ED13307 สื่อ เทคโนโลยีและนวัตกรรมสำหรับครูประถมศึกษา
Media Technology and Innovation for Elementary Teachers
นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ วัฏจักรการสืบเสาะหาความรู้ 7EInquiry Cyele 7E
ผู้จัดทำ นางสาวศิริรัตน์ ศิรินัย รหัสนักศึกษา 6494110036
อาจารย์ที่ปรึกษา
ผศ.สมหวัง นิลพันธ์
สาขาวิชาการประถมศึกษา
คณะศึกษาศาสตร์
มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
คำชี้แจง
เอกสารนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งจากนวัตกรรมของ รายวิชา
ED13307สื่อเทคโนโลยีและนวัตกรรมสำหรับครูประถมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิชาการ
ประถมศึกษา มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่จัดทำหรือพัฒนาขึ้นเพื่อเป็นคู่มือสำหรับ
บุคลากรทางการศึกษาในเรื่อง นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ โดยนักศึกษาสาขาวิชาการประถมศึกษา
ชั้นปีที่2ปีการศึกษา2565คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จากรูปแบบ
นวัตกรรม
จำนวน17.รูปแบบ 17 รายการ ดังนี้
1.นวัตกรรมการเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5E
2. รูปแบบการสอนแบบมุ่งประสบการณ์ภาษา
3.บันได5ขั้น QSCCS Model
4.Story board
5.รูปเเบบการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน(Project Based Learning )
6.วัฏจักรการสืบเสาะหาความรู้7EInquiryCyele
7.รูปแบบการจัดการเรียนโดยใช้แผนภาพความคิดอิสระ (Mind Mapping)
8. รูปแบบการเรียนรู้โดยใช้โครงงาน(Project)
9.รูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้ซิปปาโมเดล (CIPPA Model)
10 รูปแบบการสอนแบบRrole play
11.ทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ (Constructivist Theory)
12. หมวก6ใบ (Mind Mapping)
13.รูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้โพลยา
14.รูปแบบการจักการเรียนรู้ Open Approach
15.รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ 4MAT
16.รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ Mind Mapping
17.การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem–based Learning : PBL)
ซึ่ง นวัตกรรมดังกล่าวได้ผ่านการทดลองใช้ในรูปแบบการวิจัย กับนักเรียนของโรงเรียนและส่งผลใน
เชิงประจักษ์กับนักเรียนอย่างเด่นชัด และเพื่อให้ครูผู้สอนใช้เป็นแนวทางในการทำความเข้าใจเรื่อง
การนำนวัตกรรมทางการศึกษา มาใช้ในการพัฒนาการเรียนการสอนตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้น
ฐานพุทธศักราช 2544
คณะผู้จัดทำจึงได้เรียบเรียงข้อมูลที่เป็ นรูปแบบของนวัตกรรมพร้อมตัวอย่างแผน
การจัดการเรียนรู้โดยใช้นวัตกรรมเพื่อให้ผู้สนใจได้รับความรู้ความเข้าใจมากยิ่งขึ้นเอกสารเล่มนี้จะ
ช่วยทบทวนความเข้าใจให้ขัดเจนยิ่งขึ้น จนสามารถนำไปใช้ในการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ของ
ตนเองได้ ประโยชน์ที่ได้จากเอกสารฉบับนี้ย่อมเกิดผลโดยตรงต่อผู้เรียนและผู้สอนในการจัด
กิจกรรมการเรียนรู้ คณะผู้จัดทำใคร่ขอขอบคุณแหล่งวิทยาการที่เป็นข้อมูลให้ผู้จัดทำนำมาอ้างอิง
เพื่อใช้ประโยชน์ในกรจัดทำเอกสารครั้งนี้
คำนำ
ผู้จัดทำได้จัดแสดงการเผยแพร่ผลงานทางวิชาการ รูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่
ใช้นวัตกรรมรูปแบบต่างๆ และจัดทำเอกสารนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ฉบับนี้ขึ้น
เพื่อเป็นคู่มือสำหรับบุคลากรทางการศึกษา ในเรื่อง นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ โดย
นักศึกษา สาขาวิชาการประถมศึกษา ชั้นปีที่2 คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยภาค
ตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่ได้ผ่านการทดลองใช้ในรูปแบบการวิจัย ส่ง
ผลในเชิงประจักษ์ต่อนักเรียนอย่างเด่นชัด และเพื่อให้ครูผู้สอนใช้เป็นแนวทางในการ
ทำความเข้าใจเรื่องการนำนวัตกรรมทางการศึกษามาใช้ในการพัฒนาการเรียนการ
สอนตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช2544
คณะผู้จัดทำได้เรียบเรียงข้อมูลรูปแบบของนวัตกรรมโดยสรุปเพื่อสามารถ
นำไปใช้ได้ง่ายพร้อมทั้งยกตัวอย่างแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้นวัตกรรม ประกอบ
ภายในฉบับ เพื่อให้ผู้สนใจได้รับความรู้ความเข้าใจมากยิ่งขึ้น เอกสาร เล่มนี้จะช่วย
ทบทวนความเข้าใจให้ชัดเจนยิ่งขึ้นจนสามารถนำไปใช้ ในการ พัฒนาการเรียนการ
สอนของตนเองได้ ผลที่ได้จากเอกสารฉบับนี้ย่อมเกิดผล โดยตรงต่อตัวผู้เรียนและผู้
สอนในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาการ จัดการศึกษาของประเทศสืบต่อไป
นางสาวศิริรัตน์ ศิรินัย
สารบัญ หน้ า
เรื่อง
คำชี้แจง
คำนำ
นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้โดยใช้ 7e
ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ 7e
ตัวอย่างหน่วยการจัดการเรียนรู้
ตัวอย่างแผนการจัดการเรียนรู้
ใบงาน
แบบบันทึกผลการเรียนรู้
แบบสังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้
แบบประเมินแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ 7e
แผนการจัดการเรียนรู้
เอกสารอ้างอิง
นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้โดยใช้ 7e
แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับรูปแบบการเรียนการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry Cycles) มี
3 แนวคิดที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ (สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 2558)
