กลไกราคา
กลไกราคา
(Price mechanism)
กลไกราคา (Price mechanism) เป็นกระบวนการปรับตัวของ
ราคาสินค้าและบริการซึ่งขึ้นอยู่กับตลาดในระบบเศรษฐกิจ อุปสงค์
หรือปริมาณเสนอซื้อและอุปทานหรือปริมาณเสนอขายสินค้าและ
บริการในระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม กลไกลราคาจะเป็นเครื่องมือ
สำคัญ ในการปรับการทำงานของหน่วยเศรษฐกิจต่าง ๆ เข้าสู่จุด
สมดุลของตลาด กลไกราคาทำให้เกิด การแข่งขันอย่างเสรี และ
เป็นธรรมระหว่างผู้ผลิตและผู้บริโภค
อดัม สมิธ บิดาแห่งวิชาเศรษฐศาสตร์ที่กล่าวไว้ว่ากลไกราคานั้น
เปรียบเสมือน มือมืด ที่มองไม่เห็น (invisible hand) โดยนำเสนอ
แนวความคิดว่า " ในตลาดเสรีราคาสินค้าในตลาด มีทิศทางของมัน
ไม่มีผู้ใดผู้หนึ่งกำหนดราคาแต่เพียงผู้เดียวได้ ราคาของสินค้าหรือ
บริการนั้นขึ้นอยู่กับ อุปสงค์และอุปทาน”
ตลาด(market)
ตลาด หมายถึง การแลกเปลี่ยนและ การซื้อขาย เป็นกิจกรรมทาง
เศรษฐกิจที่สำคัญในระบบเศรษฐกิจ เพราะเมื่อมีการผลิตสินค้า
และบริการขึ้นมาเป็นจำนวนมาก ๆ แล้ว จึงจำเป็นต้องมีวิธีการกระ
จายสินค้าและบริการไปสู่ ผู้บริโภค โดยทำหน้าที่จัดหาสินค้าซึ่ง
อาจผลิตขึ้นมาเอง หรือรับไปจากแหล่งผลิต เพื่อส่งต่อไปยังผู้
บริโภค ดังนั้น ตลาดจึงช่วยให้ผู้ผลิตขายสินค้าได้ และมีกำไร
เพื่อนำไปสู่ระบบการผลิตอย่างต่อเนื่อง ส่วนผู้บริโภคได้สินค้าและ
บริการสนองความต้องการของตน ได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว ซึ่ง
ถ้าหากตลาดทำหน้าที่ได้สมบูรณ์ก็จะทำให้ผู้บริโภคได้สินค้าที่มี
คุณภาพราคายุติธรรม และผู้ผลิตก็สามารถดำเนินการผลิตต่อไป
ได้ด้วย
ประเภทของตลาด
1. ตลาดที่แบ่งตามลักษณะการดำเนินการขายของผู้ขายมี ดังนี้
1.1 ตลาดขายส่ง คือ ตลาดที่มิได้ขายสินค้าให้แก่ผู้บริโภคโดยตรง แต่
จะขาย ให้กับบุคคลที่จะนำไปขายต่อ อีกทอดหนึ่ง ซึ่งอาจจะเป็นพ่อค้า
ขายส่ง หรือขายปลีกก็ได้ โดยมีการซื้อขายสินค้าจำนวนมาก
1.2 ตลาดขายปลีก คือ ตลาดที่ขายสินค้าให้แก่ผู้บริโภคโดยตรง ซึ่งอาจ
จะเริ่มตั้งแต่ตลาดเล็ก เช่น ตลาดสดใกล้บ้าน ตลาดนัด ตลาดน้ำ ไปจนถึง
ร้านค้าสะดวกซื้อ ห้างสรรพสินค้าศูนย์การค้า โดยมีการซื้อขายสินค้า
จำนวน ไม่มาก
2. ตลาดที่แบ่งตามประเภทของสินค้าและบริการที่จำหน่ายมีดังนี้
2.1 ตลาดสินค้า คือ ตลาดที่เน้นการซื้อและขายสินค้าซึ่งอาจจะแยก
ย่อยได้ดังนี้
2.1.1 ตลาดสินค้าผู้บริโภค คือ ตลาดที่จำหน่ายสินค้าให้แก่ผู้บริโภค
นำไปบริโภคโดยตรง
2.1.2 ตลาดสินค้าผู้ผลิต คือ ตลาดที่จำหน่ายสินค้าให้แก่ผู้ซื้อ นำไป
