The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ใบเนื้อหาความรู้ 1 (กู้คืน)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Charuwan09852, 2020-05-12 10:55:58

ใบเนื้อหาความรู้ 1 (กู้คืน)

ใบเนื้อหาความรู้ 1 (กู้คืน)

ใบเนื้อหาความรู้

การเชอ่ื มแก๊ส หนา้ 1

1. หลักการเช่อื มแกส๊

กระบวนการเชื่อมแก๊ส (Gas Welding) อยู่ในกลุ่มกระบวนการเชื่อมหลอม (Fusion Welding) โดย

ได้รับความร้อนมาจากการเผาไหม้ระหว่างแก๊สเชื้อเพลิงกับแก๊สออกซิเจน หลอมโลหะให้ติดกันโดยเติมลวด

เชอ่ื มหรือให้เน้ือของโลหะงานหลอมเหลวประสานกันเอง แกส๊ เช้อื เพลงิ มหี ลายชนดิ เชน่ อะเซทลิ ีน ไฮโดรเจน

โพรเพน มเี ทน เป็นตน้

รปู ท่ี 1.1 แสดงหลกั การเช่ือมแก๊ส

แก๊สเช้อื เพลิงทใ่ี ช้มีอยู่หลายชนดิ ดงั นั้น ในการเลือกใชต้ ้องคำนึงถงึ ปริมาณความร้อนที่ได้ ราคาและ

ผลทีเ่ กดิ ขึ้นกับงาน สำหรับค่าความร้อนท่ีได้จากแก๊สเช้ือเพลิงแต่ละชนิดมีค่าที่แตกตา่ งกัน ดงั แสดงในตารางท่ี

1.1

ตารางท่ี 1.1 แสดงชนิดของแก๊สเชอ้ื เพลิงและค่าความร้อนสูงสดุ

ชนดิ ของแกส๊ เชื้อเพลิง อณุ หภูมสิ ูงสุดโดยประมาณ

ออกซิเจน + อะเซทลิ ีน 3,316°C หรือ 6,000°F

ออกซเิ จน + โปรเพน 2,500°C หรอื 4,600°F

ออกซเิ จน + ไฮโดรเจน 2,400°C หรอื 4,300°F

อากาศ + อะเซทลิ นี 2,500°C หรอื 4,600°F

อากาศ + โปรเพน 1,750°C หรือ 3,200°F

(ทีม่ า: สมบูรณ์ เต็งหงสเ์ จรญิ . 2544:18)

จากตารางที่ 1.1 แก๊สอะเซทิลีนเป็นแก๊สเชื้อเพลิงที่ให้ค่าความร้อนสูงสุดเมื่อเกิดการสันดาปกับแกส๊
ออกซิเจน จึงเหมาะสำหรับการเชื่อมแก๊สเพราะอุณหภูมิของเปลวไฟที่จะใช้ในการเชื่อมแก๊สต้องสูงกว่าจุด
หลอมเหลวของโลหะงาน จึงจะสามารถทำการเชื่อมได้ง่ายและเรยี กกระบวนการเชื่อมที่ใช้แก๊สอะเซทิลีนเปน็
เช้อื เพลงิ ว่า การเช่อื มออกซีอะเซทิลนี (Oxy acetylene Welding)

ใบเน้อื หาความรู้

การเชอ่ื มแกส๊ หน้า 2

2. สมบตั ขิ องแก๊สออกซิเจนและแก๊สอะเซทิลนี

2.1 แกส๊ ออกซเิ จน (Oxygen)

ออกซิเจนเป็นแก๊สที่มีความสำคัญต่อสิ่งมีชีวิต แก๊สออกซิเจนไม่ติดไฟ แต่ช่วยให้ไฟติด ในส่วนของ

กระบวนการเชื่อมเมื่อเกิดการเผาไหม้กับแก๊สเช้ือเพลิงแล้วจะมีอุณหภูมิสูง สามารถทำให้โลหะหลอมเหลวได้

โดยในบรรยากาศรอบ ๆ ตัวเรานั้นมีแก๊สออกซิเจนอยู่ประมาณ 23 เปอร์เซ็นต์ แก๊สไนโตรเจนประมาณ 75

