รายงานการศึกษาค้นคว้า เรื่อง วิถีชีวิตของชาวเล เสนอ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ สาโรช สอาดเอี่ยม จัดทำโดย พระมหาบัลลังก์ อิ่มเอี่ยม รหัส 6410540211035 รายงานเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษาค้นคว้า รหัส GE4005 ภาคเรียนที่ 1/2566 สาขาการสอนภาษาอังกฤษ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตล้านนา
ก คำนำ รายงานเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษาค้นคว้า รหัสวิชา GE1005 โดยผู้จัดทำได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับชาวเลและจัดทำขึ้นเพื่อให้ผู้อ่านสามารถค้นคว้า หา ความรู้ได้ในรายงานเล่มนี้ ตลอดจนมีความรู้ความเข้าใจกับวิถีชีวิตและความเป็นมาของชาวเลมากขึ้น การจัดทำรายงานฉบับนี้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ไปด้วยดี ทางผู้จัดทำขอขอบพระคุณผู้ช่วย ศาสตราจารย์ สาโรช สอาดเอี่ยม ที่ท่านได้ให้คำแนะนำในการจัดทำรายงาน การเรียบเรียงเนื้อหา การเขียนบรรณานุกรม รวมไปถึงขอขอบคุณผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่ายที่สนับสนุน ช่วยเหลือมาตลอด ทางผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเนื้อหาในรายงานฉบับนี้ที่ได้เรียบเรียงมาจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่สนใจ และต้องการศึกษาค้นคว้าหากมีการผิดพลาดประการใด ทางผู้จัดทำขอกราบผู้รู้ช่วยแนะนำต่อไป ผู้จัดทำ 5 กรกฎาคม 2566
ข สารบัญ เรื่อง หน้า ชาวเลคือใคร 1 ความเป็นมาของชาวเล 2 ความเชื่อและพิธีกรรม 2 ศิลปะการบันเทิง 3 ภาษา 4 ชนเผ่าพื้นเมืองมอแกลน (มอเก็น มอเกล็น) 5 1. ประวัติศาสตร์ 5 2. การเคลื่อนย้ายและกระจายตัวของชุมชน 6 3. วิถีชีวิตและวัฒนธรรม 8 4. การแต่งกาย 9 บรรณานุกรม 10
ข สารบัญรูปภาพ หน้า ภาพที่ 1 ชาวเล (ชาวทะเล) 1 ภาพที่ 2 รำโนรากาบง 3 ภาพที่ 3 รำรองเง็งตันหยง หรือ หล้อแหง็ง 4 ภาพที่ 4 การร้องเพลงกล่อมเด็กของภาคใต้ 4 ภาพที่ 5 ชนเผ่าพื้นเมืองมอแกลน (มอเก็น มอเกล็น) 5 ภาพที่ 6 ชนเผ่าพื้นเมืองมอแกลน (มอเก็น มอเกล็น) 5 ภาพที่ 7 หมู่บ้านชาวมอแกน หมู่เกาะสุรินทร์ พังงา 7 ภาพที่ 8 หมู่บ้านชาวมอแกน หมู่เกาะสุรินทร์ พังงา 7 ภาพที่ 9 หมู่บ้านชาวมอแกน หมู่เกาะสุรินทร์ พังงา 7 ภาพที่ 10 อาชีพประมง 8 ภาพที่ 11 การแต่งกายผู้ชาย 9 ภาพที่ 12 การแต่งกาบผู้หญิง 9
