พระประวตั สิ มเดจ็ พระสงั ฆราช องคท์ ่ี 19
สมเดจ็ พระญาณสงั วร สมเดจ็ พระสงั ฆราช (เจรญิ สวุ ฑฺฒโน)
ผเู้ รยี บเรยี งนายประสาร ธาราพรรค์
สมเดจ็ พระญาณสงั วร สมเดจ็ พระสงั ฆราช สกลมหาสงั ฆปรณิ ายก (เจรญิ สวุ ฑฒฺ โน)
สมเดจ็ พระญาณสงั วร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสงั ฆปรณิ ายก (เจริญ สุวฑฺฒโน)
สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ท่ี 19 แห่งกรงุ รัตนโกสินทร์ สถิต ณ วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร
ทรงดารงตาแหน่งเม่อื พ.ศ. 2532 ในรชั สมัยพระบาทสมเดจ็ พระบรมชนกาธเิ บศร มหาภูมิ
พลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ถือเป็นสมเด็จพระสังฆราชที่มีพระชันษามากกว่า
สมเด็จพระสังฆราชทุกพระองค์ในอดีตและเป็นพระสังฆราชพระองค์แรกของไทยที่มีพระ
ชันษา 100 ปี พระองค์จากเด็กกาพร้า จังหวัด กาญจนบุรี บรรพชาเป็นสามเณรเพื่อแก้
บน สู่ใต้ร่มกาสาวพัสตร์ ก่อนอุทิศท้งั ชวี ิตเพอื่ พระศาสนา
พระประวตั ิ
ขณะทรงพระเยาว์
นายนอ้ ย คชวัตร พระชนก นางกิมนอ้ ย คชวัตร พระชนนี
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประสูติเมื่อวัน
ศกุ ร์ ขึน้ 4 คา่ เดอื น 11 ปฉี ลู จลุ ศักราช 1275 ตรงกับวันที่ 3 ตุลาคม พุทธศักราช 2456
(รัตนโกสินทรศก 132) เวลาประมาณ 10 ทุ่ม เศษ (หรือเวลาประมาณ 04.00 นาฬิกา
เศษ วนั เสาร์ท่ี 4 ตุลาคม พทุ ธศกั ราช 2456 ตามที่นับแบบปจั จบุ นั ) ณ บา้ นวัดเหนือ ตาบล
บ้านเหนือ อาเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า
เจา้ อย่หู ัว รัชกาลท่ี 6 2456 พระชนกาช่ือน้อย คชวัตร และพระชนนี ช่ือ กิมน้อย คชวัตร
ทรงเป็นบุตรคนท่ี 1 ในจานวนบุตรชาย 3 คนพระองคม์ ีนอ้ งชาย 2 คน ไดแ้ ก่ นายจาเนยี ร
คชวตั ร และนายสมทุ ร คชวตั ร พระชนกของพระองค์ป่วยเป็นโรคเนื้องอกและเสียชีวิตไป
ตัง้ แต่พระองคย์ ังเล็ก หลังจากน้นั พระองคไ์ ดม้ าอยูใ่ นความดูแลของนางกมิ เฮ้ง หรือกิมเฮง
ซึ่งเป็นพี่สาวของพระชนนีกิมน้อยท่ีได้ขอพระองค์มาเล้ียงดูและนางกิมเฮ้งจึงต้ังช่ือ
หลานชายผนู้ ว้ี ่า "เจรญิ "
วดั เทวสงั ฆาราม
เมอ่ื พระชนั ษาได้ 8 ปี ทรงเขา้ เรยี นทโ่ี รงเรยี นประชาบาล วดั เทวสงั ฆาราม จนจบชั้น
ประถม 5 (เทยี บเทา่ ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 1 และ 2 ในปจั จบุ นั )และโรงเรยี นในครงั้ นน้ั กค็ อื
ศาลาวดั นน่ั เอง ทรงเรยี นจนจบชน้ั สงู สดุ
พ.ศ. 2468 ในขณะที่มีพระชันษา 12 ปี หลงั จากนัน้ ทรงไม่รูว้ า่ จะเรียนอะไรตอ่ และ
ไม่รู้วา่ จะเรียนทีไ่ หน ทรงเลา่ ว่า "เมอื่ เยาวว์ ัยมีพระอธั ยาศัยค่อนขา้ งขลาด กลวั ตอ่ คนแปลก
หนา้ และค่อนข้างจะเปน็ คนติดปา้ ทอ่ี ยู่ ใกลช้ ดิ กนั มาแตท่ รงพระเยาวโ์ ดยไมเ่ คยแยกจากกนั
เลย" จึงทาให้พระองค์ไมก่ ลา้ ตัดสินพระทยั ไปเรยี นตอ่ ทอ่ี ืน่
ทรงบรรพชา
สามเณรสวุ ฑั ฒฺ โน
เมื่อทรงพระเยาวก์ อ่ นทจี่ ะทรงบรรพชาเปน็ สามเณรนนั้ คนภายนอกมกั จะเหน็ วา่ เจา้
พระคุณสมเด็จฯ ทรงมีร่างกายอ่อนแอ ข้ีอาย เจ็บป่วยอยู่เสมอ โดยมีอยู่คราวหน่ึงที่ทรง
ปว่ ยหนกั จนญาติ ๆ ต่างพากนั คิดวา่ คงไม่รอดแลว้ และไดบ้ นไวว้ า่ ถา้ หายปว่ ยจะใหบ้ วชเพอื่
แก้บน แต่เม่ือหายป่วยแล้ว พระองค์ก็ยังไม่ได้บวช จนกระทั่งเรียนจบช้ันประถม 5 แล้ว
พระองคจ์ ึงไดท้ รงบรรพชาเป็นสามเณรเพอื่ แกบ้ นในปี พ.ศ. 2469 ขณะมีพระชันษาได้ 14
ปี ทีว่ ดั เทวสงั ฆาราม โดยมีพระเทพมงคลรังษี (ดี พทุ ฺธโชติ) เจ้าอาวาสวัดเทวสงั ฆาราม เปน็
พระอปุ ัชฌาย์ และพระครูนิวิฐสมาจาร (เหรียญ สุวณฺณโชติ) เจ้าอาวาสสวัดศรีอุปลาราม
เปน็ พระอาจารยใ์ ห้สรณะและศลี
วดั เสนห่ า จงั หวัดนครปฐม
ภายหลังบรรพชาแล้วได้จาพรรษาอยู่ที่วัดเทวสังฆาราม 1 พรรษา และได้มาศึกษา
พระธรรมวินัยท่ีวัดเสน่หา จังหวัดนครปฐม หลังจากน้ัน พระเทพมงคลรังษี (ดี พุทธฺโชติ)
พระอปุ ชั ฌายไ์ ด้พาพระองค์ไปยงั วดั บวรนิเวศราชวรวิหาร และนาพระองค์ข้ึนเฝ้าถวายตัว
ต่อสมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ เจ้าอาวาสวัดบวรนเิ วศวิหาร (ตอ่ มาคือสมเด็จพระสังฆราชเจา้
กรมหลวงวชริ ญาณวงศ์) เพ่ืออยศู่ ึกษาพระปริยตั ิธรรมในสานกั วัดบวรนิเวศวหิ าร พระองค์
ทรงได้รับประทานนามฉายาจากสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ว่า
“สวุ ฑฺฒโน” ซงึ่ มีความหมายว่า “ผู้เจริญดี” พระองค์ทรงสอบได้นกั ธรรมช้นั ตรไี ด้เมอ่ื พ.ศ.