เปอรเ์ ซ็นต์ และแกส๊ อ่นื ๆ อกี ประมาณ 2 เปอร์เซ็นต์

สมบตั ขิ องแก๊สออกซิเจน มีดังน้ี

1. ในสถานะทีเ่ ป็นแก๊ส ไม่มีสี ไมม่ กี ล่นิ ไม่มรี ส แต่ถ้าอยู่ในสถานะที่เปน็ ของเหลวจะมีสนี ้ำ

ทะเลอ่อน

2. ในสภาพปกติ ออกซเิ จน 12.07 ลกู บาศกฟ์ ุต หนัก 1 ปอนด์

3. เปน็ แก๊สทช่ี ว่ ยให้ไฟตดิ แต่ตัวเองไม่ติดไฟ

4. ออกซิเจนมี 3 สถานะ คือ ของแข็ง ของเหลว และแก๊ส

5. ออกซิเจนมีสภาวะเปน็ ของเหลวท่อี ณุ หภูมิ -183°C และจะกลายเป็นของแข็งที่อุณหภูมิ -

218°C

2.2 แกส๊ อะเซทิลีน(Acetylene)

แก๊สอะเซทิลนี เป็นสารประกอบประเภทไฮโดรคาร์บอน สัญลกั ษณท์ างเคมี คือ“ C2H2” ผลิตได้โดย

การนำแคลเซียมคาร์ไบด์ผสมกับน้ำ โดยคาร์บอนที่อยู่ในแคลเซียมคาร์ไบด์กับไฮโดรเจนที่อยูใ่ นน้ำจะเกิดการ

รวมตวั กันเป็นแก๊สอะเซทลิ นี ข้ึนมา ซึ่งเปน็ ไปตามสมการเคมี ดังน้ี

CaC2(S) + 2H2O(l) C2H2(g) + Ca(OH)2(aq)

แคลเซยี มคาร์ไบด์ น้ำ อะเซทลิ นี แคลเซ่ยี มไฮดรอกไซด์

แคลเซียมคาร์ไบด์ ผลิตได้จากการเผาแคลเซียมออกไซดแ์ ละถา่ นโค้กให้หลอมเหลว ในเตาไฟฟ้า โดย

ทไ่ี ม่ให้อากาศเขา้ ไปรวมตวั ในขณะหลอมเหลวและเมือ่ ปล่อยใหแ้ ขง็ ตัวมลี ักษณะเปน็ ก้อนแขง็ คล้ายหนิ สมการ

เคมีของแคลเซียมคารไ์ บด์ คือ

CaO(s) + 3C(s) CaC2(s) + CO(g)

แคลเซียมออกไซด์ ถา่ นโค้ก แคลเซยี มคารไ์ บด์ คารบ์ อนมอนอกไซด์

สมบตั ิของแก๊สอะเซทิลีน

1. เปน็ แกส๊ เชื้อเพลงิ ท่ีใหค้ วามร้อนสงู

2. ไม่มสี ี

3. มกี ล่นิ ฉุน

4. ละลายในของเหลวได้

5. เปน็ แก๊สคลุมไม่ให้บรรยากาศภายนอกเขา้ ทำปฏกิ ิริยากับแนวเชอื่ ม

6. เปน็ แก๊สทน่ี ้ำหนักเบากว่าอากาศมาก

ใบเนือ้ หาความรู้ หน้า 3
การเช่ือมแก๊ส

3. เครอื่ งมอื และอปุ กรณ์ ในการเชื่อมแก๊ส
ในการเช่อื มแกส๊ จะตอ้ งมีเครื่องมือและอปุ กรณ์ทจี่ ำเปน็ ดังนี้

2.1. ถังอะเซทิลนี
ทำจากแผ่นเหล็กมีลักษณะปกติจะใช้เก็บความดันอะเซทิลีนได้เพียง 250 Psi เพราะแก๊ส

