The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เนื้อหาเกี่ยวความรู้พื้นฐานการจัดทำงบต้นทุน

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Tan Pornpimon, 2023-08-26 14:16:09

จัดทำงบต้นทุน

เนื้อหาเกี่ยวความรู้พื้นฐานการจัดทำงบต้นทุน

Keywords: งบต้นทุน

การจัจั จั ดจั ดทำทำทำทำงบต้ต้ ต้ น ต้ นทุทุทุ น ทุ น Name :


ความหมายและวัวัต วั ต วัถุถุถุ ป ถุ ประสงค์ค์ ค์ค์ ของการบับั บั ญบั ญชีชี ชี ต้ชี ต้ ต้ นต้ นทุทุทุ น ทุ น


การบัญชีต้นทุน เป็นการบัญชีส่วนหนึ่งของกิจการซึ่งแยกจากบัญชีการเงิน เพื่อจดบันทึก รวบรวมข้อมูล และรายงานข้อมูลเกี่ยวกับต้นทุนที่เกิดขึ้นในการประกอบกิจการหนึ่งๆ ซึ่งอาจเป็นกิจการที่ผลิตสินค้า กิจการที่ให้ บริการหรือบริการอื่นๆ ที่นำ บัญชีต้นทุนไปใช้ โดยทั่วไปแล้วการบัญชีต้นทุนมีความสำ คัญและเกี่ยวข้องกับกิจการที่ ผลิตสินค้ามากที่สุด เนื่องจากการผลิตสินค้าต้องใช้วัตถุดิบ แรงงานและค่าใช้จ่ายการผลิต ในจำ นวนที่แตกต่างกัน แต่ละขั้นตอนการผลิต จึงจำ เป็นต้องสะสมข้อมูลต้นทุนที่เกิดขึ้น เพื่อรวบรวมและนำ ไปใช้ประโยชน์ในการดำ เนิน งานและการตัดสินใจของฝ่ายบริหาร จึงอาจกล่าวได้ว่าขอบเขตงานของการบัญชีต้นทุน คือ การรวบรวมข้อมูลต้นทุนการบันทึกข้อมูลต้นทุนต่างๆ ที่เกิดขึ้น และการจัดทำ รายงานเกี่ยวกับต้นทุน ความหมายของการบับั บั ญบั ญชีชี ชี ต้ชี ต้ ต้ น ต้ นทุทุทุ น ทุ น


การบัญชีต้นทุน เป็นวิธีการบัญชีที่ให้ข้อมูลต้นทุนสินค้าที่ผลิตของกิจการและนำ ไปใช้ในการจัดทำ งบการเงิน ซึ่งบุคคลภายนอกอาจใช้เป็นเครื่องมือช่วยในการตัดสินใจลงทุน และฝ่ายบริหารสามารถนำ ไปใช้ในการตัดสินใจ วางแผน ควบคุม และประเมินผลของฝ่ายต่างๆได้ การบัญชีต้นทุนจึงมีวัตถุประสงค์ที่สำ คัญ ดังนี้ 1. สะสมและรวบรวมข้อมูลต้นทุนที่เกี่ยวกับสินค้าสำ หรับงวดระยะเวลาหนึ่งๆ เพื่อ (1.) คำ นวณหาต้นทุนสินค้าที่ขายประจำ งวด และจัดงบกำ ไรขาดทุน เพื่อแสดงผลการดำ เนินงาน (2.) ใช้ในการตีราคาสินค้าคงเหลือ เพื่อนำ ไปแสดงในงบแสดงฐานะการเงิน (3.) ใช้ในการกำ หนดราคา 2. ใช้ในการวางแผนควบคุมต้นทุน ฝ่ายบริหารจะต้องจัดทำ งบประมาณหรือต้นทุนมาตรฐานไว้ เพื่อให้การ ดำ เนินงานเป็นไปตามแผนที่กำ หนดไว้ ต้นทุนที่เกิดขึ้นจริงจะนำ มาเปรียบเที่ยบกับต้นทุนตามงบประมาณ ซึ่งฝ่าย บริหารต้องวิเคราะห์และพิจารณาถึงสาเหตุของผลต่างที่เกิดขึ้นเพื่อปรับปรุงแก้ไขและนำ ไปประกอบในการวางแผน ต่อไป 3. ใช้เป็นเครื่องมือในการตัดสินใจ เช่น การลงทุนซื้อเครื่องจักรใหม่มาใช้ในการผลิต ซึ่งต้องใช้ข้อมูลเกี่ยวกับ ต้นทุนของสินค้าที่ผลิต วัวั วั ตุวั ตุตุ ป ตุ ประสงค์ค์ ค์ ข ค์ ของการบับั บั ญบั ญชีชี ชี ต้ชี ต้ ต้ น ต้ นทุทุทุ น ทุ น


กกาารรจำจำจำจำจำจำแแนนกก ปปรระะเเภภททต้ต้ต้ ต้ นต้ นต้ นทุทุทุทุ น ทุ น ทุ น


การจำ แนกต้นทุน ต้นทุนย่อมแตกต่างกันไปตาม วัตถุประสงค์ของการนำ ต้นทุนไปใช้ ผู้ ต้องการใช้ข้อมูลต้นทุนจึงควรแจ้งให้ ทราบว่า ต้องการนำ ข้อมูลต้นทุนไปใช้ เพื่อวัตถุประสงค์ใด เพื่อจะได้รวบรวม ต้นทุนให้ตรงตามความต้องการ และ เพื่อสนองความต้องการที่จะได้รับข้อมูล ต้นทุนซึ่งมีลักษณะต่างๆกัน จึงจำ แนก ประเภทต้นทุน ดังนี้ จำ แนกตามส่วนประกอบของสินค้า จำ แนกตามความสัมพันธ์ที่มีต่อการผลิต จำ แนกตามความสัมพันธ์กับปริมาณกิจกรรม จำ แนกตามแผนกที่ต้นทุนเกิดขึ้น จำ แนกตามงวดบัญชี จำ แนกตามความประสงค์ในการควบคุมต้นทุน จำ แนกตามความประสงค์ในการวางแผนและตัดสินใจ


1.การจำ แนกประเภทต้นทุนตามส่วนประกอบของสินค้า ต้นทุนการผลิตสินค้าแยกออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ คือ วัตถุดิบ ค่าแรงงาน และค่าใช้จ่ายการผลิต ต้นทุนทั้ง 3 ประเภท นี้เป็นส่วนประกอบ ที่สำ คัญในการผลิตสินค้า รายละเอียดของต้นทุนเหล่านี้ ทำ ให้ส ห้ ามารถคำ นวณหาราคาต้นทุนสินค้าต่อหน่วย ได้ ซึ่งเป็นประโยชน์ในด้านการคำ นวณหาต้นทุนสินค้าที่ขาย และการตีราคาสินค้าคงเหลือ วัตถุดิบ (Materials) หมายถึง สิ่งของที่เป็นส่วนประกอบสำ คัญที่ต้องใช้ในการผลิตสินค้า แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ (1) วัตถุดิบทางตรง (Direct Materials) หมายถึง สิ่งของที่ใช้ในการผลิตสินค้าโดยตรง และเมื่อดำ เนินการผลิตแล้ว จะแปร สภาพเข้าไปอยู่ในสินค้าที่ผลิตนั้น ซึ่งสามารถคำ นวณปริมาณและต้นทุนวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตต่อหนึ่งหน่วยได้โดยง่าย เช่น ใน การผลิตเสื้อ 1 ตัว ต้องใช้วัตถุดิบทางตรง คือ ผ้า 2 เมตร ผ้าราคาเมตรละ 50 บาท ต้นทุนวัตถุดิบของเสื้อ 1 ตัว จึงเท่ากับ 100 บาท 31DM (2) วัตถุดิบทางอ้อม (Indirect Materials) หมายถึง สิ่งของที่ใช้ในการผลิตจำ นวนน้อยหรือมีค่าไม่มาก ซึ่งอาจจะแปรสภาพ หรือไม่แปรสภาพเข้าไปอยู่ในสินค้าที่ทำ การผลิตก็ได้ และเป็นการยากที่จะคำ นวณต้นทุนว่าสินค้า 1 หน่วย จะต้องใช้วัตถุดิบทาง อ้อมเท่าใด เช่น กิจการอุตสาหกรรมผลิตเฟอร์นิเจอร์ ไม้จะต้องใช้กระดาษทรายในการขัดไม้ให้เรียบ ซึ่งผู้ผลิตไม่สามารถกำ หนด ได้ว่าไม้ 1 แผ่น ต้องใช้กระดาษ ทรายจํานวนเท่าใด


