The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ประวัติ สมเด็จพระสังฆราช สา ปุสสเทโว

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ประสาร ธาราพรรค์, 2021-02-02 08:20:22

ประวัติ สมเด็จพระสังฆราช สา ปุสสเทโว

ประวัติ สมเด็จพระสังฆราช สา ปุสสเทโว

ประวัติ สมเดจ็ พระสงั ฆราช (สา ปสุ ฺสเทโว)

ผเู้ รียบเรียงนายประสาร ธาราพรรค์

พระสังฆราช 18 ประโยค เป็นคาเรียกขานเชิงยกย่อง “สมเด็จพระอริยวงศาคต
ญาณ สมเดจ็ พระสงั ฆราช” พระองค์ท่ี 9 แห่งกรงุ รัตนโกสินทร์ ซึง่ มีพระนามเดิมว่า “สา”
พระนามฉายา “ปุสสฺ เทโว” สถิต ณ วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม การที่คนเรียกขาน
เชิงยกย่องพระองค์อันเป็นที่รู้กันว่า “สังฆราช 18 ประโยค” นั้น ก็เน่ืองจากทรงเป็นผู้ที่มี
พระอจั ฉริยภาพเป็นเลศิ เพราะเป็นผทู้ ีส่ ามารถแปลบาลีได้ทัง้ 9 ประโยคในคราวเดยี ว และ
เมื่อลาสิกขาไปแลว้ กลบั มาบวชใหม่ ทรงเข้าแปลใหม่ก็สอบได้ทั้ง 9 ประโยค จนได้รับการ
ยกย่องวา่ เป็น สามเณรอัจฉริยะ แหง่ กรุงรัตนโกสินทร์ องค์แรก และดว้ ยเหตนุ เี้ องผู้คนเมื่อ
พูดถึงพระองค์ก็มกั จะเรยี กวา่ “สงั ฆราช 18 ประโยค” เปน็ การยกยอ่ งพระอัจฉรยิ ภาพของ
พระองค์

ประวตั สิ มเด็จพระสงั ฆราช (สา ปสุ สฺ เทโว)

สมเด็จพระสงั ฆราช (สา ปุสฺสเทโว) แม้จะทรงมีพระชาติกาเนิดมาจากสามัญชนแต่
ด้วยความร้คู วามสามารถทาใหท้ รงเปน็ ที่ยอมรับคพู่ ระทยั จากพระมหากษตั รยิ ์ถึง 2 รชั กาล
ด้วยการเป็นศิษย์หลวงในรัชกาลท่ี 4 และสมเด็จพระสังฆราชคู่พระทัยในรัชกาลท่ี 5
ความสาคญั เช่นน้ีทาใหพ้ ระประวัติของพระองคน์ า่ สนใจและสมควรเผยแพร่

สมเด็จพระสงั ฆราช (สา ปุสสฺ เทโว) เดิมเปน็ ชาวตาบลบางไผ่ จงั หวดั นนทบรุ ี ประสตู ิ
ในรชั สมยั พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหลา้ นภาลยั เมื่อวันพฤหัสบดี เดอื น 9 แรม 8 คา่ ปี
ระกา จ.ศ. 1175 ตรงกับวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2356 บ้านเดิมอยู่บางเชิงกราน จังหวัด
ราชบุรี พระบิดาช่ือจัน พระมารดาชื่อ ศุข ซ่ึงสืบเช้ือสายมาจากบุตรีเจ้าพระยาชานาญ
บริรักษ์ สมหุ กลาโหมปลายสมัยกรงุ ศรีอยธุ ยา ท่อี พยพครอบครัวมาต้ังถน่ิ ฐานบรเิ วณคลอง
บางไผ่ แขวงเมืองนนทบรุ ี ภายหลงั เสียกรุงศรอี ยุธยาครง้ั ท่ี 2

คลองบางไผ่ แขวงเมอื งนนทบรุ ี

ทา่ นมพี น่ี อ้ งรชายหญงิ รวมกนั 5 คน คอื
หญงิ ชอ่ื บวบ
ชายชอื่ ชา้ ง เปน็ พระสภุ รตั กาสายานรุ กั ษ์
ชายชอื่ สา คอื สมเดจ็ พระสงั ฆราช
ชายชอ่ื สงั อปุ สมบทอยวู่ ดั บวรนเิ วศวหิ ารเปน็ ทพี่ ระสนุ ทรมนุ ี

ภายหลงั ลาสกิ ขา
หญงิ ชอื่ อมิ่

ไมป่ รากฏวา่ สมเดจ็ พระสงั ฆราช (สา) มนี ามสกลุ เดมิ วา่ อยา่ งไร ซง่ึ ในชว่ งทพี่ ระองค์

ลาสกิ ขามาครองเรอื นมภี รรยานนั้ ทา่ นมภี รรยา 2 คน จงึ เปน็ ทมี่ าของสองนามสกลุ คอื

“ปสุ สเทโว” และ “ปสุ สเดจ็ ” ซ่งึ ทงั้ สองนามสกลุ นยี้ งั มผี สู้ บื สกลุ ในทอ้ งทจี่ งั หวดั นนทบรุ ที ี่

ลว้ นเปน็ เครอื ญาตกิ นั ถา้ เปน็ ดงั ขอ้ มลู น้ี สมเดจ็ พระสงั ฆราช (สา ปสุ สฺ เทโว) จะเปน็ สมเดจ็
พระสงั ฆราชพระองคเ์ ดยี วทท่ี รงครองเรอื นมคี รอบครวั ซง่ึ นับเปน็ ความพเิ ศษอกี ประการ
หนง่ึ ในพระประวตั ิ