อเซทลิ ีนเปน็ แกส๊ เพลิงถ้าเกบ็ ไว้ที่ความดนั สงู โมเลกลุ ของแก๊สจะเกิดการอดั แนน่ ทำให้เกดิ ความรอ้ นหรือรั่วซึม
ได้ง่าย เสี่ยงต่อการลุกติดไฟและระเบดิ ได้ โดยปกติในถังอะเซทิลีนจะไดว้ ัสดุรูพรุนและบรรจุอซิโตไวป้ ระมาณ
40% ซึ่งอซิโตนจะช่วยดดู ซมึ แก๊สอะเซทิลีนไม่ใหค้ วามดันสงู เกินไป ถังแก๊สอะเซทิลนี ขนาดมาตรฐานมีความจุ
40 ลิตร อัดแก๊สอะเซทิลีนได้จำนวน 6000 ลิตร โดยมีอชิโตนช่วยดูดซึมแก๊สไม่ให้ความดันสงู เกินไป และที่ถัง
อะเซทิลีนจะมี Safety-Plug ที่หัวถังและก้นถังเพื่อป้องกันการเกิดระเบิดจากความร้อนและความดันที่สูงเกนิ
ในระหว่างการขนย้ายถังอะเซทลิ นี จะต้องมฝี าครอบวาล์วหัวถังเพ่ือป้องกันการกระแทกในระหว่างการขนย้าย
อีกด้วย เกลียวท่วี าล์วหวั ถงั จะใช้เป็นเกลียวซ้ายและถังอะเซทิลีนมกั จะใช้เปน็ สัญลักษณ์สีแดงหรือส้ม

รูปที่ 1.2 แสดงลักษณะของถังอะเซทลิ ีน

ใบเนอ้ื หาความรู้

การเช่อื มแก๊ส หนา้ 4

2.2. ถงั ออกซเิ จน
ทำด้วยแผ่นเหล็กหนาประมาณ 6.4 mm ตีอัดขึ้นรูปไม่มีรอยเชื่อมต่อ แข็งแรงทนต่อความ

ดันสงู เน่อื งจากใช้อดั แกส๊ ออกซเิ จนไว้ท่ีความดนั 2200-2800 Psi หรือประมาณ 150-170 bar วาล์วหัวถังทำ
ด้วยทองเหลืองตีอัดขึ้นรูป เกลียวข้อต่อที่วาล์วหัวถังจะใช้เป็นเกลียวขวา ก่อนนำมาอัดแก๊สออกซิเจนจะต้อง
นำไปทดสอบความดันก่อน

รปู ท่ี 1.3 แสดงลักษณะถังออกซเิ จน

2.3. วาล์วปรับความดนั (Pressure Regulators)
วาล์วปรับความดันมี หน้าที่ คือปรับความดันแก๊สจากถังเก็บเพื่อให้พอเหมาะกับความดันท่ี

ตอ้ งการใช้งานและชว่ ยควบคุมความดนั ท่หี ัวเชื่อมใหค้ งที่ ปกติ 1 ชดุ จะมีเกจ 2 ตวั คอื เกจขวาจะวัดความดัน
ของแก๊สและเกจซ้ายจะวัดความดันขณะใช้งาน วาล์วปรับความดันของแก๊สอเซติลีนกับของแก๊สออกซิเจนจะ
แตกต่างกัน กล่าวคือ เกลียวข้อต่อของวาล์วปรับความดันอเซติลีนจะเป็นเกลียวซ้าย ซึ่งความดันที่ใช้อยู่ที่ 0-
250 Psi สว่ นของออกซเิ จนจะเปน็ แบบเกลยี วขวา ช่วงความดนั จะอยรู่ ะหว่าง 0-3000 Psi

รูปท่ี 1.4 แสดงลักษณะของวาล์วปรบั ความดนั

ใบเน้อื หาความรู้

การเชอื่ มแก๊ส หน้า 5

2.4 หัวเชื่อม ออกซี่-อะซทิ ลี นี (Oxy-acetylene welding torches)
หัวเชื่อมชนิดนี้มีส่วน ประกอบสำคัญคือ ด้านจับ วาล์วปิด-เปิด ห้องผสมแก๊ส และหัวทิพ

การใช้งานหลังจากต่อหัวเชื่อมเข้ากับสายเชื่อมแล้ว จะปรับวาล์วปิด-เปิด เพื่อควบคุมแก๊สออกซิเจนและ
อะเซทิลีนจากท่อเช่ือมมายงั ห้องผสมแก๊สออกซิเจนกับอะเซทิลีน แก๊สทผี่ สมกนั แลว้ จะไหลไปออกท่ีหัวทิป ซึ่ง
ทำจากทองแดง เพราะทองแดงทนความรอ้ นได้ดี