1) ปรัชญาวิทยาศาสตร์แนวใหม่ คือ ความรู้วิทยาศาสตร์ เป็นความรู้ที่เกิดจากการสรรสร้าง
ของแต่ละบุคคล ซึ่งมีอิทธิพลมาจากความรู้เดิม และสิ่งแวดล้อมหรือบริบทของสังคม
2) แนวคิดของเพียเจต์ (Piaget) เกี่ยวกับพัฒนาการทางสติปัญญาและความคิด คือ การที่คน
เรามีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมตั้งแต่แรกเกิด และการมีปฏิสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องระหว่าง บุคคลกับสิ่ง
แวดล้อมนี้มีผลทำให้ระดับสติปัญญา และความคิดมีการพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่องอยู่ ตลอดเวลา กระบวนการที่
เกี่ยวข้องกับการพัฒนาทางสติปัญญาและความคิดมี 2 กระบวนการ คือ การ ปรับตัว (adaptation) และการ
จัดระบบโครงสร้าง (organization) การปรับตัวเป็นกระบวนการที่บุคคล หาหนทางที่จะปรับสภาพความไม่
สมดุลทางความคิดให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบๆ ตัว และเมื่อ บุคคลมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัว
โครงสร้างทางสมองจะถูกจัดระบบให้มีความเหมาะสม กับสภาพแวดล้อม มีรูปแบบของความคิดเกิดขึ้น
กระบวนการปรับตัวประกอบด้วยกระบวนการที่สำคัญ 2 ประการ คือ
(2.1) กระบวนการดูดซึม (assimilation) หมายถึง กระบวนการที่อินทรีย์ ซึมซาบ ประสบการณ์ใหม่ เข้าสู่
ประสบการณ์เดิมที่เหมือนหรือคล้ายคลึงกัน แล้วสมอง รวบรวมปรับ เหตุการณ์ใหม่ให้เข้ากับโครงสร้างของ
ความคิดอันเกิดจากการเรียนรู้ที่มีอยู่เดิม
(2.2) กระบวนการปรับขยายโครงสร้าง (accommodation) เป็นกระบวนการที่ ต่อเนื่องมาจาก
กระบวนการดูดซึม คือ ภายหลังจากที่มีการซึมซาบของเหตุการณ์ใหม่เข้ามาและปรับ เข้าสู่โครงสร้างเดิมแล้ว
ถ้าปรากฏว่าประสบการณ์ใหม่ที่รับเข้ามามีสมบัติเหมือนกับประสบการณ์ เดิม ประสบการณ์ใหม่จะถูกซึมซาบ
และปรับเข้าหาประสบการณ์เดิม คือ ทำให้ประสบการณ์เดิมมี ความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น แต่ถ้าไม่สามารถปรับ
ประสบการณ์ใหม่ที่ได้รับการซึมซาบเข้ามาให้เข้ากับ ประสบการณ์ ได้ สมองก็จะสร้างโครงสร้างใหม่ขึ้นมาเพื่อ
ปรับให้เข้ากับประสบการณ์ใหม่นั้น
3) ทฤษฎีการเสริมสร้างความรู้ (Constructivism) ซึ่งเชื่อกันว่านักเรียนทุกคนมีความรู้ ความ
เข้าใจเกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่างมาแล้วไม่มากก็น้ อย ก่อนที่ครูจะจัดการเรียนการสอนให้เน้ นว่า การเรียนรู้
เจ้าของผู้เรียนรู้ และการเรียนรู้เรื่องใหม่จะมีพื้นฐานมาจากความรู้เดิม ดังนั้น ประสบการณ์เดิมของนักเรียน
จึงเป็นปัจจัยสำคัญต่อการเรียนรู้เป็นอย่างยิ่ง กระบวนการเรียนรู้ (process of learning) ที่แท้จริงของ
นักเรียนไม่ได้เกิดจากการบอกเล่าของครูหรือนักเรียนเพียงแต่จดจำ แนวคิดต่างๆ ที่มีผู้บอกให้เท่านั้น แต่การ
เรียนรู้วิทยาศาสตร์ตามทฤษฎี constructivism เป็นกระบวนการที่ นักเรียนจะต้องสืบค้น เสาะหา สำรวจ
ตรวจสอบและค้นคว้าด้วยวิธีการต่างๆ จนทำให้นักเรียนเกิด ความเข้าใจและเกิดการรับรู้ความรู้นั้นอย่างมี
ความหมาย จึงจะสามารถสร้างเป็นองค์ความรู้ของ นักเรียนเอง และเก็บเป็นข้อมูลไว้ในสมองได้อย่าง
ยาวนาน สามารถนำมาใช้ได้เมื่อมีสถานการณ์ใดๆ มาเผชิญหน้ า ดังนั้นการที่นักเรียนจะสร้างองค์ความรู้ได้
ต้องผ่านกระบวนการเรียนรู้ที่หลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระบวนการสืบเสาะความรู้ (Inquiry Process)
ในปี ค.ศ. 2003 Eisenkraft ได้ขยายรูปแบบการสอนแบบวัฏจักร การเรียนรู้จาก 5 ขั้น เป็น
7 ขั้น เนื่องจากการสอนแบบวัฏจักรการเรียนรู้ 5 ขั้น ไม่ได้เน้ นการถ่าย โอนความรู้ และให้ความ
สำคัญกับการตรวจสอบความรู้เดิมของเด็ก ซึ่งเป็นสิ่งที่ครูไม่ควรละเลย หรือละทิ้ง เนื่องจากการ
ตรวจสอบพื้นความรู้เดิมของเด็ก จะทำให้ครูได้ค้นพบว่า จะต้องเรียนรู้ อะไรก่อนที่จะเรียนในเนื้อหา
นั้น ๆ นักเรียนจะสร้างความรู้จากพื้นความรู้เดิมที่เด็กมี ทำให้เกิด การเรียนรู้อย่างมีความหมาย
และไม่เกิดแนวความคิดที่ผิดพลาด และการละเลยหรือเพิกเฉย ในขั้นนี้ทำให้ยากแก่การพัฒนาแนว
ความคิดของเด็ก ซึ่งจะไม่เป็นไปตามจุดมุ่งหมายที่ครูวางไว้ นอกจากนี้ยังเน้ นให้นักเรียนสามารถนำ
ความรู้ที่ได้รับไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ ในชีวิตประจำวัน
(Bransford, Brown and Cocking. 2000 ) ซึ่งเพิ่มขั้นมา 2 ขั้น คือ
1) ขั้นตรวจสอบพื้นความรู้เดิมของเด็ก (Elicitation Phase) ในขั้นนี้เป็นขั้นที่มีความจำเป็น
สำหรับ การสอนที่ดี เป้ าหมายที่สำคัญในขั้นนี้ คือ การกระตุ้นให้เด็กมีความสนใจและตื่นเต้นกับการ
เรียน สามารถสร้างความรู้อย่างมีความหมาย
2) ขั้นการนำความรู้ไปใช้ (Extension Phase) เพื่อให้ นักเรียนสามารถประยุกต์ใช้ความรู้จากสิ่ง
ที่ได้เรียนมาให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจำวัน การปรับ ขยายรูปแบบการสอนแบบวัฏจักรการเรียนรู้
จาก 5E เป็น 7E
รูปแบบการจัดการสอนตามแนวคิดของ Eisenkraft เป็นรูปแบบที่ครูสามารถนำไปปรับ
ประยุกต์ให้เหมาะสมตามธรรมชาติวิชา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ซึ่งเน้ น
กระบวนการสืบเสาะหาความรู้อันที่จะทำให้นักเรียนเข้าถึงความรู้ความจริงได้ด้วยตัวเอง และ
นักเรียน ได้รับการกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้อย่างมีความสุข การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ทั้ง 7 ควร
ระลึกอยู่เสมอ ว่าครูเป็นเพียงผู้ทำหน้ าที่คอยช่วยเหลือ เอื้อเฟื้ อและแบ่งปันประสบการณ์ จัด
สถานการณ์เร้าให้นักเรียน ได้คิดตั้งคำถามละลงมือตรวจสอบ นอกจากนี้ครูควรจัดกิจกรรมการเรียน
รู้ให้เหมาะสมกับความรู้ ความสามารถบนพื้นฐานของความสนใจ ความถนัด และความแตกต่าง
