มหาเวสสันดรชาดก
ตอน กัณฑ์มัทรี
จัดทำโดย
นางสาววิมลณัฐ หลิววงศ์กร
ม.๕/๙ เลขที่๔๐
ประวัติผู้เเต่ง
เจ้าพระยาพระคลัง (หน) เป็นกวีเอกคนหนึ่งในสมัยต้น
รัตนโกสินทร์ มีนามเดิมว่า หน เกิดเมื่อใดไม่ปรากฏหลัก
ฐานแน่ชัด น่าจะอยู่ในช่วงปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา และ
ถึงแก่อสัญกรรม ในสมัยรัชกาลที่ ๑ พ.ศ. ๒๓๔๘ ผล
งานด้านวรรณคดีที่ท่านได้แต่งไว้หลายเรื่องด้วยกัน
เจ้าพระยาพระคลัง เป็นบุตรเจ้าพระยา
บดินทร์สุรินทร์ฦๅชัย (บุญมี) กับท่านผู้หญิงเจริญ มี
บุตรธิดาหลายคน ที่มีชื่อเสียงคือ เจ้าจอมพุ่ม ในรัชกาล
ที่ ๒ เจ้าจอมมารดานิ่ม พระมารดาสมเด็จฯ กรมพระยา
เดชาดิศร (มั่ง) ในรัชกาลที่ ๒ นายเกต และนายพัด ซึ่ง
เป็นกวีและครูพิณพาทย์ เป็นต้นสกุล บุญ-หลง
ผลงาน
แต่งในสมัยกรุงธนบุรี
- ลิลิตเพชรมงกุฎ
- อิเหนาคำฉันท์
แต่งในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
- สามก๊ก (เป็นผู้อำนวยการแปล)
- ราชาธิราช (เป็นผู้อำนวยการแปล)
ลักษณะคำประพันธ์
มหาเวสสันดรชาดกเป็นมหาชาติกลอนเทศน์ มีลักษณะคำ
ประพั นธ์เป็นร่ายยาวที่มีคาถาบาลีนำ
ร่ายยาว บทหนึ่งไม่จำกัดจำนวนวรรค แต่ที่นิยม
คือตั้งแต่ ๕ วรรคขึ้นไป และแต่ละวรรคก็ไม่จำกัดจำนวนคำเช่น
กัน แต่ไม่ควรน้อยกว่า ๕ คำ ซึ่งคำสุดท้ายของวรรคหน้าจะส่ง
สัมผัสไปวรรคหลังคำใดก้ได้ แต่เว้นคำสุดท้ายของวรรคอาจจบ
ลงด้วย “คำสร้อย” (คำสร้อย เช่น ฉะนี้ ดังนี้ นั้นเกิด นั้นแล
แล้วแล ด้วยประการฉะนี้ เป็นต้น)
แผนผังและตัวอย่างร่ายยาว
ที่มาของเรื่อง
มาจากร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก ซึ่งเป็นชาดกเรื่องที่
ยิ่งใหญ่ที่สุด โดยกล่าวถึงเรื่องราวของพระโพธิสัตว์ซึ่ง
เสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดร เดิมแต่งเป็นภาษาบาลี
ต่อมามีการแปลเป็นภาษาไทยในสมัยกรุงสุโขทัย ต่อมาใน
สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ โปรดเกล้าฯให้ปราชญ์ราช
บัณฑิตแต่งมหาชาติคำหลวง ซึ่งเป็นมหาชาติสำนวนแรก
โดยมีจุดประสงค์เพื่อใช้สวด ในสมัยพระเจ้าทรงธรรม
โปรดเกล้าให้แต่งกาพย์มหาชาติ เพื่อใช้สำหรับเทศน์ แต่
เนื้อความในกาพย์มหาชาติค่อนข้างยาว ไม่สามารถเทศน์ให้