รปู ที่ 1.5 แสดงลกั ษณะหวั เชื่อม ออกซ่ี-อะเซทลิ ีน

2.5. เหล็กทำความสะอาดรหู วั เช่อื มแก๊ส (Tip cleaners)
เป็นลวดเส้นเล็ก มีหลายขนาด เพื่อให้เลือกใช้ตามขนาดของหัวทิปที่ต่างกัน เราใช้เหล็กทำ

ความสะอาดนีส้ อดเข้าไปในรูหวั เช่ือมแก๊สเพื่อทำความสะอาดมนั เม่อื หวั ทิปมสี ะเกด็ เหลก็ หรือเศษเขม่าต่าง ๆ
ไปติดอยู่

รปู ที่ 1.6 แสดงลักษณะเหลก็ ทำความสะอาดรหู วั เชอื่ มแกส๊

2.6. ทอ่ เชอ่ื ม (Hose)
มี 2 ชนดิ คือ สายอะเซทลิ ีนและท่อออกซเิ จน

ท่ออะเซทลิ ีน จะรับแก๊สอะเซทลิ ีนจากถังอะเซทลิ ีนไปสู่หวั เชื่อม ท่อนีจ้ ะมีสแี ดงท่ีปลายท่อจะมีหัวนัท
เป็นแบบเกลียวซ้าย

ท่อออกซิเจน จะรับแก๊สออกซิเจนจากถงั ออกซิเจนไปสู่หวั เช่ือม ท่อน้ำจะมีสนี ้ำเงิน สีดำหรือสีเขียวที่
ปลายทอ่ จะมีหัวนัทเปน็ แบบเกลยี วขวา

ใบเนอ้ื หาความรู้

การเชอ่ื มแกส๊ หน้า 6

รปู ท่ี 1.7 แสดงลักษณะท่อเช่ือม

2.7. อุปกรณจ์ ดุ เปลวไฟ (Spark lighter)
เพื่อความสะดวกและความปลอดภยั ในการจดุ ไฟที่หัวเชื่อมแก๊สด้วยมือขา้ งท่ีเหลือ ขณะท่ีมือ

อกี ข้างหน่งึ เราถือหัวเช่ือมแก๊สท่พี ร้อมจะปฏบิ ตั ิงาน

รูปท่ี 1.8 แสดงลกั ษะของ Spark lighter
2.8 แว่นตาเชอ่ื มแกส๊ (Goggles) กรอบ (Frame)

ของแว่นตาเชื่อมแก๊สทำจากพลาสติก มี 2 เลนส์ เพ่ือป้องกันประกายไฟ ควรใส่แว่นตาเช่ือม
แก๊สขณะทำการเชื่อม เพราะสะเก็ดไฟที่ร้อนและประกายไฟที่สว่างมากอาจทำให้ตาบอดได้ เลนส์ที่ใช้จะเป็น
เลนส์กรองแสงฉาบดว้ ยสารสีเขยี วมีความเขม้ ข้น ต้งั แตเ่ บอร์ 1-14 แล้วแต่การใช้งาน

รูปที่ 1.9 แสดงลกั ษณะของแวน่ ตาเช่อื มแก๊ส

ใบเนือ้ หาความรู้

การเช่ือมแก๊ส หน้า 7

4. ชนิดของเปลวไฟเช่ือมแก๊ส

เปลวไฟเชื่อมแก๊สแต่ละชนิด จะให้ความร้อนที่แตกต่างกันออกไป เพราะมีปริมาณของแก๊สที่เข้ามา

รวมตัวกันในอัตราส่วนผสมที่แตกต่างกัน สำหรับเปลวไฟในการเชื่อมแก๊สออกซีอะเซทิลีนเป็นเปลวที่ให้

อุณหภูมิสูงถึง 3,315◦C (6,000◦F) ซึ่งความร้อนขนาดนี้หลอมโลหะในงานอุตสาหกรรมได้โดยงา่ ย จึงนิยมใช้

ในงานอุตสาหกรรมโดยทวั่ ไป เปลวไฟท่ีใช้แบ่งออกเปน็ 3 ชนิด ดงั นี้

4.1 เปลวคารบ์ ไู รซิง(Carburizing Flame)

