The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ศิลปวัฒนธรรมสมัยสุโขทัย

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by yutthanakongparichat, 2021-08-11 10:19:14

ศิลปวัฒนธรรมสมัยสุโขทัย

ศิลปวัฒนธรรมสมัยสุโขทัย

อาณาจกั รสโุ ขทัย

พฒั นาการด้านสงั คมและวฒั นธรรมในสมยั สโุ ขทัย

คาํ นํา

หนังสืออิเล็กทรอนกิ สเ์ ลม่ นจี ดั ทําขนึ เพือประกอบวชา ประวตั ิศาสตร์ (30103)
ชนั มัธยมศกึ ษาปที 4 โดยมจี ดุ ประสงค์ เพอื การศึกษาความรู้ในเรอง พัฒนาการด้านสงั คม
และวฒั นธรรมในสมยั สโุ ขทยั

ผจู้ ดั ทาํ ได้เลือกหวั ข้อนีในการทํางาน เนืองจากเปนเรองทีน่าสนใจ รวมทงั ยังแสดงใหเ้ ห็นถึง
การเปลยี นแปลงทางสังคมในสมยั สโุ ขทัย ผจู้ ดั ทาํ ตอ้ งขอขอบคุณ ผศ.ดร. อาํ พร ขุนเนยี ม
ผใู้ ห้ความรู้และแนวทางการศกึ ษา หวงั วา่ หนงั สอื อเิ ล็กทรอนิกส์เล่มนจี ะให้ความรู้ และเปน
ประโยชน์แก่ผอู้ า่ นทุกๆท่าน หากมีขอ้ เสนอแนะประการใดผจู้ ัดทําขอรับไวด้ ว้ ยความ
ขอบพระคณุ อยา่ งยงิ

นางสาว ปรฉตั ย์ องอาจยุทธนากร
ผจู้ ัดทํา

สารบัญ

พฒั นาการทางด้านสังคม

ศาสนาและความเช่ือ
ชนชนั้ ในสมยั สุโขทยั
ชวี ิตความเป็นอยูสมยั สโุ ขทยั

สารบญั

พฒั นาการทางดา้ นวัฒนธรรม

ศิลปวัฒนธรรมสมยั สโุ ขทัย
ภาษา
ศลิ ปกรรม
ประเพณี

พฒั นาการทางดา้ นสังคม

ศาสนาและความเชอื

ในสมยั สโุ ขทยั ราษฏรโดยทวั่ ไปมีการนับถอื ผี วิญญาณของบรรพบุรษุ
ปรากฏการณตามธรรมชาติ พระพุทธศาสนา สว นศาสนาพราหมณอาจจะ
มกี ารนับถืออยูบ างในราชสานักสโุ ขทยั ตอนปลาย

1. การนบั ถือผี

การนับถือผี เทวดา นางไม การเช่ือถอื โชคลางและส่ิงศักดสิ์ ิทธติ์ าง ๆ
ยงั คงมอี ยูในจิตสานึกของคนไทยมาตัง้ แตดงั้ เดมิ ถึงแมว าเวลาตอ มาจะไดรบั
คตทิ าง พระพุทธศาสนาแลว ก็ตาม ในสมยั สุโขทยั มกี ารนับถอื ผขี องบรรพบรุ ษุ
ซ่ึงถือวา เป็นสิง่ ศกั ดสิ์ ทั ธิ์ จงึ ตองจดั ให มพี ธิ กี ารเซน ไหว อยูเป็นประจาํ นอกจาก
นี้ยังเช่อื ถือ คาํ สตั ยสาบานและภูตผีประจาสถานที่ตางๆอีกดว ย

