E-BOOKฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชา สารสนเทศ โดยมีจุด ประสงค์เพื่อการศึกษาความรู้ที่ได้จากเรื่องสารสนเทศซึ่งรายงาน นี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับความรู้จากการใช้สารสนเทศและความหมาย สารสนเทศและประโยชน์ของ สารสนเทศ ผู้จัดทำ ได้เลือก หัวข้อนี้ ในการทำ รายงาน เนื่องมาจากเป็นเรื่องที่น่าสนใจและสามารถให้ ความรู้เกี่ยวกับสารสนเทศมากยิ่งขึ้น ผู้จัดทำ จะต้องขอขอบคุณ ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษา ผู้ให้ความรู้ และแนวทางการศึกษาเพื่อนๆทุก คนที่ให้ความช่วยเหลือมาโดยตลอดผู้จัดทำ หวังว่ารายงานฉบับนี้ จะให้ความรู้และเป็ประโยชน์แก่ผู้อ่านทุก ๆ ท่าน คำ นำ
คำ นำ ก สารบัญ ข 1.สังคมสารสนเทศสู่สังคมความรู้ 1-3 2.ความสำ คัญของสารสนเทศ 4-7 3.รากฐานของการพัฒนาสารสนเทศ 8-11 4.ความสัมพันธ์ของการสื่อสารและสารสนเทศ 12-15 5.ทฤษฎีระบบ 16-18 6.ระบบสารสนเทศ 19-22 7.การจัดการสารสนเทศและการจัดการความรู้ 23-25 8.เทคโนโลยีสารสนเทศ 26-28 9.สารสนเทศช่วยในการตัดสินใจ 29-31 สารบับั บั ญ บั ญ เรื่อง หน้าที่
บทที่ที่ ที่ที่ 1 สัสั สั ง สั งคมสารสนเทศสู่สู่สู่สัสู่สั สั ง สั งคมความรู้รู้รู้รู้
2 4. อธิบายโดยใช้แนวคิดของการพัฒนาระบบขนส่ง พัฒนาการของสังคมสารสนเทศ โดยพิจารณาจากการ เปลี่ยนแปลงจากระบบเศรษฐกิจแบบง่ย ๆ โดยผ่านระบบ ขนส่ง โดยพิจารณาแบ่งเป็นยุคต่างๆ 1. อธิบายโดยแนวคิดเกี่ยวกับพัฒนาการของสังคมนุษย์ การพัฒนาสังคมมนุษย์ ตั้งแต่มนุษย์อาศัยอยู่ตามถ้ำ และ ป่าเขา เร่ร่อนล่าสัตว์ และหาของป่าเป็นอาหาร จนกระทั่งไม่ กี่พันปีที่ผ่านมานี้ มนุษย์เริ่มรู้จักเพาะปลูก 2. อธิบายโดยแนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนา กระบวนการสื่อสาร การกำ เนิดสังคม สารสนเทศพิจารณาได้จากการพัฒนาของ กระบวนการสื่อสารสารสนเทศ 3. อธิบายโดยใช้แนวคิดเกี่ยวกับการปฏิวัตทางเทคโนโลยี นักวิชาการหลายคน สนใจศึกษาพัฒนาการของวัฒนธรรม ตะวันตกโดยพิจารณาจากลำ ดับการเปลี่ยนแปลงหรือการ ปฏิวัติทางเทคโนโลยี และสรุปพัฒนาการออกมาเป็น 4ระยะ กำกำกำกำเนินินิดนิแนวคิคิคิดคิ: สัสั สั ง สั งคมสารสนเทศ 5. อธิบายโดยใช้แนวคิดเกี่ยวกับการใช้สารสนเทศนอกจากนี้นัก สารสนเทศยังแบ่งยุคสารสนเทศ โดยพิจารณาจากการใช้ สารสนเทศ และศูนย์สารสนเทศ ความต้องการใช้สารสนเทศตลอด จนการค้นคว้าที่แตกต่างกันไปในแต่ละยุคก่อน โดยได้มีการแบ่งยุค สารสนเทศ