เปน็ เปลวทเ่ี กิดขึ้นจากการจุดแก๊สอะเซทลิ นี และในขณะท่ีเปดิ แกส๊ ออกซิเจนเขา้ ไปผสมจะได้เปลวคาร์

บูไรซิง ซึ่งเป็นเปลวไฟที่มีแก๊สอะเซทิลีนมากกว่าแก๊สออกซิเจน เปลวไฟจะมีลักษณะเป็นกรวยไฟ 3 ชั้น โดย

กรวยไฟชั้นนอกสุดมีลักษณะเป็นเปลวยาวสสี ้มอ่อน เป็นส่วนที่เกิดปฏิกิริยาเผาไหม้สมบูรณล์ ้อมรอบกรวยไฟ

ชั้นที่สอง ซึ่งเป็นส่วนของแก๊สอะเซทิลีนที่เหลือจากการเผาไหม้ จะเป็นตัวกำหนดขนาดของเปลวคาร์บูไรซิง

เปลวไฟชนิดนี้การเผาไหม้จะมีแก๊สอะเซทิลีนเหลืออยู่ จึงไม่ควรเชื่อมในห้องหรือบริเวณที่อับอากาศ เพราะ

อาจเกิดอนั ตรายได้

เปลวคาร์บูไรซิงมีอุณหภูมิประมาณ 3,150◦C (5,700◦ F) ไม่เหมาะแก่การเชื่อมเหล็กกล้า เพราะจะ

เป็นการเติมคารบ์ อนบริเวณผิวโลหะ ทำให้แนวเช่ือมเปราะและในขณะเชื่อมบ่อหลอมเหลวของโลหะจะเดอื ด

และขุ่นมวั สว่ นเปลวคารบ์ ูไรซิงออ่ นๆ จะใชใ้ นการเชือ่ มอะลูมิเนียมและการบดั กรเี ปลวคาร์บูไรซิง

รปู ท่ี 1.10 แสดงลกั ษณะของเปลวคาร์บูไรซิง(Carburizing Flame)

4.2 เปลวนิวทรลั (Neutral Flame)
เปลวนิวทรัลเหมาะแก่การเชื่อมโลหะเกือบทุกชนิดประกอบด้วยกรวยไฟ 2 ชั้น กรวยไฟชั้นในเป็น
กรวยมนสขี าวนวล ให้อณุ หภมู ปิ ระมาณ 3,315◦C (6,000◦F) เปน็ เปลวที่มกี ารเติมธาตตุ ่าง ๆ ให้แก่แนวเช่ือม
บ่อหลอมเหลวของโลหะจะมีลักษณะนิ่มและใส การสันดาประหว่างแก๊สออกซิเจนกับแก๊สอะเซทิลีนส ำหรับ
เปลวนิวทรลั แบง่ ออกเปน็ 2 ขนั้ ตอน คือ

ใบเนือ้ หาความรู้

การเชือ่ มแกส๊ หน้า 8

ขั้นที่ 1 เป็นการสันดาปของเปลวชั้นใน ที่ได้รับแก๊สออกซิเจนกับแก๊สอะเซทลิ ีนออกจากปลายหัวทพิ

ในอัตราส่วน 1 : 1 ดังสมการเคมี

2 C2H2 + 2 O2 = 4 CO + 2 H2

ซึง่ ประกอบดว้ ยแกส๊ อะเซทิลีน 2 ส่วน กับออกซเิ จน 2 ส่วน

ขั้นที่ 2 เป็นการสนั ดาปของเปลวชน้ั นอกท่ีห่อหุ้มเปลวช้ันใน โดยเปลวชัน้ นอกเกิดข้ึนจากการสันดาป
ของส่วนที่เหลือจากการสันดาปของเปลวชั้นใน คือ คาร์บอนมอนอกไซด์กับไฮโดรเจนจะสนั ดาปกับออกซิเจน
ในบรรยากาศภายนอก ดงั สมการเคมี

