังสือตําราเรียน






ก็เพื่อเปนการฝกฝนและทบทวนความรู้เฉพาะบทเรียนเรืองนั้นๆ มากกว่าการพัฒนาความสามารถ

ในการแก้ปญหา


นักการศึกษาคณิตศาสตร์หลายทานได้ชีให้เห็นความแตกต่างของงานทางคณิตศาสตร์



ระหว่างปญหาทีแท้จริง (Real problem-solving tasks) กับปัญหาทีคุ้นเคย (Routine problem




sums) โดยให้ความหมายของปญหาทีคุ้นเคยว่าเปนปญหาในระดับตําซึงมีไว้เพือฝกฝนแค่ในขั้น








ความรู้ความจําเปนหลัก หรือถ้าพิจารณาในเชิงกระบวนการก็เปนแบบฝกหัดทีต้องการขั้นตอนวิธี

แก้แบบตรงไปตรงมาก็ได้คําตอบ แต่สําหรับปญหาทีแท้จริงนั้น เปนปญหาทีต้องการกระบวนการ






ทางสติปญญาในขั้นสูงกว่าซึงมีลักษณะทีสําคัญดังต่อไปน (Foong Pui Yee. 2007: 55)




๑๐




1) เปนปญหามีความซับซ้อนและไมใชการคิดตามขั้นตอนวิธี (Non-algorithm thinking)








2) เปนปญหาทีเนนการวิเคราะห์งานและใช้ยทธวิธีต่างๆ อยางเปนกระบวนการ



3) เปนปญหาทีส่งเสริมการสํารวจแนวคิด (Concepts) กระบวนการหรือความสัมพันธ์
ทางคณิตศาสตร์




4) เปนปญหาเชิงสถานการณทีท้าทาย น่าสนใจ และกระตุ้นเร้าให้เกิดความพยายาม

ทีจะค้นหาคําตอบ

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
กิจกรรม 4 (กิจกรรมกลุม กลุมละ 4 คน)
กิจกรรม 4



จงศึกษาและอภิปรายว่า ปญหาสามข้อต่อไปน เหมือนกันหรือแตกต่างกัน อยางไร










 เมื่อหาจดตัดของเส้นทแยงมุมทั้งสองของรูปสีเหลียมมมฉากใดๆ ได้แล้ว จงพิสูจนว่า






เส้นตรงทีลากผ่านจดตัดดังกล่าวจะแบงพืนทีรูปสีเหลียมมุมฉากนั้นเปนสองส่วน



เทาๆ กัน













 จะลากเส้นตรงเส้นหนงทีแบงพืนทีรูปสีเหลียมมมฉากใดๆ ออกเปนสองส่วนเทาๆ กัน

ได้อยางไร (หาหลักการและวิธีทั่วไป)











 ทศและพี สองพีนองกําลังชวยกันเอาขนมเค้กรูปทรงสีเหลียมมุมฉากชินใหญ่ชินหนง
ออกจากตู้อบและทิงให้ขนมเค้กเย็นซักพักหนงก่อนทีจะตัดแบงกินกันสองคน โดย








การแบ่งจะใช้มีดตัดบนหนาเค้กเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้นอย่างยุติธรรม ชวงเวลาทีทศ
และพีกําลังรออยูนั้น ทั้งสองคนไม่อยูในห้องทําขนม และเปนเวลาพอดีทีเอก พี่ชาย










คนโตเข้ามาในห้องและตัดขนมเค้กเปนรูปทรงสีเหลียมมมฉากชินเล็กๆ ชินหนงไปกิน



ด้วยความหิวและรีบเรง เอกจึงไมได้คิดทีจะตัดทีมมหรือทีขอบของขนมเค้ก เมอทศ


ื่






และพีกลับมา พวกเขาจะแบงขนมเค้กทีเหลืออยูอยางไร โดยใช้วิธีการตัดบนหนาเค้ก



เพียงแค่ครั้งเดียวอยางยุติธรรม


----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
๑๑




นักการศึกษาคณิตศาสตร์ได้แบงประเภทของปญหาทางคณิตศาสตร์โดยใช้เกณฑ์การแบง

แบบต่างๆ สรปได้ดังตารางต่อไปน ี้



การแบงประเภทของปญหาทางคณิตศาสตร์

เกณฑ์การแบ่ง ประเภทของปญหา ลักษณะของปัญหา

ประเภทของปญหา



 เมือพิจารณาจาก 1) ปัญหาที่ค้นเคย พบเห็นได้บ่อยๆ ในหนังสือเรียนคณตศาสตร์ทั่วๆ ไป


“ผู้แก้ปญหา” เป็นหลัก (Routine problems) ปญหามักเกียวข้องกับการประยุกต์การดําเนนการทาง









แบ่งได้เปน 2 ประเภท คณตศาสตร์ มักอยูในรูปโจทย์ปญหาทีเปนถ้อยคําหรือเปน






(Reys; et al. 2004: เรืองราว เปนปญหาทีมีโครงสร้างของปญหาไม่ซับซ้อนมาก
115-117) นัก และคล้ายกับตัวอย่างหรือปญหาทีผู้แก้ปญหามี




ประสบการณในการแก้มาแล้ว



2) ปญหาทีไม่คุ้นเคย มีโครงสร้างซับซ้อน และเปนปญหาแปลกใหม่สําหรับผู้



(Non-routine แก้ปญหา ในการแก้ปญหาผู้แก้ปญหาต้องใช้ความรู้ ทักษะ

problems) กระบวนการต่างๆ และประสบการณหลายอย่างประมวล


เข้าด้วยกันเพื่อหาวิธีการแก้ปญหา





 เมือพิจารณาจาก 1) ปญหาให้ค้นหา ต้องการให้ผู้แก้ปญหาค้นหาคําตอบซึงอาจอยูในรูปปริมาณ
”จุดมุงหมายของ (Problems to find an วิธีการ หรือคําอธิบายให้เหตุผล

ปัญหา” answer)
แบ่งได้เปน 2 ประเภท 2) ปัญหาให้พิสูจน์ เปนปญหาให้แสดงการให้เหตุผลว่าข้อความทีกาหนดให้







(Polya. 1957: 23-29) (Problems to prove) เปนจริง หรือข้อความทีกาหนดให้เปนเท็จ










 เมือพิจารณาจาก 1) ปญหาขั้นตอนเดียว เปนปญหาทีผู้แก้ปญหาต้องแปลงสถานการณทีเป็น



”ลักษณะเฉพาะของ (One-step problems) เรืองราวให้เปนประโยคทางคณตศาสตร์เกียวกับการบวก



ปัญหา” การลบ การคูณ หรือการหาร ปญหาประเภทนมักพบใน




แบ่งได้เปน 6 ประเภท การเรียนการสอนตามปกติ ยุทธวิธีพืนฐานทีใช้ในปญหา

ขั้นตอนเดียวนีคือการเลือกการดําเนินการ

(Charles; Lester; & O’Daffer. 1987: 11)

2) ปญหาหลายขั้นตอน เปนปญหาทีมีความแตกต่างกับปญหาขั้นตอนเดียวตรงที ่







(Multiple-step จํานวนของการดําเนนการทีจําเปนในการหาคําตอบมี





problems) มากกว่าหนงตัว ยุทธวิธีพืนฐานทีใช้ในปญหาหลายขั้นตอน
คือการเลือกการดําเนนการ

(Charles; Lester; & O’Daffer. 1987: 12)


๑๒

ตาราง (ต่อ)


เกณฑ์การแบ่ง ประเภทของปญหา ลักษณะของปัญหา


ประเภทของปญหา





3) ปญหาปลายเปด เปนปญหาที่สร้างขึ้นให้มีคําตอบเปดกว้าง หรือมีคําตอบที ่
(Open-ended ถูกต้องหลายคําตอบ หรือมีวิธีการหรือแนวทางหาคําตอบ
problems) ได้หลายวิธี เรามักพบปญหาปลายเปดได้โดยทั่วไปใน


การสอนในชั้นเรียนตามปกติเมือผู้สอนใช้ถามนักเรียนโดย

มีจุดมุงหมายในการพัฒนาความหลากหลายของวิธีการหรือ

แนวทางเข้าสูการหาคําตอบของปญหาทีกําหนด



(NCTM. 1989: 210)





4) ปญหากระบวนการ เปนปญหาทีไม่สามารถแปลงเปนประโยคทางคณิตศาสตร์

(Process problems) โดยการเลือกการดําเนนการได้ทันที แต่จะต้องใช้

กระบวนการต่างๆ ช่วย เช่น การทําปญหาให้ง่ายลง



การแบ่งปญหาออกเปนปญหาย่อยๆ การเขียนภาพหรือ

แผนภาพ การเขียนตัวแบบหรือกราฟแทนปญหา เปนต้น




การแก้ปญหาประเภทนต้องใช้ยุทธวิธีต่างๆ เช่น
การประมาณคําตอบ การเดาและตรวจสอบ การสร้างตาราง

การค้นหาแบบรูป การทําย้อนกลับ เปนต้น ซึงปญหา


กระบวนการปญหาหนงอาจใช้ยุทธวิธีการแก้ปญหาได้




หลายแบบ
(Charles; Lester; & O’Daffer. 1987: 12)




5) ปญหาเชิงประยุกต์ เปนปญหาทีผู้แก้ปญหาจะต้องใช้ทักษะ ความรู้ มโนมติ



(Applied problems) และการดําเนนการทางคณตศาสตร์แก้ปญหาทีเกียวข้องกับ



หรือบางครั้งเรียกว่า ชีวิตจริง ซึงต้องใช้วิธีการต่างๆ ทางคณิตศาสตร์ เช่น




ปญหาเชิงสถานการณ ์ การรวบรวมข้อมูลทั้งทีกําหนดในปญหาและอยูนอกปญหา


(Situational problems) การจัดกระทํากับข้อมูล เปนต้น ปญหาประเภทนีเปนปญหา







ทีสามารถทําให้ผู้แก้ปญหาเห็นประโยชนและคุณค่าของ

คณิตศาสตร์ได้
(Charles; Lester; & O’Daffer. 1987: 13)



6) ปัญหาปริศนา มีลักษณะเปนปญหาทีซ่อนสมมติฐานบางอย่างไว้หรือมี





(Puzzle problems) ลักษณะเปนลกเลนหรือกลอุบาย ซึงสามารถเปดโอกาส
นักเรียนพัฒนาการคิดอย่างมีวิจารญาณได้โดยไม่

จําเปนต้องเนนไปทีเนือหาคณตศาสตร์เสมอไป บ่อยครั้งที ่




คําตอบต่างๆ ของปญหาปริศนาต้องการให้นกเรียนมี





มุมมองทีแตกต่างออกไปจากปญหาแบบอืนๆ โดยทั่วไป
(Billstein; Libeskind; & Lott. 1977: 36)
๑๓





นอกจากน ฟง เปย ยี (Foong Pui Yee. 2007: 56) ได้จัดแบงประเภทของงานและปญหา



ทางคณิตศาสตร์ซึงมีลักษณะดังภาพประกอบต่อไปน



งานทางคณิตศาสตร์
(Mathematical Tasks)

โจทย์ที่คุ้นเคย ปัญหา

(Routine Sums) (Problems)


โครงสร้างแบบปด โครงสร้างแบบปลายเปด


(Closed Structure) (Open-ended Structure)

โจทย์ที่ท้าทาย ปญหากระบวนการ คําถามปลายเปด ปญหาทีประยุกต์ใช้ การสํารวจทาง




แต่เนอหาเฉพาะ ที่เน้นการใช้ยุทธวิธี แบบสั้น ในชีวิตจริง คณิตศาสตร์


(Challenge Sums / (Process Problems / (Short Open-ended (Applied Real-life (Mathematical
content-specific) heuristics-strategies) Questions) Problems) Investigation)



การแบงประเภทของงานและปญหาทางคณิตศาสตร์


ที่มา: Foong Pui Yee. 2007. Problem Solving in Mathematics. In Teaching
Primary School Mathematics: A Resource Book. Lee Peng Yee. p.56.