ผลิตสินค้าหรือบริการอีกทอดหนึ่ง
2.2 ตลาดบริการ คือ ตลาดที่เน้นการบริการเป็นแกนหลัก แต่มีองค์
ประกอบ ของสินค้าเข้ามาช่วยให้การบริการนั้นลุล่วงไปได้ เช่น ร้านตัดผม
เน้นที่บริการตัดผม ไม่ได้เน้น การจำหน่ายกรรไกรตัดผม หรือกิจการสปา
เน้นที่บริการนวดแผนต่าง ๆ ไม่ได้เน้นการจำหน่ายสมุนไพรขัดผิว
ประเภทของตลาด
2.3 ตลาดการเงิน คือ ตลาดที่มีการซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินเป็นแหล่งเงิน
ทุนที่สำคัญในระบบเศรษฐกิจ แบ่งออกได้ ดังนี้
2.3.1 ตลาดเงิน เป็นตลาดการเงินที่ให้กู้ยืมในระยะสั้น
2.3.2 ตลาดทุน เป็น ตลาดการเงินที่ให้กู้ยืมเงินในระยะยาว และมี
หลักทรัพย์ คือ พันธบัตร และหุ้นของบริษัทต่าง ๆ เป็นสินค้าซึ่งขายกัน
เช่น ประเทศไทยมีตลาดหลักทรัพย์ แห่งประเทศไทย (SET : Stock
Exchange of Thailand) เป็นแหล่งกลางในการซื้อขายหุ้นและหลักทรัพย์
ประเภทของตลาด
3.1.5 การซื้อขายสินค้าระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายจะกระทำได้อย่างสะดวกและ
รวดเร็วรวมถึงการเคลื่อนย้ายสินค้า และปัจจัยการผลิตจะต้องกระทำได้อย่าง
สมบูรณ์ กล่าวคือ สามารถเคลื่อนย้ายได้โดยไม่กระทบต่อต้นทุนการผลิตมากนัก
เนื่องจากอาจจะกระทบต่อราคาสินค้าในที่สุด
หากพิจารณาลักษณะของตลาดแข่งขันสมบูรณ์จะเห็นได้ว่า เป็นตลาดที่เกิดขึ้น
จริงได้ยาก ตลาดประเภทนี้จะกลายเป็นตลาดในอุดมคติของนักเศรษฐศาสตร์ จะ
มีเพียงแต่ตลาด ที่ใกล้เคียงกับตลาดแข่งขันสมบูรณ์มากที่สุด เช่น ตลาดขาย
สินค้าเกษตรกรรม ตลาดหุ้น
3.2 ตลาดแข่งขันไม่สมบูรณ์ เป็นตลาดที่มีลักษณะตรงข้ามกับตลาดแข่งขัน
สมบูรณ์ คือ ไม่เปิดโอกาสให้ผู้ซื้อและผู้ขายมีการแข่งขันได้อย่างเสรี เป็นการ
บิดเบือนระบบกลไกตลาด ซึ่งไม่ได้สะท้อนถึงความต้องการที่แท้จริงของผู้ซื้อและ
ผู้ขาย มีการผูกขาดโดยกลุ่มทุน ทำให้ผู้ประกอบการรายอื่นไม่ได้รับความเป็น
ธรรมในการแข่งขัน ประเภทของตลาดแข่งขันไม่สมบูรณ์มี 3 ประเภท ได้แก่
3.2.1 ตลาดผูกขาด คือ ตลาดที่มีผู้ขายเพียงรายเดียว มีอำนาจในการ
ควบคุม จำนวนสินค้าและราคาของสินค้าชนิดนั้นในตลาดได้อย่างสมบูรณ์ โดย
อำนาจดังกล่าวมีอิทธิพลต่างกันในแต่ละประเภท สินค้าจำนวนมากจึงต้องมี
กฎหมายออกมารองรับ เช่น กิจการไฟฟ้า ประปารถไฟไทย
ประเภทของตลาด
3.2.2 ตลาดผู้ขายน้อยรายลักษณะของตลาดผู้ขายน้อยรายมีดังนี้
1) มีจำนวนผู้ขายในตลาดเพียง 3 - 4 ราย ดังนั้น การกระทำของผู้ขาย
รายหนึ่งรายใดไม่ว่าจะเป็นการกำหนดปริมาณหรือราคา จะมีผลกระทบต่อ
ผู้ขายรายอื่น