4 CO + 2 O2 = 4 CO2
คารบ์ อนมอนอกไซด์ ออกซเิ จน คาร์บอนไดออกไซด์

2 H2 + O2 = 2 H2O
ไฮโดรเจน ออกซิเจน ไอน้ำ

เปลวนิวทรัลใชแ้ ก๊สออกซิเจนกบั แก๊สอะเซทิลนี ในอตั ราสว่ น 1:1 เม่อื มีการเผาไหม้ท่ีสมบูรณ์แล้วจะมี
ส่วนทเ่ี หลือคือ คารบ์ อนไดออกไซด(์ CO2) กับน้า(H2O) ดังสมการเคมี

2 C2H2 + 5 O2 = 4 CO2 + 2 H2O
อะเซทลิ ีน ออกซเิ จน คารบ์ อนไดออกไซด์ น้ำ

หมายเหตุ จากสมการเคมี ได้แก๊สอะเซทลิ นี จากหัวทพิ 2 ส่วนและแกส๊ ออกซเิ จน 2 สว่ น สำหรับ
แกส๊ ออกซเิ จนอีก 3 ส่วน ไดจ้ ากบรรยากาศภายนอก

รูปท่ี 1.11 แสดงลักษณะของเปลวนิวทรลั (Neutral Flame)

ใบเนอ้ื หาความรู้

การเชื่อมแกส๊ หน้า 9

4.3 เปลวออกซิไดซงิ (Oxidizing Flame)

เป็นเปลวที่มีแก๊สออกซิเจนมากกว่าแก๊สอะเซทิลีน มีกรวยไฟ 2 ชั้น โดยกรวยไฟชั้นในเป็นรูปกรวย

แหลม กรวยไฟชัน้ นอกสเี ขยี วอมน้ำ เงิน มีอุณหภูมปิ ระมาณ 3,480◦C (6,300◦F) ไมเ่ หมาะสำหรบั เช่ือมเหล็ก

เพราะจะเกิดการเติมออกซิเจนแก่เหล็กมีผลทำ ให้แนวเชื่อมเปราะ ความแข็งแรงต่ำบริเวณแนวเชื่อมมีความ

แขง็ เพม่ิ ขน้ึ และบ่อหลอมเหลวเปน็ ฟอง ใชเ้ ช่อื มเหลก็ หลอ่ และการบัดกรีแข็ง

รปู ท่ี 1.12 แสดงลักษณะของเปลวออกซิไดซงิ (Oxidizing Flame)

5. รอยตอ่ และตำแหนง่ ท่าเช่ือม
5.1 รอยต่อ คือ การประสานหรอื การทำการต่อช้นิ ส่วนสองชนิ้ หรือมากกวา่ น้ันซ่ึงอาจจะกระทำได้

โดยการยดึ ดว้ ยสกรหู รือการเชื่อม สามารถแบ่งได้ 5 ชนิด คอื
1. รอยตอ่ ชน เปน็ การนำขอบชนิ้ งานทั้งสองช้ินมาวางใหข้ อบชนกนั ซึ่งจะมีการเว้นชอ่ งวา่ งหรอื ไมน่ นั้
ขึ้นอยกู่ บั ความหนาของงาน

รูปท่ี 1.13 แสดงรอยต่อและแนวเชือ่ มต่อชน
2. รอยต่อเกย เป็นการนำชน้ิ งานสองชน้ิ งานซ้อนเกยกนั ซงึ่ มีขอ้ ดีคือไมต่ ้องเสียเวลในการเตรียมงาน

มากการตอ่ เกยท่ดี นี ้ัน ควรให้ชนิ้ งานท้ังสองชิ้นงานซ้อนกนั แนบสนิทตลอดความยาว

รปู ที่ 1.14 แสดงรอยต่อและแนวเช่ือมตอ่ เกย

ใบเนือ้ หาความรู้

การเชื่อมแกส๊ หนา้ 10

3. รอยต่อขอบ โดยทัว่ ไปออกแบบสำหรับงานเชื่อมโลหะทบี่ าง ๆ และไม่นิยมเติมลวดเชื่อม การต่อ

งานลกั ษณะนีส้ ามารถกระทำได้ง่ายรวดเรว็ และประหยัดคา่ ใชจ้ ่ายได้มาก

รูปท่ี 1.15 แสดงรอยต่อและแนวเชื่อมตอ่ ขอบ

4. รอยต่อมุม การตอ่ มุมน้ีมลี กั ษณะการต่อคล้าย ๆ กับการเช่อื มรอยต่อตัวทีแตแ่ ตกต่างกนั ตรง
รอยต่อมุมน้ันวางตั้งฉากกันบรเิ วณของขอบช้ินงานท้ังสอง การเช่อื มตอ่ มมุ นส้ี ามารถเชื่อมไดท้ ั้ง
รอยต่อมุมภายในและรอยต่อมุมภายนอก

