การผลิตและการตลาดแพะขุน ในพื้นที่จังหวัดสงขลา ส านักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 9 ส านักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 9 163 /38 หมู่ที่ 10 ต าบลเขารูปช้าง อ าเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา 90000 โทรศัพท์ 0 -7431 -2996 , 0 -7431 -1589 E -mail: zone [email protected]
การศึกษาการผลิตและการตลาดแพะขุนในพื้นที่จังหวัดสงขลา มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาต้นทุนและ ผลตอบแทนการผลิต วิถีการตลาด ต้นทุนการตลาด และส่วนเหลื่อมการตลาดแพะขุนในพื้นที่จังหวัดสงขลา โดยรวบรวมข้อมูลจากการสัมภาษณ์เกษตรกรผู้เลี้ยงแพะขุนในพื้นที่จังหวัดสงขลา ปี 2563 จ านวน 53 ราย และผู้ประกอบการ จ านวน 3 ราย การศึกษาครั้งนี้ได้แบ่งขนาดฟาร์มออกเป็น 4 ขนาด คือ ฟาร์มขนาดย่อย ฟาร์มขนาดเล็ก ฟาร์มขนาดกลาง และฟาร์มขนาดใหญ่ รวมทั้งในภาพรวมของแพะขุนในจังหวัดสงขลา ผลการศึกษา พบว่า ขนาดย่อย มีต้นทุนการผลิตเฉลี่ย 2,799.15 บาทต่อตัว ได้รับผลตอบแทนจาก การจ าหน่าย 3,276.41 บาทต่อตัว ท าให้ได้รับผลตอบแทนสุทธิ 477.26 บาทต่อตัว ฟาร์มขนาดเล็ก มีต้นทุน การผลิตเฉลี่ย 2,795.25 บาทต่อตัว ได้รับผลตอบแทนจากการจ าหน่าย 3,504.03 บาทต่อตัว ท าให้ได้รับ ผลตอบแทนสุทธิ 708.78 บาทต่อตัว ฟาร์มขนาดกลาง มีต้นทุนการผลิตเฉลี่ย 2,761.89 บาทต่อตัว ได้รับ ผลตอบแทนจากการจ าหน่าย 3,626.96 บาทต่อตัว ท าให้ได้รับผลตอบแทนสุทธิ 865.07 บาทต่อตัว ฟาร์มขนาดใหญ่ มีต้นทุนการผลิตเฉลี่ย 2,546.38 บาทต่อตัว ได้รับผลตอบแทนจากการจ าหน่าย 4,064.51 บาทต่อตัว ท าให้ได้รับผลตอบแทนสุทธิ 1,518.13 บาทต่อตัว และในภาพรวม พบว่า มีต้นทุนการผลิตเฉลี่ย 2,654.71 บาทต่อตัว ได้รับผลตอบแทนจากการจ าหน่าย 3,814.96 บาทต่อตัว ท าให้ได้รับผลตอบแทนสุทธิ 1,160.25 บาทต่อตัว วิถีการตลาดแพะขุน พบว่า ส่วนใหญ่เกษตรกรจ าหน่ายให้กับพ่อค้ารวบรวมนอกจังหวัดสงขลา รองลงมา จ าหน่ายให้กับพ่อค้ารวบรวมในจังหวัดสงขลา เกษตรกรผู้เลี้ยงแพะขุนเป็นผู้จ าหน่ายเอง และ จ าหน่ายให้แก่เกษตรกรผู้เลี้ยงแพะในท้องถิ่นเพื่อน าไปเลี้ยงต่อหรือขยายพันธุ์ต่อไป ตามล าดับ จากนั้นพ่อค้า รวบรวมนอกจังหวัดสงขลารวบรวมและส่งต่อไปขายยังประเทศเวียดนาม และมาเลเซีย และที่เหลือพ่อค้า รวบรวมในจังหวัดใกล้เคียง จ าหน่ายต่อในจังหวัดของตนเอง เพื่อไปสู่ผู้บริโภค ส าหรับพ่อค้ารวบรวมในจังหวัด สงขลาจะเป็นการจ าหน่ายให้แก่พ่อค้าขายปลีกแพะช าแหละในจังหวัด และจ าหน่ายแพะขุนมีชีวิตให้กับ ผู้บริโภคโดยตรง ส่วนเหลื่อมการตลาดระหว่างเกษตรกรกับพ่อค้ารวบรวมในจังหวัด มีส่วนเหลื่อมการตลาด 10.86 บาทต่อกิโลกรัม ต้นทุนการตลาด 2.67 บาทต่อกิโลกรัม ท าให้มีก าไร 8.19 บาทต่อกิโลกรัม ในขณะที่ส่วนเหลื่อมการตลาดระหว่างพ่อค้ารวบรวมในจังหวัดกับพ่อค้าขายปลีกแพะช าแหละ มีส่วนเหลื่อมการตลาด 29.14 บาทต่อกิโลกรัม ต้นทุนการตลาด เฉลี่ย 13.39 บาทต่อกิโลกรัม ท าให้มีก าไรเฉลี่ย 15.75 บาทต่อกิโลกรัม ส่งผลให้มีส่วนเหลื่อมการตลาดทั้งหมด 40.00 บาทต่อกิโลกรัม ต้นทุนการตลาดทั้งหมด 16.06 บาทต่อกิโลกรัม และพ่อค้าคนกลางมีก าไรทั้งหมด 23.94 บาทต่อกิโลกรัม ข้อเสนอแนะในการศึกษาครั้งนี้ ควรมีการส่งเสริม และพัฒนาองค์ความรู้ในการเลี้ยงแพะขุน อย่างต่อเนื่อง ส่งเสริมให้เกษตรกรรวมกลุ่มการผลิตแพะขุน เพื่อเพิ่มอ านาจต่อรองด้านการจัดหา ปัจจัยการผลิต และการจ าหน่าย ส่งเสริมให้เกษตรกรให้ความส าคัญกับการจัดท าบัญชีฟาร์ม ส่งเสริมให้เกษตรกรผลิตพืชอาหารสัตว์ รวมทั้งภาครัฐควรหาแนวทางในการกระจายผลก าไร ให้เกษตรกรได้รับเพิ่มมากขึ้น ค ำส ำคัญ: แพะขุน การผลิต การตลาด ส่วนเหลื่อมการตลาด (ก) (ข) ส ำนักงำนเศรษฐกิจกำรเกษตรที่ 9 ส ำนักงำนเศรษฐกิจกำรเกษตรที่ 9 บทสรุป
การศึกษาการผลิตและการตลาดแพะขุนในพื้นที่จังหวัดสงขลา มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาต้นทุน และผลตอบแทนการผลิต วิถีการตลาด ต้นทุนการตลาด และส่วนเหลื่อมการตลาดแพะขุนในพื้นที่จังหวัด สงขลา โดยแบ่งการศึกษาตามฟาร์มขนาดย่อย ฟาร์มขนาดเล็ก ฟาร์มขนาดกลาง และฟาร์มขนาดใหญ่ เพื่อให้ เกษตรกรใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการบริหารจัดการ และวางแผนการผลิตแพะขุนอย่าง ต่อเนื่อง คณะผู้จัดท า ขอขอบคุณเกษตรกรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ได้เสียสละเวลาอนุเคราะห์ข้อมูล และหวังเป็นอย่างยิ่งว่ารายงานวิจัยฉบับนี้คงจะเป็นประโยชน์แก่เกษตรกร หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และ หน่วยงานภาครัฐเพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาจัดท านโยบาย มาตรการ และแผนพัฒนาการผลิต แพะขุนให้เกิดประสิทธิภาพ ตลอดจนใช้เป็นแนวทางในการส่งเสริม และพัฒนา เพื่อให้เกษตรกรได้รับ ผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนต่อไป ส านักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 9 ธันวาคม 2564 สำรบัญ หน้า บทสรุป (ก) ค ำน ำ (ซ) บทที่ 1 บทน ำ 1 1.1 ความส าคัญของการวิจัย 1 1.2 วัตถุประสงค์ของการวิจัย 2 1.3 ขอบเขตการวิจัย 3 1.4 นิยามศัพท์เฉพาะ 3 1.5 วิธีการวิจัย 3 1.6 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 5 บทที่ 2 ข้อมูลทั่วไป 5 2.1 ข้อมูลทั่วไปของเกษตรกร 5 บทที่ 3 ผลกำรศึกษำ 8 3.1 ต้นทุนและผลตอบแทนการผลิตแพะขุน 8 3.2 วิถีการตลาดแพะขุนในพื้นที่จังหวัดสงขลา 17 3.3 ส่วนเหลื่อมการตลาด ต้นทุนการตลาดของผู้ค้าในระดับต่าง ๆ 19 บทที่ 4 ข้อเสนอแนะ 21 (ค) (ง) ส ำนักงำนเศรษฐกิจกำรเกษตรที่ 9 ส ำนักงำนเศรษฐกิจกำรเกษตรที่ 9 ค ำน ำ
1.1 ควำมส ำคัญของกำรวิจัย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีนโยบายบริหารจัดการสินค้าเกษตรเป็นรายชนิดสินค้า โดยแพะเป็นหนึ่งใน สินค้าเพื่อพัฒนาอาชีพการเลี้ยงให้ยั่งยืน มีผลผลิตที่มีคุณภาพและปริมาณเพียงพอต่อการบริโภคและพัฒนา สู่อุตสาหกรรมฮาลาลเพื่อการส่งออก โดยมีการจัดท ายุทธศาสตร์แพะ ปี 2560 - 2564 โดยคณะท างานพัฒนา ด้านแพะ-แกะ กรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อเป็นกรอบแนวทางพัฒนาแพะตามห่วงโซ่อุปทาน และบูรณาการด าเนินงานกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง รวมถึงมีการสร้างเครือข่ายเกษตรกรเลี้ยงแพะ แห่งประเทศไทย เพื่อใช้ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างกัน (กรมปศุสัตว์, 2562) ส าหรับการเลี้ยงแพะเนื้อในประเทศไทย มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยข้อมูลปี 2563 มีจ านวน เกษตรกรเลี้ยงแพะเนื้อ 70,070 ราย เพิ่มขึ้นจากปี 2562 ที่มีเกษตรกรเลี้ยงแพะเนื้อ 64,733 ราย หรือเพิ่มขึ้น ร้อยละ 8.24 โดยภาคใต้มีการเลี้ยงแพะเนื้อมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 73.86 ของทั้งประเทศ รองลงมา คือ ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือ คิดเป็นร้อยละ 13.34 8.11 4.69 ตามล าดับ (กรมปศุสัตว์,2563) ส าหรับตลาดจ าหน่ายแพะเนื้อ พบว่า มีการส่งออกไปต่างประเทศประมาณปีละ 150,000-180,000 ตัว