The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

นายปาณะพันธ์ปานฮวบ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by cookievol209, 2022-10-31 08:53:37

Napanap tattoo

นายปาณะพันธ์ปานฮวบ

NAPANAP

tattoo

ผู้เขียน : ปาณะพันธ์ ปาน
เรียบเรียงฮ:วปบาณะพันธ์ ปาน

ฮวบ

สารบัญ 1
9
ที่มาของรอยสัก 14
20
TRIBAL 26
CELTIC 32
OLD SCHOOL 39
NEW SCHOOL 46
REALISTIC 53
IREZUMI 60
THAI 66
GEOMETRIC 73
QUOTE 80
PATTERN 92
BLACK OUT
WATER COLOR 99

MINIMAL 102

ตำแหน่งบนร่างกาย
สีและหมึก

การลบรอยสัก

ที่มาของสิ่งที่เรียกว่า “ รอยสัก ”

รอยสักเกิดขึ้นตอนไหน ?

เริ่มต้นจากที่กรีก การสักเป็นการทำสัญลักษณ์เฉพาะใบหน้าของทาสและ อาชญากร
ต่อมาการสักเริ่มแพร่หลายในทวีปยุโรปต่อมาประมาณ ค.ศ.787 การสักบนใบหน้าถือเป็น
การลบหลู่ต่อพระผู้เป็นเจ้า ในประเทศไทย การสัก หรือ สักเลขนั้นเป็นการทำเครื่องหมายที่
ข้อมือ เพื่อแสดงการขึ้นทะเบียนเป็นไพร่หลวงที่มีสังกัดกรมกอง แต่ถูกยกเลิกไปในรัชสมัย
รัชกาลที่ 4 ส่วนที่หน้าผาก หรือการสักท้องแขนใช้กับผู้ต้องโทษจำคุก แต่ยกเลิกในปี พ.ศ.
2475 รวมทั้งการสักยันต์เป็นเหมือนเครื่องรางของขลังตามความเชื่อ เป็นที่นิยมในหมู่คน
สองกลุ่ม คือ กลุ่มอันธพาล อาชญากร และพระภิกษุที่คิดจะปกป้องตนเองและผู้อื่นจากสิ่งชั่ว
ร้ายโดยการสักยันต์ ในญี่ปุ่น การสักเรียกว่า Irezumi ซึ่งมีความหมายว่าการเติมหมึก คาด
ว่าเริ่มปรากฏในประมาณศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสตกาล ต่อมาในคริสต์ศตวรรษที่ 8 การสักจะ
ประทับตาคนกลุ่มต่างๆ เพื่อแบ่งแยกเช่น เพชฌฆาต สัปเหร่อ อาชญากร จนกระทั่งเริ่มมี
การสักแบบ Horibari ที่มักจะสักลวดลายต่างๆทั่วร่างกาย และเริ่มแพร่หลายในปี ค.ศ.
1750 โดยนิยมมากในหมู่ Eta ซึ่งเป็นกลุ่มคมฐานะชั้นต่ำที่สุดลวดลายต่างๆมักเป็น
จิตรกรรมที่มีชื่อเสียง ตลอดจนเทพเจ้า ตามความเชื่อทางศาสนา และ นิทานพื้นบ้าน

-1-

-2-

-3-

-4-

-5-

-6-

-7-

ประเภทของรอยสัก

-8-

#1 TRIBAL

[ ชนเผ่า ]

-9-

รอยสัก สไตล์ชนเผ่า ที่ได้ชื่อว่าเป็นรอยสักที่เก่าแก่ที่สุดในประวัติศาสตร์
เชื่อกันว่ามีจุดกำเนิดมาจากชาวโพลีนีเซียน หรือชนเผ่าที่อาศัยอยู่ตามหมู่

เกาะ เช่น Tahiti, Samoa, Hawaii, New Zealand เป็นต้น
ซึ่งลวดลายของรอยสักแบบ Trible นี้เน้นไปที่วัฒนธรรมความเป็นมาของ

แต่ละชนเผ่า ธรรมชาติ บอกเล่าสถานะทางสังคม หรือสักไว้ปกป้อง
คุ้มครองตัวเอง เช่น รอยสัก แบบ Samoa เส้นใหญ่ เน้นไปที่การบอกเล่า
ความอดทน เพราะการสักนั้นเจ็บมาก เนื่อจากใช้ฟันของสัตว์แทนเข็ม ผู้สัก