เทยี นวรรณ
นอกจากนี้ สมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว) ยังมีสายสัมพันธ์ทางเครือญาติกับ
เทียนวรรณ นักคิดผู้เรียกร้องการปฏิรูปบ้านเมืองคนสาคัญในสมัยรัชกาลท่ี 5 เนื่องจาก
ทา่ นศขุ มพี ีน่ อ้ งอกี 2 คนคือ แจม่ และจันทร์ ซ่ึงย้ายไปตั้งถ่ินฐานบริเวณคลองบางขุนเทียน
แขวงเมืองนนทบุรี โดยเทียนวรรณเป็นหลานของยายแจ่ม ส่วนสมเด็จพระสังฆราช
(สา ปุสสฺ เทโว) นั้นมฐี านะเปน็ ลงุ ของเทยี นวรรณ และเคยอบรมสั่งสอนเทียนวรรณซ่ึงบวช
เป็นสามเณร ขณะจาพรรษาอยู่ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เม่ือครั้งท่ีสมเด็จพระสังฆราช
(สา ปุสฺสเทโว) ดารงสมณศักด์ิเป็นพระสาสนโสภณ ซึ่งเทียนวรรณได้บันทึกถึงช่วงเวลา
ดังกล่าวอันสะท้อนความเคร่งครัดในพระธรรมวินัยของพระสาสนโสภณ ท่ีอบรม
เทียนวรรณเป็นอย่างดี ดงั นี้

แลว้ เรยี นธรรมกรรมฐานแลญาณเกา้
ไมน่ ง่ิ เปลา่ เรอื่ งวชิ าหาทกุ สง่ิ
จนออกชอ่ื ลอื ชาวา่ กลา้ จรงิ
ไมม่ สี งิ่ มวั หมองครองวนิ ยั

วดั นครอนิ ทร์
สามเณรเปรยี ญ 9 ประโยครูปแรก

สมเดจ็ พระสงั ฆราช (สา ปุสฺสเทโว) ได้ศึกษาเบือ้ งต้นกับบิดาของทา่ นซ่ึงมคี วามถนัด
ในทางศาสนามาแต่เดิม ซึ่งส่ิงนี้เป็นปัจจัยหน่ึงที่ทาให้ทรงบรรพชา และได้บรรพชาเป็น
สามเณรในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เดิมอยู่วัดใหม่ในคลองบางขุน
เทียนบ้านหม้อ บางตนาวสี แขวงเมืองนนทบุรี ปัจจุบันคือวัดนครอินทร์ จ.นนทบุรี แล้ว

ย้ายไปอยู่วัดสังเวชวิศยารามวรวิหาร และไปเรียนพระปริยัติธรรมในพระราชวังบวรกับ
อาจารยอ์ ่อน และโยมบดิ าของทา่ นเอง ซ่งึ เป็นอาจารยบ์ อกหนงั สอื อยทู่ พ่ี ระราชวงั บวรดวั ย
กนั พระเทพกวี หนึ่งในศิษย์บันทึกว่า “บิดาของท่านพอแปลได้บ้างเล็กน้อย จะเรียน
ต่อไปบดิ าของทา่ นบอกได้แต่ไมช่ านาญจงึ มาเรยี นในสานกั นายอ่อนอาจารย์”

สมเดจ็ พระบวรราชเจา้ มหาศกั ดพิ ลเสพ
ครั้นปี พ.ศ.2369 เม่ือพระชนมายุได้ 14 ปี ได้เข้าแปลพระปริยัติธรรมเป็นคร้ังแรก
แปลได้ 2 ประโยค จงึ ยังไม่ได้เปน็ เปรียญ แต่คนเรยี กกันวา่ เปรยี ญวังหนา้ ซง่ึ มีที่มาของชอ่ื
นี้ว่า ในการแปลพระปริยัติธรรมน้ัน ผู้เข้าแปลคร้ังแรกต้องแปลให้ได้ครบ 3 ประโยคใน
คราวเดียว จึงจะนับว่าเป็นเปรียญ ถ้าได้ไม่ครบในการสอบครั้งต่อไป จะต้องเร่ิมต้นใหม่
ทั้งหมด คร้ังนั้นสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพมีพระประสงค์ที่จะอุปการะภิกษุ
สามเณรท่ีเข้าสอบ มิให้ท้อถอย ดังนั้นถ้ารูปใดแปลได้ 2 ประโยค ก็ทรงรับอุปการะไป

จนกวา่ จะสอบเขา้ แปลใหม่ ไดเ้ ป็นเปรียญ 3 ประโยค ภิกษุ สามเณร ที่ได้รับพระราชทาน
อปุ การะในเกณฑด์ งั กล่าว จงึ ได้ช่อื ว่า เปรียญวังหน้า

ต่อมา สามเณรสาไดถ้ วายตัวเป็นศษิ ย์พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เมอื่ ทรง
ผนวชพานกั ท่ีวัดสมอราย (ปจั จุบนั คือวดั ราชาธิวาสราชวรวิหาร) เนื่องจากได้ยินกิตติศัพท์
ว่าทรงปราดเปรื่องเร่ืองภาษาบาลีจนหาผู้เทียบได้ยาก เม่ือได้สมัครเป็นศิษย์ ก็ถ่ายทอด
ความรู้ภาษาบาลีให้สามเณรสา จนกระทั่งเมื่อสามเณรสาอายุได้เพียงแค่ 18 ปีก็สามารถ
แปลพระปรยิ ตั ิธรรมไดถ้ ึงเปรียญธรรม 9 ประโยค เปน็ ทอ่ี ศั จรรยใ์ นความฉลาดปราดเปรอ่ื ง
ย่ิงนัก สมัยนั้นยังแปลพระปริยัติธรรมกันด้วยปากเปล่า (หมายถึงแปลสดให้กรรมการฟัง
แล้วแต่กรรมการว่าจะให้แปลคัมภีร์อะไร หน้าเท่าไหร่) เป็นที่โจษจันไปท่ัวพระนคร
สามเณรสาจึงได้รับพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ให้เปน็ นาคหลวงสายเปรยี ญธรรมรูปแรกในกรุง
รตั นโกสนิ ทร์

