รายงาน เรื่อง นายสุทธิเกียรติ จิราธิวัฒน์ จัดทำโดย นางสาวกาญจนา ชาธรรมา รหัสนักศึกษา 66302160024 ระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ชั้นปีที่ 1 สาขาวิชาการจัดการสำนักงาน เสนอ นางสาววาสนา คูสกุล วิทยาลัยอาชีวศึกษาขอนแก่น สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ สถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 3
ก คำนำ รายงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชา การจัดการสำนักงานสมัยใหม่ 30216-2001 ระดับชั้น ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ชั้นปีที่ 1 โดยมีจุดประสงค์เพื่อศึกษาความรู้ที่ได้จากเรื่องบุคคลตัวอย่าง ซึ่งรายงานนี้ มีเนื้อหาเกี่ยวกับความรู้จากความสำเร็จของนายสุทธิเกียรติ จิราธิวัฒน์ ผู้จัดทำได้เลือกหัวข้อนี้ในการทำรายงาน เนื่องมาจากเป็นเรื่องที่น่าสนใจและ ต้องขอขอบคุณ นางสาววาสนา คูสกุล ผู้ให้ความรู้และแนวทางการศึกษา เพื่อน ๆ ทุกคนที่ให้ ความช่วยเหลือมาโดยตลอดผู้จัดทำหวังว่ารายงาน ฉบับนี้ จะให้ความรู้ และเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านทุก ๆ ท่าน นางสาวกาญจนา ชาธรรมา ผู้จัดทำ
ข สารบัญ เรื่อง หน้า คำนำ ก สารบัญ ข ประวัติ นายสุทธิเกียรติ จิราธิวัฒน์ 1 การศึกษาของ เจ้าสัวสุทธิเกียรติ 1 การดำรงตำแหน่งกรรมการ / ผู้บริหารในบริษัทจดทะเบียนอื่น 2 ประสบการณ์การทำงาน 2 วันเข้าดำรงตำแหน่งกรรมการ 2 จำนวนการถือหุ้นสามัญของบริษัท (ณ วันที่ 31 มกราคม 2566) 2 ความสัมพันธ์ทางครอบครัวระหว่างกรรมการและผู้บริหาร 2 สัดส่วนการเข้าร่วมประชุมคณะกรรมการ/คณะกรรมการประชุมย่อยในรอบปี 2565 3 ประวัติ ตระกูลจิราธิวัฒน์ 3 รุ่นที่ 2 4 รุ่นที่ 3 5 รุ่นที่4 6 ตระกูลจิราธิวัฒน์ในธุรกิจอื่น 6 สภาครอบครัวและธรรมนูญครอบครัว 7 โครงสร้างการปกครอง 7 ธรรมนูญครอบครัว 8 ก่อร่างสร้างตัว 9 บรรณานุกรม 13
1 ประวัติ นายสุทธิเกียรติ จิราธิวัฒน์ นายสุทธิเกียรติ จิราธิวัฒน์ ทายาทรุ่นที่ 2 ของตระกูล จิราธิวัฒน์ เริ่มต้นสานต่อกิจการของครอบครัว จากการเป็นประธานกรรมการบริหารฝ่ายกลุ่มธุรกิจโรงแรม และกลุ่มธุรกิจฟาสต์ฟู้ด เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2536 สุทธิเกียรติ จิราธิวัฒน์ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น ผู้บริการระดับสูงของ เซ็นทรัลพัฒนา (CPN) ในปี 2538 โดยถือหุ้น ในบริษัท 31,170,141 หุ้น(คิดเป็นร้อยละ 2.31) เจ้าสัวสุทธิเกียรติ มีศักดิ์เป็นน้องของ นายสุทธิชัย จิราธิวัฒน์ และเป็นพี่ของ ศ.ดร.สุทธิพันธ์ จิราธิวัฒน์ และ นายสุทธิลักษณ์ จิราธิวัฒน์ เป็นอาของนางยุวดี, นายปริญญ์, นายทศ และ นายพิชัย จิราธิวัฒน์ นายสุทธิเกียรติ จิราธิวัฒน์ การศึกษาของ เจ้าสัวสุทธิเกียรติ • ปริญญาตรี สาขาวิศวกรรมเครื่องกล South West Essex Technical College ประเทศอังกฤษ • ปริญญาตรี ศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง • ปริญญาโท ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง • ศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาบริหารธุรกิจ วิทยาลัยบัณฑิตเอเชีย • ศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ • ศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาธุรกิจการโรงแรมและการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต • ปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาสื่อสารมวลชน คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง
2 การดำรงตำแหน่งกรรมการ / ผู้บริหารในบริษัทจดทะเบียนอื่น • 2545 – ปัจจุบัน กรรมการ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) • 2547 – ปัจจุบัน ประธานกรรมการ บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) • 2552 – ปัจจุบัน ประธานกรรมการ และประธานกรรมการบริหาร บริษัท บางกอก โพสต์ จำกัด (มหาชน) ประสบการณ์การทำงาน • ผู้ช่วยผู้จัดการ บริษัท เซ็นทรัลเทรดดิ้ง จำกัด • ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ บริษัท ห้างเซ็นทรัลดีพาร์ทเมนท์สโตร์ จำกัด • นายกสมาคมศิษย์เก่ารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง และ กรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ มหาวิทยาลัยรามคำแหง • ผู้ก่อตั้ง, นายกสมาคม สมาคมผู้ค้าปลีกห้างสรรพสินค้า • ที่ปรึกษารัฐมนตรี กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา • เป็นหนึ่งในผู้ริเริ่มโครงการ ผู้นำเข้า และเป็นเจ้าของคนแรกที่นำบาร์โค๊ดมาใช้ในประเทศไทยที่ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว • ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ สมาคมการค้าไหหลำ • ที่ปรึกษา ประธานศาลรัฐธรรมนูญ วันเข้าดำรงตำแหน่งกรรมการ • ก่อนเป็นบริษัทมหาชน : วันที่ 12 พฤษภาคม 2538 – 20 พฤษภาคม 2561 / วันที่ 15 มีนาคม 2562 – 5 กันยายน 2562 • บริษัทมหาชน : วันที่ 6 กันยายน 2562 – ปัจจุบัน จำนวนการถือหุ้นสามัญของบริษัท (ณ วันที่ 31 มกราคม 2566) • ของตนเอง: 0.6439% • คู่สมรส/บุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ: -ไม่มี- ความสัมพันธ์ทางครอบครัวระหว่างกรรมการและผู้บริหาร • เป็นพี่ของ (1) นายสุทธิธรรม จิราธิวัฒน์ (2) ศ.ดร. สุทธิพันธ์ จิราธิวัฒน์ และ (3) นายสุทธิลักษณ์ จิราธิวัฒน์
3 • เป็นอาของ (1) นางยุวดี จิราธิวัฒน์ (2) นายปริญญ์ จิราธิวัฒน์ (3) นายทศ จิราธิวัฒน์ (4) นายพิชัย จิราธิวัฒน์ และ นายไท จิราธิวัฒน์ สัดส่วนการเข้าร่วมประชุมคณะกรรมการ/คณะกรรมการประชุมย่อยในรอบปี 2565 • การเข้าร่วมประชุมคณะกรรมการ: 4/4 ครั้ง ประวัติ ตระกลูจิราธิวัฒน์ ตระกูลจิราธิวัฒน์เป็นตระกูลนักธุรกิจชาวไทยเชื้อสายจีน เป็นเจ้าของกลุ่มเซ็นทรัล ในปี พ.ศ. 2562 นิตยสาร ฟอบส์จัดอันดับให้เป็นตระกูลที่มีความมั่งคั่งเป็นอันดับ 2 ของไทย มีมูลค่าทรัพย์สิน 6.7 แสนล้านบาท ประกอบธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ ครอบคลุม 9 หน่วยธุรกิจ รวมแล้วหลายสิบแบรนด์ จากข้อมูลวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2562 มีจำนวนสมาชิกทั้งสิ้น 232 คน จาก 5 รุ่น รุ่น 1 มี 1 คน รุ่นที่ 2 มี 38 คน แบ่งเป็น จิราธิวัฒน์ 23 คน คู่สมรส 15 คน รุ่นที่ 3 มี 90 คน แบ่งเป็นจิราธิวัฒน์ 57 คน คู่สมรส 33 คน รุ่นที่ 4 มี86 คน แบ่งเป็นจิราธิวัฒน์ 76 คน คู่สมรส 10 คน และรุ่นที่ 5 มี 17 คน แบ่งเป็นจิราธิวัฒน์ 17 คน ในจำนวนนี้ มีคนที่ ทำงานให้กับธุรกิจครอบครัวทั้งสิ้น 57 คน ต้นตระกูลจิราธิวัฒน์ คือ เตียง แซ่เจ็ง ชาวจีนจากหมู่บ้านไหเค้า มณฑลไหหลำ ประเทศจีน อพยพ มาประเทศไทยชั่วคราวครั้งหนึ่งเป็นเวลาสั้น ๆ เนื่องจากลี้ภัยโจรสลัดที่เข้าปล้นหมู่บ้าน ก่อนจะกลับประเทศจีน หลังเหตุการณ์นั้นสงบลง กระทั่งอพยพเข้ามาประเทศไทยอย่างถาวรพร้อมภรรยาที่ชื่อ หวาน เมื่อประมาณ พ.ศ. 2470 โดยมีบุตรชายคนโตที่เกิดในประเทศจีนคือ สัมฤทธิ์ จิราธิวัฒน์ (เกิด พ.ศ. 2468 เมื่อแรกเกิดชื่อ ฮกเส่ง ฮก แปลว่าลาภ เส่งแปลว่าสำเร็จ) ที่อพยพมาอยู่ในประเทศไทยเพราะเห็นว่าเมืองไทยนั้นมีความอุดมสมบูรณ์และ มีชาวจีนอพยพมาอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก โดยมาอาศัยอยู่กับพ่อตาคือนายตงฮั้วและนางด่านตี๋ แซ่หง่าน ที่เดินทางล่วงหน้ามาก่อนแล้ว 2–3 ปี โดยมาช่วยกิจการร้านขายข้าวสารของพ่อตาที่ชื่อ อั้นฟงเหลา ตั้งอยู่ท่าช้าง วังหน้า เตียงเริ่มประกอบธุรกิจของตัวเอง เปิดร้านกาแฟและขายของเบ็ดเตล็ดที่บางมด โดยยืมเงินพ่อตาจำนวน 300 บาท ต่อมาย้ายไปอยู่บริเวณที่ว่าการอำเภอบางขุนเทียน ตรงข้ามสถานีรถไฟวัดจอมทอง (วัดราชโอรส) ส่วนภรรยารับจ้างตัดเย็บเสื้อผ้า เขาตั้งชื่อร้านว่า "เข่งเส่งหลี" พอในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ต้องเผชิญกับ ความยากลำบาก หวานผู้เป็นภรรยาเสียชีวิต สัมฤทธิ์ บุตรชายคนโตจึงมาช่วยดูแลธุรกิจ จนในปี พ.