รูปท่ี 1.17 แสดงรอยต่อและแนวเชื่อมตอ่ มุม

5. รอยตอ่ ตวั ที ช้ินงานตง้ั ฉากกนั บนความกว้างของงานอีกแผน่ หนงึ่ การตอ่ ลกั ษณะน้ีจะต้องมกี าร
เติมลวดเชื่อมเพ่ือให้ชิ้นงานเกิดความแข็งแรงจึงนิยมใช้กันมากในการเชื่อมประกอบ
โครงสรา้ งของการสร้างอาคาร

รูปที่ 1.18 แสดงรอยต่อและแนวเชอื่ มตอ่ ตวั ที

5.2 ตำแหนง่ ทา่ เช่ือม
ในการเชือ่ มไมว่ ่าจะเปน็ การเช่อื มแก๊ส หรือเชื่อมไฟฟ้าทา่ เชื่อมท่ีสามารถทำการเชื่อมได้ง่าย และมี
ประสทิ ธภิ าพมากทสี่ ดุ นน่ั คือ การเชอ่ื มท่าราบ แต่ในสภาวะจรงิ การปฏิบตั งิ านไม่สามารถเลอื กทา่ เช่ือมที่ถนดั
ได้ ซง่ึ ขน้ึ อยู่กับสภาพของงานทที่ ำอยู่ สำหรับท่าเชื่อมหรือตำแหน่งการเช่อื มท้ังเช่ือมแก๊สและเชื่อมไฟฟ้า
น้นั แบง่ ลกั ษณะทา่ เชื่อมได้ 4 ทา่ เชอ่ื ม ตามมาตรฐานอเมริกา (AWS)
1. การเชือ่ มท่าราบ เปน็ ทา่ ทเี่ ช่อื มง่ายเพราะสามารถควบคุมบ่อหลอมละลายได้งา่ ย

รปู ท่ี 1.19 แสดงการเชื่อมทา่ ราบ

ใบเนอ้ื หาความรู้

การเชอ่ื มแกส๊ หนา้ 11

2. การเช่อื มท่าขนานนอน เป็นทา่ ท่ีเหมาะสำหรบั ผู้ฝึกเชื่อมใหม่ ๆ ตอ่ จากการเชอ่ื มทา่ ราบ

รปู ที่ 1.20 แสดงการเชื่อมท่าขนานนอน

3. การเชอื่ มท่าต้ัง การเชื่อมท่านี้รอยเช่อื มจะอยู่ในแนวด่ิงซง่ึ มีอย่ดู ้วยกนั 2 วธิ ี คอื การเชื่อมจาก
ข้างลา่ งขนึ้ ไปข้างบน เรียกว่า การเช่ือมทา่ ตัง้ (เชื่อมขึน้ ) การเชอ่ื มจากขา้ งบนลงมาขา้ งล่าง
เรยี กว่า การเชื่อมทา่ ต้งั (เชื่อมลง)

(ก) (ข)

รูปที่ 1.21 แสดงการเชื่อมท่าตง้ั (ก) เช่อื มข้นึ (ข) เชอ่ื มลง
4. การเชื่อมท่าเหนือศีรษะ เปน็ การเช่อื มท่ีแนวเชอื่ มอย่ดู ้านลา่ งของรอยต่อและชุดหัวเชอ่ื มจะอยู่ใต้

ชิน้ งานทจี่ ะเชือ่ มเปน็ ทา่ เชื่อมที่ยากท่สี ดุ ท่ีจะทำให้เกิดการซมึ ลึกทด่ี ีได้

รปู ท่ี 1.22 แสดงการเช่ือมท่าเหนือศีรษะ

6. ทศิ ทางการเชือ่ ม (Direction of welding)
มีความจำเป็นที่ผู้ปฏิบัติงานเชื่อมต้องศึกษาเรียนรู้เพื่อให้การเชื่อมชิ้นงานได้ประสิทธิภาพสูงสุดและ

