รายงานการพัฒนาการอ่านออกเขียนได้ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนบ้านแม่เหียะ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา เชียงใหม่ เขต ๒ ผู้รายงาน : นางสาวกาญจณา เกิดอ้าย สอนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ ความเป็นมาและสภาพของปัญหา : การอ่านเป็นทักษะที่สำคัญและใช้มากในชีวิตประจำวัน เพราะเป็นทักษะที่นักเรียนใช้แสวงหาสรรพ วิทยาการต่าง ๆ เพื่อความบันเทิงและการพักผ่อนหย่อนใจ ผู้ที่มีนิสัยรักการอ่านและมีทักษะในการอ่านมีอัตราเร็ว ในการอ่านสูง ย่อมแสวงหาความรู้และศึกษาเล่าเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถนำความรู้ที่ได้จากการอ่าน ไปใช้ในการพูดและการเขียนได้เป็นอย่างดี ในต่างประเทศปัจจุบันนี้ได้มีการส่งเสริมทักษะการอ่านเป็นอย่างมาก ทั้งในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา เพราะถือว่าหากนักเรียนมีพื้นฐานทักษะการอ่านดีแล้ว ย่อมสามารถ นำไปใช้เป็นเครื่องมือในการศึกษาหาความรู้ในสาขาวิชาอื่น ๆ ได้เป็นอย่างดี (สุจริต เพียรชอบและสายใจ อินทรัม พรรย์, 2538 : 136) การเขียนเป็นอีกทักษะที่มีความสำคัญมากเช่นเดียวกัน เพราะใช้ในการส่งสารเพื่อสื่อความคิดหรือ เรื่องราวให้เป็นลายลักษณ์อักษะ ซึ่งผู้ส่งต้องการถ่ายทอดไปยังผู้รับ เป็นเครื่องมืออันสำคัญในการส่งเสริม สติปัญญา ความรู้ ความคิด ความรู้สึกของมนุษย์ และเป็นเครื่องมือสำหรับบันทึกเรื่องราวต่างๆ ตลอดจน ขนบธรรมเนียมประเพณีอีกทั้งช่วยสืบทอดวิชาการต่างๆ จากอดีตจนถึงปัจจุบัน จวบจนอนาคต (มะลิ มกรามณี. 2541: 61) อย่างไรก็ตามการเขียนเป็นทักษะที่ฝึกได้ยาก เนื่องจากทักษะการเขียนเป็นทักษะการถ่ายทอด ความคิด ความรู้สึกและความเข้าใจของตนเองออกมาเป็นตัวอักษร เพื่อสื่อความหมายให้ผู้อื่นเข้าใจ ดังนั้น จำเป็นต้องอาศัยทักษะอื่นๆเป็นพื้นฐานประกอบ การเขียนเป็นการแสดงออกในการติดต่อสื่อสารอย่างหนึ่งของ มนุษย์ โดยอาศัยภาษาตัวอักษรเป็นสื่อ เพื่อถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิด ความต้องการ และความในใจให้ผู้อื่นทราบ การเขียนเป็นทักษะที่มีความสำคัญและซับซ้อนที่สุดในบรรดาทักษะทั้ง 4 ดังที่ กองเทพ เคลือบ-พณิชกุล(2542 : 123) กล่าวว่า จุดเริ่มต้นของการเขียนอยู่ที่ความคิด และความรู้เรื่องภาษาที่ดี ดังนั้นประสิทธิภาพของการเขียนจึง ขึ้นอยู่กับสมรรถภาพของความคิด และความสามารถในเชิงภาษาและการเขียนเป็นทักษะซึ่งต้องฝึกฝนจึงจะทำให้ ความสามารถทางการเขียนดีได้ จึงอาจกล่าวได้ว่า ในบรรดาทักษะที่มีอยู่ทั้งหมดคือ ทักษะการฟัง การพูด การ อ่าน และการเขียนนั้น ทักษะการเขียนเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากที่สุด เพราะการเขียนเป็นเรื่องของการสื่อสารที่มี ขั้นตอนหลายอย่าง ทักษะการเขียนเป็นทักษะที่ต้องใช้เวลาฝึกฝนมากกว่าทักษะอื่นๆ จึงจะเกิดผล ทั้งการคัด
ลายมือ การคัดลอกข้อความ การเขียนแสดงความคิดเห็น ความรู้ ข้อเท็จจริง ตลอดจนเป็นจินตนาการ เพราะการ เขียนเป็นศิลปะในการสื่อสารความคิดและความรู้สึกไปยังผู้อ่าน ซึ่งต้องอาศัยความสามารถเป็นอย่างมาก ดังนั้นการจะให้ผู้เรียนมีศักยภาพด้านภาษาไทยสูงนั้น ผู้เรียนจะต้องได้รับการพัฒนาทั้งทักษะการอ่าน และการเขียนไปพร้อมๆกัน และนักเรียนต้องแสวงหาเรื่องการอ่าน การเขียน ด้วยตนเอง เพื่อนำไปสู่ความสำเร็จ โดยให้ผู้เรียนทุกคนอ่านออก เขียนได้ วัตถุประสงค์และเป้าหมายของการดำเนินงาน : 1. เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันและปัจจัยที่มีผลต่อการอ่านและการเขียนของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 3 2. เพื่อศึกษาและกำหนดกิจกรรมการพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 3 3. เพื่อพัฒนาความสามารถด้านการอ่าน และเขียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 แนวคิด/ขั้นตอน/กิจกรรมการดำเนินงาน : การพัฒนาความสามารถด้านการอ่าน และเขียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 1.การจำแนกนักเรียนออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่ม ดีแล้ว กลุ่ม พอใช้ได้ กลุ่ม ต้องพยายาม โดยใช้แบบทดสอบวัดความสามารถด้านการอ่าน การเขียน
2.จัดกิจกรรมพัฒนาทักษะการอ่าน การเขียน ดังนี้ กิจกรรมหลัก เป็นกิจกรรมที่จัดให้กับนักเรียนทุกคนตั้งแต่ ชั้นประถมศึกษา ปีที่ 3 จำนวน 5 กิจกรรม ได้แก่ 1) อ่านหนังสือให้แม่ฟัง 2) ก่อนเรียนเขียน 5 คำ 3) ท่องบทอาขยาน 4) หนอนหนังสือ 5) ประกวดคัดลายมือ กิจกรรมกลุ่มดีแล้ว เป็นกิจกรรมที่จัดให้กับนักเรียนที่มีความสามารถด้านการอ่าน การเขียนอยู่ในระดับ ดี มีกิจกรรมจำนวน 3 กิจกรรม ดังนี้ 1) วิเคราะห์ข่าวเด่นประจำสัปดาห์ 2) first book (หนังสือเล่มแรก) 3) เล่านิทานคุณธรรม กิจกรรมกลุ่มพอใช้ได้ เป็นกิจกรรมที่จัดให้กับนักเรียนที่มีความสามารถด้านการอ่าน การเขียนอยู่ใน ระดับปานกลาง มีกิจกรรมจำนวน 3 กิจกรรม ดังนี้ 1) อัลบั้มคำน่ารู้ 2) ธนาคารสำนวน กิจกรรมกลุ่มต้องพยายาม เป็นกิจกรรมที่จัดให้กับนักเรียนที่มีความสามารถด้านการอ่าน การเขียนอยู่ใน ระดับปรับปรุง มีกิจกรรมจำนวน 3 กิจกรรม ดังนี้ 1) อ่านหนังสือที่ห้องสมุด 2) ภาษาไทยวันละคำ 3) ก่อนกลับบ้านอ่าน 5 คำ