ศ. 2493 ครอบครัวของเตียงได้ขอให้ผู้ใหญ่ที่ครอบครัวเคารพนับถือตั้งชื่อนามสกุลให้ว่า "จิราธิวัฒน์" คำว่า จิระ หมายถึง ยืนนาน อธิ หมายถึง ความยิ่งใหญ่ และ วัฒน์ คือ วัฒนา เมื่อรวมแล้วหมายถึง ตระกูลที่มีความยิ่งใหญ่วัฒนา อย่างยาวนาน ต่อมาครอบครัวเริ่มขยายใหญ่ขึ้นจนถึงเกือบ 30 ชีวิต จึงได้ตัดสินใจซื้อที่ดินเพื่อสร้างบ้านพักอย่าง ถาวรที่ศาลาแดง พื้นที่ 3 ไร่ ใน เมื่อปี พ.ศ. 2499 เตียงเสียชีวิตเมื่อปี พ.ศ. 2511 สัมฤทธิ์ในฐานะบุตรชายคนโต จึงรับหน้าที่ดูแลทรัพย์สินและมรดก
4 ตระกลูจิราธิวัฒน์ รุ่นที่ 2 รุ่นที่ 2 ที่มี สัมฤทธิ์เป็นพี่ใหญ่ ประกอบด้วยน้องอีก 25 คน คือ สัมฤทธิ์มีน้องที่เกิดจากมารดาเดียวกัน 7 คน ส่วนน้องที่เกิดกับภรรยาคนที่สอง ที่ชื่อ บุญศรี มี 13 คน และน้องที่เกิดจาก วิภา ภรรยาคนที่สาม 5 คน สัมฤทธิ์ที่เคยทำหน้าที่เป็นพนักงานขาย นำหนังสือไปขายยังร้านใหญ่ ๆ ในกรุงเทพฯ ที่ร้านของเพื่อน ภายหลัง เพื่อนเลิกกิจการ สัมฤทธิ์เห็นว่าธุรกิจนี้มีกำไรมากจึงได้ดำเนินธุรกิจนี้ โดยยืมเงินบิดา 2,000 บาท สร้อยคอทองคำ ของภรรยา (ของขวัญงานแต่ง) และเงินออมส่วนตัวจำนวนหนึ่งนำมาลงทุนธุรกิจนี้ เป็นธุรกิจนำเข้านิตยสาร จากสหรัฐมาขาย ธุรกิจประสบความสำเร็จดี เพราะต้นทุนต่ำและได้เปรียบเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราและ ยังไม่เสียภาษีนำเข้าอีกด้วย สัมฤทธิ์นำผลกำไรมาเสนอแก่บิดาและชักชวนให้มาร่วมทุนด้วย ในปี พ.ศ. 2490 ได้เซ้งห้องแถวที่ถนนเจริญกรุง ปากตรอกกัปตันบุช สี่พระยา เปิดเป็นร้านขายหนังสือ ใช้ชื่อร้านว่า "ห้างเซ็นทรัลเทรดดิ้ง" เป็นอาคาร 1 คูหา จำนวน 2 ชั้น ช่วงแรกเน้นขายหนังสือนำเข้าจากต่างประเทศและสินค้าจากสำเพ็ง สัมฤทธิ์ ไม่จ้างลูกจ้างมาช่วยงาน และยังดำเนินการเสียภาษีด้วยตัวเอง จากนั้นได้รับน้องชายสองคน คือ วันชัย และสุทธิ พร มาช่วยงานหลังโรงเรียนเลิก ต่อมาสัมฤทธิ์นำสินค้าที่ลงโฆษณาในนิตยสารมาขาย อาทิ ถุงเท้า เน็คไท เสื้อ กล้าม กระโปรงพลีท และชุดชั้นในสตรี เป็นต้น ขยับขยายสินค้าประเภทใหม่ ๆ และใช้วิธีเป็นตัวแทนจำหน่ายจาก สินค้า มีแบรนด์ เช่น เครื่องสำอางเฮเลน่า รูบินสไตน์ (Helena Rubinsteim) น้ำมันใส่ผมแคร้ปเดอชีน (Crepe de Chine) และเสื้อเชิ้ตแมนฮัตตัน (Manhattan) เป็นต้น ต่อมาย้ายร้านไปที่ย่านสุริวงศ์ ริมถนนเจริญกรุง มีขนาด 3 คูหา จนได้เปิดสาขาใหม่ที่วังบูรพา เมื่อ พ.ศ. 2499 ในชื่อ "ห้างเซ็นทรัล" เป็นครั้งแรกที่นำระบบติดป้ายราคาและไม่มีการต่อราคามาใช้ ต่อมาเปิดสาขาเยาวราช
5 แต่ ไม่ประสบความสำเร็จ และ พ.ศ. 2507 เปิดสาขาใหม่ที่ราชประสงค์ เป็นตึกแถวขนาด 5 คูหา เปิดสาขาต่อมา สาขาสีลม เมื่อปี พ.ศ. 2511 ที่ถือเป็นห้างเซ็นทรัลแห่งแรกที่มีแผนกซูเปอร์มาร์เก็ต ในช่วง 2 ปีแรกที่เปิดขาดทุน แต่ได้ทำการตลาดอย่างหนักจนประสบความสำเร็จ และเปิดสาขาต่อมาที่สาขาชิดลม (2516), ลาดหญ้า (2524), ลาดพร้าว (2526), หัวหมาก (2531) เดือนสิงหาคม 2532 สัมฤทธิ์ป่วยด้วยโรคมะเร็งปอดจึงแต่งตั้งน้องชายคนรอง วันชัย จิราธิวัฒน์ เป็นประธานคณะกรรมการเครือเซ็นทรัล และจัดองค์กรใหม่โดยแบ่งกลุ่มธุรกิจผู้บริหาร รับผิดชอบโดยตรง 5 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มธุรกิจค้าปลีก (CRC) มีสุทธิชาติ จิราธิวัฒน์ เป็นประธาน, กลุ่มพัฒนา อสังหาริมทรัพย์ (CPN) มีสุทธิธรรม จิราธิวัฒน์ เป็นประธาน, กลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมและค้าส่ง (CMG) มี สุทธิศักดิ์ เป็นประธาน, กลุ่มธุรกิจโรงแรมมีสุทธิเกียรติเป็นประธาน และกลุ่มธุรกิจฟาสต์ฟู้ด มีสุทธิเกียรติเป็นประธาน ขณะนั้น จนสัมฤทธิ์เสียชีวิตในปี 2535 วันชัยเป็นผู้นำองค์กรคนที่ 3 