The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

โครงงานขวดพลาสติกดักจับยุง

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

โครงงานขวดพลาสติกดักจับยุง

โครงงานขวดพลาสติกดักจับยุง

ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อ าเภอเจาะไอร้อง โครงงาน เร ื ่ อง ขวดพลาสตก ิ ด ั กจ ั บย ุ ง ศ ู นยส ์ ่งเสร ิ มการเร ี ยนร ู ้ อา เภอเจาะไอร ้ อง สา น ั กงานส่งเสร ิ มการเร ี ยนร ู ้ จง ั หว ั ดนราธ ิ วาส


ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อ าเภอเจาะไอร้อง โครงงาน เร ื ่ อง ขวดพลาสตก ิ ด ั กจ ั บย ุ ง จัดท าโดย 1. นางสาวฮุสนา บูยา ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 2. นางสาวอีรดีนา อีแต ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 3. นางสาวแวรอปีอะห์ แวดือราแม ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น คร ู ทปี ่ ร ึ กษา นางสาวซาณียา ยะโก๊ะ ตำแหน่ง ครู ศ ู นยส ์ ่งเสร ิ มการเร ี ยนร ู ้ อา เภอเจาะไอร ้ อง สา น ั กงานส่งเสร ิ มการเร ี ยนร ู ้ จง ั หว ั ดนราธ ิ วาส


ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อ าเภอเจาะไอร้อง ชื่อโครงงาน ขวดพลาสติกดักจับยุง ชื่อผู้จัดทำโครงงาน 1. นางสาวฮูสนา บูยา ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 2. นางสาวอิรดีนา อีแต ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 3. นางสาวแวรอปีอะห์ แวดือราแม ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ครูที่ปรึกษา คุณครู ซาณียา ยะโก๊ะ ประเภทโครงงาน ประดิษฐ์ บทคัดย่อ โครงงานเล่มนี้เป็นโครงงานวิทยาศาสตร์ซึ่งทำให้ได้รู้ถึงเรื่อง การดักจับยุง ว่าอย่างไร ใช้อะไรทำ จาก การทำที่ดักยุงจากขวดพลาสติกและทำให้มีความรู้ เป็นประโยชน์ต่อทุกๆคนอีกด้วย ผลที่ได้จากการทดลอง ได้ทำที่ดักจับยุงเสร็จแล้ว นำไปตั้งภายในหอพัก ตั้งแต่ 1 สัปดาห์ ได้ผลสำเร็จ ดักจับยุงได้ดี กิตติกรรมประกาศ จากที่ได้จัดทำโครงงานเล่มนี้ ที่ได้สำเร็จลุล่วงไปได้ดีเพราะได้รับการสนับสนุนและช่วยเหลือจาก คุณครู ที่ ให้คำปรึกษามากมายเกี่ยวกับโครงงาน และขอขอบคุณ เพื่อนๆในสถาบันศึกษาปอเนาะดารุลกูรอาน ที่ให้การ สนับสนุนช่วยเหลือในเรื่องต่างๆ และ ช่วยเหลือให้การสอบถามต่างๆ คณะผู้จัดทำขอขอบคุณทุกๆคน ที่ช่วยเหลือในเรื่อง เล่มโครงงาน สถานที่ และ เป็นประโยชน์ต่อพวก ข้าพเจ้าอย่างมากๆอีกด้วย ก


ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อ าเภอเจาะไอร้อง สารบัญ เรื่อง หน้า บทที่ 1 บทนำ 1 บทที่ 2 เอกสารที่เกี่ยวข้อง 2 – 10 บทที่ 3 อุปกรณ์และวิธีการดำเนินงาน 11 – 12 บทที่ 4 อภิปรายผลการศึกษา 13 บทที่ 5 สรุปผลการศึกษา 14 ภาคผนวก


ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อ าเภอเจาะไอร้อง บทที่ 1 บทนำ ที่มาและความสำคัญ จากการที่ได้ศึกษาและค้นคว้าเรื่อง ยุง ซึ่งยุงทำให้แต่ละครัวเรือนรู้สึกรำคาญและแถมยังกลัวโรคที่มา จากยุงอีกมากมาย เช่น ไข้เลือดออก ไข้มาลาเรีย เท้าช้าง ชิคุนกุนย่า และไข้สมองอักเสบ เป็นต้น จึงได้จัดทำ โครงงานเรื่อง ขวดพลาสติกดักจับยุง ที่ได้จัดทำโครงงานเรื่อง ขวดพาสติกดักจับยุงซึ่งได้ศึกษามาว่า ยุงตัวเมียจะหาเหยื่อจากก๊าซ คาบอนได ออกไซด์ที่คนเราหายใจออกมา แก๊สที่ออกมาจากปอดเราคือ คาบอนไดออกไซด์ และยุงตัวเมียสามารถได้กลิ่น จากแก๊สนี้ทำให้ยุงตัวเมียเข้าไปอยู่ในขวดยีสต์ เมื่อผสมกับน้ำหวานจะคายก๊าซคาบอนไดออกไซด์ออกมาใน ปริมาณเทียบเท่ากับการหายใจออกตลอดเวลาเพื่อใช้ดักยุงจากหอพักของเรา ขวดพลาสติกดักจับยุงนี้ มีประโยชน์มากในสถาบันศึกษาปอเนาะดารุลกูรอาน หรือ หอพักของทุกๆคน โดยไม่ต้องฉีดหรือพ่นสารเคมีซึ่งมีผลกระทบต่อสุขภาพ และสังคมสิ่งแวดล้อมของเราทุกๆคน วัตถุประสงค์ 1. เพื่อกำจัดยุงในบ้านและหอพัก 2. เพื่อเป็นการลดใช้สารเคมีที่เป็นอันตรายภายในบ้านและสถาบันศึกษาปอเนาะดารุลกูรอาน ขอบเขตการศึกษา ศึกษาและจัดการทำงานภายในสถาบันศึกษาปอเนาะดารุลกูรอาน 79 หมู่ 8 หมู่บ้าน กูแบปูยู ต.มะรือโบออก อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส 96130 ระยะเวลาในการทำโครงงาน วันที่ 30 มิถุนายน 2566 ถึง 28 กรกฎาคม 2566 ผลที่คาดว่าจะได้รับ 1. ปริมาณของยุงภายในบ้านและสถาบันศึกษาปอเนาะดารุลกูรอานลดน้อยลง 2. ประหยัดค่าใช้จ่ายโดยไม่ต้องไปซื้อ ยาฉีดยุงให้สิ้นเปลือง ตัวแปร 3 ตัวแปร ตัวแปรต้น --- ขวดพาสติกกับดักยุง ตัวแปรตาม --- บ้านหรือหอพักที่มียุง ตัวแปรควบคุม --- ปริมาณการใส่ส่วนผสมของที่ดักยุง 1


ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อ าเภอเจาะไอร้อง บทที่ 2 เอกสารที่เกี่ยวข้อง ยุง (Mosquitoes) แมลงเป็นสัตว์ที่มีปริมาณมากที่สุดในโลก มีทั้งแมลงที่สวยงามมีประโยชน์ เช่น ผีเสื้อ แมลงปอ และแมลงที่เป็นอาหาร เช่น ตั๊กแตน จิ้งหรีด แมลงดานา แต่แมลงที่ทุกคนรู้จักกันดีและเป็นสัตว์ปีกที่พบ ได้ทุกหนทุกแห่ง คือยุง ในโลกมียุงกว่า 4,000 ชนิด จัดอยู่ในอันดับ Diptera วงศ์ Culicidac ยุงบางชนิดเป็นพาหะนำโรคมาสู่ คนและสัตว์ เช่น ยุงลายบ้าน (Aedes aegypti) ยุงลายสวน (Aedes. Albopictus) นำโรคไข้เลือดออก(Dengue haemorrhagic fever) ยุง Culex tritaeniorhynchus นำโรคไข้สมองอักเสบ (Japanese encephalitis) ยุงก้นปล่องนำโรคมาลาเรีย (Malaria) และยุงเสือนำโรคฟิลาเรีย (Filariasis) หรือโรคเท้าช้าง โรค ที่กล่าวมานี้เกิดในคน ส่วนในสัตว์นั้นยุงก็มีความสำคัญมากเช่นกัน เนื่องจากเป็นตัวนำโรคต่างๆ หลายชนิดในสัตว์ เช่น ยุงรำคาญ (Culex quinquefasciatus) นำโรคพยาธิหัวใจสุนัขและโรคมาลาเรียในนก ยุงบางชนิดชอบกัดวัว ทำให้น้ำหนักลดผลิตนมได้น้อยลง ยุงนอกจากเป็นอันตรายต่อคนและสัตว์เลือดอุ่นแล้วยังเป็นอันตรายต่อสัตว์ เลือดเย็นอีกด้วย ตารางที่ 1 โรคที่นำโดยยุงและแมลงปากกัดอื่นๆ ในประเทศไทย พาหะ โรค ยุงก้นปล่อง (Anopheles) มาเลเรีย โรคเท้าช้าง ยุงรำคาญ (Culex) ไข้สมองอักเสบ โรคเท้าช้าง ยุงลาย (Aedes) เดงกีไข้เลือดออก โรคเท้าช้าง ยุงเสือ (Mansonia) โรคเท้าช้าง ริ้นฝอยทราย (Phlebotomus,Lutzomyia) Leishmaniasis ริ้น (Ceratopogonidac) Mansonellosis 1. ชีววิทยาและนิเวศวิทยา 1.1 วงจรชีวิต ยุงมีการเจริญแบบสมบูรณ์(Complete metamorphosis หรือ holometabola) หมายถึง การ เจริญเติบโตทีมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างในแต่ละระยะแตกต่างกันมาก แบ่งเป็น 4 ระยะ คือระยะไข่(egg) ระยะ ลูกน้ำ(larva) ระยะตัวโม่ง(pupa) และระยะตัวเต็มวัย(adult) ระหว่างการเจริญเติบโตในแต่ละระยะต้องมีการลอก คราบ(molting) ซึ่งถูกควบคุมโดยฮอร์โมนที่สำคัญ 3 ชนิด คือ brain hormone, ecdysone และ juvenile hormone 2


ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อ าเภอเจาะไอร้อง ระยะไข่ ไข่ยุงแต่ละชนิดมีขนาดและลักษณะไม่เหมือนกัน จากลักษณะการวางไข่อาจบอกชนิดของกลุ่มยุงได้ ยุง ชอบวางไข่บนผิวน้ำหรือบริเวณชื้น เช่น บริเวณขอบภาชนะเหนือระดับน้ำ การวางไข่ของยุงแบ่งออกเป็น 4 ประเภท - วางไข่ใบเดี่ยวๆ บนผิวน้ำ เช่น ยุงก้นปล่อง - วางไข่เป็นแพ (raft) บนผิวน้ำ เช่น ยุงรำคาญ - วางไข่เดี่ยวๆ ตามขอบเหนือระดับน้ำ เช่น ยุงลาย - วางไข่ติดกับใบพืชน้ำเป็นกลุ่ม เช่น ยุงเสือหรือยุงฟิลาเรีย ระยะไข่ใช้เวลา 2-3 วัน จึงฟักตัวออกเป็นลูกน้ำ ในยุงบางชนิดไข่สามารถอยู่ในสภาพแห้งได้หลายเดือน จนกระทั่งเป็นปี เมื่อมีน้ำก็จะฟักออกเป็นลูกน้ำ แหล่งวางไข่ของยุงแต่ละชนิดแตกต่างกัน เช่น ยุงลายชอบวางไข่ ในภาชนะขังน้ำที่มนุษย์สร้างขึ้น ส่วนยุงรำคาญชอบวางไข่ในแหล่งน้ำสกปรกต่างๆ น้ำเสียจากท่อระบายน้ำ แต่ หากไม่พบสภาพน้ำที่ชอบยุงก็อาจวางไข่ในสภาพน้ำที่ผิดไป นักวิทยาศาสตร์หลายคนรายงานว่าปัจจัยที่ช่วยให้ยุง ตัวเมียรู้ว่าควรจะวางไข่ที่ใดก็คือ สารเคมีบางอย่างในน้ำ สารเคมีอาจเป็น diglycerides ซึ่งผลิตโดยลูกน้ำยุงที่ อาศัยอยู่ในแหล่งน้ำนั้น หรือเป็นกรดไขมัน(fatty acid) จากแบคทีเรีย หรือเป็นสารพวก phenolic compounds จากพืชน้ำ ระยะลูกน้ำ ลูกน้ำยุงแต่ละชนิดอาศัยอยู่ในน้ำต่างชนิดกัน เช่น ภาชนะขังน้ำต่างๆ ตามบ่อน้ำ หนอง ลำธาร โพรงไม้ หรือกาบใบไม้ที่อุ้มน้ำ เป็นต้น ลูกน้ำยุงส่วนใหญ่ลอยตัวขึ้นมาหายใจบนผิวน้ำ โดยมีท่อสำหรับหายใจ เรียกว่า siphon ยกเว้นยุงก้นปล่องไม่มีท่อหายใจ แต่จะวางตัวขนานกับผิวน้ำ โดยมีขนลักษณะคล้ายใบพัด(palmate hair) ช่วยให้ลอยตัวและหายใจทางรูหายใจ(spiracle) ซึ่งอยู่ด้านข้างอกและลำตัว ส่วนยุงเสือจะใช้ท่อหายใจซึ่งสั้น และปลายแหลมเจาะพืชน้ำและหายใจเอาออกซิเจนผ่านรากของพืชน้ำ อาหารของลูกน้ำยุง ได้แก่ สิ่งมีชีวิตเล็กๆ ในน้ำ เช่น แบคทีเรีย ยีสต์ สาหร่าย ลูกน้ำจะลอกคราบ 4 ครั้ง เมื่อลอกคราบครั้งสุดท้ายกลายเป็นตัวโม่ง การ เจริญเติบโตในระยะลูกน้ำใช้เวลาประมาณ 7-10 ขึ้นอยู่กับชนิดของลูกน้ำ อาหาร อุณหภูมิ และความหนาแน่น ของลูกน้ำด้วย ระยะตัวโม่ง ตัวโม่งรูปร่างผิดไปจากลูกน้ำ ส่วนหัวเชื่อมต่อกับส่วนอก รูปร่างลักษณะคล้ายเครื่องหมายจุลภาค(,) ระยะนี้ไม่กินอาหาร เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว มีท่อหายใจคู่หนึ่งที่ส่วนหัวเรียก trumpets ระยะนี้ใช้เวลาในการ เจริญเติบโตเพียง 1-3 วัน 3


ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อ าเภอเจาะไอร้อง ระยะตัวเต็มวัย ตัวยุงแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ส่วนหัว (head) มีลักษณะกลมเชื่อมติดกับส่วนอก ประกอบด้วยตา 1 คู่ ตาของยุงเป็นแบบตา ประกอบ (compound eyes) มีหนวด (antenna) 1 คู่ มีรยางค์ปาก (labial palpi) 1 คู่และมีอวัยวะเจาะดูด (proboscis) 1 อัน มีลักษณะเป็นแท่งเรียวยาวคล้ายเข็มสำหรับแทงดูดอาหาร หนวดของยุงแบ่งเป็น 15 ปล้อง สามารถใช้จำแนกเพศของยุงได้ แต่ละปล้องจะมีขนรอบๆ ในยุงตัวเมีย ขนนี้จะสั้นและไม่หนาแน่น (sparse) เรียกว่า pilose antenna ส่วนตัวผู้ ขนจะยาวและเป็นพุ่ม (bushy) เรียกว่า plumose antenna หนวดยุงเป็น อวัยวะที่ใช้ในการรับคลื่นเสียง ตัวผู้จะใช้รับเสียงการกระพือปีกของตัวเมีย ความชื้นของอากาศและรับกลิ่น Labial palpi แบ่งเป็น 5 ปล้อง อยู่ติดกับ proboscis ในยุงก้นปล่องตัวเมีย palpi จะตรงและยาวเท่ากับ proboscis ส่วนยุงตัวผู้ตรงปลาย palpi จะโป่งออกคล้ายกระบอง ในยุงตัวอื่นที่ไม่ใช่ยุงก้นปล่อง palpi ของตัว เมียจะสั้นประมาณ ¼ ของ proboscis ส่วนตัวผู้ palpi จะยาวแต่ตรงปลายไม่โป่งและมีขนมากที่สองปล้อง สุดท้ายซึ่งจะงอขึ้น ส่วนอก (thorax) มีปีก 1 คู่ ด้านบนของอก ปล้องกลาง (mesonotum) ปกคลุมด้วยขนหยาบๆ และเกล็ด ซึ่งมีสีและลวดลายต่างๆ กัน เราใช้ลวดลายนี้สำหรับแยกชนิดของยุงได้ ด้านข้างของอกมีเกล็ดและกลุ่ม ขนซึ่งใช้แยกชนิดของยุงได้เช่นกัน ด้านล่างของอกมีขา โดยขาแต่ละข้างจะประกอบด้วย coxa ซึ่งมีขนาดสั้นอยู่ที่ โคนสุด ต่อไปเป็น trochanter คล้ายๆ บานพับ femur, tibia และ tarsus ซึ่งมีอยู่ 5 ปล้อง ปล้องสุดท้ายมีหนาม งอๆ 1 คู่ เรียกว่า claws ขาก็มีเกล็ดสีต่างๆ ใช้แยกชนิดของยุงได้ ปีกมีลักษณะแคบและยาว มีลายเส้นปีก (Veins) ซึ่งมีชื่อเฉพาะของแต่ละเส้นปีกและจะมีเกล็ดสีต่างๆ กัน ตรงขอบปีกด้านหลังจะมีขนเรียงเป็นแถวเรียก เกล็ด (fringe) และขนบนปีกนี้ก็ใช้ในการแยกชนิดของยุงได้เช่นกัน นอกจากนี้ยังมี halteres 1 คู่ อยู่ที่อกปล้อง สุดท้ายมีลักษณะเป็นปุ่มเล็กๆ อยู่ต่อจากปีก เมื่อยุงบิน halteres จะสั่นอย่างเร็วใช้ประโยชน์ในการทรงตัวของยุง ส่วนท้อง (abdomen) มีลักษณะกลม ยาว ประกอบด้วย 10 ปล้อง แต่จะเห็นชัดเพียง 8 ปล้อง ปล้องที่ 9 -10 จะดัดแปลงเป็นอวัยวะสืบพันธุ์ในยุงตัวผู้จะใช้ส่วนนี้แยกชนิดของยุงได้ 1.2 ชีวิตประจำวัน (Daily life) อาหาร ยุงตัวเต็มวัยทั้ง 2 เพศ กินน้ำหวานจากเกสรดอกไม้ก็สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ แต่ส่วนใหญ่ยุงตัวเมียยัง ต้องการโปรตีนจากเลือดมนุษย์หรือสัตว์ เพื่อช่วยในการเจริญเติบโตของไข่และใช้สร้างพลังงาน ยุงตัวเมียเท่านั้นที่ กัดคนและสัตว์ ยุงแต่ละชนิดชอบกินเลือดต่างกัน พวกที่ชอบกินเลือดเรียกว่า zoophilic ส่วนพวกที่ชอบกินเลือด คนเรียกว่า anthropophilic เลือดจะเข้าไปช่วยในการเจริญเติบโตของไข่ การเจริญเติบโตของไข่แบบที่ต้องการ โปรตีนจากเลือดเรียกว่า anautogeny มียุงไม่กี่ชนิดที่ไข่สุกได้โดยใช้อาหารที่สะสมไว้โดยไม่ต้องกินเลือด เรียก autogeny เช่นยุง Aedes togoi,Culex molestus เวลาที่ยุงหากินก็ไม่เหมือนกัน เช่น ยุงลายชอบหากินในเวลา กลางวัน ส่วนยุงรำคาญชอบหากินในเวลากลางคืน ยุงแม่ไก่ชอบหากินตอนพลบค่ำและย่ำรุ่ง เป็นต้น 4


ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อ าเภอเจาะไอร้อง การบิน มีลักษณะเฉพาะสำหรับยุงแต่ละชนิด เช่น ยุงบ้านจะบินไปไม่ไกล บินได้ประมาณ 30 - 300 เมตร ยุงลายสวนบินได้ประมาณ 400 - 600 เมตร ยุงก้นปล่องบินได้ประมาณ 0.5 – 2.5 กิโลเมตร ส่วนยุงรำคาญ บินได้ตั้งแต่ 200 เมตรถึงหลายกิโลเมตร ยุงพาหะนำโรคไข้สมองอักเสบบินได้ไกลถึง 50 กิโลเมตร ยุงตัวเมีย สามารถบินได้ไกลกว่ายุงตัวผู้ การผสมพันธุ์ ยุงตัวผู้ลอกคราบโผล่ออกจากตัวโม่งก่อนยุงตัวเมีย และอยู่ใกล้ๆ แหล่งเพาะพันธุ์เมื่อตัวเมียออกมา 1- 2 วัน จะผสมพันธุ์กัน หลังจากผสมพันธุ์แล้วยุงตัวเมียจะออกหาแหล่งเลือด แต่ยุงบางชนิดต้องการเลือดก่อนการ ผสมพันธุ์ เช่น Anopheles culicfacies นอกจากนี้ยุงก้นปล่องมีพฤติกรรมการบินว่อนเป็นกลุ่มเพื่อจับคู่ผสมพันธุ์ เรียก swarming มักเกิดขึ้นตอนพระอาทิตย์กำลังตก โดยแสงที่อ่อนลงอย่างรวดเร็วมีผลในการกระตุ้นกิจกรรมนี้ ส่วนยุงลายจับคู่ผสมพันธุ์โดยไม่ต้อง swarm ตัวผู้จะตอบสนองต่อเสียงกระพือปีกของยุงตัวเมีย ยุงลายตัวผู้ สามารถค้นหาตัวเมียได้ภายในระยะทาง 25 เซนติเมตร อายุของยุง ยุงตัวผู้มักมีอายุสั้นกว่ายุงตัวเมีย โดยยุงตัวผู้มีอายุประมาณ 1 สัปดาห์ ยกเว้นในกรณีที่เลี้ยงดูด้วย อาหารสมบูรณ์และมีความชื้นเหมาะสมจะมีอายุอยู่ได้เป็เดือน ส่วนยุงตัวเมียมีอายุ 1 - 5 เดือน อายุของยุงขึ้นกับ ปัจจัยหลายอย่าง เช่น ในฤดูร้อน ยุงมีกิจกรรมมากทำให้อายุสั้นเฉลี่ยประมาณ 2 สัปดาห์ ในฤดูหนาวยุงมีกิจกรรม น้อยจึงมีอายุยืน ในบางพื้นที่ยุงสามารถจำศีลตลอดฤดูหนาว น้ำ "น้ำ" หนึ่งในส่วนประกอบที่สำคัญของร่างกายถึง 70% หากขาดน้ำติดต่อกันถึง 3 วัน อาจทำให้เราถึง เสียชีวิตได้ นั่นแสดงว่า น้ำมีความสำคัญกับการดำรงชีพของมนุษย์เป็นอย่างมาก ทั้งช่วยดับกระหายคลายร้อน หรือแม้กระทั่งช่วยรักษาโรค ต่อคำถามที่ว่า น้ำแบบไหนที่เราควรเลือกดื่ม ก็ควรเป็นน้ำบริสุทธิ์ปราศจากสิ่งเจือปน อีกทั้งต้องดื่มในปริมาณที่พอเหมาะ ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป ทั้งนี้ เพื่อรักษาสมดุลในร่างกายให้อยู่ในสภาพปกติ อากาศร้อนๆ อย่างนี้ หลายคนเป็นต้องถามหาน้ำเย็นๆ สำหรับดื่มดับกระหายคลายร้อนอยู่เป็นนิจ บางคนขอเป็น น้ำอัดลมหวานๆ เย็นๆ ปนซ่ามาเพิ่มความชื่นใจ เอ๊ะ! แล้วน้ำเปล่ากับน้ำอัดลมมีผลต่อร่างกายเหมือนหรือต่างกัน อย่างไรล่ะ และเราควรจะเลือกดื่มน้ำแบบไหนเพื่อให้ร่างกายสดชื่นและได้รับประโยชน์จากน้ำอย่างเต็มที่ดีนะ หากเอ่ยถึง "น้ำ" แทบทุกคนจะต้องนึกถึงน้ำที่อยู่ในสถานะของเหลว เพราะไม่ว่าจะเป็นน้ำดื่ม น้ำใช้ น้ำฝน หรือน้ำ ในแหล่งน้ำธรรมชาติทั่วไป ก็ล้วนแล้วแต่เป็นของเหลวทั้งสิ้น และเป็นของเหลวที่มีมากที่สุดบนโลกของเราที่มีมาก ถึง 70% ขณะเดียวกันก็ยังมีน้ำแข็งและไอน้ำให้เราพบเห็นเป็นปกติ รู้จักธรรมชาติของน้ำ องค์ประกอบทางเคมีของน้ำประกอบด้วยธาตุไฮโดรเจน (H) 2 อะตอม และออกซิเจน (O) 1 อะตอม รวมกันเป็นน้ำ (H2O) 1 โมเลกุล และน้ำสารประกอบเพียงชนิดเดียวที่พบเห็นในธรรมชาติได้ทั้ง 3 สถานะ ทั้ง 5


ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อ าเภอเจาะไอร้อง ของแข็ง ของเหลว และก๊าซ ซึ่งในแต่ละสถานะน้ำก็จะมีคุณสมบัติแตกต่างกันไป คุณสมบัติที่เด่นชัดของน้ำใน สถานะของเหลวคือสามารถเปลี่ยนรูปร่างได้ตามรูปร่างของภาชนะที่บรรจุ ส่วนคุณสมบัติที่น่ามหัศจรรย์กว่านั้น คือ "น้ำ" เป็นตัวทำละลายที่ยอดเยี่ยมมาก ไม่ว่าจะเป็นน้ำทะเล แหล่งน้ำ ธรรมชาติทั่วไป น้ำใต้ดิน หรือน้ำฝน ก็มีแร่ธาตุหรือสารอื่นๆ ปะปนอยู่ในปริมาณมากน้อยต่างกันไป เช่น โซเดียม คลอไรด์ และคาร์บอนไดออกไซด์ ดังนั้น น้ำบริสุทธิ์จริงๆ ที่ปราศจากสารเจือปนจึงหาได้ยากยิ่ง ด้วยความบังเอิญอย่างเหมาะเจาะเหลือเกินที่ในร่างกายของเราก็มีน้ำเป็นองค์ประกอบอยู่ราว 70% เช่นกัน และ เช่นนี้เองน้ำจึงถือเป็นสิ่งสำคัญต่อการดำรงชีวิตของคนเรา รวมไปถึงสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ทุกชนิดบนดาวเคราะห์สีน้ำเงิน ดวงนี้ ทำให้นักวิทยาศาสตร์ที่ค้นหาสัญญาณของสิ่งมีชีวิตในดาวดวงอื่นต้องพุ่งเป้าไปที่การค้นหาร่องรอยของน้ำ เป็นอันดับแรก น้ำตาล (Sugar) น้ำตาล (Sugar) คือ สารประกอบคาร์โบไฮเดรตประเภทโมโนแซ็กคาไรด์ (monosaccharide) และ ไดแซ็กคาไรด์ (disaccharide) ซึ่งมีรสหวาน โดยทั่วไปจะได้มากจากอ้อย มะพร้าว แต่โดยทั่วไปแล้วจะเรียกอาหาร ที่มีรสหวานว่าน้ำตาลแทบทั้งสิ้น เช่น ทำมาจากตาลจะเรียกว่าตาลโตนด ทำมาจากมะพร้าวจะเรียกว่าน้ำตาล มะพร้าว ทำมาจากงวงจากจะเรียกว่าน้ำตาลจาก ทำมาจากงบจะเรียกว่าน้ำตาลงบ ทำมาจากอ้อยแต่ยังไม่ได้ทำ เป็นน้ำตาลทรายจะเรียกว่าน้ำตาลทรายดิบ ถ้านำมาทำเป็นเม็ดจะเรียกว่าน้ำตาลทราย หรือถ้านำมาทำเป็นก้อน แข็งคล้ายกรวดจะเรียกว่าน้ำตาลกรวด ฯลฯ[2]เมื่อพูดถึงน้ำตาล ใคร ๆ ก็ต้องคิดว่ามันมีรสหวาน แต่ความจริงแล้ว ไม่ใช่ว่าน้ำตาลทุกชนิดที่จะมีรสหวาน เช่น แล็กโทส (lactose) ซึ่งจะมีอยู่ในนมคนหรือนมวัว เมื่อเราดื่มแล้วจะไม่ รู้สึกหวาน แม้จะกินแล็กโทสเพียงอย่างเดียว ความหวานก็ยังมีอยู่อย่างจำกัด[1]นอกจากนี้แป้งซึ่งเป็นอาหารที่ สำคัญยังประกอบไปด้วยอนุภาคของกลูโคส 6,500 หน่วย ถ้าไม่มีการสลายตัวจะไม่มีรสหวาน แต่เป็นแหล่ง สำคัญของน้ำตาลที่ร่างกายได้รับในแต่ละวัน เวลาที่รับประทานขนมปัง แป้งจะคลุกเคล้ากับเอนไซม์ในน้ำลาย จน เกิดการสลายตัวทำให้มีรสหวาน คือ มอลโทส (maltose) ขึ้น และในวันหนึ่ง ๆ ร่างกายของคนเราจะต้องการ น้ำตาลที่ได้จากอาหารประมาณ 100-400 กรัม (ซึ่งส่วนใหญ่จะมาจากแป้ง) น้ำตาลที่เข้ามาในร่างกายไม่ใช่ว่าจะ ได้รับการดูดซึมแล้วจะนำไปใช้ได้โดยตรง เพราะนอกจากกลูโคสแล้ว ไม่ว่าจะเป็นน้ำตาลชนิดใดก็จะต้องถูก ออกซิไดซ์ให้กลายเป็นกลูโคสก่อน แล้วจึงจะเปลี่ยนเป็นพลังงานเพื่อให้ร่างกายนำไปใช้ได้[1] น้ำตาลจะมีอยู่ด้วย 3 ชนิดใหญ่ ๆ คือ น้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว หรือ โมโนแซ็กคาไรด์ (monosaccharide) เช่น กลูโคส (glucose), ฟรักโทส (fructose), กาแล็กโทส (galactose)[1] น้ำตาลโมเลกุลคู่ หรือ ไดแซ็กคาไรด์ (disaccharide) เช่น ซูโครส (sucrose), แล็กโทส (lactose), มอลโทส (maltose)[1] น้ำตาลโมเลกุลใหญ่ หรือ โพลีแซ็กคาไรด์ (polysaccharide) เช่น แป้ง (starch), ไกลโคเจน (glycogen), เซลลูโลส (cellulose)[1] 6


ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อ าเภอเจาะไอร้อง ประเภทของน้ำตาล น้ำตาลทรายดิบ (Raw Sugar) คือ น้ำตาลทรายที่ใช้ส่งออกเพื่อจำหน่ายในต่างประเทศ หรือเก็บไว้เป็น วัตถุดิบในการผลิตน้ำตาลทรายขาว โดยน้ำตาลทรายดิบจะมีสีน้ำตาลเข้ม มีสิ่งสกปรกเจือปนอยู่ และมีความ บริสุทธิ์ต่ำ น้ำตาลทรายดิบคุณภาพสูง (High Pol Sugar) คือ น้ำตาลทรายดิบที่นำมาผ่านกระบวนการทำให้ บริสุทธิ์บางส่วน สีของน้ำตาลเป็นสีเหลืองแกมน้ำตาล สามารถนำไปบริโภคได้โดยตรง แต่ไม่เป็นที่นิยมของคนส่วน ใหญ่ ยกเว้นในประเทศที่กำลังพัฒนาและมีกำลังซื้อค่อนข้างต่ำ เนื่องจากน้ำตาลชนิดมีราคาถูกกว่าน้ำตาล ทรายขาว น้ำตาลทรายขาว (White Sugar) คือ น้ำตาลที่ได้มาจากการสกัดเอาสิ่งเจือปนออกจากน้ำตาลทรายดิบ และเป็นที่นิยมในการใช้บริโภค น้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์(Refined Sugar) คือ น้ำตาลที่ผ่านกระบวนการผลิตคล้ายกับน้ำตาล ทรายขาว แต่จะมีความบริสุทธิ์มากกว่า มีลักษณะเป็นเม็ดสีขาวใส นิยมนำมาใช้ในอุตสาหกรรมที่ต้องการใช้น้ำตาล ที่มีความบริสุทธิ์มาก เช่น เครื่องดื่มประเภทน้ำอัดลม เครื่องดื่มบำรุงกำลัง รวมไปถึงอุตสาหกรรมยา เป็นต้น น้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์พิเศษ (Super Refined Sugar) คือ น้ำตาลที่ผ่านกระบวนการผลิตเหมือน น้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ แต่จะมีความบริสุทธิ์มากกว่า นิยมนำไปใช้ในอุตสาหกรรมที่ต้องการใช้น้ำตาลที่มีความ บริสุทธิ์มาก ๆ เป็นส่วนประกอบ น้ำตาลปี๊บ (Paste Sugar) คือ น้ำตาลที่ได้จากเอาน้ำตาลทรายขาวมาเคี่ยวจนมีความเข้มตามที่กำหนด แล้วนำไปบรรจุขณะยังร้อนและผึ่งให้น้ำตาลแข็งตัวโดยใช้ลมเย็น น้ำตาลทรายแดง (Brown Sugar) คือ น้ำตาลที่ได้จากการเอาน้ำตาลทรายดิบมาละลายกับน้ำอ้อยใส และน้ำเชื่อมดิบในอัตราส่วนที่กำหนดน้ำเชื่อม (Liquid Sugar) คือ น้ำตาลที่ได้จากการแปรสภาพจากผลึกของ น้ำตาลเป็นน้ำเชื่อม นิยมนำมาใช้เพื่อความสะดวกในกระบวนการผลิตต่าง ๆ เช่น น้ำอัดลม เครื่องดื่มชูกำลัง ฯลฯ น้ำตาลแร่ธรรมชาติ(Mineral Sugar) คือ น้ำตาลที่ได้จากการผสมคาราเมลซึ่งได้มาจากการเคี่ยว น้ำตาลกับเอ-โมลาสซึ่งมีแร่ธาตุธรรมชาติจากอ้อย แล้วจึงนำไปผสมกับน้ำตาลทรายขาวตามสัดส่วนที่เหมาะสม เพื่อให้แร่ธาตุจากอ้อยที่สูญเสียไปกับกากน้ำตาลในกระบวนการตกผลึกของน้ำตาล กลับคืนสู่น้ำตาล กากน้ำตาล (Molasses) คือ ผลพลอยได้จากการผลินน้ำตาล นิยมนำมาใช้เป็นวัตถุดิบสำคัญใน ภาคอุตสาหกรรมหลายประเภท เช่น อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ การผลิตสุรา แอลกอฮอล์ ผลิตผงชูรส น้ำส้มสายชู เป็นต้น[2] ประโยชน์ของน้ำตาล น้ำตาลเป็นสารที่ให้ความหวานและให้พลังงานแก่ร่างกาย (โดยน้ำตาล 1 กรัม จะให้พลังงาน 4 แคลอรี) ทำให้ชีวิตมีรสชาติ ทำให้รู้สึกสดชื่อกระชุ่มกระชวย[1]น้ำตาลเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อชีวิตมาก เนื่องจากการ ทำงานของอวัยวะภายในร่างกายและเนื้อเยื่อต่าง ๆ ของร่างกาย ก็ล้วนแล้วแต่ต้องใช้พลังงานจากน้ำตาล นอกจากนี้การหายใจ การขับปัสสาวะ การไหลเวียน การย่อยอาหารก็ล้วนแล้วแต่ต้องการความร้อนจากน้ำตาล แทบทั้งสิ้น หรือแม้แต่ตั้งแต่การคลอดจากครรภ์มารดา ในการดำรงชีวิตเราจะขาดน้ำตาลไม่ได้ แม้อาหารที่จำเป็น ของทารกก็ยังเป็นน้ำนมที่มีน้ำตาลผสมอยู่ สรุปก็คือ พลังงานในการเคลื่อนไหวของมนุษย์ 70% มาจากน้ำตาล ถ้า ขาดน้ำตาลมนุษย์ก็จะไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้[1] 7


ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อ าเภอเจาะไอร้อง กลูโคส (glucose) เป็นแหล่งอาหารที่จำเป็นของเซลล์ เนื้อเยื่อ และอวัยวะภายในร่างกาย ทำให้ ไกลโค เจน (glycogen) ในตับเพิ่มขึ้น ช่วยทำให้การเผาผลาญ (Metabolism) ของเนื้อเยื่อดีขึ้น และในขณะที่น้ำตาลใน เลือดลดน้อยลง กลูโคสยังเป็นสารที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของหัวใจได้เป็นอย่างดี[1] กลูโคส (glucose) สามารถทำให้ร่างกายมีความต้านทานต่อโรคติดต่อได้ ดังนั้นในการรักษาโรค กลูโคส จึงถูกนำไปใช้เป็นยารักษาโรคอย่างกว้างขวาง[1]เนื้อเยื่อและอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย ต้องการกลูโคส (glucose) เพื่อเป็นวัตถุในการให้พลังงานและสารประกอบที่สำคัญอื่น ๆ เช่น สมองต้องการกลูโคสวันละ 110-130 กรัม ไต และเม็ดเลือดแดงต้องการกลูโคสเป็นอาหาร ส่วนหัวใจจะทำงานได้ก็ต้องอาศัยกลูโคสมาทดแทนพลังงานที่สูญเสีย ไป และจากผลการทดลองหัวใจของสัตว์นอกร่างกาย พบว่ากลูโคสมีฤทธิ์กระตุ้นหัวใจของสัตว์ทดลอง ส่วนอวัยวะ ภายในร่างกายอื่น ๆ ถ้าขาดกลูโคสก็จะสามารถใช้กรดไขมันมาเป็นแหล่งให้พลังงานได้[1] แล็กโทสแม้จะไม่มีรสหวาน แต่ก็เป็นอาหารที่จำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตของทารก โดยแล็กโทสจะทำ หน้าที่ป้องกันจุลินทรีย์ที่จำเป็นในลำไส้ของทารก ช่วยในการดูดซึมของแคลเซียม ทำให้ทารกสามารถย่อยและดูด ซึม (แต่ผู้ใหญ่ถ้ากินแล้วกลับจะทำให้ย่อยยากและทำให้ท้องเสีย)[1]น้ำตาลทรายขาวนอกจากจะช่วยทำให้อาหารมี รสชาติหวานแล้ว น้ำตาลทรายยังช่วยในการถนอมอาหารและหมักอาหารได้อีกด้วย สรรพคุณของน้ำตาล น้ำตาลทรายแดงมีคุณสมบัติร้อนและมีรสหวาน มีสรรพคุณช่วยบำรุงกำลัง (น้ำตาลทรายแดง)[1] ช่วยทำให้เลือดไหลเวียนได้สะดวกมากยิ่งขึ้น (น้ำตาลทรายแดง)[1] น้ำตาลทรายขาวและน้ำตาลทรายกรวดมีสรรพคุณช่วยดับร้อน ถอนพิษ แก้อาการอักเสบ (น้ำตาล ทรายขาว,น้ำตาลทรายกรวด)[1]ช่วยรักษาปากเป็นแผล มีอาการเจ็บคอ ไอมีเสมหะเหลือง (น้ำตาลทรายขาว, น้ำตาลทรายกรวด)[1]น้ำเชื่อมที่ได้จากน้ำตาลทรายขาว สามารถใช้เป็นยารักษาบาดแผลเน่าเปื่อยได้ เพราะ น้ำเชื่อมสามารถเปลี่ยนสภาพกรดและด่างบริเวณปากแผลได้ ทำให้เซลล์ผิวหนังถูกกระตุ้น การไหลเวียนของโลหิต ทำงานดีขึ้น และยังเป็นอาหารที่ถูกนำไปใช้หล่อเลี้ยงผิวหนังบริเวณนั้นอีกด้วย ทำให้เชื้อโรคไม่สามารถเจริญเติบโต ได้ และบาดแผลก็จะหายเร็วขึ้น (น้ำตาลทรายขาว)[1]ช่วยแก้อาการปวด (น้ำตาลทรายแดง)[1]สำหรับสตรีที่อยู่ใน ระหว่างมีประจำเดือนถูกความเย็น มีอาการปวดประจำเดือน ปวดท้องน้อยหรือปวดเอว ประจำเดือนเป็นลิ่ม การ ดื่มน้ำผสมกับน้ำตาลทรายแดงอุ่น ๆ 1 แก้ว ก็จะทำให้สบายขึ้นได้ (น้ำตาลทรายแดง)[1] โทษของน้ำตาล การรับประทานน้ำตาลทรายมากเกินไปจะทำให้เกิดโทษได้ เช่น ทำให้อ้วน เป็นโรคเบาหวาน ทำให้ หลอดเลือดหัวใจตีบ ระบบการย่อยอาหารไม่ดี มีกรดในกระเพาะอาหารมากเกินไป ทำให้ฟันผุ ฯลฯ[1]น้ำตาลมีผล เพิ่มปริมาณของไขมันร้าย หรือ ไขมันเลว (LDL) และไปลดปริมาณของไขมันดี (HDL)การรับประทานน้ำตาลทราย มากจนเกินไปจะทำให้ต้องใช้อินซูลินมากเกินไป ถ้ารับประทานเป็นระยะเวลานานก็สามารถทำให้เกิดโรคเบาหวาน ได้ และในคนที่บริโภคน้ำตาลมากจนเกินไปในช่วง 40 ปีแรกของชีวิต จะมีโอกาสเป็นโรคเบาหวานมากกว่าคนอื่น ๆ เพราะน้ำตาลจะไปทำให้ตับอ่อนที่ทำหน้าที่ผลิตอินซูลินเสื่อมสมรรถภาพ เมื่อรับประทานเข้าไปมาก ๆ จึงทำให้ น้ำตาลในเลือดสูงขึ้น[1]นอกจากน้ำตาลจะเป็นสาเหตุของโรคเบาหวานแล้วน้ำตาลยังเป็นสาเหตุสำคัญของโรคหัวใจ และความดันโลหิตสูงอีกด้วย[3]การรับประทานน้ำตาลมาก ๆ จะทำให้การขับออกของโครเมียมทางไตมีมากขึ้น ซึ่ง โครเมียมนั้นเป็นแร่ธาตุที่สำคัญในการเพิ่มการทำงานของอินซูลินในการลดระดับน้ำตาลในเลือด ดังนั้น การ รับประทานน้ำตาลในปริมาณมาก จะทำให้เกิดภาวะดื้ออินซูลินได้สำหรับผู้ที่รับประทานอาหารหวานบ่อย ๆ 8


ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อ าเภอเจาะไอร้อง สมดุลของแร่ธาตุในร่างกายจะไม่ค่อยสมดุล ส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายทำให้ติดเชื้อได้ง่าย โดยมีรายงานว่า การรับประทานหวานมากจะทำให้เลือดมีแคลเซียมมากขึ้น ฟอสฟอรัสลดลง ซึ่งอาจไปตกตะกอนทำให้เกิดนิ่วในไต ได้ นอกจากนี้การเผาผลาญน้ำตาลในร่างกายบ่อย ๆ ยังเป็นตัวเร่งที่ทำให้เกิดอนุมูลอิสระ เมื่อบริโภคเป็นระยะ เวลานานจะก่อให้ระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูงขึ้น[3] น้ำตาลจะถูกเก็บไว้ที่ตับในรูปของไกลโคเจน เมื่อมีมากจนเกินไป ตับจะส่งไปยังกระแสเลือดแล้ว เปลี่ยนเป็นกรดไขมัน โดยจะสะสมไว้ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายที่มีการเคลื่อนไหวน้อย เช่น สะโพก ก้น หน้าท้อง ขาอ่อน เป็นต้น และการรับประทานน้ำตาลอย่างต่อเนื่อง กรดไขมันจะสะสมไว้ที่อวัยวะภายในอื่น ๆ เช่น หัวใจ ตับ และไต ซึ่งอวัยวะเหล่านี้จะค่อย ๆ ถูกห่อหุ้มไปด้วยไขมันและน้ำเมือก ร่างกายก็เริ่มมีความผิดปกติ ความดัน เลือดก็จะสูงขึ้น สรุปก็คือถ้าเราไม่ได้ใช้พลังงานมากเพียงพอ น้ำตาลที่ได้ก็จะถูกเปลี่ยนไปเป็นไขมันสะสมไว้ใน ร่างกาย[3]เมื่อเรารับประทานน้ำตาลมากเกินไป โดยเฉพาะน้ำตาลทราบ น้ำผึ้ง น้ำตาลในนม น้ำตาลในผลไม้ น้ำตาลเหล่านี้จะเข้าสู่กระแสเลือดได้อย่างรวดเร็ว ทำให้เลือดมีสภาพเป็นกรดมากเกินไป ร่างกายเกิดความไม่ สมดุล ทำให้มีการดึงแร่ธาตุจากส่วนต่าง ๆ มาแก้ไขความไม่สมดุล[3] อาการปวดศีรษะเรื้อรัง ไมเกรน เป็นสิว ผื่น ตกกระ เป็นตะคริวช่วงมีรอบเดือน แผลพุพอง แผลริดสีดวงทวาร มะเร็งตับ เบาหวาน โรคหัวใจ วัณโรค เหล่านี้ล้วนมีความสัมพันธ์ต่อการรับประทานน้ำตาลที่มากเกินไป[3] ผลการวิจัยพบว่า โรคฟันผุมีส่วนเกี่ยวข้องกับการรับประทานน้ำตาล เมื่อรับประทานน้ำตาลจะทำให้สภาพของ กรดในปากเพิ่มขึ้น สำหรับผู้ที่มีอายุมากจะรู้สึกว่ามีรสเปรี้ยว Bacillus acidi lactici คือแบคทีเรียที่ชอบอาศัยและ เจริญเติบโตอยู่ตามร่องฟัน ซอกฟัน หรือแอ่งฟันที่มีสภาพเป็นกรด ทำให้แคลเซียมในฟันหลุดและเกิดโรคฟันผุ (แมงกินฟัน)[1]การรับประทานน้ำตาลซูโครสมากจะทำให้กรดอะมิโน “ทริปโตเฟน” ถูกเร่งให้ผ่านเข้าสู่สมองมาก เกินไป ทำให้สมดุลของฮอร์โมนในสมองเปลี่ยนแปลงไป ส่งผลให้เกิดอาการเหนื่อย เซื่องซึม ไม่กระฉับกระเฉง[3] การรับประทานน้ำตาลทรายก็ทำให้เกิดอาการเบื่ออาหารได้เช่นกัน เพราะถ้ารับประทานน้ำตาลทรายในปริมาณ มากจะทำให้วิตามินบีในร่างกายถูกใช้ไปมาก เมื่อวิตามินบีในร่างกายน้อยลง จะส่งผลทำให้รับประทานอาหารได้ น้อยลง น้ำย่อยและน้ำลายก็ลดน้อยลง ทำให้เบื่ออาหารมากขึ้น[1]การรับประทานน้ำตาลในปริมาณมากเกินไป จะ มีผลต่อการทำงานของสมอง ทำให้รู้สึกง่วงนอน[3]น้ำตาลทรายเมื่ออยู่ในกระเพาะอาหารมากจนเกินไป จะทำให้ สภาพกรดในกระเพาะอาหารและลำไส้เพิ่มมากขึ้น ทำให้เกิดการหมัก (Fermentation) ในลำไส้ ทำให้รู้สึกไม่ สบายท้อง[1]มีผู้เชื่อว่าการรับประทานมากเกินไป จะส่งผลต่อการเผาผลาญแคลเซียม ถ้าปริมาณน้ำตาลสูง 16- 18% ของอาหารที่กิน จะทำให้การเผาผลาญของแคลเซียมในร่างกายเกิดความสับสนได้[1]สำหรับคนที่มีระดับ น้ำตาลในเลือดสูง ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ป่วยโรคเบาหวานเท่านั้น แต่ยังหมายถึงทุกคนที่ชอบรับประทานขนมหวาน น้ำอัดลม น้ำผลไม้ ฯลฯ เพราะจะทำให้อวัยวะภายในร่างกายเสื่อมเร็วกว่าปกติ ทำให้แก่เร็ว เป็นโรคเบาหวาน โรค ความดันโลหิตสูง ไขมันสูง อ้วน กระดูกพรุน เนื้องอก และมะเร็ง ที่สำคัญน้ำตาลยังทำให้อาการของโรคที่เป็นอยู่ จะทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะป่วยเป็นโรคอะไรก็ตาม เช่น หากดื่มนมจนเป็นภูมิแพ้ อาการของโรคภูมิแพ้ จะมีความรุนแรงเป็น 2 เท่า หรือทำให้อาการของโรคติดเชื้อที่เป็นอยู่มีความรุนแรงมากขึ้น เนื่องจากเชื้อโรคทุก ชนิดจะใช้น้ำตาลเป็นอาหาร และน้ำตาลยังเป็นแหล่งอาหารของเซลล์มะเร็ง เป็นอาหารของยีสต์ในลำไส้ทำให้ยีสต์ เพิ่มจำนวนมากขึ้นและทำให้เกิดภาวะไส้รั่ว[3]น้ำตาลนอกจากจะส่งผลร้ายต่อผู้ใหญ่แล้ว ยังมีผลต่อเด็กอีกด้วย เพราะถ้าเด็กรับประทานน้ำตาลในปริมาณที่มากเกินไปอาจทำให้ฟันผุ เป็นโรคกระดูกเปราะ อาจทำให้เด็กเป็นคน โกรธง่ายและไม่มีสมาธิได้[3]น้ำตาลจะไปจับตัวกับคอลลาเจน (ไกลเคชั่น) ทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่น ลดความยืดหยุ่น 9


ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อ าเภอเจาะไอร้อง และยังไปลดปริมาณของฮอร์โมนแห่งความอ่อนเยาว์ (Growth Hormone) ซึ่งจะทำให้ผิวหนังแห้ง เหี่ยวย่น และ อ้วนได้จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก แนะนำให้คนรับประทานน้ำตาลเพียงวันละ 6 ช้อนชาเท่านั้น ทั้งนี้เพื่อ หลีกเลี่ยงโรคเบาหวาน (โรคเบาหวานถูกยกระดับให้เป็นโรคอันตรายเทียบเท่ากับโรคเอดส์) แต่จากการสำรวจของ สสส. กลับพบว่าคนไทยบริโภคน้ำตาลมากเกินกว่าปริมาณที่แนะนำ 3 เท่าตัว หรือประมาณ 20 ช้อนชา โดยเฉพาะเด็กที่ชอบดื่มน้ำอัดลมเป็นประจำ จนทำให้สถิติอ้วนลงพุงของเด็กไทยพุ่งสูงขึ้นที่สุดในโลก และในรอบ ห้าปีที่ผ่านมา พบว่าเด็กไทยที่มีอายุต่ำกว่า 15 ปี ป่วยเป็นโรคเบาหวานเพิ่มขึ้นถึง 6 เท่า และยังพบว่าคนไทย จำนวนมากถึง 17 ล้านคน ที่ดื่มน้ำอัดลมทุกวัน โดยน้ำอัดลมน้ำดำ น้ำอัดลมสี และน้ำอัดลมน้ำใส (เพียงกระป๋อง เดียว) จะมีน้ำตาลเป็นส่วนผสมอยู่มากถึง 34-46 กรัม หรือคิดเป็น 8.5-11.5 ช้อนชาเลยทีเดียว (แค่เฉพาะ เครื่องดื่มในแต่ละวัน ร่างกายของเราก็ได้รับน้ำตาลเกินความจำเป็นแล้ว) ยีสต์ ยีสต์หรือ ส่าเหล้า (อังกฤษ: yeast) คือ รากลุ่มหนึ่งที่ส่วนใหญ่เป็นเซลล์เดี่ยว มีรูปร่างหลายแบบ เช่น รูปร่างกลม รี สามเหลี่ยม รูปร่างแบบมะนาว ฝรั่ง เป็นต้น ส่วนใหญ่มีการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ โดยวิธีการแตก หน่อ พบทั่วไปในธรรมชาติในดิน ในน้ำ ในส่วนต่างๆ ของพืช ยีสต์บางชนิดพบอยู่กับแมลง และในกระเพาะของ สัตว์บางชนิด แต่แหล่งที่พบยีสต์อยู่บ่อยๆ คือแหล่งที่มีน้ำตาลความเข้มข้นสูง เช่น น้ำผลไม้ที่มีรสหวาน ยีสต์ที่มีอยู่ ตามธรรมชาติ มักจะปนลงไปในอาหาร เป็นเหตุให้อาหารเน่าเสียได้ ยีสต์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีขนาดเล็กมาก มีเยื่อหุ้ม นิวเคลียส (eukaryotic micro-organisms) จัดอยู่ในกลุ่มจำพวกเห็ด รา (Fungi) มีทั้งที่เป็นประโยชน์และโทษต่อ อาหาร มีการนำยีสต์มาใช้ประโยชน์นานมาแล้ว โดยเฉพาะการผลิตอาหารที่มีแอลกอฮอล์ จากคุณสมบัติที่มีขนาด เล็กมาก สามารถเพาะเลี้ยงให้เกิดได้ในเวลาอันรวดเร็ว และวิธีการไม่ยุ่งยาก ทำให้ยีสต์เริ่มมีบทบาทที่สำคัญใน วงการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ โดยสามารถนำมาใช้เป็นอาหารสำหรับเลี้ยงอาหารธรรมชาติที่สำคัญอีกทีหนึ่ง เช่น ไรแดง โรติเฟอร์ และอาร์ทีเมียยีสต์ มีคุณสมบัติในการเปลี่ยนน้ำตาลให้เป็นคาร์บอนไดออกไซด์และแอลกอฮอล์ได้ โดย หลักการทำงานของยีสต์ หรือ "เบเกอร์ ยีสต์" (Baker yeast) ที่ใส่ให้ขนมปังฟู เนื่องมาจากยีสต์ที่ใส่ลงไปมีการใช้ น้ำตาลในแป้งขนมปัง หรือที่เรียกกันว่า "โด้" (dough) เป็นอาหาร และระหว่างที่มันกินอาหารมันจะเกิดการ หายใจแบบไม่ใช้ออกซิเจน สลายกลูโคสได้adenosine triphosphate และคายแก็สคาร์บอนไดออกไซต์ออกมา และเมื่อเราเอาแป้งไปอบ ก๊าซที่มันคายออกมาก็ผุดขึ้นมาระหว่างเนื้อขนมปังทำให้เกิดรูพรุนจนฟูขึ้นมา ประวัติ ยีสต์เป็นจุลินทรีย์ที่รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยโบราณถึงกับมีผู้กล่าวว่า ยีสต์เป็นจุลินทรีย์ชนิดแรกที่มนุษย์ นำมาใช้ รายงานแรกเกี่ยวกับการใช้ยีสต์ คือการผลิตเบียร์ชนิดหนึ่งที่เรียกว่า Heineken เมื่อประมาณ 6,000 ปี ก่อนคริสต์ศักราช คนไทยรู้จักใช้ประโยชน์จากยีสต์มาเป็นเวลานาน เช่นในการทำอาหารหมักบางชนิด ได้แก่ ข้าว หมาก ปลาแจ่ว เครื่องดองของเมาหลายชนิดเช่น อุสาโท และกระแช่ เป็นต้น ปัจจุบันมีการนำยีสต์มาใช้ ประโยชน์ในอุตสาหกรรมหลายประเภท เป็นต้นว่าการผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ชนิดต่างๆเช่น เบียร์ไวน์และ วิสกี้การผลิตเอทิลแอลกอฮอล์เพื่อใช้เป็นสารเคมี และเชื้อเพลิง การผลิตเซลล์ยีสต์ เพื่อใช้เป็นยีสต์ขนมปังและ เป็นโปรตีนเซลล์เดียว ราบางประเภทสามารถนำมาใช้ในการผลิตสุราได้แต่ราบางชนิดที่เพาะมาเป็นพิเศษ ก็เป็นรา ที่ผลิตมาเพื่อการค้าและมีลิขสิทธิ์เฉพาะ เช่นรา คาลสเบิร์กโนเจนซิส เป็นราลิขสิทธิ์ที่ใช้ในการผลิตเบียร์ คาล 10


ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อ าเภอเจาะไอร้อง สเบิร์ก การผลิตยีสต์ที่ได้คุณภาพจะต้องผ่านการรับรองจากสถาบัน Leco ถึงจะสามารถบรรจุวางขายใน ซูเปอร์มาร์เก็ตของยุโรปเช่น ร้าน Hermes และ Struers ได้ ยีสต์ มีคุณสมบัติในการเปลี่ยนน้ำตาลให้เป็นคาร์บอนไดออกไซด์และแอลกอฮอล์ได้ โดยหลักการทำงาน ของยีสต์ หรือ "เบเกอร์ ยีสต์" (Baker yeast) ที่ใส่ให้ขนมปังฟู เนื่องมาจากยีสต์ที่ใส่ลงไปมีการใช้น้ำตาลในแป้ง ขนมปัง หรือที่เรียกกันว่า "โด้" (dough) เป็นอาหาร และระหว่างที่มันกินอาหารมันจะเกิดการหายใจแบบไม่ใช้ ออกซิเจน สลายกลูโคสได้ adenosine triphosphate และคายแก็สคาร์บอนไดออกไซต์ออกมา และเมื่อเราเอา แป้งไปอบ ก๊าซที่มันคายออกมาก็ผุดขึ้นมาระหว่างเนื้อขนมปังทำให้เกิดรูพรุนจนฟูขึ้นมา ส่วนพวก "บริวเวอร์ ยีสต์" (Brewer yeast) ซึ่งเป็นยีสต์ที่นำมาหมักทำเบียร์และไวน์ มีรสชาติค่อนข้าง รุนแรง บริวเวอร์ยีสต์ ประกอบไปด้วยธาตุอาหารมากมีกรดอะมิโน16ชนิด เกลือแร่14ชนิด วิตามิน17ชนิด นอกจากนี้ยังมีเกลือแร่สูง คือ โครเมี่ยม สังกะสี เหล็ก ฟอสฟอรัส และเซเลเนียม อีกทั้งบริวเวอร์ยีสต์ยังเป็นแหล่ง สำคัญของโปรตีนถึง 16 กรัมต่อปริมาตรยีสต์ 30 กรัม มีมากถึง 50%-55% ทั้งนี้ โดยยีสต์ไม่ใช้ออกซิเจนในการ หายใจ ลักษณะภายนอกและโครงสร้างของเซลล์ • รูปร่างค่อนข้างกลม (spheroidal or globular structures) • ขนาดเล็กมากเพียง 3 – 4 ไมครอน ต้องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์กำลังขยายสูงยังเห็นเป็นเซลล์ ค่อนข้างกลมขนาดเล็กเท่านั้น • โครงสร้างของเซลล์ประกอบด้วยผนังเซลล์ (cell wall) ภายในเป็นของเหลว (cytoplasm) นิวเคลียส (nucleus) รูปทรงกลมขนาดใหญ่อยู่เกือบกลางเซลล์ และมีช่องว่าง (vacuole) ขนาด ใหญ่อยู่ทางด้านท้ายของเซลล์ การใช้ประโยชน์จากยีสต์ในปัจจุบัน • ทำอาหารหมักบางชนิด ได้แก่ ข้าวหมาก อุสาโท และกระแช่ • ประโยชน์ในอุตสาหกรรมหลายประเภท เช่น การทำขนมปัง ไวน์เหล้า เบียร์แอลกอฮอล์ 11


ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อ าเภอเจาะไอร้อง บทที่3 อุปกรณ์และวิธีการดำเนินงาน วัสดุอุปกรณ์ 1. ขวดพลาสติก 2. ยีสต์2 ช้อนชา 3. น้ำตาลทรายแดง 1/2 ถ้วย 4. น้ำอุ่น 1 ถ้วย 5. เทปกาว 6. กรรไกร 7. ไม้บรรทัด 8. กระดาษสี 9. มีดคัดเตอร์ วิธีการดำเนินงานการศึกษา ขั้นตอนการเตรียมขวดบรรจุภัณฑ์ 1. แบ่งขวดเป็น 4 ส่วน 2. ตัดขวดส่วนบนสุดของขวดพลาสติดออก 3. นำส่วนคอมาประกอบส่วนลำตัว โดยคว่ำส่วนคอ 4. พันเทปกาวให้ติดกันสนิท 5. ตัดกระดาษสีทำลวดลายตามใจชอบ 6. ห่อด้วยกระดาษสีที่ประดิษฐ์ลวดลาย ขั้นตอนการเตรียมน้ำยาล่อยุง 1. ผสมน้ำตาลกับน้ำอุ่นปล่อยให้เย็น เมื่อเย็นแล้วเทลงก้นขวด 2. ใส่ยีสต์ลงไป ไม่ต้องกวนผสม มันจะสร้างก๊าซคาบอนไดออดไซค์ 3. นำไปวางตามมุมต่างๆของบ้าน 12


ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อ าเภอเจาะไอร้อง การทดสอบ ทำที่ดักจับยุงจากขวดพลาสติกแล้วนั้น เพื่อนำมาดักยุงในหอพัก เพื่อให้ยุงในหอพักนั้นหมดไป และดักยุง ได้ประสิทธิภาพที่ดี การทดลอง ได้นำที่ขวดพลาสติกดักจับยุง มาทดลองอยู่ 1 แบบ 1)ในหอนอน ได้ผลว่าในหอนอนมียุงน้อยลงและในที่ดักจับยุงนั้นมียุงติดอยู่เต็มไปหมดทำให้หอนอนนั้น แลดูดี ไม่มียุงที่จะมารบกวน ระยะเวลาการทดลอง วันที่ รายงานที่ปฏิบัติ 30/มิ.ย./66 แบ่งการเตรียมอุปกรณ์ หาข้อมูลในการทำขวดพลาสติกดักจับยุง 1/ก.ค./66 เตรียมของมารวมกันทำที่ดักจับยุงจากขวดพลาสติก แบ่งหน้าที่ในการทำ 2/ก.ค./66 ทำงานกันเป็นกลุ่ม ช่วยกันทำงาน 3-26/ก.ค./66 ทำการทดลอง 28/ก.ค./66 สำเร็จผลการทดลอง งบประมาณในการศึกษา ขวดพลาสติก 0 บาท ยีสต์ 5 บาท น้ำตาลแดง 5 บาท น้ำ 0 บาท เทปกาวสีดำ 10 บาท กรรไกร 20 บาท รวม 40 บาท 13


ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อ าเภอเจาะไอร้อง บทที่ 4 อภิปรายผลการศึกษา สรุปตารางความพึงพอใจ จากการสรูปผลการทดลอง ขวดพลาสติกดักจับยุง นำมาเป็นคะแนนความพึงพอใจว่ามีคุณสมบัติ แต่ละ อย่างเป็นอย่างไร และอย่างไหนดีที่สุด สรุปผลใน 15 คนดังนี้ เรื่องที่สอบถามเกี่ยวกับ มากที่สุด มาก ปานกลาง น้อย น้อยที่สุด 1.ที่ดักจับยุงนั้นสามารถดักยุง ได้ดี 8 4 3 - - 2.สีของที่ดักจับยุง 7 3 3 2 - 3.การวางในที่ทึบยุงจะบินเข้า ที่ดักเยอะ 5 7 - 2 - 4.ที่ดักยุงมีประสิทธิภาพ ใน 1 สัปดาห์ 9 6 - - - ตารางสรุปเรื่อง ความพึงพอใจแบบร้อยละ 2.สรุปร้อยละ เรื่องที่สอบถามเกี่ยวกับ มากที่สุด มาก ปานกลาง น้อย น้อยที่สุด 1.ที่ดักจับยุงนั้นสามารถดัก ยุงได้ดี 53.34% 26.66% 20% - - 2.สีของที่ดักจับยุง 46.66% 20% 20% 13.34% - 3.การวางในที่ทึบยุงจะบิน เข้าที่ดักเยอะ 33.34% 46.66% - 13.34% - 4.ที่ดักยุงมีประสิทธิภาพ ใน 1 สัปดาห์ 60% 40% - - - 14


ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อ าเภอเจาะไอร้อง บทที่ 5 สรุปผลการศึกษา สรุปและอภิปรายผลการทดลอง สรุปผลการทดลอง พบว่ารูปแบบของขวดพลาสติกดักจับยุง โดยใช้หลักการเป็นกับดักให้ยุงบินเข้า ไปโดยใช้เหยื่อล่อ(น้ำหวาน) เพื่อให้ยุงบินเข้าไปกินเหยื่อล่อ เมื่อทำการทดลองยุงก็จะมีการบินเข้ามายังกับดักนั่นก็ คือเข้ามาในขวดพลาสติกดักจับยุงและเมื่อยุงบินเข้าไปยังเหยื่อล่อ(น้ำหวาน) ยุงก็ทำการกินและตอมน้ำหวานแล้ว บินวนแต่ไม่สามารถบินกลับมาได้ดังนั้น ขวดพลาสติกจับดักยุงเป็นสิ่งประดิษฐ์อีกชนิดหนึ่งที่สามารถนำมาดักจับ ยุงได้จริงและสามารถนำไปใช้เพื่อกำจัดยุงได้ในชีวิตประจำวันเพื่อลดรายจ่าย พร้อมยังเป็นการนำวัสดุที่มีในบ้าน มาใช้ให้เกิดประโยชน์ อภิปราย ที่ขวดพลาสติกดักจับยุงนั้นนำมาใช้ในประโยชน์ได้อย่างเกี่ยวกับการบริโภคสามารถบริโภค สามารถ ดักยุงได้ประสิทธิภาพที่ดี ทำให้ที่ดักจับยุงนั้นดักจับยุงได้ดี และใช้งบประมาณน้อย เพียงเท่านี้ทำให้ที่ดักยุงมี ประโยชน์ต่อทุกคน ข้อเสนอแนะ 1.จะทำโครงงานจะเป็นแบบเขียนแบบสรุป 2.โครงงานนี้จะทำผลงานให้มีอยู่จริง 15


ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อ าเภอเจาะไอร้อง ภาคผนวก วัสดุ อุปกรณ์ การทำโครงงานขวดพลาสติกกัดดัดยุง การทำภาชนะบรรจุใส่สารล่อยุง


ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อ าเภอเจาะไอร้อง การตกแต่งภาชนะใส่สารล่อยุง การประสมสารล่อยุง


ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อ าเภอเจาะไอร้อง การบรรจุสารล่อยุง ผลงาน


ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อ าเภอเจาะไอร้อง บรรณนุกรม http://61.7.231.171/epidem/knowlage/mosq.pdf https://agarmermaid.com/what-is-yeast/


ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อ าเภอเจาะไอร้อง ศ ู นยส ์ ่งเสร ิ มการเร ี ยนร ู ้ อา เภอเจาะไอร ้ อง สา น ั กงานส่งเสร ิ มการเร ี ยนร ู ้ จง ั หว ั ดนราธ ิ วาส


Click to View FlipBook Version