จบภายใน ๑ วัน จึงเกิดมหาชาติขึ้นใหม่อีกหลายสำนวน
เพื่อให้เทศน์จบภายใน ๑ วัน มหาชาติสำนวนใหม่นี้เรียกว่า
มหาชาติกลอนเทศน์ หรือ ร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก
ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอม
เกล้าฯโปรดเกล้าฯให้มีการชำระและรวบรวมมหาชาติกลอน
เทศสำนวนต่าง ๆ แล้วคัดเลือกสำนวนที่ดีที่สุดของแต่ละ
กัณฑ์ นำมาจัดพิมพ์เป็นฉบับของหลวง ๒ ฉบับ คือ ฉบับ
หอพระสมุดวชิรญาณ และ ฉบับกระทรวงศึกษาธิการ
เนื้อเรื่องย่อ
พระนางมัทรีฝันร้ายว่ามีบุรุษมาทำร้าย จึงขอให้พระเวสสันดรทำนายฝัน
ให้ แต่พระนางก็ยังไม่สบายพระทัย ก่อนเข้าป่า พระนางฝากพระโอรสกับ
พระธิดากับพระเวสสันดรให้ช่วยดูแล หลังจากนั้นพระนางมัทรีก็เสด็จเข้า
ป่าเพื่อหาผลไม้มาปรนนิบัติพระเวสสันดรและสองกุมาร ขณะที่อยู่ในป่า
พระนางพบว่าธรรมชาติผิดปกติไปจากที่เคยพบเห็น เช่นต้นไม้ที่เคยมีผล
ก็กลายเป็นต้นที่มีแต่ดอก ต้นที่เคยมีกิ่งโน้มลงมาให้พอเก็บผลได้ง่าย ก็
กลับกลายเป็นต้นตรงสูงเก็บผลไม่ถึง ทั้งท้องฟ้าก็มืดมิด ขอบฟ้าเป็นสี
เหลืองให้รู้สึกหวั่นหวาดเป็นอย่างยิ่ง ไม้คานที่เคยหาบแสรกผลไม้ก็พลัด
ตกจากบ่า ไม้ตะขอที่ใช้เกี่ยวผลไม้พลัดหลุดจากมือ ยิ่งพาให้กังวลใจยิ่ง
ขึ้นบรรดาเทพยดาทั้งหลายต่างพากันกังวลว่า หากนางมัทรีกลับออก
จากป่าเร็วและทราบเรื่องที่พระเวสสันดร ทรงบริจาคพระโอรสธิดาเป็น
ทาน ก็จะต้องออกติดตามพระกุมารทั้งสองคืนจากชูชก พระอินทร์จึงส่ง
เทพบริวาร ๓องค์ให้แปลงกายเป็นสัตว์ร้าย ๓ ตัว คือราชสีห์ เสือโคร่ง
และเสือเหลือง ขวางทางไม่ให้เสด็จกลับอาศรมได้ตามเวลาปกติ เมื่อล่วง
เวลาดึกแล้วจึงหลีกทางให้พระนางเสด็จกลับอาศรม เมื่อพระนางเสด็จ
กลับถึงอาศรมไม่พบสองกุมารก็โศกเศร้าเสียพระทัย เที่ยวตามหาและ
ร้องไห้คร่ำครวญ พระเวสสันดรทรงเห็นพระนางเศร้าโศก จึงหาวิธีตัด
ความทุกข์โศกด้วยการแกล้งกล่าวหานางว่าคิดนอกใจคบหากับชายอื่ น
จึงกลับมาถึงอาศรมในเวลาดึก เพราะทรงเกรงว่าถ้าบอกความจริงใน
ขณะที่พระนางกำลังโศกเศร้าหนักและกำลังอ่อนล้า พระนางจะเป็น
อันตรายได้ ในที่สุดพระนางมัทรีทรงคร่ำครวญหาลูกจนสิ้นสติไป ครั้น
เมื่อฟื้ นขึ้น พระเวสสันดรทรงเล่าความจริงว่า พระองค์ได้ประทานกุมาร