2472 และทรงสอบได้นกั ธรรมชั้นโทและเปรียญธรรม 3 ประโยค ในปี พ.ศ. 2473
ทรงอุปสมบท
เมอ่ื ครงั้ ทรงเปน็ พระเปรยี ญ
เมือ่ พระชนมายคุ รบอปุ สมบท สมเดจ็ พระสงั ฆราชทรงเดนิ ทางกลบั ไปอปุ สมบททว่ี ดั
เทวสังฆาราม เมือ่ วนั ที่ 15 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2476 จากนั้นทรงเดินทางเข้ามาจาพรรษาท่วี ดั
บวรนิเวศวิหาร ก่อนจะเข้าพิธีอุปสมบทซ้าเป็นธรรมยุติกนิกาย โดยมีสมเด็จพระสังฆราช
เจ้า กรมหลวงวชริ ญาณวงศ์ เปน็ พระอุปัชฌาย์
พระองคท์ รงตง้ั พระทยั อย่างมากในการสอบเปรียญธรรม 4 ประโยค แต่ผลปรากฏ
ว่าทรงสอบตก ทาให้ทรงรู้สึกท้อแท้และคิดว่า "คงจะหมดวาสนาในทางพระศาสนาเสีย
แล้ว" แต่เมอื่ ทรงคดิ ทบทวนและไตร่ตรองดูวา่ ทาไมจึงสอบตก ก็ทรงตระหนักไดว้ ่าเหตุแห่ง
การสอบตกน้ันเกิดจากความประมาทโดยแท้ กล่าวคือ ทรงทาข้อสอบโดยไม่พิจารณาให้
รอบคอบด้วยสาคญั ผดิ ว่าตนรู้ดีแลว้ ทัง้ ยงั ม่งุ อา่ นเฉพาะเน้อื หาที่เก็งว่าจะออกเป็นข้อสอบ
เท่าน้ัน ซึ่งพระองค์ทรงพบว่าเป็นวิธีการเรียนที่ไม่ถูกต้องเพราะไม่ทาให้เกิดคว ามรู้อย่าง
แทจ้ ริง จึงเปน็ สาเหตทุ ีท่ าให้พระองค์สอบตก เม่ือพระองค์ทรงตระหนักได้ดังน้ีแล้วจึงทรง
เปล่ียนมาใช้วิธีเรียนแบบสม่าเสมอและท่ัวถึง พระองค์จึงสอบได้ทั้งนักธรรมช้ันเอกและ
เปรียญธรรม 4 ประโยค ในปี พ.ศ. 2475
พระเทพมงคลรงั ษี
หลังจากนั้น พระองค์ทรงกลับไปสอนพระปริยัติธรรมท่ีโรงเรียนเทวานุกูล วัด
เทวสงั ฆาราม เพื่อสนองพระคณุ พระเทพมงคลรงั ษเี ปน็ เวลา 1 พรรษา แล้วจึงทรงกลับมา
อยู่วัดบวรนิเวศวิหารเพื่อทรงศึกษาพระปริยัติธรรมต่อไป โดยทรงสอบได้เปรียญธรรม 5
ประโยค โดยในระหวา่ งทีท่ รงอย่วู ัดบวรนิเวศวิหารนั้น พระองค์กย็ งั คงกลบั ไปชว่ ยสอนพระ
ปริยัติธรรมทว่ี ดั เทวสงั ฆารามอยูเ่ สมอ พระองค์ยังทรงศึกษาพระปริยัติธรรมอย่างต่อเนื่อง
จนกระทัง่ สอบได้เปรียญธรรม 9 ประโยค ในปี พ.ศ. 2484
พระกรณยี กจิ
การปฏบิ ัตหิ นา้ ทดี่ า้ นคณะสงฆ์
เมอื่ ครงั้ ทรงดารงสมณศกั ดส์ิ มเดจ็ พระราชาคณะทส่ี มเดจ็ พระญาณสงั วร
(พระรปู ฝพี ระหตั ถพ์ ระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั )
หลงั จากท่พี ระองคส์ อบได้เปรียญธรรม 9 แลว้ พระองคท์ รงเร่ิมงานอันเกี่ยวเน่ืองกับ
คณะสงฆ์อีกมากมาย ซึ่งนอกเหนือจากเป็นครูสอนพระปริยัติธรรมแล้ว พระองค์ยังเป็น
ผอู้ านวยการศึกษาสานักเรียนวัดบวรนิเวศวิหารซ่ึงมีหน้าท่ีจัดการศึกษาของภิกษุสามเณร
ท้ังแผนกธรรมและแผนกบาลี รวมท้ังทรงเป็นสมาชิกสงั ฆสภาโดยตาแหนง่ ในฐานะเปน็ พระ
เปรียญ 9 ประโยค ต่อมา เมื่อมีการจัดต้ังมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยสมเด็จ
พระสังฆราชทรงมีส่วนร่วมในการก่อต้ังมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ซึ่งเป็น
มหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนาแห่งแรกของไทยข้ึนอีกคร้ังในปี พ.ศ. 2488 ทรงเป็นพระ
อาจารย์รุ่นแรก รวมถึงมีพระดาริส่งเสริมให้มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ขยาย
การศึกษาในระดบั ปริญญาโทและปริญญาเอก รวมท้ังประทานทนุ การศกึ ษาแกพ่ ระภกิ ษใุ ห้
ไปศึกษาต่อระดับปริญญาโทและปริญญาเอกในต่างประเทศ รวมทั้ง เป็นพระวินัยธรช้ัน
อทุ ธรณแ์ ละรกั ษาการพระวนิ ัยธรชน้ั ฎีกาในกาลตอ่ มา นอกจากนี้ ยงั ทรงเป็นเลขานกุ ารใน
สมเด็จพระสงั ฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศอ์ ีกด้วย
เมอื่ ครงั้ ทรงเปน็ “พระอภบิ าล” ของพระภกิ ษพุ ระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ฯ
ในระหวา่ งทที่ รงผนวชเป็นพระภกิ ษุ และเสดจ็ ประทบั ณ วดั บวรนเิ วศวหิ าร
เม่ือมีพระชันษาได้ 34 ปี พระองค์ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะ
ช้นั สามญั ท่ี พระโศภนคณาภรณ์ โดยพระองคไ์ ด้รบั เลอื กจากสมเดจ็ พระสังฆราชเจ้า กรม
หลวงวชิรญาณวงศ์ให้เป็นพระอภิบาลของพระภิกษุพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลย
เดชมหาราช บรมนาถบพิตรในระหว่างท่ีผนวชเป็นพระภิกษุและเสด็จประทบ ณ วัดบวร
