The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by 32 Attawit Pimsupang, 2023-10-29 01:39:42

ขุนช้างขุนแผน 6-5

ก คำนำ วารสารเล่มนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของวิชาภาษาไทยพื้นฐาน ท๓๓๑๐๑ เพื่อให้ได้ศึกษาหา ความรู้จากเรื่อง ขุนช้างขุนแผน ตอน ขุนช้างถวายฎีกา โดยคณะผู้จัดทำได้ทำการศึกษาผ่านเหล่งข้อมูลต่างๆ อาทิเช่น ห้องสมุด หนังสือ และ แหล่งความรู้จากเว็บไซต์ต่างๆ ได้วิเคราะห์และรวบรวมข้อมูล โดยวารสารเล่ม นี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับ ประวัติความเป็นมา เนื้อเรื่อง ลักษณะคำประพันธ์ และคุณค่าของวรรรคดีที่ผู้อ่านจะได้รับ คณะผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่า วารสารเล่มนี้ที่ได้จัดทำขึ้นจะให้ความรู้และประโยชน์ต่อผู้ที่สนใจได้ อ่านและศึกษาหาความรู้ในเรื่อง ขุนช้างขุนแผน ตอน ขุนช้างถวายฎีกา ได้เป็นอย่างดี และ หากมีขอผิดพลาด ประการใด ทางคณะผู้จัดทำต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ คณะผู้จัดทำ


ข สารบัญ เรี่อง หน้า คำนำ......................................................................................................................... .................................. ก สารบัญ............................................................................................................................. .......................... ข ประวัติความเป็นมา............................................................................................................ ....................... ๑ ประวัติผู้แต่ง............................................................................................................... .............................. ๒ ลักษณะคำประพันธ์............................................................................................................. .................... ๔ เนื้อเรื่องเต็ม (แบบย่อ)..................................................................................................... ........................ ๔ เนื้อเรื่องเต็ม (เฉพาะตอนที่เรียน)............................................................................................................ ๗ วิเคราะห์คุณค่าด้านเนื้อหา................................................................................................... .................. ๒๓ วิเคราะห์คุณค่าด้านวรรณศิลป์................................................................................................. .............. ๒๙ วิเคราะห์คุณค่าด้านสังคม..................................................................................................... ................ ๓๓ บรรณานุกรม................................................................................................................... ..................... ๓๖


๑ ประวัติความเป็นมา ๑) เรื่องนี้เชื่อกันว่าเกิดขึ้นจริงในสมัยสมเด็จพระพันวษา แห่งกรุงศรีอยุธยา - ตำนานเดิมเล่าเพียงว่า มีนายทหารผู้มีฝีมือนายหนึ่ง มีตำแหน่งเป็นขุนแผน ได้ถวาย ดาบฟ้าฟื้น แด่สมเด็จพระพันวษา ๒) ต่อมามีการนำเรื่อง ขุนช้างขุนแผน มาแต่งเป็นกลอนสุภาพและใช้บทขับเสภา โดยใช้กรับเป็น เครื่องประกอบจังหวะ - บทขับเสภาที่นิยมมากที่สุดคือเรื่อง ขุนช้างขุนแผน ซึ่งได้รับการยกย่อจากวรรณคดีสโมสรว่า เป็นยอดของกลอนสุภาพที่มีความไพเราะ ดีเลิศ ทั้งเนื้อเรื่องและกระบวนกลอน ๓) บทเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน มีกวีเอกหลายท่านร่วมกันแต่ง สันนิษฐานว่าแต่งตั้งแต่สมัย สมเด็จ พระนารายณ์มหาราช - สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงสันนิษฐานว่า *ตอน ขุนแผนขึ้นเรือนขุนช้าง และตอน ขุนแผนพานางวันทองหนีเป็นพระราชนิพนธ์ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย *ตอนขุนช้างขอนางพิม และ ตอนขุนช้างตามนางวันทอง เป็นพระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (เมื่อครั้งยังดารงพระอิสริยยศเป็นกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์) *ตอน กำเนิดพลายงาม เป็นสำนวนของสุนทรภู่ ๔) ตอน ขุนช้างถวายฎีกานี้ไม่ปรากฏนามผู้แต่ง แต่เป็นหนึ่งใน ๘ ตอนที่ได้รับการยกย่องจาก สมาคมวรรณคดี (สมัย ร.๗) ว่าแต่งดีเป็นเยี่ยม โดยเฉพาะกระบวนกลอนที่สื่ออารมณ์สะเทือนใจ


๒ ประวัติผู้แต่ง วรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผนมีผู้แต่งหลายคน ในสมัยอยุธยาและในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น การแต่งเสภา เรื่องขุนช้างขุนแผนไม่นิยมบอกนามผู้แต่ง ได้เพียงแต่พิจารณาจากสำนวนการแต่งเท่านั้น จึงทำให้เสภาขุนช้าง ขุนแผน ตอน ขุนช้างถวายฎีกา ไม่สามารถระบุนามผู้แต่งได้ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ ๒)โปรดการฟังขับเสภาเป็นอย่างมาก จึงโปรดเกล้าฯ ให้กวีในราชสำนักช่วยกับรวบรวมและแต่งเสภาตอนที่ขาดเหลือตามความถนัด โดยพระองค์ก็ทรงพระราช นิพนธ์บทเสภาขุนช้างขุนแผนทั้งหมด ๔ ตอน ได้แก่ ตอนที่ ๔ พลายแก้วเป็นชู้กับนางพิม ตอนที่ ๑๓ วันทองหึงลาวทอง ตอนที่ ๑๗ ขุนแผนขึ้นเรื่องขุนช้างได้นางแก้วกิริยา ตอนที่ ๑๘ ขุนแผนพาวันทองหนี ที่มา : https://www.nac2.navy.mi.th/index.php/main/detail/content_id/1124


๓ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๓) แห่งราชวงศ์จักรี ครั้งที่ยังทรงเป็นพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ได้ทรงพระนิพนธ์งานวรรณคดีด้วยพระองค์เอง แต่เมื่อเสด็จขึ้นเสวยราชย์แล้วไม่ได้ ทรงพระราชนิพนธ์อีก อย่างไรก็ตามทรงสนับสนุนวรรณคดีของแผ่นดินอยู่ ทรงพระราชนิพนธ์บทเสภาขุนช้าง ขุนแผนทั้งหมด ๒ ตอน ได้แก่ ตอนที่ ๕ ขุนช้างขอนางพิม ตอนที่ ๑๙ ขุนช้างตามนางวันทอง ที่มา : https://images.app.goo.gl/HhY6japZesAwHg2Q8 พระสุนทรโวหาร หรือ สุนทรภู่(ภู่) เป็นกวีที่มีความชำนาญด้านกลอน ได้ประพันธ์กลอนนิทานและกลอน นิราศขึ้นมาและสืบทอดมาจนปัจจุบัน เนื่องจากสุนทรภู่มีชีวิตอยู่ในสมัยรัชกาลที่ ๑ ถึงรัชสมัยรัชกาลที่ ๔ แห่ง กรุงรัตนโกสินทร์ สุนทรภู่จึงได้รับสมญานามว่า “กวีสี่แผ่นดิน” ที่ได้รับการยกย่องจากยูเนสโก (UNESCO) ให้ เป็นบุคคลสำคัญของโลกด้านวรรณกรรม ในวาระครบรอบ ๒๐๐ ปีเกิด โดยสุนทรภู่ได้แต่งเสภาขุนช้างขุนแผน ทั้งหมด ๑ ตอน ได้แก่ ตอนที่ ๒๔ กำเนิดพลายงาม ที่มา : https://images.app.goo.gl/F4iQKrSbr8wfcS5P8


๔ ครูแจ้ง วัดระฆัง เป็นกวีสมัยกรุงรัตนโกสินทร์รุ่นหลัง มีอายุอยู่มาจนถึงรัชกาลที่ ๕ แต่เดิมมีชื่อเสียงในการ เล่นเพลงที่เลื่องลือกันในรัชกาลที่ ๓ เป็นที่กล่าวขวัญถึงมากที่สุดว่ามีกวีโวหารโลดโผนและหยาบคาย โดย สำนวนของครูแจ้งมี ๕ ตอน คือ ตอนที่ ๑๖ กำเนิดกุมารทอง ตอนที่ ๒๙ ขุนแผนแก้พระท้ายน้ำ ตอนที่ ๓๐ ขุนแผนและพลายงามจับพระเจ้าเชียงใหม่ ตอนที่ ๓๑ ขุนแผนและพลายงามยกทัพกลับ ตอนที่ ๔๓ จระเข้เถรขวาด ลักษณะคำประพันธ์ เรื่องขุนช้างขุนแผนเป็นคำประพันธ์ ประเภทกลอนเสภา ๔๓ ตอน ซึ่งมีอยู่ ๘ ตอนที่ได้รับการยกย่อง ว่าแต่งดียอดเยี่ยมจากวรรณคดีสมาคม อันมีสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเป็น ประธานโดยลงมติเมื่อ พ.ศ.๒๔๗๔ และตอน ขุนช้างถวายฎีกาเป็นหนึ่ง ในแปดตอนที่ ได้รับการยกย่อง ลักษณะคำประพันธ์กลอนเสภาเป็นกลอนสุภาพ เสภาเป็นกลอนขั้นเล่าเรื่องอย่างเล่านิทานจึงใช้คำ มากเพื่อบรรจุข้อความให้ชัดเจนแก่ผู้ฟัง และมุ่งเอาการขับได้ ไพเราะเป็นสำคัญ สัมผัสของคำประพันธ์ คือ คำ สุดท้ายของวรรคต้น ส่งสัมผัสไปยังคำใดคำหนึ่งใน ๕ คำแรกของวรรคหลังสัมผัสวรรคอื่นและสัมผัสระหว่างบท เหมือนกลอนสุภาพ เนื้อเรื่องเต็มแบบย่อ ณ เมืองสุพรรณบุรี กล่าวถึงครอบครัวสามครอบครัว คือ ครอบครัวของขุนไกรพลพ่าย รับราชการทหาร มี ภรรยาชื่อ นางทองประศรี มีลูกชายด้วยกันชื่อพลายแก้ว ครอบครัวของขุนศรีวิชัย เศรษฐีใหญ่ของเมือง สุพรรณบุรี รับราชการเป็นนายกองกรมช้างนอก ภรรยาชื่อนางเทพทอง มีลูกชายชื่อขุนช้าง ซึ่งหัวล้านมาแต่ กำเนิด และครอบครัวของพันศร โยธาเป็นพ่อค้า ภรรยาชื่อ ศรีประจัน มีลูกสาวรูปร่างหน้าตางดงามชื่อ พิมพิลาไลย ต่อมาวันหนึ่งสมเด็จพระพันวษา มีความประสงค์จะล่าควายป่า จึงสั่งให้ขุนไกรปลูกพลับพลาและ ต้อนควายเตรียมไว้ แต่ควายป่าเหล่านั้นแตกตื่นไม่ยอมเข้าคอก ขุนไกรจึงใช้หอกแทงควายตายไปมากมาย ที่ รอชีวิตก็หนีเข้าป่าไป สมเด็จพระพันวษาโกรธมากสั่งให้ประหารชีวิตขุนไกรเสีย นางทองประศรีรู้ข่าวรีบพา พลายแก้วหนีไปอยู่เมืองกาญจนบุรีทางเมืองสุพรรณบุรี มีพวกโจรจันศรขึ้นปล้นบ้านของขุนศรีวิชัยและฆ่าขุน ศรีวิชัยตาย ส่วนพันศร โยธาเดินทางไปค้าขายต่างเมือง พอกลับมาถึงบ้านก็เป็นไข้ป่าตายเมื่อพลายแก้วอายุได้


๕ 15 ปีก็บวชเณรเรียนวิชาอยู่ที่วัดส้มใหญ่ แล้วย้ายไปเรียนต่อที่วัดป่าเลไลยก์ ต่อมาที่วัดป่าเลไลยก์จัดให้มี เทศน์มหาชาติ เณรพลายแก้วเทศน์กัณฑ์มัทรี ซึ่งนางพิมพิลาไลยเป็นเจ้าของกัณฑ์เทศน์ นางพิมพิลาไลย เลื่อมใสมากจนเปลื้องผ้าสไบบูชากัณฑ์เทศน์ ขุนช้างเห็นเช่นนั้นก็เปลื้องผ้าห่มของตนวางเคียงกับผ้าสไบของ นางพิมพิลาไลย อธิฐานขอให้ได้นางเป็นภรรยา ทำให้นางพิมพิลาไลยโกรธมาก ต่อมาเณรพลพลายแก้วก็สึก แล้วให้นางทองประศรีมาสู่ขอนางพิมพิลาไลยและแต่งงานกัน ทางกรุงศรีอยุธยาได้ข่าวว่ากองทัพเชียงใหม่ตีได้ เมืองเชียงทอง ซึ่งเป็นเมืองขึ้นของกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระพันวษาจึงถามหาเชื้อสายของขุนไกร ขุนช้างซึ่งเข้า ไปรับราชการอยู่จึงเล่าเรื่องราวความเก่งกล้าสามารถของพลายแก้ว เพื่อหวังจะพรากพลายแก้วไปให้ไกลนาง พิมพิลาไลย สมเด็จพระพันวษาจึงให้ไปตามตัวมา แล้วแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพไปรบกับเมืองเชียงใหม่และได้รับชัย ชนะ นายบ้านแสนคำแมนแห่งหมู่บ้านจอมทอง เห็นว่าพลายแก้วกับพวกทหารไม่ได้เบียดเบียนให้ชาวบ้าน เดือดร้อน จึงยกนางลาวทองลูกสาวของตนให้เป็นภรรยาของพลายแก้ว ส่วนนางพิมพิลาไลยเมื่อสามีไปทัพได้ ไม่นานก็ป่วยหนักรักษาเท่าไรก็ไม่หาย ขรัวตาจูวัดป่าเลไลยก์แนะนำให้เปลี่ยนชื่อเป็นวันทอง อาการไข้จึงหาย ขุนช้างทำอุบายนำหม้อใส่กระดูกไปให้นางศรีประจันกับนางวันทองดูว่าพลายแก้วตายแล้ว และขู่ว่านางวัน ทองจะต้องถูกคุมตัวไว้เป็นม่ายหลวงตามกฏหมาย นางวันทองไม่เชื่อ แต่นางศรีประจันคิดว่าจริง ประกอบกับ เห็นว่าขุนช้างเป็นเศรษฐีจึงบังคับให้นางวันทองแต่งงานกับขุนช้าง นางวันทองจำต้องตามใจแม่ แต่นางไม่ยอม เข้าหอ ขณะนั้นพลายแก้วกลับมาถึงกรุงศรีอยุธยาและได้บรรดาศักดิ์เป็นขุนแผนแสนสะท้าน จากนั้นก็พานาง ลาวทองกลับสุพรรณบุรี นางวันทองเห็นขุนแผนพาภรรยาใหม่มาด้วยก็โกรธด่าทอโต้ตอบกับนางลาวทองและ ลืมตัวพูดก้าวร้าวขุนแผน ทำให้ขุนแผนโมโหพานางลาวทองไปอยู่ที่กาญจนบุรี ส่วนนางวันทองก็ตกเป็นภรรยา ของขุนช้างอย่างจำใจต่อมาขุนช้างและขุนแผนเข้าไปรับการอบรมในวังและได้เป็นมหาดเล็กเวรทั้ง 2 คน วัน หนึ่งนางทองประศรีให้คนมาส่งข่าวว่านางลาวทองป่วยหนัก ขุนแผนจึงฝากเวรไว้กับขุนช้างแล้วไปดูอาการของ นางลาวทอง ตอนเช้าสมเด็จพระพันวษาถามถึงขุนแผนขุนช้างบอกว่าขุนแผนปีนกำแพงวังหนีไปหา ภรรยา สมเด็จพระพันวษาโกรธตรัสให้ขุนแผนตระเวนด่านที่กาญจนบุรี ห้ามเข้าเฝ้าและริบนางลาวทองเข้า เป็นม่ายหลวง ขุนแผนได้ทราบเรื่องก็โกรธขุนช้าง คิดจะแก้แค้นแต่ยังมีกำลังไม่พอ จึงออกตระเวนป่าไปโดย ลำพัง คิดจะหาอาวุธ ม้า และ กุมารทอง สำหรับป้องกันตัว ได้ตระเวนไปจนถึงถิ่นของหมื่นหาญนักเลงใหญ่ ได้ เข้าสมัครเข้าไปอยู่ด้วย เพราะหวังจะได้บัวคลี่ลูกสาวของหมื่นหาญ ได้ทำตัวนอบน้อมและตั้งใจทำงานเป็น อย่างดีจนเป็นที่รักใคร่ของหมื่นหาญถึงกับออกปากยกลูกสาวให้แต่งงานด้วย พอได้แต่งงานกับบัวคลี่แล้ว ขุนแผนก็ไม่ยอมทำงานร่วมกับหมื่นหาญ ทำให้หมื่นหาญโกรธคิดฆ่าขุนแผน เพราะขุนแผนอยู่ยงคงกระพันจึง ให้บัวคลี่ใส่ยาพิษลงในอาหารให้ขุนแผนกิน แต่ผีพรายมาบอกให้รู้ตัว ขุนแผนจึงทำอุบายเป็นไข้ไม่ยอมกิน อาหารแล้วออกปากขอลูกจากบัวคลี่ นางไม่รู้ความหมายก็ออกปากยกลูกให้ขุนแผน พอกลางคืนขณะที่บัวคลี่ นอนหลับขุนแผนก็ผ่าท้องนางแล้วนำลูกไปทำพิธีตอนเช้าหมื่นหาญและภรรยารู้ว่าลูกสาวถูกผ่าท้องตายก็ ติดตามขุนแผนไป แต่ก็สู้ขุนแผนไม่ได้ ขุนแผนเสก “กุมารทอง” สำเร็จ จึงออกเดินทางต่อไป แล้วไปหาช่างตี


