แนวโน้วการพัฒนาหลักสูตร นางสาวจีจี จี รจี รนันั นั น นั นท์ท์ ท์ท์อาริริ ริ ยริ ยะ รายวิชวิาการพัฒนาหลักสูตร (1190201) ในศตวรรษที่ 21 รหัสนักศึกษา 6421107030 เลขที่ 24 (สาขา การศึกษาปฐมวัย) หมู่เรียน D4 รหัสนักศึกษา 6421107030 เลขที่ 24 (สาขา การศึกษาปฐมวัย) หมู่เรียน D4
คำ นำ รายงานเล่มนี้จัดทำ ขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาการพัฒนาหลักสูตร การศึกษาแนวโน้มการพัฒนา หลักสูตร ในศตวรรษที่ ๒๑ กลุ่มวิชาชีพครู หลักสูตรครุศาสตร์บัณฑิต มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จ เจ้าพระยา โดยมีจุดประสงค์จัดทำ ขึ้นเพื่อเป็นการรวมรวบและสรุปข้อมูลเกี่ยวกับรายวิชา ที้งนี้ผู้จัดทำ หวังว่ารายงานเล่มนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่สนใจและต้องการข้อมูลไปอ้างอิงหรือค้นคว้า เพื่อพัฒนาต่อยอดต่อไป กากมีข้อผิดพลาดประการใดสามารถแจ้งมาได้ และจะดำ เนินการแก้ไขให้ถูกต้อต่อ ไป ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย นางสาวจีรนันท์ อาริยะ ก
สารบัญ ข เรื่อง หน้า คำ นำ ........................................................................................................................................................ ก สารบัญ..................................................................................................................................................... ข บทที่ 1 สภาพปัจจุบันของหลักสูตรไทย.................................................................................................. ๑ หลักสูตรปฐมวัย พุทธศักราช 2560 .........................................................................................๑-๔ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีพุทธศักราช 2551..............................…..................๕-๙ (ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2560) หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) พุทธศักราช 2562..................................................๑๐-๑๒ หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพขั้นสูง (ปวส.) พุทธศักราช 2563 ........................................๑๒-๑๓ หลักสูตรปริญญาตรีสายเทคโนโลยีหรือสายปฏิบัติการ พุทธศักราช 2562 ...............….........๑๔-๑๘ หลักสูตรอุดมศึกษา (ภายใต้กรอบมาตรฐานคุณวุฒิอุดมศึกษา) ............................................๑๘-๒๑ บทที่ 2 สภาพปัญหาของหลักสูตรไทย..................................................................................................... ๒๒ หลักสูตรปฐมวัย พุทธศักราช 2560 .....................................................................................๒๒-๒๓ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีพุทธศักราช 2551.......................................….....๒๔-๒๕ (ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2560) หลักสูตรอาชีวศึกษา ..........................................................................................................….....๒๕ หลักสูตรอุดมศึกษา (ภายใต้กรอบมาตรฐานคุณวุฒิอุดมศึกษา) ...….....................................๒๕-๒๖ บทที่ 3 แนวโน้มการพัฒนาหลักสูตรในศตวรรษที่ 21 ............................................................................๒๗ สรุป ...........................................................................................................................................๒๗ บรรณานุกรม .......................................................................................................................................... ๒๘
บทที่ ๑ สภาพปัจจุบันของหลักสูตรไทย การศึกษาไทยในปัจจุบันมีการจัดการศึกษาตามบริบทของการจัดการศึกษาอันเป็นไปตามแผนการ ศึกษาของชาติ คือ พัฒนาคน พัฒนาครูอาจารย์ พัฒนาสังคม ในหลากหลายรูปแบบที่เน้นการมีส่วนร่วม ขององค์กรภาครัฐและเอกชน เป็นการจัดการศึกษาที่เน้นด้านอาชีวศึกษามากขึ้น การมุ่งเน้นให้มีการจัดการ ศึกษาขั้นพื้นฐานและระดับปริญญาตรีเพื่อเน้นการมีงานทำ โดนอาศัยปัจจัยหลักในองค์กรหลัก จากภายนอก หลายปัจจัยเช่น ปัจจัยด้านเทคโนโลยีด้านเศรษฐกิจ ด้านระบบราชการด้านการเมืองการปกครอง ด้าน คุณธรรมจริยธรรมซึ่งส่งผลให้จัดระบบบริหารจัดการกระทรวงศึกษาธิการรูปแบบใหม่ทโดยบูรณาการ องค์กรหลักของกระทรวงทั้ง ๕ องค์กรหลัก โดยให้ปลัดกระทรวงศึกษาธิการเป็นผู้มีอำ นาจสูงสุด กระจาย อำ นานไปสู่ส่วนภูมิภาคไปยังศึกษาธิการภาค ๑-๑๘ โดยแต่ละภาคจะประกอบไปด้วยกลุ่มจังหวัด ในแต่ละ จังหวัดมีศึกษาธิการจังหวัดกำ กับดูแลหน่วยงานทางการศึกษาในจังหวัด เขตพื้นที่และสถานศึกษา ซึ่ง เป็นการกระจายอำ นาจโดยให้มีการกำ กับควบคุมดูแลกันอย่างเป็นระบบมากขึ้น หน้าที่หลักในการจัดการศึกษาของประเทศไทยของกระทรวงศึกษาธิการ รวมทั้งนโยบายด้านการศึกษา จากพรรคการเมืองในประเทศไทย ทำ ให้สรุปได้ว่า ภาพอนาคตการศึกษาไทยการศึกษาเป็นเครื่องมือในการ พัฒนาคุณภาพชีวิตของคนไทย เป็นการเพิ่มต้นทุนทางสังคมให้แก่ประเทศ การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ของสังคมในการจัดการศึกษา โดยเน้นให้เด็กเป็นคนดี คนเก่ง มีความสุข มีคุณธรรม อาศัยการสอนที่หลาก หลายให้เหมาะสมกับศักยภาพของผู้เรียนเกิดการบูรณาการวิชาต่าง ๆ เข้าด้วยกันเป็นสหวิทยาการเพื่อ ให้การศึกษาสอดคล้องกับวิถีชีวิต ความต้องการของผู้เรียนและชุมชนท้องถิ่นมากที่สุด และเพื่อความคล่อง ตัวในการบริหารจัดการ จึงต้องมีการกระจายอำ นาจการจัดการศึกษาไปยังท้องถิ่นอย่างเต็มรูปแบบใน อนาคต นอกจากนั้นในอนาคตจะมีการปรับเปลี่ยนวิธีการเรียนการสอนเพื่อให้สอดคล้องกับการดำ เนินชีวิต และเทคโนโลยีสารสนเทศจะมีบทบาทอย่างยิ่งในระบบการศึกษาในอนาคต ปรัชญาการศึกษาปฐมวัย การศึกษาปฐมวัยเป็นการพัฒนาเด็ ตั้งแต่แรกเกิดถึง ๖ ปีบริบูรณ์ อย่างเป็นองค์รวมบนพื้นฐาน การอบรมเลี้ยงดูและการส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ที่สนองต่อธรรมชาติและพัฒนาการตามวัยของเด็ก แต่ละคนให้เต็มตามศักยภาพ ภายใต้บริบทสังคมและวัฒนธรรมที่เด็กอาศัยอยู่ด้วยความรัก ความเอื้ออาทร และความเข้าใจของทุกคน เพื่อสร้างรากฐานคุณภาพชีวิตให้เด็กพัฒนา ไปสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ เกิด คุณค่า ต่อตนเอง ครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติ บทนำ หลักการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช ๒๕๖๐ ๑
วิสัยทัศน์ หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยมุ่งพัฒนาเด็กทุกคนให้ได้รับการพัฒนาด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญา อย่างมีคุณภาพและต่อเนื่องและได้รับการจัดประสบการณ์การเรียนรู้อย่างมีความสุข และเหมาะสมตามวัยมีทักษะชีวิตและปฏิบัติตนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เป็นคนดี มีวินัยและ สำ นึกความเป็นไทย โดยความร่วมมือระหว่างสถานศึกษา พ่อแม่ ครอบครัว ชุมชน และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง กับการพัฒนาเด็ก หลักการ เด็กทุกคนมีสิทธิ์ที่จะได้รับการอบรมเลี้ยงดูและส่งเสริมพัฒนาการตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ตลอดจนได้รับการจัดประสบการณ์การเรียนรู้อย่างเหมาะสม ด้วยปฏิสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเด็กกับพ่อแม่ เด็กกับผู้สอน เด็กกับผู้เลี้ยงดูหรือผู้ที่เกี่ยวข้องในการอบรมเลี้ยงดู การพัฒนา และให้การศึกษาแก่เด็ก ปฐมวัย เพื่อให้เด็กมีโอกาสพัฒนาตนเองตามลำ ดับขั้นของพัฒนาการทุกด้าน อย่างเป็นองค์รวม มีคุณภาพ และเต็มตามศักยภาพโดยมีหลักการดังนี้ ๑. ส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้และพัฒนาการที่ครอบคลุมเด็กปฐมวัยทุกคน ๒. ยึดหลักการอบรมเลี้ยงดูและให้การศึกษาที่เน้นเด็กเป็นสำ คัญ โดยคำ นึงถึงความแตกต่างระหว่าง บุคคลและวิถีชีวิตของเด็กตามบริบทของชุมชน สังคม และวัฒนธรรมไทย ๓. ยึดพัฒนาการและการพัฒนาเด็กโดยองค์รวมผ่านการเล่นอย่างมีความหมายและมีกิจกรรมที่ หลากหลาย ได้ลงมือกระทำ ในสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ เหมาะสมกับวัย และมีการพักผ่อนที่เพียง พอ ๔. จัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้เด็กมีทักษะชีวิต และสามารถปฏิบัติตนตามหลักปรัชญาของ เศรษฐกิจพอเพียง เป็นคนดี มีวินัย และมีความสุข ๕. สร้างความรู้ ความเข้าใจและประสานความร่วมมือในการพัฒนาเด็กระหว่างสถานศึกษากับพ่อ แม่ ครอบครัว ชุมชน และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเด็กปฐมวัย หลักสูตรปฐมวัย สำ หรับเด็กต่ำ กว่า ๓ ปี จุดหมาย หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยสำ หรับเด็กต่ำ กว่า ๓ ปี มุ่งส่งเสริมพัฒนาการด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคมและสติปัญญาที่เหมาะสมกับวัย ความสามารถ ความสนใจ และความแตกต่างระหว่างบุคคล ดังนี้ ๑. ร่างกายเจริญเติบโตตามวัย แข็งแรง และมีสุขภาพดี ๒. สุขภาพจิตดีและมีความสุข ๓. มีทักษะชีวิตและสร้างปฏิสัมพันธ์กับบุคคลรอบตัว และอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข ๔. มีทักษะการใช้ภาษาสื่อสาร และสนใจเรียนรู้สิ่งต่างๆ ๒