นเิ วศวิหาร เมอ่ื ปี พ.ศ. 2499 ตอ่ มา ได้เลอื่ นสมณศักด์ิเปน็ พระราชาคณะ ช้ันธรรม ท่ี พระ
ธรรมวราภรณ์ โดยราชทินนามทั้ง 2 ข้างต้นน้ันเป็นราชทินนามท่ีต้ังข้ึนใหม่สาหรับ
พระราชทานแก่พระองคเ์ ป็นรปู แรก
วดั บวรนเิ วศราชวรวหิ าร
ในปี พ.ศ. 2504 พระองค์ไดร้ บั ตาแหน่งเป็นผรู้ ักษาการเจา้ คณะธรรมยตุ ภาคทุกภาค
และเจ้าอาวาสวัดบวรนเิ วศวหิ ารราชวรวหิ าร ในปีเดยี วกันนเี้ องพระองค์ได้รบั การสถาปนา
ที่ พระสาสนโสภณ พระองค์เข้ารับตาแหน่งกรรมการมหาเถรสมาคมต้ังแต่ปี พ.ศ. 2506
นอกจากน้ัน ยังได้ทรงนิพนธ์ผลงานทางวิชาการ เอกสาร และตาราด้านพุทธศาสนาไว้
มากมาย
ดา้ นการพระศาสนาในตา่ งประเทศ
สมเด็จพระญาณสังวร สมเดจ็ พระสังฆราช เสด็จไปทรงปฏิบัตพิ ระศาสนกจิ และเยย่ี ม
เยอื นพทุ ธศาสนิกชนในภาคต่าง ๆ เป็นประจาทุกปี และด้วยทรงมีความเชี่ยวชาญในด้าน
ภาษาเป็นอย่างดี ทั้งภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน จีน และสันสกฤต พระองค์จึงได้นา
ความรู้ด้านภาษามาใช้ประโยชน์ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปยังนานาประเทศ การ
ดาเนนิ การมาโดยลาดับ ดงั น้ี
วดั พทุ ธประทปี ณ กรงุ ลอนดอน
พ.ศ. 2509 ในฐานะประธานกรรมการอานวยการฝึกอบรมพระธรรมทูตใน
ต่างประเทศ ได้เสด็จไปเป็นประธานสงฆ์ ในพิธีเปิดวัดพุทธประทีป ณ กรุงลอนดอน
ประเทศอังกฤษ และดกู จิ การพระธรรมทูตในประเทศอังกฤษและอิตาลี
พ.ศ. 2511 เสด็จไปดูการพระศาสนา วัฒนธรรม และการศึกษาในประเทศ
อินโดนเี ซีย ออสเตรเลยี และฟิลปิ ปนิ ส์ อนั เป็นผลให้ต่อมาไดม้ ีการวางแผนรว่ มกบั ชาวพทุ ธ
อนิ โดนีเซยี ในอันทจี่ ะฟืน้ ฟพู ระพทุ ธศาสนาในประเทศนนั้ และไดส้ ง่ พระธรรมทตู ชดุ แรกไป
ยังอนิ โดนเี ซยี เมื่อปี พ.ศ. 2512 ได้ส่งพระภิกษุจากวัดบวรนิเวศ ออกไปปฏิบัติศาสนกิจท่ี
ประเทศออสเตรเลยี เม่ือปี พ.ศ. 2516, และตั้งสานกั สงฆ์ในปี พ.ศ. 2518
พ.ศ. 2514 เสดจ็ ไปดกู ารพระศาสนา และการศึกษาในประเทศเนปาล และอินเดีย
ปากสี ถาน ตะวนั ออก (บังคลาเทศ) ทาใหเ้ กดิ งานฟ้ืนฟพู ระพทุ ธศาสนาในเนปาล
พ.ศ. 2520 เสด็จไปบรรพชาชาวอินโดนีเซีย จานวน 43 คน ที่เมืองสมารัง ตามคา
อาราธนาของคณะสงฆ์เถรวาทอนิ โดนีเซีย
ภายในพระอโุ บสถ วดั จาการต์ า้ ธรรมจกั รชยะ ณ ประเทศอนิ โดนเี ซยี
พ.ศ. 2528 ทรงเป็นประธานคณะสงฆ์ ไปประกอบพิธีผกู พัทธสมี าอโุ บสถ วดั จาการ์
ต้าธรรมจักรชยะ ณ ประเทศอนิ โดนเี ซยี นับเปน็ การผูกพนั ธสีมาอโุ บสถวดั พระพุทธศาสนา
เถรวาท เป็นคร้ังแรกของประเทศอินโดนีเซีย และในปีเดียวกันน้ี ได้เสด็จไปเป็นประธาน
บรรพชากลุ บตุ รศากย แหง่ เนปาล จานวน 73 คน ณ กรุงกาฐมาณฑุ ประเทศเนปาล
สมเดจ็ พระญาณสงั วร สมเดจ็ ระสงั ฆราช และ พณฯ เจยี ง เจอ๋ หมนิ
พ.ศ. 2536 เสดจ็ ไปเจริญศาสนาสัมพนั ธ์ระหว่างไทย-จีน เป็นครง้ั แรก ที่ประเทศจนี
ตามคากราบทูลอาราธนาของรัฐบาลจีน ในระหว่างสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จระ
สงั ฆราช การพบปะกบั ฯพณฯ เจียง เจ๋อหมิน ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรฐั ประชาชน
จีน ณ ตาหนกั อิง๋ ไถ ภายในทานียบจงหนานไห่ สมเดจ็ พระญาณสงั วร สมเดจ็ พระสงั ฆราช
สกลมหสังฆปริณายก ทรงมพี ระปฏิสันถารกล่าวฝากพระพุทธศาสนาในประเทศจนี กบั ทา่ น
ประธานาธบิ ดีไว้วา่ “...และโดยทพ่ี ระพทุ ธศาสนานน้ั ไมก่ อ่ ใหเ้ กดิ ความเดอื ดรอ้ นและความ
เสื่อมแก่ประเทศไทยประเทศจีนและท้ังสองประเทศ จึงขอฝากพระพุทธศาสนาแก่ท่าน
ประธานาธิบดีให้การอุปถัมภ์พุทธศาสนาตามสมควรด้วย...”นอกจากน้ัน เม่ือ ทรงพบปะ
กบั เจา้ หน้าที่ระดบั สูงของรัฐบาล รัฐมนตรี ตลอดจนผู้ว่าการมณฑลต่างๆ ก็มักจะทรงฝาก
ฝังขอให้ชว่ ยอุปถัมภ์บารุงพระพุทธศาสนาและคณะสงฆ์ กับทั้งขอโอกาสให้คณะสงฆ์ได้ส่ัง
สอนศีลธรรมแก่ประชาชน ตลอดจนช่วยสอดส่องดูแลคณะสงฆ์และพุทธศาสนิกชนให้
ประพฤติปฏบิ ตั ิตนให้อยู่ในขอบเขตของพทุ ธธรรมและกฎระเบยี บของบ้านเมอื งดว้ ย
การเสด็จเยอื นสาธารณรฐั ประชาชนจนี ในครงั้ นัน้ กอ่ ใหเ้ กดิ ความตน่ื ตวั ทางพระพทุ ธศาสนา