วดั สมอราย หรอื วดั ราชาธวิ าส

อปุ สมบทครงั้ แรกเปน็ นาคหลวงแล้วสึก

พระองค์ได้อุปสมบท ณ วัดราชาธิวาส เมื่อปี พ.ศ. 2376 โดยมีพระสุเมธมุนี (ซาย
พุทฺธวโส) ซง่ึ เป็นพระมอญเปน็ พระอุปชั ฌาย์ พระวชิรญาณ (พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้า
เจ้าอยู่หัว) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ได้ฉายาว่า ปุสฺโส นักวิชาการหลายท่านเข้าใจว่า
สามเณรสา สอบเปรียญ 9 ประโยค ได้ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ซ่ึงไมใ่ ช่

ปี พุทธศักราช 2379 พระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ทรง
อาราธนาพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจ้าอยหู่ วั ขณะทรงผนวชอยู่ ใหเ้ สดจ็ มาครองวดั บวร
นิเวศวิหาร

ขณะนัน้ สมเดจ็ พระสงั ฆราชอุปสมบทได้ 4 พรรษา ทา่ นได้ยา้ ยมาจาพรรษาทว่ี ดั บวร
นเิ วศวิหารตามพระวชริ ญาณภิกขซุ ง่ึ ทรงยา้ ยจากวดั ราชาธวิ าสมาพานกั ทว่ี ดั บวรนเิ วศวหิ าร
ตามพระราชประสงค์ของพระบาทสมเดจ็ พระน่งั เกล้าเจ้าอยูห่ ัว พระมหาสา ปุสฺโส จึงเป็น
สามเณรนาคหลวงสายเปรยี ญธรรมรปู แรกที่จาพรรษาอยู่วัดบวรนิเวศวิหาร เพียงแต่ไม่ได้
สอบบาลีได้ในสานักน้ีเทา่ น้ัน

วดั บวรนเิ วศวรวหิ าร

ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2382 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงแต่งต้ังท่านเป็น
พระราชาคณะท่พี ระอมรโมลี อยู่วัดบวรนิเวศวรวิหาร ต่อมาได้ลาสิกขาไปเป็นฆราวาสอยู่
ระยะหนง่ึ กอ่ นจะลาสกิ ขาด้วยสาเหตุทเ่ี ล่ากนั ว่า พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หวั
มีพระราชประสงค์จัดงานฉลองวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ทรงโปรดให้อาราธนา
พระภิกษุท่ีมีความสามารถมาถวายพระธรรมเทศนา พร้อมกับต้ังพระทัยถวายเครื่องไทย
ธรรมและเงินติดกัณฑ์เทศน์เป็นจานวนมากถึง 10 ชั่ง ครั้งแรกทรงอาราธนาพระเทพโมลี
(ผึ้ง) วดั ราชบรุ ณะ ผมู้ ีความสามารถในการเทศนาและแตง่ หนงั สอื ไทยอยา่ งแตกฉานในสมยั
น้ัน แตพ่ ระเทพโมลี (ผึง้ ) ไม่ปรารถนาปัจจยั จานวนมากมายเช่นน้ันจึงลาสิกขาไปก่อน ทา
ให้ทรงต้องอาราธนาพระอมรโมลี (สา) ซึ่งมีความสามารถทัดเทียมกัน แต่ก็เกิดเหตุการณ์
เชน่ เดยี วกนั

วดั ราชประดษิ ฐสถิตมหาสมี าราม

เม่ือพระอมรโมลี (สา) ลาสิกขาไปใช้ชีวิตในเพศฆราวาสนั้น เป็นช่วงท่ีเรื่องราวของ
ท่านมิได้ถูกกล่าวถึงอย่างเป็นทางการ มีเพียงเรื่องเล่าในหมู่ศิษยานุศิษย์ใกล้ชิด หรือ
พระภิกษุสงฆ์ในวัดราชประดิษฐฯ บางรูปเท่าน้ัน ดังที่ ทองอินทร์ แสนรู้ ซึ่งศึกษาวิชา
โหราศาสตร์กับเจ้าคุณพระเทพเมธากร หรือ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ทิม อุฑาฒิโม) เจ้า
อาวาสวัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมารามรูปท่ีสี่ และได้ทราบเรื่องช่วงชีวิตฆราวาสของ
สมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว) จากคาบอกเล่าของท่านเจ้าคุณอดีตเจ้าอาวาสว่า
“ขา้ พเจา้ ยกครเู รียนโหรจากท่านเจา้ คุณพระเทพเมธากร (ทมิ อุฑาฒิโม) เจ้าอาวาสวัดราช
ประดิษฐ์ฯองค์ปัจจุบัน ศิษย์เอกผู้สืบต่อตาราของท่านเจ้าคุณพระพรหมมุนี (อุปวิกาโส
แย้ม) ท่านได้พร่าสอนข้าพเจ้าเสมอว่า วัดราชประดิษฐ์น้ีมีอาถรรพ์ สึกออกไปแล้วไม่เสือ
ผู้หญิงกน็ ักเลงชัน้ ยอด ท่านไมเ่ คยใหเ้ หตุผล แตท่ า่ นชอบเลา่ อดตี เหมอื นผใู้ หญท่ งั้ หลาย เคย
เลา่ ให้ข้าพเจ้าฟังถึงความเปน็ นกั เลงของสมเด็จพระสงั ฆราช (สา ปสุ สะเทวะ) วา่ เคยสาเรจ็
เป็นเปรียญ 9 ประโยค แล้วสึกออกไปเป็นนักเลงแถวหน้าโรงหวย จนในหลวงรัชกาลท่ี 4
จับบวช และแตง่ ตั้งให้เป็นพระสงั ฆราชในกาลต่อมา”

กรมหมนื่ บวรรงั สสี รุ ยิ พนั ธุ์(สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาปวเรศวรยิ าลงกรณ์)

