พระประวัติสมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ 19 (ฉบับพัฒนา) สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช (เจริญ สุวฑฺฒโน) ผู้เรียบเรียงนายประสาร ธาราพรรค์ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (เจริญ สุวฑฺฒโน) สมเด็จพระสังฆราช องค์ที่19 แห่งสยาม ทรงพระนาม สมเด็จพระญาณสังวรฯ พระมิ่งขวัญ พระมหา กรุณาธิคุณ อเนกอนันต์ ทรงสร้างสรรค์ การสงฆ์ไทย ให้รุ่งเรือง จากเด็กก าพร้า ชาวเมือง กาญจนบุรี เปลี่ยนวิถี ชีวิตใหม่ พัฒน์ต่อเนื่อง
เป็นสามเณร เหตุแก้บน โรคมาเยือน แทบทุกเรื่อง พระประวัติ ประทับใจ ทรงเป็นพระอภิบาล รัชกาลที่ 9 พระผ่านเผ้า ทรงเคารพ สุดเลื่อมใส ทรงปฏิบัติ ตามค าสอน เลิศวิไล องค์ภูวไนย ทรงนับถือ พระอาจารย์ ทรงเป็นพระราชกรรมวาจาจารย์ รัชกาลที่ 10 พระไหวพริบ แก้ปัญหาธรรม ชนกล่าวขาน เทศนาธรรม รายละเอียด เป็นต านาน ทรงสืบสาน พุทธวัจนะ เกินสงฆ์ใด ทุกการงาน ทรงสร้างเสริม กิจของสงฆ์ พระราชวงศ์ และปวงไทย ใจเลื่อมใส ทรงมั่นคง รักษาศีล พระธรรมวินัย ทรงตรัสได้ หลายภาษา น่าชื่นชม ทรงนิพนธ์ สร้างผลงาน หลายแนวทาง เป็นแบบอย่าง สัพพัญูญู ผู้สุขสม นวโกวาท ภิกขุปาติโมกข์ พุทธอุดม คนนิยม พุทธประวัติ องค์ภควันต์
3 ตุลา ปี 2556 พระชันษา ครบร้อยปี ไม่เคยมี สังฆราช 100 คิมหันต์ อายุยืน ศตวรรษ น่าอัศจรรย์ ไทยทั่วกัน น้อมกราบไหว้ สังฆราชา สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ทั้งรัฐราษฎร์ ล้วนแซ่ซ้อง ก้องสรรเสริญ พระชันษา 100 ปี ทรงพระเจริญ พระชนม์เกิน พระสังฆราช ทุกพระองค์ 24 ตุลา น้อมร าลึก สมเด็จพระญาณฯ ทรงเปรียบปาน สังฆบิดร ของเหล่าสงฆ์ พระจริยวัตร ยังตราตรึง ซึ้งธ ารง ใจมั่นคง ล้วนศรัทธา สมเด็จพระญาณสังวร ........................................... ประสาร ธาราพรรค์ ผู้ประพันธ์
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (เจริญ สุวฑฺฒโน) สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 19 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สถิต ณ วัด บวรนิเวศราชวรวิหาร ทรงด ารงต าแหน่งเมื่อ พ .ศ. 2532 ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถ บพิตร ถือเป็นสมเด็จพระสังฆราชที่มีพระชันษามากกว่าสมเด็จพระสังฆราชทุก พระองค์ในอดีตและเป็นพระสังฆราชพระองค์แรกของไทยที่มีพระชันษา 100 ปี พระองค์จากเด็กก าพร้า จังหวัด กาญจนบุรี บรรพชาเป็นสามเณรเพื่อแก้บน สู่ใต้ ร่มกาสาวพัสตร์ ก่อนอุทิศทั้งชีวิตเพื่อพระศาสนา
พระประวัติ ขณะทรงพระเยาว์ นายน้อย คชวัตร พระชนก นางกิมน้อย คชวัตร พระชนนี สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประสูติ เมื่อวันศุกร์ ขึ้น 4 ค่ า เดือน 11 ปีฉลู จุลศักราช 1275 ตรงกับวันที่ 3 ตุลาคม พุทธศักราช 2456 (รัตนโกสินทรศก 132) เวลาประมาณ 10 ทุ่ม เศษ (หรือเวลา ประมาณ 04.00 นาฬิกาเศษ วันเสาร์ที่ 4 ตุลาคม พุทธศักราช 2456 ตามที่นับ แบบปัจจุบัน) ณ บ้านวัดเหนือ ต าบลบ้านเหนือ อ าเภอเมือง จังหวัด กาญจนบุรี ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 2456 พระชนกาชื่อน้อย คชวัตร และพระชนนี ชื่อ กิมน้อย คชวัตร ทรงเป็นบุตรคนที่ 1 ในจ านวนบุตรชาย 3 คน พระองค์มีน้องชาย 2 คน ได้แก่ นายจ าเนียร คช วัตร และนายสมุทร คชวัตร พระชนกของพระองค์ป่วยเป็นโรคเนื้องอกและ เสียชีวิตไปตั้งแต่พระองค์ยังเล็ก หลังจากนั้น พระองค์ได้มาอยู่ในความดูแลของ
นางกิมเฮ้ง หรือกิมเฮงซึ่งเป็นพี่สาวของพระชนนีกิมน้อยที่ได้ขอพระองค์มาเลี้ยง ดูและนางกิมเฮ้งจึงตั้งชื่อหลานชายผู้นี้ว่า "เจริญ" วัดเทวสังฆาราม เมื่อพระชันษาได้ 8 ปี ทรงเข้าเรียนที่โรงเรียนประชาบาล วัดเทวสังฆาราม จนจบชั้นประถม 5 (เทียบเท่าชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 และ 2 ในปัจจุบัน)และ โรงเรียนในครั้งนั้นก็คือศาลาวัดนั่นเอง ทรงเรียนจนจบชั้นสูงสุด พ.ศ. 2468 ในขณะที่มีพระชันษา 12 ปี หลังจากนั้น ทรงไม่รู้ว่าจะเรียน อะไรต่อและไม่รู้ว่าจะเรียนที่ไหน ทรงเล่าว่า "เมื่อเยาว์วัยมีพระอัธยาศัยค่อนข้าง ขลาด กลัวต่อคนแปลกหน้า และค่อนข้างจะเป็นคนติดป้าที่อยู่ ใกล้ชิดกันมาแต่ ทรงพระเยาว์โดยไม่เคยแยกจากกันเลย" จึงท าให้พระองค์ไม่กล้าตัดสินพระทัย ไปเรียนต่อที่อื่น