คุณลักษณะที่พึงประสงค์ หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย สำ หรับเด็กอายุต่ำ กว่า ๓ ปี กำ หนดคุณลักษณะที่พึ่งประสงค์ ดังนี้ ๑. พัฒนาการด้านร่างกาย ๑.ร่างกายเจริญเติบโตตามวัยและมีสุขภาพดี ๒. ใช้อวัยวะของร่างกายได้ประสานสัมพันธ์กัน ๒. พัฒนาการด้านอารมณ์ จิตใจ ๓. มีความสุขและแสดงออกทางอารมณ์ได้เหมาะสมกับวัย ๓. พัฒนาการด้านสังคม ๔. รับรู้และสร้างปฏิสัมพันธ์กับบุคคลและสิ่งแวดล้อมรอบตัว ๕. ช่วยเหลือตนเองได้เหมาะสมกับวัย ๔. พัฒนาการด้านสติปัญญา ๖. สื่อความหมายและใช้ภาษาได้เหมาะสมกับวัย หลักสูตรปฐมวัยสำ หรับเด็กอายุ ๓-๖ ปี หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย สำ หรับเด็กอายุ ๓ - ๖ ปี เป็นการจัดการศึกษาในลักษณะของการ อบรมเลี้ยงดูและให้การศึกษา เด็กจะได้รับการพัฒนาทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญา ตามวัยและความสามารถของแต่ละบุคคล จุดหมาย หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย สำ หรับเด็กอายุ ๓ - ๖ ปี มุ่งให้เด็กมีพัฒนาการตามวัยเต็มตาม ศักยภาพและมีความพร้อมในการเรียนรู้ต่อไป จึงกำ หนดจุดหมายเพื่อให้เกิดกับเด็กเมื่อจบการศึกษาระดับ ปฐมวัย ดังนี้ ๑. ร่างกายเจริญเติบโตตามวัย แข็งแรง และมีสุขนิสัยที่ดี ๒. สุขภาพจิตดี มีสุนทรียภาพ มีคุณธรรม จริยธรรม และจิตใจที่ดีงาม ๓. มีทักษะชีวิตและปฏิบัติตนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มีวินัย และอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ อย่างมีความสุข ๔. มีทักษะการคิด การใช้ภาษาสื่อสาร และการแสวงหาความรู้ได้เหมาะสมกับวัย มาตรฐานคุณลักษณะที่พึงประสงค์ หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย สำ หรับเด็กอายุ ๓ - ๖ ปี กำ หนดมาตรฐานคุณลักษณะที่พึงประสงค์ จำ นวน ๑๒ มาตรฐานประกอบด้วย ๑.พัฒนาการด้านร่างกาย ประกอบด้วย ๒ มาตรฐาน คือ มาตรฐานที่ ๑ ร่างกายเจริญเติบโตตามวัยและมีสุขนิสัยที่ดี มาตรฐานที่ ๒ กล้ามเนื้อใหญ่และกล้ามเนื้อเล็กแข็งแรงใช้ได้อย่างคล่องแคล่วและประสาน สัมพันธ์กัน ๓
๒. พัฒนาการด้านอารมณ์ จิตใจ ประกอบด้วย ๓ มาตรฐาน คือ มาตรฐานที่ ๓ มีสุขภาพจิตดีและมีความสุข มาตรฐานที่ ๔ ชื่นชมและแสดงออกทางศิลปะ ดนตรี และการเคลื่อนไหว มาตรฐานที่ ๕ มีคุณธรรม จริยธรรม และมีจิตใจที่ดีงาม ๓.พัฒนาการด้านสังคม ประกอบด้วย ๓ มาตรฐาน คือ มาตรฐานที่ ๖ มีทักษะชีวิตและปฏิบัติตนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มาตรฐานที่ ๗ รักธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม และความเป็นไทย มาตรฐานที่ ๘ อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุขและปฏิบัติตนเป็นสมาชิกที่ดีของสังคม ในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ๔.พัฒนาการด้านสติปัญญา ประกอบด้วย ๔ มาตรฐาน คือ มาตรฐานที่ ๙ ใช้ภาษาสื่อสารได้เหมาะสมกับวัย มาตรฐานที่ ๑๐ มีความสามารถในการคิดที่เป็นพื้นฐานในการเรียนรู้ มาตรฐานที่ ๑๑ มีจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ มาตรฐานที่ ๑๒ มีเจตคติที่ดีต่อการเรียนรู้และมีความสามารถในการแสวงหาความรู้ได้ เหมาะสมกับวัย ตัวบ่งชี้ ตัวบ่งชี้ เป็นเป้าหมายในการพัฒนาเด็กที่มีความสัมพันธ์สอดคล้องกับมาตรฐานคุณลักษณะที่พึง ประสงค์ สภาพที่พึงประสงค์ สภาพที่พึงประสงค์ เป็นพฤติกรรมหรือความสามารถตามวัยที่คาดหวังให้เด็กเกิดบนพื้นฐาน พัฒนาการตามวัยหรือความสามารถตามธรรมชาติในแต่ละระดับอายุเพื่อนำ ไปใช้ในการกำ หนดสาระการ เรียนรู้ในการจัดประสบการณ์และประเมินพัฒนาการเด็กโดยมีรายละเอียดของมาตรฐานคุณลักษณะที่พึง ประสงค์ ตัวบ่งชี้ และสภาพที่พึงประสงค์ ๔
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีพุทธศักราช ๒๕๕๑ (ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช ๒๕๖๐) จุดหมาย หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนดี มีปัญญา มีความสุข มี ศักยภาพในการศึกษาต่อ และประกอบอาชีพ จึงกำ หนดเป็นจุดหมาย เพื่อให้เกิดกับผู้เรียน เมื่อจบการ ศึกษาขั้นพื้นฐาน ดังนี้ ๑. มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พึงประสงค์ เห็นคุณค่าของตนเอง มีวินัย และปฏิบัติตนตาม หลักธรรมของพระพุทธศาสนา หรือศาสนาที่ตนนับถือ ยึดหลักปรัชญาของ เศรษฐกิจพอเพียง ๒. มีความรู้อันเป็นสากลและมีความสามารถในการสื่อสาร การคิด การแก้ปัญหา การใช้เทคโนโลยี และมีทักษะชีวิต ๓. มีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี มีสุขนิสัย และรักการออกกำ ลังกาย ๔. มีความรักชาติ มีจิตสำ นึกในความเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ยึดมั่นในวิถีชีวิต และการปกครอง ตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ๕. มีจิตสำ นึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย การอนุรักษ์และพัฒนา สิ่งแวดล้อม มีจิต สาธารณะที่มุ่งทำ ประโยชน์และสร้างสิ่งที่ดีงามในสังคม และอยู่ร่วมกันในสังคม อย่างมีความสุข หลักการ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีหลักการที่สำ คัญ ดังนี้ ๑. เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อความเป็นเอกภาพของชาติมีจุดหมายและมาตรฐานการเรียนรู้ เป็นเป้าหมายสำ หรับพัฒนาเด็กและเยาวชนให้มีความรู้ ทักษะ เจตคติ และคุณธรรม บนพื้นฐานของความ เป็นไทยควบคู่กับความเป็นสากล ๒. เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อปวงชนที่ประชาชนทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษาอย่างเสมอ ภาคและมีคุณภาพ ๓. เป็นหลักสูตรการศึกษาที่สนองการกระจายอำ นาจให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา ให้สอดคล้องกับสภาพและความต้องการของท้องถิ่น ๔.เป็นหลักสูตรการศึกษาที่มีโครงสร้างยืดหยุ่นทั้งด้านสาระการเรียนรู้เวลาและการจัดการ เรียนรู้ ๕.เป็นหลักสูตรการศึกษาที่เน้นผู้เรียนเป็นสำ คัญ ๖.เป็นหลักสูตรการศึกษาสำ หรับการศึกษาในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัยครอบคลุม ทุกกลุ่มเป้าหมายสามารถเทียบโอนผลการเรียนรู้และประสบการณ์ ๕
วิสัยทัศน์ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคน ซึ่งเป็นกำ ลังของชาติ ให้เป็นมนุษย์ ที่มีความสมดุลทั้งด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตสำ นึกในความเป็นพลเมืองไทย และเป็นพลโลก ยึดมั่น ในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีความรู้และทักษะพื้นฐาน รวมทั้งเจตคติที่จำ เป็นต่อการศึกษาต่อการประกอบอาชีพ และการศึกษาตลอดชีวิต โดยมุ่งเน้นผู้เรียนเป็น สำ คัญบนพื้นฐานความเชื่อว่าทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้เต็มตามศักยภาพ สมรรถนะสำ คัญของผู้เรียน หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียน ให้มีคุณภาพตามมาตรฐานการเรียนรู้ ซึ่ง การพัฒนาผู้เรียนให้บรรลุ มาตรฐานการเรียนรู้ที่กำ หนดนั้นจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะสำ คัญ ๕ ประการ ดังนี้ ๑. ความสามารถในการสื่อสาร เป็นความสามารถใน การรับและส่งสาร มีวัฒนธรรมใน การใช้ภาษาถ่ายทอดความคิด ความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเองเพื่อ แลกเปลี่ยนข้อมูล ข่าวสาร และประสบการณ์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและสังคม รวมทั้งการเจรจาต่อรองเพื่อ จัดและลดปัญหาความขัดแย้งต่างๆ การเลือกรับหรือไม่รับข้อมูลข่าวสารด้วยหลักเหตุผล และความถูกต้อง ตลอดจนการเลือกใช้วิธีการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ โดยคำ นึงถึงผลกระทบที่มีต่อตนเองและสังคม ๒. ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถใน การคิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ การ คิดอย่างสร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบ เพื่อนำ ไปสู่การสร้างองค์ความรู้หรือ สารสนเทศเพื่อการตัดสินใจเกี่ยวกับตนเอง และสังคมได้อย่างเหมาะสม ๓. ความสามารถในการแก้ปัญหา เป็นความสามารถในการแก้ปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ที่เผชิญได้อย่างถูกต้องเหมาะสมบนพื้นฐานของหลักเหตุผล คุณธรรมและข้อมูลสารสนเทศ เข้าใจความ สัมพันธ์และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในสังคม แสวงหาความรู้ ประยุกต์ความรู้มาใช้ในการ ป้องกันและแก้ไขปัญหา และมีการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพโดยคำ นึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นก่อตนเอง สังคม และสิ่งแวดล้อม ๔. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต เป็นความสามารถ ในการนำ กระบวนการต่าง ๆ ไป ใช้ในการดำ เนินชีวิตประจำ วัน การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง การทำ งาน และการอยู่ร่วม กันในสังคมด้วยการสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่าง บุคคล การจัดการปัญหาและความขัดแย้งต่างๆ อย่างเหมาะสม การปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและสภาพแวดล้อม และการรู้จักหลีกเลี่ยง พฤติกรรมไม่พึงประสงค์ที่ส่งผลกระทบต่อตนเองและผู้อื่น ๕. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เป็นความสามารถ ในการเลือกและใช้เทคโนโลยี ด้านต่างๆ และมีทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาตนเองและสังคมในด้านการเรียนรู้ การ สื่อสาร การทำ งาน การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ถูกต้องเหมาะสมและมีคุณธรรม ๖