แก่บุคคล ทงั้ ฝา่ ยคณะสงฆ์ พทุ ธศาสนกิ ชน และผู้บริหารปกครองของจนี เปน็ อนั มาก เพราะ
เปน็ ครงั้ แรกของการเจรญิ ศาสนสัมพันธ์อย่างเป็นทางการระหว่างไทยกับจีน และเป็นครั้ง
แรกที่ประชาชนจีนได้เห็นภาพของพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาอย่างเต็มตา และ “เป็น
ทางการ” กระทงั่ ภกิ ษจุ ีนบางรปู ถงึ กับออกปากว่า ไม่เคยคิดและไม่เคยพบเห็นมาก่อน ว่า
พระสงฆ์จะไดร้ บั การยกยอ่ งเทิดทูนและได้รับความเคารพจากปวงชนถึงขนาดน้ี
วดั ไทยลมุ พนิ ี ณ ประเทศเนปาล
พ.ศ. 2538 เสดจ็ ไปเป็นประธาน วางศิลาฤกษ์วัดไทยลุมพินี ณ ประเทศเนปาล ซ่ึง
รัฐบาลไทยจัดสร้างถวายเป็นพุทธบูชา และเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระ
ปรมินทรมหาภมู พิ ลอดลุ ยเดช เน่ืองในวโรกาสทรงครองสริ ิราชสมบตั คิ รบ 50 ปี
ดา้ นสาธารณูปการ
ไดท้ รงบูรณะซอ่ มสรา้ งเสนาสนะ และถาวรวัตถอุ ันเปน็ สาธารณประโยชนเ์ ปน็ จานวน
มาก กล่าวคือ
ปูชนียสถาน
พระบรมธาตเุ จดยี ศ์ รนี ครนิ ทราสถติ มหาสนั ตคิ รี ี ดอยแมส่ ลอง
ได้แก่ มณฑปประดิษฐานพระพุทธบาทจาลอง พระเจดีย์ วัดบวรนิเวศวิหาร พระ
บรมธาตุ พระบรมธาตุเจดยี ศ์ รนี ครนิ ทราสถิตมหาสนั ติครี ี ดอยแมส่ ลอง
พระอาราม
วดั ญาณสงั วรารามวรมหาวิหาร
ได้แก่ วัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร อาเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี วัดสันติคีรี
ดอยแม่สลอง จังหวัดเชียงราย วัดรัชดาภิเศก อาเภอบ่อพลอย จังหวัดกาญจนบุรี วัด
ล้านนาสังวราราม อาเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ วัดพุมุด อาเภอไทรโยค กาญจนบุรี
นอกจากน้ันยังทรงอุปถัมภ์วัดไทยในต่างประเทศอีกหลายแห่งคือ วัดพุทธรังสี นครซิดนีย์
ออสเตรเลยี วัดจาการต์ าธรรมจักรชยั กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนเี ซยี วัดนครมณฑปศรี
กรี ติวิหาร เมืองกิรติปรู เนปาล
โรงเรียน
โรงเรยี นสมเดจ็ พระญาณสงั วร ยโสธร
โรงเรยี นสมเดจ็ พระปยิ มหาราชรมณยี เขต กาญจนบรุ ี
ไดแ้ ก่ โรงเรยี นสมเด็จพระญาณสังวร ยโสธร โรงเรยี นสมเดจ็ พระปยิ มหาราชรมณีย
เขต กาญจนบุรี
โรงพยาบาล
ตกึ วชริ ญาณวงศโ์ รงพยาบาลจฬุ าลงกรณ์
ได้แก่ การสร้างตึกวชิรญาณวงศ์ ตึกวชิรญาณสามัคคีพยาบาร และตึก ภปร .
โรงพยาบาลจฬุ าลงกรณ์, โรงพยาบาลสมเด็จพระปิยมหาราชรมณียเขต จังหวัดกาญจนบรุ ี,
โรงพยาบาลวดั ญาณสังวราราม จงั หวัดชลบรุ ี, และโรงพยาบาลสกลมหาสงั ฆปรนิ ายก เพ่อื
ถวายเปน็ อนสุ รณ์ แดส่ มเดจ็ พระสังฆราชแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ทุกพระองค์ รวม 19 แหง่ ได้
เริม่ ก่อสร้างไปแลว้ หลายแหง่
พระภารกจิ
สมเดจ็ พระญาณสงั วร สมเดจ็ ระสงั ฆราช
พ.ศ. 2484 เปน็ สมาชกิ สงั ฆสภาโดยตาแหนง่ เป็นกรรมการสงั คายนาพระธรรมวนิ ยั
และเปน็ ผอู้ านวยการศกึ ษาสานกั เรยี นวดั บวรนเิ วศวหิ าร
พ.ศ. 2489 เปน็ พระวนิ ยั ธรชนั้ อทุ ธรณ์ และเปน็ กรรมการสภาการศกึ ษามหามกฏุ
ราชวทิ ยาลยั
พ.ศ. 2493 เปน็ กรรมการเถรสมาคม คณะธรรมยตุ ประเภทชว่ั คราว
พ.ศ. 2494 เปน็ กรรมการอานวยการมหามงกฎุ ราชวทิ ยาลยั และเปน็ กรรมการ
แผนกตาราของมหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั
พ.ศ. 2496 เปน็ กรรมการตรวจชาระ คมั ภรี ฎ์ กี า
พ.ศ. 2497 เปน็ กรรมการเถรสมาคมคณะธรรมยตุ ประเภทถาวร สมเดจ็ พระญาณ
สงั วร สมเดจ็ พระสงั ฆราช สกลมหาสงั ฆปรนิ ายก
สมเดจ็ พระญาณสงั วร สมเดจ็ ระสงั ฆราชพระอภิบาล (พระพเี่ ลยี้ ง)
ของพระภกิ ษพุ ระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั รชั กาลท่ี 9
พ.ศ. 2499 เปน็ พระอภบิ าล (พระพเ่ี ลย้ี ง) ของพระภกิ ษพุ ระบาทสมเดจ็ พระ
เจา้ อยหู่ วั รชั กาลท่ี 9 ระหวา่ งทที่ รงผนวชเปน็ พระภกิ ษุ และเสดจ็ ประทบั ณ วดั บวรนเิ วศ
วหิ าร ไดเ้ ลอื่ นสมณศกั ดเิ์ ปน็ พระราชาคณะชนั้ ธรรม ทพ่ี ระธรรมวราภรณ์ และรกั ษาการ
วนิ ยั ธรชน้ั ฎกี า
พ.ศ. 2501 เปน็ กรรมการคณะธรรมยตุ ิ และเปน็ กรรมการมลู นธิ สิ ง่ เสรมิ กิจการพระ
ศาสนา และมนษุ ยธรรม (ก.ศ.ม.)