ทรงบรรพชา สามเณรสุวัฑฺฒโน เมื่อทรงพระเยาว์ก่อนที่จะทรงบรรพชาเป็นสามเณรนั้น คนภายนอกมักจะ เห็นว่าเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ทรงมีร่างกายอ่อนแอ ขี้อาย เจ็บป่วยอยู่เสมอ โดยมี อยู่คราวหนึ่งที่ทรงป่วยหนักจนญาติ ๆ ต่างพากันคิดว่าคงไม่รอดแล้วและได้บน ไว้ว่า ถ้าหายป่วยจะให้บวชเพื่อแก้บน แต่เมื่อหายป่วยแล้ว พระองค์ก็ยังไม่ได้ บวช จนกระทั่งเรียนจบชั้นประถม 5 แล้ว พระองค์จึงได้ทรงบรรพชาเป็น สามเณรเพื่อแก้บนในปี พ.ศ. 2469 ขณะมีพระชันษาได้ 14 ปี ที่วัดเทวสังฆาราม โดยมีพระเทพมงคลรังษี (ดี พุทฺธโชติ) เจ้าอาวาสวัดเทวสังฆาราม เป็นพระ อุปัชฌาย์ และพระครูนิวิฐสมาจาร (เหรียญ สุวณฺณโชติ) เจ้าอาวาสวัดศรีอุปลา ราม เป็นพระอาจารย์ให้สรณะและศีล
วัดเสน่หา จังหวัดนครปฐม ภายหลังบรรพชาแล้วได้จ าพรรษาอยู่ที่วัดเทวสังฆาราม 1 พรรษา และ ได้มาศึกษาพระธรรมวินัยที่วัดเสน่หา จังหวัดนครปฐม หลังจากนั้น พระเทพ มงคลรังษี (ดี พุทธฺโชติ) พระอุปัชฌาย์ได้พาพระองค์ไปยังวัดบวรนิเวศราช วรวิหาร และน าพระองค์ขึ้นเฝ้าถวายตัวต่อสมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ เจ้า อาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร (ต่อมาคือสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวง วชิรญาณ วงศ์) เพื่ออยู่ศึกษาพระปริยัติธรรมในส านักวัดบวรนิเวศวิหาร พระองค์ทรงได้รับ ประทานนามฉายาจากสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวง วชิรญาณวงศ์ ว่า “สุว ฑฺฒโน” ซึ่งมีความหมายว่า “ผู้เจริญดี” พระองค์ทรงสอบได้นักธรรมชั้นตรีได้ เมื่อ พ.ศ. 2472 และทรงสอบได้นักธรรมชั้นโทและเปรียญธรรม 3 ประโยค ในปี พ.ศ. 2473
ทรงอุปสมบท เมื่อครั้งทรงเป็นพระเปรียญ เมื่อพระชนมายุครบอุปสมบท สมเด็จพระสังฆราชทรงเดินทางกลับไป อุปสมบทที่วัดเทวสังฆาราม เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2476 จากนั้นทรงเดิน ทางเข้ามาจ าพรรษาที่วัดบวรนิเวศวิหาร ก่อนจะเข้าพิธีอุปสมบทซ้ าเป็น ธรรมยุติกนิกาย โดยมีสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ เป็นพระ อุปัชฌาย์ พระองค์ทรงตั้งพระทัยอย่างมากในการสอบเปรียญธรรม 4 ประโยค แต่ ผลปรากฏว่าทรงสอบตก ท าให้ทรงรู้สึกท้อแท้และคิดว่า "คงจะหมดวาสนา ในทางพระศาสนาเสียแล้ว" แต่เมื่อทรงคิดทบทวนและไตร่ตรองดูว่าท าไมจึงสอบ ตก ก็ทรงตระหนักได้ว่าเหตุแห่งการสอบตกนั้นเกิดจากความประมาทโดยแท้
กล่าวคือ ทรงท าข้อสอบโดยไม่พิจารณาให้รอบคอบด้วยส าคัญผิดว่าตนรู้ดีแล้ว ทั้งยังมุ่งอ่านเฉพาะเนื้อหาที่เก็งว่าจะออกเป็นข้อสอบเท่านั้น ซึ่งพระองค์ทรง พบว่าเป็นวิธีการเรียนที่ไม่ถูกต้องเพราะไม่ท าให้เกิดความรู้อย่างแท้จริง จึงเป็น สาเหตุที่ท าให้พระองค์สอบตก เมื่อพระองค์ทรงตระหนักได้ดังนี้แล้วจึงทรง เปลี่ยนมาใช้วิธีเรียนแบบสม่ าเสมอและทั่วถึง พระองค์จึงสอบได้ทั้งนักธรรมชั้น เอกและเปรียญธรรม 4 ประโยค ในปี พ.ศ. 2475 พระเทพมงคลรังษี
หลังจากนั้น พระองค์ทรงกลับไปสอนพระปริยัติธรรมที่โรงเรียนเทวา นุกูล วัดเทวสังฆาราม เพื่อสนองพระคุณพระเทพมงคลรังษีเป็นเวลา 1 พรรษา แล้วจึง ทรงกลับมาอยู่วัดบวรนิเวศวิหารเพื่อทรงศึกษาพระปริยัติธรรมต่อไป โดยทรง สอบได้เปรียญธรรม 5 ประโยค โดยในระหว่างที่ทรงอยู่วัดบวรนิเวศวิหารนั้น พระองค์ก็ยังคงกลับไปช่วยสอนพระปริยัติธรรมที่วัดเทวสังฆารามอยู่เสมอ พระองค์ยังทรงศึกษาพระปริยัติธรรมอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่ง สอบได้เปรียญ ธรรม 9 ประโยค ในปี พ.ศ. 2484 พระกรณียกิจ การปฏิบัติหน้าที่ด้านคณะสงฆ์ เมื่อครั้งทรงด ารงสมณศักดิ์สมเด็จพระราชาคณะที่สมเด็จพระญาณสังวร (พระรูปฝีพระหัตถ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว)
หลังจากที่พระองค์สอบได้เปรียญธรรม 9 แล้ว พระองค์ทรงเริ่มงานอัน เกี่ยวเนื่องกับคณะสงฆ์อีกมากมาย ซึ่งนอกเหนือจากเป็นครูสอนพระปริยัติธรรม แล้ว พระองค์ยังเป็นผู้อ านวยการศึกษาส านักเรียนวัดบวรนิเวศวิหารซึ่งมีหน้าที่ จัดการศึกษาของภิกษุสามเณรทั้งแผนกธรรมและแผนกบาลี รวมทั้งทรงเป็น สมาชิกสังฆสภาโดยต าแหน่งในฐานะเป็นพระเปรียญ 9 ประโยค ต่อมา เมื่อมี การจัดตั้งมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยสมเด็จพระสังฆราชทรงมีส่วนร่วม ในการก่อตั้งมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัย พระพุทธศาสนาแห่งแรกของไทยขึ้นอีกครั้งในปี พ.ศ. 2488 ทรงเป็นพระ อาจารย์รุ่นแรก รวมถึงมีพระด าริส่งเสริมให้มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ขยายการศึกษาในระดับปริญญาโทและปริญญาเอก รวมทั้งประทาน ทุนการศึกษาแก่พระภิกษุให้ไปศึกษาต่อระดับปริญญาโทและปริญญาเอกใน ต่างประเทศ รวมทั้ง เป็นพระวินัยธรชั้นอุทธรณ์และรักษาการพระวินัยธรชั้น ฎีกาในกาลต่อมา นอกจากนี้ ยังทรงเป็นเลขานุการในสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์อีกด้วย