โดยมีตลาดส่งออกส าคัญ ได้แก่ มาเลเซีย ลาว และเวียดนาม มีการบริโภคในประเทศ ประมาณปีละ 80,000-100,000 ตัว ส าห รับ ราคาแพะเนื้อขุนตัวผู้ มีร าค าข ายระหว่ าง 120-130 บาทต่อกิโลกรัม และแพะเนื้อขุนตัวเมียมีราคาขายระหว่าง 80-100 บาทต่อกิโลกรัม โดยมีน้ าหนักเฉลี่ย 25 กิโลกรัมต่อตัว (เครือข่ายเกษตรกรเลี้ยงแพะประเทศไทย, 2562) พื้นที่ภาคใต้ตอนล่าง ประกอบด้วย จังหวัดสงขลา สตูล ปัตตานี ยะลาและนราธิวาส มีแนวโน้มการเลี้ยง แพะเนื้อเพิ่มขึ้น โดยในปี 2563 มีเกษตรกรเลี้ยงแพะเนื้อจ านวน 44,014 ราย เพิ่มขึ้นจากปี 2562 ที่มีเกษตรกรเลี้ยงแพะเนื้อจ านวน 43,396 ราย หรือเพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ 1.42 (กรมปศุสัตว์,2563) ส าหรับ จังหวัดสงขลาเป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่มีการส่งเสริมการเลี้ยงแพะเนื้ออย่างจริงจัง โดยในปี 2563 แปลงใหญ่แพะ ต าบลวัดสน อ าเภอระโนด จังหวัดสงขลา ได้รับรางวัลชนะเลิศอันดับ 1 และได้เป็นตัวแทนของภาคใต้ในการเข้า ประกวดระดับประเทศ (ส านักงานส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรที่ 5 จังหวัดสงขลา,2563) ทั้งนี้ในปี 2563 จังหวัดสงขลา มีเกษตรกรเลี้ยงแพะเนื้อจ านวน 5,622 ราย เพิ่มขึ้นจากปี 2565ที่มีเกษตรกรเลี้ยงแพะเนื้อ จ านวน 5,547 ราย หรือเพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ 1.35 โดยในจ านวนนี้มีเกษตรกร 240 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 4.84 ที่มีการเลี้ยงเป็นแพะขุนเพื่อเน้นขายเนื้อ โดยเฉพาะในอ าเภอระโนด ถือเป็นแบบอย่างการเลี้ยงแพะขุนที่มีการบริหารจัดการภายในฟาร์มอย่าง เป็นระบบ (กรมปศุสัตว์, 2563) แพะนับว่าเป็นสัตว์เศรษฐกิจ และมีความส าคัญ สามารถพัฒนาเป็นสินค้าทางเลือกอีกชนิดหนึ่งที่เลี้ยง ในเชิงพาณิชย์ได้ เนื่องจากใช้ระยะเวลาสั้นในการเลี้ยง ทนทานต่อสภาพภูมิอากาศ หาอาหารกินเองได้และ กินใบไม้ได้หลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นต้นกระถิน หญ้าเนเปียร์หญ้าแพงโกล่า ไม้พุ่ม ไม้เลื้อย วัชพืชในสวนไร่นา วัสดุเศษเหลือจากการเกษตร และสามารถเลี้ยงได้ทั้งแบบผูกล่าม แบบปล่อย แบบขังคอก แบบผสมผสาน กับการปลูกพืช รวมไปถึงการปล่อยลงแทะเล็มในทุ่งหญ้า อีกทั้งแพะมีขนาดตัวเล็ก ใช้พื้นที่น้อย จัดการง่าย รวมไปถึงสามารถให้ผลผลิตได้ ทั้งเนื้อ นม หนัง และขน (สภาเกษตรกรแห่งชาติ, 2561) ส าหรับผลิตภัณฑ์ที่ ได้จากแพะมีหลากหลาย ได้แก่ อาหารส าเร็จรูปจากเนื้อแพะ และผลิตภัณฑ์จากหนังแพะ ซึ่งเนื้อแพะจะมี ราคาสูงกว่าเนื้อสัตว์ชนิดอื่น โดยมีช่องทางจ าหน่าย เช่น จ าหน่ายผ่านพ่อค้ารวบรวม และการจ าหน่าย โดยตรงถึงผู้บริโภค เป็นต้น จากข้อมูลข้างต้น จะเห็นว่าเกษตรกรในประเทศไทย รวมทั้งจังหวัดสงขลามีแนวโน้มในการเลี้ยงแพะ เนื้อเพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งภาครัฐได้เห็นความส าคัญ โดยมีนโยบายการตลาดน าการผลิต เพื่อให้ เกษตรกรมีการผลิตที่เหมาะสมและตรงตามความต้องการของตลาด และลดปัญหาราคาผลผลิตทาง การเกษตรตกต่ าหรือล้นตลาด สร้างความมั่นคงในการประกอบอาชีพเกษตรกรรม ดังนั้น เพื่อให้การด าเนิน นโยบายการตลาดน าการผลิต โดยใช้ยุทธศาสตร์แพะ ปี 2560–2564 เป็นไปตามเป้าหมายและบรรลุ วัตถุประสงค์ที่วางไว้ ทั้งในปัจจุบันและในระยะต่อไป จึงจ าเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีฐานข้อมูลที่รอบด้าน รวมถึง การผลิตและการตลาดแพะที่ทันต่อสถานการณ์ของการเปลี่ยนแปลง ส านักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 9 ได้ตระหนักถึงความส าคัญดังกล่าว จึงได้ท าการศึกษาการผลิตและ การตลาดแพะขุนในพื้นที่จังหวัดสงขลา เพื่อเป็นข้อมูลประกอบในการบริหารจัดการการเลี้ยงแพะขุน ให้มีประสิทธิภาพ แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งเกษตรกร ผู้ประกอบการ และผู้สนใจต่อไป 1.2 วัตถุประสงค์ของกำรวิจัย 1.2.1 เพื่อศึกษาต้นทุนและผลตอบแทนการผลิตแพะขุนในพื้นที่จังหวัดสงขลา 1.2.2 เพื่อศึกษาวิถีการตลาด ต้นทุนการตลาด และส่วนเหลื่อมการตลาดแพะขุนในพื้นที่จังหวัดสงขลา 1 2 ส ำนักงำนเศรษฐกิจกำรเกษตรที่ 9 ส ำนักงำนเศรษฐกิจกำรเกษตรที่ 9 1. บทน ำ
1.3 ขอบเขตกำรวิจัย 1.3.1 ประชากรกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ เกษตรกรผู้เลี้ยงแพะขุน ปี 2563 ในพื้นที่จังหวัดสงขลา 1.3.2 พื้นที่ศึกษา คือ จังหวัดสงขลา 1.3.3 ระยะเวลาข้อมูล ข้อมูลระหว่าง วันที่ 1 มกราคม 2563 - 31 ธันวาคม 2563 1.4 นิยำมศัพท์เฉพำะ แพะขุน หมายถึง แพะที่เลี้ยงส าหรับจ าหน่ายเนื้อ โดยมีรูปแบบการเลี้ยงแบบผสมผสานระหว่างขังคอก และปล่อย โดยมีพื้นที่บริเวณโรงเรือนส าหรับปล่อย ทั้งนี้เวลาส่วนใหญ่ในการเลี้ยงจะเป็นการขังคอก และใน แต่ละวันจะปล่อยลงจากโรงเรือน โดยการเลี้ยงแพะขุนในจังหวัดสงขลาจะใช้แพะอายุเฉลี่ยประมาณ 3 เดือน และน้ าหนักเฉลี่ยระหว่าง 12-15 กิโลกรัม มาท าการเลี้ยงขุน จนได้ขนาดและมีน้ าหนักปริมาณ 18 กิโลกรัมขึ้นไป จึงน าออกขาย โดยน้ าหนักแพะที่เป็นที่ต้องการของตลาดในพื้นที่อยู่ระหว่าง 18-25 กิโลกรัมต่อตัว 1.5 วิธีกำรวิจัย 1.5.1 กำรเก็บรวบรวมข้อมูล 1) ข้อมูลปฐมภูมิ การศึกษาวิจัยครั้งนี้ได้ใช้แบบสัมภาษณ์รวบรวมข้อมูลจากเกษตรกรผู้เลี้ยงแพะขุน ในพื้นที่จังหวัดสงขลา ในปี 2563 (1) เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสัมภาษณ์รวบรวมข้อมูลจากเกษตรกรผู้เลี้ยงแพะขุนในพื้นที่ จังหวัดสงขลา การค านวณขนาดตัวอย่างใช้วิธีเทียบอัตราส่วนต่อขนาดประชากร (Neuman, 1991) ดังนี้ ถ้าประชากรน้อยกว่า 1,000 คน ใช้อัตราส่วนการสุ่มกลุ่มตัวอย่าง ร้อยละ 30 ถ้าประชากรไม่เกิน 10,000 คน ใช้อัตราส่วนการสุ่มกลุ่มตัวอย่าง ร้อยละ 20 ถ้าประชากรอยู่ระหว่าง 10,000-150,000 คน ใช้อัตราส่วนการสุ่มกลุ่มตัวอย่าง ร้อยละ 10 ถ้าประชากรมากกว่า 150,000 คนขึ้นไป ใช้อัตราส่วนการสุ่มกลุ่มตัวอย่าง ร้อยละ 1 จ านวนเกษตรกรผู้เลี้ยงแพะขุนในพื้นที่จังหวัดสงขลา ปี 2563 ที่ขึ้นทะเบียนกับกรมปศุสัตว์ ทั้งหมด 240 ราย ก าหนดขนาดตัวอย่างร้อยละ 30 จะได้จ านวนตัวอย่างทั้งสิ้น 72 ราย แต่เนื่องจากสถานการณ์การ แพร่ระบาดของโรค COVID-19 ที่มีการแพร่ระบาดของโรคในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง จึงได้ก าหนดขนาดตัวอย่างที่ ร้อยละ 20 จะได้จ านวนตัวอย่างรวมทั้งสิ้น 48 ราย อย่างไรก็ตามจากการเก็บจ านวนตัวอย่างผู้วิจัยสามารถ เก็บตัวอย่างได้มากกว่าจ านวนตัวอย่างที่ก าหนด คือ 53 ราย โดยมีจ านวนเกษตรกรตัวอย่างในแต่ละ ขนาดฟาร์ม ดังแสดงในตารางที่ 1.1 ตำรำงที่ 1.1 จ ำนวนผู้เลี้ยงแพะขุน จังหวัดสงขลำ ปี 2563 แยกตำมขนำดฟำร์ม ขนำดฟำร์ม จ ำนวนประชำกร (รำย) จ ำนวนตัวอย่ำง (รำย)* ฟำร์มขนำดย่อย (1-20 ตัว) 55 16 ฟำร์มขนำดเล็ก (21-50 ตัว) 100 20 ฟำร์มขนำดกลำง (51-100 ตัว) 80 14 ฟำร์มขนำดใหญ่ (>100 ตัว) 5 3 รวม 240 53 ที่มา: กรมปศุสัตว์, 2563 * จากการค านวณ ณ วันที่ 20 มกราคม 2564 (2) ก าหนดวิธีการสุ่มตัวอย่าง โดยใช้วิธีการสุ่มอย่างง่ายแบบไม่ใส่คืน (Simple Random Sampling without