ในยุคการบริหารของวันชัย ธุรกิจเติบโต ไปหลายด้าน เป็นยุคแห่งการขยายกิจการ ทั้งประกอบธุรกิจมอสังหาริมทรัพย์ประเภทต่าง ๆ ทั้งค้าปลีก โรงแรม และผลักดันเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย แตกร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ เช่น ซูเปอร์สปอร์ต ไทวัสดุ เป็นต้น รุ่นที่ 3 ทายาทรุ่นที่ 3 ของตระกูลจิราธิวัฒน์ ได้ขยายธุรกิจออกตลาดต่างประเทศ ตามเป้าหมายรับไม้ต่อจาก รุ่นที่ 2 ผู้บริหารในรุ่นที่ 3 อาทิ กอบชัย, ทศ, ปริญญ์, เกรียงศักดิ์, พิชัย, ธีรยุทธ, ธีรเดช, ชาติ, อิศเรศ, ธรรม์, วัลยา, ยุวดี ฯลฯ โดยมีทศ จิราธิวัฒน์เป็นประธานกรรมการบริหาร สุทธิชัย จิราธิวัฒน์ จากรุ่นที่ 2 ประธานกรรมการ บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด เอ่ยว่า "ทศเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในการขับเคลื่อนธุรกิจทั้งเครือ เพราะทำงานในตำแหน่ง ระดับสูงของกลุ่มเซ็นทรัลมานาน มีความรอบรู้ลึกซึ้งในธุรกิจค้าปลีก ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของกลุ่มเซ็นทรัล และ เป็นผู้นำที่มีสไตล์การทำงานเชิงรุก"ส่วนชาติ จิราธิวัฒน์ถูกวางตัวให้เป็นอันดับสองของรุ่นที่ 3 ทำหน้าที่บริหาร เซ็นทรัล เอ็มบาสซี ในการบริหารของทศ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด กลุ่มธุรกิจแบ่งเป็น 9 กลุ่มหลัก คือ กลุ่มธุรกิจห้างสรรพสินค้า (CDG), กลุ่มธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค (CFG), กลุ่มธุรกิจวัสดุก่อสร้างสินค้าตกแต่ง บ้านและเครื่องใช้ไฟฟ้า (CHG), กลุ่มธุรกิจอุปกรณ์เครื่องเขียน หนังสือ และออนไลน์, กลุ่มธุรกิจศูนย์การค้าและ อสังหาริมทรัพย์ (CPN), กลุ่มธุรกิจบริหารและการตลาดสินค้าแฟชั่น (CMG), กลุ่มธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ท (CHR), กลุ่มธุรกิจร้านอาหาร (CRG) และ กลุ่มเซ็นทรัลเวียดนาม (CGVN)[9] ในปี 2560 เซ็นทรัลได้ก้าวสู่ธุรกิจโลกออนไลน์ มีการลงทุนต่อเนื่องด้านเทคโนโลยีและโลจิสติกส์ เปิดตัวธุรกิจเจดี เซ็นทรัล ร่วมทุนกับ เจดี.คอม และเข้าซื้อหุ้น แกร็บ ประเทศไทย บริการการเดินทาง การส่งอาหาร ส่งสินค้าจากซูเปอร์มาร์เก็ตในปี พ.ศ. 2562 จะนำเซ็นทรัลรีเทล (CRC) ธุรกิจที่มีอายุยาวนานกว่า 72 ปี เข้าตลาดหลักทรัพย์
6 รุ่นที่4 รุ่นที่ 4 ของตระกูลจิราธิวัฒน์เริ่มเข้ามีบทบาททางธุรกิจ ได้มีการแถลงข่าวกับสื่อมวลชนเปิดตัวทายาทรุ่น ที่ 4 จำนวน 9 คน คือ ธาพิดา นรพัลลภ ออมนิ-แชนแนล เมอร์ชั่นไดซิ่ง ไดเร็กเตอร์ บริษัท สรรพสินค้าเซ็นทรัล จำกัด, จิระศักดิ์ จิราธิวัฒน์ ผู้อำนวยการฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ เจดีเซ็นทรัล, โชดก พิจารณ์จิตร กรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายบริหารสินค้า เจดีเซ็นทรัล, รวิศรา จิราธิวัฒน์ ประธานบริหารฝ่ายการตลาด เจดีเซ็นทรัล, อาคาร จิราธิวัฒน์ ผู้จัดการฝ่ายสินค้า เจดีเซ็นทรัล, ณพัทธ์ จิราธิวัฒน์ ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน), อธิวัฒน์ จิราธิวัฒน์ ผู้จัดการโปรเจ็กต์พิเศษ บริษัท สรรพสินค้าเซ็นทรัล จำกัด และ อธิเกียรติ จิ ราธิวัฒน์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาดบริษัท โรบินสัน จำกัด ตระกูลจิราธิวัฒน์ในธุรกิจอื่น นอกเหนือจากที่ทำธุรกิจในเครือเซ็นทรัลแล้ว ศุภาวิตาและทยาวัต จิราธิวัฒน์ จากรุ่นที่ 4 ได้เริ่มสร้าง ธุรกิจตามความสนใจของตัวเอง คือ ทำธุรกิจคอนโดมิเนียมแกรนด์ดูเพล็กซ์ ตระกูลจิราธิวัฒน์ยังมีบุคคลในวงการบันเทิง พิชัย จิราธิวัฒน์ นอกจากจะกรรมการบริหารผู้แทนบริษัท กลุ่มเซ็นทรัล ยังรับหน้าที่เป็นกรรมการผู้จัดการค่ายเพลงสไปซีดิสก์ส่วนภัสสรกรณ์ จิราธิวัฒน์ รุ่นที่ 3 บุตรชาย คนเล็กของสุทธิเกียรติ เป็นนักร้อง นักแสดง ที่สมรสกับนักแสดง ราศรี บาเล็นซิเอก้า เปิดบริษัท ป๊อก 9 เอ็นเทอร์ เทนเมนท์จำกัด รับผลิตงานบันเทิง ทุกรูปแบบ พชร จิราธิวัฒน์ รุ่นที่ 4 เป็นนักแสดง นักดนตรี ทำธุรกิจร้าน เฟรนช์ฟรายส์ชื่อ Potato Corner มีสาขาในไทยมากกว่า 34 แห่ง พชรยังเป็นเป็นผู้บริหารโปรดักชั่นสตูดิโอ สำหรับทำเพลงภาพยนตร์ และเป็นที่ปรึกษาสำหรับ Live Concert ที่ชื่อ Viveka & Vehement Recording and Live Music Production ส่วน พิมพิศา จิราธิวัฒน์ (แพร) พี่สาวของพชร ก็เคยมีผลงานเพลงเช่นกัน เซนทรัล