คุณลักษณะอันพึงประสงค์ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ เพื่อให้ สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นใน สังคมได้อย่างมีความสุข ในฐานะเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ดังนี้ ๑. รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ๒. ซื่อสัตย์สุจริต ๓. มีวินัย ๔. ใฝ่เรียนรู้ ๕. อยู่อย่างพอเพียง ๖. มุ่งมั่นในการทำ งาน ๗. รักความเป็นไทย ๘. มีจิตสาธารณะ มาตรฐานการเรียนรู้ การพัฒนาผู้เรียนให้เกิดความสมดุล ต้องคำ นึงถึงหลักพัฒนาการทางสมอง และพหุปัญญา หลักสูตร แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน จึงกำ หนดให้ผู้เรียนเรียนรู้ ๘ กลุ่มสาระการเรียนรู้ ดังนี้ ๑. ภาษาไทย ๒. คณิตศาสตร์ ๓. วิทยาศาสตร์ ๔. สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ๕. สุขศึกษาและพลศึกษา ๖. ศิลปะ ๗. การงานอาชีพและเทคโนโลยี ๘. ภาษาต่างประเทศ ในแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ได้กำ หนดมาตรฐานการเรียนรู้ เป็นเป้าหมายสำ คัญ ของการพัฒนา คุณภาพผู้เรียน มาตรฐานการเรียนรู้ ระบุสิ่งที่ผู้เรียนพึงรู้และปฏิบัติได้ มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่ พึงประสงค์ ที่ต้องการให้เกิดแก่ผู้เรียนเมื่อจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน นอกจากนั้น มาตรฐานการเรียนรู้ ยัง เป็นกลไกสำ คัญ ในการขับเคลื่อนพัฒนาการศึกษาทั้งระบบ เพราะมาตรฐาน การเรียนรู้จะสะท้อนให้ทราบ ว่า ต้องการอะไร ต้องสอนอะไร จะสอนอย่างไร และประเมินอย่างไร รวมทั้งเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบ เพื่อการประกันคุณภาพการศึกษา โดยใช้ระบบการประเมินคุณภาพภายใน และการประเมินคุณภาพ ภายนอก ซึ่งรวมถึงการทดสอบระดับเขตพื้นที่การศึกษา และการทดสอบระดับชาติ ระบบการตรวจสอบ เพื่อประกันคุณภาพดังกล่าวเป็นสิ่งสำ คัญ ที่ช่วยสะท้อนภาพการจัดการศึกษา ว่าสามารถพัฒนาผู้เรียนให้มี คุณภาพตามที่มาตรฐาน การเรียนรู้กำ หนดเพียงใด ตัวชี้วัด ตัวชี้วัด ระบุสิ่งที่ผู้เรียนฟังรู้และเอาใจได้ รวมทั้งคุณลักษณะของผู้เรียนในแต่ละระดับชั้น ซึ่งสะท้อน ถึงมาตรฐานการเรียนรู้ มีความเฉพาะเจาะจงและมีความเป็นรูปธรรม นำ ไปใช้ในการกำ หนดเนื้อหา จัดทำ หน่วยการเรียนรู้ จัดการเรียนการสอน และเป็นเกณฑ์ สำ คัญสำ หรับการวัดประเมินผลเพื่อตรวจสอบ คุณภาพผู้เรียน ๑. ตัวชี้วัดชั้นปี เป็นเป้าหมายในการพัฒนาผู้เรียนแต่ละชั้นปีในระดับการศึกษาภาคบังคับ (ประถมศึกษาปีที่ ๑ - มัธยมศึกษาปีที่ ๓) ๒. ตัวชี้วัดช่วงชั้น เป็นเป้าหมายในการพัฒนาผู้เรียนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (มัธยมศึกษาปีที่ ๔ - ๖) ๗
โครงสร้างเวลาเรียน ๑. ระดับประถมศึกษา (ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ - ๖) ให้จัดเวลาเรียนเป็นรายปี โดยมีเวลาเรียนวันละไม่เกิน ๕ ชั่วโมงสามารถปรับเวลาเรียนพื้นฐานของ แต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ได้ ตามความเหมาะสม ทั้งนี้ต้องมีเวลาเรียนรวมตามที่กำ หนดไว้ในโครงสร้าง เวลาเรียนพื้นฐาน และผู้เรียนต้องมีคุณภาพตามมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดที่กำ หนด ๒.ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ - ๓) ให้จัดเวลาเรียนเป็นรายภาค มีเวลาเรียนวันละไม่เกิน ๕ ชั่วโมง คิดน้ำ หนักของรายวิชาที่เรียนเป็น หน่วยกิต ใช้เกณฑ์ ๔๐ ชั่วโมงต่อภาคเรียน ๓. ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ - ๖) ให้จัดเวลาเรียนเป็นรายภาค มีเวลาเรียนวันละไม่น้อยกว่า ๕ ชั่วโมง คิดน้ำ หนัก ของรายวิชาที่เรียน เป็นหน่วยกิต ใช้เกณฑ์ ๔๐ ชั่วโมงต่อภาคเรียน และต้องจัดโครงสร้างเวลาเรียนพื้นฐานให้เป็นไปตามที่ กำ หนดและ สอดคล้องกับเกณฑ์การจบหลักสูตร สำ หรับเวลาเรียนเพิ่มเติม ทั้งในระดับประถมศึกษาและ มัธยมศึกษา ให้จัดเป็น รายวิชาเพิ่มเติม หรือกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน โดยพิจารณาให้สอดคล้องกับความ พร้อม จุดเน้น ของสถานศึกษาและเกณฑ์การจบหลักสูตรเฉพาะระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ - 3 สถาน ศึกษา อาจจัดให้เป็นเวลาสำ หรับสาระการเรียนรู้พื้นฐานในกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยและกลุ่มสาระ การเรียนรู้คณิตศาสตร์ กิจกรรมพัฒนาผู้เรียนที่กำ หนดไว้ในชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ ถึงมัธยมศึกษาปีที่ ปีละ ๑๒๐ ชั่วโมง และชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ - ๖ จำ นวน ๓๖๐ ชั่วโมง นั้นเป็นเวลาสำ หรับปฏิบัติกิจกรรม แนะแนว กิจกรรมนักเรียน และกิจกรรมเพื่อสังคมและสาธารณประโยชน์ ในส่วนกิจกรรมเพื่อสังคมและ สาธารณประโยชน์ ให้สถานศึกษาจัดสรรเวลาให้ผู้เรียนได้ปฏิบัติกิจกรรม การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนต้องอยู่บนหลักการพื้นฐานสองประการ คือ การ ประเมินเพื่อพัฒนาผู้เรียนและเพื่อตัดสินผลการเรียน ในการพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ ของผู้เรียนให้ประสบ ผลสำ เร็จนั้น ผู้เรียนจะต้องได้รับการพัฒนาและประเมินตามตัวชี้วัดเพื่อให้ บรรลุตามมาตรฐานการเรียนรู้ สะท้อนสมรรถนะสำ คัญ และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียน ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักในการวัดและ ประเมินผลการเรียนรู้ในทุกระดับไม่ว่าจะเป็นระดับชั้นเรียน ระดับสถานศึกษาระดับเขตพื้นที่การศึกษา และระดับชาติ การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ เป็นกระบวนการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน โดยใช้ผลการ ประเมินเป็นข้อมูลและสารสนเทศที่แสดง พัฒนาการ ความก้าวหน้า และความสำ เร็จทางการเรียนของผู้ เรียน ตลอดจนข้อมูลที่เป็น ประโยชน์ต่อการส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการพัฒนาและเรียนรู้อย่างเต็มตาม ศักยภาพ การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ แบ่งออกเป็น ๔ ระดับ ได้แก่ ระดับชั้นเรียน ระดับสถานศึกษา ระดับเขตพื้นที่การศึกษาและระดับชาติ มีรายละเอียด ดังนี้ ๘
๑. การประเมินระดับชั้นเรียน เป็นการวัดและประเมินผลที่อยู่ในกระบวนการจัดการเรียนรู้ ผู้สอน ดำ เนินการ เป็นปกติและสม่ำ เสมอในการจัดการเรียนการสอน ใช้เทคนิคการประเมินอย่างหลากหลาย เช่น การซักถาม การสังเกต การตรวจการบ้าน การประเมินโครงงาน การประเมินชิ้นงาน/ภาระงาน แฟ้มสะสม งาน การใช้แบบทดสอบ ฯลฯ โดยผู้สอนเป็นผู้ประเมินเองหรือเปิดโอกาสให้ผู้เรียน ประเมินตนเอง เพื่อน ประเมินเพื่อน ผู้ปกครองร่วมประเมิน การประเมินระดับชั้นเรียนเป็นการตรวจสอบว่า ผู้เรียนมีพัฒนาการ ความก้าวหน้า ในการเรียนรู้ อันเป็นผลมาจากการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนหรือไม่ และมากน้อยเพียง ใด มีสิ่งที่จะต้องได้รับการพัฒนาปรับปรุงและส่งเสริมในด้านใด นอกจากนี้ยังเป็นข้อมูลให้ผู้สอนใช้ ปรับปรุง การเรียนการสอนของตนด้วย ทั้งนี้โดยสอดคล้องกับมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด ๒. การประเมินระดับสถานศึกษา เป็นการตรวจสอบผลการเรียนของผู้เรียนเป็นรายปี รายภาค ผล การประเมิน การอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน คุณลักษณะอันพึงประสงค์ และกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน และ เป็นการประเมินเกี่ยวกับการจัดการศึกษาของสถานศึกษา ว่าส่งผลต่อการเรียนรู้ของผู้เรียน ตามเป้าหมาย หรือไม่ ผู้เรียนมีสิ่งที่ต้องการพัฒนาในด้านใด รวมทั้งสามารถนำ ผลการเรียน ของผู้เรียนในสถานศึกษา เปรียบเทียบกับเกณฑ์ระดับชาติ และระดับเขตพื้นที่การศึกษา ผลการประเมินระดับสถานศึกษาจะเป็น ข้อมูลและสารสนเทศ เพื่อการปรับปรุงนโยบาย หลักสูตร โครงการ หรือวิธีการจัดการเรียนการสอน ตลอด จนเพื่อการจัดทำ แผนพัฒนาคุณภาพ ๓. การประเมินระดับเขตพื้นที่การศึกษา เป็นการประเมินคุณภาพผู้เรียนในระดับเขตพื้นที่การ ศึกษาตามมาตรฐาน การเรียนรู้ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อใช้เป็นปันมูลพื้นฐานในการ พัฒนาคุณภาพการศึกษาของเขตพื้นที่การศึกษาตามภาระความรับผิดชอบสามารถดำ เนินการ โดยประเมิน คุณภาพผู้เรียนด้วยวิธีการและเครื่องมือที่เป็นมาตรฐานที่จัดทำ และดำ เนินการ โดยเขตพื้นที่การศึกษาหรือ ด้วยความร่วมมือกับหน่วยงานต้นสังกัดและหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ยังได้จากการตรวจสอบ ทบทวนข้อมูลจากการประเมินระดับสถานศึกษาในเขตพื้นที่การศึกษา ๔ การประเมินระดับชาติ เป็นการประเมินคุณภาพผู้เรียนในระดับชาติ มาตรฐานการเรียนรู้ตาม หลักสูตร แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน สถานศึกษาต้องจัดให้ผู้เรียนทุกคนที่เรียนในชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ เข้ารับการประเมิน ผลจากการประเมินใช้เป็นข้อมูลในการเทียบเคียงคุณภาพการ ศึกษาในระดับต่างๆ เพื่อนำ ไปใช้ในการวางแผนยกระดับคุณภาพการจัดการศึกษา ตลอดจนเป็นข้อมูล สนับสนุนการตัดสินใจในระดับนโยบายของประเทศ ๙
หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) พุทธศักราช ๒๕๖๒ หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ พุทธศักราช ๒๕๖๒ เป็นหลักสูตรหลังมัธยมศึกษาตอนต้นหรือ เทียบเท่าที่พัฒนาขึ้นเพื่อใช้ในการจัดการศึกษาด้านวิชาชีพระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพและเพื่อยกระดับ การศึกษาวิชาชีพของบุคคลให้สูงขึ้นสอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นไปตามกรอบ คุณวุฒิแห่งชาติ มาตรฐานการศึกษาของชาติ และกรอบคุณวุฒิอาชีวศึกษาแห่งชาติ ตลอดจนยึดโยงกับ มาตรฐานอาชีพ โดยเน้นการเรียนรู้สู่การปฏิบัติเพื่อพัฒนาสมรรถนะกําลังคนระดับฝีมือ รวมทั้งคุณธรรม จริยธรรม จรรยาบรรณวิชาชีพ และกิจนิสัยที่เหมาะสมในการทำ งาน ให้สอดคล้องกับความต้องการกําลัง คนของตลาดแรงงาน ชุมชน สังคม และสามารถประกอบอาชีพอิสระได้โดยเปิดโอกาสให้ผู้เรียนเลือกระบบ และวิธีการเรียนได้อย่างเหมาะสมตามศักยภาพ ตามความสนใจและโอกาสของตน ส่งเสริมให้มีการประสาน ความร่วมมือเพื่อจัดการศึกษาและพัฒนาหลักสูตรร่วมกันระหว่างสถาบันสถานศึกษา หน่วยงาน สถาน ประกอบการและองค์กรต่าง ๆ ทั้งในระดับชุมชน ระดับท้องถิ่นและระดับชาติ หลักการของหลักสูตร ๑. เป็นหลักสูตรระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพหลังมัธยมศึกษาตอนต้นหรือเทียบเท่าด้านวิชาชีพที่ สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แผนการศึกษาแห่งชาติ เป็นไปตามกรอบคุณวุฒิแห่ง รามาตรฐานการศึกษาของชาติ และกรอบคุณวุฒิอาชีวศึกษาแห่งชาติ เพื่อผลิตและพัฒนากำ ลังคนระดับ ฝีมือให้ มีสมรรถนะ มีคุณธรรม จริยธรรมและจรรยาบรรณวิชาชีพ สามารถประกอบอาชีพได้ตรงตามความ ต้องการของสถานประกอบการและการประกอบอาชีพอิสระ ๒. เป็นหลักสูตรที่เปิดโอกาสให้เลือกเรียนได้อย่างกว้างขวาง เน้นสมรรถนะเฉพาะด้านด้วยการ ปฏิบัติจริง สามารถเลือกวิธีการเรียนตามศักยภาพและโอกาสของผู้เรียน เปิดโอกาสให้ผู้เรียนสามารถเทียบ โอนผล การเรียน สะสมผลการเรียน เทียบโอนความรู้และประสบการณ์จากแหล่งวิทยาการ สถานประกอบ การ และสถานประกอบอาชีพอิสระ ๓. เป็นหลักสูตร สนับสนุนการประสานความร่วมมือในการจัดการศึกษาร่วมกันระหว่างหน่วยงาน และองค์กรที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐและเอกชน ๔. เป็นหลักสูตรที่เปิดโอกาสให้สถานศึกษา สถานประกอบการ ชุมชนและท้องถิ่น มีส่วนร่วมในการ พัฒนา หลักสตร ใหตรงตามความตองการ โดยยึดโยงกบมาตรฐานอาชีพและสอดคลองกบสภาพ ยุทธศาสตร์ของภูมิภาค เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ๑๐
จุดหมายของหลักสูตร ๑. เพื่อให้มีความรู้ ทักษะ และประสบการณ์ในงานอาชีพสอดคล้องกับมาตรฐานวิชาชีพ สามารถนำ ไป ประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติงานอาชีพได้อย่างมีประสิทธิภาพ เลือกวิถีการดำ รงชีวิต และการประกอบอาชีพ ได้อย่างเหมาะสมกับตน สร้างสรรค์ความเจริญต่อชุมชน ท้องถิ่นและประเทศชาติ ๒. เพื่อให้เป็นผู้มีปัญญา มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ใฝ่เรียนรู้ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตและการ ประกอบ อาชีพ มีทักษะการสื่อสารและเทคโนโลยีสารสนเทศ ทักษะการเรียนรู้ตลอดชีวิต ทักษะการคิด วิเคราะห์และการแก้ปัญหาทักษะด้านสุขภาวะและความปลอดภัย ตลอดจนทักษะการจัดการ สามารถสร้าง อาชีพและพัฒนาอาชีพให้ก้าวหน้าอยู่เสมอ ๓. เพื่อให้มีเจตคติที่ดีต่ออาชีพ มีความมั่นใจและภาคภูมิใจในวิชาชีพที่เรียน รักงาน รักหน่วยงาน สามารถ ทำ งานเป็นหมู่คณะได้ดี โดยมีความเคารพในสิทธิและหน้าที่ของตนเองและผู้อื่น ๔. เพื่อให้เป็นผู้มีพฤติกรรมทางสังคมที่ดีงาม ทั้งในการทำ งาน การอยู่ร่วมกัน การต่อต้านความ รุนแรงและ สารเสพติด มีความรับผิดชอบต่อครอบครัว หน่วยงาน ท้องถิ่นและประเทศชาติ ดำ รงตนตาม หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเข้าใจและเห็นคุณค่าของการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น มีจิต สาธารณะและจิตสำ นึกในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดี ๕. เพื่อให้มีบุคลิกภาพที่ดี มีมนุษย์สัมพันธ์ มีคุณธรรม จริยธรรม และวินัยในตนเอง มีสุขภาพอนามัย ที่สมบูรณ์ทั้งร่างกายและจิตใจ เหมาะสมกับงานอาชีพ ๖. เพื่อให้ตระหนักและมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ สังคม การเมืองของประเทศและโลก มีความรักชาติ สำ นึกในความเป็นไทย เสียสละเพื่อส่วนรวม ดำ รงรักษาไว้ซึ่งความมั่นคงของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หลักเกณฑ์การใช้หลักสูตร การเรียนการสอนตามหลักสูตรนี้ ผู้เรียนสามารถลงทะเบียนเรียนได้ทุกวิธีเรียนที่กำ หนด และนำ ผล การเรียนแต่ละวิธีมาประเมินผลร่วมกันได้ สามารถขอเทียบโอนผลการเรียน และขอเทียบโอนความรู้ และ ประสบการณ์ได้ การจัดการเรียนการสอนเน้นการปฏิบัติจริง สามารถจัดการเรียนการสอนได้หลากหลายรูป แบบ เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ ความเข้าใจในหลักการ วิธีการและการดำ เนินงาน มีทักษะการปฏิบัติงานตาม แบบแผนในขอบเขตสำ คัญและบริบทต่าง ๆ ที่สัมพันธ์กันซึ่งส่วนใหญ่เป็นงานประจำ ให้คำ แนะนำ พื้นฐาน ที่ต้องใช้ในการตัดสินใจ วางแผนและแก้ไขปัญหาโดยไม่อยู่ภายใต้การควบคุมในบางเรื่องสามารถประยุกต์ ใช้ความรู้ ทักษะทางวิชาชีพ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการแก้ปัญหาและการ ปฏิบัติงานใน บริบทใหม่ รวมทั้งรับผิดชอบต่อตนเองและผู้อื่น ตลอดจนมีคุณธรรม จริยธรรม จรรยาบรรณ วิชาชีพ เจตคติและกิจนิสัยที่เหมาะสมในการทำ งาน ๑๑
การประเมินผลการเรียน เน้นการประเมินสภาพจริงทั้งนี้ให้เป็นไปตามระเบียบสำ นักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาว่าด้วย การจัดการศึกษาและการประเมินผลการเรียนตามหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพการสำ เร็จการศึกษาตาม หลักสูตร ๑. ประเมินผ่านรายวิชาในหมวดวิชาสมรรถนะแกนกลางหมวดวิชาสมรรถนะวิชาชีพและหมวดวิชา เลือกเสรี ตามที่กำ หนดไว้ในหลักสูตร ๒. ได้จำ นวนหน่วยกิตสะสมครบตามโครงสร้างของหลักสูตร ๓. ได้ค่าระดับคะแนนเฉลี่ยสะสมไม่ต่ำ กว่า ๒.๐๐ และผ่านเกณฑ์การประเมินมาตรฐานวิชาชีพ ๔. เข้าร่วมกิจกรรมและประเมินผ่านทุกภาคเรียน หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) พุทธศักราช ๒๕๖๓ หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง พุทธศักราช ๒๕๖๓ เป็นหลักสูตรที่พัฒนาขึ้น เพื่อใช้ในการ จัดการศึกษาด้านวิชาชีพระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูงและเพื่อยกระดับการศึกษาวิชาชีพของบุคคลให้ สูงขึ้นสอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติแผนการศึกษาแห่งชาติเป็นไปตามกรอบคุณวุฒิ แห่งชาติมาตรฐานการศึกษาของชาติและกรอบคุณวุฒิอาชีวศึกษาแห่งชาติตลอดจนยึดโยงกับมาตรฐาน อาชีพโดยเน้นการเรียนรู้สู่การปฏิบัติเพื่อพัฒนาสมรรถนะกำ ลังคนระดับเทศนิครวมทั้งคุณธรรม จริยธรรม จรรยาบรรณวิชาชีพและกิจนิสัยที่เหมาะสมในการทำ งานให้สอดคล้องกับความต้องการกำ ลังคนของตลาด แรงงาน ชุมชน สังคม และสามารถประกอบอาชีพอิสระได้ โดยเปิดโอกาสให้ผู้เรียนเลือกระบบและวิธีการ เรียนได้อย่างเหมาะสมตามศักยภาพ ตามความสนใจและโอกาสของตน ส่งเสริมให้มีการประสานความร่วม มือเพื่อจัดการศึกษาและพัฒนาหลักสูตรร่วมกันระหว่างสถาบัน สถานศึกษา หน่วยงาน สถานประกอบการ และองค์กรต่าง ๆ ทั้งในระดับชุมชน ระดับท้องถิ่นและระดับชาติ หลักการของหลักสูตร ๑. เป็นหลักสูตรระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูงเพื่อพัฒนากำ ลังคนระดับเทคนิคให้มีสมรรถนะมี คุณธรรมจริยธรรมและจรรยาบรรณวิชาชีพ สามารถประกอบอาชีพได้ตรงตามความต้องการของ ตลาด แรงงานและการประกอบอาชีพอิสระ สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและ แผนการ ศึกษาแห่งชาติเป็นไปตามกรอบคุณวุฒิแห่งชาติมาตรฐานการศึกษาของชาติและกรอบคุณวุฒิ อาชีวศึกษา แห่งชาติ ๒. เป็นหลักสูตรที่เปิดโอกาสให้เสียเรียนได้อย่างกว้างขวางเน้นสมรรถนะเฉพาะด้านด้วยการปฏิบัติจริง สามารถเลือกวิธีการเรียนตามศักยภาพและโอกาสของผู้เรียนเปิดโอกาสให้ผู้เรียนสามารถเทียบโอนผลการ เรียนสะสมผลการเรียนเทียบโอนความรู้และประสบการณ์จากแหล่งวิทยาการ สถานประกอบการและสถาน ประกอบอาชีพอิสระ ๑๒
๓. เป็นหลักสูตรที่มุ่งเน้นให้ผู้สำ เร็จการศึกษามีสมรรถนะในการประกอบอาชีพมีความรู้เต็ม ปฏิบัติได้ จริง มีความเป็นผู้นำ และสามารถทำ งานเป็นหมู่คณะได้ดี ๔. เป็นหลักสูตรที่สนับสนุนการประสานความร่วมมือในการจัดการศึกษาร่วมกันระหว่างหน่วยงาน และองค์กรที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน สถานศึกษา สถานประกอบการ ชุมชนและท้องถิ่นมีส่วนร่วมใน การพัฒนาหลักสูตร ๕. เป็นหลักสูตรที่เปิดโอกาสให้ให้ตรงตามความต้องการและสอดคล้องกับสภาพยุทธศาสตร์ของ ภูมิภาค เพื่อเพิ่มขีดความสามารถ ในการแข่งขันของประเทศ จุดหมายของหลักสูตร ๑. เพื่อให้มีความรู้ทางทฤษฎีและเทคนิคเชิงลึกภายใต้ขอบเขตของงานกาชีพมีทักษะด้านเทคโนโลยี สารสนเทศและการสื่อสารเพื่อใช้ในการดำ รงชีวิตและงานอาชีพสามารถศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมหรือ ศึกษาต่อ ในระดับที่สูงขึ้น ๒. เพื่อให้มีทักษะและสมรรถนะในงานอาชีพตามมาตรฐานวิชาชีพสามารถบูรณาการความรู้ทักษะจาก ศาสตร์ต่างๆประยุกต์ใช้ในงานอาชีพ สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ๓. เพื่อให้มีปัญญามีความคิดสร้างสรรค์มีความสามารถในการคิด วิเคราะห์ วางแผน บริหารจัดการ ตัดสินใจ แก้ปัญหา ประสานงานและประเมินผลการปฏิบัติงานอาชีพมีทักษะการเรียนรู้แสวงหาความรู้และ แนวทางใหม่ๆมาพัฒนาตนเองและประยุกต์ใช้ในการสร้างงานให้สอดคล้องกับวิชาชีพและ การพัฒนางาน อาชีพอย่างต่อเนื่อง ๔. เพื่อให้มีเจตคติที่ดีต่ออาชีพ มีความมั่นใจและภาคภูมิใจในงานอาชีพ รักงาน รักหน่วยงาน สามารถ ทำ งานเป็นหมู่คณะได้ดี มีความภาคภูมิใจในตนเองต่อการเรียนวิชาชีพ ๕. เพื่อให้มีบุคลิกภาพที่ดี มีคุณธรรม จริยธรรม ซื่อสัตย์ มีวินัย มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงทั้งร่างกาย และจิตใจ เหมาะสมกับการปฏิบัติงานในอาชีพนั้น ๆ ๖. เพื่อให้เป็นผู้มีพฤติกรรมทางสังคมที่ดีงาม ต่อต้านความรุนแรงและสารเสพติด ทั้งในการทำ งานการ อยู่ร่วมกัน มีความรับผิดชอบต่อครอบครัว องค์การ ท้องถิ่นและประเทศชาติ อุทิศตนเพื่อสังคมเข้าใจและ เห็นคุณค่าของศิลปวัฒนธรรมไทยภูมิปัญญาท้องถิ่นตระหนักในปัญหาและความสำ คัญของสิ่งแวดล้อม ๗. เพื่อให้ตระหนักและมีส่วนร่วมในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศโดยเป็นกำ ลัง สำ คัญในด้านการผลิตและให้บริการ ๘. เพื่อให้เห็นคุณค่าและดำ รงไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ปฏิบัติตนในฐานะพลเมือง ดีตามระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ๑๓