อปุ สมบทใหมอ่ กี ครงั้ ทมี่ าของ พระมหาสา 18 ประโยค

การอปุ สมบทครง้ั ที่ 2 มีเรอ่ื งเลา่ กนั ว่าภายหลังจากพระอมรโมลี (สา) ลาสกิ ขาอยใู่ น
เพศฆราวาสเป็น มหาสา นัน้ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจา้ อยู่หัว รัชกาลท่ี 4 ทรงกร้ิว
มากเพราะพระอมรโมลีมิได้กราบบังคมทูลลาตามธรรมเนียมของพระราชาคณะท่ีต้อง
ปฏิบัติ พระองค์ทรงให้กรมการติดตามจับตัวมหาสาซ่ึงพานักท่ีบ้านมารดาท่ีบางไผ่ใหญ่
แขวงเมืองนนทบุรี แต่มหาสาก็หลบหนีไปอยู่บ้านญาติฝ่ายบิดาที่บ้านกร่าง แขวงเมือง
ราชบุรี และถูกจบั กมุ ณ ท่แี ห่งน้ัน แล้วนามาเข้าเฝ้า ด้วยเหตุที่มหาสาเมื่อคร้ังอยู่ในสมณ
เพศเป็นท่ีโปรดปรานมาก จึงทรงเสียพระทัยต่อการกระทาโดยพลการของมหาสาคราวน้ี
ดงั น้ันจึงทรงลงโทษ กอ่ นจะทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯให้อุปสมบทใหม่เหตุการณ์ดังกล่าว
แสดงถึงความผูกพันระหว่างพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จ
พระสงั ฆราช (สา ปุสสฺ เทว) ในฐานะอาจารย์ทีอ่ บรมส่งั สอนศิษยใ์ หป้ ระพฤตดิ ี

พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั

พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ ัวมีพระราชกระแสรับสงั่ ถามว่า จะบวชอีกม้ยั
นายสากก็ ราบบังคมทูลวา่ อยากจะบวช พระองค์จงึ ได้ทรงจดั หาเครอื่ งอฐั บรขิ ารให้ ทา่ นจงึ
ได้อุปสมบทคร้ังที่ 2 เมื่ออายุได้ 39 ปี ตก พ.ศ. 2394 ณ พัทธสีมา วัดบวรนิเวศวิหาร
บางลาพู กรงเทพมหานคร โดยมกี รมหมน่ื บวรรังสีสรุ ิยพนั ธุ์ (ตอ่ มาคอื สมเด็จพระมหาสมณ
เจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์) เป็นพระอุปัชฌาย์ และพระศรีวิสุทธิวงศ์ (ฟัก) เป็น
พระกรรมวาจาจารย์ ซ่ึงต่อมาลาสิกขาได้รับราชการดารงตาแหน่งพระยาศรีสุนทรโวหาร
คราวนีไ้ ด้ฉายาวา่ ปุสสฺ เทโว ส่วนฉายา ปสุ ฺสเทว อนั เป็นอีกนามหน่งึ นนั้ สนั นิษฐานวา่ มีการ
เรียกกันตง้ั แต่รัชสมยั พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจา้ อยหู่ วั รชั กาลที่ 5 เหน็ ได้จาก

สร้อยพระนามคอื “ปสุ สเทวาภิธานสงั ฆวสิ ตุ ” เมอ่ื ครงั้ ทรงสถาปนาใหส้ มเดจ็ พระพทุ ธโฆษา
จารย์ (สา) เปน็ สมเดจ็ พระอรยิ วงศาคตญาณในปี พ.ศ.2434 ฉายา ปสุ สฺ เทว มีความหมาย
ว่า เทวดาผิวขาว อันอาจบ่งช้ีถึงความฉลาดปราดเปร่ืองประดุจเทวดาและมีผิวพรรณ
สณั ฐานที่ขาวผุดผ่องเป็นราศีของสมเดจ็ พระสงั ฆราชพระองคน์ ้ี

สมเดจ็ พระสงั ฆราช(สา ปสุ สฺ เทโว)
เมอ่ื อปุ สมบทแล้ว วา่ กนั ว่า ได้ทรงเขา้ แปลพระปริยตั ธิ รรมอีกครั้งหนง่ึ และทรงแปล
ได้หมดท้ัง 9 ประโยค จึงมีผู้กล่าวถึงพระองค์ด้วยสมญานามว่า สังฆราช 18 ประโยค ใน
คราวอุปสมบทคร้ังท่ี 2 นี้ พระองค์เป็นพระอันดับอยู่ 7 ปี จึงได้รับแต่งต้ังเป็นพระราชา
คณะท่ีพระสาสนโสภณ

สมเดจ็ พระสงั ฆราช(สา ปสุ สฺ เทโว)

ต่อมาในปี พ.ศ. 2401 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงตั้งให้เป็น
พระราชาคณะที่ พระสาสนโสภณ โดยได้รับพระราชทานนิตยภัตรเป็นเงิน “ 4 ตาลึง 2
บาท” ทุกเดือน สาเหตุท่ีแต่งตั้งตาแหน่งพระราชาคณะในคร้ังนั้นเน่ืองจาก พระสาสน
โสภณ หรอื ขรัวสา ได้เข้าไปถวายเทศนแ์ ดพ่ ระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจา้ อยู่หวั จนเปน็
ท่พี อพระทยั แตเ่ พราะพระท่ีเขา้ ไปถวายเทศน์นั้นจะต้องเปน็ พระราชาคณะซง่ึ ขณะนน้ั ไมม่ ี
พระภกิ ษรุ ูปใดท่ีสามารถถวายเทศน์ได้ต้องพระทัย แม้แต่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ก็ยัง
เคยลงจากธรรมาสน์โดยไม่เทศน์ถวายเพราะพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรง
ศึกษาพระธรรมอย่างถ่องแท้ขณะทรงผนวชมาแล้ว อีกท้ัง ขรัวสา ก็บวชมาแล้วถึง 7
พรรษา เลยกาหนด 6 ปีท่ีจะเป็นพระราชาคณะได้ สาหรับนาม พระสาสนโสภณ น้ัน
พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจ้าอยูห่ วั ทรงพระนพิ นธพ์ ระราชทานตามนามเดมิ ของสมเดจ็
พระสงั ฆราช คือ สา ดังทีส่ มเดจ็ ฯ กรมพระยาดารงราชานุภาพทรงเลา่ ว่า“พระสรสาตรพล
ขันธ์ (สมบุญ) เคยเล่าใหห้ มอ่ มฉันฟังว่า เมื่อทูลกระหม่อมจะทรงตง้ั สมเดจ็ พระสังฆราชวัด
ราชประดษิ ฐ์ เมอ่ื ยังเรยี กกันวา่ อาจารย์สา ให้เป็นพระราชาคณะ ทรงประดิษฐร์ าชทนิ นาม
เอานามเดิมของทา่ นขนึ้ ต้น แลว้ ตอ่ สรอ้ ยว่า พระสาสนดิลก นาม 1 พระสาสนโสภณ นาม