ผลการดำเนินงาน : เดือนที่ ผลที่คาดว่าจะได้รับ 1-3 ได้ทราบสภาพปัจจุบันและปัจจัยที่มีผลต่อการอ่านและการเขียนของนักเรียนโรงเรียนบ้านแม่เหียะ 4-6 ได้กิจกรรมการพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนของนักเรียนโรงเรียนบ้านแม่เหียะ 7-9 ได้พัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนของนักเรียนโรงเรียนบ้านแม่เหียะโดยใช้กิจกรรมพัฒนาทักษะการ อ่านการเขียน 10-12 ได้ทราบความพึงพอใจของนักเรียนโรงเรียนบ้านแม่เหียะที่มีต่อโครงการการพัฒนาทักษะการอ่าน การเขียน ปัญหา/อุปสรรค : นักเรียนยังขาดการแสวงหาเรื่องการอ่าน การเขียน ด้วยตนเอง จึงทำให้ผลการประเมินการ อ่านและการเขียนพัฒนาไปได้ช้า
ภาคผนวก
แบบสรุปผลประเมินการอ่าน เขียนภาษาไทยของนักเรียนรายบุคคล (ทั้งห้องเรียน) ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านแม่เหียะ จำนวนนักเรียนทั้งชั้น 21.คน (ปกติ. 11 คน, บกพร่องทางการเรียน 10 คน) คำชี้แจง โปรดกรอกคะแนนผลการประเมินการอ่าน การเขียน และความเข้าใจการอ่าน ตามแบบกรอกข้างล่าง นี้ ที่ ชื่อ – สกุล นักเรียน คะแนนที่ได้รายด้าน การอ่านออกเสียง การเขียนตามคำบอก ดีเยี่ยม ดีมาก ดี พอใช้ ควรปรับปรุง ปรับปรุงเร่งด่วน อ่านไม่ออก/ อ่านไม่คล่อง ดีเยี่ยม ดีมาก ดี พอใช้ ควรปรับปรุง ปรับปรุงเร่งด่วน เขียนไม่ได้/ เขียนไม่คล่อง 1 เด็กชายภานุเดช โสภาระดี / / 2 เด็กชายธันวา สุทธิดานนท์ / / 3 เด็กชายสุทธิกิตดิ์ ปวงจักรทา / / 4 เด็กชายปภาวิน ไชยนุรักษ์ / / 5 เด็กชายสงกรานต์ ลุงหลี่ / / 6 เด็กชายเตชิน ชูมือกู่ / / 7 เด็กชายอนุพงษ์ กันทา / / 8 เด็กชายชิษณุพงศ์ สนิทดี / / 9 เด็กชายสุรพล เลเช่อ / / 10 เด็กชายสมพล แสงคำ / / 11 เด็กชายธีรเดช แสงทอง / / 12 เด็กหญิงภูฟ้า นามแสง / / 13 เด็กหญิงอธิชา อินนันต์ / / 14 เด็กหญิงวโรชา พจน์ธรรม / / 15 เด็กหญิงน้ำเพชร สุภารักษ์ / / 16 เด็กหญิงพนิดา - / / 17 เด็กหญิงภัทรพร บุญเรือง / / 18 เด็กหญิงชนาธินาถ ปัญญา / / 19 เด็กหญิงชัญญานุช อินทนนท์ / / 20 เด็กหญิงกมลพร ลุงอ่อง / /