เมื่อครั้งทรงเป็น“พระอภิบาล”ของพระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ในระหว่างที่ทรงผนวชเป็นพระภิกษุ และเสด็จประทับ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อมีพระชันษาได้ 34 ปี พระองค์ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น พระราชาคณะ ชั้นสามัญ ที่ พระโศภนคณาภรณ์ โดยพระองค์ได้รับเลือกจาก สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ให้เป็นพระอภิบาลของพระภิกษุ พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรในระหว่างที่ ผนวชเป็นพระภิกษุและเสด็จประทบ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อปี พ.ศ. 2499 ต่อมา ได้เลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะ ชั้นธรรม ที่ พระธรรมวราภรณ์ โดย ราชทินนามทั้ง 2 ข้างต้นนั้นเป็นราชทินนามที่ตั้งขึ้นใหม่ส าหรับพระราชทานแก่ พระองค์เป็นรูปแรก
วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร ในปี พ.ศ. 2504 พระองค์ได้รับต าแหน่งเป็นผู้รักษาการเจ้าคณะธรรมยุต ภาคทุกภาคและเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหารราชวรวิหาร ในปีเดียวกันนี้เอง พระองค์ได้รับการสถาปนาที่ พระสาสนโสภณ พระองค์เข้ารับต าแหน่งกรรมการ มหาเถรสมาคมตั้งแต่ปี พ.ศ. 2506 นอกจากนั้น ยังได้ทรงนิพนธ์ผลงานทาง วิชาการ เอกสาร และต าราด้านพุทธศาสนาไว้มากมาย
ด้านการพระศาสนาในต่างประเทศ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช เสด็จไปท รงปฏิบัติพ ระ ศาสนกิจและเยี่ยมเยือนพุทธศาสนิกชนในภาคต่าง ๆ เป็นประจ าทุกปี และด้วย ทรงมีความเชี่ยวชาญในด้านภาษาเป็นอย่างดี ทั้งภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน จีน และสันสกฤต พระองค์จึงได้น าความรู้ด้านภาษามาใช้ประโยชน์ในการเผยแผ่ พระพุทธศาสนาไปยังนานาประเทศการด าเนินการมาโดยล าดับ ดังนี้ วัดพุทธประทีป ณ กรุงลอนดอน พ.ศ. 2509 ในฐานะประธานกรรมการอ านวยการฝึกอบรมพระธรรมทูตใน ต่างประเทศ ได้เสด็จไปเป็นประธานสงฆ์ ในพิธีเปิดวัดพุทธประทีป ณ กรุง ลอนดอน ประเทศอังกฤษ และดูกิจการพระธรรมทูตในประเทศอังกฤษและ อิตาลี พ.ศ. 2511 เสด็จไปดูการพระศาสนา วัฒนธรรม และการศึกษาในประเทศ อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย และฟิลิปปินส์ อันเป็นผลให้ต่อมาได้มีการวางแผน ร่วมกับชาวพุทธอินโดนีเซีย ในอันที่จะฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในประเทศนั้น และ
ได้ส่งพระธรรมทูตชุดแรกไปยังอินโดนีเซีย เมื่อปี พ.ศ. 2512 ได้ส่งพระภิกษุจาก วัดบวรนิเวศ ออกไปปฏิบัติศาสนกิจที่ประเทศออสเตรเลีย เมื่อปี พ.ศ. 2516, และตั้งส านักสงฆ์ในปี พ.ศ. 2518 พ.ศ. 2514 เสด็จไปดูการพระศาสนา และการศึกษาในประเทศเนปาล และอินเดีย ปากีสถาน ตะวันออก (บังคลาเทศ) ท าให้เกิดงานฟื้นฟู พระพุทธศาสนาในเนปาล พ.ศ. 2520 เสด็จไปบรรพชาชาวอินโดนีเซีย จ านวน 43 คน ที่เมืองสมารัง ตามค าอาราธนาของคณะสงฆ์เถรวาทอินโดนีเซีย ภายในพระอุโบสถ วัดจาการ์ต้าธรรมจักรชยะ ณ ประเทศอินโดนีเซีย
พ.ศ. 2528 ทรงเป็นประธานคณะสงฆ์ ไปประกอบพิธีผูกพัทธสีมาอุโบสถ วัดจาการ์ต้าธรรมจักรชยะ ณ ประเทศอินโดนีเซีย นับเป็นการผูกพันธสีมา อุโบสถวัดพระพุทธศาสนาเถรวาท เป็นครั้งแรกของประเทศอินโดนีเซีย และในปี เดียวกันนี้ ได้เสด็จไปเป็นประธานบรรพชากุลบุตรศากย แห่งเนปาล จ านวน 73 คน ณ กรุงกาฐมาณฑุ ประเทศเนปาล สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จระสังฆราช และ พณฯ เจียง เจ๋อหมิน พ.ศ. 2536 เสด็จไปเจริญศาสนาสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีน เป็นครั้งแรก ที่ ประเทศจีน ตามค ากราบทูลอาราธนาของรัฐบาลจีน ในระหว่างสมเด็จพระญาณ สังวร สมเด็จระสังฆราช การพบปะกับ ฯพณฯ เจียง เจ๋อหมิน ประธานาธิบดี
แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ณ ต าหนักอิ๋งไถ ภายในท านียบจงหนานไห่ สมเด็จ พระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหสังฆปริณายก ทรงมีพระปฏิสันถาร กล่าวฝากพระพุทธศาสนาในประเทศจีนกับท่าน ประธานาธิบดีไว้ว่า “...และโดยที่พระพุทธศาสนานั้น ไม่ก่อให้เกิดความ เดือดร้อนและความเสื่อมแก่ประเทศไทยประเทศจีนและทั้งสองประเทศ จึงขอ ฝากพระพุทธศาสนาแก่ท่านประธานาธิบดีให้การอุปถัมภ์พุทธศาสนาตามสมควร ด้วย...”นอกจากนั้น เมื่อ ทรงพบปะกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาล รัฐมนตรี ตลอดจนผู้ว่าการมณฑลต่างๆ ก็มักจะทรงฝากฝังขอให้ช่วยอุปถัมภ์บ ารุง พระพุทธศาสนาและคณะสงฆ์ กับทั้งขอโอกาสให้คณะสงฆ์ได้สั่งสอนศีลธรรมแก่ ประชาชน ตลอดจนช่วยสอดส่องดูแลคณะสงฆ์และพุทธศาสนิกชนให้ประพฤติ ปฏิบัติตนให้อยู่ในขอบเขตของพุทธธรรมและกฎระเบียบของบ้านเมืองด้วยการ เสด็จเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนในครั้งนั้นก่อให้เกิดความตื่นตัวทาง พระพุทธศาสนาแก่บุคคล ทั้งฝ่ายคณะสงฆ์ พุทธศาสนิกชน และผู้บริหาร ปกครองของจีนเป็นอันมาก เพราะเป็นครั้งแรกของการเจริญศาสนสัมพันธ์อย่าง เป็นทางการระหว่างไทยกับจีน และเป็นครั้งแรกที่ประชาชนจีนได้เห็นภาพของ พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาอย่างเต็มตา และ “เป็นทางการ” กระทั่งภิกษุจีน บางรูปถึงกับออกปากว่า ไม่เคยคิดและไม่เคยพบเห็นมาก่อน ว่าพระสงฆ์จะ ได้รับการยกย่องเทิดทูนและได้รับความเคารพจากปวงชนถึงขนาดนี้
วัดไทยลุมพินี ณ ประเทศเนปาล พ.ศ. 2538 เสด็จไปเป็นประธาน วางศิลาฤกษ์วัดไทยลุมพินี ณ ประเทศ เนปาล ซึ่งรัฐบาลไทยจัดสร้างถวายเป็นพุทธบูชา และเพื่อเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในวโรกาสทรงครองสิริ ราชสมบัติครบ 50 ปี ด้านสาธารณูปการ ได้ทรงบูรณะซ่อมสร้างเสนาสนะ และถาวรวัตถุอันเป็นสาธารณประโยชน์ เป็นจ านวนมาก กล่าวคือ
ปูชนียสถาน พระบรมธาตุเจดีย์ศรีนครินทราสถิตมหาสันติคีรี ดอยแม่สลอง ได้แก่ มณฑปประดิษฐานพระพุทธบาทจ าลอง พระเจดีย์ วัดบวรนิเวศ วิหาร พระบรมธาตุ พระบรมธาตุเจดีย์ศรีนครินทราสถิตมหาสันติคีรี ดอยแม่สล อง
พระอาราม วัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร ได้แก่ วัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร อ าเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรีวัด สันติคีรี ดอยแม่สลอง จังหวัดเชียงราย วัดรัชดาภิเศก อ าเภอบ่อพลอย จังหวัด กาญจนบุรี วัดล้านนาสังวราราม อ าเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ วัดพุมุด อ าเภอไทรโยค กาญจนบุรี นอกจากนั้นยังทรงอุปถัมภ์วัดไทยในต่างประเทศอีก หลายแห่งคือ วัดพุทธรังสี นครซิดนีย์ ออสเตรเลีย วัดจาการ์ตาธรรมจักรชัย กรุง จาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย วัดนครมณฑปศรีกีรติวิหาร เมืองกิรติปูร เนปาล โรงเรียน
โรงเรียนสมเด็จพระญาณสังวร ยโสธร
โรงเรียนสมเด็จพระปิยมหาราชรมณียเขต กาญจนบุรี ได้แก่ โรงเรียนสมเด็จพระญาณสังวร ยโสธร โรงเรียนสมเด็จพระปิย มหาราชรมณียเขต กาญจนบุรี
โรงพยาบาล ตึกวชิรญาณวงศ์โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ได้แก่ การสร้างตึกวชิรญาณวงศ์ ตึกวชิรญาณสามัคคีพยาบาร และตึก ภปร. โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์, โรงพยาบาลสมเด็จพระปิยมหาราชรมณียเขต จังหวัดกาญจนบุรี, โรงพยาบาลวัดญาณสังวราราม จังหวัดชลบุรี, และ โรงพยาบาลสกลมหาสังฆปรินายก เพื่อถวายเป็นอนุสรณ์ แด่สมเด็จพระสังฆราช แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ทุกพระองค์ รวม 19 แห่ง ได้เริ่มก่อสร้างไปแล้วหลายแห่ง
พระภารกิจ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จระสังฆราช พ.ศ. 2484 เป็นสมาชิกสังฆสภาโดยต าแหน่ง เป็นกรรมการสังคายนาพระ ธรรมวินัย และเป็นผู้อ านวยการศึกษาส านักเรียนวัดบวรนิเวศวิหาร พ.ศ. 2489 เป็นพระวินัยธรชั้นอุทธรณ์ และเป็นกรรมการสภาการศึกษา มหามกุฏราชวิทยาลัย พ.ศ. 2493 เป็นกรรมการเถรสมาคม คณะธรรมยุต ประเภทชั่วคราว พ.ศ. 2494 เป็นกรรมการอ านวยการมหามงกุฎราชวิทยาลัย และเป็น กรรมการแผนกต าราของมหามกุฏราชวิทยาลัย พ.ศ. 2496 เป็นกรรมการตรวจช าระ คัมภีร์ฎีกา พ.ศ. 2497 เป็นกรรมการเถรสมาคมคณะธรรมยุตประเภทถาวร