พ.ศ. 2503 เปน็ สงั ฆมนตรชี ว่ ยวา่ การองคก์ ารปกครองสงั่ การองคก์ ารปกครองฝา่ ย
ธรรมยตุ ิ
วดั บวนนเิ วศราชวรมหาวหิ าร
พ.ศ. 2504 เปน็ เจา้ อาวาสวดั บวรนเิ วศราชวรวหิ าร เปน็ ผอู้ านวยการมหามกฏุ ราช
วทิ ยาลยั เปน็ ประธานกรรมการสภาการศกึ ษามหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั เปน็ ผรู้ กั ษาการณเ์ จา้
คณะธรรมยตุ ภาคทกุ ภาค และเปน็ พระอปุ ชั ฌาย์
พ.ศ. 2506 เปน็ กรรมการเถรสมาคม ซง่ึ เปน็ กรรมการชดุ แรก ตาม พ.ร.บ. คณะสงฆ์
พ.ศ. 2505
พ.ศ. 2515 เปน็ เจา้ คณะกรงุ เทพมหานครและสมทุ รปราการ และไดร้ บั โปรดเกลา้ ฯ
สถาปนาเปน็ สมเดจ็ พระราชาคณะท่ี "สมเดจ็ พระญาณสงั วร" สมเดจ็ พระราชาคณะในพระ
ราชทนิ นามน้ี มขี นึ้ ในรชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ ฯ เปน็ ฝา่ ยวปิ สั สนาธรุ ะพระ
อาจารยส์ กุ วดั ทา่ หอย พระนครศรอี ยธุ ยา ไดร้ บั พระราชทานสมศกั ดน์ิ เี้ ปน็ องคแ์ รก และ
ตอ่ มากม็ ไิ ดพ้ ระราชทานสมณศกั ดน์ิ แี้ กพ่ ระเถระรปู ใดอกี เลย ตงั้ แต่ปี พ.ศ. 2363 ถงึ ปี
พ.ศ. 2515 เปน็ เวลาถงึ 152 ปี
พ.ศ. 2517 เปน็ ประธานกรรมการคณะธรรมยตุ
เมอื่ ครงั้ ทรงเปน็ พระราชกรรมวาจาจารยข์ องสมเด็จพระบรมโอรสาธริ าชฯ
สยามกฏุ ราชกมุ าร ในการทรงผนวช และเสดจ็ ประทบั ณ วดั บวรนเิ วศวหิ าร
พ.ศ. 2521 เปน็ พระราชกรรมวาจาจารย์ ของพระภกิ ษุ สมเดจ็ พระบรมโอรสาธริ าช
เจา้ ฟา้ มหาวชริ าลงกรณฯ์ สยามกฏุ ราชกมุ าร เมอ่ื ครง้ั เสดจ็ ออกทรงพระผนวชเปน็ พระภกิ ษุ
ในพระพทุ ธศาสนา ณ พระอโุ บสถวดั พระศรรี ตั นศาสดาราม และเปน็ พระอาจารยถ์ วายการ
อบรมพระธรรมวนิ ยั ขณะทพี่ ระภกิ ษสุ มเดจ็ พระบรมโอรสาธริ าช เจา้ ฟา้ มหาวชริ าลงกรณฯ์
สยามกฏุ ราชกมุ าร เสดจ็ ประทบั ณ วดั บวรนเิ วศวหิ าร ในระหวา่ งวนั จนั ทรท์ ่ี 6 ถงึ วนั
จันทรท์ ่ี 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2521
พ.ศ. 2528 เปน็ รองประธานกรรมการสงั คตี กิ ารสงฆ์ ในการสงั คายนาพระธรรมวนิ ยั
ตรวจชาระพระไตรปฎิ ก และเปน็ สงั ฆปาโมกขป์ าลวิ โิ สธกะพระวนิ ยั ปฎิ ก
พ.ศ. 2531 รกั ษาการเจา้ คณะใหญธ่ รรมยตุ เปน็ นายกกรรมการมหามกฏุ ราช
วทิ ยาลยั และเปน็ นายกสภาการศกึ ษามหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั
ลาดบั สมณศกั ดิ์
เมอ่ื ครงั้ ทรงเปน็ พระราชาคณะทพี่ ระโศภณคณาภรณ์
พ.ศ. 2490 ไดร้ ับพระราชทานตง้ั สมณศกั ดเ์ิ ปน็ พระราชาคณะชนั้ สามญั ท่ี พระโศภณ
คณาภรณ์ และเปน็ กรรมการมหาวทิ ยาลัยมหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั
พ.ศ. 2495 ไดร้ ับพระราชทานเลอื่ นสมณศกั ดเิ์ ปน็ พระราชาคณะชนั้ ราช ในพระราช
ทนิ นามเดมิ
พ.ศ. 2498 ไดร้ ับพระราชทานเลอื่ นสมณศกั ดเ์ิ ปน็ พระราชาคณะชน้ั เทพ ในพระราช
ทนิ นามเดมิ
พ.ศ. 2499 ไดร้ ับพระราชทานเลอื่ นสมณศกั ดเ์ิ ป็นพระราชาคณะชน้ั ธรรม ที่ พระ
ธรรมวราภรณ์
พ.ศ. 2504 ไดร้ บั พระราชทานสถาปนาสมณศกั ดเิ์ ป็นพระราชาคณะ เจา้ คณะรอง
ชั้นหริ ญั บฏั ท่ี พระสาสนโสภณ
พ.ศ. 2515 ไดร้ บั พระราชทานสถาปนาสมณศกั ดเิ์ ป็นสมเดจ็ พระราชาคณะ ชนั้
สพุ รรณบฏั ท่ี สมเดจ็ พระญาณสงั วร ซงึ่ เปน็ ราชทินนามทพี่ ระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้
นภาลยั โปรดใหต้ ง้ั ขน้ึ ใหมส่ าหรบั พระราชทานสถาปนาสมเดจ็ พระอรยิ วงษญาณ (สกุ ญาณ
สงั วร) พระราชาคณะฝา่ ยวปิ สั สนาธรุ ะเปน็ ครง้ั แรก เมอ่ื พ.ศ. 2359 ตาแหน่งสมเดจ็
พระราชาคณะทสี่ มเดจ็ พระญาณสังวร จงึ เปน็ ตาแหนง่ พเิ ศษทโ่ี ปรดพระราชทานสถาปนา
แกพ่ ระเถระผทู้ รงคณุ ทางวปิ สั สนาธรุ ะเทา่ นน้ั
พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั รชั กาลท่ี 9 เสดจ็ ไปถวายนา้ พระมหาสงั ขท์ ักษณิ าวตั ร
ในวนั ทที่ รงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ สถาปนาขนึ้ เปน็ สมเดจ็ พระสงั ฆราช
เม่อื สมเด็จพระสงั ฆราชเจ้า กรมหลวงชินวราลงกรณ สมเด็จพระสังฆราชในขณะนั้น
ส้ินพระชนม์ในปี พ.ศ. 2531 ทาให้ตาแหนง่ สมเดจ็ พระสงั ฆราชว่างลง
พ.ศ. 2532 พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรจึงมี
พระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ สถาปนาพระองค์ข้ึนเป็นสมเด็จพระสังฆราช สกลมหา
สงั ฆปรณิ ายก ในราชทนิ นามเดิมคอื สมเดจ็ พระญาณสังวร ซ่ึงราชทินนามดังกล่าวนับเป็น
ราชทินนามพเิ ศษ กลา่ วคือ สมเด็จพระสังฆราชทมี่ ไิ ด้เป็นพระบรมวงศานวุ งศ์นัน้ โดยปกติ
จะใช้ราชทินนามว่า สมเดจ็ พระอรยิ วงศาคตญาณ บางพระองค์ ครงั้ นจ้ี งึ นบั เปน็ อกี หนงึ่ ครง้ั
มีการใช้ราชทินนาม สมเดจ็ พระญาณสังวร สาหรบั สมเดจ็ พระสังฆราชเพ่ือเป็นการยกย่อง
พระเกียรตคิ ุณทางวิปสั สนาธุระของพระองคใ์ หเ้ ป็นทป่ี ระจักษ์ มีพระนามตามจารกึ ในพระ
สุพรรณบัฏวา่ สมเด็จพระญาณสังวร บรมนริศรธรรมนีติภิบาล อรยิ วงศาคตญาณวมิ ล สกล
มหาสงั ฆปรณิ ายก ตรีปิฎกปริยัตติธาดา วิสุทธจริยาธิสมบัติ สุวัฑฒนภิธานสงฆวิสุต ปาวจ
นตุ ตมพิสาร สขุ ุมธรรมวธิ านธารง วชริ ญาณวงศววิ ัฒ พุทธบริษัทคารวสถาน วิจิตรปฏิภาณ
พัฒนคุณ วิบุลสีลาจารวัตรสุนทร บวรธรรมบพิตร สรรพคณิศรมหาปธานาธิบดี คามวาสี
อรณั ยวาสี สมเดจ็ พระสงั ฆราช
ตราอกั ษรยอ่ พระนาม ญสส.
พระเกยี รตยิ ศ
สมเดจ็ พระญาณสงั วร สมเดจ็ พระสงั ฆราช
หลงั จากพระองคท์ า่ นได้รับการโปรดเกลา้ ฯ สถาปนาขึ้นเปน็ สมเด็จพระสังฆราช
องค์ท่ี 19 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พระองค์ก็ปฏิบัติพระกรณียกิจเพื่อการศาสนาและ
สาธารณประโยชน์มาโดยตลอดทง้ั ในประเทศและตา่ งประเทศ ทาให้ในปี พ.ศ. 2555 ผู้นา
ชาวพุทธโลกจาก 32 ประเทศทเี่ ข้าร่วมประชมุ สดุ ยอดพทุ ธศาสนกิ ชนแหง่ โลก ณ ประเทศ
ญี่ปุ่น ได้ทูลถวายตาแหน่ง "ผู้นาคณะสงฆ์สูงสุดแห่งโลกพระพุทธศาสนา" ในฐานะท่ีทรง
ไดร้ ับการเคารพอยา่ งสูงสดุ นับเป็นการมอบตาแหน่งน้เี ป็นครง้ั แรกของโลก รวมทง้ั ทรงเปน็
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกแห่งประเทศไทย ผู้ทรงเผยแผ่พระธรรมคาสั่ง
สอนขององคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจ้าให้ทุกคนปฏิบัติต้ังอยธู่ รรมะนาไปส่สู นั ตภิ าพและ
ความเจริญรุ่งเรอื งนบั เปน็ แบบอยา่ งของสากลโลก
สมเดจ็ พระญาณสงั วร สมเดจ็ ระสงั ฆราช พระองคไ์ ดร้ บั การถวายปรญิ ญากติ ตมิ ศกั ดจ์ิ าก
สถาบนั การศกึ ษา ดงั ตอ่ ไปน้ี
พ.ศ. 2529: ปรชั ญาดุษฎบี ณั ฑิตกติ ตมิ ศกั ดิ์ จากมหาวิทยาลยั รามคาแหง
พ.ศ. 2532: อักษรศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตตมิ ศักดิ์ จาก มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล
พ.ศ. 2533: พุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักด์ิ จากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ
ราชวทิ ยาลยั
พ.ศ. 2537: ศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักด์ิ สาขาปรัชญาและศาสนา จาก
มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์
พ.ศ. 2538: การศึกษาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาบริหารการศึกษา จาก
มหาวทิ ยาลัยนเรศวร
พ.ศ. 2539: ศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักด์ิ จากมหาวิทยาลัยศรีนคริน
ทรวิโรฒ
พ.ศ. 2540: ศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักด์ิ สาขาวิชาภาษาไทย จาก
มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น
พ.ศ. 2543: ศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาปรัชญาและศาสนา จาก
มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์
พ.ศ. 2545: ปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักด์ิ สาขาวิชาไทศึกษา จากมหาวิทยาลัย
มหาสารคาม
พ.ศ. 2547: ครุศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาการบริหารการศึกษา จาก
มหาวทิ ยาลัยราชภฏั กาญจนบุรี
พ.ศ. 2548: ครุศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักด์ิ สาขาการบริหารการศึกษา จาก
มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั มหาสารคาม
พ.ศ. 2554: ครุศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักด์ิ สาขาการบริหารการศึกษา จาก
มหาวทิ ยาลัยราชภฏั ภูเกต็
พ.ศ. 2556: ศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาพุทธศาสน์ศึกษา จาก