ที่ ชื่อ – สกุล นักเรียน คะแนนที่ได้รายด้าน การอ่านออกเสียง การเขียนตามคำบอก ดีเยี่ยม ดีมาก ดี พอใช้ ควรปรับปรุง ปรับปรุงเร่งด่วน อ่านไม่ออก/ อ่านไม่คล่อง ดีเยี่ยม ดีมาก ดี พอใช้ ควรปรับปรุง ปรับปรุงเร่งด่วน เขียนไม่ได้/ เขียนไม่คล่อง 21 เด็กหญิงหมวยจิ่ง มูผิด / / รวม 2 5 3 3 1 - 7 2 - 8 1 2 1 7 คิดเป็นร้อยละ 9.5 23.91 14.28 14.28 4.7 - 33.33 9.5 38.09 4.7 9.5 4.7 33.33 เกณฑ์การสรุปผลการประเมิน ระดับ ช่วงคะแนน การอ่าน การเขียน ดีเยี่ยม ๘๐ – ๑๐๐ คะแนน ๑๖ – ๒๐ คะแนน ดีมาก ๗๐ – ๗๙ คะแนน ๑๔ – ๑๕ คะแนน ดี ๖๐ – ๖๙ คะแนน ๑๒ – ๑๓ คะแนน พอใช้ ๕๐ – ๕๙ คะแนน ๑๐ – ๑๑ คะแนน ควรปรับปรุง ๔๐ – ๔๙ คะแนน ๘ – ๙ คะแนน ควรปรับปรุงเร่งด่วน ๓๐ – ๓๙ คะแนน ๖ – ๗ คะแนน อ่านไม่ออก-เขียนไม่ได้/อ่านไม่คล่อง- เขียนไม่คล่อง ๐ – ๒๙ คะแนน ๐ – ๕ คะแนน
รูปภาพประกอบ : ทดสอบการอ่านออก เขียนได้ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3
รายงานการวิจัยในชั้นเรียนของครูผู้สอน โรงเรียนบ้านแม่เหียะ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา เชียงใหม่ เขต ๒ ประกาศคุณูประการ การวิจัยเรื่อง “ การแก้ปัญหานักเรียนเขียนสะกดคำไม่ถูกต้อง“ สำเร็จลงด้วยดีเพราะได้รับคำแนะนำจาก เพื่อนร่วมงานซึ่งคอยให้กำลังใจและคำปรึกษาอยู่ตลอดเวลา ผู้วิจัยขอขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง และขอขอบคุณ นักเรียนที่ให้ความร่วมมือในการให้ข้อมูล ขอขอบพระคุณ ผู้อำนวยการรัตนา สิทธิราช ที่ได้สนับสนุนให้ครูได้ทำการวิจัย เพื่อเป็นการพัฒนา ตนเอง และพัฒนากระบวนการการจัดการเรียนการสอน ครูกาญจณา เกิดอ้าย 9 มีนาคม 2566
ชื่องานวิจัย การแก้ปัญหานักเรียนการอ่านออกเขียนได้เขียนสะกดคำไม่ถูกต้อง ชื่อผู้วิจัย ครูกาญจณา เกิดอ้าย กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย บทคัดย่อ การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ในการจัดการเรียนการสอน เพื่อฝึกให้นักเรียนเขียนสะกดคำจากมาตรา ตัวสะกดต่างๆ ได้ถูกต้องแม่นยำ ผู้วิจัยได้จัดทำแบบทดสอบก่อนเรียน และหลังเรียน เพื่อพัฒนาการเขียนสะกด คำของนักเรียนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งเมื่อได้ข้อมูลมาแล้วได้สรุปผลแล้วจึงนำมาจัดทำเป็นรูปเล่ม เพื่อ เป็นข้อมูลในการวิจัยในครั้งต่อไป
เค้าโครงงานวิจัยในชั้นเรียน ชื่อผู้วิจัย ครูกาญจณา เกิดอ้าย สาระการเรียนรู้ ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ชื่อเรื่อง การแก้ปัญหานักเรียนการอ่านออกเขียนได้เขียนสะกดคำไม่ถูกต้อง สภาพปัญหา จากการสอนทักษะการอ่านออกเขียนได้การเขียนสะกดคำ พบว่า เมื่อครูให้นักเรียนอ่านบทเรียน หรือ หนังสือนอกเวลา แล้วกำหนดคำให้นักเรียนเขียนตามคำบอก