2. พระพุทธศาสนา

ชาวสโุ ขทยั สว นใหญน ับถือพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทอยางลงั กาวงศ
โดยมีพระมหากษตั ริยเ ป็นองคอปุ ถมั ภ พระพุทธศาสนานิกายเถรวาทนี้ได
เจรญิ รงุ เรืองมากในรชั สมยั ของพอขุนรามคาแหงมหาราชเม่ืออาณาจกั รสโุ ขทยั
มีความสมั พนั ธอ นั ดกี ับเมอื งนครศรธี รรมราช ทรงเหน็ วา วัตรปฏิบัติของพระ
สงฆนิกายนี้มีความสาํ รวมนาเล่ือมใสศรัทธา จงึ โปรดเกลาฯนิมนตข ้นึ มาตงั้
วงศทีก่ รงุ สุโขทยั ดวยพระสงฆเ หลานัน้ นอกจากจะไดท ําการเผยแผศ าสนาและ
อบรมสัง่ สอนศลี ธรรมแกประชาชนแลวยังไดทาํ การแปลพระไตรปิฏกจากภาษา
สันสกฤตมาเป็นภาษาบาลีดว ย สําหรับนิกายมหายานนัน้ ก็มผี ูน ับถอื อยูบ า ง
แตวาไมคอ ยมีบทบาทมากนัก เน่ืองจากชาวสโุ ขทัยสวนใหญนับถอื นิกาย
เถรวาทอยางลังกาวงศเป็นปึกแผน มัน่ คงอยูแลว

3. ศาสนาพราหมณ์

ศาสนาพราหมณจากอินเดยี ไดข ยายเขาไปในอาณาจักรกัมพชู ากอน และ
สนั นิษฐานวา ในสมัยสโุ ขทัยตอนปลายคงมีการรับอทิ ธพิ ลของศาสนาพราหมณ
เขามาในราชสาํ นักดวยทัง้ นี้เพราะจากหลักฐานศลิ าจารึกสโุ ขทยั หลกั ที่ 4 ปรากฏ
วามคี าํ วา “เสวยราชย” “ไอศรู ยธิปัตย” และ “พระราชบญั ญตั ิ” เป็นตน แสดงวา
มีการใชราชาศัพทส ําหรับพระเจา แผน ดนิ ที่มีฐานะเป็นพระผเู ป็นเจา ตามคตขิ อง
ศาสนาพราหมณ ซ่งึ ถอื วา พระมหากษตั ริยคอื ภาคหน่ึงของพระผเู ป็นเจาอันหมาย
ถึงพระศวิ ะหรือไมกพ็ ระนารายณ ถาเป็นเชนนี้อทิ ธพิ ลของศาสนาพราหมณกเ็ ริ่ม
มีบทบาทในราชสาํ นักสุโขทยั ตงั้ แตสมัยพระมหาธรรมราชาที่ 1(ลไิ ท) เป็นตน
มา โดยเริ่มมอี ทิ ธพิ ลในทางการเมืองการปกครองเป็นสาํ คญั นอกจากนี้ในสมยั
พระมหาธรรมราชาท่ี 1 (ลิไท) ยงั โปรดเกลา ฯ ใหห ลอ เทวรปู พระอิศวรและพระ
ศวิ ะแลว นําไปประดิษฐานไวใ นหอเทวาลยั มหาเกษตรในปามะมวงอีกดวย

ชนชนั ในสมยั สโุ ขทัย

ชนชนั ปกครอง

พระมหากษตั รยิ 

เป็นประมขุ ของอาณาจกั รมพี ระราชอํานาจสงู สดุ มหี น าที่ปกครองอาณาจกั ร
ใหมคี วามมัน่ คง เป็นปึกแผนรวมไปถงึ การดแู ลราษฎรใหท ํามาหากินและ
ดํารงชีวิตอิ ยางเป็นปกตสิ ขุ

เจานาย/ขนุ นาง

กลุม พระราชวงศ และขา ราชการทม่ี ีหน าทชี่ วยเหลอื พระมหากษตั ริยม หี น าทใ่ี น
การรับราชการในกรมกองตา งๆ ชว ยพระมหากษตั ริยบ รหิ ารราชการบานเมอื ง
สมัยสโุ ขทยั ตอนตน เรียกเจานายวา เจาขุน ลูกเจา ลูกขนุ ภายหลงั มขี นุ นาง
เพม่ิ ข้นึ อีกหลายประเภท เชน ขุนยีข่ ุนนาง ฝูงเจา ขนุ พราหมณเศรษฐี
อาํ มาตย มขุ มนตรี เป็นตน

ชนชนั ถกู ปกครอง

ประชาชนทวั่ ไป / ไพร

เป็นคนสว นใหญข องกรงุ สโุ ขทยั มีช่ือเรียกตางๆ เชน ไพร ไพรฟ าขา ไท
ไพรฟ  าหน าใส ทวย ปั่ว ลูกบาน และลกู เมอื ง เป็นตน มีหน าท่ีสําคญั โดย
เฉพาะผชู าย คือ ชวยเหลืองานราชการ เชน สรา งเข่ือนกักเก็บน้ํา สรา ง
ถาวรวัตถุ และออกรบในยามศึกสงคราม เป็นตน