Replacement) (3) เก็บรวมรวมข้อมูลผู้ประกอบการโดยการสัมภาษณ์แบบเชิงลึก ใช้วิธีเลือกตัวอย่าง แบบเฉพาะเจาะจง (Purposive Sampling) จ านวน 3 ราย 2) ข้อมูลทุติยภูมิ (Secondary data) เป็นการรวบรวมจากงานวิจัยของสถาบันการศึกษาต่าง ๆ งานวิจัยของหน่วยงานภาครัฐและเอกชน รวมทั้งข้อมูล จากหนังสือ วารสาร สิ่งพิมพ์ เอกสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องและ การค้นคว้าข้อมูลผ่านระบบอินเตอร์เน็ต 1.5.2 กำรวิเครำะห์ข้อมูล การวิเคราะห์เชิงปริมาณ (Quantitative Analysis) โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา (Descriptive Statistics) แบ่งการวิเคราะห์ ดังนี้ 1) การวิเคราะห์ต้นทุนการผลิตและผลตอบแทน เป็นการวิเคราะห์ต้นทุนและผลตอบแทนที่ได้จากการ ผลิตแพะขุน โดยการค านวณหาผลรวม ค่าเฉลี่ย และค่าร้อยละ 2) การวิเคราะห์วิถีการตลาด ต้นทุนการตลาด และส่วนเหลื่อมการตลาด เป็นการวิเคราะห์โดยใช้ เครื่องมือทางสถิติอย่างง่ายในการอธิบาย ในรูปแบบของการหาค่าสัดส่วน ค่าเฉลี่ย และค่าร้อยละ 3 4 ส ำนักงำนเศรษฐกิจกำรเกษตรที่ 9 ส ำนักงำนเศรษฐกิจกำรเกษตรที่ 9
1.5.3 กรอบแนวคิดกำรวิจัย การผลิต - ต้นทุนการผลิต - ผลตอบแทน การตลาด - วิถีตลาด - ต้นทุนการตลาด - ส่วนเหลื่อมการตลาด การผลิตและการตลาดแพะขุน ในพื้นที่จังหวัดสงขลา ภำพที่ 1.1 แสดงกรอบแนวคิดการวิจัย 1.6 ประโยชน์ที่คำดว่ำจะได้รับ 1.6.1 เกษตรกรและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องสามารถใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการบริหารจัดการ และ วางแผนการผลิตแพะขุน เพื่อสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรอย่างยั่งยืน 1.6.2 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาจัดท านโยบาย มาตรการ และแผนพัฒนา การผลิตแพะขุนให้เกิดประสิทธิภาพ ตลอดจนใช้เป็นแนวทางในการส่งเสริม และพัฒนา เพื่อให้เกษตรกรได้รับ ผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน 2.1 ข้อมูลทั่วไปของเกษตรกร ฟาร์มขนาดย่อย พบว่า เกษตรกรผู้เลี้ยงแพะขุนส่วนใหญ่เป็นเพศชาย ร้อยละ 75.00 และเพศหญิง ร้อยละ 25.00 โดยมีอายุเฉลี่ย 47.94 ปี ส่วนใหญ่มีอายุระหว่าง 41-50 ปี ร้อยละ 31.25 รองลงมามีอายุน้อยกว่าหรือ เท่ากับ 40 ปี และอายุระหว่าง 51-60 ปีเท่ากัน ร้อยละ 25.00 และอายุระหว่าง 61-70 ปี ร้อยละ 18.75 ส าหรับระดับการศึกษา พบว่า เกษตรกรผู้เลี้ยงแพะขุนส่วนใหญ่จบระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ร้อยละ 37.50 รองลงมาจบระดับประถมศึกษา ร้อยละ 31.25 จบระดับมัธยมศึกษาตอนต้น และจบระดับปริญญาตรี เท่ากัน ร้อยละ 12.50 และจบระดับ ปวส. ร้อยละ 6.25 ฟาร์มขนาดเล็ก พบว่า เกษตรกรผู้เลี้ยงแพะขุนส่วนใหญ่เป็นเพศชาย ร้อยละ 60.00 และเพศหญิง ร้อยละ 40.00 โดยมีอายุเฉลี่ย 51.00 ปี ส่วนใหญ่มีอายุระหว่าง 41–50 ปี ร้อยละ 30.00 รองลงมามีอายุน้อยกว่า หรือเท่ากับ 40 ปี และอายุระหว่าง 51–60 ปีเท่ากัน ร้อยละ 25.00 อายุระหว่าง 61–70 ปี ร้อยละ 15.00 และมากกว่า 70 ปี ร้อยละ 5.00 ส าหรับระดับการศึกษา พบว่า เกษตรกรผู้เลี้ยงแพะขุนส่วนใหญ่จบระดับ ประถมศึกษา ร้อยละ 55.00 รองลงมาจบระดับปริญญาตรี ร้อยละ 15.00 จบระดับมัธยมศึกษาตอนต้นและ จบระดับ ปวส. เท่ากัน ร้อยละ 10.00 จบระดับมัธยมศึกษาตอนปลายและจบระดับ ปวช. เท่ากัน ร้อยละ5.00 ฟาร์มขนาดกลาง พบว่า เกษตรกรผู้เลี้ยงแพะขุนส่วนใหญ่เป็นเพศชาย ร้อยละ 85.71 และเพศหญิง ร้อยละ 14.29 โดยมีอายุเฉลี่ย 47.43 ปี ส่วนใหญ่มีอายุระหว่าง 41–50 ปี ร้อยละ 42.86 รองลงมา มีอายุระหว่าง 51–60 ปี ร้อยละ 28.57 มีอายุน้อยกว่าหรือเท่ากับ 40 ปี ร้อยละ 21.43 และมีอายุระหว่าง 61–70 ปี ร้อยละ 7.14 ส าหรับระดับการศึกษา พบว่า เกษตรกรผู้เลี้ยงแพะขุนส่วนใหญ่จบระดับประถมศึกษา ร้อยละ 28.58 รองลงมาจบระดับ ปวส. และจบระดับปริญญาตรี เท่ากัน ร้อยละ 21.43 จบระดับมัธยมศึกษาตอนต้น จบระดับ มัธยมศึกษาตอนปลาย จบระดับ ปวช. และไม่ได้เรียน เท่ากัน ร้อยละ 7.14 ฟาร์มขนาดใหญ่ พบว่า เกษตรกรผู้เลี้ยงแพะขุนทั้งหมดเป็นเพศชาย มีอายุเฉลี่ย 57.67 ปี โดยส่วนใหญ่มีอายุ ระหว่าง 51–60 ปี ร้อยละ 66.67 และอายุ 61–70 ปี ร้อยละ 33.33 ส าหรับระดับการศึกษาส่วนใหญ่จบชั้น ประถมศึกษา ร้อยละ 66.67และจบระดับ ปวช. ร้อยละ 33.33 ภาพรวมเกษตรกรผู้เลี้ยงแพะขุนในพื้นที่จังหวัดสงขลา พบว่า เกษตรกรผู้เลี้ยงแพะขุนส่วนใหญ่เป็นเพศชาย ร้อยละ 73.58 และเพศหญิง ร้อยละ 26.42 โดยมีอายุเฉลี่ย 49.51 ปี ส่วนใหญ่มีอายุระหว่าง 41–50 ปี ร้อยละ 32.08 รองลงมามีอายุระหว่าง 51–60 ปี ร้อยละ 28.30 มีอายุน้อยกว่าหรือเท่ากับ 40 ปี ร้อยละ 22.64 มีอายุ ระหว่าง 61–70 ปี ร้อยละ 15.09 และมีอายุมากกว่า 70 ปี ร้อยละ 1.89 ส าหรับระดับการศึกษา พบว่า เกษตรกร ผู้เลี้ยงแพะขุนส่วนใหญ่จบระดับประถมศึกษา ร้อยละ 41.51 รองลงมาจบระดับมัธยมศึกษาตอนปลายและ ปริญญาตรี เท่ากัน ร้อยละ 15.09 จบระดับ ปวส.ร้อยละ 11.33 จบระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ร้อยละ 9.43 จบระดับ ปวช. ร้อยละ 5.66และไม่ได้เรียน ร้อยละ 1.89ดังแสดงในตารางที่ 2.1 จากข้อมูลข้างต้น จะเห็นได้ว่าเกษตรกรผู้เลี้ยงแพะขุนส่วนใหญ่จะเป็นเพศชาย โดยอายุเฉลี่ยในภาพรวมมีอายุ 49.51 ปี ซึ่งเป็นช่วงอายุเฉลี่ยที่ยังมีความพร้อมในการเรียนรู้ และรับข้อมูลการเลี้ยงแพะขุน อีกทั้งยังมีเกษตรกรรุ่น ใหม่เริ่มเข้ามาลงทุนในการเลี้ยงแพะขุนมากขึ้น ซึ่งมีจ านวนเกินครึ่งของจ านวนตัวอย่างเป็นผู้มีระดับการศึกษา ที่สูงกว่าระดับประถมศึกษา โดยจะมีการเริ่มเลี้ยงในฟาร์มขนาดย่อยก่อนและมีแนวโน้มจะขยายขนาดฟาร์มเพิ่มขึ้น ในอนาคตต่อไป 5 6 ส ำนักงำนเศรษฐกิจกำรเกษตรที่ 9 ส ำนักงำนเศรษฐกิจกำรเกษตรที่ 9 2. ข้อมูลทั่วไป
ตารางที่2.1 ข้อมูลทั่วไปของเกษตรกร หน่วย: ร้อยละ รำยกำร ขนาดฟาร์ม ขนาดย่อย ขนาดเล็ก ขนาดกลาง ขนาดใหญ่ รวม จ านวน (N=16) ร้อยละ จ านวน (N=20) ร้อยละ จ านวน (N=14) ร้อยละ จ านวน (N=3) ร้อยละ จ านวน (N=53) ร้อยละ 1. เพศ ชำย 12 75.00 12 60.00 12 85.71 3 100.00 39 73.58 หญิง 4 25.00 8 40.00 2 14.29 - - 14 26.42 2. อำยุ น้อยกว่ำหรือเท่ำกับ 40 ปี 4 25.00 5 25.00 3 21.43 - - 12 22.64 41 – 50 ปี 5 31.25 6 30.00 6 42.86 - - 17 32.08 51 – 60 ปี 4 25.00 5 25.00 4 28.57 2 66.67 15 28.30 61 – 70 ปี 3 18.75 3 15.00 1 7.14 1 33.33 8 15.09 มำกกว่ำ 70 ปี - - 1 5.00 - - - - 1 1.89 อำยุเฉลี่ย 47.94 51.00 47.43 57.67 49.51 3. ระดับกำรศึกษำ ไม่ได้เรียน - - - - 1 7.14 - - 1 1.89 ประถมศึกษำ 5 31.25 11 55.00 4 28.58 2 66.67 22 41.51 มัธยมศึกษำตอนต้น 2 12.50 2 10.00 1 7.14 - - 5 9.43 มัธยมศึกษำตอนปลำย 6 37.50 1 5.00 1 7.14 - - 8 15.09 ปวช. - - 1 5.00 1 7.14 1 33.33 3 5.66 ปวส. 1 6.25 2 10.00 3 21.43 - - 6 11.33 ปริญญำตรี 2 12.50 3 15.00 3 21.43 - - 8 15.09 สูงกว่ำปริญญำตรี - - - - - - - - - - ที่มา: จากการส ารวจ 3.1 ต้นทุนและผลตอบแทนกำรผลิตแพะขุน 3.1.1 ต้นทุนและผลตอบแทนกำรผลิตแพะขุนในฟำร์มขนำดย่อย ฟาร์มขนาดย่อย พบว่า เกษตรกรมีต้นทุนการผลิตเฉลี่ย 