ค่าแรงงาน (Labor) หมายถึง จำ นวนเงินที่กิจการจ่ายสำ หรับค่าจ้างของคนงานที่ทำ การผลิต สินค้า แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ (1) ค่าแรงงานทางตรง (Direct Labor) หมายถึง ค่าแรงงานของคนงานที่ทำ การแปรสภาพ หรือประกอบวัตถุดิบให้เป็นสินค้า เช่น ค่าแรงพนักงานเรียงพิมพ์ในกิจการโรงพิมพ์ ค่าแรงพนักงาน ประกอบชิ้นส่วนเครื่องไฟฟ้าในกิจการอุตสาหกรรมเครื่องไฟฟ้า เป็นต้น 1 ปี) (2) ค่าแรงงานทางอ้อม (Indirect Labor) หมายถึง ค่าแรงงานของคนงานที่มิได้ทำ การผลิตสินค้าโดยตรง เช่น เงินเดือน หัวหน้าคนงาน เงินเดือนพนักงานทำ ความสะอาด เป็นต้น วัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตจะเป็นวัตถุดิบทางตรงหรือไม่ พิจารณาจากปัจจัยที่สำ คัญ 2 ประการ คือ ก. ต้องเป็นส่วนประกอบที่สำ คัญของสินค้าที่ทำ การผลิต ข. สามารถคำ นวณปริมาณและต้นทุนวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตสินค้าต่อหนึ่งหน่วยได้โดยง่าย หากวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตไม่เป็น ไปตามปัจจัยข้อใดข้อหนึ่ง วัตถุดิบที่ใช้นั้นจัดเป็นวัตถุดิบ ทางอ้อม และจะนำ ไปไว้ในรายการค่าใช้จ่ายการผลิต การพิจารณาค่าแรงงานว่าเป็นค่าแรงงานทางตรงหรือไม่ พิจารณาจากปัจจัย 2 ประการ ดังนี้ ก. ต้องเป็นแรงงานที่ใช้ในการผลิตสินค้าโดยตรง ข. สามารถคำ นวณจำ นวนชั่วโมง และต้นทุนค่าแรง ในการผลิตสินค้าหนึ่งหน่วยได้โดยง่าย หากพิจารณาค่าแรงที่เกิดขึ้นแล้ว ขาดปัจจัยข้อใดข้อหนึ่ง ค่าแรงงานนั้นจัดเป็นค่าแรงงาน ทางอ้อม จะนำ ไปไว้ในรายการค่าใช้จ่ายการผลิต


ค่าใช้จ่ายการผลิต (Factory Overhead) หมายถึง ค่าใช้จ่ายใด สินค้า นอกเหนือจากวัตถุดิบทางตรงและค่าแรงงานทางตรง ซึ่ง แยกออกเป็น (1) วัตถุดิบทางอ้อม (2) ค่าแรงงานทางอ้อม (3) ค่าใช้จ่ายการผลิตอื่น ๆ เช่น ค่าเสื่อมราคาอาคารโรงงาน ค่าเช่าโรงงาน ค่าใช้จ่าย เบ็ดเตล็ดโรงงาน ค่าน้ำ -ค่าไฟ เป็นต้น


2.การจำ แนกประเภทต้นทุนตามความสัมพันธ์ที่มีต่อการผลิต การผลิตสินค้าของกิจการ อุตสาหกรรม จะดำ เนินการผลิตตามขั้นตอนที่กำ หนดไว้ การใช้วัตถุดิบ แรงงาน และค่าใช้จ่าย การผลิต จึงเกิดขึ้นอย่างเป็นลำ ดับต่อเนื่อง ต้นทุนที่เกิดขึ้นตามความสัมพันธ์ของการผลิต จึงแยกออกเป็น ต้นทุนขั้นต้น (Prime Cost) และต้นทุนแปรสภาพ (Conversion Cost) ต้นทุนขั้นต้น (Prime Cost) คือ ต้นทุนรวมของวัตถุดิบทางตรง และค่าแรงงานทางตรง ต้นทุนแปรสภาพ (Conversion Cost) คือ ต้นทุนรวมของค่าแรงงานทางตรงและค่าใช้จ่ายการผลิต ซึ่งเป็นต้นทุนที่ใช้ใน การแปรสภาพวัตถุดิบให้เป็นสินค้าสำ เร็จรูป ความสัมพันธ์ของต้นทุนการผลิต สามารถแสดงเป็นแผนภาพได้ดังรูปที่ 1.1 ต้นทุนการผลิต (Manufacturing Cost) ต้นทุนขั้นต้น ต้นทุนแปรสภาพ วัตถุดิบทางตรง ค่าแรงงานทางตรง ค่าใช้จ่ายการผลิต


3.การจำ แนกประเภทต้นทุนตามความสัมพันธ์กับปริมาณกิจกรรม ต้นทุนที่เกิดขึ้นจะเปลี่ยนแปรไปตามปริมาณกิจกรรม ต้นทุนบางประเภทอาจเปลี่ยนไปเมื่อปริมาณกิจกรรมเพิ่มขึ้นหรือลด ลง เช่น วัตถุดิบ หากผลิตสินค้าปริมาณมาก วัตถุดิบที่ใช้ก็จะมากไปตามปริมาณการผลิตด้วย แต่ต้นทุนบาง ประเภทจะไม่ เปลี่ยนแปลงไปตามปริมาณกิจกรรม เช่น ค่าเสื่อมราคา ดังนั้นในการจัดทำ งบประมาณจึง จำ เป็นต้องศึกษาถึงพฤติกรรมของ ต้นทุนที่แปรเปลี่ยนไปตามปริมาณกิจกรรม ซึ่งสามารถจำ แนกต้นทุนที่มีความสัมพันธ์กับปริมาณกิจกรรมออกเป็น 3 ประเภท คือ ต้นทุนผันแปร (Variable Cost) ต้นทุนคงที่ (Fixed Cost) ต้นทุนกึ่งผันแปร (Semivariable Cost) ต้นทุนผันแปร (Variable Cost) หมายถึง ต้นทุนที่ต้นทุนรวมจะเปลี่ยนแปลงเป็นอัตราส่วน โดยตรงกับปริมาณกิจกรรม กล่าว คือ หากปริมาณกิจกรรมเพิ่มขึ้น ต้นทุนก็จะเพิ่มขึ้นในปริมาณที่เป็นอัตราส่วนกัน เช่น ในการผลิตสินค้า 1 หน่วย ใช้วัตถุดิบ ทางตรง 2 กิโลกรัม ราคากิโลกรัมละ 10 บาท ผลิตสินค้า 200 หน่วย จะใช้วัตถุดิบ 400 กิโลกรัม ต้นทุนวัตถุดิบรวมเท่ากับ 4,000 บาท และหากผลิตสินค้าลดลง ต้นทุนก็จะลดลงเป็นอัตราส่วนเดียวกัน เช่น หากผลิตสินค้าเพียง 100 หน่วย จะใช้ วัตถุดิบ 200 กิโลกรัม ต้นทุนวัตถุดิบรวมเท่ากับ 2,000 บาท


