ราชวงศ์ชิง
ราชวงศ์ชิง
นายพงศกร เอี่ยมโปร่ง
รหัว6210121228024
สาขาวิชาสังคมศึกษา วิทยาลัยการฝึกหัดครู
เสนอ
ผศ.ดร วรรณพร บุญญาสถิตย์
รายงานเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาประวัติศาสตร์สากล
รหัสวิชา 1642314
ภาคเรียนที่1 ปีการศึกษา2564
มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร
คำนำ
ราชวงศ์ชิงเริ่มตั้งแต่ปีค.ศ.1644 และสิ้นสุดลงในปี
1911 ตั้งแต่จักรพรรดินูรฮาจีชื่อจนถึงจักรพรรดิผู่อี๋ มี
จักรพรรดิทั้งหมด 12 พระองค์ ปกครองแผ่นดินจีนนานถึง
268 ปี
ผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่า หนังสืออิเล็กทรอนิกส์
(E-Book) เรื่อง ราชวงศ์ชิง จะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่
สนใจศึกษาประวัติศาสตร์ราชวงศ์ชิงหากมีข้อผิดพลาด
ประการใด ผู้จัดทำขอน้อมรับไว้และขออถัยมา ณ ที่นี้
สารบัญ
1 ราชวงศ์ชิง
2 ก่อตั้งรัฐเเมนจู
9 การประกาศอาณัติแห่งสวรรค์
10 การพิชิตหมิงของชิง
11 สมัยต้นราชวงศ์ชิง
14 ยุคทองเเห่งราชวงศ์ชิง
15 ราชวงศ์ชิงล่มสลาย
19 บรรณานุกรม
1
ราชวงศ์ชิง
清朝 ราชวงศ์ชิง ( ภาษาแมนจู : daicing gurun; ภาษาจีน :
; พินอิน : qīng cháo ชิงเฉา ; ) หรือบางครั้งเรียกว่า
ราชวงศ์แมนจู ปกครองแผ่นดินจีนต่อจาก ราชวงศ์หมิง และถือเป็น
ราชวงศ์สุดท้ายของ ประเทศจีน ตั้งแต่ ค.ศ. 1636 ถึง ค.ศ. 1912
ธง (ค.ศ.1889-1912)
ตราราชลัญจกร อาณาเขต
2
ก่อตั้งรัฐเเมนจู
ราชวงศ์ชิงนั้นเป็นราชวงศ์ที่ไม่ได้ถูกก่อตั้งโดย ชาวจีนฮั่น
女眞ซึ่งเป็นชนชาติส่วนใหญ่ของประเทศจีน แต่ถูกก่อตั้งโดย ชาวแมนจู
หรือ ชาวหนี่เจิน ( ; Jurchen) ซึ่งเป็นชนเผ่าเร่ร่อน ชาวหนี่
เจินมีลักษณะการแต่งกายต่างจากชาวจีนฮั่นโดยนิยมไว้ทรงผมแบบ
โกนครึ่งหัว และไว้ผมหางเปียข้างหลัง ชาวหนี่เจินใช้ชีวิตโดยการ ล่า
สัตว์ ทำการเกษตร ในบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือของดินแดน
จักรวรรดิ ราชวงศ์หมิง ในแรกเริ่มรัฐแมนจูเป็นดินแดนของชนเผ่าที่
เรียกตัวเองว่า ชาวหนี่เจิน อาศัยอยู่บริเวณ มณฑลจี๋หลิน มณฑล
เฮย์หลงเจียง ของประเทศจีน และบางส่วนใน ประเทศรัสเซีย อันได้แก่