2,799.15 บาทต่อตัว ประกอบด้วยต้นทุน ผันแปร 2,731.63 บาทต่อตัว หรือร้อยละ 97.59 โดยแยกเป็นต้นทุนผันแปรที่ไม่เป็นเงินสด 2,376.39 บาทต่อตัว ต้นทุนผันแปรที่เป็นเงินสด 355.24 บาทต่อตัว และต้นทุนคงที่ 67.52 บาทต่อตัว หรือร้อยละ 2.41 เมื่อพิจารณาต้นทุนผันแปร พบว่า ค่าวัสดุ มีต้นทุนสูงสุด คือ 2,400.04 บาทต่อตัว หรือร้อยละ 87.86 ซึ่งประกอบด้วย ค่าพันธุ์สัตว์มากที่สุด ร้อยละ 79.45 รองลงมาค่าอาหารหยาบ ร้อยละ 8.60 ค่าอาหารข้น ร้อยละ 5.35 ค่ายาและวัคซีน ร้อยละ 2.20 ค่าใช้จ่ายด้านวัสดุอื่น ๆ ได้แก่ ค่าน้ า ค่าไฟฟ้า และค่าน้ ามัน ค่าวัสดุสิ้นเปลือง ค่าซ่อมแซมอุปกรณ์การเกษตร และค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดอื่น ๆ ร้อยละ 1.95 1.32 0.82 และ 0.31 ตามล าดับ รองลงมาเป็นค่าแรงงาน มีต้นทุน 327.20 บาทต่อตัว หรือร้อยละ 11.98 และค่าเสียโอกาสใน การลงทุน มีต้นทุน 4.39 บาทต่อตัว หรือร้อยละ 0.16 ส าหรับต้นทุนคงที่ พบว่า ค่าเสื่อมโรงเรือนและอุปกรณ์ มีต้นทุนสูงสุด คือ 30.42 บาทต่อตัว หรือร้อยละ 45.05 รองลงมา ค่าใช้ที่ดิน มีต้นทุน 20.80 บาทต่อตัว หรือ ร้อยละ 30.81 และค่าเสียโอกาสเงินลงทุนระยะยาว มีต้นทุน 16.30 บาทต่อตัว หรือร้อยละ 24.14 ส าหรับผลตอบแทนที่เกษตรกรได้รับ พบว่า เกษตรกรจ าหน่ายแพะขุนโดยมีน้ าหนักเฉลี่ย 21.31 กิโลกรัมต่อตัว ในราคาเฉลี่ย 153.75 บาทต่อกิโลกรัม ท าให้ได้รับผลตอบแทนจากการจ าหน่าย 3,276.41 บาทต่อตัว และเมื่อหักต้นทุนทั้งหมดแล้ว ท าให้เกษตรกรได้รับผลตอบแทนสุทธิ 477.26 บาทต่อตัว หรือ อธิบายได้ว่า การผลิตแพะขุน 1 กิโลกรัม ท าให้ได้รับผลตอบแทนสุทธิ 22.40 บาท จากข้อมูลข้างต้น จะเห็นว่า เกษตรกรฟาร์มขนาดย่อยส่วนใหญ่ มีเป้าหมายในการเลี้ยงเพื่อเป็นอาชีพ เสริม ใช้เวลาในการเลี้ยงขุนเฉลี่ยเพียง 69.38 วันต่อรุ่น และเลี้ยงได้ 1.69 รุ่นต่อปี ส าหรับต้นทุนในการเลี้ยง แพะขุน จะพบว่า มีต้นทุนค่าพันธุ์สัตว์มากที่สุด ซึ่งค่าพันธุ์จะขึ้นอยู่กับน้ าหนักแพะที่เกษตรกรเริ่มน ามาขุน ซึ่งใช้แพะที่มีน้ าหนักเฉลี่ย 12.63 กิโลกรัมต่อตัว มาเริ่มท าการขุน โดยส่วนใหญ่เกษตรกรจะใช้แพะภายใน ฟาร์มมาขุน และมีการซื้อแพะนอกฟาร์มมาขุนแค่เพียงส่วนน้อยเท่านั้น ด้านอาหาร ส่วนใหญ่เกษตรกร จะเน้นให้อาหารหยาบเป็นหลัก เช่น หญ้า กระถิน หยวกกล้วย และทางปาล์มสด เป็นต้น ซึ่งเป็นพืชอาหาร ที่หาได้ง่ายในท้องถิ่น และสามารถหาได้เพียงพอต่อความต้องการของแพะขุน รวมทั้งมีการเสริมด้วยอาหารข้น ในบางช่วงเวลา จึงท าให้แพะมีน้ าหนักเฉลี่ย 21.31 กิโลกรัมต่อตัว ซึ่งเป็นช่วงน้ าหนักที่เป็นที่ต้องการ ของตลาดในพื้นที่ โดยตลาดต้องแพะน้ าหนักระหว่าง 18-25 กิโลกรัมต่อตัว 7 8 ส ำนักงำนเศรษฐกิจกำรเกษตรที่ 9 ส ำนักงำนเศรษฐกิจกำรเกษตรที่ 9 3.ผลกำรศึกษำ
3.1.2 ต้นทุนและผลตอบแทนกำรผลิตแพะขุนในฟำร์มขนำดเล็ก ฟาร์มขนาดเล็ก พบว่า เกษตรกรมีต้นทุนการผลิตเฉลี่ย 2,795.25 บาทต่อตัว ประกอบด้วยต้นทุนผันแปร 2,726.71 บาทต่อตัว หรือร้อยละ 97.55 โดยแยกเป็นต้นทุนผันแปรที่ไม่เป็นเงินสด 2,283.04 บาทต่อตัว ต้นทุนผันแปรที่เป็นเงินสด 443.67 บาทต่อตัว และต้นทุนคงที่ 68.54 บาทต่อตัว หรือร้อยละ 2.45 เมื่อพิจารณาต้นทุนผันแปร พบว่า ค่าวัสดุ มีต้นทุนสูงสุด คือ 2,432.38 บาทต่อตัว หรือร้อยละ 89.21 ซึ่งประกอบด้วย ค่าพันธุ์สัตว์มากที่สุด ร้อยละ 77.85 รองลงมาค่าอาหารหยาบ ร้อยละ 10.18 ค่าอาหารข้น ร้อยละ 6.05 ค่ายาและวัคซีน ร้อยละ2.24 ค่าใช้จ่ายด้านวัสดุอื่น ๆ ได้แก่ ค่าน้ า ค่าไฟฟ้า และค่าน้ ามัน ค่าซ่อมแซมอุปกรณ์การเกษตร ค่าวัสดุสิ้นเปลือง และค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดอื่น ๆ ร้อยละ 1.56 1.16 0.67 และ 0.29 ตามล าดับ รองลงมาเป็นค่าแรงงาน มีต้นทุน 288.56 บาทต่อตัว หรือร้อยละ 10.58 และค่าเสียโอกาส ในการลงทุน มีต้นทุน 5.77 บาทต่อตัว หรือร้อยละ 0.21 ส าหรับต้นทุนคงที่ พบว่า ค่าเสื่อมโรงเรือนและอุปกรณ์ มีต้นทุนสูงสุด คือ 31.72 บาทต่อตัว หรือร้อยละ 46.28 รองลงมา ค่าใช้ที่ดิน มีต้นทุน 21.32 บาทต่อตัว หรือร้อยละ 31.11 และค่าเสียโอกาสเงินลงทุนระยะยาว มีต้นทุน 15.50 บาทต่อตัว หรือร้อยละ 22.61 ส าหรับผลตอบแทนที่เกษตรกรได้รับ พบว่า เกษตรกรจ าหน่ายแพะขุนโดยมีน้ าหนักเฉลี่ย 22.35 กิโลกรัมต่อตัว ในราคาเฉลี่ย 156.78 บาทต่อกิโลกรัม ท าให้ได้รับผลตอบแทนจากการจ าหน่าย 3,504.03 บาทต่อตัว และเมื่อหักต้นทุนทั้งหมดแล้ว ท าให้เกษตรกรได้รับผลตอบแทนสุทธิ 708.78 บาทต่อตัว หรืออธิบายได้ว่าการผลิต แพะขุน 1 กิโลกรัม ท าให้ได้รับผลตอบแทนสุทธิ 31.71 บาท จากข้อมูลข้างต้น จะเห็นว่า เกษตรกรฟาร์มขนาดเล็กส่วนใหญ่ มีเป้าหมายในการเลี้ยงเพื่อเป็นอาชีพเสริม เช่นเดียวกับฟาร์มขนาดย่อย ใช้เวลาในการเลี้ยงขุนเฉลี่ย 71.50 วันต่อรุ่น และเลี้ยงได้ 2 รุ่นต่อปี ส าหรับต้นทุน ในการเลี้ยงแพะขุน จะพบว่า มีต้นทุนค่าพันธุ์สัตว์มากที่สุด ซึ่งค่าพันธุ์จะขึ้นอยู่กับน้ าหนักแพะที่เกษตรกรเริ่มน ามา ขุน ซึ่งใช้แพะที่มีน้ าหนักเฉลี่ย 11.50 กิโลกรัมต่อตัว มาเริ่มท าการขุน โดยส่วนใหญ่เกษตรกรจะใช้แพะภายในฟาร์ม มาขุน และมีการซื้อแพะนอกฟาร์มมาขุนแค่เพียงส่วนน้อยเท่านั้น ด้านอาหาร ส่วนใหญ่เกษตรกรจะเน้นให้อาหาร หยาบเป็นหลัก เช่น หญ้า กระถิน หยวกกล้วย และทางปาล์มสด เป็นต้น ซึ่งเป็นพืชอาหารที่หาได้ง่ายในท้องถิ่น และ สามารถหาได้เพียงพอต่อความต้องการของแพะขุน รวมทั้งมีการเสริมด้วยอาหารข้นในบางช่วงเวลาเพิ่มขึ้นกว่าฟาร์ม ขนาดย่อย เช่น อาหารส าเร็จรูป ร าข้าวละเอียด กากถั่วเหลือง กากเมล็ดปาล์ม เป็นต้น จึงท าให้แพะมีน้ าหนักเฉลี่ย 22.35 กิโลกรัมต่อตัว ซึ่งเป็นช่วงน้ าหนักที่เป็นที่ต้องการของตลาดในพื้นที่ โดยตลาดต้องแพะน้ าหนักระหว่าง 18-25 กิโลกรัมต่อตัว โดยตลาดต้องแพะน้ าหนักระหว่าง 18-25 กิโลกรัมต่อตัว 3.1.3 ต้นทุนและผลตอบแทนกำรผลิตแพะขุนในฟำร์มขนำดกลำง ฟาร์มขนาดกลาง พบว่า เกษตรกรมีต้นทุนการผลิตเฉลี่ย 2,761.89 บาทต่อตัว ประกอบด้วยต้นทุนผันแปร 2,719.14 บาทต่อตัว หรือร้อยละ 98.45 โดยแยกเป็นต้นทุนผันแปรที่ไม่เป็นเงินสด 2,369.28 บาทต่อตัว ต้นทุนผันแปรที่เป็นเงินสด 349.86 บาทต่อตัว และต้นทุนคงที่ 42.75 บาทต่อตัว หรือร้อยละ 1.55 เมื่อพิจารณาต้นทุนผันแปร พบว่า ค่าวัสดุ มีต้นทุนสูงสุด คือ 2,560.56 บาทต่อตัว หรือร้อยละ 94.17 ซึ่งประกอบด้วย ค่าพันธุ์สัตว์มากที่สุด ร้อยละ 77.32 รองลงมาค่าอาหารหยาบ ร้อยละ 9.41 ค่าอาหารข้น ร้อยละ 9.37 ค่ายาและวัคซีน ร้อยละ 1.15 ค่าใช้จ่ายด้านวัสดุอื่น ๆ ได้แก่ ค่าซ่อมแซมอุปกรณ์การเกษตร ค่าน้ า ค่าไฟฟ้า และค่าน้ ามัน ค่าวัสดุสิ้นเปลือง และค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดอื่น ๆ ร้อยละ 1.03 0.72 0.60 และ 0.40 ตามล าดับ รองลงมาเป็นค่าแรงงาน มีต้นทุน 154.24 บาทต่อตัว หรือร้อยละ 5.67 และค่าเสียโอกาสในการลงทุน มีต้นทุน 4.34 บาทต่อตัว หรือร้อยละ 0.16 ส าหรับต้นทุนคงที่ พบว่า ค่าเสื่อมโรงเรือนและอุปกรณ์ มีต้นทุนสูงสุด คือ 26.08 บาทต่อตัว หรือร้อยละ 61.00 รองลงมา ค่าเสียโอกาสเงินลงทุนระยะยาว มีต้นทุน 9.84 บาทต่อตัว