๖ ดาบ หาเหล็ก และเครื่องใช้ต่าง ๆเตรียมไว้ตั้งพิธีตีดาบจนสำเร็จ ดาบนี้ให้ชื่อว่า “ดาบฟ้าฟื้น” ใช้เป็นอาวุธ ต่อไป หลังจากนั้นเดินทางไปหาม้า ได้ไปพบคณะจัดซื้อม้าหลวง ได้เห็นลูกม้าตัวหนึ่งมีลักษณะถูกต้องตาม ตำราก็ชอบใจ ได้ออกปากซื้อ เจ้าหน้าที่ก็ขายให้ในราคาถูก ขุนแผนจึงเสกหญ้าให้ม้ากิน และนำมาฝึกจนเป็น ม้าแสนรู้ให้ชื่อว่า “ม้าสีหมอก” เมื่อได้กุมารทอง ดาบฟ้าฟื้นและม้าสีหมอกครบตามความตั้งใจแล้วก็เดินทาง กลับบ้าน คิดจะไปแก้แค้นขุนช้าง นางทองประศรีมารดาห้ามปรามก็ไม่ฟัง ได้เดินทางออกจากกาญจนบุรีไปยัง สุพรรณบุรีขึ้นเรือนขุนช้าง ได้นางแก้วกิริยาลูกสาวพระยาสุโขทัยที่นำมาเป็นตัวจำนำไว้ในบ้านขุนช้างเป็น ภรรยา แล้วพาวันทองหนีออกจากบ้าน ขุนช้างตื่นได้ออกติดตามแต่ตามไม่ทัน ได้ไปทูลฟ้องสมเด็จพระพันวษา ให้กองทัพออกติดตามขุนแผน ขุนแผนไม่ยอมกลับได้ต่อสู้กับกองทัพทำให้ขุนเพชร ขุนรามถึงแก่ความตาย กองทัพต้องถอยกลับกรุง ขุนแผนจึงกลายเป็นกบฏ ต้องเที่ยวเร่ร่อนอยู่ในป่า จนนางวันทองตั้งท้องแก่ใกล้ คลอด ขุนแผนสงสารกลัวนางจะเป็นอันตรายจึงยอมเข้ามอบตัวกับพระพิจิตร พระพิจิตรได้ส่งตัวเข้าสู้คดีใน กรุง ขุนแผนชนะคดีและได้นางวันทองคืน ขุนแผนมีความคิดถึงลาวทอง ได้ขอให้จมื่นศรีช่วยขอให้ ขุนแผนถูก กริ้ว และถูกจำคุก แก้วกิริยาจึงตามไปปรนนิบัติในคุกวันหนึ่งขณะที่นางวันทองมาเยี่ยมขุนแผน ขุนช้างได้มา ฉุดนางวันทองไปจนนางวันทองคลอดลูกให้ชื่อว่า “พลายงาม” เมื่อขุนช้างรู้ว่าไม่ใช่ลูกของตัวเองจึงหลอก พลายงามไปฆ่าในป่า แต่ผีพรายของขุนแผนช่วยไว้ นางวันทองบอกความจริงและได้ให้พลายงามเดินทางไปอยู่ กับย่าทองประศรีที่กาญจนบุรี พลายงามอยู่กับย่าจนโต ได้บวชเป็นเณรและเล่าเรียนวิชาความรู้เก่งกล้าทั้งเวท มนตร์ คาถา และการสงคราม เมื่อมีโอกาสขุนแผนได้ให้จมื่นศรีนำพลายงามเข้าถวายตัวเป็นมหาดเล็ก เมื่อมี ศึกเชียงใหม่ พลายงามได้อาสาออกรบและทูลขอประทานอภัยโทษให้พ่อเพื่อไปรบ ขุนแผนและนางลาวทองจึง พ้นโทษ ขณะที่เดินทางไปทำสงครามนั้นผ่านเมืองพิจิตร ขุนแผนจึงแวะเยี่ยมพระพิจิตร เมื่อพลายงามได้พบ นางศรีมาลาลูกสาวพระพิจิตรก็หลงรัก จึงได้ลอบเข้าหานาง ขุนแผนจึงทำการหมั้นหมายไว้ เมื่อชนะศึก พระ เจ้าเชียงใหม่ได้ส่งสร้อยทอง และสร้อยฟ้ามาถวาย พระพันวษาได้แต่งตั้งขุนแผนเป็น “พระสุรินทรลือไชยมไห สูรย์ภักดี” ไปรั้งเมืองกาญจนบุรี และได้แต่งตั้งพลายงามเป็น “จมื่นไวยวรนาถ” และประทานสร้อยฟ้าให้แก่ พลายงาม จากนั้นก็ทรงจัดงานแต่งงานให้กับพลายงามขณะที่ทำพิธีแต่งงานขุนช้างได้วิวาทกับพลายงาม ขุน ช้างได้ทูลฟ้อง จึงโปรดให้มีการชำระความโดนการดำน้ำพิสูจน์ ขุนช้างแพ้ความ พระพันวษาโปรดให้ประหาร ชีวิต แต่พระไวยขอชีวิตไว้ ต่อมาพระไวยมีความคิดถึงแม่จึงไปรับนางวันทองมาอยู่ด้วย ขุนช้างติดตามไป แต่ พระไวยไม่ยอมให้ขุนช้างจึงถวายฎีกา พระพันวษาจึงตรัสให้นางวันทองเลือกว่าจะอยู่กับใคร นางมีความลังเล เลือกไม่ได้ว่าจะอยู่กับใคร พระพันวษาทรงโกรธจึงรับสั่งให้ประหารชีวิต แม้พระไวยจะขออภัยโทษได้แล้ว แต่ ด้วยเคราะห์ของนางวันทอง ทำให้เพชรฆาตเข้าใจผิดจึงประหารนางเสียก่อนเมื่อจัดงานศพนางวันทองแล้ว ขุนแผนได้เลื่อนเป็นพระกาญจนบุรี นางสร้อยฟ้าได้ให้เถรขวาดทำเสน่ห์ให้พระไวยหลงใหลนางและเกลียดชัง นางศรีมาลา พระกาญจนบุรีมาเตือน พระไวยโกรธลำเลิกบุญคุณกับพ่อ ทำให้พระกาญจนบุรีโกรธ คบคิดกับ พลายชุมพลลูกชายซึ่งเกิดจากนางแก้วกิริยาปลอมเป็นมอญยกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยา หวังจะให้พระไวยออก


๗ ต่อสู้ จะได้แก้แค้นได้สำเร็จ พระไวยรู้ตัวเพราะผีเปรตนางวันทองมาบอก พระพันวษาทรงทราบเรื่องโปรดให้มี การไต่สวน พลายชุมพลพิสูจน์ได้ว่า นางสร้อยฟ้ากับเถรขวาดได้ทำเสน่ห์จริงแต่นางสร้อยฟ้าไม่รับ จึงมีการ พิสูจน์โดยการลุยไฟ สร้อยฟ้าแพ้ พระพันวษาสั่งให้ประหาร แต่นางศรีมาลาทูลขอไว้ นางสร้อยฟ้าจึงถูก เนรเทศกลับไปเชียงใหม่ และคลอดลูกชื่อ พลายยง ต่อมานางศรีมาลาก็คลอดลูกชาย ขุนแผนจึงตั้งชื่อให้ว่า พลายเพชร เถรขวาดมีความแค้นพลายชุมพล จึงปลอมเป็นจระเข้ไล่กัดกินคนมาจากทางเหนือหวังจะแก้แค้น พลายชุมพล พระพันวษาโปรดให้พลายชุมพลไปปราบ จระเข้เถรขวาดสู้ไม่ได้ถูกจับตัวมาถวายพระพันวษา และถูกประหารในที่สุด พลายชุมพลได้รับแต่งตั้งเป็นหลวงนายฤทธิ์ เหตุการณ์ร้ายแรงผ่านไป ทุกคนก็อยู่อย่าง มีความสุข เนื้อเรื่องเต็ม (ตอนที่เรียน) หมื่นไวยฯ แม้จะอยู่บ้านอย่างสุขสบายพร้อมพรั่งทั้งญาติมิตรและภรรยา แต่ก็เกิดคิดถึงแม่ซึ่งก็คือนางวันทอง แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกโกรธที่แม่ต้องไปอยู่กับคนเลว ๆ อย่างขุนช้าง ทั้ง ๆ ที่พ่อของตนเป็นถึงขุนนาง หมื่น ไวย ฯ จึงคิดหาทางพาแม่กลับมาอยู่ด้วยกัน แต่บ้านของทั้งสองอยู่ห่างไกลกันมาก จมื่นไวย ฯ จึงต้องใช้วิชา อาคมในการเดินทางไปหาแม่ จมื่นไวย ฯ ใช้วิธีดูฤกษ์ยาม เอาเหล้าเช่นผีพรายเสกว่านยาทาตัว หยิบยันต์มา แปะไว้บนอก สวมมงคลที่ศีรษะ รวมไปถึงเป่ามนตร์ลงที่ดาบคู่ใจเพื่อเดินทางไปหานางวันทองที่เรือนของขุน ช้าง นอกจากเป่าคาถาอาคมสำหรับหายตัวแล้ว จมื่นไวย ฯ ยังเสกคาถาให้ผีที่คุ้มครองบ้านเรือนของขุนช้าง หายไปทั้งหมด และยังเป่ามนตร์ให้คนในเรือนหลับใหลไม่ได้สติ ซึ่งทำให้จมื่นไวยฯ เข้าไปหาแม่ที่ห้องของขุน ช้างได้ แต่เมื่อไปถึงก็เห็นภาพบาดตาบาดใจของแม่ตัวเองกับขุนช้าง แม้จะเดือดดาลมาก แต่หมื่นไวย ฯ ก็ สามารถสงบสติอารมณ์เพื่อให้ภารกิจสำเร็จได้หลังจากนั้น จมื่นไวย ฯ ก็เป่ามนตร์เพื่อให้แม่ตื่นจากการ หลับใหล เมื่อนางวันทองเห็นลูกชายก็สะดุ้งโหยง จมื่นไวย ฯ เข้าไปก้มกราบแม่ทั้งคู่กอดกันตามประสาแม่ลูก นางวันทองถามไถ่จมื่นไวย ฯ ถึงวัตถุประสงค์ในการมาครั้งนี้ ซึ่งก็ทำให้รู้ว่าลูกนั้นผูกใจเจ็บขุนข้างและมีความ คิดถึงตนเอง จึงหวังว่าจะพาตนเองไปอยู่ด้วย นางวันทองรู้ทันทีว่าการกระทำแบบนี้จะต้องนำปัญหามาสู่ตน และผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างแน่นอน นางวันทองจึงทัดทานลูกชาย เมื่อรู้ว่าแม่ไม่เต็มใจไปกับตน เพราะกลัวว่าจะเกิด ปัญหา และยังเสนอให้ไปเพ็ดทูลขอต่อพระพันวษา จมื่นไวย ฯ กลับไม่สนใจคำพูดของแม่ แถมยังขู่แม่กลับด้วย คำพูดที่ไม่สุภาพ จมื่นไวย ฯ ตัดพ้อนางวันทองว่าไม่รักตนที่เป็นลูก แต่ไม่ว่าอย่างไร ลูกผู้ชายอย่างตนจะพาแม่ ไปด้วยให้ได้แม้จะต้องตัดศีรษะแล้วทิ้งตัวแม่ไว้ที่นี่ก็จะทำ สุดท้ายนางวันทองเองก็ต้องยอม เหตุเพราะรักลูก และก็กลัวว่าลูกจะฟันคอของตน เมื่อมนต์คาถาเริ่มเสื่อมคลาย ขุนช้างเริ่มได้สติตื่นมาและรู้สึกงงงวยมองซ้าย มองขวาก็ไม่เห็นนางวันทองอยู่ข้างตัว ขุนช้างที่ยังไม่ได้สวมใส่เสื้อผ้าเลยแม้แต่น้อย ก็ลุกขึ้นอาละวาด จากนั้นก็ รีบออกไปตะโกนให้ข้าทาสออกตามหานางวันทองทั่วทั้งเรือนแต่ก็ไม่พบ ขุนช้างจึงสงสัยว่าอาจจะมีคนมา ลักพานางวันทองไปอีก และรู้สึกโมโห สุดขีด ฝ่ายจมื่นไวย ฯ เมื่อพาแม่กลับมาเรือนของตนเองได้สำเร็จแล้ว ก็ เกิดรู้สึกตัวขึ้นมาว่าจะต้องเกิดเรื่องใหญ่แน่ ๆ ดังนั้นจึงคิดหาทางแก้ปัญหาโดยให้หมื่นวิเศษผลลูกน้องของ ตนเองไปที่เรือนของขุนช้างเพื่อไปแจ้งว่าจมื่นไวย ฯ เกิดป่วยและอยากให้แม่ไปดูแลเมื่อได้ฟังข่าวจากหมื่น


