The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ประวัติศาสตร์จังหวัดลำปาง

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

ประวัติศาสตร์จังหวัดลำปาง

ประวัติศาสตร์จังหวัดลำปาง



ประวตั ิศาสตรจ์ งั หวดั ลาปาง

จงั หวดั ลําปางเป็นท่ตี งั้ เมอื งโบราณท่มี คี วามสําคญั ของประวตั ิศาสตร์ และโบราณคดมี า
ตงั้ แต่สมยั หรภิ ุญไชย คอื ราวต้นพุทธศตวรรษท่ี ๑๓ มชี ่อื เรยี กในตํานานเป็น ภาษาบาลวี ่า "เขลางค์
นคร" คาํ วา่ "ลคร" (นคร) เป็นชอ่ื สามญั ของเมอื งเขลางค์ ซง่ึ นยิ มเรยี กกนั อยา่ งแพรห่ ลาย ปรากฏอย่ใู น
ตํานานศลิ าจารกึ และพงศาวดารส่วนภาษาพดู โดยทวั่ ไปเรยี กว่า "ละกอน" ดงั นนั้ เมอื งลคร (นคร) จงึ
หมายถงึ บรเิ วณอนั เป็นทต่ี งั้ ของ เขลางค์ ซง่ึ ตงั้ อย่บู นฝงั่ ตะวนั ตกของแมน่ ้ําวงั ในเขตตําบลเวยี งเหนือ
อําเภอเมอื ง จงั หวดั ลําปางในปจั จุบนั ส่วนคําว่า "ลําปาง" ปรากฏช่อื อย่ใู นตํานานวดั พระธาตุลําปาง
หลวง ซง่ึ เรยี กเป็นภาษาบาลวี ่า "ลมั ภกปั ปะ" ตงั้ อย่ใู นเขตตําบลลําปางหลวง อําเภอเกาะคา จงั หวดั
ลาํ ปาง อยหู่ า่ งจากตวั จงั หวดั ไปทางทศิ ใตร้ าว ๑๖ กโิ ลเมตร เป็นทป่ี ระดษิ ฐานของพระธาตุลําปางหลวง
ในปจั จบุ นั

คาํ ว่านครลาํ ปาง เป็นช่อื เรยี กเมอื งนครลาํ ปางตงั้ แต่สมยั เจา้ ทพิ ยช์ า้ งเป็นต้นมา ทงั้ น้ีเพราะ
ได้อพยพผู้คนจากลําปางหลวงมายงั เมอื งลคร แล้วเจ้าทพิ ย์ช้างได้รบั การ สถาปนาเป็นเจา้ เมอื ง จงึ
เรยี กชอ่ื เมอื งว่า นครลาํ ปาง ตงั้ แต่บดั นนั้ เป็นตน้ มา

นครลาํ ปางยคุ แรกหรอื สมยั เขลางค์นคร ซง่ึ คน้ ไดจ้ ากตํานานมลู ศาสนาชนิ กาล มาลปี กรณ์
ตํานานจามเทววี งศ์ ตํานานไฟมา้ งกลั ป์ ตํานานรตั นพมิ พวงศ์ และพงศาวดารโยนก กล่าวว่า เมอื งน้ี

สรา้ งขน้ึ ราวต้นพุทธศตวรรษท่ี ๑๓ ประมาณปี พ.ศ. ๑๒๐๔ พระฤษีวาสุเทพ ซ่งึ อาศยั อยู่บรเิ วณ

เชงิ ดอยสุเทพ ไดร้ ว่ มกบั พระสุกกทนั ตฤษแี ห่งเมอื งละโว้ (ลพบุร)ี สรา้ งเมอื งหรภิ ุญไชย (ลําพนู ) แลว้

ทูลขอผู้ปกครองจากพระเจา้ ลพราช กษตั รยิ ก์ รุงละโว้ พระองค์ได้ประทาน พระนางจามเทวี พระราช

ธดิ าให้มาเป็นผู้ครองนครพร้อมกบั ได้นําพระภกิ ษุสงฆ์ ผู้รอบรู้พระไตรปิฎก พราหมณ์ราชบณั ฑติ

แพทย์ ช่างฝีมอื ดี เศรษฐี คหบดี อย่างละ ๕๐๐ คน ตามเสด็จข้นึ มาด้วย ในขณะท่เี สด็จข้นึ มานัน้

พระนางทรงครรภ์ เมอ่ื ประทบั อยหู่ รภิ ุญไชยได้ ๗ วนั ไดป้ ระสูตโิ อรสฝาแฝด ๒ องค์ นามว่า มหนั ตยศ