ต้องค่อย ๆ ตอกลงบนผิวหนัง แถมต้องสักให้เสร็จภายในครั้งเดียว



-10-

-11-

-12-

-13-

#2 CELTIC

-14-

ก่อนหน้านี้ชนเผ่าโบราณได้นำรูปแบบไปใช้กับอาวุธเครื่องใช้ในครัวเพียง
ก้อนหิน เครื่องประดับแต่ละชิ้นมีความหมายบางอย่างดังนั้นใคร ๆ ก็พูดได้
ว่าคนสมัยโบราณทำบางอย่าง แท็กในชีวิตของคุณ ในปี 800 พระชาวไอริช
ได้คัดลอกเครื่องประดับทั้งหมดและสร้างหนังสือทั้งเล่ม "หนังสือเซล
ติก"ซึ่งพวกเขากำหนดความหมายที่แน่นอนของแต่ละรูปแบบ

ภาพทั้งหมดมีความหมาย อินฟินิตี้เนื่องจากรูปแบบทั้งหมดมีเส้นร่วมกัน -
ขดใหม่เริ่มจากปลายอีกด้าน นี่คือสิ่งที่นำทางผู้คนจากชนเผ่าโบราณเมื่อ
พวกเขาเข้าร่วมในการพิชิตดินแดนใกล้เคียง เป็นเพราะความดุร้ายและใน
บางกรณีความโหดเหี้ยมที่ไม่ใช่ทุกคนที่ต้องการตกแต่งตัวเองด้วยรอยสัก
เลือกภาพวาดเซลติกที่จะนำมาใช้กับร่างกาย

-15-

-16-

-17-

-18-



#3
OLD SCHOOL

-20-

เรียกได้ว่าเป็นรอยสักคลาสสิคกันเลยทีเดียวสำหรับ Old School เพราะ
มีความเป็นมาตั้งแต่ยุคเดินเรือ ช่วงต้นศตวรรษที่ 20 เน้นภาพ 2 มิติ
ลายเส้นใหญ่ ชัด ไม่ซับซ้อน และใช้สีน้อย โดยลวดลายกล่าวถึงชีวิตบน
เรือของกลาสี ทหาร ความรัก วัฒนธรรมหรือสถานที่แปลกใหม่ที่ไปพบ
เจอ และสิ่งต่าง ๆ ล้วนมีความหมายลึกซึ้งทั้งสิ้น เช่น สมอเรือ หมายถึง

เครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ , นกนางแอ่น หมายถึง การหวนคืน , หัวกระโหลก
หรือความตาย หมายถึง ความไม่แน่นอนในทะเล

-21-

-22-

-23-

-24-



#4
NEW SCHOOL

-26-

รอยสักโรงเรียนใหม่ ซึ่งเป็นรูปแบบที่ค่อนข้างใหม่ เทรนด์นี้เริ่มพัฒนาขึ้นราว
กลางทษวรรษที่ 80 พร้อมกับการเคลื่นไหวที่คลั่งไคล้และแพร่กระจายอย่าง
กว้างขวางไปทั่วโลก สไตล์นี้ไม่มีข้อจำกัด ที่เข้มงวดและบางครั้งก็เป็นปรัชญา
เล็กน้อย องค์ประกอบหลักของรอยสัก New School ก็คือการแสดงให้เห็น

ถึงความเพ้อฝันอารมณ์ขันและความเป็นนามธรรมให้ได้มากที่สุด โดย
โรงเรียนมีองค์ประกอบที่คล้ายกับกราฟฟิตี้ ภาพจะมีสีสันสดใสกรอบด้วย
โครงร่างสีดำและตัวหนานั่นเอง ภาพวาดมีขนาดค่อนข้างใหญ่ซึ่งทำให้สามารถ
อ่านจากระยะไกลได้อย่างชัดเจนโรงเรียนใหม่ซึ่งต่างจาก Old School อย่าง
สิ้นเชิง เมื่อพัฒนาโครงเรื่องของสักได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว หากก่อนหน้านี้
ภาพทั้งหมดค่อนข้างดั้งเดิมและน่าเชื่อถือ แต่ตอนนี้รูปของรอยสักและ
เทคนิคการประหารชีวิตนั้นได้ก้าวไปไกลแล้ว ในแง่ของความเฉลียวฉลาดและ