1 ชาวเลคือใคร ชาวเล (ชาวทะเล) เป็นคำภาษาปักษ์ใต้ที่ใช้เรียกกลุ่มชนเผ่าพื้นเมืองทางภาคใต้ของประเทศ ไทย มีภาษาพูด ประเพณีวัฒนธรรม และวิถีชีวิตที่เป็นเอกลักษณ์ มีอาชีพประมงเร่รอน อาศัยตาย ชายฝั่งทะเลและหมู่เกาะแถบมหาสมุทรอินเดีย ทะเลอันดามัน ตั้งแต่หมู่เกาะเมอร์กุยทางตอนใต้ของ ประเทศพม่า ทางภาคใต้ฝั่งตะวันตกของประเทศไทยตั้งแต่ระนอง พังงา กระบี่ ภูเก็ต ไปจนถึงสตูล รวมมีประชากรประมาณ ๑๒,๐๐๐ คน “ชาวเล” เป็นคำที่มีความหมายเชิงลบ หมายถึงชนเผ่าเร่ร่อน ล้าหลัง ด้อยพัฒนา หน่วยงานรัฐจึงเปลี่ยนให้เป็นชาวไทยใหม่ หมายถึงกลุ่มคนที่ได้รับการพัฒนาแล้ว โดยมีบัตรประจำตัวประชาชน ลูกหลานได้รับการศึกษาจากโรงเรียน จนต่อมาชาวเลก็พูดภาษาไทยได้ ทุกคน พวกเขาหันมานับถือศาสนาพุทธ และตั้งถิ่นฐานถาวร (สุรินทร์ เหลือลมัย, 2561) บริเวณภาคใต้ของประเทศไทย มีชนพื้นเมืองที่สำคัญอยู่ 2 เผ่า คือ เผ่าซาไก (Sakai) หรือ เงาะป่า อาศัยอยู่ บริเวณตอนกลางแถบป่าเขาของคาบสมุทรภาคใต้ ในเขตจังหวัดตรัง พัทลุง สตูล ยะลา และนราธิวาส ปัจจุบันยังคงดำรงชีวิตที่เป็นแบบดั้งเดิม (Primitive) ส่วนอีกเผ่าหนึ่ง คือ ชาวเล หรือชาวน้ำ อาศัยอยู่บริเวณทางชายฝั่งทะเลและตามหมู่เกาะต่าง ๆ บริเวณฝั่งทะเลทางตะวันตก ตั้งแต่บริเวณตอนใต้ของพม่า จังหวัดระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง สตูล จนไปถึงเขตมาเลเซีย ภาพชาวเล (ชาวทะเล)
2 ความเป็นมาของชาวเล การเริ่มต้นกำเนิดของชาวเลไม่ได้ระบุชัดว่ามีมาตั้งแต่เมื่อไร และเริ่มต้นอยู่ในเขตไหนของ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่มีผู้สันนิษฐานว่า เมื่อชนเผ่าอินโดนีเซียพวกหนึ่งอพยพจาก แผ่นดินใหญ่ลงสู่เกาะบอร์เนียว นับเป็นการเริ่มต้นวิถีชีวิตแบบชาวเกาะ และได้เกิดเผ่าพันธุ์ดยัค (Dyak) ขึ้น ดยัคพวกหนึ่งอาศัยอยู่บนเกาะ และกลายเป็นบรรพบุรุษของคนพื้นเมืองแห่งเกาะ บอร์เนียว แต่ดยัคอีกพวกหนึ่งชอบทำมาหากินในท้องทะเล เรียกว่า “ดยัคทะเล” (Sea Dyak) ซึ่งได้ อพยพมาตามแนวหมู่เกาะเรื่อย ๆ จนถึงแหลมมลายู และกลายเป็นบรรพบุรุษดั้งเดิมของชาวมลายู แต่ยังมีบางพวกที่ยังคงอพยพเร่ร่อนไปทางช่องแคบมะละกาออกสู่บริเวณอันดามันไปตามแนวชายฝั่ง ทะเลทางตะวันตกของไทย และบางกลุ่มก็อพยพไปทางหมู่เกาะตอนใต้ของประเทศพม่า อย่างไรก็ ตามชนเผ่าเหล่านี้ได้แบ่งออกเป็นกลุ่มย่อย ๆ และยังคงสืบทอดการดำรงชีวิตแบบเคลื่อนย้ายอพยพ เร่ร่อนไปตามแหล่งต่าง ๆ บริเวณหมู่เกาะในทะเลอันดามัน ต่อมาจึงได้ฉายานามใหม่ว่า ยิปซีทะเล (Sea Gypsy) หลังจากนั้นชาวเลได้เปลี่ยนแปลงการดำรงชีวิต มีการตั้งถิ่นฐานเป็นหลักแหล่ง เช่น 1) พวก อูรักลาโว้ย (Urak Lawoi) เข้ามาอยู่บริเวณเกาะลังกาวี เกาะอาดัง จังหวัดสตูล เกาะตาลิบง จังหวัด ตรัง เกาะลันตา เกาะพีพีดอน จังหวัดกระบี่ หาดราไวย์ และเกาะสิเหร่ จังหวัดภูเก็ต 2) พวกมอเกล็น (Moklen) เข้ามาอยู่บริเวณแหลมหลา จังหวัดภูเก็ต ท้ายเหมือง และตะกั่วป่าในเขตจังหวัดพังงา และ 3) พวกมอเก็น (Moken) เข้ามาอยู่บริเวณหมู่เกาะสุรินทร์ จังหวัดพังงา และหมู่เกาะต่าง ๆ ทางตอน ใต้ของพม่า ทั้งนี้นักวิชาการบางท่านเชื่อว่าชาวเลมีที่มาแตกต่างจากที่กล่าวข้างต้น บ้างก็ว่าชาวเลเป็น ชนเผ่าพื้นเมือง ดั้งเดิมของดินแดนมลายูในสมัยดึกดำบรรพ์ก่อนที่ชาวมลายูจะเข้ามาอาศัย บ้างก็ว่า ชาวเลจัดอยู่ในกลุ่มชนพวกเมลานีเซี่ยน (Melanesian) ซึ่งมีถิ่นฐานอยู่แถบเกาะทะเลใต้ของ มหาสมุทรแปซิฟิกหรือหมู่เกาะเมลานีเซีย เป็นต้น ความเชื่อและพิธีกรรม ชาวเลมีความเชื่อทางศาสนาเป็นของพวกเขาเอง เป็นแบบชาวเลแท้ ๆ เฉกเช่นชาวเล ส่วนมากนับถือศาสนาพุทธ แต่มีความเชื่อเกี่ยวกับผี วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ประกอบกันไปด้วย ความเชื่อ ของชาวเลแตกต่างกันไปในแต่ละกลุ่ม ซึ่งขึ้นอยู่กับแนวความคิด อิทธิพล และสภาพแวดล้อมที่ แตกต่างกัน เช่น ความเชื่อเกี่ยวกับความสามารถของโต๊ะ (หมอผี) ความเชื่อเกี่ยวกับคาถาอาคม ความเชื่อเกี่ยวกับไม้กางเขนที่ใช้ในพิธีลอยเรือ ความเชื่อเรื่องผีเป็นใหญ่ และชาวเลมีความเชื่อว่าทุก
3 คนเกิดมาจากน้ำ (น้ำอสุจิ) ถ้าใครเรียกพวกเขาว่า “ชาวเล” จะไม่โกรธ แต่ถ้าเรียกว่า “ชาวน้ำ” จะ โกรธมาก เป็นต้น ซึ่งความเชื่อเหล่านี้ แสดงออกมาในรูปแบบพิธีกรรมต่าง ๆ ดังนี้ 1. การเกิด ชาวเลเมื่อตั้งครรภ์ได้ครบ 5 เดือน จะไปฝากครรภ์โดยต้องนำหมาก 3 คำ พลู 3- 5 ใบ และเงินไม่ จำกัดจำนวน ไปให้หมอตำแย และก่อนกำหนดคลอดต้องนำ ข้าวสาร 1 กระป๋องเล็ก ด้ายดิบ 1 ไจ เทียน 1 เล่มหมาก 5 คำ พลู 5 ใบ และเงินแล้วแต่จำนวน ไปมอบให้หมอตำแย ซึ่งถือว่า เป็นเคล็ดในการคลอดลูกให้ปลอดภัย 2. การแต่งงาน ชาวเลนิยมแต่งงานในหมู่กันเอง หนุ่มสาวจะนิยมแต่งงานระหว่างอายุ 17-18 ปี โดยพิธีแต่งงานจะมีลักษณะคล้ายกันกับคนพื้นเมืองโดยทั่วไป แต่จะมีกฎหมายของการหย่าร้างที่ ต่างกัน คือ ตามธรรมเนียมที่ปฏิบัติจะต้องไปหาผู้ใหญ่บ้านฝ่ายที่จะ “ทิ้ง” ต้องเสียค่าเสียหายหรือ ค่าธรรมเนียมให้กับอีกฝ่ายหนึ่ง 