กุมาร หรอื มหายศและอนันตยศกุมารหรอื อินทรวร เม่อื กุมารทงั้ ๒ เจรญิ วยั พระนางจามเทวไี ด้

ราชาภเิ ษกเจา้ มหายศใหเ้ ป็นกษตั รยิ ป์ กครองหรภิ ุญไชย ส่วนเจา้ อนันตยศเป็นอุปราช ต่อมา เจา้

อนนั ตยศมพี ระประสงคไ์ ปสรา้ งเมอื งใหม่ พระฤาษวี าสเุ ทพ จงึ ไดแ้ นะนําใหไ้ ปหาพรานเขลางค์ ทเ่ี ข

ลางคบ์ รรพต หรอื ภเู ขาสองยอด ครนั้ เมอ่ื พบแลว้ พรานเขลางคจ์ งึ ไดพ้ าไปพบ พระสุพรหมฤาษบี นดอย

งาม แลว้ ขออาราธนาใหช้ ่วยสรา้ งเมอื ง พระสุพรหมฤาษแี ละพรานเขลางคไ์ ดเ้ ลอื กหาชยั ภมู ิ ท่ี
เหมาะสม แลว้ สรา้ งเมอื งขน้ึ บนฝงั่ ตะวนั ตกของแมน่ ้ําวงั (วงั กตนิ ท)ี เม่อื พ.ศ. ๑๒๒๓ โดยสรา้ งเป็น

สเ่ี หลย่ี มจตั ุรสั ตามแบบอยา่ งเมอื งหรภิ ุญไชย แลว้ ขนานนามว่า เขลางคน์ คร แลว้ อญั เชญิ เจา้ อนนั ตยศ

ขน้ึ เป็นกษตั รยิ ป์ กครอง ทรงนามว่า พระเจา้ อนิ ทรเกงิ กร

เมืองเขลางค์ : สมยั หริภญุ ชยั

เมอื งเขลางค์ตัง้ อยู่ในเขตตําบลเวียงเหนือ สร้างข้นึ ใน พ.ศ. ๑๒๒๓ มรี ูปร่างเป็น
รูปส่เี หล่ยี มจตั ุรสั กําแพงเมอื งชนั้ ล่างเป็นคนั ดนิ ๓ ชนั้ ชนั้ บนเป็นอฐิ สนั นิษฐานว่า สร้างต่อเตมิ ข้นึ



ภายหลัง มีความยาววัดโดยรอบ ๔,๔๐๐ เมตร เน้ือท่ีประมาณ ๖๐๐ ไร่ มี ประตูเมืองท่ีสําคัญ
ไดแ้ ก่ ประตมู า้ แระตูผาบ่อง ประตูท่านาง ประตูต้นผง้ึ ประตูปอ่ ง ประตูนกกด และประตูตาล ปู
ชนยี สถานทส่ี าํ คญั ไดแ้ ก่ วดั พระแกว้ ดอนเต้า ซง่ึ ครงั้ หน่งึ เคย เป็นทป่ี ระดษิ ฐานของพระพุทธ มหา
มณรี ตั นปฏมิ ากร (พระแกว้ มรกต) ระหว่าง พ.ศ. ๑๙๓๒ - ๒๐๑๑ นอกจากน้ียงั มโี บราณสถานทส่ี ําคญั
อกี หลายแห่ง ไดแ้ ก่ วดั อุโมงคซ์ ง่ึ เป็นวดั รา้ งอยู่ บรเิ วณประตูตาล ส่วนวดั ทอ่ี ยนู่ อกกําแพงเมอื งไดแ้ ก่วดั
ปา่ พรา้ ว วดั พนั เชงิ วดั กู่ขาว หรอื เสตกุฎาราม ซง่ึ เคยเป็นทป่ี ระดษิ ฐานของพระสกิ ชปี ฏมิ ากร วดั กู่แดง
วดั กู่คาํ ระหวา่ งวดั กู่ขาวมายงั เมอื งเขลางคก์ ม็ แี นวถนนโบราณทอดเขา้ ส่ตู วั เมอื งสนั นิษฐานว่า สรา้ งใน
สมยั ท่พี ระนางจามเทวเี สดจ็ มาประทบั ท่เี มอื งเขลางค์ใช้เช่อื มเมอื งเขลางค์กับเขตพ ระราชสถาน ท่ี
เรยี กวา่ อาลมั พางคน์ คร และใชเ้ ป็นเขอ่ื นกนั้ น้ําเพ่อื ทดน้ําเขา้ ส่ตู วั เมอื ง