หลักเกณฑ์การใช้หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง พุทธศักราช ๒๕๖๓ การเรียนการสอน ๑. การเรียนการสอนตามหลักสูตรนี้ผู้เรียนสามารถลงทะเบียนเรียนได้ทุกวิธีเรียนที่กำ หนดและนำ ผล การเรียนแต่ละวิธีมาประเมินผลร่วมกันได้ สามารถขอเทียบโอนผลการเรียนและขอเทียบโอนความรู้ และ ประสบการณ์ได้ ๒. การจัดการเรียนการสอนเน้นการปฏิบัติจริงสามารถจัดการเรียนการสอนได้หลากหลายรูปแบบเพื่อ ให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจใน หลักการวิธีการและการดำ เนินงานมีทักษะการปฏิบัติงานตามแบบแผน และปรับตัวได้ภายใต้ความเปลี่ยนแปลง สามารถบูรณาการและประยุกต์ใช้ความรู้และทักษะทางวิชาการที่ สัมพันธ์กับวิชาชีพเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการตัดสินใจวางแผน แก้ปัญหาบริหาร จัดการ ประสานงานและประเมินผลการดำ เนินงานได้อย่างเหมาะสม มีส่วนร่วมในการวางแผนและพัฒนาริเริ่มสิ่ง ใหม่มีความรับผิดชอบต่อตนเองผู้อื่นและหมู่คณะรวมทั้งมีคุณธรรม จริยธรรม จรรยาบรรณวิชาชีพ เจตคติ และกิจนิสัยที่เหมาะสมในการทำ งาน การจัดการศึกษาและเวลาเรียน ๑. การจัดการศึกษาในระบบปกติสำ หรับผู้เข้าเรียนที่สำ เร็จการศึกษาระดับประกาศนียบัตร วิชาชีพ(ปวช.)หรือเทียบเท่าในประเภทวิชาและสาขาวิชาตามที่หลักสูตรกำ หนด ใช้ระยะเวลา 2 ปีการ ศึกษา ส่วนผู้เข้าเรียนที่สำ เร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายหรือเทียบเท่าและผู้เข้าเรียนที่สำ เร็จ การศึกษา ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) หรือเทียบเท่าต่างประเภทวิชาและสาขาวิชาที่กำ หนด ใช้ ระยะเวลาไม่น้อยกว่า 2 ปีการศึกษา และเป็นไปตามเงื่อนไขที่หลักสูตรกำ หนด ๒. การจัดเวลาเรียนให้ดำ เนินการ ดังนี้ ๒.๑ ในปีการศึกษาหนึ่ง ๆ ให้แบ่งภาคเรียนออกเป็น ๒ ภาคเรียนปกติหรือระบบทวิภาค ภาคเรียนละ ๑๘ สัปดาห์ รวมเวลาการวัดผล โดยมีเวลาเรียนและจำ นวนหน่วยกิจตามที่กำ หนด และสถานศึกษา อาชีวศึกษาหรือสถาบันอาจเปิดสอนภาคเรียนฤดูร้อนได้อีกตามที่เห็นสมควร ๒.๒ การเรียนในระบบชั้นเรียนให้สถานศึกษาอาชีวศึกษาหรือสถาบันเปิดทำ การสอนไม่น้อยกว่า สัปดาห์ละ ๕ วัน ๆ ละ ไม่เกิน ๗ ชั่วโมง โดยกำ หนดให้จัดการเรียนการสอนคาบละ ๖๐ นาที ๑๔
โครงสร้างหลักสูตร โครงสร้างของหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง พุทธศักราช 2563 แบ่งเป็น3หมวดวิชา และ กิจกรรมเสริมหลักสูตร ดังนี้ หมวดวิชาสมรรถนะแกนกลาง ( ไม่น้อยกว่า 21 หน่วยกิต ) 1.กลุ่มวิชาภาษาไทย 2.กลุ่มวิชาภาษาต่างประเทศ 3.กลุ่มวิชาวิทยาศาสตร์ 4.กลุ่มวิชาคณิตศาสตร์ 5.กลุ่มวิชาสังคมศาสตร์ 6.กลุ่มวิชามนุษยศาสตร์ หมวดวิชาสมรรถนะวิชาชีพ ( ไม่น้อยกว่า 56 หน่วยกิต ) 1.กลุ่มสมรรถนะวิชาชีพพื้นฐาน 2.กลุ่มสมรรถนะวิชาชีพเฉพาะ 3.กลุ่มสมรรถนะวิชาชีพเลือก 4.ฝึกประสบการณ์สมรรถนะวิชาชีพ 5.โครงงานพัฒนาสมรรถนะวิชาชี หมวดวิชาเลือกเสรี ( ไม่น้อยกว่า 6 หน่วยกิต ) กิจกรรมเสริมหลักสูตร ( 2 ชั่วโมง/สัปดาห์) - หน่วยกิต หลักสูตรปริญญาตรีสายเทคโนโลยีหรือสายปฏิบัติการ การจัดการอาชีวศึกษา ความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยเฉพาะข้อมูลข่าวสารเป็นไปอย่างรวดเร็ว ส่ง ผลต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพสังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมของประเทศ การพัฒนาประเทศให้ มีเจริญก้าวหน้า พร้อมที่จะแข่งขันกับนานาประเทศได้ การศึกษาเป็นเครื่องมือในการพัฒนาคนให้มีคุณภาพ เน้นกระบวนการมีส่วนร่วมของทุกภาคีการพัฒนาให้ความสำ คัญกับการพัฒนาคุณภาพคนและสังคมไทยสู่ สังคมแห่งภูมิปัญญาและการเรียนรู้ เพื่อสร้างความเข้มแข็งแก่ชุมชนและสังคมให้เป็นรากฐานที่มั่นคงของ ประเทศ พัฒนาคนให้มีคุณธรรมนำ ความรู้ เกิดภูมิคุ้มกันต่อตนเองและสังคม รวมทั้งการพัฒนาสมรรถนะ และทักษะแรงงานเพื่อรองรับการแข่งขันของประเทศ ๑๕
ในการดำ เนินการดังกล่าว กระทรวงศึกษาธิการได้กำ หนดแนวนโยบายในการจัดการศึกษาเพื่อให้ สอดคล้องกับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติมซึ่งเน้นการปฏิรูปการ ศึกษาทั้งด้านการบริหารและการจัดการเรียนการสอน เพื่อให้ผู้เรียนมีโอกาสเรียนรู้ตลอดชีวิตตามความถนัด ตามความสนใจ และได้รับการบริการด้านการศึกษาจากรัฐอย่างมีคุณภาพ โดยคำ นึงถึงความแตกต่าง ระหว่างบุคคล เน้นการฝึกทักษะกระบวนการคิด การจัดการการเผชิญสถานการณ์ และการประยุกต์ความรู้ มาใช้เพื่อป้องกันและแก้ปัญหา จัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ฝึกการปฏิบัติให้ทำ ได้ คิดเป็น ทำ เป็น รักการอ่านและเกิดการใฝ่รู้อย่างต่อเนื่อง ให้มีการจัดการเรียนการสอนโดยผสมผสานสาระ ความรู้ด้านต่าง ๆ อย่างได้สัดส่วนสมดุลกัน รวมทั้งให้มีการปลูกฝังคุณธรรม ค่านิยมที่ดีงามและคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ไว้ในทุกวิชา พระราชบัญญัติการอาชีวศึกษา พ.ศ. ๒๕๕๑ เน้นความสำ คัญของการจัดการอาชีวศึกษาและการฝึก อบรมวิชาชีพให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและแผนการศึกษาแห่งชาติ เพื่อ พัฒนากำ ลังคนด้านวิชชีพระดับฝีมือ ระดับเทคนิคและระดับเทคโนโลยี รวมทั้งเพื่อยกระดับการศึกษา วิชาชีพให้สูงขึ้นและสอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน รวมไปถึงการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ ประชาคมอาเซียนน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาศักยภาพในการแข่งขัน และสามารถเข้าสู่การเปิดเสรีทั้ง ทางด้านเศรษฐกิจและสังคมในอนาคต จึงได้กำ หนดนโยบายในการยกระดับทักษะฝีมือและเตรียมความ พร้อมแก่กลุ่มเป้าหมายให้มีสมรรถนะที่ได้มาตรฐานสากล สอดคล้องกับการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ อุตสาหกรรมและการผลิตสินค้าและบริการที่มีการแข่งขันทั้งด้านคุณภาพ ปริมาณและระยะเวลาในการ ผลิต โดยพัฒนาระบบการจัดการอาชีวศึกษาตามแรงขับจากผู้ใช้ "Demand Driven"ภายใต้ความร่วมมือ กันระหว่างสถานศึกษาอาชีวศึกษาหรือสถาบันกับสถานประกอบการซึ่งเป็นหน่วยที่ใช้ผลผลิตของ อาชีวศึกษา เพื่อผลิตกำ ลังคนตามความต้องการของตลาดแรงงาน นำ ความรู้ในทางทฤษฎีอันเป็นสากลและ ภูมิปัญญาไทยมาพัฒนาผู้รับการศึกษาและฝึกอบรมวิชาชีพให้มีความรู้ความสามารถในทางปฏิบัติและมี สมรรถนะจนสามารถนำ ไประกอบอาชีพในลักษณะผู้ปฏิบัติหรือประกอบอาชีพโดยอิสระได้ เนื่องจากจัดการอาชีวศึกษาเป็นกลไกสำ คัญในการขับเคลื่อนและการพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้ สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แผนการศึกษาแห่งชาติประกอบกับพระราชบัญญัติ การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ และพระราชบัญญัติการอาชีวศึกษาพ.ศ. ๒๕๕๑ ต้องการให้มีการกระจา ยอำ นาจทางวิชาการสู่สถานศึกษาและสถาบันการอาชีวศึกษา เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการบริหาร จัดการศึกษาสำ นักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จึงกำ หนดกรอบมาตรฐานคุณวุฒิอาชีวศึกษาแห่งชาติ เพื่อเปิดโอกาสให้สถาบันการอาชีวศึกษาในแต่ละแห่งสามารถพัฒนาหลักสูตรได้เอง ๑๖
โดยยึดกรอบคุณวุฒิการศึกษาวิชาชีพ ตามสาขาวิชาในการพัฒนาหลักสูตรการอาชีวศึกษา ในรูปแบบ อาศัยแรงขับจากผู้ใช้ หลักสูตรที่จะพัฒนาจะต้องเป็นหลักสูตรแบบฐานสมรรถนะ "Competency Based Curiculum" ซึ่งนำ สมรรถนะของผู้ประกอบอาชีพที่ปฏิบัติงานอาชีพ มาตรฐานอาชีพหรือมาตรฐาน สมรรถนะมาเป็นปัจจัยในการพัฒนาหลักสูตรการอาชีวศึกษา เพื่อทำ ให้ผู้สำ เร็จการศึกษามีสมรรถนะ วิชาชีพที่ตรงกับสมรรถนะอาชีพสามารถประกอบอาชีพได้ทันทีดังที โครงสร้างหลักสูตร โครงสร้างหลักสูตรเป็นขั้นตอนที่ผู้พัฒนาหลักสูตรต้องตัดสินใจว่าสมรรถนะที่ต้องการให้เกิดขึ้นกับผู้ สำ เร็จการศึกษาตามที่ได้วิเคราะห์ สังเคราะห์มาเป็นสมรรถนะประจำ สาขาวิชา หรือ มาตรฐานการศึกษา วิชาชีพ เพื่อมากำ หนดเป็นโครงสร้างหลักสูตรในแต่ละหมวดวิชาตลอด หลักสูตรจะจัดวางไว้ในตำ แหน่งใด ต้องใช้เวลาเรียนรู้และฝึกหัดมากน้อยเท่าไรทั้งนี้ ในการกำ หนดกรอบโครงสร้างหลักสูตรจะต้องเป็นไปตาม กรอบมาตรฐานหลักสูตรของกระทรวง ศึกษาธิการ แล้วพิจารณาสมรรถนะที่ต้องการคู่กันไปว่าต้องใช้เวลา หรือหน่วยกิตเท่าไร จึงจะตอบสนองสมรรถนะที่กำ หนดไว้โดยมีขั้นตอนดำ เนินการ ดังนี้ ๑. ศึกษากรอบมาตรฐานหลักสูตรเกี่ยวกับหัวข้อโครงสร้างหลักสูตรซึ่งในทุกหมวดวิชาจะกำ หนดสมร รถะของแต่ละหมวดไว้ เพื่อเป็นกรอบในการจัดการเรียนการสอนและ พัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพตาม มาตรฐานของหลักสูตร ๒. กำ หนดสมรรถะสาขาวิชา ซึ่งถือเป็นการประกันคุณภาพของผู้สำ เร็จการศึกษาโดยครอบคลุมอย่าง น้อย ๓ ด้าน ดังนี้ ๒.๑ ด้านคุณลักษณะที่พึงประสงค์ ได้แก่ คุณธรรม จริยธรรม จรรยาบรรณ วิชาชีพ พฤติกรรมลักษณะ นิสัยและทักษะทางปัญญา ๒.๒ ด้านสมรรถะหลักและสมรรถนะทั่วไป ได้แก่ ความรู้และทักษะการ สื่อสาร การใช้เทคโนโลยี สารสนเทศ การพัฒนาการเรียนรู้และการปฏิบัติงาน การทำ งานร่วมกับผู้อื่นการใช้กระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ การประยุกต์ใช้ตัวเลขการจัดการและการพัฒนางาน ๒.๓ ด้านสมรรถนะวิชาชีพได้แก่ความสามารถในการประยุกต์ใช้ความรู้และทักษะในสาขาวิชาชีพสู่การ ปฏิบัติจริง รวมทั้งประยุกต์สู่อาชีพคุณภาพของผู้สำ เร็จการศึกษาทุกประเภทวิชาและสาขาวิชา ต้องมี คุณภาพอย่างน้อย ๔ ด้าน ได้แก่ ๑. ด้านคุณธรรมจริยธรรมและคุณลักษณะที่พึงประสงค์ ๒. ด้านความรู้ ๓. ด้านทักษะ ๔. ด้านความสามารถในการประยุกต์ใช้และความรับผิดชอบ ๑๗