ต้นทุนผันแปรมีลักษณะที่สำ คัญดังต่อไปนี้ (1) ต้นทุนจะผันแปรไปเป็นอัตราส่วนโดยตรงกับปริมาณกิจกรรม (2) ต้นทุนต่อหน่วยจะคงที่ ไม่ว่าปริมาณกิจกรรมจะเพิ่มขึ้นหรือลดลง (3) สามารถทราบได้ง่ายว่าเป็นต้นทุนของแผนกใด (4) หัวหน้าแผนกที่ก่อให้เกิดต้นทุนประเภทนี้ จะเป็นผู้รับผิดชอบโดยตรงในการควบคุมต้นทุน ตัวอย่างของต้นทุน ผันแปร ได้แก่ วัตถุดิบทางตรง ค่าแรงงาน วัสดุสิ้นเปลือง ลักษณะการเปลี่ยนแปลงของต้นทุนผันแปร แสดงในรูปของแผนภูมิได้ดังรูปที่ 1.2 ปริมาณผลิต (ชิ้น) ต้นทุนวัตถุดิบ (บาท) 0 100 200 300 400 500 1,000 2,000 3,000 4,000 จากรูปที่ 1.2 จะเห็นว่า ในการผลิตสินค้า 200 หน่วย จะมี ต้นทุนวัตถุดิบ 2,000 บาท และ หากผลิตสินค้า 400 หน่วย ต้นทุนวัตถุดิบจะเปลี่ยนเป็น 4,000 บาท แต่ถ้าไม่มี การผลิตสินค้าเลย ต้นทุน วัตถุดิบจะมีค่าเป็นศูนย์


ต้นทุนคงที่ (Fixed Cost) หมายถึง ต้นทุนที่ต้นทุนรวมไม่เปลี่ยนแปลงตลอดช่วงที่พิจารณา แม้ว่าปริมาณกิจกรรมจะเปลี่ยนแปลง ต้นทุนคงที่อาจเพิ่มขึ้นหรือลดลงในกรณีที่ระดับปริมาณกิจกรรม เปลี่ยนแปลงไป แต่จะเป็นต้นทุนคงที่ในระดับปริมาณกิจกรรม ใหม่ เช่น กิจการผลิตสินค้าปีละ 10,000 ชิ้น โดยใช้เครื่องจักร 1 เครื่อง มีค่าเสื่อมราคาปีละ 10,000 บาท ในปีต่อมาต้องการ ขยายการผลิตให้ได้ปีละ 20,000 ชิ้น จึงมีนโยบายซื้อเครื่องจักรใหม่ โดยมีค่าเสื่อมราคาเพิ่มขึ้นปีละ 5,000 บาท จะเห็นว่า ค่าเสื่อมราคาเครื่องจักรจะคงที่ ณ ช่วงระดับการผลิตสินค้า 10,000 ชิ้น เมื่อกิจการเปลี่ยนแปลงระดับ การผลิต ค่าเสื่อมราคาก็ จะเปลี่ยนไปในช่วงระดับการผลิตใหม่ ลักษณะที่สำ คัญของต้นทุนคงที่ (1) จะคงที่ ณ ระดับปริมาณกิจกรรมที่กำ หนดไว้ ไม่ว่าปริมาณกิจกรรมจะเพิ่มขึ้นหรือลดลง (2) ต้นทุนต่อหน่วยของต้นทุนคงที่จะเปลี่ยนไปตามปริมาณกิจกรรม หากปริมาณกิจกรรมลดลง ต้นทุนต่อหน่วยจะสูงขึ้น และต้นทุนต่อหน่วยจะลดลง เมื่อปริมาณกิจกรรมเพิ่มขึ้น (3) การแบ่งสรรต้นทุนคงที่ให้แต่ละแผนกขึ้นอยู่กับหลักเกณฑ์ที่ใช้ในการแบ่งสรร หรือการ ตัดสินใจของฝ่ายจัดการ (4) การควบคุมต้นทุนคงที่เป็นความรับผิดชอบของฝ่ายจัดการ ตัวอย่างต้นทุนคงที่ ได้แก่ ค่าเสื่อมราคาเครื่องจักร ค่าเสื่อม ราคาโรงงาน ค่าเช่าโรงงาน


ลักษณะของต้นทุนคงที่ แสดงในรูปของแผนภูมิได้ดังรูปที่ 1.3 ปริมาณผลิต (ชิ้น) จำ นวนเงิน (บาท) 10,000 20,000 8,000 16,000 ช่วงที่พิจารณา ช่วงที่พิจารณา (1) (2) จากรูปที่ 1.3 จะเห็นว่าในช่วงที่พิจารณา (1) ตั้งแต่ 0-10,000 ชิ้น จะมีค่าเสื่อมราคาเกิดขึ้น 8,000 บาท แต่ในช่วงที่พิจารณา (2) ตั้งแต่ 10,001-20,000 ชิ้น ค่าเสื่อมราคาจะเพิ่มขึ้นเป็น 16,000 บาท


ต้นทุนกึ่งผันแปร (Semivariable Cost) หมายถึง ต้นทุนที่ต้นทุนรวมจะเปลี่ยนแปลงตาม ปริมาณกิจกรรม แต่ไม่เป็นอัตราส่วน โดยตรงกับปริมาณกิจกรรม ต้นทุนกึ่งผันแปรแยกออกเป็น 2 ประเภท คือ (1) ต้นทุนผสม (Mixed Cost) (2) ต้นทุนตามขั้นกิจกรรม (Step Cost) หรือต้นทุนกึ่งคงที่ (Semifixed Cost ต้นทุนผสม (Mixed Cost) หมายถึง ต้นทุนที่มีทั้งต้นทุนผันแปร และต้นทุนคงที่รวมกันอยู่ ต้นทุนส่วนที่ผันแปร คือ ต้นทุน ที่เกี่ยวข้องกับระดับปริมาณกิจกรรมและจะผันแปรไปตามปริมาณกิจกรรม ส่วนต้นทุนที่คงที่ คือ ต้นทุนอย่างต่ำ ของการให้ บริการซึ่งจะคงที่ ณ ระดับปริมาณกิจกรรมหนึ่ง การนำ ต้นทุน ประเภทนี้ไปใช้ในการตัดสินใจ จึงควรมีการแยกบัญชีออกตาม ส่วนที่คงที่และส่วนที่ผันแปร เช่น ค่าโทรศัพท์ จะมีค่าใช้จ่ายคงที่เดือนละ 100 บาท และค่าใช้จ่ายผันแปรในการโทร. อีก ครั้งละ 3 บาท หากในเดือน มีนาคมมีการใช้โทรศัพท์ 40 ครั้ง ต้นทุนตามขั้นกิจกรรม (Step Cost) หรือต้นทุนกึ่งคงที่ (Semifixed Cost) หมายถึง ต้นทุนที่จะคงที่ในระดับปริมาณ กิจกรรมหนึ่ง ๆ และเมื่อเปลี่ยนระดับปริมาณกิจกรรมไปอีกระดับหนึ่ง ต้นทุนคงที่จะเปลี่ยนไปและจะคงที่ในระดับปริมาณ กิจกรรมใหม่ ต้นทุนนี้มีลักษณะเป็นขั้น ๆ เช่น กิจการ ผลิตสินค้า 500 หน่วย ใช้คนงาน 10 คน หัวหน้าควบคุมคนงาน 1 คน เงินเดือนหัวหน้าคนงานเดือนละ 4,000 บาท หากกิจการผลิตสินค้าเพิ่มขึ้นอีก 500 หน่วย โดยต้องจ้างคนงานเพิ่มอีก 10 คน และหัวหน้า คนงานเพิ่มอีก 1 คน