ดินแดนปรีมอร์สกี บางส่วนของ ดินแดนฮาบารอฟสค์ และ แคว้นอามู
ร์
ดินแดนแมนจูเรียเทียบกับแผนที่ประเทศจีน
ปัจจุบัน ประกอบด้วย แมนจูเรียใน: ภาคตะวัน
อกเฉียงเหนือของจีน = สีแดง, ส่วนตะวันออก
มองโกเลียใน = สีชมพู
3
ดินแดนแมนจูเรีย
ดินแดนของชาวหนี่เจินได้เริ่มเป็นหนึ่งเดียวเมื่อมีผู้นำชื่อ นู่
เอ๋อร์ฮาชื่อ จากตระกูล อ้ายซินเจว๋หลัว มีอำนาจอยู่ในบริเวณ เจี้ยน
โจว ซึ่งในขณะนั้นเป็นส่วนหนึ่งของราชวงศ์หมิง ชาวหนี่เจินถูก
ทางการที่เป็นชาวจีนฮั่นจากราชสำนักหมิงมองว่าเป็นคนป่าเถื่อนนอก
กำแพงเมืองจีน มีการกดขี่และเก็บภาษีชาวหนี่เจินอย่างมหาศาล สร้าง
ความเกลียดชังให้กับชาวหนี่เจิน ในต้น พุทธศตวรรษที่ 22 โดยเริ่ม
แรก นู่เอ๋อร์ฮาชื่อได้ยอมสวามิภักดิ์กับราชวงศ์หมิง และรับตำแหน่ง
เป็นขุนนางของราชวงศ์หมิง ครองที่ดินทางตะวันออกเฉียงเหนือ หรือ
มณฑลแมนจูเรีย เมื่อราชวงศ์หมิงอ่อนแอลง นู่เอ๋อร์ฮาได้ถือโอกาส
ตั้งตนเป็นอิสระไม่ขึ้นกับอำนาจจากราชสำนักหมิง ได้รวบรวมชนเผ่าหนู่
เจินรอบข้างเป็นหนึ่งเดียว และเปลี่ยนชื่อเป็น แมนจู ทั้งยังตั้งตนเป็น
ข่าน แห่ง ราชวงศ์จิน ขึ้นใน พ.ศ. 2152
4
สองปีต่อมานู่เอ๋อร์ฮาชื่อ ได้ประกาศ ความแค้นเจ็ดประการ
เป็นการประกาศสงครามกับหมิง นู่เอ๋อร์ฮาชื่อได้หยุดส่งเครื่องราช
บรรณาการให้ราชวงศ์หมิง เท่ากับเป็นการประกาศไม่ขึ้นต่ออำนาจ
ราชวงศ์หมิง ทั้งยังได้ยุยงให้เผ่าหนี่เจินที่เหลือแข็งข้อไม่อยู่ใต้อาณัติ
ของหมิง และให้หันมาร่วมกำลังเป็นเผ่าแมนจู ในที่ขณะที่ราชสำนัก
หมิงกำลังอ่อนแอจากปัญหาการเมืองภายใน ทำให้กองทัพของหมิ
งอ่อนแอพ่ายแพ้แก่กองทัพแมนจูของนู่เอ๋อร์ฮาชื่อเรื่อยมา การได้
รับชัยชนะอย่างต่อเนื่องของกองทัพแมนจู ทำให้นู่เอ๋อร์ฮาชื่อ ยึด
เมืองสำคัญ ๆ ของหมิงแถบ คาบสมุทรเหลียวตง ได้เป็นจำนวน
沈阳 瀋陽มาก เขาย้ายเมืองหลวงมาที่ เหลีย4วหยาง ในปี พ.ศ. 2164 และ
เสิ่นหยาง ( / Shěnyáng) ในปี พ.ศ. 2168 ตาม
ลำดับ
การที่นู่เอ๋อร์ฮาชื่อได้ย้ายเมืองหลวงจากเจี้ยนโจวมาที่เหลียว
ตงทำให้แมนจูได้ครอบครองแหล่งทรัพยากรเพิ่มมากขึ้น ทั้งยังทำให้