สว่าง ดูมีลวดลายและสีสันสวยงาม




-27-

-28-

-29-

-30-



#5
Realistic

-32-

ทั้งแบบสีและแบบขาวดำ ทั้งคน (นิยมเรียกว่างาน portrait) สัตว์ สิ่งของ พืช
พรรณ เทพเจ้า หรือสถานที่ก็ยังมี จัดว่าเป็นงานสักที่มีความสะเอียดสูงมาก
จริงๆช่างสักระดับโลกที่เรารู้สึกว่าทำงาน portrait เก่งมากๆก็คือ Kat Von
D รู้จักมาจากการดู LA Ink อีกแล้ว นางเป็นหญิงเก่งอีกคนนึงเลยนะจะว่าไป
ทำทั้งงานสัก งานเพลง ธุรกิจเครื่องสำอาง งานแต่ละชิ้นที่เราเคยดูงามหยด
อย่างบอกไม่ถูก ส่วนมากจะเน้นขาวดำซะเยอะ เหมือนจริงมากๆ อย่างรูปพระ
แม่สรัสวตีองค์นี้เหมือนจริงจนสะพรึง

-33-

-34-

-35-

-36-

-37-



#6
IREZUMI

-39-

“Irezumi” คือการสักในรูปแบบเดียวกันกับชาวญี่ปุ่นดั่งเดิมขนานแท้ที่มีความ
เป็นมาตั้งแต่สมัยโบราณ ในยุค Jomon หรือ Paleolithic ซึ่งหากจะนัลตาม
แบบสากลแล้วนั้นก็คงจะเปรียบได้กับ ช่วงยุคหินเก่า โดยรอยสักประเภทนี้เริ่ม
เข้ามามีอิทธิพลอยู่กลุ่มคนชนชั้นต่างๆ โดยคนญี่ปุ่นส่วนใหญ่เชื่อกันว่า รอยสัก
นอกจากจะเป็นสัญลักษณ์แล้ว มันยังเป็นสิ่งที่ส่งผลต่อเรื่องของจิตวิญญาณ
โดยตรงอีกด้วย ซึ่งจะว่าไปแล้วนั้น อันที่จริง “Irezumi” ก็มีความหมายที่
คล้ายคลึงกับการสักยันต์ของประเทศไทย ที่ในสมัยก่อน ทหารไทยก็มักจะใช้
การสักยันต์เข้ามาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ แถมยังเป็นการสร้างขวัญกำลังใจ
ในการออกทำศึกสงครามอีกด้วย
แต่กระนั้นแล้วการสักแบบญี่ปุ่นของจริงที่เรียกว่า “Irezumi” นั้นจะมี
เอกลักษณ์และมนต์เสน่ห์แบบเฉพาะตัว ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเป็นลวดลายของ
เทพเจ้า , สัตว์ , ดอกไม้ , รวมไปถึงภาพเหตุการณ์จากเรื่องเล่าตำนาน หรือ
นิทานพื้นบ้าน โดยรวมแล้วจะมีความหมายที่สื่อไปถึงเรื่องของความอดทน และ
ความทะเยอทะยานของชีวิตแต่กระนั้นแล้วการสักแบบญี่ปุ่นของจริงที่เรียกว่า
“Irezumi” นั้นจะมีเอกลักษณ์และมนต์เสน่ห์แบบเฉพาะตัว ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะ
เป็นลวดลายของ เทพเจ้า , สัตว์ , ดอกไม้ , รวมไปถึงภาพเหตุการณ์จากเรื่อง
เล่าตำนาน หรือนิทานพื้นบ้าน โดยรวมแล้วจะมีความหมายที่สื่อไปถึงเรื่องของ
ความอดทน และความทะเยอทะยานของชีวิต

-40-

-41-

-42-

-43-

-44-



#7
Thai

-46-

การสักยันต์ในประเทศไทยมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ
ผู้ชายสมัยก่อนจะสักยันต์ด้วยเหตุผลทางเวทมนต์คาถา
เพื่อความแข็งแกร่งของจิตใจและความอยู่ยงคงกระพัน

แต่จริง ๆ จะเรียกว่าเป็น Thai Tattoo เลยก็คงจะไม่ถูกต้องนัก เพราะการ
สักยันต์นั้นมีต้นกำเนิดมาจากประเทศกัมพูชา ภาษาขอมในการลงคาถา
ส่วนยันต์ที่เราคุ้นเคยกันก็เช่น ยันต์เก้ายอด ยันต์ห้าแถว เป็นต้น

-47-

-48-


Click to View FlipBook Version