1) การดำ เนินงานขององค์กร นักเศรษฐศาสตร์สำ นักชุมปีเตอร์ ได้เสนอว่านวัตกรรมเป็นพลังทางเศรษฐกิจและจะก่อให้เกิดพลวัตทาง เศรษฐกิจ และทฤษฎีใหม่แห่งความเจริญทางเศรษฐกิจก็ถือว่า "ความรู้" เป็น ตัวขับเคลื่อนและเป็นปัจจัยสำ คัญในระบบการผลิตนอกเหนือจากที่ดิน ทุน แรงงาน และการประกอบการ 2) การให้ผลตอบแทนของความรู้สูงกว่าการลงทุนด้านอื่น ๆ ซึ่งจะส่ง ผลให้เกิดการสะสมความรู้ และทำ ให้เกิดการเพิ่มขึ้นของการลงทุนอย่างต่อ เนื่อง ซึ่งนำ ไปสู่การขยายตัวอย่างต่อเนื่องของอัตราความเจริญทางเศรษฐกิจ 3) ความรู้สามารถก่อให้เกิดผลแพร่กระจายจากบริษัทหนึ่ง หรือ อุตสาหกรรมหนึ่งไปยังบริษัทและอุตสาหกรรมอื่น ๆ 4) การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ทำ ให้ประสิทธิภาพต่อหน่วยของทุน เพิ่มขึ้น โดยการศึกษาการฝึกอบรม แรงงาน การลงทุนในการวิจัยและพัฒนา การสร้างโครงสร้างการจัดการองค์กรสมัยใหม่ 5) ความรู้ ถือเป็นปัจจัยการผลิตที่ต่างจากปัจจัยการผลิตแบบเดิม เพราะความรู้หรือสารสนเทศเป็นสิ่งที่มีอยู่มากมาย แต่การพัฒนาขีดความ สามารถในการใช้ความรู้ และสารสนเทศนั้นเป็นสิ่งที่ยากและเป็นสิ่งที่ไม่ง่ายใน การเปลี่ยนรูปความรู้ให้เป็นวัตถุดิบ หรือสินค้าความก้าวหน้าของเทคโนโลยี สารสนเทศและการสื่อสาร (ICTS) ทำ ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากสังคม อุตสาหกรรมมาสู่สังคมสารสนเทศ หรือระบบเศรษฐกิจสารสนเทศ การก้ก้ ก้ า ก้ าวจากสัสั สั ง สั งคมสารสนเทศ สู่สู่สู่สัสู่สั สั ง สั งคมความรู้รู้รู้รู้ 3
ความสำสำสำสำคัคั คั ญ คั ญของสารสนเทศ บทที่ที่ ที่ที่ 2
ความหมายของสารสนเทศ คำ ว่า "ข้อมูล" มาจากภาษา ละตินว่า DAUM หมายถึงข้อเท็จจริง และเป็นส่วนประกอบของ สารสนเทศ (FACTS AND PIECES OF INFORMATION) สำ หรับข้อเท็จ จริงนั้นหมายถึง เหตุการณ์ หรือปรากฎการณ์ที่เป็นอยู่ตามความ เป็นจริงซึ่งข้อมูลจะเกี่ยวกับสิ่งของความคิด สถานภาพ สถานการณ์ หรือปัจจัยอื่น ๆซึ่งอาจจะเป็นตัวเลข ตัวอักษร หรือเครื่องหมายต่าง ๆ ก็ได้ แต่ข้อมูลนั้นถือว่าเป็นข้อมูลติบ (RA V MATERIA1) เมื่อนำ ข้อมูลมาดำ เนินกรรมวิธีการประมวลผล ข้อมูลนั้นก็จะเปลี่ยนรูปเป็นสารสนเทศ ความสำสำสำสำคัคั คั ญ คั ญของสารสนเทศ ข้ อ มู ล(D A T A) ความสัมสัพันพัธ์ (RELEVANCY) เป้ า ห ม า ย (P U R P O S E) สารสนเทศ (INFORMATION) + = + 5
การบูรบูณาการ (INTEGRATION) ความรู้/รู้ ความเข้าข้ใจ (KNOWLEDGE/ UNDERSTAND ING) ปัญปัญา (INTELLIGENCE) INFORMATION) แสดงความหมายที่เราสามารถข้าใจได้ ถึง แม้ข้อมูลที่ถือว่าเป็นวัตถุติบในการผลิตสารสนเทศ และในองค์กรแต่ละ องค์กร มักจะมีข้อมูลจำ นวนมากมายในการประกอบธุรกรรมแต่ ปรากฏว่า บางทีผู้บริหารก็ไม่สามารถนำ ข้อมูล ซึ่งได้เก็บรวบรวมเป็น จำ นวนมากนั้น ออกมาใช้ในการตัดสินใจแก้ปัญหาใดปัญหาหนึ่งตามที่ ต้องการได้ ทั้งนี้เพราะว่าปริมาณข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ที่ไหลเวียน ในองค์กรนั้นมีจำ นวนมากมายดังนั้นข้อมูลจำ นวนมากนั้นมิได้ หมายความว่าต้องประมวลผล 6