จากภาพประกอบข้างต้น พบว่า งานทางคณิตศาสตร์ทั้งหมดสามารถแบงออกได้เปน 2



กลุ่มใหญ่ๆ ได้แก่ 1) โจทย์ทีคุ้นเคย (ในหนังสือเรียน) และ 2) ปัญหา ทั้งนนักการศึกษาคณิตศาสตร์




หลายทานได้กําหนดความหมายของปญหาทางคณิตศาสตร์ไว้ว่า ปญหาทางคณิตศาสตร์ หมายถึง

สถานการณทีมีข้อคําถามเกียวกับคณิตศาสตร์ซึงต้องการให้ค้นหาคําตอบ โดยทีผู้แก้ปญหายังไมรู้







วิธีการหรือขั้นตอนทีจะได้มาซึงคําตอบของคําถามจากสถานการณนั้นในทันทีทันใด (Reys; et al.



2004: 115, Krulik; & Rudnick. 1993: 6) ซึงจากความหมายของปญหาทางคณิตศาสตร์ดังกล่าว




พบว่าปญหาทางคณิตศาสตร์ไม่รวมเอาแบบฝกหัดในหนังสือเรียนทีใช้เพือฝกฝนตามขั้นตอนวิธีหรือ








ฝึกทักษะอยางเชนในโจทย์ฝกการคํานวณหรือในโจทย์ปญหาหนงหรือสองขั้นตอน ปญหาทาง







คณิตศาสตร์สามารถแบงออกได้อีก 2 กลุ่ม คือ ปญหาทีมีโครงสร้างแบบปด และปญหาทีมีโครงสร้าง
แบบปลายเปด ทั้งนปญหาแบบต่างๆ นั้นมีบทบาทหนาทีแตกต่างกันออกไปในการเรียนการสอน









คณิตศาสตร์ เชน ในการสอนเพือการแก้ปญหา (Teaching for problem solving) การสอนเกียวกับ

๑๔




การแก้ปญหา (Teaching about problem solving) หรือการสอนทีควบคูไปกับการแก้ปญหา


(Teaching via problem solving) เป็นต้น ซึงจะได้กล่าวถึงรายละเอียดต่อไป

ปญหาทางคณิตศาสตร์ในแต่ละประเภทมีรายละเอียดดังต่อไปนี ้



1. ปญหาทมีโครงสร้างแบบป ิ ด





ปญหาทีมีโครงสร้างแบบปดเปนปญหาทีมีการวางระบบโครงสร้างที่ชัดเจน กล่าวคือ


คําตอบทีถูกต้องคําตอบหนงของปญหามักจะถูกกําหนดขึนมาได้จากแนวทางหรือวิธีการแก้ปญหาที ่












เฉพาะเจาะจงบางอยางจากข้อมูลทีจําเปนซึงกําหนดมาให้ในสถานการณปญหา ปญหาประเภทน ้ ี

ประกอบด้วยโจทย์ทีท้าทายแต่เนอหาเฉพาะ รวมทั้งปญหากระบวนการทีเนนการใช้ยทธวิธี ในการ







จัดการกับปญหาประเภทนผู้แก้ปญหามักใช้การคิดเพือมงสู่ผลลัพธ์มากกว่าการสร้างทักษะ

ุ่





กระบวนการบางอยางหรือขั้นตอนสําคัญบางอยางในวิธีการให้ได้มาซึงคําตอบ

1.1 โจทย์ททาทายแตเนอหาเฉพาะ







โจทย์ทีท้าทายแต่เนอหาเฉพาะมักมีบทบาทในการสอนเพือการแก้ปญหา (Teaching








for problem solving) โดยเนนการเรียนรู้คณิตศาสตร์สําหรับมงเอาไปใช้ประโยชนในการแก้ปญหา




ภายหลังจากได้เรียนรู้เนอหาเฉพาะทางคณิตศาสตร์ไปแล้ว โจทย์ประเภทนมักนามาใช้เพือประเมิน



ทักษะการคิดวิเคราะห์ขั้นสูงขึน ซึ่งครูผู้สอนมักสอนยทธวิธีเฉพาะทีเรียกว่าวิธีการสร้างตัวแบบ




(Model method) ให้กับนักเรียนเพื่อแก้โจทย์ปญหาต่างๆ ทีมีโครงสร้างทีคล้ายๆ กัน ไปสูหัวข้อทาง





เลขคณิตที่เกี่ยวข้องกัน เชน เรืองจํานวนนับและศูนย์ เศษส่วน และร้อยละ เปนต้น พิจารณา

ตัวอย่างปญหาต่อไปน ี้



ปญหาเรื่องเศษสวน
3/5 ของนักเรียนห้อง ป.6/1 และ 3/4 ของนักเรียนห้อง ป.6/2 เป็น

นักเรียนหญิง ห้องเรียนทั้งสองมีจํานวนนักเรียนหญิงเทาๆ กัน และ

ห้อง ป.6/1 มีนักเรียนชายมากกว่าห้อง ป.6/2 เปนจํานวน 8 คน
อยากทราบว่านักเรียนห้อง ป.6/1 มีจํานวนทั้งสินกี่คน


ปัญหาเรื่องอัตราสวน


ในตอนแรก อัตราส่วนของเงินของสมพงษ์กับมนัสเปน 5 : 3 แต่
หลังจากที่สมพงษ์ให้เงินกับมนัสไป 20 บาท แล้วปรากฏว่าทั้งคูมีเงิน

เทากันพอดี อยากทราบว่าในตอนแรกมนัสมีเงินอยูกี่บาท



ปญหาเรื่องร้อยละ


ร้อยละ 25 ของนักเรียนห้องหน่งที่มี 32 คนเป็นนักเรียนชาย ถ้ามี


นักเรียนชายเข้ามาเพิ่มในห้องเรียนนอีก จนทําให้ร้อยละของ

นักเรียนชายเพิ่มขึนเปนร้อยละ 40 อยากทราบว่ามีจํานวนนักเรียน

ชายเข้ามาเพิ่มในห้องเรียนนกี่คน


๑๕






1.2 ปญหากระบวนการทเนนการใชยุทธวิธ ี



ปญหากระบวนการทีเนนการใช้ยทธวิธีมักมีบทบาทในการสอนเกียวกับการแก้ปญหา





(Teaching about problem solving) ซึงเนนการใช้ยทธวิธีแบบต่างๆ นาเข้าสูการสอนและการแก้












ปญหาทีไมคุ้นเคย กล่าวคือ ส่วนใหญ่เปนปญหาทีไมได้ชีเฉพาะเจาะจงลงไปว่าอยูในเนอหาหรือ







บทเรียนคณิตศาสตร์เรืองใด ปญหาประเภทนจะมีกรณีต่างๆ จํานวนมากเพือให้นักเรียนได้จัดการ



และพิจารณา โดยครูผู้สอนใช้เปนประโยชนสําหรับจดมงหมายเพือแสดงกระบวนการต่างๆ ที ่



พัฒนาการคิดและยทธวิธีการแก้ปญหาทีหลากหลาย เชน การเดาและตรวจสอบ การมองหาแบบรูป











และการทําย้อนกลับ เปนต้น ทั้งนความรู้ด้านเนอหาคณิตศาสตร์ทีจําเปนสําหรับใช้ในปญหา








ประเภทนจึงควรใช้ประสบการณก่อนหนานทีมีอยูทั้งหมดของนักเรียน และในบางครั้งครูผู้สอนก็








สามารถบรณาการยทธวิธีต่างๆ เหล่านเข้าไปในการแก้ปญหาทีสัมพันธ์กันกับเนอหาต่างๆ ได้

พิจารณาตัวอยางปัญหาต่อไปน ี้


ปญหาเปดกับหมู

เกษตรกรคนหน่งนับเปดกับหมูที่เขาเลียงไว้ พบว่า นับหัวทั้งหมดได้



10 หัว และนับขาทั้งหมดได้ 26 ขา อยากทราบว่าเกษตรกรเลียงเปด




กับหมูอยางละกี่ตัว และจะมียทธวิธีที่แตกต่างกันกี่แบบสําหรับใช้

แก้ปญหาน ี ้

ยุทธวิธีทีแตกต่างกันสําหรับใช้แก้ปญหาน เชน
ี้



1) ใชความรูทางพชคณิต




D + P = 10
2D + 4P = 26

2) เดาและตรวจสอบ แลวสร้างตาราง

ถ้าลอง เปด 5 ตัว และหมู 5 ตัว จะมีขารวมกันได้ 10 + 20 = 30 ขา (มากเกินไป)

ถ้าลอง เปด 6 ตัว และหมู 4 ตัว จะมีขารวมกันได้ 12 + 16 = 28 ขา (มากเกินไป)


ถ้าลอง เปด 7 ตัว และหมู 3 ตัว จะมีขารวมกันได้ 14 + 12 = 26 ขา (พอดี)
แล้วลองสร้างตาราง

เป็ด หมู รวมหัว รวมขา ใชได้หรือไม่

5 5 10 10 + 20 = 30 
6 4 10 12 + 16 = 28 
7 3 10 14 + 12 = 26 



๑๖


3) เขยนแผนภาพ








4) การใหเหตผลทางตรรกศาสตร์



ถ้าหากเปนเปดทั้งหมด (10 ตัว) ก็จะได้ 20 ขา ต้องเพิ่มอีก 6 ขา

ซึงเพิมอีก 6 ขา เอามาจาก ขา 3 คู่ของหมู


ดังนั้น สรปว่ามี หมู 3 ตัว และเปด 7 ตัว


----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
กิจกรรม 5 (กิจกรรมกลุม กลุมละ 2 คน)


กิจกรรม 5




1. จงแก้ปัญหาเรืองเศษส่วน ปญหาเรืองอัตราส่วน และปญหาเรืองร้อยละ



ในหนา ๑๕

2. จงแก้ปญหากระดานหมากรุก ต่อไปน ้ ี

ปญหากระดานหมากรุก
มีรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสทั้งหมดกี่รูปบนกระดานหมากรุก


ขอแนะนําในการแก้ปญหา: ให้ใช้วิธีการต่างๆ ดังต่อไปนี ้

1) ลงมือทาอย่างเปนระบบ


2) มองหาแบบรูป
3) สร้างให้เปนสูตร



4) พยายามสร้างตัวอย่างแบบต่างๆ ให้งายลง (ดรูปข้างล่าง)

5) สรุปผลทีได้ในรูปตาราง (ดตารางข้างล่าง)


พยายามสร้างตัวอย่างให้งายลง


จากรูปนี้มีจัตุรัสทั้งหมดกี่รูป หาได้ 5 รูปใช่หรือไม่

สรุปผลที่ได้ในรูปตาราง

ขนาดของจัตุรัส จํานวนจัตุรัส
2 × 2 5
3 × 3 ?
4 × 4 ?