2) สินค้าที่ผลิตจากผู้ผลิตแต่ละรายมีความแตกต่างกัน ในสายตาของผู้ซื้อ
3) มีอุปสรรคกีดกันการเข้าสู่ตลาด ของผู้ผลิตรายใหม่บ้าง เช่น ต้นทุน
การผลิตที่สูง การผลิตที่ใช้เทคโนโลยีสูง
4) ตลาดประเภทนี้มักเป็นกิจการขนาดใหญ่หรืออุตสาหกรรมหนัก เช่น
เหล็กกล้า รถยนต์ น้ำอัดลม ปูนซีเมนต์
3.3 ตลาดกึ่งแข่งขันกึ่งผูกขาด ลักษณะของตลาดกึ่งแข่งขันกึ่งผูกขาดมี
ดังนี้
3.31 มีผู้ผลิตหรือผู้ขายจำนวนมาก โดยผู้ผลิตแต่ละรายมีส่วนแบ่ง
ตลาด น้อยมากจนไม่สามารถมีอิทธิพลต่อราคาในท้องตลาดได้
3.3.2 การเข้าออกกระทำได้อย่างเสรี
3.3.3 สินค้ามีความคล้ายครึ่งกัน แต่ไม่เหมือนกันแตกต่างกันใน
สายตาของผู้ซื้อด้านคุณภาพของสินค้า การให้บริการ สถานที่ตั้ง การ
โฆษณา และการบรรจุหีบห่อ
3.3.4 ตลาดประเภทนี้มักจะเป็นตลาดที่ขายสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป
เช่นร้านอาหาร สบู่ ยาสีฟัน
ประเภทของตลาด
3. ตลาดที่แบ่งตามลักษณะของการแข่งขันตลาด ในทางเศรษฐศาสตร์ที่
ใช้ลักษณะ ของการแข่งขันของผู้ซื้อและผู้ขาย สามารถแบ่งออกเป็น 2
ประเภท คือ ตลาดแข่งขันสมบูรณ์ และตลาดแข่งขันไม่สมบูรณ์
3.1 ตลาดแข่งขันสมบูรณ์ เป็นตลาดที่เปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถ
แข่งขันกัน ได้อย่างเสรีโดยไม่มีอุปสรรคใด ๆ ผลประกอบการขึ้นอยู่กับ
ความรู้ความสามารถของผู้ประกอบการ เป็นสำคัญ ตลาดแข่งขันสมบูรณ์
มีลักษณะสำคัญ ดังนี้
3.1.1 ผู้ซื้อและผู้ขายมีจำนวนมาก จนผู้ซื้อและผู้ขายคนใดคนหนึ่ง ไม่
สามารถมีอิทธิพลในการกำหนดราคาสินค้าในตลาดได้
3.1.2 ราคาสินค้า เกิดขึ้นจากความต้องการซื้อและความต้องการขาย
อย่างแท้จริง
3.1.3 สินค้าที่ซื้อขายกันมีรักษาคุณภาพและมาตรฐานที่ใกล้เคียงกัน
หรือเหมือนกันทุกประการ ไม่ว่าจะซื้อสินค้าประเภทเดียวกันจากผู้ขายคน
ใดก็ตาม ผู้ซื้อจะได้รับ ความพึงพอใจเหมือนกัน
3.1.4 ผู้ซื้อและผู้ขายมีความรู้เกี่ยวกับสภาพกาลของตลาดเป็นอย่างดี
เพราะ มีความใกล้ชิดกัน หากผู้ขายคนหนึ่งลดราคาผู้ซื้อและผู้ขายรายอื่นก็
จะทราบทันที เพราะในตลาดประเภทนี้จะมีราคาอยู่เพียงราคาเดียว ดังนั้น
จึงไม่มีผู้ขายคนใดขายสินค้าราคาสูงกว่าราคาตลาด และไม่มีผู้ซื้อคนใดซื้อ
สินค้าต่ำกว่าราคาตลาด
กลไกราคา
ราคาสินค้าและบริการที่เกิดขึ้นในระบบเศรษฐกิจ จะถูกกำหนดขึ้นโดย
อุปสงค์ซึ่งสดงปริมาณความต้องการซื้อสินค้าของผู้บริโภค และอุปทานซึ่ง
แสดงปริมาณความต้องการขายสินค้า ของผู้ผลิตเรียกว่า กลไกราคา
กลไกราคา (price mechanism) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงในระดับ
ราคาสินค้า ซึ่งเกิดขึ้นจากแรงผลักดันของอุปสงค์ และอุปทาน เมื่อผู้ผลิต
พยายามทำการปรับปรุงการผลิตของตนให้สอดคล้องกับความต้องการของ
ผู้บริโภคในตลาด เมื่อใดที่ปริมาณสินค้าและบริการที่ผู้ผลิตได้ผลิตขึ้นมามี
เป็นจำนวนมาก ขณะที่ปริมาณความต้องการของผู้บริโภคยังคงมีเท่าเดิม
ระดับราคาสินค้าชนิดนั้นจะลดลง
กลไกราคามีความสำคัญในระบบเศรษฐกิจ คือ เป็นตัวช่วยในการ
ตัดสินใจของผู้บริโภคและผู้ผลิต กล่าวคือ ถ้าเมื่อใดที่ระดับราคาสินค้าสูง
มาก แสดงว่า ความต้องการของผู้บริโภคมีมากทางผู้ผลิตจะดำเนินการ
ผลิตสินค้าและบริการเพิ่ม ทำให้ปริมาณสินค้าในตลาดเพิ่มขึ้น ระดับราคา
สินค้าก็จะลดลง ถ้าเมื่อใดที่ระดับราคาสินค้าต่ำมาก แสดงว่า สินค้านั้นมี
ปริมาณเกินความต้องการของผู้บริโภค ผู้ผลิตก็จะดำเนินการลดปริมาณ
การผลิตลง ระดับราคาสินค้าก็จะมีแนวโน้มสูงขึ้น ดังนั้น กลไกราคาจึง
อาศัยกระบวนการทำงานของอุปสงค์ และอุปทานของสินค้าและบริการใน
ระบบเศรษฐกิจเป็นสำคัญ
อุปสงค์
อุปสงค์ (demand) หมายถึง ปริมาณสินค้าและบริการที่ผู้บริโภค
ต้องการ และสามารถซื้อสินค้าในระยะเวลาหนึ่ง ณ ระดับราคาต่าง
ๆ ของสินค้าและบริการชนิดนั้น
กฎของอุปสงค์
1. ราคาสินค้าชนิดนั้น ถ้าราคาสินค้าสูงขึ้นปริมาณซื้อจะลดลงถ้าราคา
สินค้าลดลงปริมาณซื้อจะเพิ่มขึ้น
2. จำนวนประชากร ถ้าประเทศใดมีประชากรเพิ่มขึ้น ความต้องการ
สินค้าและบริการก็เพิ่มขึ้น ถ้าประชากรเป็นเพศหญิงมาก อุปสงค์ของใช้ผู้
หญิงจะเพิ่มขึ้นตาม
3. รายได้เฉลี่ยของครัวเรือน ถ้าประชากรมีรายได้เฉลี่ยสูงขึ้น ความ
ต้องการสินค้าบางประเภทก็จะเปลี่ยนแปลงเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
4. การเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล เช่น ในฤดูหนาวความต้องการเสื้อกัน
หนาว ผ้าห่มเพิ่มมากขึ้น ในฤดูร้อนความต้องการปริมาณเครื่องดื่ม น้ำแข็ง
เพิ่มขึ้น เป็นต้น
5. การศึกษาและการโฆษณา เช่น การได้เรียนรู้ถึงประโยชน์ของนม
ทำให้คนบริโภคนมมากขึ้น การโฆษณาที่ดีทำให้สินค้านั้นเป็นที่รู้จักทำให้
จำหน่ายได้มากขึ้น
6. ปัจจัยอื่น ๆ เช่น รสนิยม ความนิยม การคาดคะเนราคาสินค้า
อุปทาน (supply)
อุปทาน (supply) หมายถึง ปริมาณสินค้าและบริการที่ผู้ผลิตหรือผู้ขาย
พร้อมที่จะผลิต ออกขาย ณ ระดับราคาต่าง ๆ ภายในระยะเวลาที่กำหนด
อุปทานของสินค้าชนิดใดก็ตามจะมีมากหรือน้อย ไม่ได้ขึ้นอยู่กับราคาสินค้า
เพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นอีกหลายอย่าง เช่น ต้นทุนการผลิต