หน้าที่ของสารสนเทศก็คือ การเพิ่มพูนความรู้ เพื่อลดความ ไม่แน่ใจของผู้ใช้สารสนเทศให้ลดน้อยลง ดังนั้น การตัดสินใจโดยการใช้ สารสนเทศเป็นฐานในการตัดสินใจที่มีการตรวจสอบความรู้ที่มีอยู่ อย่างรอบด้าน จะช่วย ให้การตัดสินใจเกิดข้อผิดพลาดได้น้อยที่สุด หรือในการตัดสินใจที่มีความยุ่งยากชับซ้อน สารสนเทศเป็นสิ่งที่เพิ่ม ความน่จะเป็นของความแน่ใจ จึงต้อง แสวงหา สารสนเทศที่เกี่ยวข้องหรือปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้น ๆ มา ใช้ในการตัดสินใจ เช่น ในการเล่นเกม...ซึ่งมีกล่องต่าง ๆ จำ นวน 5 กล่อง หน้น้ น้ า น้ าที่ที่ ที่ ข ที่ ของสารสนเทศ กล่อ ล่ ง 1 กล่อล่ง 2 กล่อล่ง 3 กล่อล่ง 4 กล่อล่ง 5 ทองคำ ถ้าถ้ใส่ทส่องไว้ใว้นกล่อล่งที่ 5 ปัญปัหาที่สำ ที่ สำคัญคัก็คืก็อคืเราจะทราบได้อด้ย่าย่งไร ว่าว่ทองบรรจุอจุยู่ใยู่ น กล่อล่งไหน ถ้าถ้เราไม่ทม่ราบอะไรเลย ความน่าจะเป็นป็ ในการ พบทองก็คืก็อคื 1 /5 แต่ถ้ต่าถ้พิธีพิกธีร บอกใบ้ใบ้ห้ว่าว่ทองจะอยู่ใยู่ นกล่อล่งเลขที่ม ที่ ากกว่าว่ 2 ก็ทำก็ทำให้ค่าค่ความน่าจะเป็นป็ที่มี ที่ โมีอกาสบอก กล่อล่งที่มี ที่ ทมีองได้ถูด้กถูต้อต้ง ความน่าจะ เป็นป็จะเท่าท่กับกั 1/3 เป็นป็ต้นต้ 7
รากฐานของการพัพั พั ฒ พั ฒนาสารสนเทศ บทที่ที่ ที่ที่ 3
ให้ความหมายวิชาสารสนเทศศาสตร์ว่า เป็นศาสตร์ที่ศึกษาถึง คุณสมบัติ และพติกรรมของสารสนเทศ การควบคุมการไหลเวียนของสาร สนเทศการเนันการเกี่ยวกับการเข้าถึงสารสนเทศและการใช้สารสนเทศให้ เกิดประโยชสูงสุดดังนั้นสารสนเทศศาสตร์จึงเป็นศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับจุด กำ เนิดของสสมเทศ การรวบรวม การจัดเก็บและจัดระบบสารสนเทศ การ ค้นคืนสารเทศ การดีความ การส่งทอด การเปลี่ยนรูปการปรับแต่ง สารสนเทศจนถึงใช้ประโยชน์จากสารสนเทศ สารสนเทศศาสตร์ร์ ร์ร์ 9
1. ความรู้และการสื่อสาร เป็นการศึกษาถึงคุณสมบัติและลักษณะเฉพาะของความรู้ การเติบโของค วามรู้ การก่อกำ เนิด การถ่ายโอน การใช้สารสนเทศ ความต้องการสารสเทศ 2. แหล่งสารสนเทศ ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับบันทึกต่างๆ ทั้งรูปแบบของวัสดุตีพิมพ์ ไม่ตีพิมพ์เพ็มข้อมูล คอมพิวเตอร์ ฐานข้อมูลคอมพิวเตอร์ หรือการบันทึกในรูปแบบอื่น ๆ แหล่ง สารสนทศปฐมภูมิ การเผยแพร่สารสนเทศ บุคลากรทางสารสนเทศ 3.ทฤษฎีการจัดเก็บและค้นคืนสารสนเทศ ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับการจัดหมวดหมู่สารสนเทศการวิเคราะห์เนื้อหา สารสนเทศ การจัดทำ ดรรชนี สาระสังเขป ศัพท์สัมพันธ์ โดยศึกษาเกี่ยวกับ ลักษณะเฉพระของปัญหาทางด้านสารสนเทศ 4.ระบบสำ หรับการจัดเก็บและค้นคืนสารสนเทศ ศึกษาเกี่ยวกับประเภทและลักษณะของผู้ใช้ ความต้องการค้นหาสารสนเทศ กลยุทธ์ของการค้นคืนสารสนเทศ การนำ เข้าสารสนเทศ ขอบข่ข่ ข่ า ข่ ายของวิวิ วิ ชวิ ชาสารสนเทศศาสตร์ร์ ร์ร์ 10