๘ วิเศษผลขุนช้างก็รู้ทันทีว่าเป็นเรื่องโกหกและแค้นใจมากที่จมื่นไวย ฯ มากระทำแบบนี้บนเรือนของตน ขุนช้าง เพิ่งไปทูนฟ้องสมเด็จพระพันวษาแม้พระพันวษาจะรับฎีกาของขุนช้างแต่ก็ทรงกริ้วมากจึงให้คนนำตัวขุนข้างไป โบยเพื่อเป็นการทำโทษ และตั้งแต่นั้นพระพันวษาได้ตั้งกฎเกณฑ์ในการเข้าเฝ้าโดยห้ามให้ใครเข้าใกล้ พระมหากษัตริย์โดยไม่ได้รับอนุญาต และมีโทษประหารชีวิตเมื่อขุนแผนรู้ว่านางวันทองมาอาศัยอยู่ที่เรือนของ ลูกชายก็เกิดคิดถึง เมื่อนางลาวทองและนางแก้วกิริยาหลับก็แอบย่องไปหานางวันทองถึงห้อง โดยขุนแผนได้ เล้าโลมนางวันทอง อีกทั้งยังพูดคุยถึงเรื่องราวเก่า ๆ เพื่อปรับความเข้าใจกัน แต่นางวันทองไม่ได้ยินดีที่ขุนแผน มาทำเยี่ยงนี้ เพราะเกรงว่าจะมีโทษทัณฑ์ จึงได้บอกให้ขุนแผนไปกราบทูลขอต่อพระพันวษา คุยกันไปมาทั้ง สองก็พล็อยหลับไปและนางวันทองก็เกิดฝันร้ายนางวันทองตกใจตื่นและร้องไห้หนักมากจากนั้นก็เล่าความฝัน ให้ขุนแผนฟัง โดยขุนแผนได้ดูดวงตามตำราประกอบกับเวลายามที่นางวันทองฝัน จึงรู้ทันที่ว่านางวันทองดวง ถึงฆาตเสียแล้ว ขุนแผนจึงคิดสะเดาะเคราะห์ให้นางวันทองในตอนเช้า ฝ่ายพระพันวษาเมื่อออกราชการแล้ว เห็นหน้าขุนช้าง ก็นึกถึงความที่ขุนช้างนำมาฟ้องจึงเปิดฎีกาออก อ่านแล้วก็เกิดโมโหจึงสั่งให้พระหมื่นศรีไป ตามคู่ความมาพบที่ท้องพระโรง ขุนแผนนั้นรู้ดีอยู่แก่ใจว่านางวันทองมีชะตาถึงฆาต จึงพยายามใช้คาถาเมตตา มหานิยม ทาขี้ผึ้งที่ริมฝีปากและกินหมาก เพื่อหวังให้โชคชะตาที่ร้ายนั้นบรรเทาลง จากนั้น ขุนแผน จมื่นไวยวร นาถและนางวันทองก็เดินทางมาเข้าเฝ้าตามพระราชโองการข้างต้นเมื่อทั้งสามไปถึงพระพันวษาได้ต่อว่าจมื่น ไวย ฯ ที่ทำอะไรไม่เกรงใจกฎหมายบ้านเมือง ไม่เห็นแก่หน้าตาของพระพันวษาบ้าง จากนั้นจึงสอบสวนนางวัน ทองถึงสาเหตุที่ต้องไปอยู่กับขุนช้าง นางวันทองได้ตอบไปตามความจริงว่าเมื่อขุนแผนติดคุกและตนเองท้องแก่ ขุนช้างได้เข้ามาอ้างว่าเป็นพระราชประสงค์ของพระพันวษา ที่ต้องการให้ตนเองไปอยู่กับขุนข้าง ตนกลัวพระ ราชอำนาจ จึงไปอยู่กับขุนช้างโดยไม่เต็มใจพระพันวษาได้ยินดังนั้นก็โกรธมาก จึงต้องการชำระความนี้ให้ เด็ดขาดด้วยการให้นางวันทองเลือกว่าจะอยู่กับใครพระพันวษามองว่านางวันทองก็เหมือนกับ "รากแก้ว" ของ ปัญหานี้ถ้าตัดรากแก้วออกไป ใบไม้ซึ่งเปรียบได้กับปัญหาต่างๆ ก็จะเที่ยวตายไปแต่คงเป็นเวรกรรมของนางวัน ทองที่ดวงถึงฆาต จึงเกิดความประหม่าเลือกไม่ได้ กลัวว่าเลือกแล้วจะไม่ถูกพระทัย พระพันวษา เพราะขุนแผนก็เป็นรักแรกและนางวันทองยังคงรู้สึกกับขุนแผนเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนแปลง ส่วนขุนช้างก็ดูแลนางวันทองให้อยู่สุขสบายมาหลายปี ในขณะที่พลายงามเอง ก็เป็นลูกชายในไส้พระพันวษา เห็นนางวันทองลังเลใจ ก็โมโหสุดขีด ติดเครื่องด่านางวันทองอย่างหนัก ตรัสประนามนางวันทองว่าเป็นหญิง หลายใจ อย่าอยู่ให้หนักแผ่นดิน ให้เอาตัวไปฆ่าเสีย เนื้อเรื่อง เสภาขุนช้างขุนแผน ตอน ขุนช้างถวายฎีกา จะกล่าวถึงโฉมเจ้าพลายงาม เมื่อเป็นความชนะขุนช้างนั่น กลับมาอยู่บ้านสำราญครัน เกษมสันต์สองสมภิรมย์ยวน พร้อมญาติขาดอยู่แต่มารดา นึกนึกตรึกตราละห้อยหวน โอ้ว่าแม่วันทองช่างหมองนวล ไม่สมควรเคียงคู่กับขุนช้าง เออนี่เนื้อเคราะห์กรรมมานำผิด น่าอายมิตรหมองใจไม่หายหมาง


๙ ฝ่ายพ่อมีบุญเป็นขุนนาง แต่แม่ไปแนบข้างคนจัญไร รูปร่างวิปริตผิดกว่าคน ทรพลอัปรีย์ไม่ดีได้ ทั้งใจคอชั่วโฉดโหดไร้ ช่างไปหลงรักใคร่ได้เป็นดี วันนั้นแพ้กูเมื่อดำน้ำ ก็กริ้วซ้ำจะฆ่าให้เป็นผี แสนแค้นด้วยมารดายังปรานี ให้ไปขอชีวีขุนช้างไว้ แค้นแม่จำจะแก้ให้หายแค้น ไม่ทดแทนอ้ายขุนช้างบ้างไม่ได้ หมายจิตคิดจะให้มันบรรลัย ไม่สมใจจำเพาะเคราะห์มันดี อย่าเลยจะรับแม่กลับมา ให้อยู่ด้วยบิดาเกษมศรี พรากให้พ้นคนอุบาทว์ชาติอัปรีย์ ยิ่งคิดก็ยิ่งมีความโกรธา อัดอึดฮึดฮัดด้วยขัดใจ เมื่อไรตะวันจะลับหล้า เข้าห้องหวนละห้อยคอยเวลา จวนสุริยาเลี้ยวลับเมรุไกร เงียบสัตว์จัตุบททวิบาท ดาวดาษเดือนสว่างกระจ่างไข น้ำค้างตกกระเซ็นเย็นเยือกใจ สงัดเสียงคนใครไม่พูดจา ได้ยินเสียงฆ้องย่ำประจำวัง ลอยลมล่องดังถึงเคหา คะเนนับย่ำยามได้สามครา ดูเวลาปลอดห่วงทักทิน ฟ้าขาวดาวเด่นดวงสว่าง จันทร์กระจ่างทรงกลดหมดเมฆสิ้น จึงเซ่นเหล้าข้าวปลาให้พรายกิน เสกขมิ้นว่านยาเข้าทาตัว ลงยันต์ราชะเอาปะอก หยิบยกมงคลขึ้นใส่หัว เป่ามนตร์เบื้องบนชอุ่มมัว พรายยั่วยวนใจให้ไคลคลา จับดาบเคยปราบณรงค์รบ เสร็จครบบริกรรมพระคาถา ลงจากเรือนไปมิได้ช้า รีบมาถึงบ้านขุนช้างพลัน ฯ ๏ เห็นคนนอนล้อมอ้อมเป็นวง ประตูลั่นมั่นคงขอบรั้วกั้น กองไฟสว่างดังกลางวัน หมายสำคัญตรงมาหน้าประตู จึงร่ายมนตรามหาสะกด เสื่อมหมดอาถรรพ์ที่ฝังอยู่ ภูตพรายนายขุนช้างวางวิ่งพรู คนผู้ในบ้านก็ซานเซอะ ทั้งชายหญิงง่วงงมล้มหลับ นอนทับคว่ำหงายก่ายกันเปรอะ จี่ปลาคาไฟมันไหลเลอะ โงกเงอะงุยงมไม่สมประดี ใช้พรายถอดกลอนถอนลิ่ม รอยทิ่มถอดหลุดไปจากที่ ย่างเท้าก้าวไปในทันที มิได้มีใครทักแต่สักคน มีแต่หลับเพ้อมะเมอฝัน ทั้งไฟกองป้องกันทุกแห่งหน ผู้คนเงียบสำเนียงเสียงแต่กรน มาจนถึงเรือนเจ้าขุนช้าง จุดเทียนสะกดข้าวสารปราย ภูตพรายโดดเรือนสะเทือนผาง สะเดาะดาลบานเปิดหน้าต่างกาง ย่างเท้าก้าวขึ้นร้านดอกไม้


๑๐ หอมหวนอวลอบบุปผาชาติ เบิกบานก้านกลาดกิ่งไสว เรณูฟูร่อนขจรใจ ย่างเท้าก้าวไปไม่โครมคราม ข้าไทนอนหลับลงทับกัน สะเดาะกลอนถอนลั่นถึงชั้นสาม กระจกฉากหลากสลับวับแวมวาม อร่ามแสงโคมแก้วแววจับตา ม่านมู่ลี่มีฉากประจำกั้น อัฒจันทร์เครื่องแก้วก็หนักหนา ชมพลางย่างเยื้องชำเลืองมา เปิดมุ้งเห็นหน้าแม่วันทอง นิ่งนอนอยู่บนเตียงเคียงขุนช้าง มันแนบข้างกอดกลมประสมสอง เจ็บใจดังหัวใจจะพังพอง ขยับจ้องดาบง่าอยากฆ่าฟัน จะใคร่ถีบขุนช้างที่กลางตัว นึกกลัวจะถูกแม่วันทองนั่น พลางนั่งลงนอบนบอภิวันท์ สะอื้นอั้นอกแค้นน้ำตาคลอ โอ้แม่เจ้าประคุณของลูกเอ๋ย ไม่ควรเลยจะพรากจากคุณพ่อ เวรกรรมนำไปไม่รั้งรอ มิพอที่จะต้องพรากก็จากมา มันไปฉุดมารดาเอามาไว้ อ้ายหัวใสข่มเหงไม่เกรงหน้า ที่ทำแค้นกูจะแทนให้ทันตา ขอขมาแม่แล้วก็ขับพราย เป่าลงด้วยพระเวทวิทยา มารดาก็ฟื้นตื่นโดยง่าย ดาบใส่ฝักไว้ไม่เคลื่อนคลาย วันทองรู้สึกกายก็ลืมตา ฯ ๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าวันทอง ต้องมนต์มัวหมองเป็นหนักหนา ตื่นพลางทางชำเลืองนัยน์ตามา เห็นลูกยานั้นยืนอยู่ริมเตียง สำคัญคิดว่าผู้ร้ายให้นึกกลัว กอดผัวร้องดิ้นจนสิ้นเสียง ซวนซบหลบลงมาหมอบเมียง พระหมื่นไวยเข้าเคียงห้ามมารดา อะไรแม่แซ่ร้องทั้งห้องนอน ลูกร้อนรำคาญใจจึงมาหา จะร้องไยใช่โจรผู้ร้ายมา สนทนาด้วยลูกอย่าตกใจ ฯ ๏ ครานั้นวันทองผ่องโสภา ครั้นรู้ว่าลูกยาหากลัวไม่ ลุกออกมาพลันด้วยทันใด พระหมื่นไวยเข้ากอดเอาบาทา วันทองประคองสอดกอดลูกรัก ซบพักตร์ร้องไห้ไม่เงยหน้า เจ้ามาไยปานนี้นี่ลูกอา เขารักษาอยู่ทุกแห่งตำแหน่งใน ใส่ดาลบ้านช่องกองไฟรอบ พ่อช่างลอบเข้ามากะไรได้ อาจองทะนงตัวไม่กลัวภัย นี่พ่อใช้ฤๅว่าเจ้ามาเอง ขุนช้างตื่นขึ้นมิเป็นการ เขาจะรุกรานพาลข่มเหง จะเกิดผิดแม่คิดคะนึงเกรง ฉวยสบเพลงพลาดพล้ำมิเป็นการ มีธุระสิ่งไรในใจเจ้า พ่อจงเล่าแก่แม่แล้วกลับบ้าน มิควรทำเจ้าอย่าทำให้รำคาญ อย่าหาญเหมือนพ่อนักคะนองใจ ฯ ๏ จมื่นไวยสารภาพกราบบาทา ลูกมาผิดจริงหาเถียงไม่


๑๑ รักตัวกลัวผิดแต่คิดไป ก็หักใจเพราะรักแม่วันทอง ทุกวันนี้ลูกชายสบายยศ พร้อมหมดเมียมิ่งก็มีสอง มีบ่าวไพร่ใช้สอยทั้งเงินทอง พี่น้องข้างพ่อก็บริบูรณ์ ยังขาดแต่แม่คุณไม่แลเห็น เป็นอยู่ก็เหมือนตายไปหายสูญ ข้อนี้ที่ทุกข์ยังเพิ่มพูน ถ้าพร้อมมูลแม่ด้วยจะสำราญ ลูกมาหมายว่าจะมารับ เชิญแม่วันทองกลับคืนไปบ้าน แม้นจะบังเกิดเหตุเภทพาล ประการใดก็ตามแต่เวรา มาอยู่ไยกับไอ้หินชาติ แสนอุบาทว์ใจจิตริษยา ดังทองคำทำเลี่ยมปากกะลา หน้าตาดำเหมือนมินหม้อมอม เหมือนแมลงวันว่อนเคล้าที่เน่าชั่ว มาเกลือกกลั้วปทุมาลย์ที่หวานหอม ดอกมะเดื่อฤๅจะเจือดอกพะยอม ว่านักแม่จะตรอมระกำใจ แม่เลี้ยงลูกมาถึงเจ็ดขวบ เคราะห์ประจวบจากแม่หาเห็นไม่ จะคิดถึงลูกบ้างฤๅอย่างไร ฤๅหาไม่ใจแม่ไม่คิดเลย ถ้าคิดเห็นเอ็นดูว่าลูกเต้า แม่ทูนเกล้าไปเรือนอย่าเชือนเฉย ให้ลูกคลายอารมณ์ได้ชมเชย เหมือนเมื่อครั้งแม่เคยเลี้ยงลูกมา ฯ ๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าวันทอง เศร้าหมองด้วยลูกเป็นหนักหนา พ่อพลายงามทรามสวาดิของแม่อา แม่โศกาเกือบเจียนจะบรรลัย ใช่จะอิ่มเอิบอาบด้วยเงินทอง มิใช่ของตัวทำมาแต่ไหน ทั้งผู้คนช้างม้าแลข้าไท ไม่รักใคร่เหมือนกับพ่อพลายงาม ทุกวันนี้ใช่แม่จะผาสุก มีแต่ทุกข์ใจเจ็บดังเหน็บหนาม ต้องจำจนทนกรรมที่ติดตาม จะขืนความคิดไปก็ใช่ที เมื่อพ่อเจ้าเข้าคุกแม่ท้องแก่ เขาฉุดแม่ใช่จะแกล้งแหนงหนี ถึงพ่อเจ้าเล่าไม่รู้ว่าร้ายดี เป็นหลายปีแม่มาอยู่กับขุนช้าง เมื่อพ่อเจ้ากลับมาแต่เชียงใหม่ ไม่เพ็ดทูลสิ่งไรแต่สักอย่าง เมื่อคราวตัวแม่เป็นคนกลาง ท่านก็วางบทคืนให้บิดา เจ้าเป็นถึงหัวหมื่นมหาดเล็ก มิใช่เด็กดอกจงฟังคำแม่ว่า จงเร่งกลับไปคิดกับบิดา ฟ้องหากราบทูลพระทรงธรรม์ พระองค์คงจะโปรดประทานให้ จะปรากฏยศไกรเฉิดฉัน อันจะมาลักพาไม่ว่ากัน เช่นนั้นใจแม่มิเต็มใจ ฯ ๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าพลายงาม ฟังความเห็นว่าแม่หาไปไม่ คิดบ่ายเบี่ยงเลี่ยงเลี้ยวเบี้ยวบิดไป เพราะรักไอ้ขุนช้างกว่าบิดา จึงว่าอนิจจาลูกมารับ แม่ยังกลับทัดทานเป็นหนักหนา เหมือนไม่มีรักใคร่ในลูกยา อุตส่าห์มารับแล้วยังมิไป