8 × 8 ?

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


๑๗



2. ปญหาทมีโครงสร้างแบบปลายเป ิ ด




ปญหาทีมีโครงสร้างแบบปลายเปดเปนปญหาทีพร่องในโครงสร้าง นั่นคือมีโครงสร้างไม ่








ชัดเจน กล่าวคือ อาจขาดข้อมูลหรือเงือนไขบางอยางในตัวปญหาและไมได้มีเปาหมายทีจะกําหนด



ขั้นตอนวิธีดําเนนการแก้ปญหาแบบตายตัวทีจะรับประกันถึงการได้มาซึงคําตอบทีถูกต้อง ปญหา









ประเภทนแบงออกได้อีก 3 ประเภท ได้แก่ ปญหาทีประยกต์ใช้ในชีวิตจริง การสํารวจทาง

คณิตศาสตร์ และคําถามปลายเปดแบบสั้น



2.1 ปญหาทประยุกตใชในชวิตจริง




การแก้ปญหาจากสถานการณต่างๆ ในชีวิตประจําวันมักเริมต้นจากสถานการณของ





โลกแห่งความเปนจริงของแต่ละบคคล แล้วมองหาความสัมพันธ์ทีเกียวข้องกันภายใต้แนวคิดทาง





คณิตศาสตร์ พิจารณาตัวอยางปญหาต่อไปน ี้




ปญหาการทาสบาน
ต้องตาต้องการทาสีกําแพงและเพดานห้อง 3 ห้องของบ้านที่อาศัย
โดยเพดานสูงจากพืนห้อง 4 เมตร ถ้าสี 1 ลิตรสามารถใช้ระบาย


บริเวณที่ต้องการได้ 10 ตารางเมตร ทั้งนสีราคากระปองละ 1,250



บาท ต้องตาจําเปนต้องรู้ข้อมูลอื่นๆ อะไรอีกบ้างหรือไม เพื่อใช้ใน



การทาสีครั้งน จงวางแผนการและงบประมาณให้กับต้องตาสําหรับ



การออกไปซือวัสดุอุปกรณที่จําเปนเพื่อการทาสีในครั้งน ี้

2.2 การสํารวจทางคณิตศาสตร์

โดยทั่วไปแล้วเรามักจะนากิจกรรมต่างๆ ทีมีลักษณะแบบปลายเปดมาให้นักเรียนได้






สํารวจและขยายความรู้ในเนอหาคณิตศาสตร์ บางครั้งการสํารวจก็เปนส่วนขยายของการแก้ปญหา



ได้เมือกระบวนการเปนแบบปลายเปด ซึงครูผู้สอนอาจพัฒนาการสํารวจทางคณิตศาสตร์ออกไปได้


ในแนวทางต่างๆ ทีหลากหลายสําหรับนักเรียนทีมีความสามารถแตกต่างกัน ปญหาประเภทนเปด





โอกาสให้นักเรียนได้พัฒนาระบบของการสร้างผลลัพธ์จากการสํารวจด้วยตนเอง สร้างตารางข้อมูล

เพือมองหาความสัมพันธ์และแบบรูปด้วยตนเอง สร้างข้อความคาดการณ ตรวจสอบ ตัดสินใจ และ





นาเสนอในรูปทั่วไปของสิงทีค้นพบได้ด้วยตนเอง นักเรียนควรได้รับการกระตุ้นให้คิดด้วยยทธวิธี

แบบอืนๆ โดยใช้การถามคําถาม “จะเกิดอะไรขึน ถ้า...” แล้วให้นักเรียนสังเกตการเปลียนแปลงที ่



เกิดขึ้น พิจารณาตัวอยางปัญหาต่อไปน ี้





๑๘


ปญหาการสํารวจจํานวน

เลือกจํานวนนับใดๆ ทีมี 3 หลัก : 123
เขียนเลขโดดแบบย้อนกลับ : 321

นามาลบกัน 321 – 123 = 198
-----------------------------------------------------------------------------


เริ่มทีผลลบข้างต้น : 198
เขียนเลขโดดแบบย้อนกลับ : 891
นามาบวกกัน 198 + 891 = 1,089

-----------------------------------------------------------------------------

ลองจํานวนอืนๆ : 609
906 – 609 = 297
297 + 792 = 1,089
-----------------------------------------------------------------------------

จากการสํารวจเกิดอะไรขึนเมือเราเลือกจํานวนนับใดๆ ทีมี 3 หลัก



และเมื่อดําเนินการตามขั้นตอนดังกลาว จะได้คําตอบ คือ 1,089 เสมอใช่หรือไม่

2.3 คําถามปลายเป ิ ดแบบสั้น



ครูผู้สอนสามารถใช้คําถามปลายเปดแบบสั้นได้ในบทบาทของการสอนทีควบคูไปกับ



การแก้ปญหา (Teaching via problem solving) เพือพัฒนาความเข้าใจเชิงลึกของแนวคิดทาง



คณิตศาสตร์และการสือสารระหว่างกลุมนักเรียน ลักษณะพิเศษของคําถามปลายเปดแบบนคือเปน






คําถามทีมีคําตอบได้มากมายและสามารถแก้ปญหาได้ในหลายๆ แนวทาง ตัวคําถามไมสลับซับซ้อน
และยงยากมากจนเกินไป แต่มีโครงสร้างแบบเชิงเดียวทีเข้าใจได้ง่าย พิจารณาตัวอยางปัญหาใน




ตารางต่อไปน ี้

โจทย์ทคุนเคย คําถามปลายเป ิ ดแบบสั้น



 3 × 4 =   จงหาจํานวนสองจํานวนทีคูณกันได้ 12


 มีตุกตา 12 ตัว จัดใส่ถุงถุงละ 3 ตัว  มีตุกตา 12 ตัว จัดใส่ถุงถุงละเท่าๆ กัน



จะจัดได้กีถุง จะจัดได้กีวิธี อย่างไรบ้าง





 จงหาพืนทีของรูปสามเหลียมมุมฉาก  จงสร้างรูปสามเหลียมรูปอืนๆ ให้มีพืนที ่


ต่อไปนี ้ เท่ากับพืนทีของรูปสามเหลียมข้างลางน ้ ี









๑๙

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

กิจกรรม 6 (กิจกรรมกลุม กลุมละ 2 คน)


กิจกรรม 6



1. จงอภิปรายและแก้ปญหาการทาสีบ้าน และปญหาการสํารวจจํานวน

ในหนา ๑๘ และหนา ๑๙

2. จงแก้ปัญหาการสํารวจตัวต่อ “ติโตรมิโนส์” ต่อไปน ี้

ปัญหาการสํารวจตัวตอ “ติโตรมิโนส์”




1) ติโตรมิโนส์แบบใดทีสามารถสร้างให้เกิดลวดลายเทสเซลเลชั่นได้




2) มีรูปร่างทีแตกต่างกันอะไรบ้างทีเกิดจากการต่อประกอบติโตรมิโนส์ทั้งห้าชินน ้ ี


3) นสิตสามารถสร้างรูปสีเหลียมมมฉากขนาด 4 × 5 ด้วยติโตรมิโนส์เหล่านี้


ได้หรือไม ่
4) มีอะไรอีกบ้างทีนสิตค้นพบจากการสํารวจตัวต่อ “ติโตรมิโนส์” น ี้





3. จงแก้ปญหา และอภิปรายเกียวกับความแตกต่างของปญหาทั้งสามข้อต่อไปน ี ้

 จงหาค่าเฉลียเลขคณิตและมัธยฐานของข้อมูลต่อไปน ี ้
4, 8, 2, 4, 7, 9, 5, 4, 5, 2







 จงหาข้อมูลชดหนงทีมีอยู 10 จํานวน ซึงมีค่าเฉลียเลขคณิตและมัธยฐาน

เปน 5 และ 6 ตามลําดับ


 มนัสทําแถบบันทึกข้อมูลชดหนงทีมีจํานวนอยู 10 จํานวนฉีกขาดหายไปครึงหนง






(ดังรูป) แต่ได้ทําการประมวลผลแล้วว่าค่าเฉลียเลขคณิตและมัธยฐานของข้อมูล





ชดดังกล่าวคือ 5 และ 6 ตามลําดับ มนัสจะตกแต่งข้อมูลทีขาดหายไปนอยางไร



----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------



จากแนวคิดเกียวกับประเภทของปญหาดังกล่าวข้างต้น สามารถสรปได้ว่า ครูผู้สอนควร




เข้าใจถึงการใช้ปญหาประเภทต่างๆ ตามบทบาทหนาทีทีแตกต่างกันออกไปในการสอนคณิตศาสตร์

ได้แก่ ในการสอนเพือการแก้ปญหา (Teaching for problem solving) จะใช้ปญหาประเภท “โจทย์ที ่





ท้าทายแต่เนอหาเฉพาะ” ส่วนในการสอนเกียวกับการแก้ปญหา (Teaching about problem






solving) จะใช้ปญหาประเภท “ปญหากระบวนการทีเนนการใช้ยทธวิธี” “ปญหาทีประยุกต์ ใช้ในชีวิต