ระหว่างบุคคล อันที่จะทำให้ การจัดการเรียนรู้บรรลุสู่จุดมุ่งหมายของการเรียนการสอนที่เน้ นผู้เรียน
เป็ นสำคัญ
จากการศึกษาเอกสารขั้นตอนการสอนแบบวัฏจักรสืบเสาะหาความรู้ 7e ตามแนวคิดของ
Eisenkraft มีขั้นตอนการสอนสรุปได้ 7 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นตรวจสอบความรู้เดิม ขั้นเร้าความสนใจ
ขั้น สำรวจค้นหา ขั้นอธิบาย ขั้นขยายความรู้ ขั้นประเมินผล และขั้นนำความรู้ไปใช้ เห็นได้ว่าเป็น
รูปแบบ การจัดการเรียน แค่ราครายนาม/เงินเพื่อให้ผู้เรียนนำ ความรู้เดิมที่มีมาเชื่อมโยงกับสิ่งที่
สนใจ และได้ทำการค้นหาหลักฐานเพื่อมาใช้ในการอธิบายและนำ ความรู้ที่ได้ไปเชื่อมโยงกับเรื่องรา
วอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยครูจะต้องมีวิธีการประเมินความรู้ของผู้เรียน และกระตุ้นให้ผู้เรียนนำความรู้
ที่ได้ไปใช้ต่อให้เกิดประโยชน์ได้ ซึ่งขั้นตอนการเรียนรู้ต่างๆ เหล่านี้ จะทำให้นักเรียนเกิดทักษะ
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่สำคัญ เช่น การตั้งคําถาม การสังเกต การ ค้นหาข้อมูล การจัด
กระทำข้อมูล การสรุปผล เป็นต้น ในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยจึงคิดว่าการจัดการเรียนรู้ แบบสืบเสาะ
วัฏจักร 7E จึงเป็นวิธีการที่น่าจะนำมาใช้เพื่อให้พัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ของผู้เรียน ซึ่งจะส่งผล
ให้มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น
ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้แบบวัฏจักรสืบเสาะหาความรู้ 7E
การสอนตามแบบวัฏจักรการเรียนรู้ 7E เป็นการสอนที่เน้ นการถ่ายโอนการเรียนรู้ และ
ความสำคัญเกี่ยวกับการตรวจสอบความรู้เดิมของเด็ก ซึ่งเป็นสิ่งที่ครูละเลยไม่ได้ และการตรวจสอบ
ความรู้พื้นฐานเดิมของเด็กเข้าให้ ค้นพบว่า นักเรียนต้องเรียนรู้อะไรก่อน ก่อนที่จะเรียนรู้ใน เทน นๆ
ให้การเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ ขั้นของการเรียนรู้ตามแนวต Eisenkraft มีเนื้อหาสาระดังนี้
(ประสาท เนื่องเฉลิม, 2550, น.25-27 อ้างถึงใน เนตรดาว สร้อยแสง, 2560)
1) ขั้นตรวจสอบความรู้เดิม (Elicitation) ครูจะต้องทำหน้ าที่การตั้งคำถาม เพื่อ
กระตุ้นให้ เด็กได้แสดงความรู้เดิม คำถามอาจจะเป็นประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นตามสภาพสังคมท้องถิ่น
หรือประเด็น ข้อค้นพบทางวิทยาศาสตร์ การนำวิทยาศาสตร์มาใช้ในชีวิตประจำวัน และเด็กสามารถ
เชื่อมโยง การเรียนรู้ไปยังประสบการณ์ที่ตนมี ทำให้ครูได้ทราบว่า เด็กแต่ละคนมีความรู้พื้นฐานเป็น
อย่างไร ครูควรเติมเต็มส่วนใดให้นักเรียน และครูยังสามารถวางแผนการจัดการเรียนรู้ได้อย่างเหมาะ
สม สอดคล้องกับความต้องการของนักเรียน
2) ขั้นเร้าความสนใจ (Engagement) ขั้นนี้เป็นการนำเข้าสู่เนื้อหาในบทเรียนหรือเรื่อง
ที่ น่าสนใจ ซึ่งอาจเกิดความสนใจของนักเรียน หรือเกิดจากการอภิปรายภายในกลุ่ม เรื่องที่น่าสนใจ
อาจ มาจากเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น หรือเป็นเรื่องที่เชื่อมโยงกับความรู้เดิมที่เด็กเพิ่ง
เรียนรู้ มาแล้ว ครูทำหน้ าที่กระตุ้นให้นักเรียนสร้างคำถาม ยั่วยุให้นักเรียนเกิดความอยากรู้อยากเห็น
และ กำหนดประเด็นที่จะศึกษาแก่นักเรียน ในกรณีที่ยังไม่มีประเด็นที่น่าสนใจ ครูอาจให้ศึกษาจากสื่อ
ต่างๆ เช่น หนังสือพิมพ์ วารสาร อินเตอร์เน็ต เป็นต้น ซึ่งทำให้นักเรียนเกิดความคิดขัดแย้งจากสิ่งที่
นักเรียน เคยรู้มาก่อน ครูเป็นผู้ที่ทำหน้ าที่กระตุ้นให้นักเรียนคิด โดยเสนอประเด็นที่สำคัญขึ้นมาก่อน
แต่ไม่ควร บังคับให้นักเรียนยอมรับประเด็นหรือคำถามที่ครูกำลังสนใจ เป็นเรื่องที่ให้นักเรียนศึกษา
เพื่อนำไปสู่ การสำรวจตรวจสอบในขั้นตอนต่อไป มงคล
3) ขั้นสำรวจค้นหา (Exploration) เมื่อนักเรียนทำความเข้าใจประเด็นหรือคำถามที่
สนใจจะ ศึกษาอย่างถ่องแท้แล้วก็มีการวางแผนกำหนดแนวทางการสำรวจตรวจสอบ ตั้งสมมติฐาน
กำหนด ทางเลือกที่เป็นไปได้ ลงมือปฏิบัติ เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูล ข้อสนเทศหรือปรากฏการณ์ต่างๆ
วิธีการ ตรวจสอบ อาจทําได้หลายวิธี เช่น สืบค้นข้อมูล สำรวจ ทดลอง กิจกรรมภาคสนาม เป็นต้น
เพื่อให้ได้ ข้อมูลอย่างพอเพียง ครูทำหน้ าที่กระตุ้นให้นักเรียนตรวจสอบปัญหาและดำเนินการสำรวจ
ตรวจสอบ และรวบรวมข้อมูลด้วยตนเอง
4) ขั้นอธิบาย (Explanation) เมื่อนักเรียนได้ข้อมูลมาแล้ว นักเรียนจะนำข้อมูลเหล่า
นั้นมา ทำการวิเคราะห์ แปลผล สรุปผล และนำเสนอผลที่ได้ในรูปแบบต่างๆ เช่น บรรยายสรุป สร้าง
แบบ จำลอง รูปวาด ตาราง กราฟ ซึ่งจะช่วยให้นักเรียนเห็นแนวโน้ มหรือความสัมพันธ์ของข้อมูล
สรุปและ อภิปรายผลการทดลอง โดยอ้างอิงประจักษ์พยานอย่างชัดเจนเพื่อนำเสนอแนวคิดต่อไป ขั้น
นี้จะทำให้ นักเรียนได้สร้างองค์ความรู้ใหม่ การค้นพบในขั้นนี้อาจเป็นไปได้หลายทาง เช่น สนับสนุน
สมมติฐาน แต่ผลที่ได้จะอยู่ในรูปแบบใดก็สามารถสร้างความรู้ และช่วยนักเรียนได้เกิดการเรียนรู้
5) ขั้นขยายความรู้ (Elaboration) ช่วงนี้เป็นการนำความรู้ที่สร้างขึ้นไปเชื่อมโยง
กับความรู้ เดิมหรือแนวคิดเดิมที่ค้นคว้าเพิ่มเติม หรือแบบจำลองหรือข้อสรุปที่ได้ไปใช้อธิบาย
สถานการณ์หรือ เหตุการณ์อื่นๆ ถ้าใช้อธิบายเรื่องราวต่างๆ ได้มากก็แสดงว่ามีข้อจำกัดน้ อย ซึ่ง
ก็จะช่วยให้เชื่อมโยง เกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆ และทำให้เกิดความรู้กว้างขวางขึ้น ครูควรจัด
กิจกรรมหรือสถานการณ์ให้นักเรียนมี ความรู้มากขึ้น และขยายแนวกรอบความคิดของตนเอง
และต่อเติมให้สอดคล้องกับประสบการณ์เดิม ครูควรส่งเสริมให้นักเรียนตั้งประเด็นเพื่อ
อภิปรายและแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
6) ขั้นประเมินผล (Evaluation) ขั้นนี้เป็นการประเมินการเรียนรู้ด้วย
กระบวนการต่างๆ ว่า นักเรียนรู้อะไรบ้าง อย่างไร และมากน้ อยเพียงใด ขั้นนี้จะช่วยให้
นักเรียนสามารถนำความรู้ที่ได้มา ประมวลและปรับประยุกต์ใช้ในเรื่องอื่นๆ ได้ ครูควรส่งเสริม
ให้นักเรียนนำความรู้ใหม่ที่ได้ไปเชื่อมโยง กับความรู้เดิมและสร้างเป็นองค์ความรู้ใหม่
นอกจากนี้ครูควรเปิดโอกาสให้นักเรียนได้ตรวจสอบ ซึ่งกันและกัน
7) ขั้นนำความรู้ไปใช้ (Extension) ครูจะต้องมีการจัดเตรียมโอกาสให้นักเรียน
นำความรู้ที่ ได้ไปปรับประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมและเกิดประโยชน์ต่อชีวิตประจำวัน ครูเป็นผู้ทำ
หน้ าที่กระตุ้นให้ นักเรียนสามารถนำความรู้ไปสร้างความรู้ใหม่ ซึ่งจะช่วยให้นักเรียนสามารถ
ถ่ายโอนการเรียนรู้ได้
หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 ร่างกายของเรา
แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 13 ชั่วโมง
กลุ่มสาระวิทยาสาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 6
แผนการจัดการเรียนรู้ปฐมนิเทศ(1 ชั่วโมง)
ชั่วโมงที่ 1 ปฐมนิเทศและข้อตกลงในการ
เรียน
หน่วยที่ 1 ร่างกายของเรา ตอนที่ 1 อวัยวะและ ระบบต่าง ๆ ในร่างกาย (5 แผน)
แผนที่ 1 อวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย (1 ชั่วโมง) ชั่วโมงที่ 2 อวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย
1. อวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย
1.1 ปอด
1.2 หัวใจ
1.3 กระเพาะอาหาร ตับ และตับอ่อน
1.4 ลำไส้
1.5 ไต
แผนที่ 2 การทำงานของระบบหายใจ (1 ชั่วโมง) ชั่วโมงที่ 3 การทำงานของระบบหายใจ
2. ความสัมพันธ์ของระบบต่าง ๆ
2.1 ระบบหายใจ
แผนที่ 3 การทำงานของระบบย่อยอาหาร (1 ชั่วโมง) ชั่วโมงที่ 4 การทำงานของระบบ
ย่อยอาหาร
2.2 ระบบย่อยอาหาร
แผนที่ 4 การทำงานของระบบหมุนเวียนเลือด (2 ชั่วโมง) ชั่วโมงที่ 5–6 การทำงานของ
ระบบหมุนเวียนเลือด
2.3 ระบบหมุนเวียนเลือด
แผนที่ 5 การทำงานของระบบขับถ่าย (1 ชั่วโมง) ชั่วโมงที่ 7 การทำงานของระบบขับถ่าย
2.4 ระบบขับถ่าย
ตอนที่ 2 การเจริญเติบโต ของเรา (1 แผน)
แผนที่ 6 การเจริญเติบโตและพัฒนาการ (2 ชั่วโมง) ชั่วโมงที่ 8–9 การเจริญเติบโตและพัฒนาการ
1. กราฟการเจริญเติบโต
2. การเจริญเติบโตและพัฒนาการ
ตอนที่ 3 อาหารและ สารอาหาร (2 แผน)
แผนที่ 7 อาหารหลัก 5 หมู่และสารอาหารใน อาหารหลัก 5 หมู่ (2 ชั่วโมง)
ชั่วโมงที่ 10–11 อาหารหลัก 5 หมู่และสารอาหารในอาหาร หลัก 5 หมู่
1. สารอาหารในอาหารหลัก
1.1อาหารหลัก 5 หมู่ 1.2วิตามิน 1.3 เกลือแร่
แผนการจัดการเรียนรู้พี่พัฒนาโดยใช้นวัตกรรม 7e
หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 เรื่องร่างกายของเรา จำนวน 13 ชั่วโมง
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 อวัยวะต่างๆในร่างกาย 1 ชั่วโมง
1.มาตรฐานการเรียนรู้
มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบัติของสิ่งมีชีวิต หน่วยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต การลำเลียงสารเข้า และ
ออกจากเซลล์ ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้ าที่ของระบบต่าง ๆ ของสัตว์และมนุษย์ที่ทำงาน
สัมพันธ์กัน ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้ าที่ ของอวัยวะต่างๆที่ทำงานสัมพันธ์กัน รวมทั้งนำ
ความรู้ไปใช้ประโยชน์
ตัวชี้วัด
ว 1.2 ป.6/4 ตระหนักถึงความสำคัญของส่วนต่าง ๆ ของ ร่างกายตนเอง โดยการดูแลส่วน
ต่าง ๆ อย่าง ถูกต้อง ให้ปลอดภัย และรักษาความสะอาด อยู่เสมอ
2.สาระสำคัญ
ร่างกายของมนุษย์ประกอบด้วยอวัยวะต่าง ๆ เช่น ปอด หัวใจกระเพาะอาหารลำไส้และไต
ซึ่งทำหน้ าที่แตกต่างกันไป
3. จุดประสงค์การเรียนรู้ (K/P/Aคุณลักษณะตามศตวรรษที่21)
1. อธิบายลักษณะและหน้ าที่ของอวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกายมนุษย์ได้ K)
2. มีความสนใจใฝ่รู้หรืออยากรู้อยากเห็น (A)
3. พอใจในประสบการณ์การเรียนรู้ที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ (A)
4. ทำงานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ (A)
5. สื่อสารและนำความรู้เรื่องอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ (P)
4. การวัดและการประเมินผลการเรียนรู้
ด้านความรู้(K)
1. ซักถามความรู้เรื่อง อวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย
2. ประเมินกิจกรรม ฝึกทักษะระหว่างเรียน
3. ทดสอบก่อนเรียน
ด้านคุณธรรม จริยธรรม และ จิตวิทยาศาสตร์ (A)
1. ประเมินเจตคติทาง วิทยาศาสตร์เป็นรายบุคคล
2. ประเมินเจตคติต่อ วิทยาศาสตร์เป็นรายบุคคล
ด้านทักษะ/กระบวนการ(P)
1. ประเมินทักษะ/กระบวนการทาง วิทยาศาสตร์
2. ประเมินทักษะการคิด
3. ประเมินทักษะการแก้ปัญหา
4. ประเมินพฤติกรรมในการปฏิบัติ กิจกรรมเป็นรายบุคคลหรือรายกลุ่ม
5. สาระการเรียนรู้
อวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย
6. แนวทางการบูรณาการ
ภาษาไทย สนทนา พูดคุย หรือเล่าประสบการณ์เกี่ยวกับอวัยวะ ต่าง ๆ ในร่างกาย
คณิตศาสตร์ จำแนกจัดประเภทหน้ าที่กับอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายที่ สัมพันธ์กัน
ภาษาต่างประเทศ ฟัง พูด อ่าน และเขียนคำศัพท์ภาษาต่างประเทศเกี่ยวกับ อวัยวะต่าง ๆ ใน
ร่างกายที่เรียนรู้หรือที่นักเรียนสนใจ
7. กระบวนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้นวัตกรรม 7e
1. ขั้นตรวจสอบความรู้เดิม
1) ครูถามคำถามนักเรียนเพื่อกระตุ้นความสนใจเช่น –อวัยวะภายนอกของเรามีอะไรบ้าง –
อวัยวะภายในของเรามีอะไรบ้าง – หัวใจของเราอยู่ที่บริเวณใด มองเห็นได้หรือไม่