๑๒ เสียแรงเป็นลูกผู้ชายไม่อายเพื่อน จะพาแม่ไปเรือนให้จงได้ แม้นมิไปให้งามก็ตามใจ จะบาปกรรมอย่างไรก็ตามที จะตัดเอาศีรษะของแม่ไป ทิ้งแต่ตัวไว้ให้อยู่นี่ แม่อย่าเจรจาให้ช้าที จวนแจ้งแสงศรีจะรีบไป ฯ ๏ ครานั้นวันทองผ่องโสภา เห็นลูกยากัดฟันมันไส้ ถือดาบฟ้าฟื้นยืนแกว่งไกว ตกใจกลัวว่าจะฆ่าฟัน จึงปลอบว่าพลายงามพ่อทรามรัก อย่าฮึกฮักว้าวุ่นทำหุนหัน จงครวญใคร่ให้เห็นข้อสำคัญ แม่นี้พรั่นกลัวแต่จะเกิดความ ด้วยเป็นข้าลักไปไทลักมา เห็นเบื้องหน้าจะอึงแม่จึงห้าม ถ้าเห็นเจ้าเป็นสุขไม่ลุกลาม ก็ตามเถิดมารดาจะคลาไคล ว่าพลางนางลุกออกจากห้อง เศร้าหมองโศกาน้ำตาไหล พระหมื่นไวยก็พามารดาไป พอรุ่งแจ้งแสงใสก็ถึงเรือน ฯ ๏ จะกล่าวถึงเจ้าจอมหม่อมขุนช้างนอนครางหลับกรนอยู่ป่นเปื้อน อัศจรรย์ฝันแปรแชเชือน ว่าขี้เรื้อนขึ้นตัวทั่วทั้งนั้น หาหมอมารักษายาเข้าปรอท มันกินปอดตับไตออกไหลลั่น ทั้งไส้น้อยไส้ใหญ่แลไส้ตัน ฟันฟางก็หักจากปากตัว ตกใจตื่นผวาคว้าวันทอง ร้องว่าแม่คุณแม่ช่วยผัว ลุกขึ้นงกงันตัวสั่นรัว ให้นึกกลัวปรอทจะตอดตาย ลืมตาเหลียวหาเจ้าวันทอง ไม่เห็นน้องห้องสว่างตะวันสาย ผ้าผ่อนล่อนแก่นไม่ติดกาย เห็นม่านขาดเรี่ยรายประหลาดใจ ตะโกนเรียกในห้องวันทองเอ๋ย หาขานรับเช่นเคยสักคำไม่ ทั้งข้าวของมากมายก็หายไป ปากประตูเปิดไว้ไม่ใส่กลอน พลางเรียกหาข้าไทอยู่ว้าวุ่น อีอุ่นอีอิ่มอีฉิมอีสอน อีมีอีมาอีสาคร นิ่งนอนไยหวามาหากู บ่าวผู้หญิงวิ่งไปอยู่งกงัน เห็นนายนั้นแก้ผ้ากางขาอยู่ ต่างคนทรุดนั่งบังประตู ตกตะลึงแลดูไม่เข้ามา ขุนช้างเห็นข้าไม่มาใกล้ ขัดใจลุกขึ้นทั้งแก้ผ้า แหงนเถ่อเป้อปังยืนจังก้า ย่างเท้าก้าวมาไม่รู้ตัว ยายจันงันงกยกมือไหว้ นั่นพ่อจะไปไหนพ่อทูนหัว ไม่นุ่งผ่อนนุ่งผ้าดูน่ากลัว ขุนช้างมองดูตัวก็ตกใจ สองมือปิดขาเหมือนท่าเปรต ใครมาเทศน์เอาผ้ากูไปไหน ให้นึกอดสูหมู่ข้าไท ยายจันไปเอาผ้าให้ข้าที ยายจันตกใจเต็มประดา เข้าไปฉวยผ้าเอามาคลี่


๑๓ หยิบยื่นส่งไปให้ทันที เมินหนีอดสูไม่ดูนาย ขุนช้างตัวสั่นทาวบอกบ่าวไพร่ วันทองไปไหนอย่างไรหาย เอ็งไปดูให้รู้ซึ่งแยบคาย พบแล้วอย่าวุ่นวายให้เชิญมา ฯ ๏ ข้าไทได้ฟังขุนช้างใช้ ต่างเที่ยวค้นด้นไปจะเอาหน้า ทั้งห้องนอกห้องในไม่พบพา ทั่วเคหาแล้วไปค้นจนแผ่นดิน เห็นประตูรั้วบ้านบานเปิดกว้าง ผู้คนนอนสล้างไม่ตื่นสิ้น เสาแรกแตกต้นเป็นมลทิน กินใจกลับมาหาขุนช้าง บอกว่าได้ค้นคว้าหาพบไม่ แล้วเล่าแจ้งเหตุไปสิ้นทุกอย่าง ข้าเห็นวิปริตผิดท่าทาง ที่นวลนางวันทองนั้นหายไป ฯ ๏ ครานั้นขุนช้างฟังบ่าวบอก เหงื่อออกโซมล้านกระบานใส คิดคิดให้แค้นแสนเจ็บใจ ช่างทำได้ต่างต่างทุกอย่างจริง สองหนสามหนก่นแต่หนี พลั้งทีลงไม่รอดนางยอดหญิง คราวนั้นอ้ายขุนแผนมันแง้นชิง นี่คราวนี้หนีวิ่งไปตามใคร ไม่คิดว่าจะเป็นเห็นว่าแก่ ยังสาระแนหลบลี้หนีไปไหน เอาเถิดเป็นไรก็เป็นไป ไม่เอากลับมาได้มิใช่กู ฯ ๏ จะกล่าวถึงโฉมเจ้าพลายงาม เกรงเนื้อความนั่งนึกตรึกตรองอยู่ อ้ายขุนช้างสารพัดเป็นศัตรู ถ้ามันรู้ว่าลักเอาแม่มา มันก็จะสอดแนมแกมเท็จ ไปกราบทูลสมเด็จพระพันวษา ดูจะระแวงผิดในกิจจา มารดาก็จะต้องซึ่งโทษภัย คิดแล้วเรียกหมื่นวิเศษผล เอ็งเป็นคนเคยชอบอัชฌาสัย จงไปบ้านขุนช้างด้วยทันใด ไกล่เกลี่ยเสียอย่าให้มันโกรธา บอกว่าเราจับไข้มาหลายวัน เกรงแม่จะไม่ทันมาเห็นหน้า เมื่อคืนนี้ซ้ำมีอันเป็นมา เราใช้คนไปหาแม่วันทอง พอขณะมารดามาส่งทุกข์ ร้องปลุกเข้าไปถึงในห้อง จึงรีบมาเร็วไวดังใจปอง รักษาจนแสงทองสว่างฟ้า ไม่ตายคลายคืนฟื้นขึ้นได้ กูขอแม่ไว้พอเห็นหน้า แต่พอให้เคลื่อนคลายหลายเวลา จึงจะส่งมารดานั้นคืนไป ฯ ๏ หมื่นวิเศษรับคำแล้วอำลา รีบมาบ้านขุนช้างหาช้าไม่ ครั้นถึงแอบดูอยู่แต่ไกล เห็นผู้คนขวักไขว่ทั้งเรือนชาน ขุนช้างนั่งเยี่ยมหน้าต่างเรือน ดูหน้าเฝื่อนทีโกรธอยู่งุ่นง่าน จะดื้อเดินเข้าไปไม่เป็นการ คิดแล้วลงคลานเข้าประตู ฯ ๏ ครานั้นเจ้าจอมหม่อมขุนช้าง นั่งคาหน้าต่างเยี่ยมหน้าอยู่ เห็นคนคลานเข้ามาเหลือบตาดู นี่มาล้อหลอกกูฤๅอย่างไร


๑๔ อะไรพอสว่างวางเข้ามา เด็กหวาจับถองให้จงได้ ลุกขึ้นถกเขมรร้องเกนไป ทุดอ้ายไพร่ขี้ครอกหลอกผู้ดี ฯ ๏ ครานั้นวิเศษผลคนว่องไว ยกมือขึ้นไหว้ไม่วิ่งหนี ร้องตอบไปพลันในทันที คนดีดอกข้าไหว้ใช่คนพาล ข้าพเจ้าเป็นบ่าวพระหมื่นไวย เป็นขุนหมื่นรับใช้อยู่ในบ้าน ท่านใช้ให้กระผมมากราบกราน ขอประทานคืนนี้พระหมื่นไวย เจ็บจุกปัจจุบันมีอันเป็น แก้ไขก็เห็นหาหายไม่ ร้องโอดโดดดิ้นเพียงสิ้นใจ จึงใช้ให้ตัวข้ามาแจ้งการ พอพบท่านมารดามาส่งทุกข์ ข้าพเจ้าร้องปลุกไปในบ้าน จะกลับขึ้นเคหาเห็นช้านาน ท่านจึงรีบไปในกลางคืน พยาบาลคุณพระนายพอคลายไข้ คุณอย่าสงสัยว่าไปอื่น ให้คำมั่นสั่งมาว่ายั่งยืน พอหายเจ็บแล้วจะคืนไม่นอนใจ ฯ ๏ ครานั้นขุนช้างได้ฟังว่า แค้นดังเลือดตาจะหลั่งไหล ดับโมโหโกรธาทำว่าไป เราก็ไม่ว่าไรสุดแต่ดี การไข้เจ็บล้มตายไม่วายเว้น ประจุบันอันเป็นทั้งกรุงศรี ถ้าขัดสนสิ่งไรที่ไม่มี ก็มาเอาที่นี่อย่าเกรงใจ ว่าแล้วปิดบานหน้าต่างผาง ขุนช้างเดือดดาลทะยานไส้ ทอดตัวลงกับหมอนถอนฤทัย ดูดู๋เป็นได้เจียววันทอง เพราะกูแพ้ความจมื่นไวย มันจึงเหิมใจทำจองหอง พ่อลูกแม่ลูกถูกทำนอง ถึงสองครั้งแล้วเป็นแต่เช่นนี้ อ้ายพ่อไปเชียงใหม่มีชัยมา ตั้งตัวดังพระยาราชสีห์ อ้ายลูกเป็นหมื่นไวยทำไมมี เห็นกูนี้คนผิดติดโทษทัณฑ์ มันจึงข่มเหงไม่เกรงใจ จะพึ่งพาใครได้ที่ไหนนั่น ขุนนางน้อยใหญ่เกรงใจกัน ถึงฟ้องมันก็จะปิดให้มิดไป ตามบุญตามกรรมได้ทำมา จะเฆี่ยนฆ่าหาคิดชีวิตไม่ ยิ่งคิดเดือดดาลทะยานใจ แต่ ฉวยได้กระดานชนวนมา ร่างฟ้องท่องเทียบให้เรียบร้อย ถ้อยคำถี่ถ้วนเป็นหนักหนา ลงกระดาษพับไว้มิได้ช้า อาบน้ำผลัดผ้าแล้วคลาไคล วันนั้นพอพระปิ่นนรินทร์ราช เสด็จประพาสบัวยังหากลับไม่ ขุนช้างมาถึงซึ่งวังใน ก็คอยจ้องที่ใต้ตำหนักน้ำ ฯ ๏ จะกล่าวถึงพระองค์ผู้ทรงเดช เสด็จคืนนิเวศน์พอจวบค่ำ ฝีพายรายเล่มมาเต็มลำ เรือประจำแหนแห่เซ็งแซ่มา พอเรือพระที่นั่งประทับที่ ขุนช้างก็รี่ลงตีนท่า


๑๕ ลอยคอชูหนังสือดื้อเข้ามา ผุดโผล่โงหน้ายึดแคมเรือ เข้าตรงบโทนอ้นต้นกัญญา เพื่อนโขกลงด้วยกะลาว่าผีเสื้อ มหาดเล็กอยู่งานพัดพลัดตกเรือ ร้องว่าเสือตัวใหญ่ว่ายน้ำมา ขุนช้างดึงดื้อมือยึดเรือ มิใช่เสือกระหม่อมฉานล้านเกศา สู้ตายขอถวายซึ่งฎีกา แค้นเหลือปัญญาจะทานทน ฯ ๏ ครานั้นสมเด็จพระพันวษา ทรงพระโกรธาโกลาหล ทุดอ้ายจัญไรมิใช่คน บนบกบนฝั่งดังไม่มี ใช่ที่ใช่ทางวางเข้ามา ฤๅอ้ายช้างเป็นบ้ากระมังนี่ เฮ้ยใครรับฟ้องของมันที ตีเสียสามสิบจึงปล่อยไป มหาดเล็กก็รับเอาฟ้องมา ตำรวจคว้าขุนช้างหาวางไม่ ลงพระราชอาญาตามว่าไว้ พระจึงให้ตั้งกฤษฎีกา ว่าตั้งแต่วันนี้สืบต่อไป หน้าที่ของผู้ใดให้รักษา ถ้าประมาทราชการไม่นำพา ปล่อยให้ใครเข้ามาในล้อมวง ระวางโทษเบ็ดเสร็จเจ็ดสถาน ถึงประหารชีวิตเป็นผุยผง ตามกฤษฎีการักษาพระองค์ แล้วลงจากพระที่นั่งเข้าวังใน ฯ ๏ จะกล่าวถึงขุนแผนแสนสนิท เรืองฤทธิฦๅจบพิภพไหว อยู่บ้านสุขเกษมเปรมใจ สมสนิทพิสมัยด้วยสองนาง ลาวทองกับเจ้าแก้วกิริยา ปรนนิบัติวัตถาไม่ห่างข้าง เพลิดเพลินจำเริญใจไม่เว้นวาง คืนนั้นในกลางซึ่งราตรี นางแก้วลาวทองทั้งสองหลับ ขุนแผนกลับผวาตื่นฟื้นจากที่ พระจันทรจรแจ่มกระจ่างดี พระพายพัดมาลีตรลบไป คิดคะนึงถึงมิตรแต่ก่อนเก่า นิจจาเจ้าเหินห่างร้างพิสมัย ถึงสองครั้งตั้งแต่พรากจากพี่ไป ดังเด็ดใจจากร่างก็ราวกัน กูก็ชั่วมัวรักแต่สองนาง ละวางให้วันทองน้องโศกศัลย์ เมื่อตีได้เชียงใหม่ก็โปรดครัน จะเพ็ดทูลคราวนั้นก็คล่องใจ สารพัดที่จะว่าได้ทุกอย่าง อ้ายขุนช้างไหนจะโต้จะตอบได้ ไม่ควรเลยเฉยมาไม่อาลัย บัดนี้เล่าเจ้าไวยไปรับมา จำกูจะไปสู่สวาดิน้อง เจ้าวันทองจะคอยละห้อยหา คิดพลางจัดแจงแต่งกายา น้ำอบทาหอมฟุ้งจรุงใจ ออกจากห้องย่องเดินดำเนินมา ถึงเรือนลูกยาหาช้าไม่ เข้าห้องวันทองในทันใด เห็นนางหลับใหลนิ่งนิทรา ลดตัวลงนั่งข้างวันทอง เตือนต้องด้วยความเสนหา สั่นปลุกลุกขึ้นเถิดน้องอา พี่มาหาแล้วอย่านอนเลย ฯ