หรือร้อยละ 23.02และค่าใช้ที่ดิน มีต้นทุน 6.83 บาทต่อตัว หรือร้อยละ 15.98 ส าหรับผลตอบแทนที่เกษตรกรได้รับ พบว่า เกษตรกรจ าหน่ายแพะขุนโดยมีน้ าหนักเฉลี่ย 23.14กิโลกรัมต่อ ตัว ในราคาเฉลี่ย 156.74 บาทต่อกิโลกรัม ท าให้ได้รับผลตอบแทนจากการจ าหน่าย 3,626.96 บาทต่อตัว และเมื่อ หักต้นทุนทั้งหมดแล้ว ท าให้เกษตรกรได้รับผลตอบแทนสุทธิ 865.07 บาทต่อตัว หรืออธิบายได้ว่าการผลิต แพะขุน 1กิโลกรัม ท าให้ได้รับผลตอบแทนสุทธิ 37.38 บาท จากข้อมูลข้างต้น จะเห็นว่า เกษตรกรฟาร์มขนาดกลางส่วนใหญ่มีเป้าหมายในการเลี้ยงเพื่อเป็นอาชีพเสริม เช่นเดียวกับฟาร์มขนาดย่อย และฟาร์มขนาดเล็ก ใช้เวลาในการเลี้ยงขุนเฉลี่ย 69.64 วันต่อรุ่นและเลี้ยงได้ 2.57 รุ่นต่อปี ส าหรับต้นทุนในการเลี้ยงแพะขุน จะพบว่า มีต้นทุนค่าพันธุ์สัตว์มากที่สุด ซึ่งค่าพันธุ์จะขึ้นอยู่กับน้ าหนัก แพะที่เกษตรกรเริ่มน ามาขุน ซึ่งใช้แพะที่มีน้ าหนักเฉลี่ย 12.86 กิโลกรัมต่อตั ว มาเริ่มท าการขุน โดยเกษตรกรจะใช้แพะภายในฟาร์มมาขุนทั้งหมด เนื่องจากเกษตรกรมีพ่อพันธุ์ และแม่พันธุ์แพะที่เพียงพอ ส าหรับ ผลิตลูกแพะเพื่อน ามาใช้ในการขุน จึงท าให้ไม่จ าเป็นต้องซื้อแพะนอกฟาร์มมาเพิ่ม ด้านอาหาร ส่วนใหญ่เกษตรกร จะให้ความส าคัญกับอาหารและจะเน้นให้อาหารข้นมากกว่าอาหารหยาบ โดยอาหารข้นที่ให้ เช่น อาหารส าเร็จรูป ร าข้าวละเอียด กากถั่วเหลือง กากเมล็ดปาล์ม เป็นต้น และอาหารหยาบ เช่น หญ้า กระถิน หยวกกล้วย และทางปาล์มสด เป็นต้น ซึ่งเป็นพืชอาหารที่หาได้ง่ายในท้องถิ่น จึงท าให้แพะมีน้ าหนักเฉลี่ย 23.14 กิโลกรัมต่อตัว ซึ่งเป็นช่วงน้ าหนักที่เป็นที่ต้องการของตลาดในพื้นที่ โดยตลาดต้องแพะน้ าหนักระหว่าง 18-25 กิโลกรัมต่อตัว 9 10 ส ำนักงำนเศรษฐกิจกำรเกษตรที่ 9 ส ำนักงำนเศรษฐกิจกำรเกษตรที่ 9
3.1.4 ต้นทุนและผลตอบแทนกำรผลิตแพะขุนในฟำร์มขนำดใหญ่ ฟาร์มขนาดใหญ่ พบว่า เกษตรกรมีต้นทุนการผลิตเฉลี่ย 2,546.38 บาทต่อตัว ประกอบด้วยต้นทุนผันแปร 2,516.23 บาทต่อตัว หรือร้อยละ 98.82 โดยแยกเป็นต้นทุนผันแปรที่ไม่เป็นเงินสด 2,165.94 บาทต่อตัว ต้นทุนผันแปรที่เป็นเงินสด 350.29 บาทต่อตัว และต้นทุนคงที่ 30.15 บาทต่อตัว หรือร้อยละ 1.18 เมื่อพิจารณาต้นทุนผันแปร พบว่า ค่าวัสดุ มีต้นทุนสูงสุด คือ 2,373.12 บาทต่อตัว หรือร้อยละ 94.31 ซึ่งประกอบด้วย ค่าพันธุ์สัตว์มากที่สุด ร้อยละ 77.25 รองลงมาค่าอาหารข้น ร้อยละ 10.97 ค่าอาหารหยาบ ร้อยละ 7.68 ค่ายาและวัคซีน ร้อยละ 1.87 ค่าใช้จ่ายด้านวัสดุอื่น ๆ ได้แก่ ค่าน้ า ค่าไฟฟ้า และค่าน้ ามัน ค่าซ่อมแซมอุปกรณ์การเกษตร ค่าวัสดุสิ้นเปลือง และค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดอื่น ๆ ร้อยละ 0.95 0.72 0.43 และ 0.13 ตามล าดับ รองลงมาเป็นค่าแรงงาน มีต้นทุน 138.33 บาทต่อตัว หรือร้อยละ 5.50 และค่าเสียโอกาสในการลงทุน มีต้นทุน 4.78 บาทต่อตัว หรือร้อยละ 0.19 ส าหรับต้นทุนคงที่ พบว่า ค่าเสื่อมโรงเรือนและอุปกรณ์ มีต้นทุนสูงสุด คือ 15.44 บาทต่อตัว หรือร้อยละ 51.21 รองลงมา ค่าเสียโอกาสเงินลงทุนระยะยาว มีต้นทุน 9.15 บาทต่อตัว หรือร้อยละ 30.35 และค่าใช้ที่ดิน มีต้นทุน 5.56 บาทต่อตัว หรือร้อยละ 18.44 ส าหรับผลตอบแทนที่เกษตรกรได้รับ พบว่า เกษตรกรจ าหน่ายแพะขุนโดยมีน้ าหนักเฉลี่ย 26.67 กิโลกรัมต่อตัว ในราคาเฉลี่ย 152.40 บาทต่อกิโลกรัม ท าให้ได้รับผลตอบแทนจากการจ าหน่าย 4,064.51 บาทต่อตัว และเมื่อหักต้นทุนทั้งหมดแล้ว ท าให้เกษตรกรได้รับผลตอบแทนสุทธิ 1,518.13 บาทต่อตัว จากข้อมูลข้างต้น จะเห็นว่า เกษตรกรฟาร์มขนาดใหญ่ มีเป้าหมายในการเลี้ยงเพื่อเป็นอาชีพหลัก เนื่องจาก เกษตรกรได้ใช้เวลาส่วนใหญ่ในการเลี้ยงแพะ รวมทั้งได้มีการลงทุน การวางแผน รวมทั้งมีการบริหารจัดการ อย่างเป็นระบบ ทั้งในด้านพ่อพันธุ์ แม่พันธุ์ การลงทุนในการสร้างโรงเรือน และเงินทุนมากกว่าฟาร์มขนาดย่อย ขนาดเล็ก และขนาดกลาง และส่งผลให้ต้นทุนการผลิตต่ าที่สุด ทั้งนี้ในการเลี้ยงจะใช้แพะที่มีน้ าหนักเฉลี่ย 11.67 กิโลกรัมต่อตัว มาเริ่มท าการขุน โดยเกษตรกรจะใช้แพะภายในฟาร์มมาขุนทั้งหมด เนื่องจากเกษตรกรมีพ่อพันธุ์ และแม่พันธุ์แพะที่เพียงพอ ส าหรับผลิตลูกแพะเพื่อน ามาใช้ในการขุน จึงท าให้ไม่จ าเป็นต้องซื้อแพะนอกฟาร์ม มาเพิ่ม ด้านอาหาร ส่วนใหญ่เกษตรกรจะให้ความส าคัญกับอาหารและจะเน้นให้อาหารข้นมากกว่าอาหารหยาบ โดยอาหารข้นที่ให้ เช่น อาหารส าเร็จรูป ร าข้าวละเอียด กากถั่วเหลือง กากเมล็ดปาล์ม เป็นต้น และอาหารหยาบ เช่น หญ้า กระถิน หยวกกล้วย และทางปาล์มสด เป็นต้น ซึ่งเป็นพืชอาหารที่หาได้ง่ายในท้องถิ่น ใช้เวลาใน การเลี้ยงขุนเฉลี่ย 75.00 วันต่อรุ่น จึงท าให้แพะมีน้ าหนักเฉลี่ย 26.67 กิโลกรัมต่อตัว ซึ่งเป็นช่วงน้ าหนักที่เกิน ความต้องการของตลาดในพื้นที่เล็กน้อย โดยตลาดต้องการแพะน้ าหนักระหว่าง 18-25 กิโลกรัมต่อตัว และเลี้ยงได้ 2.33 รุ่นต่อปี แต่อย่างไรก็ตามการผลิตแพะขุนในฟาร์มขนาดใหญ่ มีการผลิตที่มีต้นทุนการผลิตต่อตัวต่ าสุด และ ให้ผลตอบแทนสูงสุด เมื่อเทียบกับฟาร์มขนาดอื่น ๆ 3.1.5 ต้นทุนและผลตอบแทนกำรผลิตแพะขุนในภำพรวม ต้นทุนและผลตอบแทนการผลิตแพะขุนในภาพรวม พบว่า เกษตรกรมีต้นทุนการผลิตเฉลี่ย 2,654.71 บาทต่อตัว ประกอบด้วยต้นทุนผันแปร 2,612.68 บาทต่อตัว หรือร้อยละ 98.42 โดยแยกเป็นต้นทุนผันแปร ที่ไม่เป็นเงินสด 2,248.58 บาทต่อตัว ต้นทุนผันแปรที่เป็นเงินสด 364.10 บาทต่อตัว และต้นทุนคงที่ 42.03 บาทต่อตัว หรือร้อยละ 1.58 เมื่อพิจารณาต้นทุนผันแปร พบว่า ค่าวัสดุเป็นต้นทุนสูงสุด คือ 2,426.72 บาทต่อตัว หรือร้อยละ 92.89 ซึ่งประกอบด้วย ค่าพันธุ์สัตว์มากที่สุด ร้อยละ 77.56 รองลงมาค่าอาหารข้น ร้อยละ 9.36 ค่าอาหาร หยาบ ร้อยละ 8.54 ค่ายาและวัคซีน ร้อยละ 1.77 ค่าใช้จ่ายด้านวัสดุอื่นๆ ได้แก่ ค่าน้ า ค่าไฟฟ้า และ ค่าน้ ามันค่าซ่อมแซมอุปกรณ์การเกษตร ค่าวัสดุสิ้นเปลือง และค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดอื่นๆ ร้อยละ 1.07 0.87 0.59 และ 0.24 ตามล าดับ รองลงมาเป็นค่าแรงงาน มีต้นทุน 181.17 บาทต่อตัว หรือร้อยละ 6.93 และ ค่าเสียโอกาสในการลงทุน มีต้นทุน 4.79บาทต่อตัว หรือร้อยละ 0.18 ส าหรับต้นทุนคงที่ พบว่า ค่าเสื่อม โรงเรือนและอุปกรณ์ มีต้นทุนสูงสุด คือ 21.60 บาทต่อตัว หรือร้อยละ 51.39 รองลงมา ค่าเสียโอกาสเงิน ลงทุนระยะยาว มีต้นทุน 10.89 บาทต่อตัว หรือร้อยละ 25.91 และค่าใช้ที่ดิน มีต้นทุน 9.54 บาทต่อตัว หรือ ร้อยละ 22.70 ส าหรับผลตอบแทนที่เกษตรกรได้รับ พบว่า เกษตรกรจ าหน่ายแพะขุนโดยมีน้ าหนักเฉลี่ย24.75 กิโลกรัมต่อตัว ในราคาเฉลี่ย 154.14 บาทต่อกิโลกรัม ท าให้ได้รับผลตอบแทนจากการจ าหน่าย 3,814.96 บาทต่อตัว และเมื่อหักต้นทุนทั้งหมดแล้ว ท าให้เกษตรกรได้รับผลตอบแทนสุทธิ 1,160.25 บาทต่อตัว หรือ อธิบายได้ว่าการผลิตแพะขุน 1 กิโลกรัม ท าให้ได้รับผลตอบแทนสุทธิ 46.88 บาท เมื่อพิจารณาต้นทุนและผลตอบแทนการผลิตแพะขุนในภาพรวม ส่วนใหญ่เลี้ยงเพื่อเป็นอาชีพเสริม ใช้เวลาในการเลี้ยงขุนเฉลี่ย 72.76 วันต่อรุ่น และเลี้ยงได้ 2.28 รุ่นต่อปี ส าหรับต้นทุนในการเลี้ยงแพะขุน จะพบว่า มีต้นทุนค่าพันธุ์สัตว์มากที่สุด ซึ่งค่าพันธุ์จะขึ้นอยู่กับน้ าหนักแพะที่เกษตรกรเริ่มน ามาขุน ซึ่งใช้แพะ ที่มีน้ าหนักเฉลี่ย 12.01 กิโลกรัมต่อตัว โดยส่วนใหญ่เกษตรกรจะใช้แพะภายในฟาร์มมาขุน และมีการซื้อแพะ นอกฟาร์มบางส่วนมาขุน ด้านอาหาร ส่วนใหญ่เกษตรกรจะให้ความส าคัญกับอาหารและจะเน้นให้อาหารข้น มากกว่าอาหารหยาบ โดยอาหารข้นที่ให้ เช่น อาหารส าเร็จรูป ร าข้าวละเอียด กากถั่วเหลือง กากเมล็ดปาล์ม เป็นต้น และอาหารหยาบ เช่น หญ้า กระถิน หยวกกล้วย และทางปาล์มสด เป็นต้น ซึ่งเป็นพืชอาหารที่หาได้ ง่าย ในท้องถิ่น จึงท าให้แพะมีน้ าหนักเฉลี่ย 24.75 กิโลกรัมต่อตัว ซึ่งเป็นช่วงน้ าหนักที่ตรงกับความต้องการ ของตลาดในพื้นที่ โดยตลาดต้องการแพะน้ าหนักระหว่าง 18-25 กิโลกรัมต่อตัว ดังแสดงในตารางที่ 3.2 11 12 ส ำนักงำนเศรษฐกิจกำรเกษตรที่ 9 ส ำนักงำนเศรษฐกิจกำรเกษตรที่ 9