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จระสังฆราชพระอภิบาล (พระพี่เลี้ยง) ของพระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 พ.ศ. 2499 เป็นพระอภิบาล (พระพี่เลี้ยง) ของพระภิกษุพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ระหว่างที่ทรงผนวชเป็นพระภิกษุ และเสด็จประทับ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ได้เลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นธรรม ที่พระธรรมว ราภรณ์ และรักษาการวินัยธรชั้นฎีกา พ.ศ. 2501 เป็นกรรมการคณะธรรมยุติ และเป็นกรรมการมูลนิธิส่งเสริม กิจการพระศาสนา และมนุษยธรรม (ก.ศ.ม.) พ.ศ. 2503 เป็นสังฆมนตรีช่วยว่าการองค์การปกครองสั่งการองค์การ ปกครองฝ่ายธรรมยุติ
วัดบวนนิเวศราชวรมหาวิหาร พ.ศ. 2504 เป็นเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศราชวรวิหาร เป็นผู้อ านวยการมหาม กุฏราชวิทยาลัย เป็นประธานกรรมการสภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย เป็น ผู้รักษาการณ์เจ้าคณะธรรมยุตภาคทุกภาค และเป็นพระอุปัชฌาย์ พ.ศ. 2506 เป็นกรรมการเถรสมาคม ซึ่งเป็นกรรมการชุดแรก ตาม พ.ร.บ. คณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 พ.ศ. 2515 เป็นเจ้าคณะกรุงเทพมหานครและสมุทรปราการ และได้รับ โปรดเกล้า ฯ สถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะที่ "สมเด็จพระญาณสังวร" สมเด็จพระราชาคณะในพระราชทินนามนี้ มีขึ้นในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระ พุทธยอดฟ้า ฯ เป็นฝ่ายวิปัสสนาธุระพระอาจารย์สุก วัดท่าหอย พระนครศรีอยุธยา ได้รับพระราชทานสมศักดิ์นี้เป็นองค์แรก และต่อมาก็มิได้ พระราชทานสมณศักดิ์นี้แก่พระเถระรูปใดอีกเลย
เมื่อครั้งทรงเป็นพระราชกรรมวาจาจารย์ของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามกุฏราชกุมาร ในการทรงผนวช และเสด็จประทับ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร พ.ศ. 2521 เป็น พระราชกรรมวาจาจารย์ ของพระภิกษุ สมเด็จพระบรม โอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ์ฯ สยามกุฏราชกุมาร เมื่อครั้งเสด็จออกทรง พระผนวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดา ราม และเป็นพระอาจารย์ถวายการอบรมพระธรรมวินัย ขณะที่พระภิกษุสมเด็จ พระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ์ฯ สยามกุฏราชกุมาร เสด็จประทับ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ในระหว่างวันจันทร์ที่ 6 ถึง วันจันทร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2521 พ.ศ. 2528 เป็นรองประธานกรรมการสังคีติการสงฆ์ ในการสังคายนาพระ ธรรมวินัย ตรวจช าระพระไตรปิฎก และเป็นสังฆปาโมกข์ปาลิวิโสธกะพระวินัย ปิฎก
พ.ศ. 2531 รักษาการเจ้าคณะใหญ่ธรรมยุต เป็นนายกกรรมการมหามกุฏ ราชวิทยาลัย และเป็นนายกสภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย ล าดับสมณศักดิ์ เมื่อครั้งทรงเป็นพระราชาคณะที่พระโศภณคณาภรณ์ พ.ศ. 2490 ได้รับพระราชทานตั้งสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ ที่ พระโศภณคณาภรณ์ และเป็นกรรมการมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย พ.ศ. 2495 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นราช
ในพระราชทินนามเดิม พ.ศ. 2498 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นเทพ ในพระราชทินนามเดิม พ.ศ. 2499 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นธรรม ที่ พระธรรมวราภรณ์ พ.ศ. 2504 ได้รับพระราชทานสถาปนาสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะ เจ้า คณะรอง ชั้นหิรัญบัฏ ที่ พระสาสนโสภณ พ.ศ. 2515 ได้รับพระราชทานสถาปนาสมณศักดิ์เป็นสมเด็จพระราชาคณะ ชั้นสุพรรณบัฏ ที่ สมเด็จพระญาณสังวร ซึ่งเป็นราชทินนามที่พระบาทสมเด็จ พระพุทธเลิศหล้านภาลัยโปรดให้ตั้งขึ้นใหม่ส าหรับพระราชทานสถาปนาสมเด็จ พระอริยวงษญาณ (สุก ญาณสังวร) พระราชาคณะฝ่ายวิปัสสนาธุระเป็นครั้งแรก เมื่อ พ.ศ. 2359 ต าแหน่งสมเด็จพระราชาคณะที่สมเด็จพระญาณสังวร จึงเป็น ต าแหน่งพิเศษที่โปรดพระราชทานสถาปนาแก่พระเถระผู้ทรงคุณทางวิปัสสนาธุระเท่านั้น