จริง” และ “การสํารวจทางคณิตศาสตร์” และการสอนทีควบคูไปกับการแก้ปญหา (Teaching via





problem solving) จะใช้ปญหาประเภท “คําถามปลายเปดแบบสั้น”
๒๐


ี่


ื่
ี่
1.3 ความเชอทเกยวข้องกับการแกปญหาและการตั้งปญหา

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
กิจกรรม 7 (กิจกรรมรายบคคล และอภิปรายทั้งชั้นเรียน)

กิจกรรม 7




1. ก่อนการอบรมในเนอหาเรืองน ให้นสิตลองสํารวจตนเองเกียวกับความเชือทีเกียวข้อง








กับการแก้ปญหาและการตั้งปญหาด้วยคําถาม 15 ข้อต่อไปน โดยทําเครืองหมาย  ลงในช่องว่าง
ี้






ชองใดชองหนงของแต่ละข้อคําถาม ทีตรงกับความคิดเห็นหรือความเชือของนสิตมากที่สุด ทั้งน ้ ี










ความคิดเห็นและความเชือเหล่านเปนความคิดเห็นหรือความเชือส่วนบคคลซึงไม่มีถูกไมมีผิดแต่

อย่างใด

ข้อท ี่ คําถาม เห็นด้วย ไมเห็นด้วย

1 ปญหาทางคณตศาสตร์ทุกปญหามีวิธีการแก้ปัญหาได้เพียงวิธีเดียว







2 ปญหาทางคณตศาสตร์บางปญหาอาจมีคําตอบได้มากกว่าหนงคําตอบ




3 ปญหาทางคณตศาสตร์ทีดีหาได้จากหนงสือเรียนทั่วไป



4 นสิตสนกกับการแก้ปญหาทางคณตศาสตร์ทีท้าทาย



5 นสิตชอบแก้ปญหาทีต้องใช้เวลาในการคิด ซึงไม่ใช่ปญหาที่คิดได้ใน





ทันทีทันใด
6 การหาคําตอบได้อย่างถูกต้องและรวดเร็วเปนเปาหมายสําคัญทีสดของ





การแก้ปญหาทางคณตศาสตร์





7 ถ้าหากนสิตแก้ปญหาทางคณตศาสตร์ไม่ได้ภายใน 5 นาที แล้วนสิตก็
จะไม่ทําต่อ

8 การเรียนแก้ปญหาทางคณตศาสตร์ ไม่เหมาะกับผู้เรียนทีเรียนออนหรือ



ผู้เรียนทีไม่ชอบคณตศาสตร์



9 นสิตชอบตั้งปญหาทางคณตศาสตร์ด้วยตนเอง


10 การตั้งปญหาทางคณตศาสตร์เปนหนาทีของผู้สอน ไม่ใช่ผู้เรียน







11 นสิตคิดว่าตนเองสามารถตั้งปญหาทางคณตศาสตร์ทีดีได้



12 นสิตชอบแก้ปญหามากกว่าให้ตั้งปญหา







13 คนทีเกงคณตศาสตร์ มักตั้งปญหาทางคณตศาสตร์ได้ดี
14 คนทีอ่อนคณตศาสตร์ มักตั้งปญหาทางคณตศาสตร์ได้ไม่ดี




15 ผู้สอนและผู้เรียนไม่ควรเสียเวลาในการตั้งปญหาทางคณตศาสตร์ด้วย




ตนเอง เพราะเราสามารถหาปญหาทีดีได้มากมายจากหนงสือเรียน




2. จงอภิปรายถึงผลการสํารวจความเชือทีเกียวข้องกับการแก้ปญหาและการตั้งปญหา



ดังกล่าวกับเพือนนสิตคนอืนๆ




----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
๒๑







ความเชือทีเกียวข้องกับการแก้ปญหาและการตั้งปญหาทางคณิตศาสตร์ถือว่าเปนความคิด



เห็นส่วนบคคลทีไม่มีถูกไมมีผิด แต่เราจะมองความเชื่อในลักษณะทีว่าเปนความเชือทีเหมาะสม






หรือไมเหมาะสม ความเชือดังกล่าวส่งผลโดยตรงต่อความสามารถในการปฏิบัติงานทางคณิตศาสตร์
ของนักเรียน




นักการศึกษาคณิตศาสตร์หลายทานได้ศึกษางานวิจัยทีเกียวข้องกับความเชือของนักเรียน

ในการแก้ปญหา (Schoenfeld. 1985, Frank. 1988, Ernest. 1989, Thompson. 1992, Kroll; &

Miller. 1993, Lubinski; & Mariani. 1999) ผลจากงานวิจัยเหล่านชีให้เห็นว่านักเรียนหลายคนมี







ความเชือทีไมเหมาะสมเกียวกับการแก้ปญหา เชน





 เราควรแก้ปญหาทางคณิตศาสตร์ทกปญหาให้ได้อยางรวดเร็วและอยางถูกทิศทาง

 การหาคําตอบได้อยางถูกต้องและรวดเร็วเปนเปาหมายสําคัญทีสุดของ





การแก้ปญหาทางคณิตศาสตร์


 มีแนวทางทีถูกต้องเพียงแนวทางเดียวเทานั้นในการแก้ปญหาทางคณิตศาสตร์








จากความเชือดังกล่าวเหล่านส่งผลให้นักเรียนทีไมรู้วิธีการแก้ปญหาอยางทันทีทันใดเมือ


เริมแก้ปญหาก็ไมอยากทีจะแก้ปญหาต่อไป หากนักเรียนแก้ปญหาไมได้ภายในระยะเวลาสั้นๆ แล้ว






นักเรียนก็จะไมพยายามทําต่อ และถือได้ว่าเปนผู้ทีขาดสมรรถนะในการแก้ปญหา (NCTM. 2000:




259)
จากงานวิจัยของรงฟา จันท์จารภรณ (Rungfa Janjaruporn. 2005: 127-130) ซึงได้








ศึกษาความเชือของนักศึกษาครูคณิตศาสตร์ทีเกียวข้องกับการแก้ปญหาโดยใช้แบบสอบถามก่อน



เรียนและหลังเรียนวัดกับนักศึกษาครูในกลุ่มทดลอง พบว่า ความเชือทีเหมาะสมเกียวกับการแก้




ปญหาทีเพิมสูงขึนอยางมีนัยสําคัญทางสถิติ ได้แก่ ความเชื่อทีว่า “การค้นหาคําตอบทีถูกต้องไมใช ่











เปาหมายสําคัญทีสุดของการแก้ปญหาทางคณิตศาสตร์” และ “การแก้ปญหาต่างๆ ทีหลากหลาย



ประเภทยอมดีกว่าการแก้ปญหาต่างๆ เพียงประเภทเดียวตลอดเวลา” นอกจากน คะแนนมัธยฐาน







ในด้านความเชือทีเหมาะสมทีเกียวข้องกับการแก้ปญหาของกลุมทดลองไมสูงกว่าคะแนนมัธยฐาน

ของกลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ

ผลของการวิจัยดังกล่าวชีให้เห็นว่าในเรื่องความเชื่อหรือความคิดเห็นส่วนบุคคลนั้นเป็น
เรองเปลียนแปลงได้ยาก สอดคล้องกับแนวคิดของแฟรงค์ (Frank. 1988: 34) ทีกล่าวว่า ความเชือ
ื่



เกียวกับคณิตศาสตร์ของแต่ละคนไมสามารถพัฒนาไปได้ในชวงข้ามวันข้ามคืน นักเรียนจะค่อยๆ





พัฒนาความเชือของตนไปอยางช้าๆ ซึงต้องใช้ระยะเวลาทีขึนอยูกับลักษณะกิจกรรมคณิตศาสตร์ที ่






ครูจัดวางไว้ให้และมวลประสบการณทีนักเรียนได้รับ



สําหรับความเชือทีเกียวข้องกับการตั้งปญหาของครูผู้สอนและนักเรียนนั้น จากผลการวิจัย

ของนักการศึกษา (Barlow; & Cates. 2006, Aristoklis. 2007) พบว่า ครูผู้สอนและนักเรียนหลาย
คนมีความเชือทีไมเหมาะสมเกียวกับการตั้งปญหา เช่น





 การตั้งปญหาทางคณิตศาสตร์เปนหนาทีของครู ไม่ใชนักเรียน







 ฉันคิดว่าการตั้งปญหาทางคณิตศาสตร์เปนเรืองทียากเกินไปสําหรับฉัน


๒๒




 เราไม่ควรเสียเวลาในการตั้งปญหาเพราะว่าเราสามารถหาปญหาทีดีได้มากมาย
จากหนังสือตําราเรียนทั่วไป


การพัฒนาความสามารถในการแก้ปญหาและการตั้งปญหาให้กับนักเรียนนั้นครูผู้สอนควร




มีความเชือทีเหมาะสมเสียก่อน จากนั้นจึงค่อยส่งเสริมหรือสอดแทรกความเชือทีเหมาะสมลงไปใน

การจัดการเรียนการสอน ตัวอยางความเชือทีเหมาะสมในการแก้ปญหาและการตั้งปญหา เชน





 ปัญหาทางคณิตศาสตร์หลายๆ ปญหาสามารถแก้ได้ในหลายๆ วิธี


 ปญหาทางคณิตศาสตร์หลายๆ ปญหามีคําตอบได้หลายคําตอบ

 การหาคําตอบได้อย่างถูกต้องและรวดเร็วไม่ใชเปาหมายสําคัญทีสุดของ







การแก้ปญหา แต่เปาหมายสําคัญทีสุดคือการเรียนรู้กระบวนการและยทธวิธีใน
การแก้ปัญหา

 เราสามารถสร้างสรรค์การตั้งปญหาทางคณิตศาสตร์ทีดีได้ด้วยตนเอง



 การตั้งปญหาอยางอิสระด้วยตัวของเราเอง ช่วยพัฒนาและขยายความเข้าใจที ่


กว้างขึนในแนวคิดทางคณิตศาสตร์ รวมทั้งยังชวยพัฒนาความคิดสร้างสรรค์
เจตคติและความมั่นใจในการทําคณิตศาสตร์





จากแนวคิดเกียวกับความเชือทีเกียวข้องกับการแก้ปญหาและการตั้งปญหาดังกล่าว

ข้างต้น สรปได้ว่า ความเชือทีเกียวข้องกับการแก้ปญหาและการตั้งปญหาของนักเรียนแต่ละคนนั้น










เปลียนแปลงได้ยาก นักเรียนจะค่อยๆ พัฒนาความเชือของตนไปอยางช้าๆ ซึงต้องใช้ระยะเวลาที ่
ขึนอยูกับลักษณะกิจกรรมทางคณิตศาสตร์ทีครูผู้สอนจัดวางไว้ให้และมวลประสบการณทีนักเรียน






ได้รับ ดังนั้นครูผู้สอนจึงเปนผู้ทีมีบทบาทสําคัญต่อการพัฒนาความเชือทีเหมาะสมให้แก่นักเรียน ซึง