เมื่อพิจารณาต้นทุนแต่ละขนาดฟาร์ม พบว่า ส่วนใหญ่เกษตรกรเลี้ยงแพะเป็นอาชีพเสริมมีเพียงฟาร์มขนาดใหญ่ เท่านั้นที่เกษตรกรเลี้ยงแพะเป็นอาชีพหลักและใช้เวลาในการเลี้ยงขุนเฉลี่ยใกล้เคียงกัน แต่ในฟาร์มขนาดใหญ่จะใช้ เวลาในการเลี้ยงขุนเฉลี่ยมากที่สุด ส าหรับต้นทุนในการเลี้ยงแพะขุนพบว่า ทุกขนาดฟาร์มมีต้นทุนค่าพันธุ์สัตว์มาก ที่สุด ซึ่งค่าพันธุ์จะขึ้นอยู่กับน้ าหนักแพะที่เกษตรกรเริ่มน ามาขุน โดยส่วนใหญ่จะใช้แพะภายในฟาร์มมาขุนมีเพียง ฟาร์มขนาดย่อยและขนาดเล็กที่มีการซื้อแพะนอกฟาร์มมาขุนเพิ่ม ด้านอาหาร พบว่า ฟาร์มขนาดย่อยและ ฟาร์มขนาดเล็ก ส่วนใหญ่เกษตรกรจะเน้นให้อาหารหยาบเป็นหลัก และมีการเสริมด้วยอาหารข้นในบางช่วงเวลา ของการเลี้ยงขุน ในขณะที่ฟาร์มขนาดกลางและขนาดใหญ่ ส่วนใหญ่เกษตรกรจะให้ความส าคัญกับอาหารและ จะเน้นให้อาหารข้นมากกว่าอาหารหยาบ โดยเฉพาะฟาร์มขนาดใหญ่ที่มีค่าอาหารข้นสูงกว่าฟาร์มอื่น ๆรวมทั้งมีการ บริหารจัดการอย่างเป็นระบบท าให้แพะมีน้ าหนักเฉลี่ยสูงกว่าฟาร์มอื่น ๆ จึงส่งผลให้ฟาร์มขนาดใหญ่ มีต้นทุนในการ เลี้ยง ต่อตัวต่ าสุด และได้รับผลตอบแทนสุทธิต่อตัวสูงที่สุด อีกทั้งด้านราคาที่เกษตรกรขายได้ในแต่ละขนาดฟาร์ม มีราคาที่แตกต่างกัน ทั้งนี้ราคาจะขึ้นอยู่กับน้ าหนักแพะ และความต้องการของตลาดในแต่ละช่วงเวลา ตำรำงที่ 3.1 ต้นทุนและผลตอบแทนกำรผลิตแพะขุนแยกตำมขนำดฟำร์ม จังหวัดสงขลำ 13 14 รำยกำร ฟาร์มขนาดย่อย ฟาร์มขนาดเล็ก ฟาร์มขนาดกลาง ฟาร์มขนาดใหญ่ เงินสด ไม่เป็น เงินสด รวม ร้อยละ เงินสด ไม่เป็น เงินสด รวม ร้อยละ เงินสด ไม่เป็น เงินสด รวม ร้อยละ เงินสด ไม่เป็น เงินสด รวม ร้อยละ 1.ต้นทุนผันแปร 355.24 2,376.39 2,731.63 97.59 443.67 2,283.04 2,726.71 97.55 349.86 2,369.28 2,719.14 98.45 350.29 2,165.94 2,516.23 98.82 1.1 ค่ำแรงงำน 0.00 327.20 327.20 11.98 0.00 288.56 288.56 10.58 0.00 154.24 154.24 5.67 0.00 138.33 138.33 5.50 1.2 ค่ำวัสดุ 355.24 2,044.80 2,400.04 87.86 443.67 1,988.71 2,432.38 89.21 349.86 2,210.70 2,560.56 94.17 350.29 2,022.83 2,373.12 94.31 1.2.1 ค่ำพันธุ์สัตว์ 93.75 1,813.13 1,906.88 79.45 126.00 1,767.50 1,893.50 77.85 0.00 1,979.79 1,979.79 77.32 0.00 1,833.33 1,833.33 77.25 1.2.2 ค่ำอำหำรข้น 128.45 0.00 128.45 5.35 147.21 0.00 147.21 6.05 239.96 0.00 239.96 9.37 260.30 0.00 260.30 10.97 1.2.3 ค่ำอำหำรหยำบ 4.13 202.04 206.17 8.60 47.13 200.49 247.62 10.18 28.66 212.40 241.06 9.41 3.52 178.67 182.19 7.68 1.2.4 ค่ำยำและวัคซีน 46.67 6.25 52.92 2.20 50.25 4.20 54.45 2.24 29.36 0.00 29.36 1.15 40.92 3.33 44.25 1.87 1.2.5 ค่ำน้ ำ ค่ำไฟฟ้ำ และค่ำน้ ำมัน 46.87 0.00 46.87 1.95 37.99 0.00 37.99 1.56 18.42 0.00 18.42 0.72 22.51 0.00 22.51 0.95 1.2.6 ค่ำวัสดุสิ้นเปลือง 10.49 21.26 31.75 1.32 7.97 8.34 16.31 0.67 10.04 5.34 15.38 0.60 4.65 5.61 10.26 0.43 1.2.7 ค่ำซ่อมแซมอุปกรณ์ กำรเกษตร 17.45 2.12 19.57 0.82 20.01 8.18 28.19 1.16 13.25 13.17 26.42 1.03 15.20 1.89 17.09 0.72 1.2.8 ค่ำใช้จ่ำยเบ็ดเตล็ดอื่นๆ 7.43 0.00 7.43 0.31 7.11 0.00 7.11 0.29 10.17 0.00 10.17 0.40 3.19 0.00 3.19 0.13 1.3 ค่ำเสียโอกำสในกำรลงทุน 0.00 4.39 4.39 0.16 0.00 5.77 5.77 0.21 0.00 4.34 4.34 0.16 0.00 4.78 4.78 0.19 2. ต้นทุนคงที่ 0.00 67.52 67.52 2.41 0.00 68.54 68.54 2.45 0.00 42.75 42.75 1.55 0.00 30.15 30.15 1.18 2.1 ค่ำใช้ที่ดิน 0.00 20.80 20.80 30.81 0.00 21.32 21.32 31.11 0.00 6.83 6.83 15.98 0.00 5.56 5.56 18.44 2.2 ค่ำเสื่อมโรงเรือนและอุปกรณ์ 0.00 30.42 30.42 45.05 0.00 31.72 31.72 46.28 0.00 26.08 26.08 61.00 0.00 15.44 15.44 51.21 2.3 ค่ำเสียโอกำสเงินลงทุน ระยะยำว 0.00 16.30 16.30 24.14 0.00 15.50 15.50 22.61 0.00 9.84 9.84 23.02 0.00 9.15 9.15 30.35 3. ต้นทุนกำรผลิตทั้งหมด 355.24 2,443.91 2,799.15 100.00 443.67 2,351.58 2,795.25 100.00 349.86 2,412.03 2,761.89 350.29 2,196.09 2,546.38 4. ต้นทุนผันแปร ต่อน้ ำหนัก 1 กิโลกรัม 16.67 111.52 128.19 19.85 102.15 122.00 15.12 102.39 117.51 13.13 81.21 94.34 5. ต้นทุนทั้งหมด ต่อน้ ำหนัก 1 กิโลกรัม 16.67 114.68 131.35 19.85 105.22 125.07 15.12 104.24 119.36 13.13 82.34 95.47 6. รำคำที่เกษตรกรขำยได้ (บำท/ตัว) 3,276.41 3,504.03 3,626.96 4,064.51 7. รำคำที่เกษตรกรขำยได้ (บำท/กิโลกรัม) 153.75 156.78 156.74 152.40 8. ผลตอบแทนต่อตัว (บำท/ตัว) 477.26 708.78 865.07 1,518.13 9. ผลตอบแทนต่อกิโลกรัม (บำท/กิโลกรัม) 22.40 31.71 37.38 56.93 10. น้ ำหนักเมื่อเริ่มเลี้ยง เฉลี่ยต่อตัว (กิโลกรัม) 12.63 11.50 12.86 11.67 11. น้ ำหนักเมื่อขำย เฉลี่ยต่อตัว (กิโลกรัม) 21.31 22.35 23.14 26.67 12. จ ำนวนวันที่เลี้ยงขุน เฉลี่ย/รุ่น (วัน) 69.38 71.50 69.64 75.00 13. จ ำนวนรุ่นที่เลี้ยงขุน เฉลี่ย/ปี (รุ่น) 1.69 2.00 2.57 2.33 แผนภูมิเปรียบเทียบต้นทุนและผลตอบแทนการผลิตแพะขุนแยกตามขนาดฟาร์ม จังหวัดสงขลา สามารถดูรายละเอียดได้จากตาราง 3.1 ที่มา : จากการส ารวจ บาท/ตัว ส ำนักงำนเศรษฐกิจกำรเกษตรที่ 9 ส ำนักงำนเศรษฐกิจกำรเกษตรที่ 9
บำท /ตัว ที่มา: จากการส ารวจ ตำรำงที่ 3.2 ต้นทุนและผลตอบแทนกำรผลิตแพะขุนในภำพรวมเฉลี่ย จังหวัดสงขลำสงขลำ บาท /ตัว 15 16 รำยกำร ภำพรวม เงินสด ไม่เป็นเงินสด รวม ร้อยละ 1.ต้นทุนผันแปร 364.10 2,248.58 2,612.68 98.42 1.1 ค่ำแรงงำน 0.00 181.17 181.17 6.93 1.2 ค่ำวัสดุ 364.10 2,062.62 2,426.72 92.89 1.2.1 ค่ำพันธุ์สัตว์ 26.88 1,855.22 1,882.10 77.56 1.2.2 ค่ำอำหำรข้น 227.12 0.00 227.12 9.36 1.2.3 ค่ำอำหำรหยำบ 15.57 191.65 207.22 8.54 1.2.4 ค่ำยำและวัคซีน 40.17 2.97 43.15 1.77 1.2.5 ค่ำน้ ำ ค่ำไฟฟ้ำ และค่ำน้ ำมัน 26.08 0.00 26.08 1.07 1.2.6 ค่ำวัสดุสิ้นเปลือง 6.90 7.40 14.29 0.59 1.2.7 ค่ำซ่อมแซมอุปกรณ์กำรเกษตร 15.66 5.38 21.04 0.87 1.2.8 ค่ำใช้จ่ำยเบ็ดเตล็ดอื่นๆ 5.72 0.00 5.72 0.24 1.3 ค่ำเสียโอกำสในกำรลงทุน 0.00 4.79 4.79 0.18 2. ต้นทุนคงที่ 0.00 42.03 42.03 1.58 2.1 ค่ำใช้ที่ดิน 0.00 9.54 9.54 22.70 2.2 ค่ำเสื่อมโรงเรือนและอุปกรณ์ 0.00 21.60 21.60 51.39 2.3 ค่ำเสียโอกำสเงินลงทุนระยะยำว 0.00 10.89 10.89 25.91 3. ต้นทุนกำรผลิตทั้งหมด 364.10 2,290.61 2,654.71 4. ต้นทุนผันแปรต่อน้ ำหนัก 1 กิโลกรัม 14.71 90.85 105.56 5. ต้นทุนทั้งหมดต่อน้ ำหนัก 1 กิโลกรัม 14.71 92.55 107.26 6. รำคำที่เกษตรกรขำยได้ (บำท/ตัว) 3,814.96 7. รำคำที่เกษตรกรขำยได้ (บำท/กิโลกรัม) 154.14 8. ผลตอบแทนต่อตัว (บำท/ตัว) 1,160.25 9. ผลตอบแทนต่อกิโลกรัม (บำท/กิโลกรัม) 46.88 10. น้ ำหนักเมื่อเริ่มเลี้ยง เฉลี่ยต่อตัว (กิโลกรัม ) 12.01 11. น้ ำหนักเมื่อขำย เฉลี่ยต่อตัว (กิโลกรัม ) 24.75 12. จ ำนวนวันที่เลี้ยงขุนเฉลี่ย /รุ่น (วัน ) 72.76 13. จ ำนวนรุ่นที่เลี้ยงขุน /ปี (รุ่น ) 2.28 ส ำนักงำนเศรษฐกิจกำรเกษตรที่ 9 ส ำนักงำนเศรษฐกิจกำรเกษตรที่ 9