๑๖ ๏ นางวันทองตื่นอยู่รู้สึกตัว หมายใจว่าผัวก็ทำเฉย นิ่งดูอารมณ์ที่ชมเชย จะรักจริงฤๅจะเปรยเป็นจำใจ แต่นิ่งดูกิริยาเป็นช้านาน หาว่าขานโต้ตอบอย่างไรไม่ ทั้งรักทั้งแค้นแน่นฤทัย ความอาลัยปั่นป่วนยวนวิญญาณ์ ฯ ๏ โอ้เจ้าแก้วแววตาของพี่เอ๋ย เจ้าหลับใหลกะไรเลยเป็นหนักหนา ดังนิ่มน้องหมองใจไม่นำพา ฤๅขัดเคืองคิดว่าพี่ทอดทิ้ง ความรักหนักหน่วงทรวงสวาดิ พี่ไม่คลาศคลายรักแต่สักสิ่ง เผอิญเป็นวิปริตพี่ผิดจริง จะนอนนิ่งถือโทษโกรธอยู่ไย ว่าพลางเอนแอบลงแนบข้าง จูบพลางชวนชิดพิสมัย ลูบไล้พิไรปลอบให้ชอบใจ เป็นไรจึงไม่ฟื้นตื่นนิทรา ฯ ๏ เจ้าวันทองน้องตื่นจากที่นอน โอนอ่อนวอนไหว้พิไรว่า หม่อมน้อยใจฤๅที่ไม่เจรจา ใช่ตัวข้านี้จะงอนค่อนพิไร ชอบผิดพ่อจงคิดคะนึงตรอง อันตัวน้องมลทินหาสิ้นไม่ ประหนึ่งว่าวันทองนี้สองใจ พบไหนก็เป็นแต่เช่นนั้น ที่จริงใจถึงไปอยู่เรือนอื่น คงคิดคืนที่หม่อมเป็นแม่นมั่น ด้วยรักลูกรักผัวยังพัวพัน คราวนั้นก็ไปอยู่เพราะจำใจ แค้นคิดด้วยมิตรไม่รักเลย ยามมีที่เชยเฉยเสียได้ เสียแรงร่วมทุกข์ยากกันกลางไพร กินผลไม้ต่างข้าวทุกเพรางาย พอได้ดีมีสุขลืมทุกข์ยาก ก็เพราะหากหม่อมมีซึ่งที่หมาย ว่านักก็เครื่องเคืองระคาย เอ็นดูน้องอย่าให้อายเขาอิกเลย ฯ ๏ พี่ผิดจริงแล้วเจ้าวันทอง เหมือนลืมน้องหลงเลือนทำเชือนเฉย ใช่จะเพลิดเพลินชื่นเพราะอื่นเชย เงยหน้าเถิดจะเล่าอย่าเฝ้าแค้น เมื่อติดคุกทุกข์ถึงเจ้าทุกเช้าค่ำ ต้องกลืนกล้ำโศกเศร้านั้นเหลือแสน ซ้ำขุนช้างคิดคดทำทดแทน มันดูแคลนว่าพี่นี้ยากยับ อาลัยเจ้าเท่ากับดวงชีวิตพี่ คิดจะหนีไปตามเอาเจ้ากลับ เกรงจะพากันผิดเข้าติดทับ แต่ขยับอยู่จนได้ไปเชียงอินท์ กลับมาหมายว่าจะไปตาม พอเจ้าไวยเป็นความก็ค้างสิ้น หัวอกใครได้แค้นในแผ่นดิน ไม่เดือดดิ้นเท่าพี่กับวันทอง คิดอยู่ว่าจะทูลพระพันวษา เห็นช้ากว่าจะได้มาร่วมห้อง จะเป็นความอิกก็ตามแต่ทำนอง จึงให้ลูกรับน้องมาร่วมเรือน จะเป็นตายง่ายยากไม่ยากรัก จะฟูมฟักเหมือนเมื่ออยู่ในกลางเถื่อน ขอโทษที่พี่ผิดอย่าบิดเบือน เจ้าเพื่อนเสนหาจงอาลัย พี่ผิดพี่ก็มาลุแก่โทษ จะคุมโกรธคุมแค้นไปถึงไหน


๑๗ ความรักพี่ยังรักระงมใจ อย่าตัดไมตรีตรึงให้ตรอมตาย ว่าพลางทางแอบเข้าแนบอก ประคองยกของสำคัญมั่นหมาย เจ้าเนื้อทิพหยิบชื่นอารมณ์ชาย ขอสบายสักหน่อยอย่าโกรธา ฯ ๏ ใจน้องมิให้หมองอารมณ์หม่อม ไม่ตัดใจให้ตรอมเสนหา ถ้าตัดรักหักใจแล้วไม่มา หม่อมอย่าว่าเลยว่าฉันไม่คืนคิด ถึงตัวไปใจยังนับอยู่ว่าผัว น้องนี้กลัวบาปทับเมื่อดับจิต หญิงเดียวชายครองเป็นสองมิตร ถ้ามิปลิดเสียให้เปลื้องไม่ตามใจ คราวนั้นเมื่อตามไปกลางป่า หน้าดำเหมือนหนึ่งทามินหม้อไหม้ ชนะความงามหน้าดังเทียนชัย เขาฉุดไปเหมือนลงทะเลลึก เจ้าพลายงามตามรับเอากลับมา ทีนี้หน้าจะดำเป็นน้ำหมึก กำเริบใจด้วยเจ้าไวยกำลังฮึก จะพาแม่ตกลึกให้จำตาย มิใช่หนุ่มดอกอย่ากลุ้มกำเริบรัก เอาความผิดคิดหักให้เหือดหาย ถ้ารักน้องป้องปิดให้มิดอาย ฉันกลับกลายแล้วหม่อมจงฟาดฟัน ไปเพ็ดทูลเสียให้ทูลกระหม่อมแจ้ง น้องจะแต่งบายศรีไว้เชิญขวัญ ไม่พักวอนดอกจะนอนอยู่ด้วยกัน ไม่เช่นนั้นฉันไม่เลยจะเคยตัว ฯ ๏ นิจจาใจเจ้าจะให้พี่เจ็บจิตร ดังเอากฤชแกระกรีดในอกผัว เกรงผิดคิดบาปจึงหลาบกลัว พี่นี้ชั่วเพราะหมิ่นประมาทความ อื่นไกลไหนพี่จะละเล่า นี่เจ้าว่าดอกจะยั้งไว้ฟังห้าม เสียแรงมาว่าวอนจงผ่อนตาม อย่าหวงห้ามเสนหาให้ช้าวัน ว่าพลางคลึงเคล้าเข้าแนบข้าง จูบพลางทางปลอบประโลมขวัญ ก่ายกอดสอดเกี่ยวพัลวัน วันทองกั้นกีดไว้ไม่ตามใจ พลิกผลักชักชวนให้ชื่นชิด เบือนบิดแบ่งรักหาร่วมไม่ สยดสยองพองเสียวแสยงใจ พระพายพัดมาลัยตรลบลอย แมลงภู่เฝ้าเคล้าไม้ในไพรชัฏ ไม่เบิกบานก้านกลัดเกสรสร้อย บันดาลคงคาทิพกะปริบกะปรอย พรมพร้อยท้องฟ้านภาลัย อสนีครื้นครั่นสนั่นก้อง น้ำฟ้าหาต้องดอกไม้ไม่ กระเซ็นรอบขอบสระสมุทไท หวิวใจแล้วก็หลับกับเตียงนอน ฯ ๏ ครั้นเวลาดึกกำดัดสงัดเงียบ ใบไม้แห้งแกร่งเกรียบระรุบร่อน พระพายโชยเสาวรสขจายจร พระจันทรแจ่มแจ้งกระจ่างดวง ดุเหว่าเร้าเสียงสำเนียงก้อง ระฆังฆ้องขานแข่งในวังหลวง วันทองน้องนอนสนิททรวง จิตรง่วงระงับสู่ภวังค์ ฝันว่าพลัดไปในไพรเถื่อน เลื่อนเปื้อนไม่รู้ที่จะกลับหลัง ลดเลี้ยวเที่ยงหลงในดงรัง ยังมีพยัคฆร้ายมาราวี


๑๘ ทั้งสองมองหมอบอยู่ริมทาง พอนางดั้นป่ามาถึงที่ โดดตะครุบคาดคั้นในทันที แล้วฉุดคร่าพารี่ไปในไพร สิ้นฝันครั้นตื่นตกประหม่า หวีดผวากอดผัวสะอื้นไห้ เล่าความบอกผัวด้วยกลัวภัย ประหลาดใจน้องฝันพรั่นอุรา ใต้เตียงเสียงหนูก็กุกกก แมลงมุมทุ่มอกที่ริมฝา ยิ่งหวาดหวั่นพรั่นตัวกลัวมรณา ดังวิญญาณ์นางจะพรากไปจากกาย ฯ ๏ ครานั้นขุนแผนแสนสนิท ฟังความตามนิมิตก็ใจหาย ครั้งนี้น่าจะมีอันตราย ฝันร้ายสาหัสตัดตำรา พิเคราะห์ดูทั้งยามอัฐกาล ก็บันดาลฤกษ์แรงเป็นหนักหนา มิรู้ที่จะแถลงแจ้งกิจจา กอดเมียเมินหน้าน้ำตากระเด็น จึงแกล้งเพทุบายทำนายไป ฝันอย่างนี้มิใช่จะเกิดเข็ญ เพราะวิตกหมกไหม้จึงได้เป็น เนื้อเย็นอยู่กับผัวอย่ากลัวทุกข์ พรุ่งนี้พี่จะแก้เสนียดฝัน แล้วทำมิ่งสิ่งขวัญให้เป็นสุข มิให้เกิดราคีกลียุค อย่าเป็นทุกข์เลยเจ้าจงเบาใจ ฯ ๏ ครั้นว่ารุ่งสางสว่างฟ้า สุริยาแย้มเยี่ยมเหลี่ยมไศล จะกล่าวถึงพระองค์ผู้ทรงชัย เนาในพระที่นั่งบัลลังก์รัตน์ พร้อมด้วยพระกำนัลนักสนม หมอบประนมเฝ้าแหนแน่นขนัด ประจำตั้งเครื่องอานอยู่งานพัด ทรงเคืองขัดขุนช้างแต่กลางคืน แสนถ่อยใครจะถ่อยเหมือนมันบ้าง ทุกอย่างที่จะชั่วอ้ายหัวลื่น เวียนแต่เป็นถ้อยความไม่ข้ามคืน น้ำยืนหยั่งไม่ถึงยังดึงมา คราวนั้นฟ้องกันด้วยวันทอง นี่มันฟ้องใครอิกไอ้ชาติข้า ดำริพลางทางเสด็จยาตรา ออกมาพระที่นั่งจักรพรรดิ พระสูตรรูดกร่างกระจ่างองค์ ขุนนางกราบราบลงเป็นขนัด ทั้งหน้าหลังเบียดเสียดเยียดยัด หมอบอัดถัดกันเป็นหลั่นไป ทอดพระเนตรมาเห็นขุนช้างเฝ้า เออใครเอาฟ้องมันไปไว้ไหน พระหมื่นศรีถวายพลันในทันใด รับไว้คลี่ทอดพระเนตรพลัน พอทรงจบแจ้งพระทัยในข้อหา ก็โกรธาเคืองขุ่นหุนหัน มันเคี่ยวเข็ญทำเป็นอย่างไรกัน อีวันทองคนเดียวไม่รู้แล้ว ราวกับไม่มีหญิงเฝ้าชิงกัน ฤๅอีวันทองนั้นมันมีแก้ว รูปอ้ายช้างชั่วช้าตาแบ้งแบว ไม่เห็นแววที่ว่ามันจะรัก ใครจะเอาเป็นผัวเขากลัวอาย หัวหูดูเหมือนควายที่ตกปลัก คราวนั้นเป็นความกูถามซัก ตกหนักอยู่กับเถ้าศรีประจัน วันทองกูสิให้กับไอ้แผน ไยแล่นมาอยู่กับอ้ายช้างนั่น


๑๙ จมื่นศรีไปเอาตัวมันมาพลัน ทั้งวันทองขุนแผนอ้ายหมื่นไวย ฯ ๏ ฝ่ายพระหมื่นศรีได้รับสั่ง ถอยหลังออกมาไม่ช้าได้ สั่งเวรกรมวังในทันใด ตำรวจในวิ่งตะบึงมาถึงพลัน ขึ้นไปบนเรือนพระหมื่นไวย แจ้งข้อรับสั่งไปขมีขมัน ขุนช้างฟ้องร้องฎีกาพระทรงธรรม์ ให้หาทั้งสามทั่นนั้นเข้าไป ฯ ๏ ครานั้นวันทองเจ้าพลายงาม ได้ฟังความคร้ามครั่นหวั่นไหว ขุนแผนเรียกวันทองเข้าห้องใน ไม่ไว้ใจจึงเสกด้วยเวทมนตร์ สีขี้ผึ้งสีปากกินหมากเวท ซึ่งวิเศษสารพัดแก้ขัดสน น้ำมันพรายน้ำมันจันทน์สรรเสกปน เคยคุ้มขังบังตนแต่ไรมา แล้วทำผงอิทธิเจเข้าเจิมพักตร์ คนเห็นคนทักรักทุกหน้า เสกกระแจะจวงจันทน์น้ำมันทา เสร็จแล้วก็พาวันทองไป ฯ ๏ ครานั้นทองประศรีผู้มารดา ครั้นได้แจ้งกิจจาไม่นิ่งได้ เด็กเอ๋ยวิ่งตามมาไวไว ลงบันไดงันงกตกนอกชาน พลายชุมพลกอดก้นทองประศรี กูมิใช่ช้างขี่ดอกลูกหลาน ลุกขึ้นโขย่งโก้งโค้งคลาน ซมซานโฮกฮากอ้าปากไป ครั้นถึงยั้งอยู่ประตูวัง ผู้รับสั่งเร่งรุดไม่หยุดได้ ขุนแผนวันทองพระหมื่นไวย เข้าไปเฝ้าองค์พระภูมี ฯ ๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงเดช ปิ่นปักนัคเรศเรืองศรี เห็นสามราเข้ามาอัญชลี พระปรานีเหมือนลูกในอุทร ด้วยเดชะพระเวทวิเศษประสิทธิ เผอิญคิดรักใคร่พระทัยอ่อน ตรัสถามอย่างความราษฎร ฮ้าเฮ้ยดูก่อนอีวันทอง เมื่อมึงกลับมาแต่ป่าใหญ่ กูสิให้ไอ้แผนประสมสอง ครั้นกูขัดใจให้จำจอง ตัวของมึงไปอยู่แห่งไร ทำไมไม่อยู่กับอ้ายแผน แล่นไปอยู่กับอ้ายช้างใหม่ เดิมมึงรักอ้ายแผนแล่นตามไป ครั้นยกให้สิเต้นกลับเล่นตัว อยู่กับอ้ายช้างไม่อยู่ได้ เกิดรังเกียจเกลียดใจด้วยชังหัว ดูยักใหม่ย้ายเก่าเฝ้าเปลี่ยนตัว ตกว่าชั่วแล้วมึงไม่ไยดี ฯ ๏ ครานั้นวันทองได้รับสั่ง ละล้าละลังประนมก้มเกศี หัวสยองพองพรั่นทันที ทูลคดีพระองค์ผู้ทรงธรรม์ ขอเดชะละอองธุลีบาท องค์หริรักษ์ราชรังสรรค์ เมื่อกระหม่อมฉันมาแต่อารัญ ครั้งนั้นโปรดประทานขุนแผนไป ครั้นอยู่มาขุนแผนต้องจำจอง กระหม่อมฉันมีท้องนั้นเติบใหญ่ อยู่ที่เคหาหน้าวัดตะไกร ขุนช้างไปบอกว่าพระโองการ


๒๐ มีรับสั่งโปรดปรานประทานให้ กระหม่อมฉันไม่ไปก็หักหาญ ยื้อยุดฉุดคร่าทำสามานย์ เพื่อนบ้านจะช่วยก็สุดคิด ด้วยขุนช้างอ้างว่ารับสั่งให้ ใครจะขัดขืนไว้ก็กลัวผิด จนใจจะมิไปก็สุดฤทธิ ชีวิตอยู่ใต้พระบาทา ฯ ๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงภพ ฟังจบกริ้วขุนช้างเป็นหนักหนา มีพระสิงหนาทตวาดมา อ้ายบ้าเย่อหยิ่งอ้ายลิงโลน ตกว่ากูหาเป็นเจ้าชีวิตไม่ มึงถือใจว่าเป็นเจ้าที่โรงโขน เป็นไม่มีอาญาสิทธิคิดดึงโดน เที่ยวทำโจรใจคะนองจองหองครัน เลี้ยงมึงไม่ได้อ้ายใจร้าย ชอบแต่เฆี่ยนสองหวายตลอดสัน แล้วกลับความถามข้างวันทองพลันเออเมื่อมันฉุดคร่าพามึงไป ก็ช้านานประมาณได้สิบแปดปี ครั้งนี้ทำไมมึงจึงมาได้ นี่มึงหนีมันมาฤๅว่าไร ฤๅว่าใครไปรับเอามึงมา ฯ ๏ วันทองฟังถามให้คร้ามครั่น บังคมคัลประนมก้มเกศา ขอเดชะพระองค์ทรงศักดา พระอาญาเป็นพ้นล้นเกล้าไป ครั้งนี้จมื่นไวยนั้นไปรับ กระหม่อมฉันจึงกลับคืนมาได้ มิใช่ย้อนยอกทำนอกใจ ขุนแผนก็มิได้ประเวณี แต่มานั้นเวลาสักสองยาม ขุนช้างจึงหาความว่าหลบหนี ขอพระองค์จงทรงพระปรานี ชีวีอยู่ใต้พระบาทา ฯ ๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงเดช ฟังเหตุขุ่นเคืองเป็นหนักหนา อ้ายหมื่นไวยทำใจอหังการ์ต กว่าบ้านเมืองไม่มีนาย จะปรึกษาตราสินให้ไม่ได้ จึงทำตามน้ำใจเอาง่ายง่าย ถ้าฉวยเกิดฆ่าฟันกันล้มตาย อันตรายไพร่เมืองก็เคืองกู อีวันทองกูให้ไอ้แผนไป อ้ายช้างบังอาจใจทำจู่ลู่ ฉุดมันขึ้นช้างอ้างถึงกู ตะคอกขู่อีวันทองให้ตกใจ ชอบตบให้สลบลงกับที่ เฆี่ยนตีเสียให้ยับไม่นับได้ มะพร้าวห้าวยัดปากให้สาใจ อ้ายหมื่นไวยก็โทษถึงฉกรรจ์ มึงถือว่าอีวันทองเป็นแม่ตัว ไม่เกรงกลัวเว้โว้ทำโมหันธ์ ไปรับไยไม่ไปในกลางวัน อ้ายแผนพ่อนั้นก็เป็นใจ มันเหมือนวัวเคยขาม้าเคยขี่ ถึงบอกกูว่าดีหาเชื่อไม่ อ้ายช้างมันก็ฟ้องเป็นสองนัย ว่าอ้ายไวยลักแม่ให้บิดา เป็นราคีข้อผิดมีติดตัว หมองมัวมลทินอยู่หนักหนา ถ้าอ้ายไวยอยากจะใคร่ได้แม่มา ชวนพ่อฟ้องหาเอาเป็นไร อัยการศาลโรงก็มีอยู่ ฤๅว่ากูตัดสินให้ไม่ได้