2) นักเรียนร่วมกันตอบคำถามตามความคิดเห็นของแต่ละคน แล้วครูและนักเรียนร่วมกัน
อภิปรายคำตอบ เพื่อเชื่อมโยงไปสู่การเรียนรู้เรื่องอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย
2. ขั้นเร้าความสนใจ
1) ครูแบ่งกลุ่มนักเรียนแล้วเปิดโอกาสให้นักเรียนในกลุ่มนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับอวัยวะ ต่าง ๆ
ในร่างกาย ที่ครูมอบหมายให้ไปเรียนรู้ล่วงหน้ าให้เพื่อน ๆ ในกลุ่มฟัง จากนั้นให้แต่ละกลุ่มส่ง
ตัวแทนมานำเสนอข้อมูลหน้ าห้องเรียน
2) ครูตรวจสอบว่านักเรียนทำภาระงานที่ได้รับมอบหมายไปหรือไม่ โดยตรวจสอบจาก การจด
บันทึกของนักเรียน และถามคำถามเกี่ยวกับภาระงาน ดังนี้ –อวัยวะภายในร่างกายมีอะไรบ้าง
3) ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนตั้งประเด็นคำถามที่นักเรียนสงสัยจากการท าภาระงานอย่าง น้ อย
คนละ 1 คำถาม ซึ่งครูให้นักเรียนเตรียมมาล่วงหน้ า และให้นักเรียนช่วยกันตอบและแสดงความ คิด
เห็น
4) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับภาระงาน โดยครูช่วยอธิบายให้นักเรียนเข้าใจว่า ร่างกาย
ประกอบด้วยอวัยวะภายในต่าง ๆ ที่ทำหน้ าที่แตกต่างกัน
3. ขั้นสำรวจและค้นหา
1) ให้นักเรียนศึกษาอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายจากใบความรู้หรือในหนังสือเรียน โดยครูตั้ง ค าถาม
กระตุ้นให้นักเรียนตอบดังนี้ – หัวใจทำหน้ าที่อะไร –กระเพาะอาหารท างานสัมพันธ์กับลำไส้หรือไม่
ลักษณะใด
2) นักเรียนร่วมกันตอบคำถามตามความคิดเห็นของแต่ละคน
3) นักเรียนแบ่งกลุ่มและปฏิบัติกิจกรรม สืบค้นข้อมูลอวัยวะที่นักเรียนสนใจ ตามขั้นตอน ทาง
วิทยาศาสตร์โดยใช้ทักษะ/กระบวนการสังเกตดังนี้ – นักเรียนแต่ละกลุ่มเลือกสืบค้นข้อมูลอวัยวะ
ภายในร่างกาย 1 อวัยวะ – ช่วยกันหาข้อมูลอวัยวะที่เลือกจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ให้มากที่สุด
4) นักเรียนและครูร่วมกันตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่ได้จากใบงาน
5) ครูคอยแนะนำช่วยเหลือนักเรียนขณะปฏิบัติกิจกรรม โดยครูเดินดูรอบ ๆ ห้องเรียนและ เปิด
โอกาสให้นักเรียนทุกคนซักถามเมื่ อมีปั ญหา
4. ขั้นอธิบาย
1) นักเรียนแต่ละกลุ่มส่งตัวแทนกลุ่มนำเสนอข้อมูลจากการปฏิบัติกิจกรรมหน้ าชั้นเรียน
2) นักเรียนและครูร่วมกันอภิปรายและหาข้อสรุปจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยใช้แนว คำถามต่อ
ไปนี้ –กลุ่มของนักเรียนเลือกศึกษาอวัยวะใดในร่างกาย เพราะเหตุใดจึงเลือกศึกษาอวัยวะนี้
3) นักเรียนและครูร่วมกันสรุปผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยให้ได้ข้อสรุปว่า ภายใน ร่างกาย
ของเราประกอบด้วยอวัยวะต่าง ๆ ที่ทำหน้ าที่เฉพาะอย่างและทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ
5. ขั้นขยายความรู้
1) นักเรียนค้นคว้ารายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายจากแหล่งความรู้ ต่าง ๆ
เช่น หนังสือวารสารวิทยาศาสตร์และอินเทอร์เน็ต แล้วสรุปเป็นรายงานส่งครู
2) นักเรียนค้นคว้ารายละเอียดและคำศัพท์ภาษาต่างประเทศเกี่ยวกับอวัยวะต่าง ๆ ใน ร่างกาย
จากหนังสือเรียนภาษาต่างประเทศหรืออินเทอร์เน็ต
6. ขั้นประเมินผล
1) ครูให้นักเรียนแต่ละคนพิจารณาว่าจากหัวข้อที่เรียนมาและการปฏิบัติกิจกรรม มีจุด ใดบ้างที่ยัง
ไม่เข้าใจหรือยังมีข้อสงสัยถ้ามีครูช่วยอธิบายเพิ่มเติมให้นักเรียนเข้าใจ
2) นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด และได้มี การแก้ไข
อย่างไรบ้าง
3) ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏิบัติ กิจกรรม
และการน าความรู้ที่ได้ไปใช้ประโยชน์
4) ครูทดสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยการให้ตอบคำถาม เช่น –อวัยวะที่เกี่ยวข้องกับการย่อย
อาหารมีอะไรบ้าง –อวัยวะที่ขับของเสียออกนอกร่างกายคืออะไร
7. ขั้นนำความรู้ไปใช้
1) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย โดยร่วมกันเขียนเป็นแผนที่
ความคิดหรือผังมโนทัศน์
2) ครูมอบหมายให้นักเรียนไปศึกษาค้นคว้าเนื้อหาของบทเรียนชั่วโมงหน้ า เพื่อจัดการเรียนรู้ ครั้ง
ต่อไป โดยให้นักเรียนศึกษาค้นคว้าล่วงหน้ าในหัวข้อระบบหายใจ
3) ครูให้นักเรียนเตรียมประเด็นคำถามที่สงสัยมาอย่างน้ อยคนละ 1 คำถาม เพื่อนำมาอภิปราย
ร่วมกันในชั้นเรียนครั้งต่อไป
8. กิจกรรมเสนอแนะ
ให้นักเรียนทบทวนเกี่ยวกับอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย โดยให้นักเรียนจับส่วนหนึ่งส่วนใดของ
ร่างกายแล้วลองคาดคะเนว่ามือของนักเรียนน่าจะอยู่ตรงกับอวัยวะใดของร่างกายอวัยวะนั้นมีชื่อ
ภาษาต่างประเทศว่าอะไร มีรูปร่างลักษณะแบบใด และมีหน้ าที่อะไร
9. สื่อ/แหล่งการเรียนรู้
1. แบบทดสอบก่อนเรียน
2. ใบกิจกรรมที่1 สืบค้นข้อมูลอวัยวะที่นักเรียนสนใจ
3. คู่มือการสอน วิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
4. หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน วิทยาศาสตร์ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
ใบกิจกรรมที่ 1 สืบค้นข้อมูล อวัยวะที่นักเรียนสนใจ
ปัญหา อวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายจะหน้ าที่เหมือนกันหรือไม่
ขั้นตอน
1. แบ่งนักเรียนเป็นกลุ่ม แต่ละกลุ่มเลือกสืบค้น ข้อมูลอวัยวะภายในร่างกาย 1 อวัยวะ
2. ช่วยกันหาข้อมูลอวัยวะที่เลือกจากแหล่งข้อมูล ต่าง ๆ ให้ได้มากที่สุด
3. แต่ละกลุ่มส่งตัวแทนนำเสนอข้อมูลที่ได้จาก การศึกษาหน้ าชั้นเรียน
บันทึกผลการเรียนรู้
รหัส...............รายวิชา.........................................แผนการจัดการเรียนรู้ที่.. เรื่อง....................................