3. การตายศพของผู้ตายจะต้องหันหัวไปทางทิศเหนือ คือ ตรงกันข้ามกับคนที่ยังมีชีวิตอยู่ การที่มีคนเสียชีวิตญาติจะปลูกมะพร้าวไว้ต้นหนึ่งเพื่ออธิษฐานเสี่ยงทายว่าบรรพบุรุษที่ตายไปแล้ว ลูกหลานจะอยู่เย็นเป็นสุขหรือไม่ ถ้ามะพร้าวงอกงามออกลูกออกผลก็แสดงว่าลูกหลานมีความสุข แต่ ถ้ามะพร้าวไม่ออกลูกออกผล ชีวิตของลูกหลานก็จะได้รับแต่ความทุกข์ 4. ประเพณีลอยเรือ เป็นประเพณีที่สืบเนื่องจากความเชื่อเพื่อขับไล่สิ่งอัปมงคลทั้งปวงออก จากหมู่เกาะ โดยการให้เรือที่กระทำพิธีนั้น นำพาความวิบัติต่าง ๆ ออกจากเกาะ ศิลปะการบันเทิง ชาวเลมีการละเล่นพื้นเมืองอยู่ 2-3 อย่าง ได้แก่ 1. โนรากาบง เป็นการละเล่นที่มีคนรำเป็นผู้หญิง 2 คน รำอยู่กับที่ ส่ายหน้าไปทางซ้ายขวาพร้อมกับ ยักคิ้วหลิ่วตา โยกย้ายส่ายตะโพกสลับกันไป ภาพนางรำ โนรากาบง
4 2. รองเง็งตันหยง หรือ หล้อแหง็ง เป็นการละเล่นที่มีนางรำเป็นผู้หญิง . ภาพการรำรองเง็งตันหยง หรือ หล้อแหง็ง 3. ร้องเพลงกล่อมเด็ก เพลงเกี้ยวพาราสี เพลงชมนกชมไม้ และเพลงลอยเรือ เป็นต้น ภาพการร้องเพลงกล่อมเด็กของภาคใต้ ภาษา ภาษาของชาวเลมีสำเนียงคล้ายภาษามลายูและอินโดนีเซีย นักวิชาการบางท่านได้ให้ข้อ สันนิษฐานว่า ภาษา ของชาวเลเป็นภาษาตระกูลมลาโย-อินโดนีเซียน ซึ่งมีพวกชาวบาหลี มาดูรีส มักกะสัน บูกัส ดยัค ตามเกาะต่าง ๆ ใช้พูดกันมาก คำพูดบางคำคล้ายกับภาษามลายู บางคำเป็น ภาษาอินโดนีเซีย บางคำเป็นคำพูดที่เขาสร้างขึ้นเอง มีศัพท์น้อยและอยู่ในวงแคบ ๆ เนื่องจากไม่ค่อย มีความเจริญทางด้านวิชาการ คำที่สร้างขึ้นใช้มักจะเกี่ยวกับชีวิตและอาชีพการงานของเขาเท่านั้น นอกจากนี้ชาวเลบางคนเคยไปประเทศมาเลเซียและสามารถพูดคุยกับคนมาเลเซียรู้เรื่อง อย่างไรก็ ตามชาวเลแต่ละพวกก็ยังมีภาษาแตกต่างกัน เช่น พวกมอเก็น มอเกล็น และอูรักลาโว้ย สารานุกรม (วัฒนธรรมไทย ภาคใต้ เล่มที่ 5, 2542, น. 2032-2047)
5 ภาพชนเผ่าพื้นเมืองมอแกลน (มอเก็น มอเกล็น) ชนเผ่าพื้นเมืองมอแกลน (มอเก็น มอเกล็น) 1. ประวัติศาสตร์ ชาวเล ในที่นี้คือ กลุ่มชาติพันธุ์3 กลุ่มที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ทางตอนใต้ของประเทศไทย เฉพาะใน ประเทศไทยจะเรียกรวม ๆ อย่างไม่จำแนกว่า ชาวเล เดิมเรียกว่า ชาวน้า ส่วนในพม่าจะเรียกรวมกับ มอแกนว่า ซลัง เซลัง หรือซโลน (Selung, Salon, Salone, Chalome) คล้ายกับคำว่า “ฉลาง” หรือ “ถลาง” ซึ่งเป็นเมือง โบราณของภูเก็ต (Junk Selon) ที่มีชาวเลชุมนุมกันอยู่มากในสมัยก่อน