จากคำที่ครูกำหนดขึ้น นักเรียนจะไม่สามารถ เขียนคำได้ถูกต้อง ตามมาตราตัวสะกด ต่างๆ ครูผู้สอนจึงจึงเกิดความคิดที่ว่า การให้นักเรียนค้นหาคำศัพท์ที่ สะกดด้วยมาตราตัวสะกดต่างๆจากหนังสือเรียน หนังสือนิทาน หรือวารสารต่างๆ และการฝึกให้นักเรียนได้เขียน สะกดคำบ่อยๆ จะช่วยให้นักเรียนเขียนสะกดคำได้ถูกต้องมากยิ่งขึ้น ทางเลือกที่คาดว่าจะแก้ปัญหา 1. หนังสือเรียน หนังสือนิทาน หนังสือวารสาร ใช้ประกอบการค้นหาคำศัพท์ต่างๆ 2. การนำคำศัพท์ที่หาได้ มาแยกให้ตรงตามมาตราตัวสะกดต่างๆ 3. ฝึกทักษะการเขียนสะกดคำของนักเรียน จุดประสงค์การวิจัย การได้ค้นคว้าหาคำศัพท์ตามที่นักเรียนสนใจ และการได้ฝึกเขียนบ่อยๆ จะช่วยทำให้นักเรียนสามารถ เขียนสะกดคำ ( คำศัพท์ ) ในมาตราตัวสะกดต่างๆ ได้ถูกต้องมากยิ่งขึ้น ระยะเวลาในการดำเนินการ 17 พฤษภาคม 2565 – 9 มีนาคม 2566 ขั้นตอนการดำเนินการ 1. ทดสอบก่อนเรียนโดยให้นักเรียนค้นคว้าหาคำศัพท์จากหนังสือเรียน หนังสือนิทาน หนังสือวารสารต่าง ๆ ทุก มาตราตัวสะกด 2. ตรวจผลงานนักเรียน บันทึกคะแนน โดยแบ่งคะแนนเป็น - การเขียนโดยใช้ตัวสะกดตรงตามมาตราตัวสะกด - การเขียนสะกดคำโดยใช้ตัวสะกดที่ไม่ตรงตามมาตราตัวสะกด
3. บันทึกคะแนน 4. เขียนสะกดคำจากใบงาน 5. ตรวจผลงาน โดยใช้เกณฑ์เดียวกับการตรวจแบบทดสอบก่อนเรียน 6. บันทึกคะแนน 7. เปรียบเทียบคะแนนตามเกณฑ์ที่กำหนด 8. สรุปผลการวิจัย
เรื่อง การแก้ปัญหานักเรียนการอ่านออกเขียนได้เขียนสะกดคำไม่ถูกต้อง ความสำคัญและที่มา จากการสอนทักษะการเขียนสะกดคำ พบว่า เมื่อครูให้นักเรียนอ่านบทเรียน หรือ หนังสือนอกเวลา แล้วกำหนดคำให้นักเรียนเขียนตามคำบอก จากคำที่ครูกำหนดขึ้น นักเรียนไม่สามารถเขียนคำได้ถูกต้อง ตาม มาตราตัวสะกด ต่างๆ ครูผู้สอนจึงจึงเกิดความคิดที่ว่า การ ให้นักเรียนค้นหาคำศัพท์ที่สะกดด้วยมาตรา ตัวสะกดต่างๆจากหนังสือพิมพ์ หรือวารสารต่างๆ และการฝึกให้นักเรียนได้เขียนสะกดคำบ่อยๆ จะช่วยให้ นักเรียนเขียนสะกดคำได้ถูกต้องมากยิ่งขึ้น จุดม่งหมาย การได้ค้นคว้าหาคำศัพท์ตามที่นักเรียนสนใจ และการได้ฝึกเขียนบ่อยๆ จากใบงาน จะช่วยทำให้ นักเรียนสามารถเขียนสะกดคำ ( คำศัพท์ ) ในมาตราตัวสะกดต่างๆ ได้ถูกต้องมากยิ่งขึ้น ตัวแปรที่ศึกษา ในการวิจัยในครั้งนี้ ตัวแปรที่ศึกษาประกอบด้วย 1. ตัวแปรอิสระ คือ นักเรียนฝึกเขียนสะกดคำจากเอกสารต่างๆ และใบงาน 2. ตัวแปรตาม คือ ความสามารถในการเขียนสะกดคำ กรอบแนวคิดในการวิจัย ใบงานการเขียนสะกดคำต่างๆ หมายถึง ใบงานที่ผู้วิจัยจัดทำขึ้นมา โดยการนำคำศัพท์ที่เขียน สะกดคำด้วยมาตราตัวสะกดต่างๆ และเป็นคำที่นักเรียนมักจะใช้ตัวสะกดผิด ในบทเรียนต่างๆ ความสามารถในการเขียนสะกดคำ หมายถึง คะแนนที่ได้จากการเขียนสะกดคำ ก่อนเรียนและหลัง เรียนที่ผู้วิจัยจัดทำขึ้น