4.การจำ แนกประเภทต้นทุนตามแผนกที่ต้นทุนเกิดขึ้น กิจการอุตสาหกรรมอาจแบ่งการทำ งาน เป็นแผนกเพื่อความสะดวกในการผลิต ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นแผนกใหญ่ ๆ ได้ 2 แผนก คือ แผนกผลิต ๆ (Production Departments) และแผนกบริการ (Service Departments) แผนกผลิต (Production Departments) คือ แผนกที่ทำ การแปรสภาพวัตถุดิบให้เป็นสินค้า สำ เร็จรูป ไม่ว่าจะใช้เครื่องจักรหรือ แรงงานคน ต้นทุนของแผนกผลิตจะถือเป็นต้นทุนของสินค้า เพราะ เป็นต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการผลิตโดยตรง กิจการอาจจะ แบ่งแผนกผลิตออกเป็นหลายแผนกก็ได้ ขึ้นอยู่กับ ลักษณะของสินค้าที่ผลิตและขั้นตอนที่ทำ การผลิต เช่น โรงงานผลิต รถยนต์ แบ่งแผนกผลิตออกเป็นแผนก ดังนี้ แผนกประกอบ แผนกพ่นสี แผนกอบชุบ แผนกตกแต่ง เป็นต้น การที่แบ่ง แผนกผลิตเป็นหลายแผนก ต้นทุนต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นของแต่ละแผนก จะบันทึกแยกจากกันโดยบันทึกเข้าแผนกผลิตที่เกิด ต้นทุนนั้น ๆ แผนกบริการ (Service Departments) คือ แผนกที่ไม่เกี่ยวข้องกับการผลิตโดยตรง แต่ให้ บริการแก่แผนกอื่น ๆ ทั้งที่เป็น แผนกผลิตและแผนกบริการด้วยกัน เช่น แผนกบุคคล แผนกรักษาพยาบาล แผนกบริหารโรงงาน แผนกทำ ความสะอาด เป็นต้น ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในแผนกบริการจะถูกรวบรวม ๆ และแบ่งสรรให้กับแผนกผลิต


เมื่อได้จำ แนกต้นทุนตามแผนกแล้ว ต้นทุนที่เกิดขึ้นในแต่ละแผนกจะอยู่ในความรับผิดชอบ ของหัวหน้าแผนก ต้นทุนที่ หัวหน้าแผนกมีอำ นาจในการตัดสินใจสั่งการและควบคุมได้ เรียกว่า “ต้นทุนที่ ควบคุมได้” (Controllable Cost) เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ วัตถุดิบทางอ้อม เป็นต้น ส่วนต้นทุนที่หัวหน้าแผนก ไม่สามารถควบคุมได้เนื่องจากหัวหน้าแผนกไม่มีอำ นาจในการ ตัดสินใจและสั่งการ เรียกว่า “ต้นทุนที่ควบคุม ไม่ได้” (Uncontrollable Cost) เช่น ค่าเช่า ค่าเสื่อมราคา ค่าเบี้ยประกัน ค่าใช้ จ่ายที่ได้รับจากการ ปันส่วนของแผนกบริการ เป็นต้น


5.การจำ แนกประเภทต้นทุนตามงวดบัญชี ต้นทุนที่เกิดขึ้นในการดำ เนินงานในงวดบัญชี หนึ่ง ๆ ต้องมีการพิจารณาว่าต้นทุนนั้นมีการใช้ประโยชน์อย่างไร หากต้นทุนถูก ใช้ประโยชน์ไปแล้วจะ จำ แนกเป็นค่าใช้จ่าย นำ ไปคิดเข้ากับงวดบัญชีนั้น ส่วนต้นทุนที่ยังใช้ประโยชน์ไม่หมดถือเป็นต้นทุน ของ สินทรัพย์ที่จะนำ ไปใช้ประโยชน์ต่อไปในงวดหน้า และเพื่อประโยชน์ในการคำ นวณหากำ ไรหรือขาดทุนจาก การดำ เนิน งาน จึงจำ เป็นต้องแยกต้นทุนและค่าใช้จ่ายออกจากกัน ซึ่งแยกออกเป็น 2 ประเภท คือ ต้นทุน สินค้า (Product Cost) และ ต้นทุนประจำ งวด (Period Cost) ต้นทุนสินค้า (Product Cost) เป็นต้นทุนที่เกิดจากการผลิตสินค้าโดยตรง ซึ่งประกอบด้วย วัตถุดิบ ค่าแรง และค่าใช้จ่ายการ ผลิต ต้นทุนสินค้าจะถูกตัดเป็นค่าใช้จ่ายต่อเมื่อมีการขายสินค้า ส่วนสินค้า ที่ยังไม่ได้ขายยังคงเป็นต้นทุนของสินทรัพย์ที่นำ ไป แสดงในงบดุลทั้งจำ นวน ดังนั้น ต้นทุนสินค้าที่เกิดขึ้นใน งวดบัญชีหนึ่งจึงอาจเป็นค่าใช้จ่ายส่วนหนึ่ง และเป็นต้นทุนอีกส่วนหนึ่ง ต้นทุนประจำ งวด (Period Cost) เป็นต้นทุนที่ไม่เกี่ยวข้องกับการผลิต จึงไม่นำ ไปคิดเป็นต้นทุน สินค้าที่ผลิต แต่จะพิจารณา ต้นทุนที่เกิดขึ้นว่า เป็นต้นทุนที่เกิดขึ้นและให้ประโยชน์ในงวดบัญชีใด หากเป็น ต้นทุนที่เกิดขึ้นและให้ประโยชน์ในงวดบัญชี เดียวกัน ถือเป็นค่าใช้จ่าย เช่น ค่าใช้จ่ายในการขาย ค่าใช้จ่าย ในการบริหาร เป็นต้น ส่วนต้นทุนที่ให้ประโยชน์ต่อกิจการ มากกว่าหนึ่งงวดบัญชี ถือเป็นรายจ่ายลงทุน (Capital Expenditure) เช่น ซื้อเครื่องจักร เครื่องใช้สำ นักงานมาใช้ ซึ่งบันทึกเป็น สินทรัพย์ไม่หมุนเวียน เมื่อมีการตัดค่าเสื่อมราคาประจำ ปี จะถือเป็นค่าใช้จ่ายประจำ งวด


6.การจำ แนกประเภทต้นทุนตามความประสงค์ในการควบคุมต้นทุน ในการวัดผลการ ดำ เนินงานเพื่อจัดทำ งบการเงิน จะใช้ข้อมูลต้นทุนที่เกิดขึ้นจริงซึ่งจะทราบต่อเมื่อมีการปิดบัญชี ทำ ให้ ไม่สามารถควบคุมต้นทุนและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้ในขณะดำ เนินงาน ฝ่ายบริหารจึงกำ หนดต้นทุนที่ควร จะเกิดขึ้นไว้ล่วง หน้า เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการวางแผนและควบคุมการดำ เนินงาน คือ ต้นทุนโดยประมาณ (Estimated Cost) และต้นทุน มาตรฐาน (Standard Cost) ต้นทุนโดยประมาณ (Estimated Cost) คือ ต้นทุนที่กิจการประมาณการไว้ล่วงหน้าสำ หรับ การผลิตสินค้า โดยจะประมาณ วัตถุดิบที่ใช้ ค่าแรงงาน และค่าใช้จ่ายการผลิต ในการประมาณค่าใช้จ่าย การผลิต จะประมาณโดยใช้อัตราส่วนความ สัมพันธ์ของค่าใช้จ่ายการผลิตกับปัจจัยการผลิต ซึ่งพิจารณาว่า ค่าใช้จ่ายการผลิตที่เกิดขึ้นนั้นเพิ่มขึ้นหรือลดลงสัมพันธ์กับ ปัจจัยใด เช่น ต้นทุนวัตถุดิบที่เบิกใช้ ชั่วโมง แรงงาน ชั่วโมงเครื่องจักร จำ นวนเงินค่าแรง เป็นต้น ต้นทุนโดยประมาณนี้ จะนำ มาใช้ในการจัดทำ งบประมาณ และเป็นเกณฑ์ที่ใช้ในการเปรียบเทียบ กับต้นทุนที่เกิดขึ้นจริง ว่ามีความแตกต่างจากที่ประมาณไว้เท่าใด ทำ ให้ฝ่ายบริหารสามารถหาสาเหตุและ แก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ ได้