เขาได้ติดต่อกับเผ่ามองโกล ที่มีอาณาจักร คอร์ชิน ตั้งอยู่บนที่ราบ
ของมองโกเลีย ได้สะดวกขึ้น ซึ่งราชสำนักหมิงมองชาวมองโกลเป็น
ภัยต่อจักรวรรดิพอ ๆ กับพวกแมนจู นู่เอ๋อร์ฮาชื่อได้ทำการผูกมิตร
และทำสัญญาพันธมิตรกับคอร์ชินแห่งมองโกลร่วมกับต่อต้านรา
ชวงศ์หมิง นอกจากนี้พวกมองโกลคอร์ชินยังเป็นพันธมิตรที่ดีของ
แมนจูในการรบ ทำให้ชาวหนี่เจินได้เรียนรู้ทักษะความชำนาญในการ
นู่เอ๋อร์ฮาชื่อ ได้ริเริ่มนโยบายการแต่งงานดองญาติระหว่าง5
เผ่าแมนจูกับเผ่ามองโกล ทำให้ความสัมพันธ์กับมองโกลแนบแน่นขึ้นไป
อีก เป็นเหตุให้ชาวมองโกลได้ร่วมรบและช่วยเหลือชาวแมนจูตลอด
สมัยของราชวงศ์ชิง
ในขณะเดียวกันนู่เอ๋อร์ฮาชื่อได้เร่งสร้างเศรษฐกิจ แรงงาน
และเทคโนโลยีของรัฐ โดยการจับชาวจีนที่อาศัยในแมนจูเรียมา
เป็นทาส นู่เอ๋อร์ฮาชื่อ สถาปนาเมืองเสิ่นหยาง ให้เข้มแข็งและมั่นคงยิ่ง
ขึ้นไปอีก แต่ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2169 เขาได้รับบาดเจ็บจากการรบ
กับแม่ทัพเอกของหมิง หยวน ชงหวน ผู้เก่งกาจ ในขณะนำกองทัพเข้า
ล้อมเมืองหนิงหยวน ในการรบหนิงหยวน นู่เอ๋อร์ฮาชื่อสวรรคตในปี
เดียวกัน ความสำเร็จที่สำคัญสิ่งหนึ่งของนู่เอ๋อร์ฮาชื่อคือการตั้งระบบ
กองธง ซึ่งเป็นระบบในการแบ่งสายการปกครองออกเป็นส่วน ๆ มี
ประโยชน์ทั้งทางด้านการปกครองและการทหาร โดยแรกเริ่มนั้นมี 8
กองธง หรือ กองทัพแปดกองธง
ผู้สืบบัลลังก์จาก นู่เอ๋อร์ฮาชื่อ คือ หวงไท่จี๋ ผู้ซึ่งขึ้นมามี
อำนาจสืบต่อจากนู่เอ๋อร์ฮาชื่อ หลังจากการช่วงชิงราชสมบัติใน
ราชวงศ์และขึ้นเป็นข่านองค์ใหม่ แม้ว่าหวงไท่จี๋จะเคยมีประสบการณ์
ในการร่วมรบในแปดกองทัพของกองทัพแมนจู แต่ในรัชสมัยแรกของ
หวงไท่จี๋นั้นการทหารยังไม่เข้มแข็งเท่าที่ควร ในปี พ.ศ. 2170 กองทัพ
แมนจูก็ได้พ่ายแพ้ให้กับกองทัพหมิงอีกครั้งนำโดย หยวน ชงหวน
6
การรบครั้งก่อนหน้านี้นั้น การที่กองทัพแมนจูประสบกับความ
ปราชัยเนื่องมาจากการที่กองทัพหมิงได้ใช้อาวุธ ปืนใหญ่ และ ปืนคาบ
ศิลา จาก โปรตุเกส เพื่อแก้ไขปัญหาความด้อยกว่าทางด้านเทคโนโลยี
อาวุธ ในปี พ.ศ. 2177 หวงไท่จี๋ สร้างกองปืนใหญ่ของตนเองขึ้น หรือ