1 โปรดให้พระสรสาตรไปถามว่าท่านจะชอบนามไหน ท่านว่า นามสาสนดิลก นั้นสูงนัก
ขอรับพระราชทานเพียงนามสาสนโสภณ ก็ได้นามนั้น คนท้ังหลายเรียกกันโดยย่อว่า เจ้า
คณุ สา ไดค้ วามเขา้ ที”

สมเดจ็ พระสงั ฆราช (สา ปสุ สฺ เทโว)
สมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว) นับเป็นพระสาสนโสภณรูปแรก และทรงโปรด
นามนมี้ ากแมจ้ ะทรงไดร้ บั การเลอ่ื นสมณศักด์ิเป็นพระธรรมวโรดม เจ้าคณะรองฝ่ายใต้ ใน
สมัยรัชกาลท่ี 5 เม่ือปี พ.ศ.2415 ก็คงใช้นามว่า “พระสาสนโสภณ ท่ีพระธรรมวโรดม”
เท่ากับทรงพระกรุณาโปรดให้ยกตาแหน่งท่ีพระสาสนโสภณข้ึนเป็นพระราชาคณะชั้นเจ้า
คณะรองในครง้ั น้ี
จนถึงปี พ.ศ. 2422 รัชกาลท่ี 5 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาพระสาสน
โสภณ (สา) ข้ึนเป็นสมเด็จพระราชาคณะที่ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ และไม่ได้ทรง
สถาปนาพระเถระรปู ใดในราชทินนามพระสาสนโสภณเป็นเวลาถงึ 21 ปี

กระทงั่ ปี พ.ศ.2443 จงึ ทรงพระกรณุ าโปรดสถาปนา พระธรรมไตรโลกาจารย์ (อ่อน
อหึสโก) เจา้ อาวาสวดั ราชประดิษฐสถติ ยมหาสมี ารามรปู ทส่ี อง เป็นท่พี ระสาสนโสภณ เจา้
คณะรองฝ่ายธรรมยุติกนิกาย นับแต่นั้นมาสมณศักด์ิตาแหน่งท่ีพระสาสนโสภณ ได้เป็น
ตาแหน่งของเจ้าคณะรองฝ่ายธรรมยุติกนิกาย สืบมาจนปัจจุบัน ความไว้พระทัยที่
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ทรงมีต่อพระสาสนโสภณ (สา) ยังเห็นได้จาก
ภายหลังการสร้างวัดราชประดษิ ฐสถติ มหาสมี าราม

สมเดจ็ พระสงั ฆราช (สา ปสุ สฺ เทโว)
เม่ือปี พ.ศ.2407 เพอื่ ใหเ้ ปน็ วดั สาหรับพระภกิ ษใุ นธรรมยตุ กิ นกิ ายใช้ศึกษาเลา่ เรียน
และใหผ้ ้ทู ี่ศรัทธาในพระธรรมยตุ กิ านิกายใช้ทาบุญ อีกทัง้ เป็นการใช้ประโยชน์ใหส้ อดคลอ้ ง
กับพ้ืนที่เดิมซึ่งเคยเป็นสวนกาแฟมีโรงทานสาหรับทาบุญของชาวบ้านมาก่อน รวมท้ังให้
สอดคล้องกับธรรมเนียมการสร้างวัดประจาเมืองสมัยโบราณที่ต้องมีวัดมหาธาตุ วัดราช
บูรณะ และวัดราชประดษิ ฐาน

พระรปู หลอ่ สมเดจ็ พระสงั ฆราช (สา ปสุ สฺ เทโว) ทว่ี ดั ราชประดษิ ฐสถิตมหาสมี าราม

ตอ่ มา พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงสรา้ งวดั ราชประดษิ ฐสถติ มหาสมี า
รามเสรจ็ เมื่อปี พ.ศ. 2408 ซง่ึ เป็นวัดแรกที่ตั้งขึ้นใหม่ของธรรมยุติกนิกายข้ึน แล้วโปรดให้
พระสาสนโสภณ (สา ปุสฺสเทโว) ไปดารงตาแหน่งเจ้าอาวาสวัดราชประดิษฐฯ เมื่อวันท่ี 6
กรกฎาคม พ.ศ.2408 โดยในวันน้ันโปรดเกล้าฯให้มีขบวนแห่ประกอบดว้ ยธงทิว พิณพาทย์
และรถอีกหลายคันรับพระสาสนโสภณจากวัดบวรนิเวศวิหารมายังพระอารามแห่งใหม่
พร้อมท้งั พระราชทานเปลีย่ นตาลปัตรเป็นตาลปตั รแฉกพน้ื แพรเสมอชัน้ ธรรมแดพ่ ระสาสน
โสภณ (สา) อกี ดว้ ย และมพี ระภิกษตุ ดิ ตามจากวดั บวรนิเวศวิหารอีก 20 รปู

ปี พ.ศ. 2415 พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดเกล้า ฯ สถาปนา
เล่ือนสมณศักด์ิ ขึ้นเปน็ พระราชาคณะเจ้าคณะรองท่ีพระธรรมวโรดม แต่คงใช้ราชทินนาม

เดิมว่า พระสาสนโสภณที่พระธรรมวโรดม ต่อมาเม่ือปี พ.ศ. 2422 ได้รับสถาปนาเป็น
สมเดจ็ พระราชาคณะท่ีสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ เจา้ คณะใหญฝ่ ่ายเหนือ

ปี 2422 ได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะท่ี “สมเด็จพระพุทธโฆษา
จารย์” เจ้าคณะฝา่ ยเหนือ