๒๑ ชอบทวนด้วยลวดให้ปวดไป ปรับไหมให้เท่ากับชายชู้ มันเกิดเหตุทั้งนี้ก็เพราะหญิง จึงหึงหวงช่วงชิงยุ่งยิ่งอยู่ จำจะตัดรากใหญ่ให้หล่นพรู ให้ลูกดอกดกอยู่แต่กิ่งเดียว อีวันทองตัวมันเหมือนรากแก้ว ถ้าตัดโคนขาดแล้วก็ใบเหี่ยว ใครจะควรสู่สมอยู่กลมเกลียว ให้เด็ดเดี่ยวรู้กันแต่วันนี้ เฮ้ยอีวันทองว่ากะไร มึงตั้งใจปลดปลงให้ตรงที่ อย่าภวังค์กังขาเป็นราคี เพราะมึงมีผัวสองกูต้องแค้น ถ้ารักใหม่ก็ไปอยู่กับอ้ายช้าง ถ้ารักเก่าเข้าข้างอ้ายขุนแผน อย่าเวียนวนไปให้คนมันหมิ่นแคลนถ้าแม้นมึงรักไหนให้ว่ามา ฯ ๏ ครานั้นวันทองฟังรับสั่ง ให้ละล้าละลังเป็นหนักหนา ครั้นจะทูลกลัวพระราชอาชญา ขุนช้างแลดูตายักคิ้วลน พระหมื่นไวยใช้ใบ้ให้แม่ว่า บุ้ยปากตรงบิดาเป็นหลายหน วันทองหมองจิตรคิดเวียนวน เป็นจนใจนิ่งอยู่ไม่ทูลไป ฯ ๏ ครานั้นพระองค์ทรงธรณินทร์ หาได้ยินวันทองทูลขึ้นไม่ พระตรัสความถามซักไปทันใด ฤๅมึงไม่รักใครให้ว่ามา จะรักชู้ชังผัวมึงกลัวอาย จะอยู่ด้วยลูกชายก็ไม่ว่า ตามใจกูจะให้ดังวาจา แต่นี้เบื้องหน้าขาดเด็ดไป ฯ ๏ นางวันทองรับพระราชโองการ ให้บันดาลบังจิตรหาคิดไม่ อกุศลดลมัวให้ชั่วใจ ด้วยสิ้นในอายุที่เกิดมา คิดคะนึงตะลึงตะลานอก ดังตัวตกพระสุเมรุภูผา ให้อุทัจอัดอั้นตันอุรา เกรงผิดภายหน้าก็สุดคิด จะว่ารักขุนช้างกะไรได้ ที่จริงใจมิได้รักแต่สักหนิด รักพ่อลูกห่วงดังดวงชีวิต แม้นทูลผิดจะพิโรธไม่โปรดปราน อย่าเลยจะทูลเป็นกลางไว้ ตามพระทัยท้าวจะแยกให้แตกฉาน คิดแล้วเท่านั้นมิทันนาน นางก้มกรานแล้วก็ทูลไปฉับพลัน ความรักขุนแผนก็แสนรัก ด้วยร่วมยากมานักไม่เดียดฉันท์ สู้ลำบากบุกป่ามาด้วยกัน สารพันอดออมถนอมใจ ขุนช้างแต่อยู่ด้วยกันมา คำหนักหาได้ว่าให้เคืองไม่ เงินทองกองไว้มิให้ใคร ข้าไทใช้สอยเหมือนของตัว จมื่นไวยเล่าก็เลือดที่ในอก ก็หยิบยกรักเท่ากันกับผัว ทูลพลางตัวนางระเริ่มรัว ความกลัวพระอาญาเป็นพ้นไป ฯ ๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงภพ ฟังจบแค้นคั่งดังเพลิงไหม้ เหมือนดินประสิวปลิวติดกับเปลวไฟ ดูดู๋เป็นได้อีวันทอง


๒๒ จะว่ารักข้างไหนไม่ว่าได้ น้ำใจจะประดังเข้าทั้งสอง ออกนั่นเข้านี่มีสำรอง ยิ่งกว่าท้องทะเลอันล้ำลึก จอกแหนแพเสาสำเภาใหญ่ จะทอดถมเท่าไรไม่รู้สึก เหมือนมหาสมุทรสุดซึ้งซึก น้ำลึกเหลือจะหยั่งกระทั่งดิน อิฐผาหาหาบมาทุ่มถม ก็จ่อมจมสูญหายไปหมดสิ้น อีแสนถ่อยจัญไรใจทมิฬ ดังเพชรนิลเกิดขึ้นในอาจม รูปงามนามเพราะน้อยไปฤๅ ใจไม่ซื่อสมศักดิเท่าเส้นผม แต่ใจสัตว์มันยังมีที่นิยม สมาคมก็แต่ถึงฤดูมัน มึงนี่ถ่อยยิ่งกว่าถ่อยอีท้ายเมือง จะเอาเรื่องไม่ได้สักสิ่งสรรพ์ ละโมบมากตัณหาตาเป็นมัน สักร้อยพันให้มึงไม่ถึงใจ ว่าหญิงชั่วผัวยังคราวละคนเดียว หาตามตอมกันเกรียวเหมือนมึงไม่ หนักแผ่นดินกูจะอยู่ไย อ้ายไวยมึงอย่านับว่ามารดา กูเลี้ยงมึงถึงให้เป็นหัวหมื่น คนอื่นรู้ว่าแม่ก็ขายหน้า อ้ายขุนช้างขุนแผนทั้งสองรา กูจะหาเมียให้อย่าอาลัย หญิงกาลกิณีอีแพศยา มันไม่น่าเชยชิดพิสมัย ที่รูปรวยสวยสมมีถมไป มึงตัดใจเสียเถิดอีคนนี้ เร่งเร็วเหวยพระยายมราช ไปฟันฟาดเสียให้มันเป็นผี อกเอาขวานผ่าอย่าปรานี อย่าให้มีโลหิตติดดินกู เอาใบตองรองไว้ให้หมากิน ตกดินจะอัปรีย์กาลีอยู่ ฟันให้หญิงชายทั้งหลายดู สั่งเสร็จเสด็จสู่ปราสาทชัย ฯ


๒๓ วิเคราะห์คุณค่าด้านเนื้อหา ๑. รูปแบบ วรรณคดีขุนช้างขุนแผน ตอนขุนช้างถวายฎีกา ประพันธ์ขึ้นโดยใช้คำประพันธ์ประเภทกลอนเสภา ซึ่ง กลอนเสภา เป็นคำประพันธ์ชนิดหนึ่ง ที่แต่งขึ้นเพื่อใช้ขับ เพราะใช้เป็นกลอนขับ จึงกำหนดคำไม่แน่นอน มุ่งการขับเสภาเป็นสำคัญ จึงใช้คำ ๗ คำ ถึง ๙ คำ การส่งสัมผัสนอกเหมือนกับกลอนสุภาพ แต่ไม่บังคับหรือ ห้ามเสียงสูง ต่ำ ตามจำนวนคำแต่ละวรรค อยู่ในเกณฑ์กลอน ๗-๙ จึงอาจกล่าวได้ว่ากลอนเสภาเป็นกลอน สุภาพชนิดหนึ่งที่มีการปรับฉันทลักษณ์บางประการ เพื่อให้สามารถนำมาใช้ขับกลอนได้ นอกจากนี้ เสภาเรื่อง ขุนช้างขุนแผน ยังได้รับการยกย่องจากวรรณคดีสโมสรให้เป็นยอดของวรรณคดี ประเภทกลอนสุภาพด้วย ๒.องค์ประกอบของเรื่อง จำแนกตามประเด็นต่าง ๆ ได้ดังนี้ ๒.๑ สาระสำคัญ เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนขุนช้างถวายฎีกา เป็นตอนที่มุ่งเสนอแนวคิดเกี่ยวกับการตัดสินใจโดย ขาดสติยั้งคิด ย่อมทำให้เกิดความผิดพลาดและหายนะในภายหลัง จากเห็นได้ว่าตัวละครในตอนนี้ได้กระทำสิ่ง ต่าง ๆ โดยไม่ได้คิดหรือไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน กล่าวคือ พลายงามมีความโกรธแค้นต่อขุนช้างประกอบกับความ คิดถึงนางวันทองผู้เป็นมารดา ทำให้ลอบขึ้นเรือนขุนช้างเพื่อลักพาตัวมารดามาที่เรือนของตนเอง โดยไม่ได้คิด ไตร่ตรองให้ดีว่าเป็นการทำผิดกฎหมายบ้านเมือง ทั้งยังแสดงความก้าวร้าว และเกือบจะทำร้ายมารดาของ ตนเองด้วยความโกรธที่นางขัดขืน ปฏิเสธที่จะกลับเรือนไปกับพลายงาม จะเห็นได้ชัดจากบทประพันธ์ตอนที่ว่า เสียแรงเป็นลูกผู้ชายไม่อายเพื่อน จะพาแม่ไปเรือนให้จงได้ แม้นมิไปให้งามก็ตามใจ จะบาปกรรมอย่างไรก็ตามที จะตัดเอาศีรษะของแม่ไป ทิ้งแต่ตัวไว้ให้อยู่นี่ แม่อย่าเจรจาให้ช้าที จวนแจ้งแสงศรีจะรีบไป จากเหตุการณ์ดังกล่าวนำไปสู่ความหายนะของนางวันทอง ทำให้ขุนช้างถวายฎีกา จนพระพันวษา ตรัสสั่งให้นางวันทองเข้าเฝ้า และให้เลือกว่าจะอยู่กับใคร บทประพันธ์ตอนนี้ยังย้ำให้เห็นชัดถึงแนวคิดซึ่งเป็น สาระสำคัญของเรื่องว่า เราควรใช้ความคิดให้ถี่ถ้วนก่อนจะตัดสินใจ มิเช่นนั้นอาจเกิดหายนะ เช่นเดียวกับนาง วันทองที่ประหม่าจนขาดสติ และไม่ยอมตัดสินใจให้เด็ดขาดด้วยตนเอง เป็นเหตุให้พระพันวษาเข้าใจผิดว่านาง วันทองเป็นหญิงหลายใจ และสั่งประหารชีวิตนางวันทองในที่สุด


๒๔ ๒.๒ โครงเรื่อง โครงเรื่องของเสภาเรื่อง ขุนช้างขุนแผน ตอนขุนช้างถวายฎีกา ประกอบไปด้วยปมเรื่องหลักที่เป็นปม ใหญ่ของวรรณคดีขุนช้างขุนแผน และปมเรื่องรองในตอนขุนช้างถวายฎีกา กล่าวคือ ปมเรื่องหลัก เป็นเรื่องความรักสามเศร้าระหว่างขุนแผน นางวันทอง และขุนช้าง ที่นำไปสู่การแย่งชิง นางและเป็นปมปัญหาว่าสุดท้ายนั้น การแย่งชิงนางในครั้งนี้จะจบลงอย่างไร และนางวันทองจะได้อยู่ครองคู่ กับใคร ซึ่งเป็นปมเรื่องใหญ่ที่ผูกมาตั้งแต่ต้นเรื่องขุนช้างขุนแผน ในเนื้อเรื่องตอนขุนช้างถวายฎีกานี้ เป็นตอน สำคัญที่จะคลี่คลายปมใหญ่ของเรื่อง เพราะผู้อ่านจะได้รับคำตอบว่า สุดท้ายแล้วนางวันทองจะได้ครองคู่กับ ใคร ซึ่งเนื้อเรื่องก็จบลงด้วยโศกนาฏกรรมกับความตายของนางวันทอง ที่ก่อให้เกิดความเสียใจแก่ทุกฝ่าย ปมเรื่องรอง เป็นเรื่องของการตัดสินใจที่ผิดพลาดของพลายงามในตอนขุนช้างถวายฎีกา โดยเริ่มต้น จากการที่พลายงามถูกความโกรธเข้าครอบงำ ทำให้กระทำการอันเป็นสิ่งที่ผิดกฎบ้านเมืองอย่างร้ายแรง คือ การบุกรุกขึ้นเรือนขุนช้างทั้งยังก้าวร้าวต่อมารดาเพื่อชิงตัวมารดากลับเรือนของตน เป็นปมปัญหาว่า การ ตัดสินใจในครั้งนี้จะก่อให้เกิดผลอย่างไร นำไปสู่จุดสูงสุดของเนื้อเรื่องคือขุนช้างถวายฎีกาต่อพระพันวษา จน เกิดการตัดสินคดี และคลี่คลายปมว่าการตัดสินใจครั้งนี้เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด เมื่อนางวันทองถูกตัดสินให้ ประหารชีวิต ทำให้เรื่องจบลงด้วยความเศร้าโศกเสียใจของพลายงาม ที่เป็นต้นเหตุให้เกิดเรื่องในครั้งนี้ ๒.๓ ฉากและบรรยากาศ ฉากที่ปรากฎในเสภาเรื่อง ขุนช้างขุนแผน ตอนขุนช้างถวายฎีกา เป็นสภาพวิถีชีวิตของคนผู้คนในสมัย อยุธยาและรัตนโกสินทร์ตอนต้น ซึ่งมีการบรรยายฉากต่าง ๆ ได้อย่างละเอียดชัดเจนและสมจริง เช่น เรือนของ ขุนช้างซึ่งแสดงให้เห็นถึงลักษณะของขุนนางที่ร่ำรวยในสมัยนั้น ข้าไทนอนหลับลงทับกัน สะเดาะกลอนถอนลั่นถึงชั้นสาม กระจกฉากหลากสลับวับแวมวาม อร่ามแสงโคมแก้วแววจับตา ม่านมู่ลี่มีฉากประจำกั้น อัฒจันทร์เครื่องแก้วก็หนักหนา ชมพลางย่างเยื้องชำเลืองมา เปิดมุ้งเห็นหน้าแม่วันทอง ผู้ประพันธ์ยังมีการบรรยายฉากที่ประทับของพระราชา ซี่งมีความวิจิตรและงดงาม ให้บรรยากาศที่ดู ยิ่งใหญ่และน่าเกรงขาม ดังนี้ ครั้นว่ารุ่งสางสว่างฟ้า สุริยาแย้มเยี่ยมเหลี่ยมไศล จะกล่าวถึงพระองค์ผู้ทรงชัย เนาในพระที่นั่งบัลลังก์รัตน์