ทั้งสองแก่ชูชกไปแล้วด้วยเหตุผลที่จะทรงบำเพ็ญทานบารมี พระนางมัท
รีจึงทรงค่อยหายโศกเศร้าและทรงอนุโมทนาในการบำเพ็ญทานบารมี
ของพระเวสสันดรด้วย
ถอดความจากเนื้อเรื่อง
คืนก่อนที่พระนางมัทรีจะออกจากอาศรมไปเก็บผลไม้ในป่า พระ
กุมารทั้งสองฝันร้าย ทำให้พระนางหวั่นวิตกนึกถึงลูกตลอด
เวลาจนน้ำตาอาบแก้มทั้งสองข้าง พลางสังเกตเห็นว่าต้นที่มี
ผลไม้กลับกลายเป็นดอกไม้ ส่วนต้นที่มีดอกไม้กลับกลายเป็น
ผลไม้ขึ้นแทน ส่วนดอกไม้ที่เคยเก็บไปร้อยให้ลูกก็ถูกลมพัด
ปลิวร่วงลงมา เมื่อมองไปรอบทิศก็มืดมัวทุกหนแห่ง ท้องฟ้า
กลับกลายเป็นสีแดงคล้ายกับลางบอกเหตุร้าย สายตาของ
พระนางก็เริ่มพร่ามัว ตัวสั่นใจสั่น ของที่ถือก็หลุดจากมือ คาน
ที่หาบไว้ก็ร่วงลงจากบ่าซึ่งเหตุการณ์นี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ยิ่งพระนางคิดเท่าไร ก็ยิ่งทุกข์ใจมากขึ้นเท่านั้น
ด้วยความหวั่นใจเรื่องลูก พระนางจึงรีบเก็บผลไม้เพื่อจะได้รีบ
กลับไปหาลูกที่อาศรม แต่ระหว่างทางกลับเจอ สิงโต เสือ
เหลือง และเสือโคร่ง ขวางทางไว้ นางกลัวจนใจสั่นร่ำไห้ คิด
ไปว่าเป็นกรรมของตนเอง นางจะหนีไปทางไหนก็ไม่ได้เพราะ
ถูกสัตว์ทั้งสามกั้นไว้ทุกทิศทางจนฟ้ามืด พระนางมัทรีไม่รู้จะทำ
อย่างไร จึงยกมือไหว้อ้อนวอนขอให้สัตว์หิมพานต์ทั้งสามเปิด
ทางให้ตน โดยกล่าวว่า พระนางคือพระนางมัทรีเป็นภรรยา
ของพระเวสสันดร ตามมาอยู่ที่อาศรมในป่าด้วยความบริสุทธิ์
ใจและกตัญญูต่อสามี นี่ก็เวลาย่ำค่ำแล้วลูกคงหิวนม โปรด
เปิดทางให้พระนางกลับไปที่อาศรมแล้วตนจะแบ่งผลไม้ให้ จาก
นั้นไม่นานสัตว์หิมพานต์ทั้งสามจึงยอมเปิดทางให้ พระนางมัท
รีก็รีบวิ่งกลับไปที่อาศรมด้วยแก้มที่อาบน้ำตา
เมื่อถึงที่พักพระนางมัทรีก็ตกใจไม่เห็นลูกอยู่ในอาศรม ร้อง
เรียกหาเท่าไรก็ไม่มีใครตอบ ทั้งที่ก่อนหน้านี้จะออกมาหาแม่
กันพร้อมหน้า ทั้งกัณหาขอกินนม ส่วนชาลีจะขอกินผลไม้
พระนางมัทรีเสียใจมาก พร่ำบอกว่าที่ผ่านมาก็ดูแลลูกอย่าง
ดีแบบยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม หวังจะกลับมาพบลูกให้ชื่นใจ
ก่อนหน้านี้ยังได้ยินเสียงลูกเล่นกันอยู่แถวนี้ นั่นก็รอยเท้า
ชาลี นี่ก็ของเล่นกัณหา แต่เมื่อลูกหายไปอาศรมกลับดู