重 軍(ภาษาแมนจู: อูเจ็น ชูฮา, ภาษาจีน:
) กองปืนใหญ่ดังกล่าวได้
มาจากการยึดอาวุธปืนใหญ่ของหมิง และเชลยศึกชาวจีนฮั่นผู้มีความรู้
ด้านการหล่อปืนใหญ่แบบตะวันตก ในปี พ.ศ. 2178 หวงไท่จี๋ ได้
ปรับปรุงระบบกองธงโดยรวมชาวมองโกล ซึ่งเป็นพันธมิตรให้อยู่ในกอง
ธงด้วย ต่อมาในปี พ.ศ. 2179 หวงไท่จี๋ได้เริ่มโจมตี อาณาจักรโชซอน
หรือ เกาหลี ซึ่งชาวแมนจูถือว่าเป็นศัตรูของตน เนื่องจากอาณาจักรโช
ซอนเป็นประเทศราชอยู่ใต้อาณัติของราชวงศ์หมิง และได้ช่วยเหลือรา
ชวงศ์หมิงทำกับสงครามกับแมนจูอยู่ตลอด
7
หลังการรุกรานเกาหลีของแมนจูครั้งที่สอง อาณาจักรโชซอน
ได้พ่ายแพ้ให้แก่กองทัพแมนจู เกาหลีถูกยึดครอง กษัตริย์แห่งโชซอนได้
ถูกบังคับให้ยกเจ้าหญิงให้เป็นนางสนมของเจ้าชายแมนจูหรือผู้สำเร็จ
ราชการตัวเอ่อร์กุ่น
หวงไท่จี๋ยังคงพัฒนากองธงอย่างต่อเนื่อง เขาได้ตั้งกองธง
แรกที่เป็นชาวฮั่นขึ้น และได้มีการนำระบบธรรมเนียมการปกครอง
แบบราชวงศ์หมิงมาปรับใช้บางส่วน แต่ก็ยังให้สิทธิพิเศษกับหน่วย
ปกครองของแมนจูเองโดยระบบโควตา การปฏิรูปทางทหารเหล่านี้
ทำให้หวงไท่จี๋สามารถเอาชนะกับกองทัพหมิงได้อย่างรวดเร็วในการ
ต่อสู้ระหว่างปี พ.ศ. 2183 ถึงปี พ.ศ. 2185 ทำให้ได้ดินแดนซ่งฉาน
และ จิ่นโจว ทำให้แมนจูครอบครองดินแดนแมนจูเรีย บริเวณภาค
ตะวันออกเฉียงเหนือของจีนได้ทั้งหมด ชัยชนะครั้งสุดท้ายนี้ส่งผลให้
กองทัพราชวงศ์หมิงแทบเสื่อมสภาพในการสู้รบ มีทหารกองทัพรา
ชวงศ์หมิงหันมายอมสวามิภักดิ์จำนนต่อแมนจูเป็นจำนวนมาก การตาย
ของหยวน ชงหวน แม่ทัพหมิง โดยคำสั่งประหารชีวิตจากพระเจ้าห
มิงซือจง เนื่องจากเชื่อคำพูดของเหล่าขันทีในราชสำนักว่า หยวน ชง
หวน คิดทรยศและตั้งตนเป็นใหญ่ ทำให้หยวน ชงหวน ถูกประหาร และ
นำไปสู่การถอยทัพกองทัพของหมิงบริเวณทางตอนเหนือของกำแพง
เมืองจีน
8
ป้อมซานไฮ่กวาน
เมื่อลิงตันข่าน มหาข่านองค์สุดท้ายของมองโกลสิ้นพระชนม์ลง
ระหว่างเดินทางไป ทิเบต ใน พ.ศ. 2177 บุตรของเขานาม เอเจยข่าน
ได้สวามิภักดิ์ต่อกองทัพแมนจูและมอบ ตราประจำพระองค์ ของอดีต
จักรพรรดิหยวนให้หวงไท่จี๋ ใน พ.ศ. 2179 หวงไท่จี๋เปลี่ยนชื่อรัฐแมนจู