๒๕ พร้อมด้วยพระกำนัลนักสนม หมอบประนมเฝ้าแหนแน่นขนัด ประจำตั้งเครื่องอานอยู่งานพัด ทรงเคืองขัดขุนช้างแต่กลางคืน นอกจากนี้ ผู้ประพันธ์ยังมีการบรรยายฉากธรรมชาติ ที่ทำให้ผู้อ่านรู้สึกถึงความสงัดวังเวง ทำให้เข้าใจ ถึงความรู้สึกของตัวละครที่กำลังประสบกับลางร้ายได้อย่างชัดเจน ในตอนที่นางวันทองกำลังฝันร้ายซึ่งเป็นลาง บอกเหตุร้ายที่จะเกิดขึ้นกับตนเอง ดังนี้ ครั้นเวลาดึกกำดัดสงัดเงียบ ใบไม้แห้งแกร่งเกรียบระรุบร่อน พระพายโชยเสาวรสขจายจร พระจันทรแจ่มแจ้งกระจ่างดวง ดุเหว่าเร้าเสียงสำเนียงก้อง ระฆังฆ้องขานแข่งในวังหลวง วันทองน้องนอนสนิททรวง จิตรง่วงระงับสู่ภวังค์ ๒.๔ กลวิธีการแต่ง ในเสภาเรื่อง ขุนช้างขุนแผน ตอนขุนช้างถวายฎีกา ใช้กลวิธีการเล่าเรื่องผ่านมุมมองพระเจ้า ที่ทำให้ ผู้อ่านรับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวละครทุกตัว ทั้งยังรับรู้ถึงความรู้สึกและความคิดของตัวละครทุกตัวด้วย โดยใช้วิธีการเปิดเรื่อง สร้างปม จุดสูงสุดของเรื่อง การคลี่คลายปม และปิดเรื่อง ดังนี้ เปิดเรื่องโดยกการเล่าความคิดความรู้สึกของตัวละครหลัก คือพลายงาม ที่มีความโกรธแค้นต่อขุนช้าง เป็นชนวนเหตุที่ทำให้เกิดปมของเรื่อง จะเห็นได้จากบทประพันธ์ รูปร่างวิปริตผิดกว่าคน ทรพลอัปรีย์ไม่ดีได้ ทั้งใจคอชั่วโฉดโหดไร้ ช่างไปหลงรักใคร่ได้เป็นดี วันนั้นแพ้กูเมื่อดำน้ำ ก็กริ้วซ้ำจะฆ่าให้เป็นผี แสนแค้นด้วยมารดายังปรานี ให้ไปขอชีวีขุนช้างไว้ การสร้างปม คือการตัดสินใจของพลายงามที่บุกรุกไปยังเรือนขุนช้างเพื่อชิงตัวมารดา เป็นปมให้ผู้อ่าน คิดว่า การตัดสินใจลงมือกระทำความผิดร้ายแรงนี้จะก่อให้เกิดผลอย่างไร จุดสูงสุดของเรื่องและการคลี่คลายปม คือ การที่ขุนช้างถวายฎีกาต่อพระพันวษา ทำให้เกิดการตัดสิน คดีความ นำไปสู่การคลี่คลายปมว่า การตัดสินใจของพลายงามในครั้งนี้เห็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด การปิดเรื่อง ด้วยโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นกับนางวันทอง เมื่อนางถูกพระพันวษาตัดสินโทษประหารชีวิต


๒๖ เร่งเร็วเหวยพระยายมราช ไปฟันฟาดเสียให้มันเป็นผี อกเอาขวานผ่าอย่าปรานี อย่าให้มีโลหิตติดดินกู เอาใบตองรองไว้ให้หมากิน ตกดินจะอัปรีย์กาลีอยู่ ฟันให้หญิงชายทั้งหลายดู สั่งเสร็จเสด็จสู่ปราสาทชัย ฯ ๒.๕ ตัวละครสำคัญ ๒.๕.๑ นางวันทอง หากวิเคราะห์ในตอนขุนช้างถวายฎีกา จะเห็นได้ว่านางวันทองเป็นหญิงสาวที่ได้รับความทุกข์ จากค่านิยมในสมัยนั้น ที่ผู้ชายเป็นใหญ่ มีสิทธิเหนือผู้หญิง ทำให้นางต้องถูกแย่งชิงตัวไปอยู่กับทั้งขุนช้างและ ขุนแผน จะเห็นได้จากคำประพันธ์ ทุกวันนี้ใช่แม่จะผาสุก มีแต่ทุกข์ใจเจ็บดังเหน็บหนาม ต้องจำจนทนกรรมที่ติดตาม จะขืนความคิดไปก็ใช่ที เมื่อพ่อเจ้าเข้าคุกแม่ท้องแก่ เขาฉุดแม่ใช่จะแกล้งแหนงหนี ถึงพ่อเจ้าเล่าไม่รู้ว่าร้ายดี เป็นหลายปีแม่มาอยู่กับขุนช้าง นอกจากนี้ ยังแสดงให้เห็นว่านางวันทองขาดความมั่นใจในตนเอง ไม่กล้าที่จะแสดงความ คิดเห็นของตน ซึ่งอาจจะเกิดจากค่านิยมทางสังคมในสมัยนั้น ที่ผู้หญิงมักจะไม่มีโอกาสได้เลือกหรือแสดงความ คิดเห็นของตนเอง ทำให้เมื่อจำเป็นจะต้องตัดสินใจ จึงไม่มีความกล้ามากเพียงพอ ดังบทประพันธ์ คิดคะนึงตะลึงตะลานอก ดังตัวตกพระสุเมรุภูผา ให้อุทัจอัดอั้นตันอุรา เกรงผิดภายหน้าก็สุดคิด จะว่ารักขุนช้างกะไรได้ ที่จริงใจมิได้รักแต่สักหนิด รักพ่อลูกห่วงดังดวงชีวิต แม้นทูลผิดจะพิโรธไม่โปรดปราน ๒.๕.๒ ขุนแผน ขุนแผนเป็นผู้ที่ความเฉลียวฉลาด เก่งกาจด้านการสู้รบ และการใช้ไสยเวทย์ ในตอนขุนช้าง ถวาย ฎีกา จะแสดงให้เห็นลักษณะความเชี่ยวชาญทางทางไสยเวทย์ การทำพิธีกรรม สะท้อนความเชื่อของคนในสมัย นั้น ดังนี้


๒๗ ครานั้นวันทองเจ้าพลายงาม ได้ฟังความคร้ามครั่นหวั่นไหว ขุนแผนเรียกวันทองเข้าห้องใน ไม่ไว้ใจจึงเสกด้วยเวทมนตร์ สีขี้ผึ้งสีปากกินหมากเวท ซึ่งวิเศษสารพัดแก้ขัดสน น้ำมันพรายน้ำมันจันทน์สรรเสกปน เคยคุ้มขังบังตนแต่ไรมา แล้วทำผงอิทธิเจเข้าเจิมพักตร์ คนเห็นคนทักรักทุกหน้า เสกกระแจะจวงจันทน์น้ำมันทา เสร็จแล้วก็พาวันทองไป ๒.๕.๓ ขุนช้าง ขุนช้างเป็นตัวละครที่ผู้ประพันธ์สร้างให้รูปชั่ว และมีนิสัยเจ้าเลห์ขี้โกง แต่มีข้อดีคือรักนางวัน ทองเพียงคนเดียว ในตอนขุนช้างถวายฎีกา แสดงให้เห็นถึงลักษณะความเขลาและไม่รู้จักกาลเทศะของขุนช้าง ที่ทำให้เนื้อเรื่องเกิดความตลกขบขัน จะเห็นได้จากตอนที่ขุนช้างดำน้ำมาถวายฎีกา ดังนี้ พอเรือพระที่นั่งประทับที่ ขุนช้างก็รี่ลงตีนท่า ลอยคอชูหนังสือดื้อเข้ามา ผุดโผล่โงหน้ายึดแคมเรือ เข้าตรงบโทนอ้นต้นกัญญา เพื่อนโขกลงด้วยกะลาว่าผีเสื้อ มหาดเล็กอยู่งานพัดพลัดตกเรือ ร้องว่าเสือตัวใหญ่ว่ายน้ำมา ๒.๕.๔ พลายงาม เป็นลูกของนางวันทองกับขุนแผน ที่มีความกล้าหาญ เฉลียวฉลาด มีความสามารถทางไสย เวทย์เหมือนกับขุนแผนผู้เป็นพ่อ จะเห็นได้จากการใช้ไสยเวทย์บุกขึ้นเรือนขุนช้าง จึงร่ายมนตรามหาสะกด เสื่อมหมดอาถรรพ์ที่ฝังอยู่ ภูตพรายนายขุนช้างวางวิ่งพรู คนผู้ในบ้านก็ซานเซอะ นอกจากนี้ยังมีนิสัยใจร้อน และค่อนข้างมีอารมณ์รุนแรงก้าวร้าวในบางครั้ง ซึ่งอาจจะเกิด จากการขาดการอบรมเลี้ยงดูจากมารดา เพราะถูกนำแยกให้ให้จากมารดาตั้งแต่ยังเด็ก จะเห็นได้จากการ ผรุสวาทต่อมารดา ดังนี้ เสียแรงเป็นลูกผู้ชายไม่อายเพื่อน จะพาแม่ไปเรือนให้จงได้ แม้นมิไปให้งามก็ตามใจ จะบาปกรรมอย่างไรก็ตามที


๒๘ จะตัดเอาศีรษะของแม่ไป ทิ้งแต่ตัวไว้ให้อยู่นี่ แม่อย่าเจรจาให้ช้าที จวนแจ้งแสงศรีจะรีบไป ๒.๕.๕ พระพันวษา เป็นกษัตริย์ที่ปกครองประชาชนอย่างใกล้ชิด จะเห็นได้จากการที่พระพันวษาว่าความตัดสิน คดีความด้วยพระองค์เอง โดยมีใจเป็นกลางในการตัดสิน แม้ว่าขุนแผนในขณะนั้นจะกำลังได้รับความดี ความชอบเนื่องจากพึ่งชนะศึกกลับมา แต่พระพันวษาก็มิได้ลำเอียงตัดสินให้นางวันทองไปอยู่กับขุนแผน พระองค์ฟังความทั้งขุนแผนขุนช้าง แล้วให้นางวันทองเป็นผู้ตัดสินใจเลือกด้วยตนเอง จะเห็นได้จากบท ประพันธ์ มันเกิดเหตุทั้งนี้ก็เพราะหญิง จึงหึงหวงช่วงชิงยุ่งยิ่งอยู่ จำจะตัดรากใหญ่ให้หล่นพรู ให้ลูกดอกดกอยู่แต่กิ่งเดียว อีวันทองตัวมันเหมือนรากแก้ว ถ้าตัดโคนขาดแล้วก็ใบเหี่ยว ใครจะควรสู่สมอยู่กลมเกลียว ให้เด็ดเดี่ยวรู้กันแต่วันนี้ แต่ขณะเดียวกันพระพันวษาก็มีนิสัยโกรธง่าย และใช้อารมณ์ในการตัดสินคดีความด้วย จะ เห็นได้จากบทประพันธ์ มึงนี่ถ่อยยิ่งกว่าถ่อยอีท้ายเมือง จะเอาเรื่องไม่ได้สักสิ่งสรรพ์ ละโมบมากตัณหาตาเป็นมัน สักร้อยพันให้มึงไม่ถึงใจ ว่าหญิงชั่วผัวยังคราวละคนเดียว หาตามตอมกันเกรียวเหมือนมึงไม่ หนักแผ่นดินกูจะอยู่ไย อ้ายไวยมึงอย่านับว่ามารดา ๓. ข้อคิดที่ได้รับจากเนื้อเรื่อง ๑) ก่อนจะลงมือกระทำสิ่งใด ควรตัดสินใจให้ถี่ถ้วนรอบคอบ อย่าปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือความคิด และสติปัญญา เพราะการตัดสินใจอย่างไม่รอบคอบจะนำมาซึ่งความทุกข์ ๒) เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร จะเห็นได้จาก การกระทำของพลายงามหากพลายงามไม่คิดแก้ แค้นขุนช้างโดยการแย่งชิงตัวนางวันทองมา เหตุการณ์ร้าย ๆ ก็อาจจะไม่เกิดขึ้น


๒๙ วิเคราะห์คุณค่าด้านวรรณศิลป์ ๑) การใช้โวหาร คือ การใช้ถ้อยคำอย่างมีชั้นเชิงในการเขียน เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจและรับรู้อารมณ์ความรู้สึก ความคิด ประสบการณ์ หรือเรื่องที่เกิดจากจินตนาการได้ตรงตามจุดมุ่งหมายของกวี ในเสภาเรื่องขุนช้าง ขุนแผน ตอน ขุนช้างถวายฎีกา มีการใช้โวหารที่ก่อให้เกิดอารมณ์สะเทือนใจหลายอารมณ์ กวีใช้โวหารต่างๆ ถ่ายทอดอารมณ์ของตัวละครทำให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจเนื้อเรื่องได้เป็นอย่างดี ๑.๑) อุปมาโวหาร เป็นการใช้ถ้อยคำแสดงการเปรียบเทียบอย่างมีชั้นเชิง โดยการนำสิ่งที่คล้ายคลึงกันมา เปรียบเทียบ ดังเหตุการณ์ตอนที่พลายงามขึ้นเรือนขุนช้างเพื่อพานางวันทองมาอยู่บ้านกับตน พลายงามได้ กล่าวเปรียบเทียบนางวันทองกับขุนช้างว่าไม่มีความเหมาะสมคู่ควรกัน ความว่า มาอยู่ใยกับอ้ายหินชาติ แสนอุบาทว์ใจจิตริษยา ตังทองคำทำเลี่ยมปากกะลา หน้าตาดำเหมือนมินหม้อมอม เหมือนแมลงวันว่อนเคล้าที่เน่าชั่ว มาเกลือกกลั้วปทุมมาลย์ที่หวานหอม ดอกมะเสื่อฤจะเจือดอกพะยอม ว่านักแม่จะตรอมระกำใจ พลายงามได้กล่าวเปรียบเทียบการที่นางวันทองอยู่กับขุนช้างว่า เหมือนกับนำสิ่งที่มีค่าอย่างทองคำคือนางวัน ทองมาเลี่ยมปากกะลา ซึ่งกะลาเป็นภาชะด้อยคำหมายความถึงขุนช้าง นอกจากจะเปรียบขุนช้างว่าด้อยด่า แล้ว ยังเปรียบขุนช้างว่าหน้าตาดำเหมือนเขม่าติดกันหม้อ ขุนช้างเหมือนแมลงวันที่บินตอมของเน่าเหม็นแล้ว มาตอมดอกบัวงามอย่างนางวันทอง และเปรียบความแตกต่างของขุนช้างกับนางวันทองว่า ขุนช้างเป็นเหมือน ดอกมะเดื่อที่ไม่มีกลิ่นและไม่อาจติดกลิ่นหอมจากดอกพะยอมซึ่งหมายถึงนางวันทองได้ ถ้านางวันทองยังอยู่ กับขุนช้างก็ต้องช้ำใจเพราะความไม่คู่ควรกัน กวีเปรียบเทียบความแตกต่างอย่างชัดเจนระหว่างนางวันทองกับ ขุนช้าง ๑.๒) บรรยายโวหาร เป็นกระบวนการแต่งที่มีเนื้อเรื่อง มีบทบาท ดำเนินเรื่องว่าใคร ทำอะไร ทำอย่างไร ที่ ไหน และเมื่อไหร่ บรรยายวหารใช้ในการเล่าเรื่อง เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน มีลักษณะเล่าเป็นเรื่องยาว จึงใช้ บรรยายโวหารในการดำเนินเรื่อง ดังบทประพันธ์ ขอเดชะละอองธุลีบาท เมื่อกระหม่อมฉันมาแต่อารัญ องค์หริรักษ์ราชรังสรรค์ ครั้งนั้นโปรดประทานขุนแผนไป ครั้นอยู่มาขุนแผนต้องจำจอง กระหม่อมฉันมีท้องนั้นเติบใหญ่ อยู่ที่เคหาหน้าวัดตะไกร ขุนช้างไปบอกว่าพระโองการ