3.2 วิถีกำรตลำดแพะขุนในพื้นที่จังหวัดสงขลำ วิถีการตลาดแพะขุนในพื้นที่จังหวัดสงขลา เป็นการแสดงการกระจายผลผลิตแพะขุนจากเกษตรกร ผู้เลี้ยงแพะขุนไปสู ่ผู้บริโภคปลายทาง โดยเริ ่มจากเกษตรกรผู้เลี้ยงแพะขุนจะน าลูกแพะในฟาร์ม ของตนเองหรือเกษตรกรบางรายซื้อลูกแพะนอกฟาร์มมาท าการเลี้ยงขุน เมื่อเกษตรกรเลี้ยงแพะขุน จนได้ขนาดและน้ าหนักตามที่ตลาดต้องการก็ท าการจ าหน่าย โดยพบว่า ส่วนใหญ่ร้อยละ 53.93 เป็นการจ าหน่ายให้กับพ่อค้ารวบรวมนอกจังหวัด ซึ่งเป็นพ่อค้าที่มีการซื้อขายกันเป็นประจ า ได้แก่ พ่อค้า รวบรวมในจังหวัดพัทลุง สตูล ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส โดยมีการนัดหมายกันล่วงหน้าทางโทรศัพท์ และตกลงราคากัน หากราคาเป็นที่พอใจ พ่อค้ารวบรวมก็จะเข้ามาซื้อตามที่นัดหมายไว้ ส่วนใหญ่จะเป็น พ่อค้าที่ซื้อขายกันประจ า รองลงมา ร้อยละ 32.99 เป็นการจ าหน่ายให้กับพ่อค้ารวบรวมในจังหวัดสงขลา ร้อยละ 8.72 เกษตรกรผู้เลี้ยงแพะเป็นผู้จ าหน่ายเอง ทั้งนี้การจ าหน่ายแพะขุนของเกษตรกร ผู้ซื้อจะเข้ามา ซื้อแพะขุนที่หน้าฟาร์มของเกษตรกรเอง โดยส่วนใหญ่ผู้ที่เข้ามาซื้อจะเป็นผู้นับถือศาสนาอิสลาม เพื่อน าไป ประกอบอาหารเลี้ยงตามโอกาสต่าง ๆ ของทางศาสนาอิสลาม เช่น การรับขวัญทารกแรกเกิด และพิธีการ กรุบ่านในวันฮารีรายออิดิลอัฏฮา เป็นต้น และร้อยละ 4.36 เป็นการจ าหน่ายให้แก่เกษตรกรผู้เลี้ยงแพะ ในท้องถิ่นเพื่อน าไปเลี้ยงต่อ หรือขยายพันธุ์ต่อไป ส าหรับในส่วนของพ่อค้ารวบรวมในจังหวัดสงขลา ร้อยละ 13.84 จ าหน่ายให้แก่พ่อค้าขายปลีกแพะ ช าแหละในจังหวัด และที่เหลือร้อยละ 3.19 เป็นการจ าหน่ายแพะขุนมีชีวิตให้กับผู้บริโภคโดยตรง เพื่อน าไปประกอบอาหารเลี้ยงตามโอกาสต่าง ๆ ของศาสนาอิสลามเช่นเดียวกัน ในส่วนของพ่อค้ารวบรวม ในจังหวัดใกล้เคียงที่มีความต้องการแพะขุน ได้แก่ จังหวัดพัทลุง สตูล ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส โดยร้อยละ 53.93 เป็นสัดส่วนที่สูงที่สุดที่ซื้อจากเกษตรกรผู้เลี้ยงแพะขุนโดยตรง และร้อยละ 15.96 ซื้อผ่านพ่อค้ารวบรวมในจังหวัดสงขลา รวมเป็ นสัดส่วนร้อยละ 69.89 จากนั้นร้อยละ 56.09 จะถูกรวบรวมส่งต่อไปขายประเทศเวียดนาม และมาเลเซีย และร้อยละ 13.80 พ่อค้ารวบรวม ใน 5 จังหวัดใกล้เคียง จ าหน่ายต่อในจังหวัดของตนเอง เพื่อไปสู่ผู้บริโภคต่อไป ดังแสดงในภาพที่ 3.1 ภาพที่ 3.1 แสดงวิถีการตลาดแพะขุนจังหวัดสงขลา ที่มา: จากการส ารวจ 69.89% 15.96% 17 18 ส ำนักงำนเศรษฐกิจกำรเกษตรที่ 9 ส ำนักงำนเศรษฐกิจกำรเกษตรที่ 9 69.89%
3.3 ส่วนเหลื่อมกำรตลำด ต้นทุนกำรตลำดของผู้ค้ำในระดับต่ำง ๆ 3.3.1 ส่วนเหลื่อมกำรตลำดของผู้ค้ำในระดับต่ำง ๆ ในตลำดกำรซื้อขำยแพะขุน ส่วนเหลื่อมการตลาด คือ ความแตกต่างระหว่างราคาแพะขุนมีชีวิตที่ผู้บริโภคจ่าย กับราคา ที่ผู้ผลิตหรือเกษตรกรได้รับ ซึ่งส่วนเหลื่อมการตลาดประกอบด้วย ต้นทุนการตลาดและก าไรของพ่อค้า ที่เป็นคนกลางทางการตลาด ส าหรับในงานวิจัยครั้งนี้ พิจารณาส่วนเหลื่อมของพ่อค้าในจังหวัดสงขลา 2 ระดับ คือ พ่อค้ารวบรวมในจังหวัด และพ่อค้าขายปลีกแพะช าแหละ ต้นทุนการตลาด คือ ค่าใช้จ่ายทางการตลาดทั้งที่เป็นเงินสดและไม่เป็นเงินสดที่คนกลาง ทางการตลาดต้องจ่ายโดยในแต่ละประเภท มีรายละเอียดแตกต่างกันไปดังนี้ 1) พ่อค้ำรวบรวมในจังหวัด จะต้องเสียค่ำใช้จ่ำยดังนี้ (1) ค่าขนส่ง เป็นค่าขนส่งจากฟาร์มเกษตรกรไปขายต่อให้พ่อค้าขายปลีกแพะ ซึ่งจะมากหรือ น้อยขึ้นอยู่กับระยะทาง จ านวนแพะขุน และรถที่ใช้ขนส่ง ส่วนใหญ่จะเป็นรถกระบะ 4 ล้อ (2) ค่าแรงงาน เป็นค่าจ้างแรงงานที่จ้างเพื่อดูแลแพะขุนและค่าแรงงานของตนเองในการไป ซื้อแพะขุนตามสถานที่ต่าง ๆ และน าไปขายต่อให้พ่อค้าขายปลีกแพะ (3) ค่าอาหารสัตว์และยา เป็นค่าใช้จ่ายในการดูแลให้แพะขุนกินหญ้า อาหาร และค่ายาใน การเลี้ยงดูแพะขุนตั้งแต่ซื้อมาจนกระทั่งขาย (4) ค่าธรรมเนียมและใบอนุญาตเคลื่อนย้าย เป็นค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนการค้าปศุสัตว์ ทั่วราชอาณาจักรอัตรา 400 บาทต่อปี และค่าใช้จ่ายเมื่อมีการซื้อขายโดยขนส่งแพะขุนข้ามจังหวัดจะต้อง จ่ายค่าธรรมเนียมใบอนุญาตเคลื่อนย้ายแก่ทางราชการ (5) ค่าใช้จ่ายในการด าเนินงาน ได้แก่ ค่าด่าน ค่าตรวจเลือด และค่าคอกพักสัตว์ เป็นต้น 2) พ่อค้ำขำยปลีกแพะช ำแหละ จะต้องเสียค่ำใช้จ่ำยดังนี้ (1) ค่าขนส่ง เป็นค่าใช้จ่ายในการขนส่งแพะช าแหละจากโรงฆ่าสัตว์มายังสถานที่ขาย หรือตลาดทั่วไป (2) ค่าแรงงาน เป็นค่าจ้างแรงงานในการรวบรวม ควบคุมดูแลการฆ่าแพะมีชีวิต การขายแพะ ช าแหละรวมทั้งค่าแรงงานของตนเอง (3) ค่าใช้จ่ายในการฆ่า เป็นค่าใช้จ่ายในการด าเนินการฆ่าแพะขุนมีชีวิตจนกระทั่งช าแหละ กลายเป็นเนื้อแพะเพื่อไปส่งยังตลาดและลูกค้า ได้แก่ ค่าแรงงานในการฆ่า ค่าน้ า ค่าไฟ ค่าแก๊ส เป็นต้น (4) ค่าธรรมเนียม และอื่น ๆ ได้แก่ ค่าใบอนุญาตเคลื่อนย้าย ค่าธรรมเนียมในการฆ่า เป็นต้น (5) ค่าใช้จ่ายในการด าเนินงาน เป็นค่าใช้จ่ายในการด าเนินการต่าง ๆ ได้แก่ ค่าด่าน ค่าอาหาร ค่าคอก ค่าเช่าแผง ค่าถุงพลาสติก ค่าน้ าแข็ง ค่าอุปกรณ์ เป็นต้น สัดส่วนการช าแหละแพะขุน และการค านวณราคาขายปลีกแพะช าแหละ จากการศึกษาแพะขุนมีชีวิตในพื้นที่จังหวัดสงขลา ปี 2563 พบว่า แพะขุนมีชีวิตที่น ามาช าแหละ มีน้ าหนักเฉลี่ยตัวละ 28.33 กิโลกรัม ระหว่างการขนส่งแพะขุนจากฟาร์มมายังโรงฆ่าสัตว์ และรอก่อนช าแหละ น้ าหนักแพะขุนจะลดลงซึ่งขึ้นอยู่กับระยะทางที่ขนส่งด้วย โดยเฉลี่ยจะลดลงประมาณตัวละ 1.00 กิโลกรัม เหลือน้ าหนักแพะขุนที่ฆ่าเฉลี่ยตัวละ 27.33 กิโลกรัม และในการช าแหละแพะขุนจะมีการสูญเสียน้ าหนัก จากเลือด ขน มูล เครื่องใน และส่วนที่ไม่บริโภค รวมน้ าหนักสูญเสียในการฆ่าช าแหละตัวละ 9.83 กิโลกรัม เหลือน้ าหนักซากเนื้อแพะรวมเครื่องในที่สามารถจ าหน่ายได้ตัวละ 17.50 กิโลกรัม ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาสัดส่วนจากการช าแหละแพะ 1 ตัว พบว่า เป็นสัดส่วนของขาหน้า ร้อยละ 25.41 เป็นสัดส่วนของขาหลัง ร้อยละ 18.71 สัดส่วนของเครื่องใน ได้แก่ ตับ ปอด หัวใจ ม้าม ไข่ดันร้อยละ 7.06 สัดส่วนข้อกีบเท้า และส่วนหัว ร้อยละ 6.35 4.24 ตามล าดับ และที่เหลือ ร้อยละ 38.23 เป็นสัดส่วน ในการสูญเสียดังนั้น ในการค านวณราคาขายปลีกแพะช าแหละเฉลี่ยทั้งตัว ซึ่งเป็นการค านวณจากน้ าหนัก ตามสัดส่วนการช าแหละแพะ คูณราคาขายปลีกของแต่ละชิ้นส่วน เป็นมูลค่ารวมของแพะช าแหละทั้งตัว เท่ากับ 5,500 บาท หารด้วยน้ าหนักแพะมีชีวิต 28.33 กิโลกรัม จึงได้ราคาขายปลีกแพะช าแหละ 194.14 บาทต่อกิโลกรัม ดังแสดงในตารางที่ 3.3 ตารางที่ 3.3 สัดส่วนการช าแหละแพะ ราคาขายปลีก รำยกำร สัดส่วนกำรช ำแหละแพะ (กิโลกรัม) ร้อยละ รำคำขำยปลีกเฉลี่ย (บำท/กิโลกรัม) ขำหน้ำ 7.20 25.41 360 ขำหลัง 5.30 18.71 360 เครื่องใน (ตับ ปอด หัวใจ ม้ำม ไข่ดัน) 2.00 7.06 260 หัว 1.20 4.24 250 ข้อกีบเท้ำ 1.80 6.35 100 สูญเสีย 10.83 38.23 - รวม 28.33 100.00 194.14 19 20 หมายเหตุ: น าหนักแพะมีชีวิต 28.33 กก. น าหนักที่สูญเสียระหว่างการขนส่ง 1 กก. เหลือน าหนักแพะขุนที่ฆ่า 27.33 กก ส ำนักงำนเศรษฐกิจกำรเกษตรที่ 9 น าหนักสูญเสียในการช าแหละ 9.83 กก. เหลือน าหนักซากรวมเครื่องในตัวละ 17.50 กก. ส ำนักงำนเศรษฐกิจกำรเกษตรที่ 9