ครูเองก็ควรมีความเชือทีเหมาะสมเสียก่อน แล้วจึงค่อยส่งเสริมหรือสอดแทรกความเชือทีเหมาะสม



ลงไปในการจัดการเรียนการสอน













๒๓

ี่
หน่วยท 2


การเสริมและฝกทักษะการแกปญหาและการตั้งปญหา




เนื้อหา / กิจกรรม
2.1 กระบวนการและยทธวิธีในการแก้ปญหา



2.2 เทคนคการตั้งปัญหา

แนวคิด








1. กระบวนการแก้ปญหาเปนหลักการหรือขั้นตอนการแก้ปญหาอยางกว้างๆ ทีใช้ได้กับ








แทบทกปญหา โดยกระบวนการแก้ปญหาทางคณิตศาสตร์ทีเปนทียอมรับ และนามาใช้กันอยาง

แพร่หลาย คือกระบวนการแก้ปญหาตามแนวคิดของโพลยา ซึงประกอบด้วยขั้นตอนสําคัญสีขั้นตอน





ทีเรียกว่ากระบวนการแก้ปญหาสีขั้นตอนของโพลยา ได้แก่ ขั้นที 1 : ทําความเข้าใจปญหา ขั้นที 2 :




วางแผนแก้ปญหา ขั้นที 3 : ดําเนนการตามแผน และขั้นที 4 : ตรวจสอบผล ส่วนยทธวิธีการ







แก้ปญหาเปนเทคนคพิเศษเฉพาะทีอาจนาไปใช้ได้กับบางประเภทของปญหาตามความเหมาะสม








โดยยุทธวิธี การแก้ปญหาซึ่งเปนเครืองมือทีสําคัญและสามารถนามาใช้ในการแก้ปญหาได้ดีทีพบได้





บอยในคณิตศาสตร์ ได้แก่ 1) ลงมือปฏิบัติจริง 2) ใช้แผนภาพ/วาดตัวแบบ 3) แบ่งเปนปญหาย่อย/



ทําปญหาให้ง่ายลง 4) ค้นหาแบบรูป 5) แจกแจงรายการอยางเปนระบบ/สร้างตาราง 6) เดาและ
ตรวจสอบ/ลองผิดลองถูก 7) ทําย้อนกลับ 8) เขียนเปนประโยคทางคณิตศาสตร์/ใช้ตัวแปร และ 9)










เปลียนมมมอง/นกถึงปญหาทีคล้ายกัน แต่ทั้งนไมได้หมายความว่าปญหาแต่ละปญหาจะสามารถแก้



ได้ด้วยยทธวิธีเฉพาะทีนาเสนอนเพียงอยางเดียวเทานั้น ปญหาทีไมคุ้นเคยทั้งหลายไมจําเปนต้อง













จํากัดให้เปนปญหาทีตรงกับหัวข้อเรืองคณิตศาสตร์เรืองใดเรื่องหนง และไมมีวิธีการแก้ปญหาที ่








ตายตัวของแต่ละปญหา เราควรคํานงถึงการแก้ปญหาแต่ละปญหาด้วยยทธวิธีทีแตกต่างและที ่




เปนไปได้มากกว่าเพียงยทธวิธีเดียว



2. ครูผู้สอนควรพยายามตั้งปญหาทางคณิตศาสตร์ให้เกียวข้องกับสถานการณในชีวิต



จริงของนักเรียน ตั้งปญหาให้นาสนใจและท้าทายความสามารถของนักเรียน และดัดแปลงปญหา



ปลายปดหรือปญหาทีคุ้นเคยให้เปนปญหาปลายเปดหรือปญหาทีไมคุ้นเคยเพือฝกการคิดและใช้
















ทักษะกระบวนการของนักเรียน โดยใช้เทคนคการตั้งปญหาบางเทคนคได้ เชน เทคนคการตั้งปญหา



แบบให้นักเรียนยกตัวอยาง เทคนิคการตั้งปญหาแบบให้ตัวอยางปญหายอยหลายๆ ปญหา เทคนค





การตั้งปญหาแบบใช้แนวทางตรงข้ามกับปญหาทีคุ้นเคย และเทคนคการตั้งปญหา “อะไรจะเกิดขึ้น




...ถ้า...ไม...” (What-if-not) เป็นต้น


๒๔



2.1 กระบวนการและยุทธวิธในการแกปัญหา







กระบวนการแก้ปญหาในทีนเปรียบเสมือนหลักการหรือขั้นตอนการแก้ปญหาอยางกว้างๆ








ทีใช้ได้กับแทบทกปญหา ส่วนยทธวิธีการแก้ปญหาเปนเทคนคพิเศษเฉพาะทีอาจนาไปใช้ได้กับบาง


ประเภทของปญหาตามความเหมาะสม







กระบวนการแก้ปญหาทางคณิตศาสตร์ทีเปนทียอมรับ และนามาใช้กันอย่างแพรหลาย คือ
กระบวนการแก้ปญหาตามแนวคิดของโพลยา (Polya. 1957: 5 – 6) ซึงประกอบด้วยขั้นตอนสําคัญ


สีขั้นตอนทีเรียกว่ากระบวนการแก้ปญหาสีขั้นตอนของโพลยา ได้แก่




ขั้นที 1 : ทําความเข้าใจปญหา




ขั้นที 2 : วางแผนแก้ปญหา

ขั้นที 3 : ดําเนนการตามแผน

ขั้นที 4 : ตรวจสอบผล


แต่ละขั้นตอนมีสาระสําคัญ ดังน



ขั้นท 1 : ทําความเข้าใจปญหา (Understanding the problem)





ขั้นตอนนเปนขั้นเริมต้นของการแก้ปญหาทีต้องการให้นักเรียนคิดเกียวกับปญหา และ








ตัดสินว่าอะไรคือสิงทีต้องการค้นหา ในขั้นตอนนนักเรียนต้องทําความเข้าใจปญหาและระบส่วน


สําคัญของปญหา ซึงได้แก่ตัวไมรู้ค่า ข้อมูลและเงือนไขในการทําความเข้าใจปญหา นักเรียนอาจ













พิจารณาส่วนสําคัญของปญหาอยางถีถ้วน พิจารณาซาไปซามา พิจารณาในหลากหลายมมมอง
หรืออาจใช้วิธีต่างๆ ชวยในการทําความเข้าใจปญหา เชน การเขียนรูป การเขียนแผนภมิ หรือ





การเขียนสาระของปญหาด้วยถ้อยคําของตนเองก็ได้



ขั้นท 2 : วางแผนแกปญหา (Devising a plan)



ขั้นตอนนต้องการให้นักเรียนค้นหาความเชือมโยงหรือความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลและ






ตัวไมรู้ค่า แล้วนาความสัมพันธ์นั้นมาผสมผสานกับประสบการณในการแก้ปญหา เพือกําหนด



แนวทางหรือแผนในการแก้ปญหา และท้ายสุดเลือกยทธวิธีทีจะนามาใช้แก้ปญหา




ขั้นท 3 : ดําเนินการตามแผน (Carrying out the plan)



ขั้นตอนนต้องการให้นักเรียนลงมือปฏิบัติตามแนวทางหรือแผนซึงวางไว้ โดยเริมจาก

การตรวจสอบความเปนไปได้ของแผน เพิมเติมรายละเอียดต่างๆ ของแผนให้ชัดเจน แล้วลงมือ



ปฏิบัติจนกระทั่งสามารถหาคําตอบได้ ถ้าแผนหรือยทธวิธีทีเลือกไว้ไมสามารถแก้ปญหาได้ นักเรียน








ต้องค้นหาแผนหรือยทธวิธีแก้ปญหาใหมอีกครั้ง การค้นหาแผนหรือยุทธวิธีแก้ปญหาใหมถือเปน


การพัฒนาผู้แก้ปญหาทีดีด้วยเชนกัน




ขั้นท 4 : ตรวจสอบผล (Looking back)
ขั้นตอนนต้องการให้นักเรียนมองย้อนกลับไปยังคําตอบทีได้มา โดยเริ่มจากการ






ตรวจสอบความถูกต้อง ความสมเหตุสมผลของคําตอบและยทธวิธีแก้ปญหาทีใช้ แล้วพิจารณาว่ามี
๒๕






คําตอบหรือมียทธวิธีแก้ปญหาอยางอืนอีกหรือไม่ สําหรับนักเรียนทีคาดเดาคําตอบก่อนลงมือปฏิบัติ
ก็สามารถเปรียบเทียบหรือตรวจสอบความสมเหตุสมผลของคําตอบทีคาดเดาและคําตอบจริงใน



ขั้นตอนนได้

ต่อมาวิลสันและคณะ (Wilson; et al. 1993: 60 – 62) ได้เสนอแนะกรอบแนวคิดเกียวกับ



กระบวนการแก้ปญหาทีแสดงความเปนพลวัต มีลําดับไมตายตัว สามารถวนไปเวียนมาได้ดัง

ภาพประกอบต่อไปน ี้


ทําความเข้าใจ

ตั้งปญหา ปัญหา




ตรวจสอบผล วางแผน
แก้ปัญหา


ดําเนินการ
ตามแผน




กระบวนการแกปญหาทเปนพลวัตตามแนวคิดของวิลสันและคณะ




ที่มา: Wilson; et al. 1993. Mathematical Problem Solving. In Research Ideas for
the Classroom: High School. p.61.


จากภาพประกอบข้างต้นสามารถอธิบายได้ว่า เมือเผชิญปญหาซึงอาจเปนปญหาทีผู้สอน









เป็นผู้ตั้งขึนหรือนักเรียนเปนผู้ตั้งขึ้นเองก็ตาม นักเรียนจะต้องเริมทําความเข้าใจปญหาก่อน


หลังจากนั้นจึงวางแผนแก้ปญหา พร้อมทั้งกําหนดยทธวิธีทีเหมาะสมในการแก้ปญหานั้น แล้ว





ดําเนนการตามแผนทีวางไว้ จนกระทั่งสามารถหาคําตอบได้ สุดท้ายพิจารณาความถูกต้อง




ความสมเหตุสมผลของคําตอบทีได้และยทธวิธีทีใช้แก้ปญหา สําหรับทิศทางของลูกศรนั้น เปน







การแสดงการพิจารณาหรือตัดสินใจทีจะเคลือนการกระทําจากขั้นตอนหนงไปสูอีกขั้นตอนหนง หรือ

พิจารณาย้อนกลับไปขั้นตอนก่อนหนาเมือมีข้อสงสัย เชน เมือนักเรียนทําการแก้ปญหาในขั้นทํา









ความเข้าใจปญหา และคิดว่ามีความเข้าใจปญหาดีแล้ว ก็เคลือนการกระทําไปสูขั้นวางแผนแก้



ปญหา หรือในขณะทีนักเรียนดําเนนการตามแผนซึงวางไว้ในขั้นดําเนนการตามแผน แต่ไม่สามารถ






ดําเนนการต่อไปได้ นักเรียนก็อาจย้อนกลับไปเริมวางแผนใหมในขั้นวางแผนแก้ปญหา หรือย้อนไป


ทบทวนทําความเข้าใจปญหาใหม่อีกครั้งในขั้นทําความเข้าใจปญหาก็ได้
๒๖




เนองจากกระบวนการแก้ปญหาตามแนวคิดของวิลสันและคณะ เปนการดําเนนการที ่




เกิดขึนได้ในการแก้ปญหาในชีวิตจริง ดังนั้นนักเรียนจึงไม่จําเปนต้องเริ่มต้นใหม่ในขั้นทําความเข้าใจ


ปญหาเสมอไป เรียกกระบวนการแก้ปญหาตามแนวคิดของวิลสันและคณะว่าเปนกระบวนการ





แก้ปญหาทีเปนพลวัต
สิงหนงทีผู้แก้ปญหาจะต้องกระทําเมือเผชิญกับปญหาคือการเลือกและใช้ยทธวิธีที ่








เหมาะสมในการแก้ปญหา ในการแก้ปญหาหนงๆ นอกจากผู้แก้ปญหาจะต้องมีความรู้พืนฐานที ่









เพียงพอและเข้าใจกระบวนการแก้ปญหาดีแล้ว การเลือกใช้ยทธวิธีการแก้ปญหาทีเหมาะสมและมี









ประสิทธิภาพสูงสุดก็เปนอีกปจจัยหนงทีชวยในการแก้ปญหา ถ้าผู้แก้ปญหามีความคุ้นเคยกับ




ยุทธวิธีการแก้ปญหาต่างๆ ทีเหมาะสมและหลากหลายแล้ว ผู้แก้ปญหาก็จะสามารถคัดเลือกยทธวิธี




เหล่านั้นมาปรับใช้ได้ทันที โดยไมต้องเสียเวลาลองผิดลองถูกมากนัก ยทธวิธีการแก้ปญหาซึงเปน





เครืองมือทีสําคัญและสามารถนามาใช้ในการแก้ปญหาได้ดีทีพบได้บอยในคณิตศาสตร์ (Billstein;


Libeskind; & Lott. 1997) มีดังน ้ ี
1) ลงมือปฏิบัติจริง
2) ใช้แผนภาพ/วาดตัวแบบ



3) แบ่งเปนปญหาย่อย/ทําปญหาให้ง่ายลง
4) ค้นหาแบบรูป

5) แจกแจงรายการอยางเปนระบบ/สร้างตาราง

6) เดาและตรวจสอบ/ลองผิดลองถูก
7) ทําย้อนกลับ
8) เขียนเปนประโยคทางคณิตศาสตร์/ใช้ตัวแปร


9) เปลียนมมมอง/นกถึงปญหาที่คล้ายกัน






นักเรียนควรเห็นตัวอยางการใช้ยทธวิธีต่างๆ ข้างต้นในการปฏิบัติการแก้ปญหา ซึงครู



ผู้สอนสามารถยกตัวอยางกระบวนการ/ขั้นตอนการแก้ปญหาตั้งแต่เริมต้นจนจบกระบวนการอยาง


เปนระบบตามแผนภูมิสายงานดังภาพประกอบต่อไปนได้ (Foong Pui Yee. 2007: 80)













๒๗

นึกภาพ เริ่ม

จากข้อมูล คําสําคัญ

อ่านปัญหา


ทวนปญหาด้วยภาษาของเราเอง
จัดการข้อมูลที่ได้รับ
อะไรคือสิ่งทีกําหนดให้

อะไรคือสิงที่ต้องค้นหา


ขอความ ไม่ใช่ เข้าใจแล้ว

ช่วยเหลือจากครู ใช่หรือไม ่ ลงมือปฏิบัติจริง/

ทดลอง
ทําปญหา ใช่ ใช้แผนภาพ


ให้งายลง สํารวจและเลือกยุทธวิธี หรือตัวแบบ
แจกแจงรายการ เดาและ

อย่างเปนระบบ ค้นหา นึกถึงปญหา ตรวจสอบ

เขียนเปนประโยค แบบรูป ที่คล้ายกัน


ทางคณตศาสตร์
ดําเนินการตามแผนและแก้ปญหา

ใช้ทักษะทางเรขาคณต ใช้ทักษะการคํานวณ

ใช้เหตุผลเชิงตรรกศาสตร์
ใช้ทักษะและแนวคิดทาง

ขอความ ไม่ใช่ คําตอบถูกต้องแล้ว คณตศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง

ช่วยเหลือ ใช่หรือไม ่
ตรวจสอบและปรับปรุง ใช่ ค้นหาการได้มาซึ่งคําตอบแบบอืนๆ

การได้มาซึ่งคําตอบ

ทาได้ดีมาก



ตั้ง / ขยายปญหา สร้างปญหาใหมที่คล้ายคลึงกัน



จะเกิดอะไรขึนถ้า......... และลงมือแก้ปญหานั้น




แผนภูมิสายงานแสดงกระบวนการ/ขั้นตอนการแกปญหา

ที่มา: Foong Pui Yee. 2007. Problem Solving in Mathematics. In Teaching
Primary School Mathematics: A Resource Book. Lee Peng Yee. p.80.


๒๘








ต่อไปนเป็นตัวอยางการประยกต์ใช้ยทธวิธีต่างๆ ในการแก้ปญหาซึงเปนเครืองมือทีสําคัญ










และสามารถนามาใช้ในการแก้ปญหาได้ดีที่พบได้บอยในคณิตศาสตร์ทั้ง 9 ยทธวิธี แต่ทั้งนไมได้
หมายความว่าปญหาแต่ละปญหาจะสามารถแก้ได้ด้วยยทธวิธีเฉพาะทีนาเสนอนเพียงอยางเดียว














เทานั้น ปญหาทีไม่คุ้นเคยทั้งหลายไม่จําเปนต้องจํากัดให้เปนปญหาทีตรงกับหัวข้อเรื่องคณิตศาสตร์







เรืองใดเรืองหนง และไมมีวิธีการแก้ปญหาทีตายตัวของแต่ละปญหา เราควรคํานงถึงการแก้ปญหา









แต่ละปญหาด้วยยทธวิธีทีแตกต่างและทีเปนไปได้มากกว่าเพียงยทธวิธีเดียว


1. ยุทธวิธลงมือปฏิบัติจริง

การลงมือปฏิบัติจริงเปนยทธวิธีแก้ปญหาแบบหนงทีเปนไปตามธรรมชาติ โดยปกติ










อาจทําคร่าวๆ ก่อน ไม่เนนความละเอียดและประณีตเพือให้เห็นภาพรวมของงานทีทํา เปนยทธวิธีที ่


ดีทีจะทําให้ผู้แก้ปญหาได้คิดผ่านการกระทําและทําให้มองเห็นภาพของสถานการณทีเปนรูปธรรม




เข้าใจง่าย พิจารณาตัวอยางปัญหาต่อไปน ี้

ปญหาจับคูชายหญิง


นักเรียนกลุมหน่งจํานวน 8 คน เปนนักเรียนชาย 5 คน และนักเรียน





หญิง 3 คน ครูต้องการเลือกนักเรียนชาย-หญิง 1 คูจากนักเรียนกลุม


นเพื่อถือพานไหว้ครู จํานวนคูของนักเรียนชาย-หญิงที่แตกต่างกันที่


เปนไปได้มีทั้งหมดกี่คู



ยุทธวิธ: ลงมือปฏิบัติจริง



โดยให้นักเรียนออกมาจับคู แล้วนับกรณีทีแตกต่างทีเปนไปได้ทั้งหมด

คําตอบ คือ 15 คู ่

2. ยุทธวิธใช้แผนภาพ/วาดตัวแบบ


การใช้แผนภาพ/วาดตัวแบบเปนการอธิบายสถานการณและแสดงความสัมพันธ์ของ



ข้อมูลต่างๆ ของปญหาด้วยแผนภาพหรือตัวแบบ ซึงการใช้แผนภาพหรือตัวแบบจะชวยให้เข้าใจ




ปญหาได้ง่ายขึน และบางครั้งก็สามารถหาคําตอบของปญหาได้โดยตรงจากแผนภาพหรือตัวแบบ
นั้น (พิจารณาตัวอยางปญหาติดตั้งสายโทรศัพท์ ในหนา ๓๐)




3. ยุทธวิธแบ่งเปนปญหาย่อย/ทําปญหาใหง่ายลง









ปญหาบางปญหาอาจดูเหมือนเปนปญหาใหญ่ อาจเปนเพราะขนาดของจํานวนหรือ





ความซับซ้อนของปญหา การแบงเปนปญหายอยหรือทําปญหาให้ง่ายลงจะชวยทําให้สามารถ








กําหนดแนวคิดในการแก้ปญหาและนาแนวคิดนั้นมาใช้แก้ปญหาทีกําหนดได้ วิธีการหนงของยทธวิธี



นคือการแบงปญหาออกเปนส่วนๆ หรือเริมต้นด้วยปญหาทีมีระดับความซับซ้อนนอยลง บางครั้ง








การทําปญหาให้ง่ายลงสามารถนาไปใช้เพือให้สามารถค้นหาแบบรูปของคําตอบได้ (พิจารณา





ตัวอยางปญหาติดตั้งสายโทรศัพท์ ในหนา ๓๐)

๒๙



4. ยุทธวิธคนหาแบบรูป



การค้นหาแบบรูปเปนการวิเคราะห์ปญหาและค้นหาความสัมพันธ์ของข้อมูลทีมี





ลักษณะเปนระบบหรือเปนแบบรูปในสถานการณ์ปญหานั้นๆ แล้วคาดเดาคําตอบ ซึงคําตอบทีได้จะ


ถูกยอมรับว่าเปนคําตอบทีถูกต้องเมือผ่านการตรวจสอบยืนยัน ยทธวิธีนมักจะใช้ในการแก้ปญหาที ่










เกียวกับเรืองจํานวนและเรขาคณิต การฝกฝนการค้นหาแบบรูปในเรื่องดังกล่าวเปนประจําจะชวยผู้




แก้ปญหาในการพัฒนาความรู้สึกเชิงจํานวนและทักษะการสือสาร ซึงเปนทักษะทีชวยให้ผู้แก้ปญหา