7 สภาครอบครัวและธรรมนูญครอบครัว ภายหลังจากเกิดวิกฤตการณ์การเงินในเอเชีย พ.ศ. 2540 ส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจ วันชัย จิราธิวัฒน์ ผู้นำ องค์กรคนที่ 3 ปรับโครงสร้างองค์กร เปลี่ยนจากธุรกิจแบบกงสีมาสู่ความเป็นมืออาชีพมากขึ้น โดยให้วิโรจน์ ภู่ตระกูล ซีอีโอคนแรกของลีเวอร์ บราเธอร์ (ประเทศไทย) หรือยูนิลีเวอร์ มาช่วยจัดทำสภาครอบครัว และ ร่างธรรมนูญครอบครัว ตั้งแต่ปี 2541 ใช้เวลา 4 ปี หรือปี 2545 จึงแล้วเสร็จ ธรรมนูญครอบครัวมีไว้สำหรับ ทายาทและคู่สมรส 5 รุ่น ครอบครัวนายสุทธิเกียรติ จิราธิวัฒน์ โครงสร้างการปกครอง สำหรับโครงสร้างการปกครอง แบ่งเป็น 3 ส่วน ครอบครัว มีสภาครอบครัว (Family council) มีสุทธิชัย จิราธิวัฒน์เป็นหัวหน้าสภา และมีผู้ใหญ่ใน ครอบครัว 14 คน มาจากสมาชิกทุกกลุ่มนั่งเป็นบอร์ดในสภา สภาครอบครัวทำหน้าที่ดูแลเรื่องพื้นฐานของสมาชิก ครอบครัวจิราธิวัฒน์ อย่าง สวัสดิการ ค่าเล่าเรียน ค่ารักษาพยาบาล การจัดงานแต่งงาน งานศพ ฯลฯ ความเป็นเจ้าของ มี CG Board หรือมาจากเซ็นทรัล กรุ๊ป จากครอบครัวดูแล ยังมีคนนอกรวมเป็น 8-19 คน หน้าที่ของบอร์ดคือตัดสินใจเกี่ยวกับการลงทุนมูลค่าเกินกว่า 3,000 ล้านบาท รวมถึงรายงานผลการดำเนินงาน ของธุรกิจครอบครัว การจ่ายเงินปันผลด้วย ธุรกิจ มีทศเป็นหัวหน้า และปริญญ์ จิราธิวัฒน์ คุมการเงิน สำหรับหน้าที่ของกรรมการบริหารนี้คือจะ ตัดสินใจเกี่ยวกับการลงทุนมูลค่าต่ำกว่า 3,000 ล้านบาท โดยต้องแจ้ง CG Board ด้วย แต่ไม่ต้องตัดสินใจ
8 ธรรมนูญครอบครัว ตระกูลจิราธิวัฒน์มีการกำหนดรายละเอียด กฎระเบียบ หรือข้อตกลงต่าง ๆ ดังนี้การแบ่งผู้ถือหุ้น ในส่วน ของความเป็นเจ้าของ ผู้ที่มีสิทธิได้รับเงินปันผล คือ รุ่นที่ 2 หรือลูกคุณเตียงโดยตรง ซึ่งมีอยู่ 26 คน (ปัจจุบันเหลือ 23 คน) ทั้งนี้ทายาทในแต่ละสายเป็นผู้ได้รับประโยชน์ต่อ สมาชิกทั้ง 3 สาย ได้รับหุ้นในจำนวนที่เท่ากัน เริ่มมีการ จ่ายเงิน ปันผลผู้ถือหุ้น ในปี พ.ศ. 2543 เป็นปีแรก ตระกูลไม่อนุญาตให้เขยหรือสะใภ้เข้ามาทำงานในเครือ เนื่องจากมองว่าแต่ละบ้านได้รับการเลี้ยงดู หรือเติบโตมาแตกต่างกัน ในด้านสวัสดิการ มีการกำหนดถึงขอบเขต ของสิทธิ เช่น ฝั่งจิราธิวัฒน์ที่เป็นผู้หญิงอาจจะมีสิทธิในบางเรื่องบางอย่างน้อยกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะในแง่ของการ ถ่ายทอดสิทธิสวัสดิการไปยังรุ่นถัดไป หรือในแง่ของการถือหุ้นที่อาจจะลดหลั่นลงมา ในการซื้อขายหุ้น ห้ามขายหุ้น ให้แก่บุคคลอื่น แต่ขายหุ้นกันภายในครอบครัวได้ ตระกูลมีเว็บไซต์ส่วนตัวเพื่อให้สมาชิกทุกคนในครอบครัวเข้าไปศึกษารายละเอียดของสิทธิ บทบาท และ ขอบเขต ที่สมาชิก จะได้รับ ทั้งเรื่องที่อยู่อาศัย การศึกษา การรักษาพยาบาล การแต่งงาน รวมไปถึงการจัดการ งานศพ นอกจากนั้นยังมีกำหนดวาระที่สมาชิกต้องมาพบปะกัน โดยสมาชิกครอบครัวจะมาพบปะกันทุกไตรมาสที่ บ้านศาลาแดง โดยจะมาพบกันใน 2 เทศกาลสำคัญ คือ วันตรุษจีน กับวันคริสต์มาส และมีการจัด Chirathivat MIM (Management Information Meeting) อีกปีละ 2 ครั้ง ทั้งใน กรุงเทพและต่างจังหวัด ธรรมนูญครอบครัวมีการกำหนดกฎและบทลงโทษ ทั้งมีการตักเตือน ทำทัณฑ์บน มีการตัดเงินสวัสดิการ และ หากยังไม่มีการปรับปรุง หรือยังคงทำผิดมากเกินกว่า 3 ครั้งขึ้นไป ก็จะมีการใช้มาตรการสูงสุด เช่น ตัดเงิน สวัสดิการที่เคยช่วยเหลือทั้งหมด