ประโยชน์ที่ได้รับ 1. ผู้เรียนเขียนสะกดคำได้ถูกต้องมากขึ้น 2. ผู้เรียนเข้าใจและนำมาตราตัวสะกดต่างๆไปใช้ได้ถูกต้อง ขอบเขตของการวิจัย 1. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 1 คน 2. ใบงาน การเขียนสะกดคำศัพท์ในมาตราตัวสะกดต่างๆ ระยะเวลาในการดำเนินการ 17 พฤษภาคม 2565 – 9 มีนาคม 2566 วิธีดำเนินการวิจัย ขั้นตอนการดำเนินงาน 1. คัดเลือกนักเรียน 2. มอบหมายงาน 3. ดำเนินการ 4. รวบรวมข้อมูล 5. สรุปผล สรุปผลการดำเนินงานวิจัย 1. การทดสอบก่อนเรียน นักเรียนคัดเลือกคำศัพท์ที่สะกดด้วยมาตราตัวสะกดต่างๆจากหนังสือ เรียน หนังสือนิทาน แล้วนำคำศัพท์มาติดลงในใบงานที่ครูกำหนดให้ 9 มาตราตำสะกด ผลการเขียนสะกด คำนักเรียนผ่านเกณฑ์ร้อยละ 60 จำนวน 7 มาตราตัวสะกด มาตราแม่ ก กา และแม่ กม ไม่ผ่านเกณฑ์ รวมเฉลี่ยทั้งหมดคิดเป็นร้อยละ 78.66 2. การทดสอบหลังเรียน ใบงานที่ 1 มาตราตัวสะกดแม่ ก กา นักเรียนเขียนคำจากภาพที่ กำหนดให้ ผลการเขียนสะกดคำผ่านเกณฑ์ร้อยละ 83.33
3. ใบงานที่ 2 มาตราตัวสะกด แม่ กง เติมคำที่มีตัวสะกด 8 ข้อ ผลการเขียนสะกดคำ ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 60 4. ใบงานที่ 3 มาตราตัวสะกดแม่ กน เติมตัวสะกด เขียนคำ และแต่งประโยค จำนวน 26 ข้อ ผลการเขียนสะกดคำผ่านเกณฑ์ร้อยละ 69.25 5. ใบงานที่ 4 มาตราตัวสะกด แม่ กม เติมคำที่มีตัวสะกด จำนวน 10 ข้อ ผลการเขียน สะกดคำผ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 6. ใบงานที่ 5 มาตราตัวสะกด แม่ เกย หาคำที่มี ย สะกด และแต่งประโยค เติมคำใน ประโยค จำนวน 15 ข้อ ผลการเขียนสะกดคำผ่านเกณฑ์ร้อยละ 80 7. ใบงานที่ 6 มาตราตัวสะกด แม่ เกอว ระบายสีคำที่มี ว สะกด จำนวน 8 ข้อผลการเขียน สะกดคำผ่านเกณฑ์ร้อยละ 62 8. ใบงานที่ 7 มาตราตัวสะกด แม่ กก ระบายสีคำที่มีตัวสะกด จำนวน 21 ข้อ ผลการ เขียนสะกดคำผ่านเเกณฑ์ร้อยละ 23.80 9. ใบงานที่ 8 มาตราตัวสะกด แม่ กด เติมคำที่มีตัวสะกด จำนวน 12 ข้อ ผลการเขียน สะกดคำผ่านเกณฑ์ร้อยละ 25 10. ใบงานที่ 9 มาตราตัวสะกด แม่ กบ เติมคำที่มีตัวสะกด จำนวน 10 ข้อ ผลการเขียน สะกดคำผ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 11. ผลจากการเขียนสะกดคำจากใบงานทั้ง 9 