หลักเกณฑ์การใช้หลักสูตร การนำ หลักสูตรไปใช้ถือเป็นขั้นตอนสำ คัญที่จะส่งผลให้การจัดการศึกษาเป็นไปอย่างมีคุณภาพและ บรรลุผตามและหลักการของหลักสูตรมีแนวปฏิบัติดังนี้แนวปฏิบัติของสถนศึกษาสถาบันการอาชีวศึกษา ๑. วางแผนการเปิดสอนหลักสูตร โดยจัดประชุมครูในสถานศึกษาหรือ คณาจารย์ ในสถาบันการ อาชีวศึกษาเพื่อชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับหลักสูตร รูปแบบการจัด การศึกษาและ ระเบียบต่างๆที่เกี่ยวข้อง กันรวมทั้งจัดประชาสัมพันธ์เพื่อแนะแนวทางการศึกษาและการประกอบอาชีพแกผู้เรียนผู้ปกครองและผู้ สนใจ ๒. จัดเตรียมเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาเพื่อให้ผู้สอนและผู้รับผิดชอบงานที่เกี่ยวข้องได้ ศึกษาค้นคว้าและใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติงานได้แก เอกสารหลักสูตร ระเบียบ ต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เอกสารแนะนำ การใช้หลักสูตร และเอกสาร หลักสูตรอุดมศึกษา (ภายใต้กรอบมาตรฐานคุณวุฒิอุดมศึกษา) ความหมายของหลักสูตร หลักสูตรคืออะไรความหมายและขอบเขตของหลักสูตรเปลี่ยนไปอยู่เสมอ และสะท้อนให้เห็นปรัชญา การศึกษาในแต่ละสมัย สถาบันการศึกษาแต่ละแห่งมีความแตกต่างกันในโครงสร้างและแนวความคิดใน เรื่องการจัดเนื้อหาวิชาและประสบการณ์ให้แก่ผู้เรียนเพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายที่กำ หนดไว้ ดังนั้นจึงขอ สรุปความหมายและขอบเขตของหลักสูตรเอาไว้อย่างกว้างๆ ดังนี้ หลักสูตร คือแผนของการเรียนการสอน ซึ่งประกอบด้วย จุดมุ่งหมายของการศึกษาวิธีการเพื่อบรรลุ จุดมุ่งหมาย ซึ่งหมายถึง การพิจารณา คัดเลือกจัดรวบรวมและเรียบเรียงเนื้อหาวิชาและประสบการณ์ ตลอดจนการ ประเมินผลหลักสูตรเป็นหัวใจของการจัดการอุดมศึกษา หลักสูตรอุดมศึกษามีความหมายที่แตกต่างจาก หลักสูตรประถมและมัธยมศึกษา หลักสูตรหรือนัยหนึ่ง ตัวแทนของโปรแกรมการศึกษาจะเป็นตัวชี้ให้เห็นถึง สถาพการจัดดำ เนินการของแต่ละสถาบันที่มีความแตกต่างกันได้ ดังที่ได้ทราบกันแล้วสถาบันอุดมศึกษาจะ มีความหลากหลายได้นั้นหลักสูตรหรือโปรแกรมการศึกษาเป็นองค์ประกอบสำ คัญประการหนึ่ง องค์ประกอบของหลักสูตร องค์ประกอบของหลักสูตรมี ๔ ส่วน ซึ่งจะแสดงไว้ในรูปต่อไปเป็นที่รู้จักกันทั่วไปองค์ประกอบแต่ละ ส่วนมีบทบาทในการกำ หนดจุดมุ่งหมายและเนื้อหาวิชาในหลักสูตร โดยทั่วไปเรามักจะคุ้นเคยกับบทบาท ของการศึกษาทั่วไป(General Education) และการศึกษาวิชาเฉพาะ (Specialized Education) รูปแบบการประเมินหลักสูตร การประเมินหลักสูตรอาจจะพิจารณได้หลายวิธี บางสถาบันอาจจะเก็บรวบรวมข้อมูลเบื้องต้นของสถบัน บางสถบันอาจจะวิเคราะห์ค่าใช้จ่ายการคุ้มค่าของการลงทุน บางสถาบันอาจจะพิจารณาในแง่การติดตาม ผลบัณฑิตในการทำ งานความพึงพอใจของบัณฑิตและอาจารย์ เป็นต้น การดำ เนินการของแต่ละวิธีการก็ แตกต่างกันไปตามหลักการของแต่ละวิธีการ ในที่นี้จะกล่าวถึงรูปแบบเท่าที่ปรากฏตามสถาบันต่าง ๆ ดังต่อ ไปนี้ ๑๘
รูปแบบการประเมินหลักสูตร การประเมินหลักสูตรอาจจะพิจารณได้หลายวิธี บางสถาบันอาจจะเก็บรวบรวมข้อมูลเบื้องต้นของสถบั น บางสถบันอาจจะวิเคราะห์ค่าใช้จ่ายการคุ้มค่าของการลงทุน บางสถาบันอาจจะพิจารณาในแง่การติดตาม ผลบัณฑิตในการทำ งานความพึงพอใจของบัณฑิตและอาจารย์ เป็นต้น การดำ เนินการของแต่ละวิธีการก็ แตกต่างกันไปตามหลักการของแต่ละวิธีการ ในที่นี้จะกล่าวถึงรูปแบบเท่าที่ปรากฏตามสถาบันต่าง ๆ ดังต่อ ไปนี้ การทำ รายงานโปรแกรม (Program Self-Study) ในปัจจุบันภาควิชาหลาย ๆ แห่งของสถาบันอุดมศึกษาจะจัดทำ รายงานเกี่ยวกับจุดมุ่งหมาย จำ นวน และรายละเอียดเกี่ยวกับหลักสูตร และรวมทั้งการทำ รายงานทบทวนในช่วงเวลาที่ผ่านมาในรอบ ๕ ปีบ้าง ๑๐ ปีบ้าง จุดมุ่งหมายในรายงานนี้เพื่อใช้ในกาควิชา บางแห่งอาจจะทำ เพื่อส่งรายงานให้หน่วยงานข้างนอก หรือสมาคมวิชาชีพต่าง ๆ เพื่อรับทราบหรือรับรองคุณภาพการทำ รายงานอาจจะรวมทั้งข้อมูลเกี่ยวกับการ ศึกษาและอบรมของอาจารย์ ผลงานของอาจารย์ หลัก-สูตรรายวิชาทั้งหมดรายวิชาที่เปิดให้นิสิตเรียน การ ประเมินผลรายวิชาของนักศึกษา รวมทั้งความคิดเห็นของนักศึกษาเกี่ยวกับคุณภาพด้านต่างๆที่เป็นขององค์ ประกอบของหลักสูตร กิจกรรมของนักศึกษาในภาควิชาการลงทะเบียนเรียนการออกกลางคันของนักศึกษา และจำ นวนนักศึกษาที่มาศึกษาและจบการศึกษาข้อมูลบางอย่างที่ได้จากศูนย์สารนิเทศของสถาบัน เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับการลงทะเบียนของผู้เรียน ระดับปริญญาและได้ใช้จ่ายก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของรายงานได้ข้อมูล บางอย่างที่ได้จากแบบสอบถาม เช่นสภาพแวดล้อมของการเรียน ความสัมพันธ์ระหว่างนักศึกษากับอาจารย์ การจัดดำ เนินงาน ความพึงพอใจของนักศึกษาและอาจารย์ แต่อย่างไรก็ตาม ข้อมูลที่รวบรวมได้มากที่สุด และสะดวกที่สุดในการทำ รายงานก็คือข้อมูลที่ได้จากคู่มือหลักสูตร รายงานประจำ บีของสถาบันและคณะ การประเมินผลการเรียนของนักศึกษา (Assessing Student Learning)โดยทั่วไปการประเมินผลผลิตของ การศึกษาจะเน้นการจัด ๔ ประการ คือ ๑. การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเนื้อหาวิชา ๒. การพัฒนาทักษะต่าง ๆ และความคิด วิเคราะห์ วิจาณ์ ๓. ความสามารถในการนำ ความรู้ไปใช้และ ๔. ความสนใจค่านิยมและความเป็นพลเมืองดีของนักศึกษา การประเมินทั้ง ๔ ประการนี้ จะสะท้อนให้เห็นคุณภาพของหลักสูตร การดำ เนินงานซึ่งนับได้ว่ารวมอยู่ ในกระบวนการเรียน การสอน นักการศึกษาหลายคนได้พยายามที่จะหาวิธีการประเมินผลผลิตของสถาบัน อุดมศึกษา รวมทั้งการรวบรวมแบบทดสอบที่จะใช้ประเมินการเรียนวิชาการศึกษาทั่วไป วิชาชีพเฉพาะ สาขา และการฝึกหัดในวิชาชีพ ๑๙
หลักการสำ คัญของกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ ๑. เป็นเครื่องมือในการนำ แนวนโยบายการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐาน การจัดการศึกษาตามที่ กำ หนดใน พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติฯ ในส่วนที่เกี่ยวกับมาตรฐานการอุดมศึกษาและการประกันคุณภาพ การศึกษาสู่การปฏิบัติในสถาบันอุดมศึกษาอย่างเป็นรูปธรรม ๒. มุ่งเน้นที่ผลการเรียนรู้( earning Outcomes) ๕ ด้าน ซึ่งเป็นมาตรฐานชั้นต่ำ เชิงคุณภาพเพื่อ ประกันคุณภาพบัณฑิต ๓. มุ่งประมวลกฎเกณฑ์และประกาศต่าง ที่เกี่ยวกับเรื่องหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอนเข้าไว้ ด้วยกันและเชื่อมโยงให้เป็นเรื่องเดียวกัน ๔. เป็นเครื่องมือการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพในการสร้างความเข้าใจและ ความมั่นใจในกลุ่มผู้ที่ เกี่ยวข้องมีส่วนได้ส่วนเสียเช่น นักศึกษา ผู้ปกครอง ผู้ประกอบการ ชุมชน สังคมและสถาบันอื่น ๆ ทั้งใน และต่างประเทศเกี่ยวกับคุณลักษณะของบัณฑิตที่คาดว่าจะพึงมี ๕. มุ่งให้คุณวุฒิหรือปริญญาของสถาบันใดๆของประเทศไทย เป็นที่ยอมรับและเทียบเคียงกันได้กับ สถาบันอุดมศึกษาที่ดีทั้งใน และต่างประเทศ โดยเปิดโอกาสให้สถาบันอุดมศึกษาสามารถจัด หลักสูตร ตลอดจนกระบวนการเรียนการสอนได้อย่างหลากหลาย โดยมั่นใจถึงคุณภาพของบัณฑิตซึ่งจะมีมาตรฐาน ผลการเรียนรู้ ตามที่มุ่งหวัง สามารถประกอบอาชีพได้อย่างมีความสุขและภาคภูมิใจเป็นที่พึงพอใจของ นายจ้าง ๖. ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง มาตรฐานการอุดมศึกษา ตามที่ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๕๕ มาตรา ๓๔ กำ หนดให้คณะกรรมการการอุดมศึกษาจัดทำ มาตรฐานการอุตมศึกษา ที่สอดคล้องกับความต้องการตาม แผนพัฒนาเศรษยูกิจและสังคมแห่งชาติ และสอดคล้องกับ มาตรฐานการศึกษาของขาติ โดยคำ นึงถึงความ เป็น อิสระและความเป็นเลิศทางวิชาการของสถาบันอุดมศึกษาคณะกรรมการการศึกษาจึงได้ดำ เนินการ จัดการฐานการอุดมศึกษาเพื่อใช้เป็นกลไกระดับกระทรวง ระดับคณะกรรมการการอุตมศึกษา และระดับ หน่วยงาน เพื่อนำ ไปสู่การกำ หนดนโยบายของ สถาบันอุตมศึกษาในการพัฒนาการอุดมศึกษาต่อไปอาศัย อำ นาจตามความในมาตรา * แห่งพระราขบัญญัติระเบียบบริหารราชการ กระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ.๒๕๔๖ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ โดยคำ แนะนำ ของคณะกรรมการการอุตมศึกษา ในคราว ประชุมครั้ง ที่๗/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๕๖ จึงประกาศมาตรฐานการอุดมศึกษาไว้ดังต่อไปนี้มาตรฐานการ อุดมศึกษา ประกอบด้วย มาตรฐาน ๓ ด้าน ๓๒ ตัวบ่งชี้ดังนี้ ๒๐
๑. มาตรฐานต้านคุณภาพบัณฑิต บัณฑิตระดับอุดมศึกษาเป็นผู้มีความรู้ มีคุณธรรม จริยธรรม มีความสามารถ ในการเรียนรู้ และพัฒนา ตนเอง สามารถประยุกต์ ความรู้เพื่อการดำ รงชีวิตในสังคม อย่างมีความสุขทั้งทางร่างกายและจิตใจ มี ความสำ นึก จรดวาบ อบในฐานะพลเมืองและพลโลก ๑.๑ บัณฑิตมีความรู้ ครามเชี่ยวชาญในศาสตร์ของตน สามารถเรียนรู้ สร้าง และประยุกต์ใช้ความรู้ เพื่อนพัฒนาตนเอง สามารถปฏิบัติงานและสร้างงานเพื่อพัฒนาสังคม ให้สามารถแข่งขันได้ในระดับสากล ๑.๒ บัณฑิตมีจิตสำ นึก ดำ รงชีวิต และปฏิบัติหน้าที่ตามความรับผิดขอบ โดยยึดหลักคุณธรรม จริยธรรม ๑.๓ บัณฑิตมีสุขภาพร่างกายและจิตใจ มีการดูแล เอาใจใส่ รักษา สุขภาพของตนเองอย่างถูกต้อง เหมาะสม ๒. มาตรฐานด้านการบริหารจัตการการอุตมศึกษามีการบริหารจัดการการอุตมศึกษาตามหลักธรรมาภิ บาล และพันกิจของการอุตมศึกษาอย่างมีดุลยภาพ ก. มาตรฐานต้านธรรมาภิบาลของการบริหารการศึกษา มิการบริหารจัดการการอุดมศึกษาตามหลักธรรมาภินาส โดยคำ นึงถึงความหลากหลายและความเป็น อิสระ ทางวิชาการมีการบริหารจัดการบุคลากรที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมีความยืดหยุ่น สอดคล้องกับ ความ ต้องการที่หลากหลายของประเภทสถาบันและสังคม เพื่อเพิ่มศักยภาพในการปฏิบัติงานอาสา ทาง วิชาการมีการบริหารจัดการทรัพยากรและเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพและ ประสิทธิผลคล่องตัวโปร่งใสและตรวจสอบได้ มีการจัด การศึกษาผ่านระบบและวิธีการต่าง ๆ อย่าง เหมาะ สมและคุ้มค่าคุ้มทุนมีระบบการประกันคุณภาทเพื่อนำ ไปสู่การพัฒนาคุณภาพและมาตรฐาน การอุดมศึกษา อย่างต่อเนื่อง ข. มาตรฐานด้านพันกิจของการบริหารการอุดมศึกษา การดำ เนินงานการพันของการอุดมศึกษาทั้ง ๔ ด้าน อย่างมีดุลยภาพ โดยมีการประสานความร่วมมือ รวม พลังจากทุกภาคส่วนของชุมชน และสังคมในการจัดการความรู้ ๒๑