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เสด็จไปถวายน้ าพระมหาสังข์ทักษิณาวัตร ในวันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช เมื่อสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวราลงกรณ สมเด็จพระสังฆราช ในขณะนั้นสิ้นพระชนม์ในปี พ.ศ. 2531 ท าให้ต าแหน่งสมเด็จพระสังฆราชว่างลง พ.ศ. 2532 พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถ บพิตรจึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ สถาปนาพระองค์ขึ้นเป็นสมเด็จ พระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ในราชทินนามเดิมคือ สมเด็จพระญาณ สังวร ซึ่งราชทินนามดังกล่าวนับเป็นราชทินนามพิเศษ กล่าวคือ สมเด็จ พระสังฆราชที่มิได้เป็นพระบรมวงศานุวงศ์นั้น โดยปกติจะใช้ราชทินนามว่า สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ บางพระองค์ ครั้งนี้จึงนับเป็นอีกหนึ่งครั้งมีการใช้
ราชทินนาม สมเด็จพระญาณสังวร ส าหรับสมเด็จพระสังฆราชเพื่อเป็นการยก ย่องพระเกียรติคุณทางวิปัสสนาธุระของพระองค์ให้เป็นที่ประจักษ์ มีพระนาม ตามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า สมเด็จพระญาณสังวร บรมนริศรธรรมนีติภิบาล อริยวงศาคตญาณวิมล สกลมหาสังฆปริณายก ตรีปิฎกปริยัตติธาดา วิสุทธจริยาธิ สมบัติ สุวัฑฒนภิธานสงฆวิสุต ปาวจนุตตมพิสาร สุขุมธรรมวิธานธ ารง วชิรญาณ วงศวิวัฒ พุทธบริษัทคารวสถาน วิจิตรปฏิภาณพัฒนคุณ วิบุลสีลาจารวัตรสุนทร บวรธรรมบพิตร สรรพคณิศรมหาปธานาธิบดี คามวาสีอรัณยวาสี สมเด็จ พระสังฆราช ตราอักษรย่อพระนาม ญสส.
พระเกียรติยศ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช หลังจากพระองค์ท่านได้รับการโปรดเกล้าฯ สถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จ พระสังฆราช องค์ที่ 19 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พระองค์ก็ปฏิบัติพระกรณียกิจเพื่อ การศาสนาและสาธารณประโยชน์มาโดยตลอดทั้งในประเทศและต่างประเทศ ท าให้ในปี พ.ศ. 2555 ผู้น าชาวพุทธโลกจาก 32 ประเทศที่เข้าร่วมประชุมสุด ยอดพุทธศาสนิกชนแห่งโลก ณ ประเทศญี่ปุ่น ได้ทูลถวายต าแหน่ง "ผู้น าคณะ สงฆ์สูงสุดแห่งโลกพระพุทธศาสนา" ในฐานะที่ทรงได้รับการเคารพอย่างสูงสุด นับเป็นการมอบต าแหน่งนี้เป็นครั้งแรกของโลก รวมทั้งทรงเป็นสมเด็จ พระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกแห่งประเทศไทย
ผู้ทรงเผยแผ่พระธรรมค าสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ทุกคน ปฏิบัติตั้งอยู่ธรรมะน าไปสู่สันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองนับเป็นแบบอย่างของ สากลโลก สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จระสังฆราช พระองค์ได้รับการถวายปริญญา กิตติมศักดิ์จากสถาบันการศึกษา ดังต่อไปนี้ พ.ศ. 2529: ปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จากมหาวิทยาลัยรามค าแหง พ.ศ. 2532: อักษรศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จาก มหาวิทยาลัยมหิดล
พ.ศ. 2533: พุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จากมหาวิทยาลัยมหาจุฬา ลงกรณราชวิทยาลัย พ.ศ. 2537: ศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาปรัชญาและศาสนา จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พ.ศ. 2538: การศึกษาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาบริหารการศึกษา จาก มหาวิทยาลัยนเรศวร พ.ศ. 2539: ศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จากมหาวิทยาลัยศรี นคริน ทรวิโรฒ พ.ศ. 2540: ศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาภาษาไทย จาก มหาวิทยาลัยขอนแก่น
พ.ศ. 2543: ศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาปรัชญาและ ศาสนา จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ. 2545: ปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาไทศึกษา จาก มหาวิทยาลัยมหาสารคาม พ.ศ. 2547: ครุศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาการบริหารการศึกษา จากมหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี พ.ศ. 2548: ครุศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาการบริหารการศึกษา จากมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม พ.ศ. 2554: ครุศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาการบริหารการศึกษา จากมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต พ.ศ. 2556: ศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาพุทธศาสน์ ศึกษา จากมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย
พระนิพนธ์ ทรงนิพนธ์เรื่องต่าง ๆ ไว้เป็นอันมาก ทั้งที่เป็นต ารา พระธรรมเทศนา และ ทั่วไป พอประมวลได้ดังนี้ ประเภทต ารา ทรงเรียบเรียง วากยสัมพันธ์ ภาค 1-2 ส าหรับใช้เป็นหนังสือประกอบ การศึกษาของ นักเรียนบาลี และทรงอ านวยการจัดท าปทานุกรม บาลี ไทย อังกฤษ สันสกฤต ฉบับพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ ฯลฯ
ประเภทพระธรรมเทศนา มีอยู่เป็นจ านวนมาก เท่าที่พิมพ์เป็นเล่มแล้วเช่น ปัญจคุณ 5 กัณฑ์ ทศพลญาณ 10 กัณฑ์ มงคลเทศนา โอวาท ปาฏิ โมกข์ 3 กัณฑ์ สังฆคุณ 9 กัณฑ์ ฯลฯ ประเภทงานแปลเป็นภาษาต่างประเทศ ทรงริเริ่มและด าเนินการให้แปลต ารา ทางพุทธศาสนา จากภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อใช้ในการศึกษา พระพุทธศาสนา เช่น นวโกวาท วินัยมุข พุทธประวัติ ภิกขุปาติโมกข์ อุปสมบทวิธี ท าวัตรสวด มนต์ ฯลฯ
ประเภททั่วไป มีอยู่เป็นจ านวนมาก เช่น การนับถือพระพุทธศาสนา หลักพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าของเรานั้น ท่านล้ าเลิศ45 พรรษาพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าสั่งสอนอะไร (ไทย-อังกฤษ) แนว ปฏิบัติในสติปัฎฐาน พระพุทธศาสนากับสังคมไทย วิธีปฏิบัติตนให้ถูกต้องทางธรรมะ บัณฑิตกับ โลกธรรม เรื่องกรรม ศีล (ไทย-อังกฤษ) อาหุเณยโย อวิชชา หลักธรรมส าหรับการ ปฏิบัติอบรมจิต การบริหารจิตส าหรับผู้ใหญ่ สันโดษ แนวความเชื่อ บวชดี บุพการี-กตัญญู กตเวที ค ากลอนนิราศสังขาร ต านานวัดบวรนิเวศ วิธีสร้างบุญบารมี ความซับซ้อน ของกรรม ฯลฯ
100 ปี สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประสูติ เมื่อเวลาราว 4 นาฬิกาหรือตีสี่ วันศุกร์ขึ้น 4 ค่ า เดือน 11 ปีฉลู ตรงกับวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ.2456 วันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2556 วันนี้ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จ พระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกได้เจริญพระชันษาครบ 100 ปี จึงเป็น วโรกาสอันเป็นมงคลที่พุทธศาสนิกชนคนไทยจะได้พร้อมใจกันถวายพระพรให้ ทรงมีพระพลานามัยที่แข็งแรง เจริญพระชนม์ชีพเพื่อเป็นมิ่งขวัญและเป็นเสา หลักของบวรพุทธศาสนาสืบไปตราบนานเท่านาน....ทีฆายุโก โหตุ สังฆราชา ทีฆายุโก โหตุ พระสังฆบิดร
สิ้นพระชนม์ พระโกศกุดั่นใหญ่ประกอบพระอิสริยยศพระศพ ณ พระต าหนักเพ็ชร วัดบวร นิเวศวิหาร เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2556 โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ออก แถลงการณ์ฉบับที ่ 1 เรื ่อง พระอาการประชวรของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ โดยคณะแพทย์ผู้ถวายการรักษาได้รายงานว่า พระอาการ ทรงมีความดันโลหิตต่ า เนื ่องมาจากการติดเชื้อในกระแสพระโลหิต ทั้งนี้ยัง ตรวจพบว่าพระอันตะ (ล าไส้ใหญ่) และพระอันตคุณ (ล าไส้เล็ก) ขาดพระโลหิต และมีแผลติดเชื้อ จึงถวายการรักษาด้วยการผ่าตัดพระอันตะและพระอันตคุณ บางส่วนออก ภายหลังการผ่าตัดปรากฏว่า พระอาการโดยรวมดีขึ้น
จากนั้นก็มีแถลงการณ์ของทาง รพ. เกี ่ยวกับพระอาการประชวรของสมเด็จ พระสังฆราชออกมาให้ประชาชนติดตามเรื่อยๆ เมื่อเวลา 14.00 น. ของวันที่ 24 ตุลาคม 2556 คณะแพทย์ผู้ถวายการ รักษารายงานว่า สมเด็จพระสังฆราชฯ มีพระอาการโดยรวมทรุดลง ระดับความ ดันพระโลหิต อยู่ในเกณฑ์ต่ าลง คณะแพทย์ยังคงถวายพระโอสถ และตรวจ รักษาอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2556 เวลา 19:30 นาฬิกา ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เนื่องจากติดเชื้อในกระแสพระโลหิต มีการเคลื่อนพระ ศพจากโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์มายังต าหนักเพชร วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อวัน
ศุกร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2556 เวลา 12:15 นาฬิกา ในการนี้ พระบาทสมเด็จ พระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรด กระหม่อมให้พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งยังด ารงพระ อิสริยยศเป็น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยาม มกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชด าเนินแทนพระองค์ไปทรงสรงน้ าพระศพในวัน เดียวกัน เวลา 17:00 น. ทรงพระกรุณาโปรดถวายพระโกศกุดั่นใหญ่ทรงพระศพ แทนพระโกศกุดั่นน้อย ประดิษฐานภายใต้เศวตฉัตรสามชั้น แวดล้อมด้วยเครื่อง ประกอบพระเกียรติยศ ณ ต าหนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศวิหาร และให้มีพิธีสวดพระ อภิธรรมพระศพเจ็ดวัน ริ้วขบวนเคลื่อนพระศพ 'พระสังฆราชฯ'