เงียบเหงาเศร้าหม่น นางจึงไปถามพระเวสสันดรว่าลูกหาย
ไปไหน เหตุใดจึงปล่อยให้คลาดสายตา หากมีสัตว์ป่าจับไป
จะทำอย่างไร แต่พระเวสสันดรกลับไม่ตอบอะไร ทำให้นาง
กลุ้มใจยิ่งไปว่าเก่า
ด้วยความกลุ้มใจ ตัวก็ร้อน น้ำตาก็ไหล กระวนกระวาย
พลางบอกว่า ไม่เคยมีครั้งใดที่นางรู้สึกแค้นเคืองใจขนาดนี้
เพราะนางออกจากเมืองมาก็หวังว่าอย่างน้อยจะได้สุขใจ
เพราะอยู่พร้อมหน้ากับลูกและสามี แต่เมื่อลูกหายตัวไป
ความหวังนั้นก็คล้ายจะดับสิ้นพระนางมัทรีอ้อนวอนขอให้
พระเวสสันดรตรัสกับนางบ้าง เพราะการนั่งนิ่งเหมือนโกรธ
เคืองพระนางมัทรีนั้นยิ่งทำให้ปวดใจราวกับมีคนเอาเหล็ก
รนไฟมาแทงที่หัวใจ หรือเป็นคนไข้ที่หมอนำยาพิษมาให้ดื่ม
อีกไม่กี่วันคงสิ้นชีวิตอย่างแน่นอน เมื่อพระเวสสันดรได้ยิน
พระนางมัทรีดังนั้น ก็คิดว่าหากใช้ความหึงหวงคงเป็นวิธี
คลายความโศกให้พระนางได้ จึงตรัสว่า ในป่าหิมพานต์แห่ง
นี้มีทั้งพระดาบสและนายพรานจำนวนมาก เจ้าออกไปเก็บ
ผลไม้ตั้งแต่เช้าจนย่ำค่ำ หากไปทำอะไรในป่าแห่งนี้ก็คงจะ
ไม่มีใครรู้เห็น เหตุใดจึงทิ้งลูกหนีเข้าไปในป่านานถึงเพียงนี้
พอกลับมายังห่วงแต่ลูก ไม่ห่วงสามีแต่อย่างใด หรือหาก
ไม่นึกถึงสามีก็ไม่ควรหายเข้าไปในป่านานถึงเพียงนี้ จะให้
เราเข้าใจได้อย่างไร
เมื่อพระนางมัทรีได้ยินดังนั้น จึงกราบทูลว่า เหตุใดพระองค์จึง
ไม่ได้ยินเสียงของราชสีห์ เสือโคร่ง และเสือเหลือง เพราะสัตว์
ทั้งสามนี้ทำให้ทำให้พระนางไม่สามารถกลับอาศรมได้ ทั้งยังเกิด
เหตุร้ายหลายประการขณะที่นางเข้าไปในป่า ทั้งของที่ถือก็หลุด
จากมือ คานที่หาบไว้ก็ร่วงลงจากบ่า ต้นไม้ที่เคยผลิดอกก็ออก
ผล ต้นไม้ที่เคยออกผลก็ผลิดอกออกมา ชวนให้หวาดกลัวจนตัว
สั่น อธิษฐานภาวนาให้ลูกและสามีปลอดภัย แล้วรีบกลับมายัง
อาศรมแต่ถูกสัตว์ร้ายทั้งสามตัวนอนขวางทางเอาไว้ จึงต้อง
กราบอ้อนวอนสัตว์ทั้งสามให้เปิดทางให้จนพระอาทิตย์ตกดิน
สัตว์ทั้งสามจึงหลีกทาง แล้วพระนางมัทรีก็รีบวิ่งกลับมายัง
อาศรมนี้ มิได้ไปทำสิ่งใดที่ไม่เหมาะไม่ควรแต่อย่างใด ฝ่ายพระ
เวสสันดรเมื่อฟังคำตอบของพระนามัทรีก็เอาแต่นิ่งเงียบทั้งคืน
จนกระทั่งรุ่งเช้า
ระหว่างนั้นพระนางมัทรีโศกเศร้าร่ำไห้ คร่ำครวญว่าตนปฏิบัติต่อ