และใน มาเลเซียจะเรียกชาวเลว่า โอรังลาอุต (Orang Laut) แปลว่า "คนทะเล” ชาวเลทั้งสามกลุ่มชาติพันธุ์นี้ พูดภาษาตระกูลออสโตรนีเชียน ในอดีตอาศัยอยู่ตามชายฝั่ง หรือเดินทางเร่ร่อนตามเกาะในทะเลอันดามัน จึงรู้จักกันในนาม “ยิปซีทะเล ชาวเลมอแกนอยู่อาศัย ตั้งแต่หมู่เกาะมะริดของเมียนมาจนถึงภูเก็ต ที่หมู่เกาะมะริดมีชาวมอแกนนับพันคน ส่วนโอรังลาอุต นั้นอยู่ในไทย ไล่ลงไปทางใต้ตามชายฝั่งของมาเลเชีย อินโดนีเซีย และตะวันออกในหมู่เกาะซูลูของ ฟิลิปปินส์กลุ่มชาติพันธุ์ทั้งสามกลุ่มนี้นี้มีความแตกต่างกันด้านภาษาพูดและความเชื่อเกี่ยวกับวิญญาณ บรรพบุรุษชาวมอแกนมีการทำพิธี“ฉลองวิญญาณบรรพบุรุษ” ส่วนชาวมอแกลนมีศาลพ่อตาที่ทำ สัญลักษณ์เป็นศาลขนาดย่อมเรียกว่า “หลาทวด” และชาวอูรักลาโว้ย จะเน้นการลอยเรือ “ปลาจั๊ก” เพื่อกำจัดเคราะห์ร้ายออกไปจากชุมชน ในปัจจุบัน กลุ่มชาติพันธุ์ชาวเลตั้งถิ่นฐานอย่างถาวร หันมา ประกอบอาชีพประมงชายฝั่งรับจ้างทำสวนและอาชีพอื่นๆ รับอิทธิพลจากโลกภายนอกเข้ามา ได้ซึม ซับวัฒนธรรมไทยแล้วเรียกตัวเองว่า “ไทยใหม่” ชาวมอแกลนใช้ภาษาใกล้เคียงกับมอแกนและสามารถสื่อสารกันได้แต่มอแกลนจะได้รับ อิทธิพลจากภาษาไทยมากกว่ามอแกน ในขณะที่ภาษาอูรักลาโว้ยจะต่างออกไปค่อนข้างมาก ทั้งสาม ภาษาไม่มีตัวอักษรและปัจจุบันชาวเลทั้ง 3 กลุ่มกำลังเผชิญวิกฤตทางภาษาและวัฒนธรรมที่กำลังถูก กลืน
6 ตัวอย่างคำ มอแกน มอแกลน อูรักลาโว้ย คำแปล ญำจอน ญำจอน มากั๊ดหน่าซี่ กินข้าว หล่าเกาปิต๊ะ เกาตำไล้ ปีดีฮา จะไปไหน ชาวมอแกลนแต่ดั้งเดิมนับถือผีบรรพบุรุษ เน้นการบนบานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีการตั้งศาลหรือ ศาลาขนาด ย่อมเรียกว่า "หลาทวด" และในบางชุมชนมีพิธีกรรมลอยเคราะห์ด้วยเรือเช่นเดียวกับชาว อูรักลาโว้ยต่างกัน เพียงวัสดุและรูปแบบเรือรวมทั้งมีการแสดงรองเง็งในโอกาสสำคัญ แต่ในปัจจุบัน ชาวมอแกลนมีการปรับตัวเข้ากับสังคมสมัยใหม่ มีการรับวัฒนธรรมและภาษาจากไทยเข้าผสมกับ วัฒนธรรมเดิม ปัจจุบันส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ มีจำนวนน้อยที่เข้ารีตศาสนาคริสต์ ชาวมอแกลนอพยพโยกย้ายชุมชนเนื่องจากโรคระบาด มีผู้คนล้มตาย มีสัตว์ร้าย โจรผู้ร้าย ฯลฯ และในช่วงสงครามโลก ก็มีความจำเป็นที่จะต้องย้ายถิ่นฐาน บ้างก็เข้าไปอยู่ตามป่า บนไร่ เพื่อ หลบหนีจากภัยสงครามและการสู้รบ ภายหลังเหตุการณ์สึนามิชาวมอแกลนในหลายชุมชนที่อาศัยอยู่ ริมฝั่งทะเลได้รับความเสียหายจากภัยพิบัตินี้ บ้างก็สูญเสียบ้านเรือน เรือ เครื่องมือประมง ทรัพย์สิน ต่างๆ หรือแม้แต่สูญเสียสมาชิกในครัวเรือน หลายครอบครัวต้องอพยพไปอยู่บ้านพักชั่วคราว และบ้าง ก็ต้องย้ายไปอยู่ในบ้านถาวรที่สร้างขึ้นใหม่ 2. การเคลื่อนย้ายและกระจายตัวของชุมชน ชาวมอแกลนตั้งถิ่นฐานอยู่ในประเทศไทยมายาวนานตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ หมู่บ้านของชาว มอแกลนอยู่ชายฝั่งทะเลหรือด้านในแผ่นดิน หลายชุมชนมีตำนานเรื่องวีรบุรุษที่เป็นต้นกำเนิดของชาว มอแกลน ชื่อว่า“พ่อตาสามพัน” และในปัจจุบันเป็นที่เคารพนับถือกัน มีศาลอยู่ที่ชายหาดบางสัก จังหวัดพังงาพื้นที่ริมฝั่งทะเลของจังหวัดพังงามีชุมชนของชาวมอแกลนที่ตั้งถิ่นฐานมาแต่ดั้งเดิม เช่น ที่ ริมทะเลบางสัก เป็นที่ตั้งถิ่นฐานของชาวมอแกลนมายาวนานก่อนที่อุตสาหกรรมเหมืองแร่จะเข้ามาใช้ ประโยชน์พื้นที่สำหรับที่บางสักนี้ บรรพบุรุษของชาวมอแกลนเล่าสืบต่อกันมาว่า ชาวมอแกลนน่าจะ อพยพมาจากบ้านในหยงอำเภอตะกั่วทุ่ง จังหวัดพังงา แล้วค่อยๆ เริ่มตั้งถิ่นฐานที่บ้านลำปี บ้านเกาะ นก บ้านทับปลาบางส่วนที่มาถึงบริเวณบางสักนี้ก็เริ่มตั้งถิ่นฐานที่ “นากก” บุกเบิกพื้นที่ทำสวน ทำ ข้าวไร่ พร้อมทั้งทำประมง หาปลา ปู กุ้ง หอย และสัตว์ทะเลอื่นๆ รวมทั้งเก็บผักผลไม้ป่า ต่อมาก็ย้าย มาที่ทุ่งทุ ทุ่งเค็ด นายาวและพื้นที่อื่นๆ ในบริเวณนี้ แม้ว่าจะมีชุมชนมอแกลนกระจายตัวอยู่เพียง 2 จังหวัดคือพังงาและภูเก็ต แต่ก็มีจำนวนชุมชนกว่า 20 แห่ง ซึ่งนับว่ามีจำนวนชุมชนมากที่สุดในกลุ่ม
7 ชาติพันธุ์ชาวเลด้วยกันข้อมูลจากการสำรวจชาวเลมอแกลน เมื่อปี พ.ศ. 2559 ถึง 2560 พบมีชุมชน ชาวมอแกลนกระจายตัวตามชุมชน 17 ชุมชนในพื้นที่จังหวัดพังงา 15 ชุมชน และภูเก็ต 2 ชุมชน หมู่บ้านชาวมอแกน หมู่เกาะสุรินทร์ พังงา
8 3. วิถีชีวิตและวัฒนธรรม ชาวมอแกลนส่วนใหญ่ทำประมงหาสัตว์ทะเลตามชายฝั่ง ชายหาดและตามป่าชายเลน ชุมชน ที่อาศัยอยู่ริมฝั่งทะเลที่มีหาดทรายและแนวปะการัง มักจะหาปลา กุ้ง หอยชนิดต่างๆ และปลาหมึก สาย นอกจากอาชีพประมงแล้วชาวมอแกลนยังทำไร่ทำนา บางชุมชนเลี้ยงสัตว์ เช่น ไก่และหมูซึ่ง มักจะเป็นหมูขี้พร้า การเลี้ยงเป็นแบบกึ่งอิสระคือให้หากินเองตามธรรมชาติควบคู่ไปกับการให้อาหาร การเลี้ยงหมูขี้พร้าแบบปล่อยให้หากินเองทั่วหมู่บ้านนั้นจึงเป็นอัตลักษณ์ของชาวมอแกลนในหลาย ชุมชน การทำไร่ทำนาทำให้เกิดวัฒนธรรมการช่วยเหลือลงแรงคล้ายกับสังคมเกษตรกรรม