บทที่ ๒ สภาพปัญหาหลักของหลักสูตรไทย ๒๒ บทนำ ความเจริญก้าวหน้าทางด้านวิทยาการต่าง ๆ ในยุคโลกาภิวัตน์ มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทั้งทางด้าน สังคม เศรษฐกิจ การเมืองและเทคโนโลยี อย่างรวดเร็ว การศึกษาเป็นสิ่งหนึ่งที่กำ หนดทิศทางความเป็นไป ให้ มนุษย์รู้เท่าทันวิทยาการใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้น ด้วยเหตุนี้จึง ๆ เป็นหน้าที่ของรัฐที่ต้องยกระดับและพัฒนาการ ศึกษา ของประชากรในประเทศให้สูงขึ้น ซึ่ งตามรัฐธรรมนูญราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕ค- ใน มาตรา ๔๙ จึงได้กำ หนดให้บุคคลย่อมมีสิทธิเสมอกันในการรับการศึกษา ไม่น้อยกว่าสิบสองปีที่รัฐจะต้องจัด ให้อย่างทั่วถึงและ มีคุณภาพโดยไม่เก็บค่ใช้จ่ายในการจัดการศึกษาให้บรรลุตามจุดมุ่งหมายนั้น จำ เป็นต้อง มีหลักสูตรการศึกษา เป็นแนวทางในการจัดการศึกษา โดยในมาตรา ๒๗ ได้ให้ คณะกรรมการการศึกษาขั้น พื้นฐานกำ หนดหลักสูตร แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานเพื่อความเป็นไทย ความเป็นพลเมืองที่ดีของชาติ การดำ รงชีวิต และ การประกอบอาชีพตลอดจนเพื่อการศึกษาต่อให้สถานศึกษา ชั้นพื้นฐาน มีหน้าที่จัดหา สาระของหลักสูตรตามวัตถุประสงค์ ในส่วนที่เกี่ยวกับสภาพปัญหาในชุมชนและสังคม ภูมิปัญญาท้องถิ่น คุณลักษณะอันพึงประสงค์เพื่อเป็น สมาชิกที่ดีของครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติ ดังนั้นจึงกล่าว ได้ว่าหลักสูตรคือสิ่งที่นำ เอาความมุ่งหมาย และนโยบายการศึกษาไปแปลงเป็นการกระทำ ชั้นพื้นฐานใน โรงเรียนหรือสถานศึกษา ปัจจัยที่ สำ คัญที่เป็นส่วนหนึ่ง ของการใช้หลักสูตรให้ประสบความ สำ เร็จคือ การ ดำ เนินการวางแผนให้มีการส่งเสริมและ สนับสนุนอย่าง มีประสิทธิภาพ ดังนั้นผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ที่สำ คัญ ในการนำ หลักสูตรไปใช้ในโรงเรียนได้แก่ ผู้บริหาร และครูผู้สอนจะต้องมีการวางแผนการนำ หลักสูตรไปใช้ ร่วมกัน จึงจะทำ ให้การใช้หลักสูตรในโรงเรียนบรรลุผล สำ เร็จตามจุดมุ่งหมาย ๒.๑ หลักสูตรปฐมวัย พุทธศักราช ๒๕๖๐ ๑. การขาดความรู้ความเข้าใจของผู้ปกครองในการส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย เนื่องจากผู้ ปกครอง ส่วนใหญ่ยังขาดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการส่งเสริมพัฒนาการที่ สำ คัญตามช่วงวัยของเด็ก จึงมี ความคาดหวังที่ต้องการให้เด็กอ่านออกเขียนได้ จึงส่งลูกเข้าเรียนใน โรงเรียนที่มีระบบการสอนแบบ "เร่งเรียน เขียนอ่าน" นอกจากนี้การใช้สื่อเทคโนโลยีในการเลี้ยงดู เต็ก เช่น ไอแพต โทรศัพท์มือถือ หรือโทรทัศน์ ก็มีส่วน สำ คัญที่ทำ ให้เด็กมีความบกพร่องในการ เรียนรู้มากยิ่งขึ้น
๒. การขาดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องในการจัดการศึกษาปฐมวัยของครู ผู้บริหารและสถานศึกษา การ ขาดแคลนความรู้และความเข้าใจที่ถูกต้อง เกี่ยวกับการส่งเสริมพัฒนาการด้านสติปัญญาที่เหมาะสมกับ วัย จึงทำ ให้ครูเน้นให้เด็กอ่านเขียนมากกว่าวัย และเน้นการสอนที่มีลักษณะให้เด็กท่องจำ มากกว่าทักษะด้าน การคิด การตัดสินใจ ในขณะที่ผู้บริหารสถานศึกษาบางส่วนบริหารงานเพื่อชื่อเสียงของโรงเรียนจึงเตรียม ความพร้อมของเด็ก เพื่อการสอบแข่งขันมากกว่าการศึกษาเพื่อพัฒนาศักยภาพของเด็ก รวมถึงปัญหาสถาน ศึกษาไม่สามารถจัดการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างเท่าเทียมและทั่วถึง จึงทำ ให้เกิดการเรียนเพื่อสอบเข้า โรงเรียนที่ มีชื่อเสียงตั้งแต่ระดับอนุบาล ๓. ระบบการผลิตครูปฐมวัย จากค่านิยมของการเข้ารับราชการที่มีสวัสดิการที่ดีและมีความมั่นคงใน ชีวิต จึงเกิดความต้องการเพิ่มคุณวุฒิด้านการศึกษาของครูให้สูงขึ้น แต่ระบบการผลิตครูในปัจจุบันยังขาด กลไกในการติดตามและประเมินคุณภาพ เช่น การเปิดรับครูปฐมวัยจำ นวนมาก ทำ ให้อัตราส่วนระหว่าง อาจารย์กับจำ นวนนักศึกษาไม่สอดคล้องกันส่งผลต่อประสิทธิภาพในด้านการเรียนการสอน เนื่องจาก กระบวนการพัฒนาครูปฐมวัย ไม่สามารถทำ ได้ด้วยการบรรยายเท่านั้น แต่จำ เป็นต้องมีการฝึกประสบการณ์ วิชาชีพ โดยมีอาจารย์ที่เชี่ยวชาญด้านการศึกษาปฐมวัย มาดูแลอย่างใกล้ชิด ๔. การให้ความสำ คัญด้านเนื้อหาและการวัดผลมากกว่าการประเมินผลเพื่อพัฒนาหลักสูตรและการ วัดผลระดับประถมศึกษาตอนต้น มุ่งเน้นให้เด็กท่องจำ ความรู้จำ นวนมากไม่สอดคล้องและเชื่อมโยงกับ หลักสูตรของการศึกษาปฐมวัยที่เน้นการส่งเสริมพัฒนาการเด็กโดยคำ นึงถึงการพัฒนาการในทุกด้านอย่าง สมดุลได้แก่ ด้านร่างกาย สติปัญญา สังคม อารมณ์และจิตใจ นอกจากนี้ครูในโรงเรียนอนุบาล และศูนย์เด็ก เล็กส่วนใหญ่ เน้นการวัดผลด้านความจำ โดยขาดการประเมินตามสภาพความเป็นจริง รวมถึงหน่วยงานที่ รับ ผิดชอบทางด้านการศึกษาของรัฐ ใช้หลักเกณฑ์ตัดสินมากกว่าการประเมินเพื่อพัฒนาผู้เรียน ทำ ให้ขาด แนวทางในการปรับปรุงผู้เรียนให้ดีขึ้น ๕. การเรียนการสอนจะเน้นสอนเนื้อหาวิชาตามหลักสูตรมากกว่าการพัฒนาการเด็ก ทำ ให้เด็กเกิด ความเครียด ๖. การไม่ได้ใช้ประโยชน์จากหลักสูตรอย่างเต็มที่ แนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับการใช้หสูตรยังขาดความ เป็นเอกภาพ ๒๓
๒.๒ หลักสูตรแกนกลางขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ (ฉบับปรับปรุง ๒๕๖๐) กระทรวงศึกษาธิการ ได้ประกาศคำ สั่งของกระทรวงศึกษาธิการ ที่ สพฐ ๒๙๓/๒๕๕๑ เรื่องให้ใช้ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาชั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ เพื่อให้การจัดการศึกษาชั้น พื้นฐานสอดคล้อง กับสภาพความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม และความเจริญก้าวหน้าทาง วิทยาการเป็นการสร้าง กลยุทธ์ใหม่ในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้สามารถตอบสนองความ ต้องการของบุคคล สังคมไทย ผู้ เรียนมีศักยภาพในการแข่งขันและร่วมมืออย่างสร้างสรรค์ในสังคม โลก ปลูกฝังให้ผู้เรียนมีจิตสำ นึกในความ เป็นไทย มีระเบียบวินัย คำ นึงถึงประโยชน์ส่วนรวมและ ยึดปกครองระบอบประชาธิปตย อันมีพระมหา กษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นไปตาม เจตนารมณ์ มาตรา๘๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕- และพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒ ) พ.ศ. ๒๕๔๕ ฉะนั้น อาศัยอำ นาจตามความในมาตรา ๑6 และมาตรา ๑๕ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหาร ราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. ๒๕'๖๔ และคณะกรรมการการศึกษาชั้นพื้นฐาน ได้มีมติเห็นชอบให้ใช้ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นฟื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๓ กระทรวงศึกษาธิการจึงประกาศใช้หลักสูตร แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๓ ดังปรากฏแนบท้ายคำ สั่งนี้แทนหลักสูตรการศึกษาขั้น พื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๔ เงื่อนไข และระยะเวลาของการใช้หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ เมื่อเริ่มใช้หลักสูตรการศึกษาขั้นฟื้นฐาน พ.ศ. ๒๕๔๔ ในโรงเรียนนำ ร่องและโรงเรียนเครือข่ายการใช้ หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. ๒๕๔๔ กองวิจัยทางการศึกษา กรมวิชาการ ได้ทำ การติดตามและ ประเมินผลการจัดหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานในเรื่องการเตรียมความพร้อมและการจัดทำ หลักสูตรสถาน ศึกษาในช่วงเดือน มีนาคม - เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๕ ซึ่งพบว่ามีปัญหาและอุปสรรค ดังนี้ ๑. ครูเข้าใจเกี่ยวกับการจัดทำ หลักสูตรการศึกษาไม่ชัดเจนในเรื่อง การจัดทำ สาระ หลักสูตรสถาน ศึกษา การจัดทำ สาระเพิ่มเติม การจัดทำ โครงสร้างหลักสูตรสถานศึกษา การกำ หนดคุณลักษณะพึงประสงค์ ของผู้เรียน การจัดทำ คำ อธิบายรายวิชา การกำ หนดสัดส่วนเวลาเรียน การเขียนผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง การจัดทำ แผนการเรียนรู้ การวัดและประเมินผลและเกณฑ์การจบ ๒. เวลาในการจัดทำ หลักสูตรกระชั้นชิดมาก มีเวลาไม่เพียงพอ ๓. บุคลากรมีภาระงานมาก ครูต้องใช้เวลาที่ทำ การสอนมาทำ หลักสูตร ๔. ครูขาดความมั่นใจในการทำ จัดหลักสูตรสถานศึกษา ๕. ครูยังไม่ยอมรับการจัดทำ สระหลักสูตรใหม่ ยังยึดติดกับเนื้อหาเดิม ๖. ขาดความพร้อมด้านสื่อ อุปกรณ์ และงบประมาณที่ใช้ในการจัดทำ หลักสูตรสถานศึกษา ๗. เอกสารที่ใช้ในการจัดทำ หลักสูตร ไม่เพียงพอกับจำ นวนของบุคลากร ๒๔