สภาพดินฟ้าอากาศ เทคนิคการผลิต เป็นต้น
กฎของอุปทาน
1. ราคาสินค้าที่ผลิตถ้าราคาสินค้าสูงขึ้น ผู้ผลิตยินดีจะผลิตสินค้ามากขึ้น
เพื่อให้ได้กำไรมากขึ้น ถ้าสินค้าราคาลดลงผู้ผลิตจะลดจำนวนการผลิตลง
2. เป้าหมายของธุรกิจ ผู้ผลิตจะกำหนดเป้าหมายการผลิตเพื่อสนอง
ความต้องการของผู้บริโภคในแต่ละช่วงเวลา เช่น ช่วงภาวะน้ำมันมีราคา
แพง ผู้ใช้รถยนต์นิยมใช้รถที่ประหยัดน้ำมันผู้ผลิตจะทำการผลิตรถยนต์
ขนาดเล็กที่ประหยัดน้ำมัน มากกว่ารถยนต์ที่สิ้นเปลืองน้ำมันมาก
3. การเปลี่ยนแปลงของเทคนิคการผลิตให้มีความทันสมัยมากขึ้น แต่
ใช้ปัจจัยการผลิต เท่าเดิม ทำให้สามารถผลิตสินค้าได้เพิ่มขึ้น
4. ราคาปัจจัยการผลิต ถ้าหากมีราคาสูงขึ้นผู้ผลิตจะได้กำไรน้อยลง
จึงทำให้ลดกำลังการผลิตลง
5. จำนวนผู้ผลิตหรือผู้ขาย ถ้ามีมากทำให้อุปทานเพิ่มขึ้น ถ้าผู้ผลิตหรือ
ผู้ขายลดลง จะทำให้อุปทานลดลงด้วย
6. สภาพดินฟ้าอากาศ ถ้าปริมาณน้ำฝนเหมาะสม สภาพอากาศไม่
แปรปรวน ปริมาณการผลิตสินค้าเกษตรก็เพิ่มมากขึ้น แต่ถ้าฝนแล้งหรือ
น้ำท่วมทำให้ปริมาณการผลิตลดลง
7. ปัจจัยอื่น ๆ เช่น การเก็บภาษีของรัฐบาล อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อ
การลงทุน ถ้าปัจจัยดังกล่าวสูงขึ้นจะทำให้อุปทานลดลง
การกำหนดราคา
ในระบบเศรษฐกิจ
การกำหนดราคาสินค้าในตลาด เป็นไปตามอุปสงค์ อุปทาน และขึ้นอยู่กับ
วัตถุประสงค์ของผู้ผลิต หรือของธุรกิจด้วย โดยเฉพาะประเทศที่กลไก
ราคาไม่ได้ทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์ ดังนั้น ในตลาดที่มีผู้ผลิตน้อยรายผู้ผลิต
จึงมีอำนาจ และสามารถกำหนดราคาได้ตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ ซึ่ง
การกำหนดราคาของธุรกิจอาจขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่ง
หรือหลายอย่าง เช่น เพื่อสร้างกำไร เพื่อสร้างยอดขาย หรือเพื่อขยาย
ตลาด การกำหนดราคาโดยทั่วไปเพื่อให้เป็นไปตามกลไกราคา
หลักการกำหนดราคา
อุปสงค์และอุปทานของสินค้าและบริการมีความสัมพันธ์ขึ้นอยู่กับราคา
สินค้า ดังนั้นปริมาณสินค้าและบริการที่ผู้บริโภคต้องการซื้อ และผู้ขาย
ต้องการขายจะปรับตัวตามระดับของราคาสินค้าและบริการที่เปลี่ยนแปลง
ไป แต่เนื่องจากการปรับตัวของปริมาณซื้อและปริมาณขาย ตัวราคาจะ
มีลักษณะตรงกันข้าม กล่าวคือ ในขณะที่ราคาสินค้าและบริการลดลงผู้ซื้อ
จะซื้อสินค้ามากขึ้น แต่สำหรับผู้ขายหรือผู้ผลิตก็จะนำสินค้ามาวางจำหน่าย
น้อยลง การปรับตัวนี้จะเป็นเหตุให้ปริมาณซื้อและปริมาณขายเท่ากันพอดี