สมเดจ็ พระสงั ฆราช (สา ปสุ สฺ เทโว)
พระสาสนโสภณ (สา) นอกจากจะช่วยดูแลพระอารามแห่งใหม่แล้วยังช่วยพระราช
กิจของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นอย่างดีเช่นที่พระเทพกวี (แย้ม อุปวิ
กาโส) วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมารามได้บันทึกไว้ว่า “สมเด็จพระสังฆราชน้ัน
พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจา้ อย่หู วั ทรงโปรดวา่ เปน็ ผ้แู ต่งเทศน์ดี แต่ครัง้ เสดจ็ ดารงอยู่
ในพระผนวช ภายหลงั เมือ่ เปน็ พระสาสนโสภณแล้ว ถา้ พระราชาคณะหรือเปรียญจะถวาย
เทศน์ ต้องมาให้ตรวจเสียก่อน ถ้าใครไม่ชานาญในการแต่งเทศน์ก็ทรงแต่งให้ แลได้ทรง

รจนาหนงั สอื ท่เี ปน็ พระสูตรแลกถามรรคต่างๆมาก แลไดท้ ราบได้เห็นมีอยู่ในที่วัดอื่นๆท่ีใช้
เทศน์กันอยู่ก่อนๆหรือปัจจุบันนี้ เป็นหนังสือที่ทรงรจนามาก” นอกจากพระบาทสมเด็จ
พระจอมเกลา้ เจ้าอยู่หวั จะทรงมอบหมายใหพ้ ระสาสนโสภณ (สา) ดารงตาแหนง่ สาคญั แลว้
สิง่ หนง่ึ ท่บี ง่ บอกความสมั พันธใ์ นฐานะพระอาจารย์และศิษย์หลวง คือพระจริยวัตรท่ีแสดง
ถึงความสนทิ สนมกนั ดังที่ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส ทรงบันทกึ
ดังน้ี “เม่ือเรายังเยาว์ แต่จาความได้แล้ว ได้ตามเสด็จทูกระหม่อมไปวัดราชประดิษฐ์อยู่
เนืองๆ คราวหน่ึงได้ยินตรัสถามสมเด็จพระสังฆราช (ปุสฺสเทว สา) คร้ังยังเป็นพระศาสน
โสภณวา่ คนช่อื คนมหี รือไม่ สมเดจ็ พระสังฆราชนิ่งนกึ อยู่ครหู่ นงึ่ แลว้ ถวายพระพรทลู วา่ ไม่
มี ทรงช้ีเอาเราซ่ึงนั่งอยู่เบ้ืองพระปฤษฎางค์ว่า นี่แนะช่ือคน แต่นั้นเราสังเกตว่าทรงพระ
สรวล และสมเด็จพระสงั ฆราชก็เหมอื นกัน”

พระบรมมหาราชวงั
อีกส่วนหนึ่งมาจากระยะทางระหว่างพระบรมมหาราชวังและวัดราชประดิษฐ สถิต
มหาสีมารามต้ังอยู่ไม่ไกลกันนักทาให้เดินทางสะดวกโดยไม่จากัดเวลา เช่นที่สมเด็จฯกรม

พระยาดารงราชานุภาพทรงเล่าไวว้ า่ ในเวลาท่ีพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจา้ อยหู่ วั ทรง
วา่ งจากพระราชกรณยี กิจโดยมากจะเสดจ็ ฯทรงพระแครค่ นหาม ออกทางประตเู ทวาพทิ กั ษ์
มายังวัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม แล้วประทับสนทนากับสมเด็จพระสังฆราช (สา
ปุสฺสเทโว) อยู่ท่ีกุฏิของท่านนานๆ จนบางคราวถึงกับลงบรรทมคว่าสนทนากัน หรือใน
บนั ทึกของนดั ดา อศิ รเสนา ณ อยธุ ยา บุตรของพระยาอิศรพงศ์พิพัฒน์ (ม.ล.ศริ ิ อิศรเสนา)
กล่าวในลักษณะเดียวกันว่า “สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงว่างพระราชกิจในเวลา
ราตรี มักจะเสด็จไปทรงคุยธรรมะกับพระสาสนโสภณ (สา) ในโบสถ์วัดราชประดิษฐ์เป็น
เวลาจนกระทัง่ ดึกดนื่ ค่อนคืน

พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอพระองคเ์ จา้ ประดษิ ฐาสารี
พระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์เจา้ ประดษิ ฐาสารี ทรงเลา่ วา่ เจา้ นาย พระเจา้ ลกู ยาเธอ
พระเจา้ ลกู เธอเล็กๆท่ีตามเสดจ็ ไปพรอ้ มกับเจ้าจอมมารดา ต้องนอนหลบั ตากยงุ อยบู่ นแทน่
สี่มุมโบสถว์ ดั ราชประดิษฐ์ จนกระทั่งเสด็จฯกลบั ”

สมเดจ็ พระสงั ฆราช (สา ปสุ สฺ เทโว)
สมเด็จพระสงั ฆราช

ปี พ.ศ. 2434 ก็ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ สถาปนาเป็นสมเด็จพระอริ
ยวงศาคตญาณ สถิต ณ วัดราชประดษิ ฐสถิตมหาสมี าราม จนตลอดพระชนมชีพ ในปี พ.ศ.
2434 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ ได้โปรดเกล้า ฯ สถาปนาเพ่ิมอิสริยยศให้เป็น
พิเศษกวา่ สมเดจ็ พระราชาคณะแต่ก่อนมา คอื ทรงสถาปนาให้เป็นสมเด็จพระอริยวงศาคต
ญาณ นับว่าเป็น พระมหาเถระรูปท่ี 2 ที่ได้รับสถาปนาในพระราชทินนามน้ี อันเป็นพระ
ราชทินนามสาหรับตาแหน่งสมเด็จพระสังฆราช เมื่อพระองค์ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จ
พระสังฆราช เม่ือปี พ.ศ. 2436 พระองค์ไม่ได้รับพระราชนามพระสุพรรณบัฏใหม่ คงใช้
พระสุพรรณบัฏเดิม แต่ได้รับพระราชทานใบกากับพระสุพรรณบัฏใหม่ และมีฐานานุศักดิ์
ตั้งฐานานุกรมได้ 16 ตาแหน่ง (ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องท่ีพิเศษ เพราะปกติจะมี 15 ตาแหน่ง
เท่านน้ั )

พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั

สายสัมพันธ์ระหว่างพระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจ้าอย่หู ัวและสมเดจ็ พระสงั ฆราช
(สา ปุสฺสเทโว) ยังปรากฏอยู่เสมอจวบจนวาระแห่งการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระ
จอมเกล้าเจ้าอยหู่ ัวเมือ่ วนั พฤหัสบดที ่ี 1 ตุลาคม พ.ศ. 2411 ตรงกบั วันข้นึ 15 คา่ เดือน 11
ปมี ะโรงอนั เป็นวนั มหาปวารณาออกพรรษาของพระสงฆ์ ทรงมีพระบรมราชโองการให้เจ้า
พนักงานจดั เครอ่ื งนมสั การ พร้อมทง้ั มพี ระราชดารัสใหพ้ ระยาศรสี ุนทรโวหาร (ฟัก) เขา้ ใน
พระท่ีบรรทม มีพระราชดารัสพระราชนิพนธ์เป็นมคธภาษา ทรงลาและขมาพระสงฆ์
จากน้ันทรงโปรดฯ ให้พระยาศรีสุนทรโวหาร เชญิ ไปอา่ นในท่ีประชุมสงฆ์ภายในพระวิหาร
หลวงวดั ราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม พอถึงเวลา 9 นาฬิกา (21.00 น.) ก็เสด็จสวรรคต
เล่ากันว่าครง้ั นัน้ สมเดจ็ พระสงั ฆราช (สา ปสุ สฺ เทโว) ท่านน่ังฟงั ดว้ ยนา้ ตาไหล

สมเดจ็ พระสงั ฆราช (สา ปสุ สฺ เทโว)

ลาดบั สมณศกั ด์ิ

พ.ศ. 2382 เปน็ พระราชาคณะท่ี พระอมรโมลี (หลงั จากย้ายจากวดั ราชาธวิ าส ราช
วรวิหาร มาอยู่วัดบวรนิเวศวิหารราชวรวหิ ารได้ 2 ป)ี

พ.ศ. 23?? ลาสิกขาบท
พ.ศ. 2394 กลับมาอุปสมบทใหม่
พ.ศ. 2401 เป็นพระราชาคณะท่ี พระสาสนโสภณ (ตาแหน่งสมณศักดิ์ใหม่ท่ี
พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจ้าอยูห่ วั มพี ระราชดาริข้นึ เพอ่ื พระมหาสา ผกู้ ลบั มาบวชใหม่
และสอบได้เปรียญธรรม 9 ประโยค ณ สานักเรียนวัดบวรนิเวศวิหารอีกคร้ังโดยเฉพาะ)
ได้รบั พระราชทานสมณศกั ด์นิ เ้ี มือ่ ปีมะเมีย เดมิ ที ทรงพระราชดารจิ ะใชต้ าแหนง่ วา่ "พระสา
สนดิลก" แต่พระมหาสาไดถ้ วายพระพรวา่ สูงเกนิ ไป จงึ ทรงใชว้ า่ ’พระสาสนโสภณ’

พ.ศ. 2415 เป็นพระราชาคณะเจ้าคณะรองคณะใต้ที่ พระสาสนโสภณ วิมลญาณ
สุนทร บวรสังฆนายก ตรีปิฎกวิทยาคุณาลังการวิสุทธิ ธรรมวรยุตติกคณาภิสัมมานิตปา
โมกษ์ ท่ีพระธรรมวโรดม

พ.ศ. 2422 ไดร้ ับสถาปนาเปน็ สมเดจ็ พระราชาคณะเจา้ คณะใหญฝ่ า่ ยเหนอื ท่ี สมเดจ็
พระพุทธโฆษาจารย์ ญาณอดุลย์ สุนทรนายก ตรีปิฎกวิทยาคุณ วิบลยคัมภีรญาณสุนทร
มหาอดุ รคณศิ ร บวรสังฆาราม คามวาสี อรญั วาสี

พ.ศ. 2434 ได้รับสถาปนาเพ่มิ อิสรยิ ยศเป็น สมเดจ็ พระอรยิ วงษาคตญาณ สขุ มุ ธรรม
วธิ านธารง มหาสงฆปรินายก ตรีปิฎกกลากุสโลภาศ ปรมินทรมหาราชหิโตปสัมปทาจารย์
ปุสสเทวาภิธานสังฆวิสุต ปาวจนุตมสาสนโสภณ วิมลศีลสมาจารวัตร พุทธสาสนิกบริสัช
คารวสถาน วิจิตรปฏิภาณพัฒนคุณ อดุลยคัมภีรญาณสุนทร มหาอุดรคณฤศร บวรสังฆา
รามคามวาสีอรัญวาสี

29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2436 ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชในราชทินนาม
เดิมวา่ สมเดจ็ พระอรยิ วงษาคตญาณ สุขุมธรรมวิธานธารง มหาสงฆปรินายก ตรีปิฎกกลา
กุศโลภาศ ปรมนิ ทรมหาราชหิโตปสัมปทาจารย์ ปสุ สะเทวาภธิ านสงั ฆวสิ ุต ปาวจนตุ มสาสน
โศภน วมิ ลศลี สมาจารวัตร พทุ ธสาสนิก

ปฐมสมโพธ์ิ พระนพิ นธส์ มเดจ็ พระสงั ฆราช (สา ปสุ สฺ เทโว)