ที่ชื่อ "อาณาจักรจิน" เป็น อาณาจักรต้าชิง (แปลว่า บริสุทธิ์) และ
สถาปนาตนเป็น จักรพรรดิไท่จง พระองค์ทรงรวม มองโกเลีย ,
เกาหลี และครอบครองพื้นที่ลุ่ม แม่น้ำอาร์มู หรือ มณฑลเฮหลงเจียง
ในปัจจุบัน นอกจากนี้พระองค์ได้มีพระราชประสงค์หมายที่จะขยาย
อาณาเขตไปนอกแมนจูเรีย ซึ่งก็คือทางตอนใต้หรือดินแดนจีนที่ถูก
山海关 山海關ป้องกันด้วย ป้อมซานไฮ่กวาน ( / : Shānhǎi
Guān) ซึ่งเป็น ด่านป้องกันสุดท้ายของราชวงศ์หมิง
9
การประกาศ
อาณัติแห่งสวรรค์
จักรพรรดิไท่จงสวรรคตอย่างกะทันหันในเดือนกันยายน พ.ศ.
2186 โดยไม่มีการแต่งตั้งรัชทายาท โดยปกติชาวแมนจูจะคัดเลือก
ผู้นำของพวกเขาผ่านสภาขุนนาง ราชวงศ์ชิงไม่มีระบบการสืบทอด
ตำแหน่งรัชทายาทจนกระทั่งถึงรัชสมัยจักรพรรดิคังซี ผู้ที่กุมอำนาจ
มากที่สุดในเวลานั้นโอรสชายที่อายุมากที่สุด เหาเก๋อ และ พระเชษฐา
ของพระองค์ คือ ตัวเอ่อร์กุ่น ตัวเอ่อร์กุ่นได้เจรจาประนีประนอมเพื่อไม่
ต้องการให้เกิดการแย่งชิงบัลลังก์รัชทายาทจึงอัญเชิญ "ฝูหลิน" โอรส
วัยห้าชันษาขึ้นครองราชย์เป็น จักรพรรดิซุ่นจื้อ โดยมีตัวเอ่อร์กุ่นเป็นผู้
สำเร็จราชการ และเป็นผู้นำโดยพฤตินัยของแมนจู
10
การพิชิตหมิง
ของชิง
明思宗ในสมัย พระเจ้าหมิงซือจง () แห่งราชวงศ์หมิง
เกิดเหตุการณ์สำคัญหลายครั้ง ได้แก่ การผนวกที่ดิน การเก็บภาษี
เบ็ดเตล็ด ความไม่พอใจของทหาร และภัยแล้งครั้งใหญ่ ทั้งหมดทำให้
ประชาชนและทหารไม่พอใจราชวงศ์หมิงอย่างมาก และรวมตัวเป็นกลุ่ม
ย่อยก่อจลาจลในหลายพื้นที่ กินเวลาหลายปี ในที่สุดก็รวมตัวกันก่อ
李自成จลาจลครั้งใหญ่ ซึ่งนำโดย หลี่จื้อเฉิง (
: Lǐ Zìchéng)
อดีตขุนนางชั้นผู้น้อยของราชวงศ์หมิง ได้นำกำลังเข้ายึดครอง กรุง
ปักกิ่ง ราชธานีของราชวงศ์หมิง ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2187 จน
พระเจ้าหมิงซือจงต้องผูกพระศอปลงพระชนม์ตัวเองที่ต้นไม้บนเนินเขาที่
มองเห็น พระราชวังต้องห้าม ได้ชัด ถือเป็นจุดอวสานของราชวงศ์หมิง
11
สมัยต้น
ราชวงศ์ชิง
ตัวเอ่อร์กุ่น ผู้สำเร็จราชการแห่งราชวงศ์ชิงมีบทบาทอย่าง
มากในช่วงต้นของราชวงศ์เนื่องจากต้นราชวงศ์มีกบฏเกิดขึ้นเป็น
จำนวนมากทำให้ราชวงศ์ชิงต้องร่วมมือกับขุนนางราชวงศ์หมิงที่ทรยศ