ต้นทุนมาตรฐาน (Standard Cost) คือ ต้นทุนการผลิตที่ประมาณขึ้นก่อนการผลิตอย่างมี หลักเกณฑ์และระมัดระวัง โดยใช้ ปัจจัยการผลิตที่มีอยู่อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นการกำ หนดต้นทุนที่ควรใช้ ในการผลิตสินค้าต่อหนึ่งหน่วย โดยอาศัยวิธีต่าง ๆ คือ การทดสอบ การค้นคว้าและปรับปรุง การศึกษา ความเคลื่อนไหว การทดลอง การศึกษาข้อมูลในอดีต เป็นต้น ฝ่ายบริหารใช้ต้นทุนมาตรฐานเป็นเกณฑ์ในการผลิตสินค้า ต้นทุนที่เกิดขึ้นจริงจะถูกนำ มาเปรียบเทียบ กับต้นทุนมาตรฐาน เพื่อวิเคราะห์ผลต่าง หาสาเหตุและแก้ไขต่อไป นอกจากนั้นฝ่ายบริหารยังใช้ต้นทุน มาตรฐานเป็นแนวทางในการกำ หนดราคา ขายได้รวดเร็วขึ้น


7.การจำ แนกประเภทต้นทุนตามความประสงค์ในการวางแผนและตัดสินใจ เพื่อให้การดำ เนินงานบรรลุวัตถุประสงค์ จำ เป็นต้องทราบข้อมูลต้นทุนเพื่อใช้ประกอบในการตัดสินใจ การรวบรวม ข้อมูล และรายละเอียดต่าง ๆ ที่ต้องการ จึงขึ้นอยู่กับปัญหาที่จะพิจารณา เช่น การเพิ่มหรือยุบแผนกผลิต การผลิตสินค้าใหม่ แทนสินค้าเก่า การเลิกผลิตสินค้าบางชนิด เป็นต้น ต้นทุนที่จะนำ มาใช้ประกอบการ ตัดสินใจ ได้แก่ ต้นทุนเสียโอกาส (Opportunity Cost) ต้นทุนที่หลีกเลี่ยงได้ (Avoidable Cost) และ ต้นทุนส่วนแตกต่าง (Differential Cost ต้นทุนเสียโอกาส (Opportunity Cost) คือ มูลค่าของผลตอบแทนที่ต้องสูญเสียไปเนื่องจาก การเลือกทางเลือกปัจจุบันแทนทาง เลือกอื่น ๆ เช่น กิจการมีอาคารพาณิชย์ 2 ห้อง ซึ่งถ้าให้ผู้อื่นเช่าจะ ได้รับค่าเช่าเดือนละ 20,000 บาท แต่ถ้ากิจการเปิด อาคารพาณิชย์ดำ เนินธุรกิจเอง จะได้รับค่าตอบแทน เดือนละ 30,000 บาท หากกิจการเลือกดำ เนินธุรกิจเอง กิจการจะมีต้นทุน เสียโอกาสเดือนละ 20,000 บาท ต้นทุนเสียโอกาสนี้เป็นเพียงการคาดคะเน ซึ่งไม่ได้มีการรับหรือจ่ายเงินจริง แต่เป็นต้นทุนที่ จะต้อง นำ มาใช้ประกอบการตัดสินใจด้วย ต้นทุนที่หลีกเลี่ยงได้ (Avoidable Costs) หมายถึง ต้นทุนที่กิจการสามารถลดหรือตัดได้หาก กิจการลดระดับหรือยกเลิกกิจกรรม และต้นทุนดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นเมื่อเพิ่มระดับกิจกรรม เช่น วัตถุดิบที่ใช้ ในการผลิตสินค้า หากผลิตสินค้าลดลง ต้นทุนวัตถุดิบจะ ลดลงด้วย


ต้นทุนส่วนแตกต่าง (Differential Cost) คือ ต้นทุนส่วนที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงจากต้นทุนรวม อันเป็นผลจากการตัดสินใจ เปลี่ยนวิธีปฏิบัติเดิมเป็นวิธีปฏิบัติใหม่ ซึ่งผู้บริหารจะต้องพิจารณาต้นทุนที่แตกต่าง ของทางเลือกทั้งสอง และนำ ต้นทุนส่วน แตกต่างนี้ไปเปรียบเทียบกับรายได้ส่วนที่เพิ่มขึ้น เช่น กิจการแห่งหนึ่ง กำ ลังพิจารณาจะเพิ่มการผลิตสินค้าจากเดิม 2,000 หน่วยต่อเดือน เป็นเดือนละ 2,500 หน่วย โดยต้นทุน คงที่ไม่เปลี่ยนแปลง ต้นทุนผันแปรต่อหน่วยของสินค้ามีดังนี้ วัตถุดิบ ค่าแรงงาน ค่าใช้จ่ายการผลิตผันแปร รวม 3 บาท 5 บาท 2 บาท 10 บาท ต้นทุนส่วนเพิ่มคำ นวณดังนี้ วัตถุดิบ ค่าแรงงาน ค่าใช้จ่ายการผลิตผันแปร รวมต้นทุนส่วนเพิ่ม 1,500 บาท 2,500 บาท 1,000 บาท 5,000 บาท ( 3 500 ) ( 5 500 ) ( 2 500 ) + + +


ระบบ บับับั บั ญบั ญบั ญชีชีชี ชี ต้ชี ต้ชี ต้ ต้ นต้ นต้ นทุทุทุทุ น ทุ น ทุ น


การจัดสายงานของกิจการ ในการจัดทำ บัญชีต้นทุนเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องและเหมาะสม ย่อมขึ้นอยู่กับระบบบัญชีที่นำ มาใช้ การวางระบบบัญชี ต้นทุนเพื่อให้เหมาะสมกับกิจการ จึงต้องพิจารณาถึงปัจจัยดังต่อไปนี้ 1. 2. ลักษณะของการผลิต . 3. ลักษณะของข้อมูลต้นทุนที่ต้องการ 1. การจัดสายงานของกิจการ การวางระบบบัญชีต้นทุนต้องคำ นึงถึงการจัดสายงานของกิจการ ซึ่งจะกำ หนดหน้าที่ความรับผิด ชอบของเจ้าหน้าที่ในระดับต่าง ๆ ของกิจการ เช่น หัวหน้าแผนก ผู้ควบคุม คนงาน ผู้จัดการฝ่ายผลิต เป็นต้น บุคคลเหล่า นี้เป็นผู้ควบคุมและรับผิดชอบในการอันก่อให้เกิดต้นทุนเกี่ยว กับการดำ เนินงานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย ดังนั้นการวาง ระบบบัญชีต้นทุน จึงควรแยกบัญชีต่าง ๆ ที่ ใช้ในการรวบรวมข้อมูลต้นทุนตามส่วนความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่แต่ละฝ่าย เพื่อวัดผลการทำ งานของ แต่ละฝ่าย เมื่อมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นจะได้ทราบว่าใครเป็นผู้รับผิดชอบ และสามารถแก้ไขได้ทัน เวลา การจัดสายงานของกิจการอุตสาหกรรมแสดงดังรูปที่ 1.4


ประธาน เลขานุการบริษัท ผู้จัดการฝ่ายขาย ผู้จัดการฝ่ายผลิต ผู้จัดการฝ่ายบุคคล ผู้จัดการฝ่ายบัญชี แผนกผลิตที่ 1 แผนกผลิตที่ 2 แผนกผลิตที่ 3 แผนกบัญชี แผนกการเงิน รูปที่ 1.4 การจัดสายงานของกิจการอุตสาหกรรม