5. การเผยแพร่สารสนเทศ ด้วยการจัดเตรียมสารสนเทศให้สอดคล้องกับความต้องการใช้ ทักษะการ เขียน การพูด และเลือกช่องทางที่มีประสิทธภาพในการนำ เสมสารสนเทศให้ ถึงมือของผู้ใช้ 6. การจัดการ ศึกษาเกี่ยวกับระบบสารสนเทศ สิ่งแวดล้อมภายใน และภายนอกระบบ สารสนเทศ การประยุกต์ใช้ระบบสารสนเทศ การจัดทำ นโยบาย และการ วางแผนงานบุคคล การจัดระเบียบองค์กร 7. เทคโนโลยีและการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี เป็นการศึกษาในการนำ เทคโนโลยีมาใช้ในการสร้างจัดหาจัดระบนจัดเก็บ การค้นคืน การเผยแพร่สารสนเทศด้วยเทคโนโลยีที่เหมาะสม 8. ทักษะที่เกี่ยวข้อง เช่น การวิจัยในรูปแบบต่างๆ ภาษาศาสตร์และคณิตศาสตร์ 11
ความสัสั สั ม สั มพัพั พั น พั นธ์ธ์ ธ์ ข ธ์ ของการสื่สื่ สื่ อ สื่ อสาร และสารสนเทศ บทที่ที่ ที่ที่ 4
1. แหล่งข่าวหรือแหล่งสารสนเทศ(SOURCE OF INFORMATION) คือแหล่งสารสนเทศ หรือสารสนเทศ ข่าวสารจะอยู่ในหัวหรือในสมองมนุษย์ ถ้านำ มาถ่ายทอดก็จะก่อให้เกิดการรับรู้ (COGNITIVE) อารมณ์ความ รู้สึกOTION หรือ AFFECTION ซึ่งอาจจะเป็นการกระทำ ภายใน (CONATION) และกระทำ ภายนอก (BEHAVIOR) นอกจากสารสนเทศจะอยู่ในสมองของ มนุษย์แล้วก็อาจจะแปรรูปมาจัดเก็บในเอกสารหรือในรูปของสื่ออื่น ๆ 2. สารหรือข่าวสาร (MESSAGE) คือ สารหรือข่าวสารที่นำ มาเข้ารหัส โดยการใช้ภาษาหรือสัญลักษณ์เพื่อส่ง ออกไปแทนความหมาย (MEANING) ซึ่งถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของข่าวสารใน สมอง 3. ผู้รับสาร (RECEIVER) มนุษย์มีสมองเป็นศูนย์กลางการสื่อสาร สามารถรับรู้ (PERCEIVE) ถอดรหัส ให้เป็นความหมายและก่อให้เกิดการรู้ (COGNITION) ขึ้นภายในสมอง ส่วนRECEIVER ที่เป็นเครื่องจักรถูกจัดไว้รวมกับ MEDIA ผู้รับสารก็เช่น เดียวกันกับผู้ส่งสารซึ่งอาจจะเป็นบุคคลคนเดียวกันหรือกลุ่มบุคคล องค์ค์ ค์ปค์ ระกอบของการสื่สื่ สื่ อ สื่ อสาร 13
4. สื่อ (MEDIA) คือ สื่อที่เป็นผู้นำ สารไปยังผู้รับสื่อ เพราะข่าวสารไม่สามารถเคลื่อนที่ จากแหล่งสารไปยังผู้รับสาร ดังนั้นจึงจำ เป็นต้องมีสื่อในการนำ สาร ซึ่ง สามารถแบ่งสื่อในการนำ สารได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่สื่อมนุษย์ (HUMAN MEDIA) ตัวของมนุษย์เองก็มีศักยภาได้ทั้งผู้ส่งสาร และเป็นผู้รับสารที่ ป็นผู้ดีความหมายของข่าวสาร 5. ผลของการสื่อสาร (EFFECT) คือ ผลที่เกิดขึ้นภายในสมองของมนุษย์ผู้รับสาร เมื่อสารถูกแปรหรือถูก ถอดรหัสความหมาย กลายเป็นข่าวสารหรือสารสนเทศ ซึ่งส่งผลก่อให้ เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านปริมาณและคุณภาพ ในระบบสารสนเทศใน สมองของบุคคลนั้น ๆ การเปลี่ยนแปลงนี้อาจจะส่งผลกระทบต่ออารมณ์ และพฤติกรรมของบุคคลนั้นๆ 6. อันตรกิริยา (INTERACTION) คือ การโต้ตอบระหว่างแหล่งสารสองแหล่ง เป็นกระบวนการต่อเนื่อง ระหว่างผู้ส่งสารและผู้รับสาร ซึ่งเป็นกระบวนการสื่อสารสองทาง ทำ ให้ กระบวนการสื่อสารมีความสมบูรณ์ และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น 14
สารสนเทศจะเคลื่อนไปสู่ผู้รับสารสนเทศ จากแหล่ง ผลิตสารสนเทศไปยังผู้รับสารสนเทศ เรียกกระบวนการนี้ว่าการ ถ่ายทอดสารสนเทศ กระบวนการถ่ายทอดสารสนเทศจะสิ้นสุดก็ เมื่อผู้รับได้รับสารสนเทศนั้น แล้วก็จะทำ ความเข้าใจหรือตีความ สารสนเทศนั้น ๆ ซึ่งผู้รับสารสนเทศทุกคน เมื่อได้รับสารสนเทศ แล้ว ก็จะตีความสารสนเทศที่ได้รับ อาจจะเหมือนหรือแดกต่าง กันขึ้นอยู่กับภูมิหลังและประสบการณ์ของแต่ละบุคคล ดังนั้น ความคิดเห็นของคนที่เกิดจากการตีความสารสนเทศไม่เหมือน กันเป็นเรื่องปกติ นอกจากการตีความที่แตกต่างกัน อาจจะมี ปัญหาในกระบวนการถ่ายทอด กระบวนการถ่ถ่ ถ่ า ถ่ ายทอดสารสนเทศ 15
ทฤษฎีฎี ฎี ร ฎี ระบบ บทที่ที่ ที่ที่ 5
ระบบ หมายถึง สั่งที่ประกอบด้วยหน่วยย่อย ๆ หลายหน่วยที่มี ความสัมพันธ์กัน ทำ หนัาที่ร่วมกันเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่กำ หนด หน่วยย่อยในระบบใดระบบหนึ่ง อาจเป็นสิ่งของ วิธีการ แนวคิด สังคมและอื่นๆ เช่น ระบบราชการ ประกอบด้วยสถานที่ วิธีปฏิบัติ งาน กฎระเบียบทางราชการ ระบบ คือ การกำ หนดรูปเป็นชุดหนึ่ง ๆ ของวัตถุหรือสิ่งของต่างๆ หรือองค์ประกอบ หรือระบบย่อย ๆ ที่รวม กัน ที่มีสหสัมพันธ์กันเป็นองค์รวม เพื่อทำ หน้าที่อย่างใดอย่างหนึ่ง อย่างเป็นวงจร และมีการดำ เนินการที่ซ้ำ ๆ กัน ความหมายของระบบ รายการ 1 รายการ 2 รายการ 3 รายการ 4 รายการ 5 25 20 15 10 5 0 17
1 ) ประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ (OBJECTS) หรือสมาชิก ขององค์รวม ซึ่งอาจจะอยู่ในรูปทางกายภาพที่เป็นรูปธรรม สามารถจับต้องได้ก็ได้หรืออาจจะเป็นนามธรรมก็ได้ขึ้นอยู่ กับธรรมชาติของระบบ 2) คุณลักษณะประจำ ตัว (ATTRIBUTES) คือ คุณลักษณะหรือเอกลักษณ์ของระบบและส่วนต่าง ๆ ที่ ประกอบขึ้นเป็นระบบ 3) ปฏิสัมพันธ์ (INTERACTION) หมายถึง ความ สัมพันธ์ระหว่างสิ่งต่างๆภายในระบบ ซึ่งเป็นสิ่งที่ยุ่งยากใน การนิยามความหมายของระบขว่าสิ่งต่าง ๆ มีผลกระทบ ต่อกันหรือพึ่งพากัน 4) สิ่งแวดล้อม (ENVIRONMENT) ระบบหนึ่งๆ ไม่ สามารถดำ รงได้ด้วยความว่างเปล่า แต่ต้องอยู่และ เกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อม แบบใดแบบหนึ่ง เพราะระบบไม่สามารถลอยอยู่อย่างเป็น เอกเทศได้ ลัลั ลั ก ลั กษณะของระบบ 18