มหาวทิ ยาลัยมหามกฏุ ราชวทิ ยาลัย
พระนพิ นธ์
ทรงนพิ นธเ์ รอ่ื งตา่ ง ๆ ไวเ้ ปน็ อนั มาก ทง้ั ทเ่ี ปน็ ตารา พระธรรมเทศนา และทว่ั ไป พอ
ประมวลไดด้ งั นี้
ประเภทตารา ทรงเรยี บเรยี ง
วากยสมั พนั ธ์ ภาค 1-2 สาหรบั ใชเ้ ปน็ หนังสอื ประกอบ การศกึ ษาของนักเรยี นบาลี
และทรงอานวยการจดั ทา ปทานกุ รม บาลี ไทย องั กฤษ สนั สกฤต ฉบับพระเจา้ บรมวงศ์
เธอ กรมพระจนั ทบรุ นี ฤนาถ ฯลฯ
ประเภทพระธรรมเทศนา มอี ยเู่ ปน็ จานวนมาก เทา่ ทพี่ มิ พเ์ ปน็ เลม่ แลว้ เชน่
ปญั จคณุ 5 กณั ฑ์ ทศพลญาณ 10 กณั ฑ์ มงคลเทศนา โอวาทปาฏโิ มกข์ 3 กณั ฑ์
สงั ฆคณุ 9 กณั ฑ์ ฯลฯ
ประเภทงานแปลเปน็ ภาษาตา่ งประเทศ ทรงรเิ รมิ่ และดาเนนิ การใหแ้ ปลตาราทางพทุ ธ
ศาสนา จากภาษาไทยเปน็ ภาษาองั กฤษ เพอ่ื ใชใ้ นการศกึ ษาพระพทุ ธศาสนา เชน่
นวโกวาท วนิ ยั มขุ พทุ ธประวตั ิ ภกิ ขปุ าตโิ มกข์ อปุ สมบทวธิ ี ทาวตั รสวดมนต์ ฯลฯ
ประเภททว่ั ไป มอี ยเู่ ปน็ จานวนมาก เช่น
การนบั ถอื พระพทุ ธศาสนา หลกั พระพุทธศาสนา พระพทุ ธเจา้ ของเรานน้ั ทา่ นลา้ เลศิ
45 พรรษาพระพุทธเจ้า พระพทุ ธเจ้าส่งั สอนอะไร (ไทย-อังกฤษ) แนวปฏิบตั ิในสตปิ ฎั ฐาน
พระพุทธศาสนากับสังคมไทย วธิ ปี ฏิบตั ติ นให้ถกู ต้องทางธรรมะ บณั ฑติ กบั โลกธรรม
เร่อื งกรรม ศลี (ไทย-อังกฤษ) อาหุเณยโย อวชิ ชา หลกั ธรรมสาหรับการปฏิบัติอบรมจิต
การบรหิ ารจิตสาหรับผใู้ หญ่ สนั โดษ แนวความเช่ือ บวชดี บุพการี-กตัญญูกตเวที
คากลอนนริ าศสังขาร ตานานวดั บวรนิเวศ วธิ สี ร้างบุญบารมี ความซบั ซอ้ นของกรรม ฯลฯ
100 ปี สมเด็จพระญาณสงั วร สมเดจ็ พระสงั ฆราช
สมเดจ็ พระญาณสังวร สมเดจ็ พระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประสูติเมื่อเวลา
ราว 4 นาฬกิ าหรอื ตสี ่ี วนั ศุกร์ข้นึ 4 ค่า เดือน 11 ปีฉลู ตรงกบั วนั ท่ี 3 ตุลาคม พ.ศ.2456
วันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2556 วันน้ี สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกล
มหาสังฆปริณายกได้เจริญพระชันษาครบ 100 ปี จึงเป็นวโรกาสอันเป็นมงคลท่ี
พุทธศาสนิกชนคนไทยจะได้พร้อมใจกันถวายพระพรให้ทรงมีพระพลานามัยที่แข็งแรง
เจริญพระชนม์ชีพเพอ่ื เป็นมิ่งขวัญและเป็นเสาหลกั ของบวรพุทธศาสนาสบื ไปตราบนานเทา่
นาน....ทีฆายโุ ก โหตุ สังฆราชา ทีฆายุโก โหตุ พระสงั ฆบดิ ร
สน้ิ พระชนม์
พระโกศกดุ น่ั ใหญป่ ระกอบพระอสิ รยิ ยศพระศพ ณ พระตาหนกั เพช็ ร วดั บวรนเิ วศวหิ าร
เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2556 โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ออก
แถลงการณ์ฉบับที่ 1 เรื่อง พระอาการประชวรของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จ
พระสังฆราชฯ โดยคณะแพทย์ผู้ถวายการรักษาได้รายงานว่า พระอาการทรงมีความดัน
โลหิตต่า เนื่องมาจากการติดเช้ือในกระแสพระโลหิต ทั้งน้ียังตรวจพบว่าพระอันตะ (ลาไส้
ใหญ่) และพระอันตคุณ (ลาไส้เล็ก) ขาดพระโลหิตและมีแผลติดเชื้อ จึงถวายการรักษา
ด้วยการผ่าตัดพระอันตะและพระอันตคุณบางส่วนออก ภายหลังการผ่าตัดปรากฏว่า พระ
อาการโดยรวมดีข้ึน จากน้ันก็มีแถลงการณ์ของทาง รพ. เก่ียวกับพระอาการประชวรของ
สมเด็จพระสังฆราชออกมาให้ประชาชนติดตามเร่ือยๆ
เมอื่ เวลา 14.00 น. ของวนั ที่ 24 ตลุ าคม 2556 คณะแพทยผ์ ู้ถวายการรกั ษารายงาน
ว่า สมเด็จพระสังฆราชฯ มีพระอาการโดยรวมทรุดลง ระดับความดันพระโลหิต อยู่ใน
เกณฑ์ต่าลง คณะแพทย์ยังคงถวายพระโอสถ และตรวจรักษาอย่างใกล้ชิดและต่อเน่ือง
ตลอด 24 ชัว่ โมง
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสงั ฆราช สกลมหาสังฆปริณายก สิ้นพระชนม์เม่ือ
วนั ท่ี 24 ตลุ าคม พ.ศ. 2556 เวลา 19:30 นาฬิกา ณ โรงพยาบาลจฬุ าลงกรณ์ เน่อื งจากติด
เชื้อในกระแสพระโลหิต มีการเคล่ือนพระศพจากโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์มายังตาหนัก
เพชร วัดบวรนิเวศวิหาร เมอ่ื วันศกุ ร์ท่ี 25 ตลุ าคม พ.ศ. 2556 เวลา 12:15 นาฬิกา ในการ
นี้ พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรทรงพระกรุณาโปรด
เกล้าโปรดกระหม่อมให้พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เม่ือครั้งยังดารงพระ