เมืองเขลางค์ : สมยั ลานนาไทย

ใน พ.ศ. ๑๘๒๔ พระเจา้ มงั รายไดแ้ ผ่ขยายอํานาจเขา้ ครอบครองหรภิ ุญชยั พระยาญบี า
เจา้ เมอื งสไู้ ม่ได้ จงึ อพยพหนีมาพง่ึ พระยาเบกิ โอรสยงั เมอื งเขลางคน์ คร ต่อมา ใน พ.ศ. ๑๘๓๘ พระยา
เบกิ ได้ยกกองทพั ไปตเี มอื งหรภิ ุญชยั คนื แต่พ่ายแพ้กลบั มา ขุนคราม โอรสของพระเจา้ มงั รายยก
กองทพั ตดิ ตามมาทนั ปะทะกนั ท่ตี ําบลแม่ตาน ปรากฏว่าพระยาเบกิ เสยี ชวี ติ ในการสู้รบ ส่วนพระยา
ญบี าเม่อื ทราบขา่ ว จงึ พาครอบครวั หนีไปพง่ึ พระยาพษิ ณุโลก เจา้ เมอื งสองแคว (พษิ ณุโลก) ประทบั
อยทู่ น่ี นั่ จนสน้ิ พระชนม์ จงึ นบั วา่ เป็นการสน้ิ วงศเ์ จา้ ผคู้ รองเมอื งเขลางคร์ นุ่ แรก

เมอ่ื ขนุ ครามตเี มอื งเขลางคไ์ ดแ้ ลว้ จงึ แต่งตงั้ ใหข้ ุนไชยเสนาเป็นผรู้ งั้ เมอื งสบื ต่อมา ขนุ ไชย
เสนาไดส้ รา้ งเมอื งขน้ึ ใหม่ เมอ่ื พ.ศ. ๑๘๔๕ เป็นเมอื งเขลางคร์ นุ่ สอง

เมอื งเขลางคท์ ส่ี รา้ งขน้ึ ในสมยั ลานนาไทย มเี น้อื ทป่ี ระมาณ ๑๘๐ ไร่ อยถู่ ดั จากเมอื ง เข
ลางค์เดมิ ลงไปทางทศิ ใต้ กําแพงเมอื งก่อด้วยอฐิ วดั ความยาวโดยรอบได้ ๑,๑๐๐ เมตร มปี ระตูเมอื ง
ทส่ี ําคญั ได้แก่ ประตูเชยี งใหม่ ประตูนาสรอ้ ย ประตูปลายนา โบราณสถานท่สี ําคญั ได้แก่ วดั ปลายนา
ซง่ึ ปจั จบุ นั เป็นวดั รา้ ง และวดั เชยี งภมู ิ ปจั จบุ นั คอื วดั ปงสนุก

ในระยะต่อมาได้รวมเมืองเขลางค์ทัง้ สองแห่งเข้าด้วยกัน ดังปรากฏหลักฐานทาง
สถาปตั ยกรรมลานนาไทยก่อนรบั อทิ ธพิ ลของพมา่ เช่นทว่ี ดั พระแกว้ ดอนเตา้

เมืองเขลางค์ : เมืองนครลาปาง

เมอื งเขลางคร์ ะยะน้มี ชี อ่ื เรยี กว่าเมอื งนครลาํ ปาง ซง่ึ ปจั จบุ นั เป็นทต่ี งั้ ของศาลากลางจงั หวดั
และตลาดเมอื งลําปาง มพี น้ื ท่ปี ระมาณ ๓๕๐ ไร่ กําแพงก่อด้วยอฐิ ยาว ๑,๙๐๐ เมตร สร้างเม่อื พ.ศ.
๒๓๕๑ ในสมยั เจ้าหอคําดวงทพิ ย์ (ปจั จุบนั อยู่ในแนวถนนรอบเวยี ง) โบราณสถานท่สี ําคญั ได้แก่
หออะมอ๊ ก (หอปืนใหญ่โบราณ) วดั กลางเวยี งหรอื วดั บญุ วาทยว์ หิ าร วดั น้ําลอ้ ม วดั ปา่ ดวั๊ ะ

ความสาคญั ของเมืองเขลางคส์ มยั ราชวงศม์ งั ราย (พ.ศ. ๑๘๔๕ - ๒๑๐๑)

ในสมยั ราชวงศ์มงั ราย เขลางค์นครเป็นเมอื งหน้าด่านท่สี ําคญั ของอาณาจกั รลานนาไทย
ปรากฏชอ่ื ในตาํ นานพน้ื เมอื งว่าเมอื งนคร เจา้ เมอื งมยี ศเป็นหมน่ื ในสมยั พระเจา้ ตโิ ลกราช เชยี งใหม่ทาํ