1. สรุปผลการจัดการเรียนรู้
1. นักเรียนจำนวน...............................คน
ผ่านจุดประสงค์การเรียนรู้................คน คิดเป็นร้อยละ.............................
ไม่ผ่านจุดประสงค์การเรียนรู้.............คน คิดเป็นร้อยละ.............................
2. ผลการเรียนรู้
2.1 ด้านความรู้(K)
...........................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................
.............. .................................................................
2.2 ด้านทักษะ/กระบวนการ(P)
...........................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................
..............................................................................
2.3 ด้านเจตคติ(A)/คุณลักษณะฯ/สมรรถนะตามหลักสูตรฯ (เชื่อมโยงกับมาตรฐานสากล)
...........................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................
..............................................................................
3. บรรยากาศการเรียนรู้
...........................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................
..............................................................................
4. การปรับเปลี่ยนแผนการจัดการเรียนรู้ (ถ้ามี)
...........................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................
...............................................................................
5. ข้อค้นพบด้านพฤติกรรมการสอน
...........................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................
...............................................................................
6. อื่นๆ
...........................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................
..............................................................................
ลงชื่อ.............................................
(.............................................)
แบบสังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้ (สำหรับนักเรียน)
ชื่อผู้สอน ชั้น
กลุ่มสาระการเรียนรู้ เรื่อง
วันที่ เดือน พ.ศ. เวลา
คำชี้แจง: ให้ผู้นิเทศสังเกตพฤติกรรมการสอนของครูและโปรดทำเครื่องหมาย / ลงในช่อง
พฤติกรรมการสอนตามรายการ การสังเกตพฤติกรรมการสอนดังต่อไปนี้ ผลการสังเกต ข้อเสนอ
แนะเพิ่มเติม
แผนการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาโดยใช้นวัตกรรม Mind Map
โรงเรียนหนองบัวพิทยาคาร ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 6
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ รหัสวิชา ว11101 รายวิชา วิทยาศาสตร์ ภาคเรียนที่ 1/2565
หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 ชื่อ เรื่องร่างกายของเรา จำนวน 13 ชั่วโมง
แผนการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง ระบบไหลเวียนเลือด เวลา 2 ชั่วโมง
ผู้สอน นางสาวศิริรัตน์ ศิรินัย 6494110036 วันที่ เดือน พ.ศ.
อาจารย์ที่ปรึกษา/อาจารย์พี่เลี้ยง ผศ.สมหวัง นิลพันธ์
1. มาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัด
มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบัติของสิ่งมีชีวิต หน่วยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต การลำเลียงสารเข้า และออก
จากเซลล์ ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้ าที่ของระบบต่าง ๆ ของสัตว์และมนุษย์ที่ทำงานสัมพันธ์กัน
ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้ าที่ ของอวัยวะต่างๆที่ทำงานสัมพันธ์กัน รวมทั้งนำความรู้ไปใช้ประโยชน์
ตัวชี้วัด (ว1.2 ป. 6/2)
อธิบายการทำงานที่สัมพันธ์กันของระบบย่อยอาหาร ระบบหายใจและระบบหมุนเวียนเลือด ของ
มนุษย์
2. สาระสำคัญ
ระบบหมุนเวียนเลือดทำหน้ าที่ลำเลียงสารอาหารไปสู่ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายโดยจะมีอวัยวะที่
เกี่ยวข้องคือ หัวใจและเส้นเลือด ซึ่งการหดและขยายตัวของหลอดเลือดตามจังหวะการเต้นของหัวใจ เรียกว่า
ชีพจร
3. จุดประสงค์การเรียนรู้เชิงพฤติกรรม
1. อธิบายการทำงานที่สัมพันธ์กันของระบบหมุนเวียนเลือดได้ (K)
2. มีความสนใจใฝ่รู้หรืออยากรู้อยากเห็น (A)
3. ทำงานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ (A)
4. สื่อสารและนำความรู้เรื่องการทำงานของระบบหมุนเวียนเลือดไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ (P)
4. สาระการเรียนรู้
การทำงานของระบบหมุนเวียนเลือด
5. กระบวนการจัดการเรียนรู้
ขั้นที่ 1 เตรียมความพร้อม
กิจกรรมแบบกลุ่ม แบ่งกลุ่มนักเรียนออกเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 4-5 คน และแนะนำการเรียน พร้อมแจกใบความรู้
เรื่องระบบไหลเวียนเลือด
ขั้นที่ 2 กำหนดสถานการณ์
ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มส่งตัวแทนออกมารับใบงานที่ 1 แล้วปฏิบัติกิจกรรมตามใบงาน