มาตราตัวสะกด นักเรียนยังเขียนสะกดคำไม่ผ่าน ร้อยละ 60 จำนวน 2 มาตราตัวสะกด คือ แม่ กก แม่กด รวมเฉลี่ยทั้งหมดคิดเป็นร้อยละ 64.87 จากผลการดำเนินงาน 1. ในภาพรวมจากการวิจัยเรื่องการแก้ปัญหานักเรียนเขียนสะกดคำไม่ถูกต้อง พบว่า นักเรียนยังจำ มาตราตัวสะกดแต่ละมาตราตัวสะกดไม่ได้ จึงเขียนไม่ถูกต้อง 2. นักเรียนไม่ค่อยสนใจในการทำงาน สังเกตจากชิ้นงานและลายมือ
3. ครูผู้ทำงานวิจัย มีเวลาพบผู้เรียนห้องละ 1 คาบ ต่อสัปดาห์ (นักเรียนทำงานหลังจากเรียนใน ชั่วโมงแล้ว ) ทำให้การดำเนินงานวิจัยครั้งนี้ยังไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร 4. จากการสังเกตคิดว่านักเรียนหาคำศัพท์จากวารสารจะได้คะแนนมากกว่าในใบงาน เพราะนักเรียนอาศัยความจำ ไม่ได้มาจากความเข้าใจ
คำนำ งานวิจัยในชั้นเรียน เรื่อง การแก้ปัญหานักเรียนเขียนสะกดคำไม่ถูกต้อง ได้จัดทำขึ้นเพื่อ พัฒนาการเรียนรู้ ของนักเรียนและพัฒนากระบวนการเรียนการสอนของครู และเพื่อให้ผู้เรียน บุคลากรทางการ ศึกษา แลครูผู้สอนได้ตระหนักและเห็นความสำคัญของงานวิจัย เห็นคุณค่าของงานวิจัย มีความรู้สึกที่ดีต่อการ วิจัยต่อไป ครูกาญจณา เกิดอ้าย ผู้วิจัย
แบบฟอร์มรายงานการวิจัยชั้นเรียน ปีการศึกษา 2566 ชื่องานวิจัย การแก้ปัญหานักเรียนการอ่านออกเขียนได้เขียนสะกดคำไม่ถูกต้อง ชื่อผู้วิจัย ครูกาญจณา เกิดอ้าย กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย เค้าโครงการทำวิจัยในชั้นเรียน มี ไม่มี ที่มาความสำคัญของการวิจัย มี ไม่มี ออกแบบเก็บข้อมูล มี ไม่มี แปลผลและอภิปรายผล มี ไม่มี สรุปเป็นรูปเล่ม มี ไม่มี ครูกาญจณา เกิดอ้าย ผู้วิจัย
สารบัญ หน้า รายงานการวิจัยในชั้นเรียน 1 - 2 สรุปตารางใบงาน 3 สรุปผลการดำเนินการวิจัย 4 - 5
ภาคผนวก
ตารางสรุปใบงาน ตารางเปรียบเทียบคะแนนก่อนเขียนสะกดคำ และหลังการเขียนสะกดคำ เด็กหญิงกมลพร ลุงอ่อง ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ครั้ง ที่ ใบงานมาตราตัวสะกด ที่……… การทดสอบก่อนเรียน การทดสอบหลังเรียน คะแนน ได้ ร้อยละ คะแนน ได้ ร้อยละ 1 มาตราแม่ ก กา 20 6 30 12 10 83.33 2 มาตราแม่ กง 20 17 85 8 8 100 3 มาตราแม่ กน 20 14 70 26 18 69.23 4 มาตราแม่ กม 25 12 48 10 7 70 5 มาตราแม่ เกย 15 13 92 15 12 80 6 มาตราแม่ เกอว 15 14 93 8 5 62.5 7 มาตราแม่ กก 20 19 95 21 5 23.80 8 มาตราแม่ กด 20 20 100 12 3 25 9 มาตราแม่ กบ 20 19 95 10 7 70 คะแนนเฉลี่ย 175 134 78.66 122 75 64.87
รูปภาพ : การจัดกิจกรรมเขียนสะกดคำ