นอกจากนั้นยังมีข้อคิดจากผู้ใหญ่ในตระกูล เช่น ให้อยู่ร่วมกันเป็นครอบครัว, ประหยัด, ขยัน มานะบากบั่น และซื่อสัตย์, มีความยุติธรรม, รับผิดชอบต่อหน้าที่, มีความต่อเนื่องของผู้บริหารทั้ง คนในและคนนอก รวมทั้งการคิดค้นและสร้างนวัตกรรมใหม่ ข้อควรหลีกเลี่ยง เช่น การสูบบุหรี่, พูดมากไร้สาระ, ไม่ตรงต่อเวลา, โลภ เอาแต่ได้, อวดเก่งแต่ไม่เก่งจริง, เอาเปรียบผู้อื่น, เกียจคร้าน, โกง ปากกับใจไม่ตรงกัน, ไม่ฟัง ความเห็นผู้อื่น, ดื้อรั้น สติปัญญาน้อย เตียง ผู้บุกเบิกรุ่นที่ 1 ถ่ายภาพกับ สัมฤทธิ์ บุตรชายคนโตและบุตรคนอื่น ๆ ในตระกูลจิราธิวัฒน์ ในวันเปิด ห้างเซ็นทรัล สาขาราชประสงค์ พ.ศ. 2507 (ภาพจากหนังสือ จิราธิวัฒน์สัมฤทธิ์)
9 “ชาวจีน” เป็นกลุ่มคนที่มีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยมายาวนาน เมื่อชาวจีนเริ่มอพยพ มาลงหลักปักฐานที่ไทยถาวร บทบาทของชาวจีนด้านเศรษฐกิจของประเทศจึงมีมากขึ้น มีชาวจีนหลายตระกูล อพยพเข้ามาตั้งรกรากในประเทศไทย หนึ่งในนั้นคือ “แซ่เจ็ง” จนนำมาสู่ตระกูลนักธุรกิจแนวหน้าของประเทศไทย อย่าง “จิราธิวัฒน์” แห่งเครือเซ็นทรัล ก่อร่างสร้างตัว ตระกูล “จิราธิวัฒน์” ก่อร่างสร้างตัวโดย “นี่เตียง” หรือ เตียง แซ่เจ็ง ชาวจีนจากหมู่บ้านไหเค้า มณฑล ไหหลำ ประเทศจีน เขาเคยอพยพมาประเทศไทยชั่วคราวครั้งหนึ่งเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ เนื่องจากลี้ภัยโจรสลัดที่เข้า ปล้นหมู่บ้าน ก่อนจะกลับประเทศจีนหลังเหตุการณ์นั้นสงบลง กระทั่งอพยพเข้ามาในประเทศไทยอย่างถาวรเมื่อประมาณ พ.ศ. 2470 พร้อมกับภรรยาคือ “หวาน” และบุตรชาย คนโตคือ “สัมฤทธิ์ จิราธิวัฒน์” (เกิด พ.ศ. 2468 เมื่อแรกเกิดชื่อ ฮกเส่ง ฮกแปลว่าลาภ เส่งแปลว่าสำเร็จ เป็นบุตร เพียงคนเดียวในจำนวนทั้งหมด 26 คนของเตียงที่เกิดในประเทศจีน) ในหนังสือ “จิราธิวัฒน์สัมฤทธิ์” ระบุว่า เตียงมี“ความตั้งใจอยากจะมาตั้งถิ่นฐานในเมืองไทยเนื่องจาก เห็นว่าเมืองไทยนั้นมีความอุดมสมบูรณ์และมีชาวจีนอพยพมาอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก” ครั้นเมื่อบิดาของเตียง เสียชีวิตและจัดการไว้ทุกข์ตามประเพณีเรียบร้อยแล้ว เตียงจึงพาครอบครัวอพยพสู่ประเทศไทยตามที่ตนตั้งใจ โดย มาอาศัยอยู่กับพ่อตาคือนายตงฮั้วและนางด่านตี๋ แซ่หง่าน ที่เดินทางล่วงหน้ามาก่อนแล้ว 2-3 ปี โดยเตียงได้ช่วย กิจการของพ่อตาในร้านขายข้าวสารชื่อ “อั้นฟงเหลา” บริเวณท่าช้าง วังหน้า ต่อมาเตียงเริ่มประกอบธุรกิจของตัวเอง โดยยืมเงินพ่อตาจำนวน 300 บาท พาครอบครัวไปอาศัยที่บาง มด เปิดร้านกาแฟและขายของเบ็ดเตล็ด ต่อมาย้ายไปอยู่บริเวณที่ว่าการอำเภอบางขุนเทียน ตรงข้ามสถานีรถไฟ วัดจอมทอง (วัดราชโอรส) เปิดร้านในพื้นที่เล็ก ๆ เพียง 50 ตารางเมตร ขายกาแฟ อาหารเล็ก ๆ น้อย ๆ และของ เบ็ดเตล็ด ส่วนชั้นบนให้ภรรยารับจ้างตัดเย็บเสื้อผ้า เขาตั้งชื่อร้านว่า “เข่งเส่งหลี” แปลเป็นไทยว่า “ไหหลำ สัมฤทธิ์ผล” แต่ชาวบ้านละแวกนั้นเรียก “ร้านสามเหลี่ยม” เพราะร้านตั้งบนที่ดินรูปทรงสามเหลี่ยม ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ครอบครัวต้องเผชิญความยากลำบาก มิหนำซ้ำหวานภรรยาของเตียงเสียชีวิตระหว่าง สงครามอีก ทำให้สัมฤทธิ์ในฐานะบุตรชายคนโตในวัย 20 ปี จึงจำเป็นต้องแบกรับภาระเลี้ยงดูน้อง ๆ อีกแรงหนึ่ง สัมฤทธิ์ใฝ่ฝันอยากเรียนด้านแพทยศาสตร์ แต่เตียงไม่เห็นด้วยเพราะต้องการให้ศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยด้าน การค้าขายและภาษาอังกฤษ เพราะหวังจะให้มาช่วยธุรกิจของครอบครัวและจะได้ดูแลน้อง ๆ ไปด้วย พ.ศ. 2493 ครอบครัวของเตียงได้ขอให้ผู้ใหญ่ที่ครอบครัวเคารพนับถือตั้งชื่อนามสกุลให้ ชื่อว่า “จิราธิวัฒน์” มีความหมายคือ จิระหมายถึงยืนนาน อธิหมายถึงยิ่งใหญ่ และวัฒน์หมายถึงวัฒนา