ระบบสารสนเทศ บทที่ที่ ที่ที่ 6
ระบบสารสนเทศ (INFORMATION SYSTCMS) ในทาง เทคนิคหมายถึงกลุ่มของระบบงานที่ประกอบด้วฮาร์ดแวร์ หรือตัวอุปกรณ์ และซอฟต์แวร์ หรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ที่ทำ หน้าที่รวบรวมจัดเก็บประมวลผลและแจกจ่าย สารสนเทศเพื่อการตัดสินใจและการควบคุมการดำ เนิน งานภายในองค์กรนอกจากนี้ยังช่วยในการประสานงาน ขององค์กร การวิเคราะห์ปัญหา การสร้างแบบจำ ลองวัตถุ ที่มีความชับช้อน และการสร้างผลิตภัณฑ์ ความหมายของระบบสารสนเทศ 20
การดำ เนินธุรกิจปัจจุบัน ต้องมีการปรับตัวเพื่อให้แข่งขันกับธุรกิจ อื่นในยุคโลกาภิวัตน์ การนำ เทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ประโยชน์โดย เฉพาะการ RE-ENGINEERING เป็นกระบวนการที่ชัดเจนในการประยุกต์ ใช้เทคโนโลยสารสนเทศ กับการบริหารจัดการเพื่อลดการไหลเวียน สารสนเทศในองค์กรให้สั้นลง เพื่อให้การตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วและเกิด ประสิทธิภาพกับองค์กรและเพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน ปัจจุบัน องค์กรต่างตระหนักในการใช้ความรู้เป็นวัตถุดิบมากขึ้น โดยมีการ จัดการความรู้โดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศช่วยในการบริหารจัดการเพื่อ เพิ่มประสิทธิภาพขององค์กร มีการใช้จ่ายในการลงทุนกับเทคโนโลยีค่อน ข้างมาก แล้วคาดหวังว่าการเพิ่ม ประสิทธิภาพของเทคโนโลยีสารสนเทศแล้ว จะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพ ของการบริหารจัดการด้วย แต่อันที่จริงแล้วองค์กรต่าง ๆ ระบบสารสนเทศในธุธุ ธุ ร ธุ รกิกิ กิ จ กิ จ 21
การทำ งานขององค์กรโดยรวม ได้แก่ 1. ระบบสารสนเทศทางการตลาด(MARKETING INFORMATION SYSTEMS = MKIS) 2. ระบบสารสนเทศทางการผลิต(PRODUCTION INFORMATION SYSTEM) 3. ระบบสารสนเทศทางบัญชี(ACCOUNTING INFORMATION SYSTEMS = AIS) 4. ระบบสารสนเทศทางการเงิน(FINANCIAL INFORMATION SYSTEMS) 5. ระบบสารสนเทศทางด้านทรัพยากรมนุษย์(HUMAN RESOURCE INFORMATION SYSTEMS) 6. ระบบธุรกิจแบบชาญฉลาด(BUSINESS INTELLIGENCE SYSTEMS) 22
การจัจั จั ด จั ดการสนเทศ และ การจัจั จั ด จั ดการความรู้รู้รู้รู้ บทที่ที่ ที่ที่ 7
ระบบสารสนเทศ เป็นระบบที่ทำ หน้าที่ในการให้ ข่าวสารหรือสารสนเทศ เพื่อช่วยในการตัดสินใจของผู้บริหาร ในเรื่องกระบวนการจัดองค์กร เช่นการวางแผน การจัด องค์กร และการควบคุม เพื่อให้องค์กรสามารถดำ เนินงานไป ตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้การแข่งขันในยุคปัจจุบันนี้จำ เป็นต้อง แข่งขันด้วยสารสนเทศ ดังนั้นหน่วยงานและองค์กรต่าง ๆ จึงลงทุนกับการจัดเตรียมสารสนเทศเพิ่มขึ้น เพราะ ระบบสารสนเทศเปรียบเสมือนระบบสมองอิเล็กทรอนิกส์ และ ระบบสารสนเทศถือได้ว่าเป็นสัญญาณเตือนภัยสำ หรับองค์กร เมื่อพิจารณาองค์ประกอบของระบบสารสนเทศ การจัจั จั ด จั ดโครงสร้ร้ ร้ า ร้ างของระบบสารสนเทศ 24