สงครามเพ่อื แยง่ ชงิ หวั เมอื งไทยเหนือกบั กรงุ ศรอี ยธุ ยาสมยั สมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถ นครลาํ ปางเป็น
แหล่งชมุ นุมทพั ทส่ี าํ คญั ของพระเจา้ ตโิ ลกราชทรงแต่งตงั้ ใหห้ มน่ื ดง้ นครเป็นเจา้ เมอื ง จนกระทงั่ สามารถ
ตเี มอื งเชลยี งไวไ้ ด้ ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๐๕๘ สมเดจ็ พระรามาธบิ ดที ่ี ๒ ไดย้ กกองทพั มาตี นครลาํ ปาง
โดยเขา้ ทางประตูนางเหลย่ี ว แลว้ อญั เชญิ พระสขิ ปี ฏมิ ากร ซง่ึ เป็นพระพทุ ธรปู สาํ คญั ไปจากวดั กู่ขาว

นครลําปางเป็นหวั เมอื งสําคญั ของลานนาไทย มาจนถึงสมยั พระเจ้าบุเรงนอง กษัตรยิ ์
แห่งกรงุ หงสาวดี ไดแ้ ผอ่ าํ นาจเขา้ ครอบครองเชยี งใหม่ เมอ่ื พ.ศ. ๒๑๐๑ นบั ตงั้ แต่นนั้ มาลานนาไทย ทงั้
ปวงจงึ ตกอย่ภู ายใตก้ ารปกครองของพม่ามาเป็นเวลานานกว่า ๒๐๐ ปี บางครงั้ กต็ กอย่ภู ายใต้อํานาจ
ของกรงุ ศรอี ยธุ ยาบา้ ง เช่น ในสมยั สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราชและสมยั สมเดจ็ พระนารายณ์มหาราช

ยคุ แห่งการกอบก้บู า้ นเมืองของชาวนครลาปาง

นบั ตงั้ แต่สมยั พระเจา้ บุเรงนองเป็นตน้ มา พมา่ ไดจ้ ดั สง่ เจา้ นายมากาํ กบั การปกครอง หวั
เมอื งลานนาไทย โดยมศี นู ยก์ ลางการปกครองอยทู่ เ่ี ชยี งใหม่ ต่อมาระยะหลงั ได้ ยา้ ยไปอยทู่ ่ี เชยี งแสน

การปกครองของพมา่ ระยะหลงั มไิ ดม้ ่งุ ใหห้ ัวเมอื งลานนาไทยเป็นประเทศราชอยา่ งแทจ้ รงิ
ดงั แต่ก่อน เพราะมกี ารกบฏบ่อยครงั้ ประกอบกบั พม่าตอ้ งทําสงครามกบั มอญ จงึ ปกครองชาวลานนา
อย่างกดข่แี ละเข้มงวดกวดขนั ยง่ิ ข้นึ ทําให้ชาวลานนาไทยหลายกลุ่มลุกฮือข้นึ ต่อสู้ แต่ก็ไม่สําเร็จ
จนกระทงั่ ถงึ สมยั ของเจา้ พระยาสุลวะลอื ไชยสงคราม หรอื "หนานทพิ ยช์ า้ ง" สามารถขบั ไล่พม่าออก
จากเมอื งลาํ ปางไดส้ าํ เรจ็ ต่อมาบา้ นเมอื งกป็ ระสบความวุ่นวายอกี ทางเมอื งนครลาํ ปางเกดิ การแย่ง ชงิ
อํานาจ ระหว่างเจา้ ชายแกว้ (ลูกของหนานทพิ ยช์ า้ ง) เจา้ เมอื งนครลําปาง กบั ทา้ วลน้ิ ก่าน เจา้ เมอื งคน
เดมิ แต่เจา้ ชายแกว้ สไู้ ม่ได้ จงึ หนีไปพง่ึ เจา้ เมอื งแพร่ ภายหลงั จากทพ่ี มา่ กลบั เขา้ มามอี ํานาจใน ลาน
นาไทยอีก ได้พจิ ารณาคดนี ้ี โดยให้เจา้ ชายแก้วและทา้ วล้นิ ก่านดําน้ําแข่งกนั ปรากฏว่าท้าวล้นิ ก่าน
พา่ ยแพ้ จงึ ถูกพมา่ ประหารชวี ติ พรอ้ มทงั้ รบิ ทรพั ยส์ นิ และครอบครวั สาํ หรบั สถานทท่ี ด่ี าํ น้ําชงิ เมอื ง อยู่
บรเิ วณหน้าวดั ปงสนุก ซง่ึ แม่น้ําวงั ไหลผ่านในสมยั นนั้ ยงั มศี าลทา้ วลน้ิ ก่านปรากฏอยตู่ รงขา้ ง วดั
ปงสนุกมาจนกระทงั่ ทกุ วนั น้ี