อิสริยยศเป็น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร
เสด็จพระราชดาเนินแทนพระองค์ไปทรงสรงน้าพระศพในวันเดียวกัน เวลา 17:00 น. ทรง
พระกรุณาโปรดถวายพระโกศกุด่ันใหญ่ทรงพระศพแทนพระโกศกุด่ันน้อย ประดิษฐาน
ภายใต้เศวตฉัตรสามช้ัน แวดล้อมด้วยเคร่ืองประกอบพระเกียรติยศ ณ ตาหนักเพ็ชร วัด
บวรนิเวศวหิ าร และใหม้ พี ิธสี วดพระอภธิ รรมพระศพเจด็ วัน
การนี้พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรได้
พระราชทานเลอื่ นชนั้ ยศพระโกศจากพระโกศกดุ นั่ นอ้ ยเปน็ พระโกศกดุ นั่ ใหญต่ ง้ั แตว่ นั แรกที่
สิน้ พระชนม์ คร้นั ถึงวาระพระราชทานเพลงิ พระศพ พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลย
เดชมหาราช บรมนาถบพิตรจึงทรงพระกรุณาโปรดถวายพระโกศทองนอ้ ยทรงพระศพและ
ให้เจ้าพนักงานจัดฉัตรตาดเหลือง 5 ชั้นกางก้ันพระโกศ ในพระราชพิธีพระราชทานเพลิง
พระศพระหว่างวันที่ 15-17 ธันวาคม พ.ศ. 2558 ซึ่งถือเป็นกรณีพิเศษเพราะยังไม่เคย
ปรากฏการพระราชทานเล่ือนพระโกศถึงสองครัง้ มากอ่ น
สาหรบั พระอัฐขิ องสมเด็จพระญาณสงั วร สมเดจ็ พระสงั ฆราช สกลมหาสงั ฆปรณิ ายก
ไดแ้ บ่งออกเป็น 3 ส่วน ส่วนแรกประดษิ ฐาน ณ พระตาหนกั เดมิ ซึง่ เป็นสถานท่ีเก็บพระอฐั ิ
ของเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหารทุกรูป ส่วนที่สองประดิษฐานท่ีวัดเทวสังฆาราม จังหวัด
กาญจนบรุ ี ซ่ึงเป็นวัดท่ีพระองค์ทรงผนวชและส่วนท่ีสามประดิษฐานท่ีวัดญาณสังวราราม
จังหวดั ชลบุรี ซงึ่ เป็นวดั ทพ่ี ระองคส์ รา้ งข้ึน ส่วนพระสรีรางคารประดิษฐานที่พระวิหารเก๋ง
วัดบวรนเิ วศวหิ าร ในปี พ.ศ. 2562 พระบาทสมเด็จพระวชิรเกลา้ เจา้ อย่หู ัว ไดท้ รงสถาปนา
พระอัฐิของสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน) สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆป
รณิ ายก ในฐานะพระราชกรรมวาจาจารย์เม่ือครั้งทรงผนวช ข้ึนเป็น "สมเด็จพระสังฆราช
เจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร" ในการน้ี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้เจ้า
พนกั งานจัดฉตั รตาดเหลือง 5 ชน้ั ถวายกางก้ันพระรูปบรรจุพระสรรี างคาร ณ วดั บวรนเิ วศ
วหิ าร กับทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้แบ่งพระอัฐิบรรจุลงพระโกศทองคา
เชิญมาประดิษฐานในหอพระนาก วดั พระศรีรตั นศาสดาราม เพื่อเปน็ ที่ทรง
ริว้ ขบวนเคลื่อนพระศพ 'พระสงั ฆราชฯ'
ในการน้ี พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อย่หู วั ภูมิพลอดลุ ยเดช ไดพ้ ระราชทานเล่อื นช้นั ยศ
พระโกศจากพระโกศกุด่ันน้อยเป็นพระโกศกุดั่นใหญ่ตั้งแต่วันแรกท่ีสิ้นพระชนม์ ครั้นถึง
วาระพระราชทานเพลงิ พระศพ ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ โปรดกระหมอ่ มพระราชทานเลอ่ื น
จากพระโกศกดุ น่ั ใหญเ่ ปน็ พระโกศทองนอ้ ยในพระราชพธิ พี ระราชทานเพลงิ พระศพระหวา่ ง
วันที่ 15-17 ธันวาคม พ.ศ. 2558 ซ่ึงถือเป็นกรณีพิเศษเพราะยังไม่เคยปรากฏการ
พระราชทานเลือ่ นพระโกศถึงสองคร้ังมาก่อนโดยพระโกศกุดั่นน้อย เปน็ พระโกศลาดบั ท่ี 6
ใชก้ บั พระเจา้ บรมวงศ์เธอ พระองคเ์ จา้ เจ้าจอม เจา้ นายทรงกรม ผูส้ าเร็จราชการ ผไู้ ด้รับ
ตรานพรัตนราชวราภรณ์ พระโกศกุดั่นใหญ่ เป็นพระโกศลาดับที่ 5 ใช้กับ สมเด็จ
พระสงั ฆราชฯ ส่วนพระโกศทองน้อย เป็นพระโกศลาดับท่ี 4 ใช้กับ สมเด็จเจ้าฟ้า พระวร
ราชเทวี สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้า สมเด็จพระนางเจ้า พระวรราชชายา
ซ้อมการเคล่ือนขบวนพระอิสริยยศเชิญพระโกศสมเด็จพระสงั ฆราชฯ
อย่างไรก็ตาม สมเด็จพระญาณสังวรฯ เป็นสมเด็จพระสังฆราชเป็นพระสามัญชน
องค์แรกท่ีได้รับพระราชทาน "พระโกศทองน้อย" พร้อมรับพระราชทานเลื่อนชั้นยศพระ
โกศถึง 2 คร้ัง
........................................................
แหล่งข้อมลู อ้างองิ
https://mgronline.com
https://th.wikipedia.org
https://www.thairath.co.th
http://www.watbowon.com
https://www.wikiwand.com
www.dhammajak.net
www.pra100mongkol.com
ขอขอบคณุ ขอ้ มลู และภาพจากเว็บไซตต์ า่ งๆ