ขั้นที่ 1 ของการจัดการความรู้ ถูกขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศอินเทอร์เน็ต และต้นทุน ทางปัญญา โดยเห็นว่าการปรากฏตัวของอินเทอร์เน็ต และคิด ว่าอินเทอร์เน็ตจะเป็นเครื่องมือที่จะบรรลุความสำ เร็จ ขั้นที่ 2 จะเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ของมนุษย์และมิติ ทางวัฒนธรรมจากวรรณกรรมทางธุรกิจแต่ยังรวมถึงการ ประยุกต์ใช้ในการจัดการความรู้ และยังเกี่ยวข้องกับการสร้าง ความรู้และการแลกเปลี่ยนความรู้ และการสื่อสาร บริษัท HALLMARK เห็นว่าคำ สำ คัญในขั้นที่สองของการจัดการความรู้ ขั้นที่ 3 เน้นความสำ คัญของเนื้อหา (CONTENT) ความสำ คัญของการจัดการความรู้ก็คือการจัดเรียง การ พรรณนาและโครงสร้างของเนื้อหา ในขั้นที่สองการจัดการ ความรู้จะไม่มีคุณค่าเมื่อไม่มีการใช้ความรู้ แต่ในขั้นที่สามการ จัดการความรู้จะไม่มีคุณค่า พัพั พั ฒ พั ฒนาการของการจัจั จั ด จั ดการความรู้รู้รู้รู้ 25
เทคโนโลยียี ยียีสารสนเทศ บทที่ที่ ที่ที่ 8
เทคโนโลยีสารสนเทศ หมายถึงเทคโนโลยีทุกอย่างที่ เกี่ยวข้องกับสารสนเทศ เริ่มจากเทคโนโลยีที่ใช้ในการจัดเก็บ ประมวลผล แสดงผลและเผยแพร่สารสนเทศในรูปของข้อมูล ข้อความหมาย และเรื่อง โดยใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และ เทคโนโลยีโทรคมนาคม เทคโนโลยีสารสนเทศประกอบด้วยเทคโนโลยีสำ คัญสอง สาขา ได้แก่เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ ซึ่งจะช่วยในการจัดเก็บ บันทึกและการประมวลผลข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและมีความถูก ต้อง และเทคโนโลยี ความหมายของเทคโนโลยียี ยี สยี สารสนเทศ 27
เทคโนโลยีสารสนเทศกำ ลังมีบทบาทอย่างกว้างขวาง ในด้านต่างๆทั้งทางด้านเศรษฐกิจการบริการสังคม อุตสาหกรรม สิ่งแวดล้อมและการศึกษาเป็นต้น โดยเฉพาะงานทางด้านสารสนเทศมีการเปลี่ยนแปลง และพัฒนาอย่างรวดเร็วในการจัดบริการสารสนเทศเพื่อ สนองความต้องการของผู้ใช้และการจัดระบบสารสนเทศ ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เทคโนโลยีที่สำ คัญได้แก่ความ ก้าวหน้าของเทคโนโลยีสารสนเทศมีการพัฒนาอย่าง กว้างขวางมีการนำ มาใช้กับงานสารสนเทศทำ ให้การตอบ สนองความต้องการสารสนเทศทั้งทางด้านการจัดหาจัด เก็บและแพร่กระจายสารสนเทศเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว เทคโนโลยีที่สำ คัญในงานสารสนเทศ ได้แก่ 1. เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ 2. เทคโนโลยีโทรคมนาคม 3. ระบบสำ นักงานอัตโนมัติ 4. ระบบฐานข้อมูล 5. ระบบเครือข่าย เทคโนโลยียี ยี ที่ ยี ที่ ที่ เ ที่ เกี่กี่ กี่ ย กี่ ยวข้ข้ ข้ อ ข้ องกักั กั บ กั บงานสารสนเทศ 28