หลังจากที่ เริ่มมีการทำสวนมะพร้าว สวนยางพารา อุตสาหกรรมเหมืองแร่ดีบุก ชาวมอแกลนก็หันมาทำงาน รับจ้างเพื่อแลกกับข้าวและของจำเป็นอื่นๆ ในระยะหลัง เมื่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยว การค้า และ การบริการเติบโตขึ้นอย่างมากในพื้นที่ริมฝั่งทะเลอันดามัน ชาวมอแกลนในชุมชนที่ไม่ห่างจากแหล่ง ท่องเที่ยว และพื้นที่เมืองหรือกึ่งเมืองเข้ามาทำงานรับจ้างมากขึ้น อาชีพประมง
9 4. การแต่งกาย ชาวเลทุกกลุ่มไม่มีเครื่องแต่งกายที่เป็นอัตลักษณ์ประจำเผ่าหรือชาติพันธุ์ เพราะในสภาพ อากาศร้อนชื้นและวิถีชีวิตที่ต้องสมบุกสมบัน ขึ้นลงทะเล สิ่งที่สวมได้ง่ายและสบายที่สุดคือ ผ้าขาวม้า สำหรับผู้ชาย และ เสื้อคอกระเช้า-ผ้าถุงสำหรับผู้หญิง ชาวมอแกลนต้องซื้อหาเสื้อผ้าจากภายนอก และการที่ชาวมอแกลนมีการปฏิสัมพันธ์กับคนหลายกลุ่มมาตั้งแต่อดีต การหยิบยืมและยอมรับ วัฒนธรรมอื่น ทำให้เกิดการผสมผสาน ทางวัฒนธรรม โดยเฉพาะการแต่งกายที่เห็นได้ชัดเจน (นฤมล อรุโณทัย และคณะ, 2558) การแต่งกายผู้ชาย การแต่งกายผู้หญิง
10 บรรณานุกรม นฤมล อรุโณทัย และคณะ. (2558). วัฒนธรรมกับการพัฒนา: ข้อสังเกตจากกรณีชาวเล. เอกสาร หมายเลข 4: โครงการต้อยติ่ง โครงการนำร่องอันดามัน และหน่วยวิจัยชนพื้นเมืองและทางเลือกการ พัฒนา สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและมูลนิธิเพื่อนชนเผ่า. สืบค้นวันที่ 5 สิงหาคม 2566, จาก https://iwgia.org/images/publications/newpublications/Moklen_report_Thailand_synthesis_report_Thai.pdf มูลนิธิสารานุกรมวัฒนธรรมไทย. (2542). ขาวเล. (น. 2032-2047). กรุงเทพฯ. ม.ป.ท. สืบค้นวันที่ 5 สิงหาคม 2566, จาก https://naamchoop.com/know_detail.php?know_id=88&know_name สุรินทร์ เหลือลมัย. (2561). วิกฤตวิถีชาวเล. สืบค้นวันที่ 5 สิงหาคม 2566, จาก https://www.silpa-mag.com/history/article_18058 สำนักกรรมาธิการ 3 สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. 2559. ข้อเสนอการปฏิรูปเพื่อส่งเสริม ชุมชนกลุ่มชาติพันธุ์เข้มแข็ง: กรณีกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเล. รายงานคณะกรรมกาธิการขับเคลื่อนการ ปฏิรูปประเทศด้านสังคมสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ. สืบค้นวันที่ 5 สิงหาคม 2566, จาก https://iwgia.org/images/publications/newpublications/Moklen_report_Thailand_synthesis_report_Thai.pdf
11