ถูกตอ้ งตามมาตรฐาน ซ่ึงประกอบดว้ ยหลายสว่ นด้วยกนั ในงานอุตสาหกรรมจะมีโลหะหลายชนิด อีกท้ังความ
หนาก็แตกต่างกันออกไปตามลักษณะของงานนั้น ๆ ดังนั้นการเชื่อมโลหะที่มีความหนาไม่เท่ากัน จึงมีทิศ
ทางการเชอื่ มทีแ่ ตกตา่ งกนั 2 วธิ ี ดังน้ี

ใบเนอื้ หาความรู้

การเชื่อมแก๊ส หนา้ 12

6.1 ลวดเชือ่ มนำหนา้ เปลวไฟ (Forehand Welding)

เป็นวิธีการที่เหมาะสำหรับเชื่อมชิ้นงานบาง ๆ ที่มีความหนาไม่เกิน 3 มม. ซึ่งเชื่อมได้อย่าง

รวดเร็วและควบคุมแนวเชื่อมไดง้ ่าย ผู้ท่ีถือหัวเช่อื มด้วยมือขวาจะเร่ิมเชื่อมจากทางขวาไปทางซ้ายและจับลวด

เชื่อมด้วยมือซ้าย (เคลื่อนที่ไปทางลวดเชื่อม) หัวเชื่อมเอียงทำมุมกับชิ้นงานประมาณ 30 - 45 องศา ถ้าผู้

ปฏบิ ตั ิตอ้ งการลดความร้อนให้เอียงมุมของหวั เชอ่ื มให้มากกวา่ เดมิ

ขณะทำการเชือ่ มจะมกี ารสา่ ยหัวเชือ่ มเพื่อให้มกี ารละลายลึกของแนวเช่ือมท่ีสมบรู ณ์ ชิ้นงาน

ทมี่ คี วามหนาตอ้ งสา่ ยหัวเชื่อมให้กว้าง แต่ถ้าเป็นชน้ิ งานบางตอ้ งสา่ ยหัวเชือ่ มใหแ้ คบลง

รปู ที่ 1.23 แสดงการเช่ือมแบบลวดเชื่อมนาหน้าเปลวไฟ
6.2 เปลวไฟนาหนา้ ลวดเช่อื ม (Backhand Welding)

เป็นวิธีการที่เหมาะสาหรับเชื่อมชิ้นงานที่มีความหนามากกว่า 3 มม. การเชื่อมวิธีนี้จะทาให้
ชิ้นงานได้รับความร้อนจากเปลวไฟเต็มที่ โดยไม่มีลวดเชื่อมบังจะทำให้บ่อหลอมละลายกว้างและแนวเชื่อม
ละลายลกึ ถึงด้านลา่ งไดส้ มบรู ณ์ ผู้ถือหัวเชื่อมด้วยมอื ขวาจะเริ่มต้นเชื่อมจากทางด้านซ้ายและจับลวดเชื่อมด้วย
มือซา้ ย (เคล่ือนท่ไี ปทางหัวเชื่อม) หวั เช่อื มเอียงทามุมกับช้นิ งานประมาณ 30 - 45 องศา

ขณะทำการเชอื่ มต้องส่ายหวั เช่ือม และตอ้ งส่ายลวดเช่ือมเติมลงในรอยต่อดว้ ย โดยการส่ายลวดเชื่อม
กลบั ไปกลับมาระหว่างขอบแนวเชือ่ มทีห่ ลอมละลาย

รปู ท่ี 1.24 แสดงการเริ่มเชื่อมแบบเปลวไฟนาหนา้ ลวดเชือ่ ม

ใบเนื้อหาความรู้

การเชอื่ มแกส๊ หนา้ 13

7. การส่ายหัวทิพ

โดยตรงกับขนาดของแนวเช่อื ม เชน่ แนวเล็ก แนวกวา้ ง โดยจะต้องใช้เทคนิคการส่ายหวั ทพิ แบบต่างๆ

7.1 การสา่ ยแบบคร่งึ วงกลม

7.2 การสา่ ยแบบวงกลม

7.3 การส่ายแบบซิกแซ็ก

รปู ที่ 1.25 แสดงการส่ายหวั ทิพ


Click to View FlipBook Version