ขั้นที่ 3 แลกเปลี่ยนการเรียนรู้ / กิจกรรมกลุ่ม
ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มแลกเปลี่ยนความรู้กันภายในกลุ่ม ระดมการคิดวิเคราะห์สรุปสาระสำคัญของ
ใบความรู้เรื่ องระบบไหลเวียนเลือดแล้วจัดทำเป็ นแผนภาพความคิด
ขั้นที่ 4 นำเสนอผลงานหน้าชั้น
แต่ละกลุ่มนำเสนอผลงานหน้ าชั้นเรียน
ขั้นที่ 5 อภิปรายแลกเปลี่ยนการเรียนรู้ทั้งชั้น
นักเรียนและครูร่วม แสดงข้อคิดเห็น จากประเด็นที่ได้ให้นักเรียนศึกษาและครูร่วมกันเพิ่ม
เติมประเด็นย่อยๆในแต่ละประเด็นให้ได้จำนวนมากที่สุด
ขั้นที่ 6 ขั้นจัดทำเป็ นแผนภาพความคิดอิสระ (Mind Mapping)
นักเรียนสรุปความคิดรวบยอด/สาระสำคัญที่ได้แล้วเขียนเป็ นแผนภาพความคิดเป็ นของ
ตนเองโดย สังเคราะห์องค์ความรู้ที่ได้จากการสรุปการคิดวิเคราะห์สาระสำคัญของใบความรู้เรื่องระบบ
ไหลเวียนเลือด
6.สื่ อ/อุปกรณ์ /แหล่งการเรียนรู้
1.ใบความรู้เรื่องระบบไหลเวียนเลือด
2. ใบงานที่ 1
3. ดินสอ ยางลบ
4. สี
7. การวัดและประเมินผล
7.1 ครูประเมินนักเรียนโดย
7.2 ครูประเมินตนเองโดย
บันทึกการสอน
การตอบคำถาม
การโต้ตอบระหว่างอยู่ในชั้นเรียน
8. ประเมินหลังการสอน
8.1 ประเมินนักเรียน
ใบงานที่ 1 แผนภาพความคิด
พฤติกรรมการทำงาน
8.2 ประเมินครู
การทำงานของนักเรียน
ใบความรู้ เรื่องระบบไหลเวียนโลหิต
ระบบไหลเวียนโลหิต (Circulatory system) เป็นเครือข่ายของหัวใจและหลอดเลือดขนาดต่าง ๆ
มีหน้ าที่ในการเคลื่อนย้าย เลือด สารอาหาร ออกซิเจน คาร์บอนไดออกไซด์และฮอร์โมน เข้าและออกจาก
เซลล์ หากไม่มีระบบนี้ ร่างกายจะไม่สามารถต่อสู้กับโรคหรือไม่สามารถรักษาสภาพร่างกาย
(Homeostasis) เพื่อดำเนินชีวิตอยู่ได้
อวัยวะที่เกี่ยวข้อง
1. เลือด (Blood) เลือดประกอบไปด้วยส่วนที่เป็นของเหลว คือ น้ำเลือด (Plasma) กับส่วนที่ไม่เป็น
ของเหลว คือ เซลล์เม็ดเลือดแดง (Red blood cells) เซลล์เม็ดเลือดขาว (White blood cells) และเกล็ด
เลือด (Platelet)
- น้ำเลือด (Plasma) ประกอบด้วยน้ำและสารต่าง ๆ ซึ่งได้แก่ สารอาหารที่ถูกย่อยแล้วรวมทั้งวิตามิน
และเกลือแร่ ฮอร์โมนและสารอื่น ๆ ที่ละลายน้ำได้ โดยมีประมาณ 50% ของเลือดทั้งหมด น้ำเลือดทำ
หน้ าที่ลำเลียงอาหารที่ถูกดูดซึมจากลำไส้เล็กไปสู่เซลล์ทั่วร่างกาย พร้อมกับการลำเลียงของเสียที่เป็น
ของเหลวจากเซลล์ เช่น ยูเรีย มาสู่ไต ซึ่งไตจะสกัดเอาสารยูเรียแล้วขับถ่ายออกมาในรูปของปัสสาวะ
- เลือดในส่วนที่ไม่เป็นของเหลว ประกอบด้วย
เซลล์เม็ดเลือดแดง (Red blood cell, Erythrocyte, RBCs) ช่วงเจริญเติบโตจะอยู่ในไขกระดูก หลังจาก
นั้นจะเข้าไปอยู่ในกระแสเลือด แล้วนิวเคลียสจะหายไป มีสีแดง เนื่องจากภายในมีสารฮีโมโกลบิน
(Hemoglobin) ทำหน้ าที่ขนส่งออกซิเจน จากปอดไปสู่เซลล์ทั่วร่างกาย และขนส่งคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่ง
เป็นของเสียจากเซลล์มาสู่ถุงลมในปอด เพื่อขับถ่ายออกนอกร่างกายทางลมหายใจออก ในหนึ่ง
ไมโครลิตรจะมีเม็ดเลือดแดงอยู่ระหว่าง 4 – 6 ล้านเซลล์ โดยจะมีชีวิตอยู่ในกระแสเลือดเฉลี่ย 120 วัน
หลังจากนั้นจะถูกส่งไปทำลายที่ตับและม้าม
เซลล์เม็ดเลือดขาว (White blood cells, Leukocyte) เป็นเซลล์ของระบบภูมิคุ้มกัน ทำหน้ าที่ป้ องกัน
ร่างกายจากเชื้อโรคและสารแปลกปลอมต่าง ๆ เม็ดเลือดขาวมีหลายชนิด พบได้ทั่วไปในร่างกาย รวมไปถึง
ในเลือดและในระบบน้ำเหลือง จำนวนของเซลล์เม็ดเลือดขาวในเลือดมักใช้เป็นข้อบ่งชี้และการดำเนินไป
ของโรค–ชนิดของเม็ดเลือดขาวที่พบมากสุดคือ Neutrophils มีบทบาทในการป้ องกันการติดเชื้อแบคทีเรีย
เชื้อรา และจุลชีพอื่น ๆ ที่ก่อให้เกิดการอักเสบภายในร่างกาย เม็ดเลือดชนิดนี้เป็นเหมือนด่านแรกของการ
ตอบสนองทางภูมิคุ้มกันหากร่างกายได้รับเชื้อโรค ซึ่งถ้ามีการทำงานหรือเกิดการตายเกิดขึ้นจะแสดงออก
มาในรูปของหนอง
เกล็ดเลือด (Platelet, Thrombocyte) เป็นส่วนของเซลล์ที่ปนอยู่ในน้ำเลือด มีหน้ าที่ช่วยให้เลือดแข็งตัว
เวลาเกิดบาดแผลเล็ก ๆ โดยเกล็ดเลือดจะหลั่งเอนไซม์เพื่อช่วยให้เลือดแข็งตัว มีการจับตัวเป็นก้อน เพื่อ
ขวางทางไหลของเลือดและอุดบาดแผล ทำให้เลือดหยุดไหลและลดการสูญเสียเลือด รวมถึงช่วยลดขนาด
ของก้อนเลือดหรือลิ่มเลือดที่อุดอยู่บริเวณปากแผล ภายหลังเมื่อเลือดหยุดไหลแล้ว
2. หลอดเลือด (Blood vessels) หลอดเลือดในร่างกายคนแบ่งออกได้ 3 ประเภท
- หลอดเลือดแดง (Artery) เป็นหลอดเลือดที่นำเลือดออกจากหัวใจ ไปเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ ทั่ว
ร่างกาย (ยกเว้น Pulmonary artery ซึ่งจะนำเลือดดำจากหัวใจไปฟอกที่ปอด) เป็นเลือดที่มีปริมาณ
ออกซิเจนสูง ลักษณะของหลอดเลือดแดงจะเป็นชั้นกล้ามเนื้อที่หนา มีความยืดหยุ่นมาก ไม่มีลิ้นกั้น ทน
ต่อแรงดันเลือดที่ถูกฉีดออกจากหัวใจหลอดเลือดแดงมีชื่อเรียกตามขนาดเริ่มจาก หลอดเลือดแดงขนาด
ใหญ่ เอออร์ตา (Aorta) ออกจากหัวใจและอยู่ตรงส่วนกลางของลำตัว ทำหน้ าที่ลำเลียงเลือดแดงที่ถูกสูบ
ฉีดออกจากหัวใจไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ผ่านทางหลอดเลือดแดงขนาดกลาง อาร์เทอรี (Artery)
มีชื่อตามอวัยวะที่นำเลือดไปเลี้ยง อาทิ หลอดเลือดเลือดหัวใจ (Coronary artery) หลอดเลือดเลือดตับ