สารสนเทศช่ช่ ช่ ว ช่ วยในการตัตั ตั ด ตั ดสิสิ สิ น สิ นใจ บทที่ที่ ที่ที่ 9
1. รูปแบบ (MODEL) ปัญหาจะแสดงอยู่ในรูปแบบเชิงปริมาณและเชิงคุณสมบัติ 2. กฎเกณฑ์ (CRITERIA) ซึ่งแสดงให้ทราบถึงความเกี่ยวพันกับเป้าหมาย หรือ วัตถุประสงค์ของปัญหาที่จะทำ การตัดสินใจ ผู้ตัดสินใจ จำ เป็นต้องแสวงหาแนวทางที่เหมาะสม 3. เงื่อนไข (CONSTRAINS) เป็นสิ่งที่จะต้องนำ มาพิจารณาในการตัดสินใจด้วย เช่น การขาดเงินทุนหรือความไม่พร้อมในเรื่องต่างๆ 4. การหาค่าที่เหมาะสมสูงสุด (OPTIMIZATION) เมื่อทราบรูปแบบ (MODE!) ของปัญหาอย่างละเอียดแล้ว ผู้ตัดสินใจก็ต้องหาว่ามีความต้องการในเรื่องใด และสิ่งที่ สามารถดำ เนินการได้บนเงื่อนไขอย่างไร ผู้ตัดสินใจต้อง ตัดสินใจโดยเลือกวิธีการที่มีความเหมาะสมที่สุด องค์ค์ ค์ปค์ ระกอบของการตัตั ตั ด ตั ดสิสิสินสิใจ 30
โดยทั่วไปการตัดสินใจของบุคคลที่จะถือว่าเป็นคนคิด เป็น จะต้องบุคคลที่ใช้ข้อมูล 3 ประเภทพร้อมกันประกอบ การพิจารณาตัดปัญหาการคิดที่อาศัยข้อมูลเพียงประเภท ใดประเภทหนึ่งหรือเพียงสองประการยังไม่ถือว่าบุคคลผู้ นั้นเป็นคนที่คิดอย่างสมบูรณ์ ประเภทของข้อมูลแบ่งออกเป็น 3 ประเภท 1. ข้อมูลประเภทตนเอง (INFORMATION ON SELF) 2. ข้อมูลประเภทสังคมและสิ่งแวดล้อม 3. ข้อมูลประเภทวิชาการ (TECHNICAL OR BOOK KNOWLEDGE) การใช้ช้ ช้ สช้ สารสนเทศในการตัตั ตั ด ตั ดสิสิสินสิใจ 31
อ้อ้ อ้ า อ้ างอิอิ อิ ง อิ ง หนันั นั ง นั งสืสื สื อ สื อ การจัจั จั ด จั ดการสารสนเทศเบื้บื้ บื้ อ บื้ องต้ต้ ต้ น ต้ น
ผู้ผู้ผู้จัผู้จั จั ด จั ดทำทำทำทำ
ผู้ผู้ผู้จัผู้จั จั ด จั ดทำทำทำทำ นางสาวขวัญฤทัย ราญรมภ์ นักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพปีที่3 สาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ วิทยาลัยอาชีวศึกษามหาสารคาม
ผู้ผู้ผู้จัผู้จั จั ด จั ดทำทำทำทำ นางสาวกนกวรรณ รินทะรึก นักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพปีที่3 สาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ วิทยาลัยอาชีวศึกษามหาสารคาม
ผู้ผู้ผู้จัผู้จั จั ด จั ดทำทำทำทำ นางสาวสุมารินทร์ อิ่มเอิบ นักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพปีที่3 สาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ วิทยาลัยอาชีวศึกษามหาสารคาม
ผู้ผู้ผู้จัผู้จั จั ด จั ดทำทำทำทำ นางสาวพัฒลดา เทศมาตร นักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพปีที่3 สาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ วิทยาลัยอาชีวศึกษามหาสารคาม