ชาติปราบกบฏหมิงใต้ หลังจากกบฏหมิงใต้สิ้นสุดเมื่อปี 1662 ปี 1673
เกิดกบฏสามเจ้าศักดินา ราชวงศ์ชิงใช้เวลาปราบกบฏทางใต้ 8 ปี
1673-1681
ทหารแมนจูแห่ง ภาพวาด เหตุการณ์การฆ่าล้าง
กองทัพแปดกองธง เมืองหยางโจว กองทัพแมนจูสังหาร
ชาวฮั่นอย่างโหดร้าย
12
การเปลี่ยนเเปลงทางวัฒนธรรม
เมื่อกองทัพแมนจูยึดภาคกลางของจีนได้ จึงจำเป็นต้องใช้
มาตรการกลืนกินข่มวัฒนธรรมฮั่นอย่างเข้มงวด ในรัชสมัยของ
จักรพรรดิซุ่นจื้อ ทรงมีคำสั่งให้ชาวฮั่นใช้ ผมเปีย ชาวแมนจูอย่าง
เป็นทางการ จักรพรรดิชิงทรงออกกฎหมายบังคับให้ชาวฮั่นทุกคน
ต้องไว้ผมเปียและสวมเสื้อผ้าอย่างชาวแมนจู เพื่อเป็นการแสดง
ความเคารพและภักดีต่อราชวงศ์ชิง ชายชาวฮั่นทุกคนต้องโกนผม
ครึ่งศีรษะและหนวดเครา และผูกผมด้านท้ายเป็นหางเปียยาว กฎนี้
ขัดแย้งกับประเพณีปฏิบัติเดิมของชาวฮั่นที่ห้ามตัดผม เพราะถือว่า
เส้นผม ตามหลัก ลัทธิขงจื้อ แล้วเป็นสิ่งที่พ่อแม่บรรพบุรุษให้มา
หากตัดทิ้งเท่ากับไม่เคารพบรรพชน ชาวจีนทั่วประเทศต้องปฏิบัติ
มิฉะนั้นจะถูกตัดหัว กว่า 258 ปีที่ราชวงศ์ชิงครองประเทศ ชา1ว3
จีนได้ก่อกบฏขึ้นหลายครั้งเนื่องจากกฎดังกล่าวนี้ ผู้สำเร็จราชการแผ่น
ดิน ตัวเอ่อร์กุ่น มีคำสั่งให้ชาวฮั่นโกนผมไว้เปียทั้งหมด หากไม่ไว้มีแต่
ตายสถานเดียว จนมีคำกล่าวว่า “ไว้ผมไม่ไว้หัว ไว้หัวไม่ไว้ผม”
หมายความว่า หากคิดรักษาหัวให้โกนผมไว้เปีย หากไม่คิดไว้เปียก็
เตรียมถูกบั่นศีรษะได้ ครั้งนั้นมีคนตายจากการขัดคำสั่งหลายแสนคน
ทั่วแผ่นดินเต็มไปด้วยเสียงร่ำไห้ระงมผสมเคียดแค้นเพราะคำสั่งนี้หลัง
จากประกาศนโยบายนี้ออกไปทำให้ชาวจีนที่ต่อต้านถูกทหารแมนจู
ประหารชีวิตไปมากกว่า 200,000 คน ภายในระยะเวลาเพียง 3 วัน
โดยถือว่าผู้ที่ขัดขืนถือเป็นคนทรยศ ไม่ซื่อตรงต่อฮ่องเต้
14
ยุคทองเเห่ง
ราชวงศ์ชิง
ยุครุ่งเรืองแห่งราชวงศ์ชิง เริ่มจากช่วงรัชกาลจักรพรรดิคังซี
ถึงจักรพรรดิเฉียนหลง จัดเป็นยุครุ่งเรืองสุดท้ายในประวัติศาสตร์
ราชวงศ์จีน โดยกล่าวถึงรัชกาลของจักรพรรดิต้าชิง 3 พระองค์ ได้แก่
จักรพรรดิคังซี จักรพรรดิยงเจิ้ง และจักรพรรดิเฉียนหลง รวมเป็น