สามีดั่งศิษย์ปฏิบัติต่อครู ดูแลลูกทั้งสองแบบยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้
ตอม ทั้งบดขมิ้นไว้ให้อาบน้ำ จัดหาอาหารมาให้มิได้ขาด แล้ว
อ้อนวอนให้สามีเรียกลูกมากินอาหารที่ตนหามา ถามว่าลูกอยู่
แห่งหนใดเหตุใดจึงยังไม่ยอมออกมา แต่ไม่ว่าจะร้องขอ
อ้อนวอนอย่างไรสามีก็นิ่งเฉยไม่เอ่ยสิ่งใดออกมา พระนางจึง
ถวายบังคมลาออกไปตามหาลูกทั้งสองในป่าหิมพานต์ เมื่อออก
ตามหาจนทั่วแล้วไม่พบจึงกลับมาที่อาศรมพบว่าพระเวสสันดร
ยังคงนั่งนิ่งอยู่เหมือนก่อนหน้านี้ไม่มีผิด พระนางจึงตัดพ้อว่า
เหตุใดพระเวสสันดรจึงยังนั่งนิ่งอยู่ไม่ลุกมาผ่าฝืน ตัดน้ำใส่บ่อ
หรือก่อไฟไว้อย่างที่เคยทำเป็นประจำทุกวัน พร้อมกับบอกว่า
พระเวสสันดรนั้นเป็นที่รักของพระนางมัทรีอย่างยิ่ง เมื่อกลับมา
จากป่าเห็นพระพั กตร์ของพระองค์และได้เห็นลูกทั้งสองวิ่งเล่น
ก็คลายความเหนื่อยล้าเป็นปลิดทิ้ง แต่วันนี้กลับกลายเป็นความ
ทุกข์ร้อน เศร้าโศก เพราะพระองค์ไม่ยอมตรัสสิ่งใดกับพระนาง
แม้พระนางมัทรีจะได้ออกตามหาพระกัณหาและพระชาลีไปทั่วป่า
ทั้งราตรี แล้วกลับมาหาพระเวสสันดรอย่างไรพระองค์ก็ไม่ยอม
ตรัสสิ่งใดอยู่เช่นเดิม นางมัทรีสะอื้นไห้จนหมดสติล้มลงกับพื้น
พระเวสสันดรบรรพชาเป็นดาบสมากว่า 7
เดือน ไม่เคยได้แตะต้องตัวพระนางมัทรี แต่
วันนี้ด้วยความเศร้าโศกและตระหนกตกใจ
เกรงว่าพระนางจะเป็นอะไรไป พระเวสสันดร
จึงเข้าไปตรวจชีพจรดูแลนางจนได้สติตื่นฟื้ น
ขึ้นมา ฝ่ายพระนางมัทรีเมื่อฟื้นขึ้นมาก็ทูลถาม
อีกครั้งว่าลูกทั้งสองอยู่แห่งหนใด กลับมา
แล้วหรือไม่ พระเวสสันดรจึงตอบว่าตนได้ยก
พระกัณหากับพระชาลีให้กับชูชกไปแล้ว แต่
พระองค์มิได้บอกกับพระนางมัทรีตั้งแต่ต้น
เกรงว่าพระนางจะเศร้าโศกเสียใจ เมื่อได้รู้
ความจริงแล้ว พระนางมัทรีจึงคลายความ
ทุกข์เศร้าลงแล้วอนุโมทนาบุญกับบุตรทานที่
พระเวสสันดรได้ปฏิบัติในครั้งนี้
ข้อคิด
๑. ความรักของแม่ที่มีต่อลูกนั้นยิ่งใหญ่นัก
๒. ผู้ที่จะปรารถนาสิ่งต่างๆ อันยิ่งใหญ่จะต้องทำ
ด้วยความอดทนและเสียสละอันยิ่งใหญ่
๓. ความซื่อสัตย์ระหว่างสามีภรรยาทำให้ชีวิต
ครอบครัวมีความสุข
๔. ผู้มีปัญญาย่อมแก้ไขเหตุการณ์เฉพาะหน้าได้ดี
๕. การบริจาคบุตรทารทานหรือทานบุตรบารมี
เป็นสิ่งที่กระทำได้ยากยิ่ง ไม่มีใครจะทำได้ง่ายๆ