2. ลักษณะการผลิต ลักษณะการผลิตของแต่ละกิจการย่อมแตกต่างกันไปตามวิธีการที่ใช้ในการผลิต และการคำ นวณต้นทุน สินค้าก็ย่อมแตกต่างกันด้วย ดังนั้น การวางระบบบัญชีต้นทุนจึงต้องพิจารณาถึง ลักษณะการผลิต โดยจะต้องศึกษาและ เข้าใจในขั้นตอนการผลิตของกิจการที่จะวางระบบบัญชีต้นทุน เพื่อให้การรวบรวมข้อมูลต้นทุนเป็นไปอย่างถูกต้อง ระบบ บัญชีที่แ ที่ บ่งตามลักษณะการผลิตแบ่งออกเป็น 3 ระบบ คือ ระบบต้นทุนงานสั่งทำ (Job Order Cost System) ระบบต้นทุน กระบวนการ (Process Cost System) และระบบต้นทุนทวี (Dual System) ระบบต้นทุนงานสั่งทำ (Job Order Cost System) เป็นระบบบัญชีที่ใช้ในการผลิตสินค้า ตามคำ สั่งของลูกค้า หรือสินค้าที่ ผลิตเป็นรุ่น ๆ ซึ่งมีลักษณะไม่เหมือนกัน โดยจะแยกต้นทุนงานแต่ละงาน ออกจากกัน เพื่อความสะดวกในการบันทึกต้นทุน และคำ นวณต้นทุนของสินค้าแต่ละชนิดที่ทำ การผลิต ตัวอย่างกิจการที่ใช้ระบบต้นทุนงานสั่งทำ ได้แก่ โรงพิมพ์ กิจการรับ เหมาก่อสร้าง อุตสาหกรรมต่อเรือ เป็นต้น ระบบต้นทุนกระบวนการ (Process Cost System) หรือระบบต้นทุนตอน เป็นระบบบัญชี ที่ใช้ในกิจการอุตสาหกรรมที่มี การผลิตสินค้าต่อเนื่องกันหรือผลิตเป็นจำ นวนมาก เพื่อเก็บไว้ขายในภายหลัง ลักษณะการผลิตจะเป็นไปอย่างต่อเนื่องและ ผ่านขั้นตอนการผลิตตามลำ ดับ ตัวอย่างเช่น โรงงานผลิตผลไม้ กระป๋อง โรงงานกลั่นน้ำ มัน อุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนต่าง ๆ เป็นต้น


ระบบต้นทุนทวี (Dual System) หรือระบบต้นทุนผสม (Hybrid System) เป็นระบบบัญชี ที่ใช้ในกิจการที่มีลักษณะการผลิต ทั้งระบบต้นทุนงานสั่งทำ และระบบต้นทุนกระบวนการ เช่น โรงงาน ผลิตแก้ว จะผลิตแก้วซึ่งมีรูปร่างและขนาดเดียวกันเป็น จำ นวนมากเพื่อขาย หากได้รับคำ สั่งจากลูกค้าให้ ผลิตแก้วที่มีสัญลักษณ์หรือชื่อของกิจการของลูกค้า ซึ่งจะต้องนำ แก้วที่ผลิต แล้วมาดำ เนินการผลิตตามคำ สั่ง ของลูกค้า การวางระบบบัญชีจึงต้องใช้ทั้งระบบต้นทุนงานสั่งทำ และระบบต้นทุนกระบวนการ 3. ลักษณะของข้อมูลต้นทุนที่ต้องการ ต้นทุนที่เกิดขึ้นในการดำ เนินงานมีจำ นวนมาก ซึ่งจะ ต้องทำ การรวบรวมข้อมูลต้นทุน เพื่อนำ เสนอต่อฝ่ายบริหาร สิ่งที่จะเป็นเครื่องกำ หนดว่าจะต้องรวบรวม ข้อมูลต้นทุนในรูปและลักษณะใด คือ ความต้องการใช้ ข้อมูลต้นทุนของฝ่ายบริหาร ข้อมูลต้นทุนจะมีประโยชน์ ต่อเมื่อเป็นข้อมูลที่เสนอได้รวดเร็ว และตรงตามความต้องการของผู้ ต้องการใช้ ดังนั้น ในการวางระบบบัญชี ที่ดีจึงต้องคำ นึงว่า ทำ อย่างไรจึงจะรวบรวมข้อมูลต้นทุนที่เกิดขึ้นได้ถูกต้องรวดเร็ว ประหยัดค่าใช้จ่าย และ ตรงตามความต้องการของฝ่ายบริหาร


ววงงจจรรบับับั บั ญบั ญบั ญชีชีชี ชี ต้ชี ต้ชี ต้ ต้ นต้ นต้ นทุทุทุทุ น ทุ น ทุ น


1.วงจรการผลิต ( The Manufacturing Cycle ) การดำ เนินงานของกิจการอุตสาหกรรม ตั้งแต่เริ่มจนสิ้นสุดกระบวนการ ประกอบด้วย กระบวนการดังต่อไปนี้ 1.1 การจัดหา (Procurement) ได้แก่ การจัดหาทรัพยากรต่าง ๆ เช่น วัตถุดิบ วัสดุ โรงงานและวัสดุต่าง ๆ เพื่อใช้ในการผลิตสินค้า ซึ่งจะต้องสั่งซื้อ ตรวจรับของ เก็บรักษา และจัดหา แรงงาน ตลอดจนบริการต่าง ๆ 1.2 การผลิต (Production) เป็น กระบวนการที่สำ คัญที่สุด โดยเริ่มตั้งแต่การเบิก วัตถุดิบ การใช้แรงงาน เครื่องจักร ไฟฟ้า และ ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เพื่อผลิตเป็นสินค้าสำ เร็จรูป ใน การผลิตของกิจการอาจแบ่งเป็น หลายแผนก หรือ มีแผนกเดียวกันในโรงงานก็ได้ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับ ลักษณะขั้นตอนในการผลิตและประเภทของ สินค้า ที่ผลิต 1.3 การเก็บสินค้า (Warehousing) เป็นกระบวนการต่อเนื่องจากการผลิต เมื่อสินค้า ผลิตเสร็จ ผ่านการตรวจ คุณภาพและตรวจนับ จำ นวนแล้ว จะนำ มาเก็บรักษาไว้ในคลังสินค้า เพื่อ รอการขาย 1.4 การขาย (Selling) เมื่อขายสินค้าให้ ลูกค้า จะนำ สินค้าออกจากคลังสินค้าเพื่อส่งมอบ ให้ลูกค้า


กระบวนการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในการดำ เนินงาน สามารถแสดงวงจรการผลิตได้ดังนี้ การจัดหา การผลิต การเก็บสินค้า ขาย ปัจจัยการผลิต กระบวนการผลิต คลังสินค้า ลูกค้า วัตถุดิบ ค่าแรงงาน ค่าใช้จ่ายการผล


ได้กล่าวแล้วว่า กระบวนการในการดำ เนินงานประกอบด้วย การจัดหา การผลิต การเก็บสินค้า และการขาย แต่ละ กระบวนการย่อมมีรายการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเกิดขึ้น ดังนั้น การรวบรวม สะสม และ บันทึกข้อมูล จึงเริ่มตั้งแต่ต้น กระบวนการจนเสร็จสิ้นกระบวนการ ซึ่งจะบันทึกรายการต่าง ๆ ดัง 2.1 การบันทึกบัญชีเกี่ยวกับวัตถุดิบ วัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ วัตถุดิบทางตรง และวัตถุดิบทางอ้อม ในการซื้อวัตถุดิบจะบันทึก เข้าบัญชีวัตถุดิบเพียงบัญชีเดียว วัตถุดิบที่เบิกไปใช้ในการผลิตทางตรงจะบันทึกเข้า บัญชีงานระหว่างทำ วัตถุดิบทาง อ้อมจะบันทึกเข้าบัญชีคุมยอดค่าใช้จ่ายการผลิต การเคลื่อนไหวเกี่ยวกับ วัตถุดิบ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อ การเบิก หรือการ ส่งคืนวัตถุดิบจะบันทึกเข้าบัญชีวัตถุดิบเสมอ รายการเกี่ยวกับ วัตถุดิบบันทึกบัญชี 2.วงจรการบันทึกบัญชีต้นทุน