ระยะเวลากว่า 130 ปี ในช่วงเวลาดังกล่าว เนื่องจากการปกครองเป็น
ไปในแนวทางเดียวกัน สามารถลดความขัดแย้งระหว่างชนชาติและ
ชนชั้น ดำเนินนโยบายหนึ่งประเทศหลายเผ่าพันธุ์ทั้งในทางเศรษฐกิจและ
สังคม ทำให้สังคมมีความสงบสุขเป็นระยะเวลาที่ยาวนานนับร้อยปี
15
ราชวงศ์ชิง
ล่มสลาย
เริ่มระส่ำระสาย
หลังจากเจริญรุ่งเรืองสูงสุดในช่วงต้นราชวงศ์ สภาพทั่วไปใน
พุทธศตวรรษที่ 24 ราชวงศ์ชิงเริ่มอ่อนแอและความเจริญรุ่งเรืองลด
ลง เนื่องจากประเทศจีนประสบปัญหาความขัดแย้งกันอย่างรุนแรง
ของกลุ่มคนในวงการต่าง ๆ โดยเฉพาะด้านการเมืองที่มีขุนนางฉ้อ
ราษฎร์บังหลวง เศรษฐกิจหยุดนิ่ง เพราะจักรพรรดิเฉียนหลง กษัตริย์
เจ้าสำราญโปรดความหรูหราฟุ่มเฟือยและทำสงครามบ่อยครั้ง เงิน
ท้องพระคลังขัดสน และจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นอย่างมาก ทำให้เกิด
ปัญหาขาดแคลนที่ทำกิน จะเห็นได้ว่าราชวงศ์ชิงมีปัญหาความกดดัน
ภายในประเทศที่สะสมมานาน ประกอบกับความกดดันภายนอกจาก
ชาติมหาอำนาจในยุคล่าอาณานิคม ที่ราชวงศ์ชิงไม่อาจทานได้เพราะ
ระบบการปกครอง และเศรษฐกิจที่ล้าสมัย
16
ในช่วงต้นของ พุทธศตวรรษที่ 25 ความไม่พอใจของประชาชนต่อ
การปกครองที่เหลวแหลกของราชสำนักชิงพวยพุ่งขึ้นเรื่อยๆ เริ่มมีการรวม
กลุ่มกันประท้วงมากขึ้นและขยายตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งพระนาง ซูสีไทเฮา
และจักรพรรดิกวางสูสวรรคตใน ค.ศ. 1908 ทิ้งให้สมาชิกราชวงศ์ที่ไร้
บารมีและสถานภาพทางการเมืองไม่แน่นอนยังอยู่ใน พระราชวังต้องห้าม
ผู่อี๋ โอรสของ องค์ชายชุนที่ 2 ได้รับการอภิเษกให้เป็นจักรพรรดิองค์ต่อ
ไปตั้งแต่พระชนมายุเพียง 2 ชันษา โดยให้พระราชบิดาเป็นผู้สำเร็จราชการ
แทน ต่อมา นายพล หยวน ซื่อไข่ ถูกปลดออกจากตำแหน่งทางทหาร ใน
กลางปี ค.ศ. 1911 องค์ชายชุนที่ 2 ทรงตั้ง คณะรัฐมนตรีหลวง โดย
สมาชิกเกือบทั้งหมดเป็นพระญาติสกุลอ้ายซินเจว๋หลัว มีหน้าที่บริหาร
ประเทศจีนในเรื่องทั่วไป การตั้งคณะรัฐมนตรีหลวงครั้งนี้ได้สร้างความไม่
พอใจอย่างยิ่งให้กับข้าราชการชั้นสูงทั้งหลาย ซึ่งรวมทั้งจางจื่อตง ด้วย
17
ในวันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 1911 ได้เกิด จลาจลอู่จาง ขึ้น
และต่อมา ดร. ซุน ยัดเซ็น ได้ประกาศก่อตั้งรัฐบาลของตนขึ้นใหม่ ใน
นามสาธารณรัฐจีน ที่เมืองนานกิง หัวเมืองหลายแห่งเริ่มตีตัวแยกจาก
รัฐบาลราชวงศ์ชิง เมื่อสถานการณ์ไม่น่าไว้วางใจเช่นนี้ รัฐบาล
ราชวงศ์ชิงจึงเรียกตัวนายพลหยวน ซื่อไข่รู้สึกไม่พอใจราชวงศ์อยู่
แล้วกลับเข้ามาควบคุม กองทัพเป่ยหยาง เพื่อปราบปรามกลุ่มผู้แข็ง
ข้อทั้งหลาย หลังจากที่ได้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและจัดตั้งรัฐบาลของ
ตนแล้ว นายพลหยวนก็ได้เรียกร้องให้องค์ชายชุนลงจากตำแหน่งผู้
สำเร็จราชการ โดยการเรียกร้องครั้งนี้ได้รับคำแนะนำจาก สมเด็จพระ
พันปีหลวงหรงยู่
18
หลังจากองค์ชายชุนออกจากตำแหน่งแล้ว หยวน ซื่อไข่และ
นายพลจากกองทัพเป่ยหยางก็ครอบงำราชวงศ์ชิงได้สำเร็จ ประเทศจีน
ในครั้งนั้นก็มี รัฐบาล 2 ฝ่าย รัฐบาลหยวน ซื่อไข่ปฏิเสธการทำสงคราม
กับรัฐบาลสาธารณรัฐของซุน ยัดเซ็น โดยให้เหตุผลว่าเสียค่าใช้จ่ายสูง
และไม่มีเหตุผล คำเรียกร้องของราชวงศ์ชิงคืออยากใประเทศจีน
ปกครองระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ และซุนยัดเซ็นอยากให้
ประเทศปกครองด้วยระบอบสาธารณรัฐ หลังจากที่ได้รับการอนุญาต
จากหลงหยูไทเฮาแล้ว นายพลหยวนก็ได้เปิดการเจรจากับซุนยัดเซ็น
โดยที่ซุนยัดเซ็นมีเป้าหมายว่าถ้าก่อตั้งสาธารณรัฐจีนสำเร็จแล้ว อาจจะ
ให้นายพลหยวนขึ้นเป็นประธานาธิบดี ใน ค.ศ. 1912 หลังจากการ
เจรจา หลงหยูไทเฮาก็ได้ออกพระราชเสาวนีย์ประกาศให้จักรพรรดิผู่อี๋ผู้
เป็นพระโอรสบุญธรรมสละราชบัลลังก์
การล่มสลายของราชวงศ์ชิงใน ค.ศ. 1912 ถือเป็นการสิ้นสุด
ของประวัติศาสตร์การปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในจีนที่มี
มายาวนานกว่า 5,000 ปี
19
บรรณานุกรม
ปิยดา ชลวร. “เมื่อแมนจูเข้ามาปกครองฮั่น: การก่อตั้ง
และปกครองครองจีนในช่วงแรกของราชวงศ์ชิง” ใน
ปกรณ์ ลิมปนุสรณ์ (บก.), เหตุเกิดในราชวงศ์ชิง. น. 14-
45. กรุงเทพฯ: ชวนอ่าน, 2555.
ประวัติราชวงศ์ชิง[ลิงก์เสีย] จากเว็บสถานีวิทยุ ซี.อาร์.ไอ.
ปักกิ่ง ภาคภาษาไทย