พระสงฆ

ทําหน าท่ใี นการดาํ รงพระพุทธศาสนา เผยแผพ ระธรรมคําสัง่ สอนของ
พระพุทธเจา เป็นผูนําในการประกอบพธิ กี รรมทางศาสนา

ทาส
ในชว งสุโขทยั ตอนตน มที าสเพยี งประเภทเดียว คอื ทาสเชลย คอื ทาสทไ่ี ดมา
จากสงคราม นัน่ เอง

ชวี ติ ความเปนอยูส่ มยั สโุ ขทัย

สโุ ขทัยมีการจดั วางผังเมอื งทเ่ี ป็นระบบตัวเมือง มกี าํ แพงตรีบรู ลอ มรอบ มคี ูน้ํา
คัน่ ไดประโยชนทงั้ ทางดานการป องกันตนและการอปุ โภคบรโิ ภค ศูนยก ลางของเมือง
อยูบรเิ วณวดั พระพายหลวง เม่อื มีการขยายเมืองถึงไดยา ยมาอยูท่วี ัดมหาธาตุ ในตัว
เมอื งเป็นที่ตัง้ ของพระราชวัง พระอาราม สว นประชาชนจะอาศัยอยูนอกเขตกําแพง
เมือง ตามจารกึ พอขนุ รามคาํ แหงมหาราชไดบรรยายภาพการใชพ้ืนทีเ่ มอื งสุโขทยั วา

"เบ้ืองตะวันโอกเมืองสโุ ขทัยนี้มพี หิ าร.. มปี าหมากปาพลู มีไรมีนา
มีถิน่ ฐาน มีบานใหญ บานเล็ก.."

บา นเรอื นและพระราชวังลวนสรา งดวยไมท งั้ สิน้ จงึ ไมเหลอื รอ งรอยไวเป็นหลกั ฐาน
ตา งจากศาสนสถานซ่ึงสรา งดวยอิฐ หนิ และศลิ าแลงจงึ คงทนกวา นอกจากนี้ ชาว
สุโขทยั นิยมกินหมากพลู จงึ มสี วนหมากสวนพลอู ยูหลายพ้ืนทีช่ าวบานบริโภคทงั้ ขา ว
เจา และขาวเหนียว กับขา วสวนใหญจะประกอบดวยปลาน้ําจดื ท่ีมีอยอู ยา งอดุ ม
สมบรู ณ ดงั จารึกท่ีวา

"ในน้ํามีปลา ในนามีขา ว"

พฒั นาการทางด้านวัฒนธรม

ศิลปวฒั นธรรมสมยั สโุ ขทัย

วัฒนธรรม คอื วถิ ีแหง ชีวิตสงั คมทงั้ ดา นความคิดและวัตถุที่เกดิ จากการ
เลอื กสรรใชภมู ปิ ัญญาตางๆและมีการสบื ทอดไปสูคนรนุ หลงั มกี ารปรับปรงุ เพ่อื
แกไ ขปัญหาใหส อดคลองกบั สภาพแวดลอม ความตอ งการและความจาํ เป็น
วัฒนธรรมสโุ ขทัยมีรากฐานจากการเป็นสังคมเกษตรกรรม ผสมผสานแนวคิด
ปฏิบัติของความเช่อื ดงั้ เดมิ กับพทุ ธศาสนา นิกายเถรวาทและมหายาน

ภาษาและวรรณกรรม

ภาษา

จากศลิ าจารกึ หลกั ท่ี ๑ ปรากฏขอความเกีย่ วขอ งกบั การประดษิ ฐ ตวั
อกั ษรไทยของพอ ขุนรามคําแหงมหาราชใน พ.ศ. 1826 จากศิลาจารกึ ดงั กลา ว
จงึ เป็นทเ่ี ช่อื กันวา อักษรไทยของพอ ขุนรามคาํ แหงมหาราชซ่งึ จารึกลงศลิ าจารกึ
ในพ.ศ. 1826 นัน้ เป็นอกั ษรไทยเกา แกทส่ี ดุ ทใ่ี ชใ นประเทศไทย