10 ต่อมาครอบครัวเริ่มขยายใหญ่มากขึ้น จำนวนสมาชิกในครอบครัวเกือบ 30 ชีวิตต้องย้ายที่พักบ่อยครั้ง เพื่อขยับขยายร้านค้าเล็ก ๆ ไปสู่ร้านใหญ่กว่า กระทั่งเตียงตัดสินใจซื้อที่ดินเพื่อสร้างบ้านพักอย่างถาวรที่ศาลาแดง พื้นที่ 3 ไร่ ใน พ.ศ. 2499 เตียงเสียชีวิตโดยไม่ได้ทำพินัยกรรม ใน พ.ศ. 2511 สัมฤทธิ์ในฐานะบุตรชายคนโตของครอบครัวและเป็น ทายาทรุ่นที่ 2 รับหน้าที่ดูแลทรัพย์สินและมรดก และต้องทำหน้าที่ดูแลน้อง 25 คน “โดยน้อง ๆ จะให้ความเคารพ ยำเกรง เพราะคุณสัมฤทธิ์เป็นคนเคร่งขรึม” น้องบางคนที่มีอายุห่างมากก็นับถือเขาเสมือนพ่อคนหนึ่งเลยทีเดียว และ นับแต่นั้น สัมฤทธิ์ก็เป็น “หัวเรือใหญ่” ผู้ที่คอยเลี้ยงดูน้อง ๆ ทุกคน และสมาชิกในครอบครัวมาโดยตลอด ตระกูล “จิราธิวัฒน์” รุ่นที่ 2 มีสัมฤทธิ์เป็นพี่ใหญ่ ประกอบด้วยน้องอีก 25 คน คือ น้องที่เกิดจากมารดาเดียวกัน 7 คน (ไม่รวมสัมฤทธิ์) น้องที่เกิดจาก “บุญศรี” ภรรยาคนที่สองของเตียง รวม 13 คน และน้องที่เกิดจาก “วิภา” ภรรยาคนที่สามของเตียง รวม 5 คน เตียง และสัมฤทธิ์ ถ่ายภาพที่ประเทศญี่ปุ่น เมื่อ พ.ศ. 2493 (ภาพจากหนังสือ จิราธิวัฒน์สัมฤทธิ์) “จิราธิวัฒน์” กับจุดเริ่มต้นธุรกิจห้างสรรพสินค้า สัมฤทธิ์ช่วยบิดาค้าขายตั้งแต่เด็ก ๆ เมื่อตอนเรียนที่โรงเรียนอัสสัมชัญคอมเมอร์ส แต่โรงเรียนต้องปิด ชั่วคราวเนื่องจากภัยสงครามโลก เขาทำงานช่วยครอบครัวโดยการซื้อของจากกรุงเทพฯ ไปขายที่ภาคใต้และ บางครั้งก็เลยไปถึงสิงคโปร์ กำไรบ้าง ขาดทุนบ้าง เสี่ยงชีวิตบ้าง แต่ก็มอบประสบการณ์ให้ไม่น้อย หลังสงครามยุติ ก็มาทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ติดต่อศุลกากรนำภาพยนตร์ของบริษัทพาราเมาท์ พิกเจอร์ จำกัด มาฉายในประเทศไทย ถัดมาไปเป็นครูสอนภาษาไทยในโรงเรียนจีน “ยกหมิ่น” ที่ถนนสุรวงศ์ ต่อมาเพื่อนของสัมฤทธิ์ชวนไปขายหนังสือภาษาอังกฤษ โดยเขาทำหน้าที่เป็นพนักงานขาย (Salesman) นำหนังสือไปขายยังร้านใหญ่ ๆ ในกรุงเทพฯ ได้ผลตอบแทนเป็นเปอร์เซ็นต์ตามยอดขาย ภายหลังเพื่อนเลิกกิจการไป สัมฤทธิ์จึงคิดดำเนินธุรกิจนี้เองเพราะเห็นว่าได้กำไรมาก แต่เตียงไม่เห็นด้วยเพราะเกรงว่าหากไม่ประสบผลสำเร็จ
11 จะทำให้ครอบครัวลำบากไปด้วยแต่ด้วยความมุ่งมั่น สัมฤทธิ์เดินหน้าประกอบธุรกิจนี้ตามที่ตนตั้งใจ โดยยืมเงิน บิดา 2,000 บาท สร้องคอทองคำของภรรยา (ของขวัญงานแต่ง) และเงินออมส่วนตัวจำนวนหนึ่งนำมาลงทุนธุรกิจนี้ เขานำนิตยสารของประเทศสหรัฐอเมริกามาขาย ซึ่งเป็นนิตยสารเก่าแต่สภาพใหม่ ซึ่งไม่สามารถนำออกขายนอก ประเทศสหรัฐอเมริกาได้เนื่องจากติดพันสงครามธุรกิจนี้ประสบผลสำเร็จด้วยดี เนื่องจากมีต้นทุนต่ำ และ มีข้อ ได้เปรียบเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา กล่าวคือ ในเวลานั้น อัตราแลกเปลี่ยนเงิน คือ 1 USD = 20 THB แต่ถ้า แลกเพื่อสั่งซื้อหนังสือจะได้สิทธิพิเศษ คือ 1 USD = 10 THB และยังไม่เสียภาษีนำเข้าอีกด้วยสัมฤทธิ์จึงนำผลกำไร มาเสนอแก่บิดาและชักชวนให้มาร่วมทุนด้วย ซึ่งเตียงก็เข้าร่วมลงทุน “เพราะคุณเตียงเห็นผลงานของคุณสัมฤทธิ์ที่ สามารถประกอบกิจการจนเป็นผลสำเร็จ” จากนั้นได้เซ้งห้องแถวที่ถนนเจริญกรุง ปากตรอกกัปตันบุช สี่พระยา เปิดเป็นร้านขายหนังสือ เมื่อราว พ.ศ. 2490 ใช้ชื่อร้านว่า “ห้างเซ็นทรัลเทรดดิ้ง” อันเป็นจุดกำเนิดของ ห้างเซ็นทรัลในปัจจุบัน โฆษณาของห้างเซ็นทรัลเทรดดิ้ง เมื่อ พ.ศ. 2495 (ภาพจากหนังสือ จิราธิวัฒน์สัมฤทธิ์) ทำไมต้อง “เซ็นทรัล” เตียงเป็นผู้สนใจการเมืองมีความคิดเห็นว่า สมัยที่ประเทศจีนมีการตั้งรัฐบาลกลางขึ้นมาแก้ไขปัญหาความ แตกแยกนั้น รัฐบาลกลางนี้ใช้ชื่อว่า “ตงเอียง” แปลว่า “กลาง” เตียงจึงอยากใช้ชื่อที่แปลว่า “กลาง” คือ เป็นศูนย์กลางการค้า แต่สัมฤทธิ์เห็นว่า หากใช้คำว่า “กลาง” ฟังดูไม่ไพเราะ จึงเปลี่ยนมาใช้คำทับศัพท์ ภาษาอังกฤษแทน นั่นคือคำว่า “เซ็นทรัล” (Central) อันหมายถึง ที่เป็นใจกลาง ที่เป็นศูนย์กลาง เพื่อให้