สามารถประมาณและคาดคะเนจํานวนทีพิจารณาโดยยังไมต้องคิดคํานวณก่อน ตลอดจนสามารถ
สะท้อนความรู้ความเข้าใจในแนวคิดทางคณิตศาสตร์และกระบวนการคิดของตนได้ พิจารณา
ตัวอยางปัญหาต่อไปน ี้


ปญหาติดตั้งสายโทรศัพท์

ในหมูบ้านแห่งหน่งมีบ้านเรือนทั้งหมด 20 หลัง ถ้าต้องการติดตั้ง


สายโทรศัพท์ให้โทรติดต่อหากันได้ทกบ้าน อยากทราบว่าจะต้องใช้
สายโทรศัพท์ทั้งหมดกี่เส้น (สายโทรศัพท์ 1 เส้น แทนการเชื่อมต่อ
กันระหว่างบ้าน 2 หลัง)

ยุทธวิธ: ใช้แผนภาพ/วาดตัวแบบ


แบ่งเปนปญหาย่อย/ทําปญหาให้ง่ายลง


ค้นหาแบบรูป

1 หลัง 0 เส้น → 0
2 หลัง 1 เส้น → 1
3 หลัง 3 เส้น → 1 + 2
4 หลัง 6 เส้น → 1 + 2 + 3





5 หลัง 10 เส้น → 1 + 2 + 3 + 4


20 หลัง → 1 + 2 + 3 + … + 19 = 190
คําตอบ คือ 190 เส้น







๓๐



5. ยุทธวิธแจกแจงรายการอย่างเปนระบบ/สร้างตาราง


การแจกแจงรายการอยางเปนระบบ/สร้างตารางเปนการจัดระบบข้อมูลโดยแยกเปน





กรณีๆ ทีเปนไปได้ แล้วอาจนาข้อมูลมาใส่ตาราง โดยตารางทีสร้างขึนจะชวยในการวิเคราะห์หา








ความสัมพันธ์อันจะนาไปสูการค้นพบแบบรูปหรือข้อชีแนะอืนๆ ตลอดจนชวยให้ไมหลงลืมหรือ







สับสนในกรณีใดกรณีหนงเมือต้องแสดงกรณีทีเปนไปได้ทั้งหมดของปญหา ผู้แก้ปญหาอาจขจัดกรณี






ทีไม่ใชออกก่อนแล้วค่อยค้นหาระบบหรือแบบรูปของกรณีทีเหลืออยู ซึงถ้าไมมีระบบในการแจกแจง

รายการทีเหมาะสมแล้ว ยทธวิธีนก็จะไม่มีประสิทธิภาพ พิจารณาตัวอยางปญหาต่อไปน ี้







ปญหาการแข่งขันยิงธน ู

โจเปนผู้จัดการแข่งขันยิงธน ซึ่งผู้แข่งขันแต่ละคนจะต้องยิงธน 3 ครั้ง



ครั้งละ 1 ดอก ถ้าผู้แข่งขันยิงธนครั้งใดไมถูกเปาจะไมนับแต้มให้และ



ถือว่าตกรอบทันที อยากทราบว่าคะแนนที่เปนไปได้ทั้งหมดจากการ

แข่งขันซึ่งโจจะต้องเตรียมบัตรคะแนนไว้มีทั้งหมดกี่แบบที่แตกต่าง
กัน

ยุทธวิธ: แจกแจงรายการอยางเปนระบบ/สร้างตาราง




คะแนน
แบบที ่
100 50 10 รวม
1 ↑↑↑ 300
2 ↑↑ ↑ 250
3 ↑↑ ↑ 210
4 ↑ ↑↑ 200
5 ↑ ↑ ↑ 160
6 ↑ ↑↑ 120
7 ↑↑↑ 150
8 ↑↑ ↑ 110
9 ↑ ↑↑ 70
10 ↑↑↑ 30


คําตอบ คือ 10 แบบทีแตกต่างกัน


6. ยุทธวิธเดาและตรวจสอบ/ลองผิดลองถูก

การเดาและตรวจสอบหรือการลองผิดลองถูกเปนการพิจารณาข้อมูลและเงือนไขต่างๆ

ทีปญหากําหนด ผสมผสานกับประสบการณเดิมทีเกียวข้องมาสร้างข้อความคาดการณ์ แล้วตรวจ






สอบความถูกต้องของข้อความคาดการณนั้น ถ้าการคาดเดาไม่ถูกต้องก็คาดเดาใหมโดยอาศัย

๓๑





ประโยชนจากความไมถูกต้องของการคาดเดาก่อนหนานั้นเปนกรอบในการคาดเดาคําตอบของ




ปญหาครั้งต่อไป ผู้แก้ปญหาควรคาดเดาอยางมีเหตุผลและมีทิศทาง เพือให้สิงทีคาดเดานั้นเข้าใกล้






คําตอบทีต้องการมากทีสุด พิจารณาตัวอยางปญหาต่อไปน ี้
ปญหาเติมเลขโดดในวงกลม


จงเติมเลขโดด 1, 2, 3, 4, 5 และ 6 ในวงกลมแต่ละวงต่อไปน แล้วทํา

ให้ผลบวกในแนวเส้นตรงทกแนวมีค่าเปน 12





ยุทธวิธ: เดาและตรวจสอบ/ลองผิดลองถูก

คําตอบ คือ


7. ยุทธวิธทําย้อนกลับ





การทําย้อนกลับเปนการวิเคราะห์ปญหาทีพิจารณาจากผลย้อนกลับไปสูเหตุ โดย
เริมต้นจากข้อมูลทีได้ในขั้นตอนสุดท้าย จากนั้นทําย้อนขั้นตอนกลับมาสูข้อมูลทีได้ในขั้นตอนเริมต้น








การทําแบบย้อนกลับใช้ได้ดีกับการแก้ปญหาทีต้องการอธิบายถึงขั้นตอนการได้มาซึงคําตอบ


พิจารณาตัวอยางปญหาต่อไปน ี้
ปญหาพนกงานเสิร์ฟ



เจนทํางานเปนพนักงานเสิร์ฟในร้านอาหารคาราโอเกะ โดยทางร้าน

กําหนดค่าแรงต่อชั่วโมงให้ดังน ถ้าทํางานในชวงก่อนเที่ยงคืน ให้



ค่าแรง 20 บาทต่อชั่วโมง แต่ถ้าทํางานในชวงหลังเที่ยงคืน ให้ค่าแรง

30 บาทต่อชั่วโมง คืนวันเสาร์วันหน่งเจนทํางานได้ค่าแรงทั้งหมด
160 บาท โดยทํางานจนถึงตี 2 อยากทราบว่าวันนั้นเจนเริ่มทํางาน
ตั้งแต่เวลาเทาไร



ยุทธวิธ: ทําย้อนกลับ
โดยนับถอยหลังทีละ 1 ชั่วโมง จากตี 2 และคํานวณจํานวนเงินค่าแรง
ทั้งหมดในแต่ละชั่วโมง



คําตอบ คือ เจนเริมทํางานตั้งแต่เวลา 19.00 น.



๓๒




8. ยุทธวิธเขยนเปนประโยคทางคณิตศาสตร์/ใชตัวแปร





ี้

การแก้ปญหาด้วยยทธวิธีนทําโดยการเปลียนประโยคภาษาในปญหาให้เปนประโยค

ทางคณิตศาสตร์ หรือสมมุติตัวแปรแทนจํานวนทีไม่ทราบค่า แล้วสร้างความสัมพันธ์ของข้อมูลต่างๆ



ตามเงือนไขทีปญหากําหนดกับตัวแปรทีสมมุติขึน แล้วพิจารณาหาคําตอบของปญหาจากความ








สัมพันธ์ทีสร้างขึน ปญหาบางปญหาสามารถสร้างความสัมพันธ์ในรูปสมการหรืออสมการทีสอด




คล้องกับปญหาได้ การแก้ปญหาลักษณะนทําได้โดยแก้สมการหรืออสมการ แล้วพิจารณาความ

เปนไปได้จากคําตอบของสมการหรืออสมการนั้น พิจารณาตัวอยางปญหาต่อไปน ี้




ปญหาหลุมฝงศพ

ที่หลุมฝงศพของนักคณิตศาสตร์ทานหน่งชื่อ ไดโอฟานตัส


(Diophantus, ค.ศ.246 – 330) ได้มีคําจารึกไว้ว่า “ไดโอฟานตัสใช้



ชีวิตในวัยเด็กเทากับ 1/6 ของชีวิตทาน ในวัยหนมเทากับ 1/12 ของ


ชีวิตทาน และหลังจากนั้นอีก 1/7 ของชีวิตท่านอยู่เปนโสด ภรรยา



ท่านคลอดลูกหลังจากแต่งงานแล้ว 5 ป ลูกของท่านเสียชีวิตก่อน
ท่าน 4 ป ในขณะที่มีชีวิตเท่ากับครึ่งหน่งของชีวิตท่าน” อยากทราบ




ว่าไดโอฟานตัสเสียชีวิตเมื่ออายได้เทาไร

ยุทธวิธ: เขียนเปนประโยคทางคณิตศาสตร์/ใช้ตัวแปร



สมมุติให้ไดโอฟานตัสเสียชีวิตเมื่ออายุ x ป และหลังจากมีลูกแล้วทานมีอายอีก y ปี



ก่อนเสียชีวิต จากปญหาสามารถเขียนเปนสมการได้ว่า

(x/6) + (x/12) +(x/7) + 5 + y = x ...........