ตารางที่2.1 การบันทึกบัญชีเกี่ยวกับวัตถุดิบ รายการ การบันทึกบัญชี กรณีไม่มีภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีมีภาษีมูลค่าเพิ่ม ซื้อวัตถุดิบ เดบิต วัตถุดิบ เครดิต เจ้าหนี้/เงิดสด เดบิต วัตถุดิบ ภาษีซื้อ เครดิต เจ้าหนี้/เงิดสด ส่งคืนวัตถุดิบไปให้ผู้ขาย เดบิต เจ้าหนี้/เงิดสด เครดิต วัตถุดิบ เดบิต เจ้าหนี้/เงิดสด เครดิต วัตถุดิบ ภาษีซื้อ


ตารางที่2.1 การบันทึกบัญชีเกี่ยวกับวัตถุดิบ รายการ การบันทึกบัญชี กรณีไม่มีภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีมีภาษีมูลค่าเพิ่ม เบิกวัตถุดิบไปใช้ในการผลิต เดบิต งานระหว่างทำ ( วัตถุดิบทางตรง ) คุมยอดค่าใช้จ่ายการผลิต ( วัตถุดิบทางอ้อม ) เครดิต วัตถุดิบ ส่งคืนวัตถุดิบที่เบิกเกินความต้องการไปยัง คลังเก็บพัสดุ เดบิต วัตถุดิบ เครดิต งานระหว่างทำ ( วัตถุดิบทางตรง ) คุมยอดค่าใช้จ่ายการผลิต ( วัตถุดิบทางอ้อม )


ตัวอย่างที่ 1 รายการเกี่ยวกับวัตถุดิบระหว่างเดือนมกราคม 25x8 ของบริษัท รักไทย จำ กัด 1) ยอดยกมา 35,000 บาท 2) ซื้อวัตถุดิบเป็นเงินเชื่อ 52,000 บาท ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% 3) ส่งคืนวัตถุดิบให้ผู้ขาย 1,000 บาท เนื่องจากเสื่อมคุณภาพ (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) 4) เบิกวัตถุดิบไปใช้ในการผลิตโดยตรง 22,000 บาท วัตถุดิบทางอ้อม 3,100 บาท 5) แผนกผลิตคืนวัตถุดิบที่เหลือจากการผลิต จำ นวน 2,500 บาท เป็นวัตถุดิบทางตรง2,000 บาท วัตถุดิบทางอ้อม 500 บาท ให้ทำ บันทึกรายการข้างต้นในสมุดรายวันทั่วไป


วันที่ รายการ เลขที่บัญชี เดบิต เครดิต วัตถุดิบภาษีซื้อ เจ้าหนี้ ซื้อวัตุดิบเป็นเงินเชื่อ 2) 52,000 3,640 55,640 -- - สมุดรายวันทั่วไป เจ้าหนี้ วัตถุดิบภาษีซื้อ ส่งคืนวัตถุดิบ 3) 1,070 1,00070 - - -- งานระหว่างทำคุมยอดค่าใช้จ่ายการผลิตวัตถุดิบบันทึกการเบิกวัตถุดิบไปใช้ในการผลิต 4) 22,000 3,100 25,100 -- -


วันที่ รายการ เลขที่ บัญชี เดบิต เครดิต - - - สมุดรายวันทั่วไป วัตถุดิบ งานระหว่างทำ คุมยอดค่าใช้จ่ายการผลิต บันทึกวัตถุดิบที่เหลือจากการผลิต 5) 2,500 2,000 500 การผ่านรายการไปบัญชีแยกประเภทที่เกี่ยวข้อง วัตถุดิบ 1) ยอดยกมา 2) เจ้าหนี้ 5) งานระหว่างทำ คุมยอดค่าใช้จ่ายการผลิต 3) เจ้าหนี้ 4) งานระหว่างทำ คุมยอดค่าใช้จ่ายการผลิต 35,000 52,000 2,000 500 1,000 22,000 3,100


เจ้าหนี้ 3) วัตถุดิบภาษีซื้อ 2) วัตถุดิบภาษีซื้อ 1,00070 52,000 3,640 งานระหว่างทำ 4) วัตถุดิบ 22,000 5) วัตถุดิบ3,100คุมยอดค่าใช้จ่ายการผลิต4) วัตถุดิบ 5) วัตถุดิบ 2,000 500


ภาษีซื้อ 2) เจ้าหนี้ 3,640 3) เจ้าหนี้ 70 2.2 การบันทึกบัญชีเกี่ยวกับค่าแรงงาน ค่าแรงงานที่เกิดขึ้นในการดำ เนินงาน แยกออกเป็น 1. ค่าแรงซึ่งเกิดขึ้นในการดำ เนินงานผลิตสินค้า ซึ่งอาจจ่ายค่าแรงเป็นรายชิ้น หรือรายชั่วโมง และจะต้องจำ แนกออกเป็น ค่าแรงงานทางตรงและค่าแรงงานทางอ้อม เพื่อบันทึกต้นทุนการผลิต โดยบันทึกค่าแรงงานทางตรงเข้าบัญชีงานระหว่างทำ ส่วนค่าแรงงานทางอ้อมบันทึกเข้าบัญชีคุมยอดค่าใช้จ่ายการผลิต 2. ค่าแรงงานที่เกิดขึ้นในการดำ เนินงานสำ นักงาน ซึ่งจ่ายในรูปของเงินเดือนจะบันทึกบัญชีแยกออกจากค่าแรงงานที่เกิดขึ้น จากการผลิตสินค้า การบันทึกบัญชีเกี่ยวกับค่าแรงและเงินเดือนต่างๆ แสดงในตารางที่2.2


ตารางที่2.2 การบันทึกบัญชีเกี่ยวกับค่าแรงงาน รายการ บันทึกค่าแรงและเงินเดือน เดบิต ค่าแรงงาน เงินเดือนฝ่ายบริหาร / ฝ่ายขาย เงินประกันสังคมจ่ายสมทบ เครดิต ค่าแรงงานค้างจ่าย เงินเดือนค้างจ่าย ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย เงินประกันสังคมค้างจ่าย จ่ายค่าแรงและเงินเดือน การบันทึกบัญชี เดบิต ค่าแรงงานค้างจ่าย เงินเดือนค้างจ่าย เครดิต เงินสด


ตารางที่2.2 การบันทึกบัญชีเกี่ยวกับค่าแรงงาน รายการ บันทึกค่าแรงงานเข้าเป็นต้นทุนสินค้า นำ ส่งเงินภาษีหัก ณ ที่จ่ายและเงินประกัน สังคม การบันทึกบัญชี เดบิต ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย เงินประกันสังคมค้างจ่าย เครดิต เงินสด เดบิต งานระหว่างทำ (ค่าแรงงานทางตรง) คุมยอดค่าใช้จ่ายการผลิต (ค่าแรงงานทางอ้อม) เครดิต ค่าแรงงาน


ตัวอย่างที่ 2 จากตัวอย่างที่ 1 ในระหว่างเดือน มีค่าแรงงานเกิดขึ้น ดังนี้ 6) ค่าแรงที่เกิดขึ้นระหว่างเดือนมีจำ นวน 42,000 บาท เงินเดือนฝ่ายบริหาร 10,000 บาท หักภาษี ณ ที่จ่ายไว้ร้อยละ 5 และหักเงินประกันสังคมร้อยละ 5 ของค่าแรงและเงินเดือน 7) ค่าแรงที่เกิดขึ้น เป็นค่าแรงงานทางตรง 30,000 บาท เงินเดือนยาม 5,000 บาท เงินเดือนหัวหน้าคนงาน 7,000 บาท 8) จ่ายค่าแรงและเงินเดือนทั้งสิน 9) นำ ส่งภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย และเงินประกันสังคม ให้ทำ บันทึกรายการข้างต้นในสมุดรายวันทั่วไป