12 เป็นศูนย์กลางของการค้าขายสินค้าและบริการ ซึ่งแนวคิดนี้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคหรือลูกค้า มากที่สุดอีกด้วย ห้างเซ็นทรัลเทรดดิ้ง สาขาสี่พระยา คือห้างแห่งแรกของธุรกิจตระกูล “จิราธิวัฒน์” เป็นอาคาร 1 คูหา จำนวน 2 ชั้น ช่วงแรกเน้นขายหนังสือนำเข้าจากต่างประเทศ และสินค้าจากสำเพ็ง โดยสัมฤทธิ์จะขายสินค้า ด้วยตนเอง ไม่ยอมจ้างลูกจ้างมาช่วยงาน เขาจะไปดำเนินการเสียภาษีและจัดการเรื่องศุลกากรด้วยตนเองที่โรง ภาษี (ใกล้กับโรงเรียนอัสสัมชัญ บางรัก) ต่อมาได้ย้ายร้านไปที่ย่านสุรวงศ์ ริมถนนเจริญกรุง มีขนาด 3คูหาแต่ยังใช้ชื่อเดิมอยู่ กระทั่งได้เปลี่ยนชื่อเป็น “ห้างเซ็นทรัล” และเปิดสาขาใหม่ที่วังบูรพา เมื่อ พ.ศ. 2499 ซึ่งเป็นครั้งแรกในประเทศที่นำเอาระบบติดป้ายราคา และไม่มีการต่อรองราคามาใช้โดยสาขานี้ยึดหลักการว่า “สินค้าคุณภาพ ราคายุติธรรม” และยังนับเป็น ห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในสมัยนั้นอีกด้วย จากนั้นได้เปิดสาขาใหม่ที่เยาวราชแต่ไม่ประสบผลสำเร็จ เพราะ เป็นย่านชาวจีนที่มีนิสัยประหยัด มัธยัสถ์ ไม่นิยมซื้อสินค้าจากร้านค้าขนาดใหญ่ และ พ.ศ. 2507 เปิดสาขาใหม่ ที่ราชประสงค์ เป็นตึกแถวขนาด 5 คูหา ใน พ.ศ. 2511 เปิดสาขาใหม่ที่สีลม เป็นอาคารสูง 9 ชั้น ตกแต่ง อย่างหรูหรา ทันสมัย ทั้งยังเป็นห้างสรรพสินค้าแห่งแรกของเซ็นทรัลที่เปิดแผนกซูเปอร์มาเก็ต ในช่วงแรกไม่เป็น ที่นิยมจนขาดทุนกว่า 2 ปี แต่ได้พยายามจัดแสดงสินค้า และทำการตลาดอย่างหนักจนประสบผลสำเร็จ เข้าสู่ พ.ศ. 2516เปิดสาขาใหม่ที่ชิดลม บนพื้นที่กว่า 7ไร่ ด้วยเงินทุน 80ล้านบาท มีแนวคิด “One Stop Shopping” มุ่งขายสินค้าและบริการแบบครบวงจรโดยไม่ต้องแวะซื้อสินค้าที่อื่นอีก ต่อมา พ.ศ. 2524 เปิดสาขาใหม่ที่ลาดหญ้า ฝั่งธนบุรี, พ.ศ. 2526 เปิดสาขาใหม่ที่ลาดพร้าว, พ.ศ. 2531 เปิดสาขาใหม่ที่หัวหมาก, พ.ศ. 2535 เปิดสาขาใหม่ ที่กาดสวนแก้ว จังหวัดเชียงใหม่ เป็นต้น จนถึงปัจจุบันเซ็นทรัลได้ขยายสาขาทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงประกอบธุรกิจอื่น ๆ อีกจำนวน มากจากนั้นมารับน้องชายสองคนคือ “วันชัย” และ “สุทธิพร” จากโรงเรียน แล้วให้มาช่วยกันแบกลังหนังสือกลับบ้าน ขณะที่น้องคนอื่น ๆ ที่ยังเด็ก มีหน้าที่แกะลัง นำหนังสือมาจัดเรียง ช่วยเหลือเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่พอจะช่วยได้ นอกจากนี้ พวกเขายังนำไม้และกระดาษห่อสินค้ามามัดให้เป็นระเบียบเพื่อจะนำไปขายต่ออีกด้วย แต่เมื่อเกิดการแข่งขันกันสูงมากขึ้น สัมฤทธิ์จึงตัดสินใจนำสินค้า (ที่ลงโฆษณาในนิตยสารที่เขานำมาขาย) หลากหลายประเภทมาขายเพื่อดึงดูดลูกค้า เช่น ถุงเท้า เน็คไท เสื้อกล้าม กระโปรงพลีท ชุดชั้นในสตรี เป็นต้น เขาดำเนินการขยายร้านให้ใหญ่ขึ้น ขยายสินค้าประเภทใหม่ ๆ และใช้วิธี “ตัวแทนจำหน่าย” จากสินค้า “แบรนด์” ที่ได้รับความนิยมในขณะนั้น เช่น เครื่องสำอางเฮเลน่า รูบินสไตน์ (Helena Rubinsteim) น้ำมันใส่ผมแคร้ปเดอ ชีน (Crepe de Chine) และเสื้อเชิ้ตแมนฮัตตัน (Manhattan) เป็นต้น
13 บรรณานุกรม วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี [สืบค้นเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2566] ที่มา: https://shorturl.asia/jxYd คณะกรรมการบริษัท [สืบค้นเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2566] ที่มา: https://shorturl.asia/HZKYG นายสุทธิเกียรติ จิราธิวัฒน์รองประธานกรรมการ [สืบค้นเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2566] ที่มา: https://shorturl.asia/kKwTO กว่าจะเป็น “จิราธิวัฒน์” เจ้าของห้างสรรพสินค้าชื่อดัง ทำไมต้องใช้ชื่อ “เซ็นทรัล” ? [สืบค้นเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2566] ที่มา: https://www.silpa-mag.com/history/article_37492