(Hepatic artery) หลอดเลือดไต (Renal artery) โดยบริเวณอวัยวะที่หลอดเลือดอาร์เทอรี่ไปเลี้ยง จะพบ
หลอดเลือดแดงขนาดเล็ก อาร์เทอริ
โอล (Arteriole) โดยจะเชื่อมกับหลอดเลือดแดงฝอย คาพิลลารี (Capillary) ซึ่งเป็นหลอดเลือด
แดงที่มีผนังบางมาก และเป็นส่วนที่เชื่อมระหว่างหลอดเลือดแดงและหลอดเลือดดำ
- หลอดเลือดดำ (Vein) เป็นหลอดเลือด ที่นำเลือดที่มีของเสียและคาร์บอนไดออกไซด์จาก
ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายกลับเข้าสู่หัวใจ เพื่อส่งไปฟอกที่ปอด (ยกเว้น Pulmonary vein ซึ่งจะนำ
เลือดแดงที่ผ่านการฟอกจากปอดแล้วนำกลับเข้าสู่หัวใจ) ลักษณะของหลอดเลือดดำ มีผนังบาง มี
ความยืดหยุ่นน้ อย มีลิ้นกั้น แรงดันภายในหลอดเลือดต่ำ หลอดเลือดดำเรียงตามขนาดจากใหญ่
ไปเล็กได้เป็น หลอดเลือดดำขนาดใหญ่ เวนาคาวา (Vena cava) หลอดเลือดดำขนาดกลาง เวน
(Vein) หลอดเลือดดำขนาดเล็ก เวนูล (Venule) และหลอดเลือดดำฝอย คาพิลลารี (Capillary)
- หลอดเลือดฝอย (Capillaries) เป็นหลอดเลือดที่มีขนาดเล็กมาก มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
เป็นหลอดเลือดที่เชื่อมระหว่างหลอดเลือดแดง (Artery) และหลอดเลือดดำ (Vein) โดยจะแทรก
อยู่ในเนื้อเยื่อต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ผิวหนัง กล้ามเนื้อ สมอง และอวัยวะอื่น ๆ ประกอบด้วย
เซลล์เพียงชั้นเดียว โดยเป็นแหล่งที่มีการแลกเปลี่ยนก๊าซ และสารต่างๆระหว่างเลือดกับเซลล์
ของร่างกาย
3. หัวใจ (Heart, Cardio) มีหน้ าที่สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย โดยอยู่บริเวณส่วน
กลางของช่องอก ขนาบข้างด้วยปอด และมีหลอดเลือดแดงใหญ่และหลอดอาหารวางอยู่ด้านหลัง
ในผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพสมบูรณ์ หัวใจจะมีน้ำหนักประมาณ 250 – 350 กรัม และมีขนาดประมาณ
สามในสี่ของกำปั้น หัวใจมีระบบหลอดเลือดหัวใจ (coronary system) ซึ่งไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ
โดยตรง หัวใจมี 4 ห้อง แบ่งออกเป็น 2 ห้องบนและ 2 ห้องล่าง หัวใจทางด้านขวา เริ่มจากหัวใจ
ห้องบนขวา (Right atrium) รับเลือดมาจากร่างกายส่วนบนและล่าง มีลิ้นหัวใจ ไตรคัสปิด
(Tricuspid valve) คั่นกับหัวใจห้องล่างขวา (Rightventricle) ซึ่งจะอยู่ทางด้านหน้ าสุดของหัวใจ
ติดกับกะบังลม ทำหน้ าที่ส่งเลือดไปยังปอด ผ่านลิ้นหัวใจ พัลโมนารีเซมิลูนาร์ (pulmonary
semilunar valve) และหลอดเลือดแดง พัลโมนารี (pulmonary arteries) สำหรับหัวใจทางด้าน
ซ้าย เริ่มจากหัวใจห้องบนซ้าย (Left atrium) รับเลือดจากปอดผ่านทางหลอดเลือดดำ พัลโมนารี
(pulmonary veins) มีลิ้นหัวใจ ไมตรัล (Mitral valve) คั่นกับหัวใจห้องล่างซ้าย (Left ventricle)
ซึ่งเป็นห้องหัวใจที่มีขนาดใหญ่และมีผนังหนาที่สุด ทำหน้ าที่สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของ
ร่างกาย ผ่านทางลิ้นหัวใจ เอออร์ติกเซมิลูนาร์ (Aortic semilunar valve) และหลอดเลือดแดง
ใหญ่ เอออร์ตา (Aorta)กล้ามเนื้อหัวใจมีคุณสมบัติที่น่าสนใจคือ สามารถกระตุ้นการทำงานได้ด้วย
ตัวเอง โดยอาศัยระบบนำไฟฟ้ า (conduction system) ภายในผนังของหัวใจ
การทำงานของระบบไหลเวียนโลหิต
เลือดดำหรือเลือดที่มีออกซิเจนต่ำจากส่วนบนของร่างกาย จะไหลเข้าสู่หัวใจทางห้องบน
ขวา (Right atrium) หลังจากนั้นจะมีการบีบตัวส่งเลือดผ่านลิ้นหัวใจ (Tricuspid valve) ลงสู่
หัวใจห้องล่างขวา (Right ventricle) และบีบตัวส่งเลือดผ่านลิ้นหัวใจ (Pulmonary valve) เข้าสู่
หลอดเลือดแดงปอด (Pulmonary arteries) เพื่อส่งเลือดไปยังปอด ที่ปอด เลือดดำจะผ่านเข้าไป
ในเส้นเลือดฝอยรอบ ๆ ถุงลมปอด (Alveoli) แล้วส่งผ่านคาร์บอนไดออกไซด์ให้กับถุงลมปอด
พร้อมรับออกซิเจนเข้ามาแทน เป็นผลให้เลือดดำกลายเป็นเลือดแดง หรือเลือดที่มีออกซิเจนสูง
หลังจากนั้นจะไหลออกจากปอด ผ่านหลอดเลือดดำปอด (Pulmonary veins) กลับเข้าสู่หัวใจห้อง
บนซ้าย (Left atrium) ซึ่งมีขนาดเล็กและอยู่หน้ าสุด ไหลต่อผ่านลิ้นหัวใจ (Mitral valve) ลงมายัง
หัวใจห้องล่างซ้าย (Left ventricle) เพื่อบีบเลือดผ่านลิ้นหัวใจ (Aortic valve) และหลอดเลือดแดง
ขนาดใหญ่ เอออร์ต้า (Aorta) ไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
ใบงานที่ 1
คำชี้แจง ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มทำกิจกรรมตามขั้นตอนดังนี้
1.ให้นักเรียนศึกษาใบความรู้ที่แจกให้ แล้วให้ร่วมกันอภิปรายแสดงความคิดเห็น
คิดวิเคราะห์แยกแยะ ประเด็นสาระสำคัญของการทำงานของระบบไหลเวียนเลือด
2.แต่ละกลุ่มนำเสนอผลงานหน้ าชั้นเรียนตามขั้นตอนดังนี้
2.1อธิบายขั้นตอนของกระบวนการทำงานกลุ่ม
2.2สรุปประเด็นสาระสำคัญของการทำงานของระบบไหลเวียนเลือด
3.สมาชิกแต่คนในกลุ่มเขียนสรุปประเด็นสาระสำคัญของการทำงานของระบบ
ไหลเวียนเลือดจากข้อที่ 1 โดยเขียนเป็นแผนภาพความคิด
เอกสารอ้างอิง
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 2558
http://www.wpp.co.th/Lesson
https://www.google.com/search
http://elsd.ssru.ac.th/natapon_yo/pluginfile.php/20/block_htm