วันที่ รายการ เลขที่บัญชี เดบิต เครดิตสมุดรายวันทั่วไป ค่าแรงงานเงินเดือนฝ่ายบริหารเงินประกันสังคมจ่ายสมทบค่าแรงงานค้างจ่ายเงินเดือนค้างจ่ายภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายเงินประกันสังคมค้างจ่ายบันทึกค่าแรงงานและเงินเดือน 6)7) งานระหว่างทำคุมยค่าใช้จ่ายการผลิตค่าแรงงานโอนค่าแรงงานเป็นต้นทุนสินค้า 42,000 10,000 2,600 -- 37,800 9,000 2,600 5,200 ---- (42,000 +5%) + (10,000 +5%) (42,000 - 2,100 - 2,100) (10,000 - 500 - 500) 2,100 500 (2,600 +2) (2,100 - 500) 30,000 12,000 42,000 -- -


วันที่ รายการ เลขที่บัญชี เดบิต เครดิตสมุดรายวันทั่วไป 8)9) ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายเงินประกันสังคมค้างจ่ายเงินสดบันทึกค่าแรงงานและเงินเดือน 37,800 9,000 - - ค่าแรงงานค้างจ่ายเงินเดือนค้างจ่ายเงินสดจ่ายค่าแรงและเงินเดือน 46,800


การผ่านรายการไปบัญชีแยกประเภทที่เกี่ยวข้อง ค่าแรงงาน 6) สมุดรายวันทั่วไป 7) งานระหว่างทำ คุมยค่าใช้จ่ายการผลิต 42,000 30,000 12,000 เงินเดือนฝ่ายบริหาร 6) สมุดรายวันทั่วไป 10,000 เงินประกันสังคมจ่ายสมทบ 6) สมุดรายวันทั่วไป 2,600 ค่าแรงงานค้างจ่าย 6) สมุดรายวันทั่วไป 37,800 8) เงินสด 37,800


เงินเดือนค้างจ่าย6) สมุดรายวันทั่วไป 4) วัตถุดิบ7) ค่าแรงงาน 9,000 ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายเงินประกันสังคมค้างจ่าย5,200งานระหว่างทำ6) สมุดรายวันทั่วไป22,000 30,000 5) วัตถุดิบ 8) เงินสด 6) สมุดรายวันทั่วไป 9,000 9) เงินสด 2,600 2,600 9) เงินสด 5,200 500


คุมยอดค่าใช้จ่ายการผลิต 3,100 21,000 4) วัตถุดิบ 7) ค่าแรงงาน 5) วัตถุดิบ 500 2.3 การบันทึกบัญชีเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายการผลิต ค่าใช้จ่ายการผลิตที่เกิดขึ้นในกระบวนการผลิต นอกจากวัตถุดิบทางอ้อมและค่าแรงงานทางอ้อมแล้ว ยังมีค่าใช้จ่ายการผลิต อื่นๆ เช่น ค่าเบี้ยประกันภัย ค่าเสื่อมราคา ค่าเช่า เป็นต้น ซึ่งเป็นค่าใช่้จ่ายที่ไม่มีความสัมพันธ์โดยตรงกับการผลิต ค่าใช้จ่าย เหล่านี้จะบันทึกเข้าบัญชีค่าใช้จ่ายการผลิตเพียงบัญชีเดียวโดยเรียกชื่อบัญชีคุมยอดค่าใช้จ่ายการผลิต ส่วนบัญชีย่อยของค่าใช้ จ่ายต่างๆ จะแสดงในใบรายละเอียดค่าใช้จ่ายการผลิต ซึ่งจะกล่าวในหน่วยที่ 5 และหลังจากบันทึกค่าใช้จ่ายการผลิตทั้งหมด ที่เกิดขึ้นแล้ว จะต้องโอนค่าใช้จ่ายการผลิตเข้าบัญชีงานระหว่างทำ เพื่อบันทึกเป็นต้นทุนสินค้า การบันทึกบัญชีเกี่ยวกับค่าใช้ จ่ายการผลิต แสดงในตารางที่ 2.3


ตารางที่2.3 การบันทึกบัญชีเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายการผลิต รายการ การบันทึกบัญชี กรณีไม่มีภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีมีภาษีมูลค่าเพิ่ม จ่ายค่าใช้จ่ายต่างๆ เป็นเงินสด เดบิต คุมยอดค่าใช้จ่ายการผลิต เครดิต เงินสด บันทึกค่าเสื่อมราคาประจำ ปี เดบิต คุมยอดค่าใช้จ่ายการผลิต ภาษีซื้อ เครดิต เงินสด เดบิต คุมยอดค่าใช้จ่ายการผลิต เครดิต ค่าเสื่อมราคาสะสม-โรงงาน บันทึกค่าใช้จ่ายค้างจ่าย เดบิต คุมยอดค่าใช้จ่ายการผลิต เครดิต ค่าน้ำ ค่าไฟค้างจ่าย ค่าซ่อมแซมค้างจ่าย เดบิต คุมยอดค่าใช้จ่ายการผลิต ภาษีซื้อ เครดิต ค่าน้ำ ค่าไฟค้างจ่าย ค่าซ่อมแซมค้างจ่าย โอนค่าใช้จ่ายการผลิตเข้า เป็นต้นทุนสินค้า เดบิต งานระหว่างทำ เครดิต คุมยอดค่าใช้จ่ายการผลิต


ตัวอย่างที่ 3 จากตัวอย่าง ค่าใช้จ่ายการผลิตที่เกิดขึ้นมีดังนี้ 10) จ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ 2,000 บาท ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ค่าเบี้ยประกัน 1,200 บาท ค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ด 850 บาท 11) คิดค่าเสื่อมราคาเครื่องจักร 3,000 บาท ค่าเสื่อมราคาโรงงาน 5,000 บาท 12) ค่าเช่าค้างจ่ายของเดือนมกราคม มีจำ นวน 6,000 บาท 13) บันทึกค่าใช้จ่ายการผลิตเป็นต้นทุนสินค้า ให้ทำ บันทึกรายการข้างต้นในสมุดรายวันทั่วไป


วันที่ รายการ เลขที่บัญชี เดบิต เครดิตสมุดรายวันทั่วไป 10) 11) คุมยอดค่าใช้จ่ายการผลิตค่าเสื่อมราคาสะสม-เครื่องจักรค่าเสื่อมราคาสะสม-โรงงานบันทึกค่าเสื่อมราคาคุมยอดค่าใช้จ่ายการผลิตภาษีซื้อเงินสดบันทึกการจ่ายค่าใช้จ่ายการผลิต 4,050 140 - 4,190 - (2,000+1,200+850) (2,000 +7%) 3,000 5,000 8,000 - -- 12) คุมยอดค่าใช้จ่ายการผลิตค่าเช่าค้างจ่ายบันทึกค่าเช้าค้างจ่าย 6,000 6,000 - -


วันที่ รายการ เลขที่ บัญชี เดบิต เครดิต - - สมุดรายวันทั่วไป งานระหว่างทำ คุมยอดค่าใช้จ่ายการผลิต บันทึกค่าใช้จ่ายการผลิตเข้าต้นทุนสินค้า 13) 32,650 การผ่านรายการไปบัญชีแยกประเภทที่เกี่ยวข้อง ค่าเสื่อมราคาสะสม-เครื่องจักร 11) คุมยอดค่าใช้จ่ายการผลิต 3,000 32,650 ค่าเสื่อมราคาสะสม-โรงงาน 11) คุมยอดค่าใช้จ่ายการผลิต 5,000


Click to View FlipBook Version