ณ ระดับราคาใดราคาหนึ่ง ซึ่งหมายความว่า ณ ระดับราคานั้นปริมาณ
สินค้าที่ผู้บริโภคต้องการซื้อขนาดนั้น จะเท่ากับปริมาณสินค้าที่ผู้ผลิตจะ
ผลิตออกมาขาย ในขณะเดียวกันพอดีนั่น คือ ราคาดุลยภาพ
ดุลยภาพของตลาด
ดุลยภาพของตลาด (market Equilibrium) ไว้ว่า เป็นสภาวะที่
ปริมาณเสนอซื้อเท่ากับปริมาณเสนอขายพอดี ทั้งนี้ระดับราคาสินค้าที่
ปริมาณเสนอซื้อเท่ากับปริมาณเสนอขายจะเรียกว่าราคาดุลยภาพ
(Equilibrium Price) และปริมาณสินค้าที่เท่ากันระหว่างปริมาณ
เสนอซื้อกับปริมาณเสนอขายจะเรียกว่าปริมาณดุลยภาพ
(Equilibrium Quantity)
ภาวะดุลยภาพ
1. ราคาดุลยภาพ = ราคาที่เกิดจากปริมาณซื้อและปริมาณขายเท่ากัน
2. ปริมาณดุลยภาพ = ปริมาณซื้อขายที่เท่ากันพอดี
จุดดุลยภาพ
จุดดุลยภาพ (Equilibrium) คือ จุดที่เส้นอุปสงค์ และเส้นอุปทานตัด
กัน ก่อให้เกิดเป็นจุดดุลยภาพที่แสดงให้เห็นถึงราคาดุลยภาพ และ
ปริมาณดุลยภาพที่เกิดขึ้น
วิธีการสร้างจุดดุลยภาพ
1. สร้างตารางอุปสงค์และอุปทานขึ้นมาโดยกำหนดให้มีราคาของสินค้าที่
มีราคาแตกต่างกันและกำหนดปริมาณความต้องการในการขายสินค้าที่
แตกต่างกันตามกฎของอุปสงค์และอุปทาน ในอัตราส่วนเท่า ๆ กัน เช่น 1,
2, 3 หรือ 5,10,15 เป็นต้น
2. สร้างกราฟให้แกน Y หรือแกนตั้งแทนราคา จะใช้สัญลักษณ์
แทนว่า ราคา Price หรือP
3. สร้างกราฟให้แกน X หรือแกนนอนแทนราคา จะใช้สัญลักษณ์
แทนว่า ปริมาณ Quantity หรือ Q
4. กำหนดให้ระยะห่างในกราฟทั้งแกนตั้งและแกนนอนมีระยะห่าง
เท่า ๆ กัน
เช่น ห่างกันทีละ 1 เซนติเมตร
5. สร้างกราฟอุปสงค์และอุปทานตามตารางที่ได้กำหนดไว้แล้ว
ข้างต้น โดยให้ทำทีละเส้นจะทำเส้นอุปสงค์ก่อนหรืออุปทานก่อนก็ได้ ให้ทำ
ทีละคู่ราคากับปริมาณ เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน แต่ละคู่ที่เขียนในกราฟให้
ทำเครื่องหมาย . ไว้เพื่อให้ง่ายต่อการวาดเส้นอุปสงค์และอุปทาน
วิธีการสร้างจุดดุลยภาพ
6. เมื่อทำครบทุกคู่แล้วให้วาดเส้นอุปสงค์ และอุปทานโดยลากผ่าน . ที่เรา
ได้กำหนดไว้ข้างต้นให้ใช้ปากกาต่างสีกัน
7. ใส่สัญลักษณ์กำกับเส้นอุปสงค์ Demand หรือ D และเส้นอุปทาน
Supply หรือ S
8. ดูจุดตัดของเส้นอุปสงค์และอุปทาน โดยจุดที่ทั้งสองเส้นตัดกันเป็นจุด
ดุลยภาพ ให้ . แล้วขีดเส้นราคาขนานกับปริมาณ และปริมาณขนานกับ
ราคาไปจนถึงจุดดุลยภาพ ที่กำหนดไว้
9. ใส่สัญลักษณ์กำกับจุดดุลยภาพ Equilibrium หรือ E
10. ตอบจุดดุลยภาพว่าอยู่ที่ราคาเท่าใด และปริมาณเท่าใด เช่น E = 30,
1 (30 คือราคา และ 1 คือปริมาณ แสดงว่าดุลยภาพอยู่ที่ ราคา 30บาท
จำนวน 1 คู่)