๘. จำ นวนคาบเวลาเรียนหลักสูตร ใหม่และหลักสูตร เก่าไม่เท่ากันมีผลกระทบต่อการจัด เวลาเรียนเกิดความสับสนระหว่างหลักสูตรเก่ากับหลักสูตร ใหม่ ๙. วิธีการหรือเนื้อหาที่เข้ารับการอบรมจากวิทยากรในแต่ละครั้งไม่ตรงกันทำ ให้สับสน ๑๐. ขาด วิทยากร ผู้เชี่ยวชาญช่วยให้คำ แนะนำ ปรึกษา ๑๑. ผู้ปกครอง / ชุมชน ขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่อง หลักสูตร ๒.๓ หลักสูตรการอาชีวศึกษา ๑. ผู้เข้าเรียนในการอาชีวศึกษาไม่มีคุณภาพเท่าที่ควรหลักสูตรก่อนถึงระดับ ปวช. คือระดับมัยยมต้น หรือการศึกษาผู้ใหญ่เป็นการปูพื้นฐานความรู้ระดับต่ำ เช่น อ่าน สะกดคำ ไมได้ ขาดความสามารถในการใช้ ภาษาอังกฤษ เมื่อมาเรียนต่อในระดับอาชีวศึกษาจึงเกิดปัญหา แม้ครูจะเตรียมการสอนดีอย่างไร ผู้เรียนไม่ สามารถต่อยอดความรู้ได้ เพราะพื้นฐานความรู้ไม่ดีเพียงพอ ๒. ผู้เข้าเรียนในการอาชีวศึกษาไม่มีคุณภาพเท่าที่ควรหลักสูตรก่อนถึงระดับ ปวช. คือระดับมัอยมต้น หรือการศึกษาผู้ใหญ่เป็นการปูพื้นฐานความรู้ระดับต่ำ เช่น อ่าน สะกดคำ ไมได้ ๓. ขาคความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษ เมื่อมาเรียนต่อในระดับอาชีวศึกษาจึงเกิดปัญหาเเม้ครูจะ เตรียมการสอนดีอย่างไร ผู้เรียนไม่สามารถต่อยอดความรู้ได้ เพราะพื้นฐานความรู้ไม่ดีเพียงพอ ๔. ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อปัญหาการบริหารหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ทวิศึกษา)เพื่อให้ได้ ข้อมูล ในการนำ มาเป็นแนวทางในการปรับปรุงและการพัฒนาการบริหารหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ทวิ ศึกษา) ต่อไป ๕. เนื้อหาไม่สอดคล้องกับทักษะที่จำ เป็นต่อการใช้ประกอบอาชีพ ๖. ควรศึกษาสภาพและปัญหาการจัดครูให้เข้าสอนตรงตามวิชาเอก เพื่อเป็นข้อมูลในการพัฒนาการ เรียนการสอนให้มีคุณภาพ ๗. ควรศึกษาสภาพและปัญหาการจัดครูให้เข้าสอนตรงตามวิซาเอก เพื่อเป็นข้อมูลในการพัฒนาการ เรียนการสอนให้มีคุณภาพ ๒.๔ สูตรอุดมศึกษา (ภายใต้กรอบมาตรฐานคุณวุฒิอุดมศึกษา) ๑. สถาบันอุคมศึกษาปรับตัวไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะในเรื่องการสร้างและพัฒนาคุณภาพ มาตรฐานการเรียนการสอนและการวิจัย เปิดหลักสูตรตามความพอใจ โดยไม่คำ นึงถึงคุณภาพและ มาตรฐานการศึกษา ขาดการวางแผนพัฒนาสถาบันในระยะยาว รวมถึงคณะกรรมการบริหารสถาบัน/สภา สถาบันอุดมศึกษาทั้งของรัฐและเอกชนหลายแห่งไม่มีการบริหารจัดการที่ดี ๒. ทิศทางการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษาในภาพรวมไม่ชัดเจน เกิดความซ้ำ ซ้อนในเรื่องการให้บริการ บุคลากรที่จะเข้ามาในมหาวิทยาลัย เช่น ผู้บริหาร ส่วนหนึ่งไม่มีความรู้ทางด้านการบริหารแต่จะมีความรู้ เฉพาะด้านงานวิชาการเท่านั้น รัฐบาลควรมีการจัดอบรมการเป็นผู้บริหารขึ้นมาเหมือนกับข้าราชการสาย อื่น ๒๕
๓. บัณฑิตที่จบการศึกษาออกมาบางส่วนไม่ได้คุณภาพและมีปัญหาในด้านภาษาอังกฤษสถาบันการ ศึกษาควรดึงผู้ประกอบการเข้าไปร่วมพัฒนาหลักสูตรและพัฒนาบุคลากร และเปิดโอกาสให้นักศึกษาเข้าไป ฝึกงานในสถานประกอบการตั้งแต่ยังเรียนอยู่ รวมถึงวิกฤติอุดมศึกษาไทยช่วง ๗ ปีที่ผ่านมา ทั้ง มหาวิทยาลัยรัฐและมหาวิทยาลัยราชกัฏฎ ๓๐๐ แห่ง และเบิดหลักระดับปริญญาตรีและโท บางแห่งใช้ กลยุทธ์ "จบจ่าย" ในการดึงดูดผู้เรียน ขณะที่ผู้เรียนเข้ามาเรียนเพื่อหวังใบปริญญาตามสโลแกนจ่ายครบจบ แน่ ซึ่งเป็นการทำ ลายคุณภาพอุตมศึกษาไทย ๔. ขาดแคลนอาจารย์ประจำ ที่มีคุณวุฒิและประสบการณ์โดยเฉพาะสาขาวิชาที่มีความต้องการมากทาง ด้านวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ และเกษตรกรรม ๕. อุดมศึกษามุ่งความเป็นเลิศทางวิชาการ ละเลยคุณธรรม จริยธรรม การบริการวิชาการแก่สังคม ๖. การเรียนการสอนยังเน้นทฤษฎีมากกว่าปฏิบัติเน้นความรู้มากกว่าการนำ ไปใช้ ๗. การตื่นตัวทางการวิจัยมุ่งการกำ หนดให้เลื่อนตำ แหน่งทางวิชาการซึ่งเน้นการวิจัยมากเกินไปจนทำ ให้ ลดความสำ คัญด้านการสอน ๘. กลุ่มผู้บริหารอุดมศึกษามีลักษณะอนุรักษ์นิยมสูง ๙. งบประมาณในการพัฒนาการศึกษาระดับนี้ก็ยังมีไม่เพียงพอ สรุปสภาพปัญหาหลักสูตรในประเทศไทย หลักสูตรที่เหมาะสมกับการพัฒนาการเด็กมีลักษณะสำ คัญคือ คำ นึงถึงความเหมาะสม ของอายุของเด็ก ความแตกต่งระหว่างครอบครัว และวัฒนธรรมของเด็ก ความสนใจ ความเชื่อ ค่านิยมและปรัชญาการศึกษา นำ สภาพที่เป็นปัญหา จุดเด่น เอกลักษณ์ของชุมชน ศิลปวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น ตลอดจนคุณลักษณะ ที่พึงประสงค์ของเด็กปฐมวัยมากำ หนดเป็นวัตถุประสงค์หลักสูตรและกำ หนด สาระการเรียนรู้ สู่ กระบวนการจัดการเรียนรู้ซึ่งจะต้องอยู่บนพื้นฐานของหลักสูตร กล่าวคือ ต้องยึดหลักสูตรเป็นหลักของการ พัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาสาระและกระบวนการเรียนรู้หรือกระบวนการจัดประสบการณ์ที่จัดให้กับเต็ก จะเกิดจากการมีส่วนร่วมระหว่างสถานศึกษากับชุมชนประสบการณ์การเรียนรู้ให้กับเด็กที่จัดไว้ในหลักสูตร นั้นจะต้องสอดคล้องตามความถนัดและความสนใจเด็ก ประเทศไทยยังต้องการการปฏิรูปโดรงสร้างการ บริหารให้มีประสิทธิภาพโปร่งใสและเป็นธรรม การกระจายงบประมาณที่เป็นธรมปฏิรูปการใช้งบประมาณ ให้เกิดประสิทธิภาพ และสอดคล้องกับบริบท ทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคมของประเทศ โดยความร่วมแรง ร่วมใจทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะด้านการพัฒนากระบวนการเรียนการสอน ก็ควรให้สอดคล้องกับการทำ งานของสมอง ของผู้เรียนและมีคุณภาพที่ใช้งานได้ เช่น อาจจัดโครงการที่มุ่ง พัฒนาครูอาจารย์ ผู้บริหารการศึกษาอย่าง จริงจังและต่อเนื่อง ทั้งในเรื่องการสร้างแรงจูงใจให้คนเก่งคนดี อยากเข้ามาเป็นครู และสร้างความมั่นใจ และมั่นคงในอาชีพครูมากขึ้น เช่น ปฏิรูปการฝึกหัดครูปฏิรูปการ คัดเลือก การทำ งานแบบส่งเสริมความ พอใจและความก้าวหน้าของครูด้วย ๒๖
แนวโน้มการพัฒนาหลักสูตรในศตวรรษที่ ๒๑ จากความเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็วทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารนี้ทำ ให้เราได้รับ ข้อมูลข่าวสารมากมายที่ใหล่บ่าเข้ามาอย่างรวดเร็ว ซึ่งในศตวรรษที่ ๒๑ เราคงไม่ค้นหาข้อมูลจากหนังสือใน ห้องสมุดอย่างในศตวรรษที่ ๒- แต่เราสามารถค้นหาข้อมูลจากโปรแกรมคันหาสมัยใหม่ซึ่งอาจได้ข้อมูล หลายหมื่นหลายแสนชั้นภายในไม่กี่วินาที แต่ข้อมูลเหล่านั้นคงมีจำ นวนไม่น้อยที่ไม่ตรงกับความต้องการ ของเราหรือไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ที่กำ หนดไว้ หรืออาจพบข้อมูลที่ชัดแย้งกัน ดังนั้นความสามารถในการก รองข้อมูลข่าวสารจึงเป็นอีกทักษะหนึ่งที่มีความจำ เป็นอย่างยิ่งที่ต้องได้รับการพัฒนาเพื่อให้คนสามารถ เลือก แยกแยะ และสกัดเฉพาะข้อมูลข่าวสารที่สำ คัญต่อการตัดสินใจ เพื่อดำ เนินการเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้ อย่างมีประสิทธิภาพ สรุปแนวโน้มการพัฒนาหลักสูตรในศตวรรษที่ ๒๑ การพัฒนาหลักสูตรให้ประสบความสำ เร็จโดยสร้างความเข้มแข็งให้แก่ผู้เกี่ยวข้องโดยเฉพาะครูผู้สอน และผู้บริหารสถานศึกษา และทุกหน่วยงาน ให้มีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาโดยความ ร่วมมือระหว่างสถนศึกษาที่มีบริบทใกล้เคียงกันตามมิติความต้องการจำ เป็นของแต่ละสถานศึกษา มี กิจกรรมร่วมมือกันในการให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันด้านการพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอน การ พัฒนาหลักสูตร และกิจกรรมอื่น ๆ ที่ส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา ซึ่งหมายถึงกระบวนการสร้างแผนหรือแนวทางในการจัดมวลประสบการณ์ที่จัดทำ โดยบุคคลหรือคณะ บุคคลในระดับสถานศึกษาเพื่อใช้พัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้ความสามารถตามมาตรฐานการเรียนรู้ ประกอบ ด้วย ส่วนที่เป็นหลักสูตรแกนกลางที่กำ หนดจากส่วนกลางที่ปรากฏในหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 และส่วนที่เกี่ยวกับสภาพชุมชนและท้องถิ่นซึ่งพัฒนาโดยเขตพื้นที่การศึกษา และส่วน เพิ่มเติมที่สถานศึกษาพัฒนาขึ้นเพื่อให้สอดคล้องเหมาะสมกับความสนใจ ความต้องการและความถนัดของผู้ เรียนรวมทั้งความเหมาะสมกับสภาพสังคม กระบวนการใช้หลักสูตรสถานศึกษาและการประเมินผลการใช้ หลักสูตรสถานศึกษาโดยการศึกษาให้มากขึ้นแนวโน้มการพัฒนาหลักสูตรในปัจจุบันมุ่งเน้นให้มีการพัฒนา หลักสูตรระดับท้องถิ่นมากขึ้น และเปิดโอกาสให้แต่ละท้องถิ่นสามารถพัฒนาหลักสูตรให้เหมาะสมกับความ ต้องการและเอกลักษณ์ประจำ ท้องถิ่นของตน เพื่อให้ผู้เรียนที่อยู่ในท้องถิ่นนั้นๆ ได้รับประโยชน์อย่างแท้จริง รวมทั้งยังเป็นการปลูกฝังให้ผู้เรียนมีความรักและความผูกพันกับท้องถิ่นของตนมากขึ้นด้วย ๒๗ บทที่ ๓ สรุป
กระทรวงศึกษาธิการ. (๒๕๖๐), หลักสูตรปฐมวัย พุทธศักราช ๒๕๖๐. สืบค้นวันที่ ๒๐ พ.ค ๒๕๕๖. จาก http://academic.obec.go.th/images/document/1590998426_d_1.pdf กระทรวงศึกษาธิการ. (๒๕๖๐), หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีพุทธศักราช ๒๕๖๐ (ฉบับ พุทธศักราช2560). สืบค้นวันที่ ๒๐ พ.ค ๒๕๖๖.จาก http://academic.obec.go.th/images/document/1559878925_d_1.pdfปรับปรุง กระทรวงศึกษาธิการ. (๒๕๖๒), หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) พุทธศักราช ๒๕๖๒. สืบค้นวันที่ ๒๐ พ.ค ๒๕๖๖. จาก https://bsq.vec.go.th/Portals/9/Course/20/2562/newv1.pdf กระทรวงศึกษาธิการ. (๒๕๖๓), หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) พุทธศักราช ๒๕๖๓. สืบค้นวันที่ ๒๐ พ.ค ๒๕๖๖. จาก https://bsq.vec.go.th/Portals/9/Course/30/2563/newv3.pdf กระทรวงศึกษาธิการ. (๒๕๖๒). หลักสูตรปริญญาตรีสายเทคโนโลยรหรือสายปฏิบัติการ พุทธศักราช ๒๕๖๒ สืบค้นวันที่ ๒๐ พ.ค ๒๕๖๖. จาก https://th.wikisource.org/wiki/ สํานักมาตรฐานและประเมินผลอุดมศึกษา. (๒๕๖๐), หลักสูตรอุดมศึกษา (เกณฑ์มาตรฐานหลักสูตรอุดมมศึกษา), สืบค้นวันที่ ๒๐ พ.ค ๒๕๖๖. จาก http://cid.buu.ac.th/standard/Standard%20Curr-2558- Book.pdf ประหยัด พิมพา (๒๕๖o) การศึกษาไทยในปัจจุบัน (สืบคันวันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕'๖๖) ชรินรัตน์ สีเสมอ.(๒๕๖๓).สภาพและปัญหาการใช้หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นฟื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๖๑(สืบค้นวันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๖๖) วรวิทย์ ศรีตระกูล(๒๕๖๕),แนวทางและเครื่องมือประเมินมาตรฐานวิชาชีพตามเกณฑ์มาตรฐาน คุณวุฒิอาชีวศึกษาระดับปริญญาตรีสายเทคโนโลยีหรือสายปฏิบัติการ (สืบคันวันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๖๖) ๒๘ บรรณานุกรม
thank you จีรจีนันนัท์ อาริยริะ