การนี้พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรได้ พระราชทานเลื่อนชั้นยศพระโกศจากพระโกศกุดั่นน้อยเป็นพระโกศกุดั่นใหญ่ ตั้งแต่วันแ รกที่สิ้นพ ระชนม์ ค รั้นถึง ว า ระพ ระ ร าชท านเพลิงพ ระศพ พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรจึงทรงพระ กรุณาโปรดถวายพระโกศทองน้อยทรงพระศพและให้เจ้าพนักงานจัดฉัตรตาด เหลือง 5 ชั้นกางกั้นพระโกศ ในพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพระหว่าง วันที่ 15-17 ธันวาคม พ.ศ. 2558 ซึ่งถือเป็นกรณีพิเศษเพราะยังไม่เคยปรากฏ การพระราชทานเลื่อนพระโกศถึงสองครั้งมาก่อน โดยพระโกศกุดั่นน้อย เป็น พระโกศล าดับที่ 6 ใช้กับ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้า เจ้าจอม เจ้านายทรง กรม ผู้ส าเร็จราชการ ผู้ได้รับตรานพรัตนราชวราภรณ์ พระโกศกุดั่นใหญ ่ เป็น พระโกศล าดับที่ 5 ใช้กับ สมเด็จพระสังฆราชฯ ส่วนพระโกศทองน้อย เป็นพระ โกศล าดับที่ 4 ใช้กับ สมเด็จเจ้าฟ้า พระวรราชเทวี สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้า สมเด็จพระนางเจ้า พระวรราชชายา
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชด าเนินแทน พระองค์ พร้อมด้วย สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี , พระ เจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ , พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา และพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ ไปในการพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จ พระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (จริง) ณ พระเมรุวัดเทพศิรินทราวาส ใน การนี้ทรงทอดผ้าไตร 10 ไตร พระสงฆ์สดับปกรณ์ แล้วทรงหยิบธูปเทียน ดอกไม้จันทน์ ทรงจุดไฟที่ชนวน พระราชทานเพลิงพระศพ แล้วทรงวางธูปเทียน ดอกไม้จันทน์ ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และของส่วน พระองค์ จากนั้นผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช สมเด็จพระราชาคณะ พระราชาคณะ ข้าราชการ ทหาร พลเรือน ขึ้นถวายพระเพลิง ตามล าดับ ต่อมา
เมื่อเวลา 22 นาฬิกา 39 นาที เสด็จพระราชด าเนินแทนพระองค์ไปยังพระเมรุ วัดเทพศิรินทราวาส พร้อมด้วยพระบรมวงศ์ ไปทรงทอดผ้าไตรกองฟอน 3 ไตร พระสงฆ์สดับปกรณ์ แล้วเสด็จพระราชด าเนินกลับ ส าหรับพระอัฐิของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหา สังฆปริณายก ได้แบ่งออกเป็น 3 ส่วน ส่วนแรกประดิษฐาน ณ พระต าหนักเดิม ซึ่งเป็นสถานที่เก็บพระอัฐิของเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหารทุกรูป ส่วนที่สอง ประดิษฐานที่วัดเทวสังฆาราม จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งเป็นวัดที่พระองค์ทรงผนวช และส่วนที่สามประดิษฐานที่วัดญาณสังวราราม จังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นวัดที่ พระองค์สร้างขึ้น ส่วนพระสรีรางคารประดิษฐานที่พระวิหารเก๋ง วัดบวรนิเวศ วิหาร ในปี พ.ศ. 2562 พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงสถาปนา พระอัฐิของสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน) สมเด็จพระสังฆราช สกล มหาสังฆปริณายก ในฐานะพระราชกรรมวาจาจารย์เมื่อครั้งทรงผนวช ขึ้นเป็น
"สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร" ในการนี้ ทรงพระกรุณาโปรด เกล้าโปรดกระหม่อมให้เจ้าพนักงานจัดฉัตรตาดเหลือง 5 ชั้น ถวายกางกั้นพระ รูปบรรจุพระสรีรางคาร ณ วัดบวรนิเวศวิหาร กับทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรด กระหม่อมให้แบ่งพระอัฐิบรรจุลงพระโกศทองค า เชิญมาประดิษฐานในหอพระ นาก วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ........................................................ แหล่งข้อมูลอ้างอิง https://mgronline.com https://th.wikipedia.org https://www.thairath.co.th http://www.watbowon.com https://www.wikiwand.com www.dhammajak.net www.pra100mongkol.com ขอขอบคุณข้อมูลและภาพจากเว็บไซต์ต่างๆ