๓๐ มีรับสั่งโปรดปรานประทานให้ กระหม่อมฉันไม่ไปก็หักหาญ ยื้อยุดฉุดคร่าทำสามานย์ เพื่อนบ้านจะช่วยก็สุดคิด ด้วยขุนช้างอ้างว่ารับสั่งให้ ใครจะขัดขืนไว้ก็กลัวผิด จนใจจะมีไปก็สุดฤทธิ์ ชีวิตอยู่ใต้พระบาทา จากบทประพันธ์เป็นตอนที่พระพันวษารับสั่งถามนางวันทองว่าทำไมไปอยู่กับขุนช้าง ทั้งที่พระองค์ทรง ประทานนางให้ขุนแผน นางวันทองจึงอธิบายเรื่องราวว่า ขุนช้างมาฉุดกระชากลากไปโดยอ้างคำสั่งของ พระองค์ กวีใช้การบรรยายโวหารช่วยให้ผู้อ่านลำดับเหตุการณ์ได้ดีและเข้าใจเรื่องราวได้ แม้จะเล่าย้อนตวามใน อดีต ๒) การใช้ภาพพจน์ เป็นการใช้กลวิธีการเรียบเรียงถ้อยคำลักษณะดำลักษณะต่างๆที่ผู้ประพันธ์ตั้งใจใช้ เพื่อให้ เกิดผลทางจินตภาพหรือทำให้เกิดความซาบซึ้งใจได้มากกว่าการเขียนธรรมดา ๒.๑) การใช้ภาพพจน์อุปมา เป็นภาพพจน์ที่ใช้การเปรียบเทียบอธิบายลักษณะของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง โดยสิ่งที่ นำมาใช้เป็นดวามเปรียบนั้นเป็นสิ่งที่รู้จักกันตี นำมาเปรียบเทียบเพื่อให้เห็นลักษณะใดลักษณะหนึ่งเพียงด้าน เดียว และจะมีดำเชื่อมแสดงการเปรียบเทียบไว้อย่างชัดเจน เช่น คล้าย เหมือน ตัง ราว ราวกับ ดุจ เปรียบ ปาน เป็นต้น ดังบทประพันธ์ ครานั้นขุนช้างได้ฟังว่า แค้นดังเลือดตาจะหลั่งไหล ตับโมโหโกรธาทำว่าไป เราก็ไม่ว่าไรสุดแต่ดี จากบทประพันธ์เป็นตอนที่ข้รับใช้ของจมื่นไวยฯ มาบอกขุนช้างว่า ที่นางวันทองหายไป เพราะไปดูแลจมื่นไวย ฯ ที่ไม่สบายมาก ขุนช้างรู้ทันทีว่าเป็นเรื่องโกหกจึงโกรธมาก กวีเปรียบให้เห็นว่าขุนช้างทั้งโกรธทั้งแค้นจน เหมือนว่าเลือดจะไหลออกจากตา ๒.๒) การใช้ภาพพจน์อุปลักษณ์ เป็นภาพพจน์ที่ใช้ในการเปรียบเทียบสิ่งหนึ่งเป็นอีกสิ่งหนึ่ง คำที่ใช้เปรียบ ได้แก่ คำว่า เป็น คือ เท่า เรียกให้เข้าใจง่ายว่า การเปรียบเป็น ดังบทประพันธ์ เจ้าพลายงามตามรับเอากลับมา ที่นี้หน้าจะดำเป็นน้ำหมึก กำเริบใจด้วยเจ้าไวยกำลังซีก จะพาแม่ตกลึกให้จำตาย กวีกล่าวถึงตอนที่นางวันทองบอกแก่พลายงามที่มาตามนางไปอยู่ด้วย จะทำให้นางอับอายขายหน้าไม่กลัพบ หน้าใครอีก โดยใช้ภาพพจน์อุปลักษณ์เปรียบหน้าของนางวันทองที่มีความอับอายจนหมองคล้ำจนดำเป็นน้ำ หมึก ทำให้ผู้อ่านจินตนาการได้ว่าจะอับอายขายหน้าเพียงใด


๓๑ ๓) ลีลาการประพันธ์ กระบวนการแต่งคำประพันธ์ของกวีอย่างมีแบบแผน เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอน ขุน ช้างถวายฎีกา มีเนื้อความที่พรรณนาได้งดงามอยู่หลายตอน ทั้งนี้เพราะกวีสามารถดำเนินเรื่องได้สมจริงและ แทรกรสวรรณดดีด่างๆ เข้าถึงอารมณ์ได้เป็นอย่างดี ๓.๑) เสาวรจนี เป็นบทชมดวามงามที่กวีเลือกใร้ถ้อยคำที่ไพเราะกล่าวถึงความงามจากเสภาเรื่องขุนช้าง ขุนแผน ตอน ขุนช้างถวายฎีกา มีบทชมความงามของเรือนขุนช้างสั้นๆในตอนที่พลายงามขึ้นเรือนขุนช้าง แต่ กวีก็เลือกสรรดำได้ไพเราะชวนอ่าน ดังบทประพันธ์ จุดเทียนสะกดข้าวสารปราย ภูตพรายโดดเรือนสะเทือนผาง สะเดาะดาลบานเปิดหน้าต่างกาง ย่างเท้าก้าวขึ้นร้านดอกไม้ หอมหวนอวลอบบุปผาชาติ เบิกบานก้านกลาดกิ่งไสว เรณูฟูร่อนขจรใจ ย่างเท้าก้าวไปไม่โครมคราม ๓.๒) นารีปราโมทย์ เป็นบทเกี้ยว บทโอ้โลม แสดงความรักใคร่ ดังตอนที่ขุนแผนเข้าหานางวันทอง แล้วนาง วันทองคิดถึงความหลังเกิดน้อยใจจึงแกล้งหลับ ขุนแผนจึงโอ้โลมแสดงความรักใคร่และยอมรับผิดเพื่อให้นาง วันทองยอมพูดจาด้วย ดังบทประพันธ์ โอ้เจ้าแก้วแววตาของพี่เอ๋ย เจ้าหลับใหลกระไรเลยเป็นหนักหนา ตังนิ่มน้องหมองใจไม่นำพา ความรักหนักหน่วงทรวงสวาท ฤขัดเคืองคิดว่าพี่ทอดทิ้ง พี่ไม่คลาดคลายรักแต่สักสิ่ง เผอิญเป็นวิปริตที่ผิดจริง จะนอนนิ่งถือโทษโกรธอยู่ใย ๓.๓) พิโรธวาทัง คือ กระบวนความตัดพ้อต่อว่า หึงหวง โกรธ ว่ากล่าวประชดประชัน กวีถ่ายทอดอารมณ์ ต่างๆ ของตัวละครได้อย่างกินใจ ดังเช่น เหตุการณ์ตอนที่ขุนแผนแอบมาหานางวันทอง นางกล่าวคำตัดพ้อต่อ ว่าขุนแผน ขุนแผนจึงพยายามขอโทษขอคืนดี ดำตัดพ้อของนางนั้นกวีใช้สำนวนโวหารที่ไพเราะคมดาย แสดง ถึงความน้อยเนื้อต่ำใจของนางวันทอง ความขมขื่นใจที่ต้องทนทุกข์ทรมานมาโดยตลอดก็ได้ระบายออกมา ดัง บทประพันธ์ ที่จริงใจเห็นไปอยู่เรือนอื่น คงคิดคืนที่หม่อมเป็นแม่นมั่น ด้วยรักลูกรักผัวยังพัวพัน คราวนั้นก็ไปอยู่เพราะจำใจ แค้นคิดด้วยมิตรไม่รักเลย ยามมีที่เชยเฉยเสียได้


๓๒ เสียแรงร่วมทุกข์ยากกันกลางไพร กินผลไม้ต่างข้าวทุกเพรางาย พอได้ดีมีสุขลืมทุกข์ยาก ก็เพราะหากหม่อมมีซึ่งที่หมาย ว่านักก็เครื่องเคืองระคาย เอ็นดูน้องอย่าให้อายเขาอีกเลย และตอนที่พลายงามมีความโกรธแค้นขุนช้าง ทำให้พลายงามไปพรากนางวันทองจากขุนช้าง เมื่อพลายงามไป เรือนขุนช้างและเข้าไปในห้องนอนเห็นขุนช้างนอนเคียงข้างนางวันทอง ก็ยิ่งโกรธแค้นแทบจะฆ่าขุนช้างทั้งที่ หลับ กวีใช้ถ้อยคำถ่ายทอดอารมณ์โกรธจัดของพลายงาม ทำให้ผู้อ่านสามารถเข้าถึงอารมณ์ของตัวละครได้ ดัง บทประพันธ์ ชมพลางย่างเยื้องขำเลืองมา เปิดมุ้งเห็นหน้าแม่วันทอง นิ่งนอนอยู่บนเตียงเคียงขุนช้าง มันแนบข้างกอดกลมประสมสอง เจ็บใจดังหัวใจจะพังพอง ขยับจ้องดาบง่าอยากฆ่าฟัน จะใคร่ถีบขุนช้างที่กลางตัว นึกกลัวจะถูกแม่วันทองนั่น ๓.๔) สัลลาปังคพิสัย เป็นบทแสดงความเคร้าโศก คร่ำครวญ เช่น เหตุการณ์ที่พลายงามไปหานางวันทองที่ บ้านขุนช้าง ดังบทประพันธ์ ครานั้นจึงโฉมเจ้าวันทอง เศร้าหมองด้วยลูกเป็นหนักหนา พ่อพลายงามทรามสวาทของแม่อา แม่โศกาเกือบเจียนจะบรรลัย ใช่จะอิ่มเอิบอาบด้วยเงินทอง มิใช่ของตัวทำมาแต่ไหน ทั้งผู้คนช้างม้าแลข้าไท ไม่รักใคร่เหมือนกับพ่อพลายงาม ทุกวันนี้ใช่แม่จะผาสุก มีแต่ทุกข์ใจเจ็บดังเหน็บหนาม ต้องจำจนทนกรรมที่ติดตาม จะขืนความคิดไปก็ใช่ที่ หลังจากที่พลายงามอ้อนวอนแม่ให้ไปอยู่ด้วย โดยเท้าถึงความหลังที่ตัวเองต้องจากแม่ตั้งแต่เด็กไม่มีโอกาสได้ อยู่ด้วย เมื่อเติบโตรับราชการมียศศักดิ์จึงอยากให้แม่มาอยู่ด้วย พลายงามตัดพอว่าแม่คงไม่รักไม่คิดถึงลูก นาง วันทองได้ฟังลูกตัดพ้อจึงคร่ำครวญเศร้าโศกว่าทุกสิ่งทุกอย่าง


๓๓ วิเคราะห์คุณค่าด้านสังคม ๑. ลักษณะทางสังคม เช่น ตอนขุนช้างถวายฎีกา เป็นตอนที่ชีวิตของนางวันทองแย่ที่สุด คือ ถูกพระพันวษาสั่ง ให้ประหารชีวิต เป็นตอนที่มีหลากหลายอารมณ์ ตัวละครในตอนนี้ทุกตัวมีบทบาทสำคัญ แต่เด่นที่สุด คือ สมเด็จพระพันวษา และ นางวันทอง จากเรื่องคนที่น่าเห็นใจไม่ใช่แค่นางวันทอง สมเด็จพระพันวษาก็น่าเห็นใจ ด้วย เพราะฝ่ายหนึ่งถูกสั่งประหารและอีกฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายสั่งประหารชีวิต ๒.สะท้อนค่านิยมสภาพความเป็นอยู่ของคนในสังคม บ้านของคนมีฐานะร่ำรวยในสมัยก่อน มีการจัดห้องต่างๆ ให้เป็นสัดส่วนหรือมีม่านกั้น และก็จะมีเครื่องชาม แก้ว โคมไฟ ที่สวยงามมาตกแต่งตามทางเดินบ้าน เพื่อ ความสวยงาม ดังบทประพันธ์ ๓.สะท้อนค่านิยมความเชื่อเกี่ยวกับไสยศาสตร์ จากตอนที่พลายงามจะขึ้นเรือนขุนช้างเพื่อพานางวันทองมา อยู่ด้วย พลายงามต้องดูฤกษ์ยาม เซ่นพราย เสกขมิ้น ลงยันต์ เป่ามนตร์ ใส่มงคล และบริกรรมคาถาก่อนลง จากเรือนของพลายงามเอง ดังบทประพันธ์ ๔.สะท้อนความเชื่อเกี่ยวกับความฝัน ก่อนนางวันทองจะถูกประหารนางฝันว่าตนหลงเข้าไปในป่าหาทางออก ไม่ได้ และโดนเสือสองตัวตะครุบพานางไปในป่า ดังบทประพันธ์


๓๔ ๕.สะท้อนความเชื่อเรื่องกรรม ตัวละครในเรื่องนี้ประสบชะตากรรมที่ทำให้ตนเองพบกับความทุกข์ มักเป็น เรื่องของกรรม เช่น พลายงามเชื่อว่าแม่ของตนต้องไปคู่กับขุนช้างเป็นเพราะเคราะห์กรรม ดังบทประพันธ์ ๖.สะท้อนค่านิยมเกี่ยวกับการมีสัมมาคารวะ การเคารพผู้ใหญ่ พลายงามรู้จักการเคารพนอบน้อม แม้จะอยู่ ในเหตุการณ์ที่ไม่ดีอยู่ก็ตาม เมื่อเห็นมารดาก็ยังนึกถึงพระคุณแล้วเข้ากราบไหว้ดังบทประพันธ์ ๗.สะท้อนจริยธรรมของคนในสังคม ไม่ชอบผู้หญิงที่มีพฤติกรรมแบบนางวันทอง คือ มีสามีสองคน ในเวลา เดียวกันแต่ที่จริงแล้วไม่ได้เกิดจากความต้องการของนางเอง แต่สังคมมองข้าม และในทางตรงกันข้ามกัน ค่านิยมเกี่ยวกับการมีภรรยาหลายคนในเวลาเดียวกันกลับเห็นในหมู่คนชั้นสูง และสังคมไม่รังเกียจแต่กลับยก ย่อง ดังบทประพันธ์ ๘.สะท้อนวัฒนธรรมของคนในสังคม สะท้อนให้เห็นถึงผู้หญิงในสังคมสมัยนั้น โดยนางวันทองเป็นตัวอย่างผู้ หญิงไทยสมัยโบราณ คือเกิดมาเพื่อเป็นภรรยาและมารดา ตามที่สังคมกำหนด ซึ่งนางวันทองไม่มีโอกาสเลือก และไม่เคยเป็นตัวของตัวเองเลย ดังบทประพันธ์


๓๕ ๙.สะท้อนขนบธรรมเนียมประเพณีของคนในสังคม กษัตริย์นั้นนอกจากเป็นกษัตริย์ผู้ปกครองประเทศแล้ว จะต้องแก้ไขปัญหาของประเทศและยังต้องแก้ปัญหาของครอบครัวอีกด้วย เมื่อประชาชนมีเรื่องเดือดร้อน พระองค์จะต้องแก้ไขและตัดสินปัญหาเหล่านั้นอีกด้วย ดังบทประพันธ์


๓๖ บรรณานุกรม จาก https://np.thai.ac/client-upload/np/uploads/files/58.pdf นางสาวปราณี นิตยะ(ไม่ระบุ). ขุนช้างขุนแผน ตอน ขุนช้างถวายฎีกา. สืบค้นเมื่อ ตุลาคม ๑๕,๒๕๖๖, จาก http://www.digitalschool.club/digitalschool/thai2_4_1/thai9_2/page_1.php ไม่ระบุ. บทเสภาขุนช้าง ขุนแผน. สืบค้นเมื่อ ตุลาคม ๑๕,๒๕๖๖, จาก http://www.kingrama3.or.th/ด้านวรรณคดี.html พลเอก จรัล กุลละวณิชย์ และ สายไหม จบ กลศึก(ไม่ระบุ). มูลนิธิเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว. สืบค้นเมื่อ ตุลาคม ๑๕,๒๕๖๖, จาก https://www.twinkl.co.th/teaching-wiki/sunthr-phu#ประวัติสุนทรภู่ ไม่ระบุ. ประวัติและ ผลงานของสุนทรภู่. สืบค้นเมื่อ ตุลาคม ๑๕,๒๕๖๖, จาก http://www.thaipoet.net/index.php?lay=show&ac=article&Id=564986&Ntype=2 สุวรรณภูมิสังคมวัฒนธรรม นสพ.มติชน(ไม่ระบุ). สมาคมนักกลอนแห่งประเทศไทย. สืบค้นเมื่อ ตุลาคม ๑๕,๒๕๖๖, จาก https://cdn.fbsbx.com/v/t59.2708-21/ ไม่ระบุ. สืบค้นเมื่อ ตุลาคม ๑๗,๒๕๖๖,


Click to View FlipBook Version