จากปญหาบอกว่าลูกของทานเสียชีวิตก่อนทาน 4 ป แสดงว่าลูกของท่านเสียชีวิตเมือ










อายเทากับ y – 4 ปี ซึงค่านเทากับครึงหนงของชีวิตทาน นั่นคือ


y – 4 = x/2 ...........
แก้ระบบสมการ  และ  จะได้ x = 84


คําตอบ คือ ไดโอฟานตัสเสียชีวิตเมืออายได้ 84 ปี


9. ยุทธวิธเปลยนมุมมอง/นกถึงปญหาทคล้ายกัน
ี่








การเปลียนมมมองเปนการเปลียนการคิดหรือมมมองให้แตกต่างไปจากทีคุ้นเคย






ยทธวิธีนอาจเรียกว่าเปนการ “หยดคิดก่อน” (breaking out) เพราะว่าผู้แก้ปญหาต้องหยดคิดมอง







ปญหาให้รอบด้าน หาวิธีหรือหามมมองของปญหาใหมซึงอาจแปลกแยกไปจากวิธีปกติธรรมดา สิ่ง

สําคัญของยทธวิธีก็คือการเปลียนมมมองการคิดทีแตกต่างไปจากเดิมเพือทําให้แก้ปญหาได้ง่ายขึน


















นอกจากนเมือเผชิญกับปญหา สิงหนงทีผู้แก้ปญหาควรกระทําคือการพิจารณาว่าปญหานคล้ายกับ

ปญหาทีตนเคยแก้มาก่อนหรือไม ถ้าเปนปญหาทีคล้ายกับปญหาทีเคยแก้มาก่อน หรือมีบางส่วน








๓๓





ของปญหาคล้ายกับปญหาทีเคยแก้มาก่อน ผู้แก้ปญหาต้องคิดทบทวนถึงวิธีการหรือยทธวิธีทีเคยใช้








แล้วพิจารณาเพือนามาประยกต์ใช้กับปญหาทีกําลังเผชิญอยู พิจารณาตัวอยางปญหาต่อไปน ี้


ปญหา AB เทากับเทาไร



จากรูปกําหนดให้  AOBD เป็นรูปสี่เหลี่ยมมุมฉาก OB = 5 หน่วย

และ BC = 2 หนวย จงหาว่า AB เท่ากับเท่าไร



ยุทธวิธ: เปลียนมุมมอง




AB = OD เนองจากเส้นทแยงมมทั้งสองของรูปสีเหลียมมมฉากมีขนาดเท่ากัน




OD = OC = 5 + 2 = 7 เนองจากเปนรัศมีของวงกลม


ดังนั้น AB = OD = 7 หน่วย
คําตอบ คือ AB = 7 หน่วย





จากแนวคิดเกียวกับกระบวนการและยทธวิธีในการแก้ปญหาดังกล่าวข้างต้น สรปได้ว่า







กระบวนการแก้ปญหาเปนหลักการหรือขั้นตอนการแก้ปญหาอยางกว้างๆ ทีใช้ได้กับแทบทกปญหา



โดยกระบวนการแก้ปญหาทางคณิตศาสตร์ทีเปนทียอมรับ และนามาใช้กันอยางแพรหลาย คือ




กระบวนการแก้ปญหาตามแนวคิดของโพลยา ซึงประกอบด้วยขั้นตอนสําคัญสีขั้นตอนทีเรียกว่า




กระบวนการแก้ปญหาสีขั้นตอนของโพลยา ได้แก่ ขั้นที 1 : ทําความเข้าใจปญหา ขั้นที 2 : วางแผน












แก้ปญหา ขั้นที 3 : ดําเนนการตามแผน และขั้นที 4 : ตรวจสอบผล ส่วนยทธวิธีการแก้ปญหาเปน





เทคนคพิเศษเฉพาะทีอาจนาไปใช้ได้กับบางประเภทของปญหาตามความเหมาะสม โดยยทธวิธี





การแก้ปญหาซึงเปนเครืองมือที่สําคัญและสามารถนามาใช้ในการแก้ปญหาได้ดีที่พบได้บอยใน



คณิตศาสตร์ ได้แก่ 1) ลงมือปฏิบัติจริง 2) ใช้แผนภาพ/วาดตัวแบบ 3) แบ่งเป็นปญหายอย/ทํา

ปญหาให้ง่ายลง 4) ค้นหาแบบรูป 5) แจกแจงรายการอยางเปนระบบ/สร้างตาราง 6) เดาและ



ตรวจสอบ/ลองผิดลองถูก 7) ทําย้อนกลับ 8) เขียนเปนประโยคทางคณิตศาสตร์/ใช้ตัวแปร และ 9)










เปลียนมมมอง/นกถึงปญหาทีคล้ายกัน แต่ทั้งนไมได้หมายความว่าปญหาแต่ละปญหาจะสามารถแก้












ได้ด้วยยทธวิธีเฉพาะทีนาเสนอนเพียงอยางเดียวเทานั้น ปญหาทีไมคุ้นเคยทั้งหลายไมจําเปนต้อง

จํากัดให้เปนปญหาทีตรงกับหัวข้อเรืองคณิตศาสตร์เรืองใดเรื่องหนง และไมมีวิธีการแก้ปญหาที ่











ตายตัวของแต่ละปญหา เราควรคํานงถึงการแก้ปญหาแต่ละปญหาด้วยยทธวิธีทีแตกต่างและที ่




เปนไปได้มากกว่าเพียงยทธวิธีเดียว



๓๔

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

กิจกรรม 8 (กิจกรรมกลุม กลุมละ 3 คน)

กิจกรรม 8






จงแก้ปญหาต่อไปน พร้อมทั้งระบุยุทธวิธีทีใช้



 กําหนดจํานวนนับ 4 จํานวน ได้แก่ 1, 1, 9 และ 9 ให้นาจํานวนทั้งสีจํานวนนมา




ดําเนนการบวก ลบ คูณ หรือหารกัน (เลือกจากสีการดําเนนการนเทานั้น และแต่ละการดําเนนการ





จะเลือกใช้กี่ครั้งก็ได้) แล้วให้ได้ผลลัพธ์เปน 10




 โดงปาลูกดอก 4 ครั้งบนเปารูปวงกลมทีมีแต้ม

คะแนนต่างๆ ดังรูป โดยแต่ละครั้งทีปาลูกดอกจะได้แต้มคะแนนที ่

แตกต่างกัน และแต้มคะแนนรวมของโดงเมือปาครบ 4 ครั้งคือ 25

จงหาแต้มคะแนนแต่ละครั้งของโด่ง




 จงเติมเลขโดด 2, 4, 6 และ 8 ในช่องต่อไปน แล้วทําให้ผลคูณมีค่ามากทีสุด


 เมื่อกําหนดรูปสามเหลี่ยมมุมแหลมใดๆ ให้รูปหนึ่ง

จงสร้างรูปสีเหลียมจัตุรัสแนบในรูปสามเหลียมมมแหลมดังกล่าว









  ABCD เปนรูปสีเหลี่ยมจัตุรัสยาวด้านละ 10 หนวย จุด E, F, G และ H เป็นจด









กึงกลางแต่ละด้าน ดังรูป จงหาว่า  MNKS ซึงเปนรูปสีเหลียมจัตุรัสภายใน มีพืนทีกีตารางหนวย
๓๕

 มดตัวหนึ่งเดินรอบขอบโต๊ะรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าหนึ่งรอบใช้ระยะทางเดินทั้งสิ้น 270


เซนติเมตร ถ้าความยาวของโต๊ะเปนสองเทาของความกว้างของโต๊ะแล้ว โต๊ะตัวนจะมีขนาดความ
ี้


กว้างและความยาวเปนเทาไร

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
กิจกรรม 9 (กิจกรรมรายบคคล)

กิจกรรม 9




จากปญหาทั้งสีข้อต่อไปน ให้นสิตเลือกทําเพียง 2 ข้อเทานั้น โดยให้เขียนอธิบายวิธีการ




แก้ปญหาอยางละเอียด (ให้เวลา 1 ชั่วโมง 30 นาที)






ปญหา A วัวตัวหนง เจ้าของใช้เชือกผูกติดไว้ทีกึงกลางรั้วด้านหนงของโรงนา ซึงมีหญ้าอ่อน





เขียวขจีอยูรอบๆ โรงนา (ดังรูป) ถ้าเชือกทีผูกวัวนั้นมีความยาว 12 เมตร บริเวณ


พืนของโรงนามีลักษณะเปนรูปสามเหลียมด้านเทา ยาวด้านละ 8 เมตร





อยากทราบว่า บริเวณทีวัวสามารถกินหญ้าได้มากทีสุดนั้นมีพืนทีเปนเทาไร












ปญหา B มีตารางของจํานวนทีเรียงลําดับอยูตารางหนง โดยแต่ละแถวจะเรียงกัน 7 ตัว



(ดังรูป) ถ้าเราลองเอากรอบมุมฉากมาครอบจํานวนทั้งสามให้อยูภายในกรอบ

ปรากฏว่าผลบวกของจํานวนทั้งสามเทากับ 1,890



(ตัวอย่างเชน ในรูปจะได้ผลบวกเทากับ 10 + 11 + 18 = 39)

จงหาว่าต้องวางกรอบนในตําแหนงใดและทิศทางอยางไร



๓๖

(กรอบวางครอบได้ 4 แบบ คือ )

























ปญหา C ในตําบลแห่งหนงมีชางไฟฟา ช่างตัดผม และช่างซ่อมรองเท้า ทั้งสามคนมีชื่อว่า

สมปอง สมชาย และสมรักษ์ แต่เราไมรู้ว่าคนไหนมีอาชีพอะไร
บังเอิญว่าในตําบลแห่งนมีผู้ทีเรียนจบปริญญาเอก (ดอกเตอร์) อยู 3 คน ทีมีชือ








ซากันกับชางทั้งสาม คือ ดร.สมปอง ดร.สมชาย และ ดร.สมรักษ์




เมือได้สอบถามข้อมูลจากกํานันของตําบลแห่งน ทําให้รู้รายละเอียดว่า

1. ดร.สมชาย อาศัยอยูใน “หมู่บ้านร่มรื่น”
2. ช่างตัดผมอาศัยอยู่กึงกลางทางพอดิบพอดีระหว่าง “หมูบ้านรมเย็น”





กับ “หมูบ้านร่มรืน”
3. ดร.สมรักษ์มีรายได้เดือนละ 20,000 บาท พอดิบพอดี




4. ดอกเตอร์ทีมีบ้านอยูใกล้ทีสุดกับชางตัดผม มีรายได้เปน 3 เท่าของ

ช่างตัดผม พอดิบพอดี


5. ดอกเตอร์ทีมีชื่อเดียวกันกับช่างตัดผม อาศัยอยู่ในหมู่บ้านรมเย็น

6. สมปองเล่นหมากรุกชนะชางไฟฟา

อยากทราบว่า ช่างซ่อมรองเท้า ชืออะไร







ปญหา D สมพลและสมบัติเปนเพือนรักกัน ทั้งสองคนมีทีดินทีอยูติดกันดังรูป จากรูปให้





เปนเส้นแบ่งแยกทีดินทั้งสองฝ่ง

วันหนงสมบัติคิดได้ว่า ถ้าแนวเส้นแบงแยกทีดินเปนแนวเส้นตรงเพียงเส้นเดียว








เทานั้น จะทําให้ใช้ประโยชนของทีดินได้คุ้มค่ากว่า จึงไปคุยปรึกษากับสมพลเพือ






เจรจาขอจัดแบงทีดินเสียใหมให้มีแนวเส้นแบงแยกทีดินเพียงเส้นเดียว ซึงสมพล





ก็เห็นดีด้วย แต่ปญหาอยูทีว่าจะมีวิธีแบงทีดินอยางไรให้ยติธรรม นั่นคือพืนทีของ




๓๗

ทีดินของทั้งสองคนยังเทาเดิม



















นสิตจะมีวิธีแก้ปญหาแบงทีดินให้ยติธรรมได้อยางไร …?



----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------



























































๓๘


Click to View FlipBook Version