ศาสตราจารยยอรช เซเดส สรุปวา อักษรพอขนุ รามคาํ แหงมหาราชดดั แปลง
มาจากอกั ษรขอมหวัด เพราะมรี ูปลกั ษณะคลา ยคลึงกันมาก

นันทนา ดานววิ ฒั น กลาววา อักษรตนตระกลู ของพอ ขนุ รามคําแหงมหาราช
คือ อกั ษรพราหมณ อกั ษรคฤนห และอักษรขอมหวดั

แตจ ากการศึกษาและวจิ ัยเปรียบเทยี บจารกึ ตางของ กองแกว วีระประจักษ คน
พบวา รูปแบบตัวอักษรไทยของพอ ขนุ รามคาแหงมหาราชนัน้ ไดรบั อิทธพิ ลมา
จากรูปอักษรแบบปัลลวะของราชวงศป ัลลวะแหง ประเทศอนิ เดยี ตอนใต โดย
อักขรวธิ ใี นการเขียนพอขนุ รามคาํ แหงมหาราชได วางรูปสระให เรียงอยู
บรรทดั เดียวกบั พยญั ชนะ ตอมาในสมยั พระมหาธรรมราชาที่ 1 (ลิไท) ได
ปรากฏรูปอกั ษรแบบใหมข้ึนคลา ยๆกบั รูปอกั ษรของพอขนุ รามคาํ แหงมหาราช
แตม ีการแกไ ขท่ีวางของรปู สระเสียใหมโดยวางไว ขางหน า ขางหลัง ขางบน
หรือขางลาง ของรูปพยัญชนะตน อกั ษรไทยทงั้ 2 สมัยนี้ จัดเป็นตน กําเนิด
ของวฒั นธรรมไทยทางดา นตวั อกั ษร

ภาษาและวรรณกรรม

วรรณกรรม

1. ศิลาจารึก ศิลาจารึกท่ีพบในสมยั สุโขทยั มีประมาณไมน อยกวา 30 หลกั
ทส่ี าํ คัญมากไดแ ก ศิลาจารึกหลกั ท่ี 1 ซ่งึ มคี ณุ คาทางภาษา กฎหมาย การ
ปกครองวฒั นธรรมนับเป็นวรรณกรรมท่ีแสดงใหเหน็ ถึงสภาพสังคมและ
วฒั นธรรมของสุโขทัยไดเ ป็นอยา งดี

2. ไตรภมู ิพระรวง พระมหาธรรมราชาที่ 1 (ลไิ ท) ทรงพระราชนิพนธข ้นึ
เม่อื พ.ศ. 1888 เพ่อื ใชใ นเทศนาโปรด พระราชมารดาและเพ่ืออบรมสงั่ สอน
ประชาชนใหบรรลุถงึ ซ่งึ นิพพาน ไตรภมู พิ ระรว งนี้นับวาเป็นวรรณคดีเลมแรก
ของไทยท่เี ขยี นเป็นเลม อยา งสมบรู ณ โดยบรรยายถึงความทกุ ขย ากของเปรต
พรรณนาถงึ สวรรค ถอยคาํ บรรยายกอให เกดิ ภาพพจนและอารมณ เป็นการ
ระงับอารมณของผูฟ ังและผอู า นท่ีมอี ารมณใฝต่าํ ใหเ กิดความเกรงกลัวตอบาป
และนรก จึงมีอทิ ธิพลตอ จิตใจและความเช่อื ของคนไทยในสมัยนัน้ เป็นอยาง
มาก

3. สภุ าษติ พระรวง สุภาษติ ดงั กลาวมีขอ สนั นิษฐาน 2 ประเด็นคือ เช่ือวามี
การแตง สุภาษติ เหลานี้ข้นึ มาในสมยั พอ ขนุ รามคาแหงมหาราช หรือมิฉะนัน้ ก็
แตงข้ึนมาในสมยั พระมหาธรรมราชาท่ี 1

ศิลปกรรม

งานศลิ ปกรรมสุโขทยั สว นใหญเก่ยี วของกับพุทธศาสนา ผลงานแตล ะชิน้
แสดงถงึ ความสามารถของชา งศิลปและความเขา ใจถึงแกน แทของหลกั ธรรม
ในพุทธศาสนา