ส าหรับส่วนเหลื่อมการตลาดระหว่างเกษตรกรผู้เลี้ยงแพะขุนกับพ่อค้ารวบรวมในจังหวัด โดยเริ่มจากเกษตรกร ผู้เลี้ยงแพะขุนขายแพะขุนให้กับพ่อค้ารวบรวมในจังหวัด ซึ่งส่วนใหญ่จะรู้จักกันและมีการซื้อขายกันมา อย่างต่อเนื่อง จากการศึกษา พบว่า ราคาเฉลี่ยแพะขุนมีชีวิตที่เกษตรกรได้รับจากพ่อค้ารวบรวม เท่ากับ 154.14 บาท ต่อกิโลกรัม และพ่อค้ารวบรวมในจังหวัดจะขายแพะขุนให้กับพ่อค้าขายปลีกแพะช าแหละ ในราคาเฉลี่ย 165.00 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งมีส่วนเหลื่อมการตลาด 10.86 บาทต่อกิโลกรัม หรือคิดเป็นร้อยละ 5.59 ของราคา ที่ผู้บริโภคจ่าย หรือคิดเป็นร้อยละ 27.15 ของส่วนเหลื่อมการตลาดทั้งหมด โดยค่าใช้จ่ายของพ่อค้ารวบรวม ในจังหวัด ได้แก่ ค่าขนส่ง ค่าแรงงาน ค่าใช้จ่ายในการด าเนินงาน และค่าธรรมเนียมและใบอนุญาตเคลื่อนย้าย เฉลี่ย 1.49 0.61 0.49 และ 0.08 บาทต่อกิโลกรัม ตามล าดับ หรือคิดเป็นต้นทุนการตลาด เฉลี่ย 2.67 บาทต่อกิโลกรัม และเป็นก าไรของพ่อค้ารวบรวมในจังหวัดเฉลี่ย 8.19 บาทต่อกิโลกรัม ส่วนเหลื่อมการตลาดระหว่างพ่อค้ารวบรวมในจังหวัดกับพ่อค้าขายปลีกแพะช าแหละ เมื่อพ่อค้ารวบรวมใน จังหวัดรับซื้อแพะขุนจากเกษตรกร ก็จะน าไปขายต่อให้กับพ่อค้าขายปลีกแพะช าแหละ จากการศึกษาพบว่า ราคา เฉลี่ยของแพะขุนมีชีวิตที่พ่อค้ารวบรวมในจังหวัดได้รับ เท่ากับ 165.00 และราคาขายปลีกแพะช าแหละที่พ่อค้าขาย ปลีกแพะช าแหละได้รับ เฉลี่ย 194.14 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งมีส่วนเหลื่อมการตลาด 29.14 บาทต่อกิโลกรัม คิดเป็น ร้อยละ 15.01 ของราคาที่ผู้บริโภคจ่าย หรือคิดเป็นร้อยละ 72.85 ของส่วนเหลื่อมการตลาดทั้งหมด และเป็นส่วน เหลื่อมการตลาดที่มากที่สุดในการศึกษาครั้งนี้ โดยส่วนเหลื่อมนี้จะเป็นค่าใช้จ่ายของพ่อค้าขายปลีกแพะช าแหละ หรือคิดเป็นต้นทุนการตลาด เฉลี่ย 13.39 บาทต่อกิโลกรัม โดยค่าใช้จ่ายของพ่อค้าขายปลีกแพะช าแหละ ได้แก่ ค่าใช้จ่ายในการฆ่า ค่าขนส่ง ค่าใช้จ่ายในการด าเนินงาน และค่าแรงงาน เฉลี่ย 5.34 4.34 1.93 และ 1.78 บาทต่อกิโลกรัม ตามล าดับ และเป็นก าไรของพ่อค้าขายปลีกแพะช าแหละ เฉลี่ย 15.75 บาทต่อกิโลกรัม สรุปผลการศึกษาส่วนเหลื่อมการตลาดแพะขุนในพื้นที่จังหวัดสงขลา พบว่า ราคาแพะขุนที่เกษตรกรได้รับเฉลี่ย 154.14 บาทต่อกิโลกรัม ในขณะที่ราคาขายปลีกแพะช าแหละที่ผู้บริโภคจ่ายเท่ากับ194.14 บาทต่อกิโลกรัม ดังนั้น ส่วนเหลื่อมการตลาดแพะขุนมีชีวิตจนกระทั่งขายปลีกเป็นแพะช าแหละเท่ากับ40.00 บาทต่อกิโลกรัม คิดเป็น ร้อยละ 20.60 ของราคาที่ผู้บริโภคจ่าย โดยสามารถแยกเป็นต้นทุนการตลาดทั้งหมด 16.06 บาทต่อกิโลกรัม คิดเป็นร้อยละ 8.27 ของราคาที่ผู้บริโภคจ่าย และก าไรทั้งหมดของพ่อค้าคนกลาง เท่ากับ 23.94 บาทต่อกิโลกรัม คิดเป็นร้อยละ 12.33 ของราคาที่ผู้บริโภคจ่าย ดังแสดงในตารางที่ 3.4 ตำรำงที่ 3.4 ส่วนเหลื่อมกำรตลำดแพะขุนในพื้นที่จังหวัดสงขลำ รำยกำร บำท/กก. ร้อยละ รำคำแพะขุนที่เกษตรกรได้รับจำกพ่อค้ำรวบรวม 154.14 79.40 ส่วนเหลื่อมกำรตลำด 10.86 5.59 ต้นทุนกำรตลำด 2.67 1.37 - ค่ำขนส่ง (ค่ำน้ ำมัน ค่ำรถยนต์) 1.49 0.77 - ค่ำแรงงำน 0.61 0.31 - ค่ำธรรมเนียมและใบอนุญำตเคลื่อนย้ำย 0.08 0.04 - ค่ำใช้จ่ำยในกำรด ำเนินงำน 0.49 0.25 รำคำแพะขุนมีชีวิตที่พ่อค้ำรวบรวมในจังหวัดได้รับ 165.00 84.99 ก ำไรของพ่อค้ำรวบรวมในจังหวัด 8.19 4.22 ส่วนเหลื่อมกำรตลำด 29.14 15.01 ต้นทุนกำรตลำด 13.39 6.90 - ค่ำขนส่ง 1.78 0.92 - ค่ำแรงงำน 4.34 2.24 - ค่ำใช้จ่ำยในกำรฆ่ำ 5.34 2.75 - ค่ำใช้จ่ำยในกำรด ำเนินงำน 1.93 0.99 รำคำที่พ่อค้ำขำยปลีกแพะช ำแหละได้รับจำกผู้บริโภค 194.14 100.00 ก ำไรของพ่อค้ำขำยปลีกแพะช ำแหละ 15.75 8.11 ต้นทุนกำรตลำดทั้งหมด 16.06 8.27 ก ำไรทั้งหมดของพ่อค้ำคนกลำง 23.94 12.33 ส่วนเหลื่อมกำรตลำดทั้งหมด 40.00 20.60 ที่มา: จากการส ารวจ 21 22 ส ำนักงำนเศรษฐกิจกำรเกษตรที่ 9 ส ำนักงำนเศรษฐกิจกำรเกษตรที่ 9
4.1 ควรมีการส่งเสริม พัฒนาองค์ความรู้ในการเลี้ยงแพะขุน รวมทั้งพัฒนาการเลี้ยงแพะขุน คุณภาพอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างโอกาสการเพิ่มมูลค่าการจ าหน่ายในตลาดเฉพาะ เช่น พิธีการ กรุบ่านในวันฮารีรายออิดิลอัฏฮาของศาสนาอิสลาม ทั้งนี้เนื่องจากเกษตรกรยังอยู่ในวัยที่มีความพร้อม ในการเรียนรู้ และรับข้อมูลในการเลี้ยงแพะขุน อีกทั้งยังมีเกษตรกรรุ่นใหม่เริ่มเข้ามาลงทุนในการเลี้ยง แพะขุนมากขึ้น ดังจะเห็นได้จากเกษตรกรตัวอย่างมากกว่าครึ่ง มีอายุต่ ากว่า 50 ปี และมีระดับการศึกษา ที่สูงกว่าระดับประถมศึกษามีความพร้อมและมีแนวโน้มจะขยายขนาดฟาร์มเพิ่มขึ้นในอนาคตต่อไป 4.2 ควรส่งเสริมให้เกษตรกรรวมกลุ่มการผลิตแพะขุน เพื่อเพิ่มอ านาจต่อรองด้านการจัดหาปัจจัย การผลิต และการจ าหน่าย รวมทั้งพัฒนากลุ่มในการใช้เครื่องจักรกลการเกษตร และพัฒนาเทคโนโลยี ร่วมกันต่อไป 4.3 ควรส่งเสริมให้เกษตรกรให้ความส าคัญกับการจัดท าบัญชีฟาร์ม เพื่อให้ทราบต้นทุนการผลิต การจ าหน่ายผลผลิตที่แท้จริง เพื่อให้สามารถบริหารจัดการฟาร์มได้อย่างถูกต้อง และใช้ในวางแผน การผลิตแพะขุนต่อไป 4.4 ควรส่งเสริมให้เกษตรกรผลิตพืชอาหารสัตว์ อาทิ หญ้าเนเปียร์และให้มีการฝึกอบรมถ่ายทอด เทคโนโลยีการน าพืชผลเหลือใช้ทางการเกษตร หรือพืชผลที่มีในท้องถิ่นมาใช้ผลิตอาหารสัตว์ เพื่อเป็นการสร้างความมั่นคงด้านอาหารแพะ และลดต้นทุนการผลิตที่ต้นทุนการผลิตส่วนใหญ่ ในการเลี้ยงแพะขุนเป็นต้นทุนด้านอาหาร 4.5 ภาครัฐควรหาแนวทางในการกระจายผลก าไรให้เกษตรกรได้รับเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจากการศึกษา ส่วนเหลื่อมทางการตลาดของพ่อค้าขายปลีกแพะช าแหละมีก าไรสูงกว่าพ่อค้ารวบรวมและเกษตรกร อาทิ การส่งเสริมให้เกษตรกรรวมกลุ่มขนาดใหญ่เพื่อจ าหน่ายแพะขุนให้พ่อค้าขายปลีกเนื้อแพะ ช าแหละโดยตรง การส่งเสริมสนับสนุนการจัดตั้งโรงช าแหละที่ได้รับมาตรฐาน รวมทั้งการส่งเสริม การแปรรูปเนื้อแพะให้แก่เกษตรกรเพื่อน าไปขยายผลและพัฒนาต่อไป เป็นต้น 23 ส ำนักงำนเศรษฐกิจกำรเกษตรที่ 9 4.ข้อเสนอแนะ