ผลงาน

พระองค์ได้แต่งหนังสอื เทศนข์ นึ้ ไว้ สาหรบั ใชอ้ า่ นในวนั ธรรมสวนะปกติ และในวนั บชู า
แต่งเรื่องปฐมสมโพธิ์ย่อ 3 กัณฑ์จบ สาหรับถวายเทศน์ในวันวิสาขบูชา 3 วัน ๆ ละ หน่ึง
กัณฑ์ และเร่ืองจาตรุ งคสนั นิบาตกับโอวาทปาตโิ มกข์ สาหรบั ถวายในวันมาฆบูชาที่วัดพระ
ศรีรตั นศาสดาราม และยังได้ รจนาปฐมสมโพธภ์ิ าคพสิ ดาร สาหรบั ใช้เทศนาในวัด 2 คืนจบ
อีกด้วย พระนิพนธ์ต่าง ๆ ของพระองค์ ยังคงใช้ ในการเทศนา และศึกษาเล่าเรียนของ
พระภิกษุ สามเณร จนถึงปัจจุบัน งานพระนิพนธ์ของพระองค์มีอยู่เป็นจานวนมาก ส่วน
ใหญ่เป็นงานแปลพระสูตรที่มีอยู่ 20 สูตร หนังสือเทศนามี 70 กัณฑ์ และเบ็ดเตล็ดมี 5
เรอื่ ง

ในปี พ.ศ. 2431 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ ได้โปรดเกล้า ฯ ให้ทาการ
สังคายนาพระไตรปิฎก ซึ่งแต่เดิมจารึกไว้ด้วย อักษรขอม ด้วยการจารลงในใบลาน การ
คัดลอกทาได้ช้า ทาให้ไม่เป็นท่ีแพร่หลาย ไม่พอใช้ในการศึกษาเล่าเรียน ไม่สะดวกในการ
เก็บรักษา และนามาใช้อ่าน ทั้งตัวอักษรขอมก็มีผู้อ่านได้น้อยลงตามลาดับ การพิมพ์
พระไตรปฎิ ก เป็นเล่มดว้ ยตัวอกั ษรไทย จะแกป้ ัญหาข้อขดั ขอ้ งดงั กลา่ วได้ จึงได้โปรดเกล้า
ฯ ให้อาราธนาพระเถระนุเถระมาประชุม ร่วมกับราชบัณฑิตทั้งหลาย ตรวจชาระ
พระไตรปิฎกภาษาบาลี แล้วจัดพิมพ์เป็นเล่มหนังสือขึ้น (เรียกว่าพระไตรปิฎกฉบับ ร.ศ.
112) สมเด็จพระสังฆราช (สา) ขณะทรงดารงสมณศักดิ์ที่สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์
ร่วมกับสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ขณะทรงดารงพระยศกรม
หม่ืน เป็นรองอธิบดี จัดการทั้งปวงในการสังคายนาคร้ังนี้ พระไตรปิฎกท่ีจัดพิมพ์ครั้งน้ีมี
จานวน 1000 จบ ๆ ละ 39 เล่ม ใช้เงนิ 2,000 ชัง่ พิมพเ์ สร็จเม่ือปี พ.ศ. 2436 เป็นท่ีเล่ือง
ลอื แพรห่ ลายไปท่ัวโลก

และทรงผูกพระคาถาหน้าบันกระทรวงกลาโหม และตราแผ่นดินในสมัยรัชกาลท่ี 5
(ตราอารม์ )

สนิ้ พระชนม์

เจ้าพระคุณสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว)
ประชวรดว้ ยพระโรคบิดมาตงั้ แตว่ นั ที่ 30 ธันวาคม แพทยห์ ลวงและแพทยเ์ ชลยศักดต์ิ า่ งจดั
พระโอสถถวาย แต่พระอาการไม่ทเุ ลา จนส้นิ พระชนม์เมอื่ วนั พฤหสั บดีที่ 11 มกราคม พ.ศ.
2442 (นับแบบปัจจุบันตรงกับ พ.ศ. 2443) เวลาเย็นวันต่อมา พระบาทสมเด็จพระ
จุลจอมเกล้าเจ้าอยหู่ ัว เสด็จฯ จากพระราชวังบางปะอิน มายังวัดราชประดิษฐฯ พระองค์
พระบรมวงศานุวงศ์ และขา้ ราชการ รว่ มสรงน้าพระศพ แล้วอญั เชิญพระศพลงในพระลอง
ในประกอบพระโกศกดุ ่ันนอ้ ย ทรงสดับปกรณ์แล้ว เสดจ็ ฯ กลบั พระศพตงั้ บาเพญ็ กศุ ลจนถงึ
วันท่ี 6 มกราคม พ.ศ. 2443 (นบั แบบปัจจุบันตรงกบั พ.ศ. 2444) จงึ อญั เชิญพระบุพโพไป
พระราชทานเพลงิ ณ วัดบวรนิเวศวหิ าร พรอ้ มกับพระบุพโพสมเด็จพระมหาสมณเจา้ กรม
พระยาปวเรศวรยิ าลงกรณ์

เหรยี ญสมเดจ็ พระสงั ฆราช (สา ปสุ สฺ เทโว)

ต่อมาวนั ท่ี 11 กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. 2443 จงึ แหพ่ ระศพไปประดษิ ฐานยงั พระเมรมุ ณฑป
ณ ท้องสนามหลวง แล้วพระราชทานเพลิงพระศพในวันท่ี 13 กุมภาพันธ์ ศกนั้น เช้าวันท่ี
14 กุมภาพันธ์ จึงเสดจ็ ฯ มาเกบ็ พระอัฐแิ ละพระองั คารแลว้ โปรดให้อัญเชิญไปประดิษฐาน
ยังวัดราชประดิษฐฯหลังจากเจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว) ส้ินพระชนม์
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็มิได้ทรงสถาปนาพระเถระรูปใดเป็นสมเด็จ
พระสังฆราชอกี เลย ตลอดรชั สมยั เปน็ เวลาถึง 11 ปี

...........................................................

แหลง่ ขอ้ มลู อา้ งองิ

www.dhammathai.org › thailand
www.dharma-gateway.com
www.lungthong.com
www.matichon.co.th
www.posttoday.com
www.silpa-mag.com
www.thaiheritage.net
www.winnews.tv › news
www.youtube.com
th.wikipedia.org › wiki

ขอขอบคณุ ขอ้ มลู และภาพจากเวบ็ ไซตต์ า่ ง ๆ


Click to View FlipBook Version