ด้าน ประติมากรรม

พระพุทธรูป

การปั้นพระพทุ ธรปู สมัยสโุ ขทัย จะมีอยู 4 อิริยาบถ คอื นัง่ นอน ยนื และเดิน
ศลิ ปะท่เี ก่ยี วกบั การปั้นพระพทุ ธรูปสมยั สุโขทัยนี้ ปรากฏวา มรี องรอยของศลิ ปะ
แบบลังกาและอนิ เดียผสมอยบู า งแตต อ มาก็ถกู ปรบั ปรงุ ใหเป็นแบบสุโขทัยเอง

เครอื งสงั คโลก

เคร่อื งสังคโลกของสโุ ขทยั นอกจากจะเป็นสนิ คา หตั ถกรรมซ่งึ เป็นทน่ี ิยมของ
ตลาดในสมัยนัน้ ยังถือวา เป็นผลงานทางดานศิลปกรรมทเ่ี ป็นลกั ษณะเฉพาะ
ของสุโขทัยดวย โดยชางฝีมอื จะปั้นเคร่อื งสังคโลกในรปู แบบตา ง ๆ

ด้าน สถาปตยกรรม

สถปู หรอื เจดีย์ มี 3 แบบ ได้แก่

แบบสโุ ขทยั แท เป็นเจดยี ท รงพุมขาวบิณฑหรือดอกบวั ตมู อยูบนฐานสูงซอน 3 ชนั้
แบบลงั กา เป็นเจดยี ท รงกลม แตดัดแปลงฐานและองคร ะฆงั ใหส ูงข้นึ
แบบลงั กาผสมศรวี ิชัย หรือ ทรงปราสาท เป็นเจดียท รงกลมขนาดเล็กอยูบนฐานสงู
เจาะซมุ คหู าสาํ หรับประดิษฐานพระพุทธรูป มีเจดียบรวิ ารประดับมุขทัง้ สี่

โบสถ์และวหิ าร

ชาวสโุ ขทัยนิยมสรางวิหารใหญไวด า นหน าองคสถูป สวนโบสถมีขนาดเล็ก
อยูท างข้นึ

ด้าน จติ รกรรม

ไดร บั อทิ ธพิ ลของศลิ ปะลงั กา ภาพเขียนสที เ่ี กา แกท ี่สุดอยูท่ีวัดเจดยี เจด็ แถว
อาํ เภอศรสี ชั นาลัย เป็นภาพพระพุทธเจา แบบไทยใชส ีเอกรงค

ด้าน หัตถกรรม

เคร่ืองใชในชวี ิตประจาํ วัน ประกอบดวยเคร่ืองจกั สาน เคร่อื งปั้นดนิ เผาและ
เคร่ืองไม สวนเคร่อื งนุงหม มกี ารทอผา ฝ ายและผา ไหม ผลงานสําคญั คือ
เคร่อื งสังคโลก

ด้าน ดนตรแี ละนาฏยกรรม ดนตรี

จากหลักฐานตางๆยืนยันไดวาคนไทยมีวัฒนธรรมทางดา นดนตรีและนาฎยกร
รม แสดงถงึ ความรงุ เรืองมสี ุนทรีของผูคนในยุคนี้

ขนบธรรมเนียมและประเพณี

ขนบธรรมเนียมประเพณีในสมยั สโุ ขทัยจะเก่ยี วขอ งกบั พระพุทธศาสนาเป็นสว น
ใหญ เน่ืองจากคนไทยในกรงุ สโุ ขทัยนับถือพระพุทธศาสนากันอยางกวา งขวาง
ทาํ ใหพระพทุ ธศาสนาเขา มามอี ิทธิพลตอ วิถีชวี ติ ของผูค นในสโุ ขทัยเป็นอยางมาก
เชน ประเพณีการสรา งวดั ในเขตพระราชวัง ประเพณีทาํ บุญเขา พรรษาและออก
พรรษา รกั ษาศีลฟังเทศนในวนั สําคัญทางพระพุทธศาสนา เป็นตน

ขนบธรรมเนียมประเพณีของสโุ ขทัย เป็นมรดกตกทอดมาจนถงึ ปัจจบุ ัน ไดแ ก
การละเลน พ้ืนร่นื เรงิ ประเพณีการเผาเทยี นเลน ไฟ และพระราชพิธตี างๆ เชน พระ
ราชพธิ ีลอยพระประทปี เป็นตน

ผจู้ ดั ทํา

นางสาว ปริฉัตย องอาจยุทธนากร ม.4/5 เลขที่ 14


Click to View FlipBook Version