พม่าแต่งตงั้ ใหเ้ จา้ ชายแก้วเป็นท่ี "เจา้ ฟ้าหลวงไชยแก้ว" ครองเมอื งนครลําปาง แต่พม่า
ยงั ปกครองชาวนครลาํ ปางอยา่ งกดขท่ี ารณุ อยู่ หากผใู้ ดขดั ขนื กจ็ ะถูกลงโทษอยา่ งหนกั นบั ตงั้ แต่ การ
จองจํา รบิ ทรพั ยส์ มบตั ิ ลูกเมยี ไปจนถงึ การประหารชวี ติ อนั เป็นสภาวะท่ชี าวนครลําปางสุดแสนจะ
ทนทานต่อไปได้

ดังนั้นเม่ือพระเจ้ากรุงธนบุรี ทรงมีบัญชาให้เจ้าพระยาจักรี และเจ้าพระยาสุรสีห์
(รชั กาลท่ี ๑ และสมเดจ็ พระบวรราชเจา้ กรมพระราชวงั บวรมหาสุรสงิ หนาท) ยกกองทพั ไปตเี ชยี งใหม่
ในปี พ.ศ. ๒๓๑๔ เจา้ กาวลิ ะ (โอรสของเจา้ ฟ้าหลวงชายแก้ว) จงึ พาอนุชาทงั้ หกเขา้ สวามภิ กั ดิ ์ แลว้ นํา
ทหารชาวนครลําปางเข้าสมทบยกข้นึ ไปตีเชยี งใหม่พม่าได้จบั เจ้าฟ้ าหลวงชายแก้วไว้เป็นประกัน
เม่อื กองทพั ไทยยกข้นึ ไปเชยี งใหม่ เจ้ากาวลิ ะ จงึ นําทหารชาวนครลําปางตีหกั เขา้ เมอื งได้ก่อนช่วย
พระบดิ าออกจากทค่ี ุมขงั ไดส้ าํ เรจ็ แลว้ นํากาํ ลงั สมทบกบั กองทพั ไทยใตต้ พี มา่ แตกพ่ายไป

ความดคี วามชอบครงั้ น้ี เจา้ กาวลิ ะได้รบั พระบรมราชโองการ โปรดเกลา้ ฯ แต่งตงั้ ให้เป็น
เจา้ เมอื ง "นครลาํ ปาง" และต่อมาเลอ่ื นเป็นเจา้ เมอื งเชยี งใหมต่ ามลาํ ดบั



ความสมั พนั ธร์ ะหว่างนครลาปางกบั กรงุ เทพฯ ในสมยั รตั นโกสินทรต์ อนต้น

ความสมั พนั ธ์ระหว่างนครลําปางกับกรุงเทพฯ เป็นผลสบื เน่ืองมาจากเจ้ากาวลิ ะและ
พระอนุชา ได้นําเอาบ้านเมอื งเข้าสวามิภกั ดิต์ ่อกองทพั ไทยท่ียกข้นึ ไปตีพม่าท่เี ชียงใหม่ ใน พ.ศ.
๒๓๑๔

เม่ือพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้ าจุฬาโลกมหาราช เสด็จข้ึนครองราชสมบัติ
ความสมั พนั ธ์ระหว่างเจ้านครลําปางกบั ราชวงศ์จกั รมี คี วามผูกพนั กนั แน่นแฟ้นยงิ่ ขน้ึ เพราะเจา้ นาย
ฝ่ายเหนือต้องการสวามภิ ักดิต์ ่อคนไทยด้วยกัน นอกจากน้ียงั มคี วามสัมพนั ธ์ในระบบเครือญาติ
เน่อื งจากสมเดจ็ พระบวรราชเจา้ กรมพระราชวงั บวรสุรสงิ หนาทไดส้ ่ขู อเจา้ ศรอี โนชา กนิษฐาของเจา้ กาวิ
ละเป็นชายาทางกรุงเทพฯก็ได้ให้ความช่วยเหลอื แก่เมอื งนครลําปางอย่างสม่ําเสมอด้วยดตี ลอดมา
บรรดาเจา้ นายฝ่ายเหนือไดร้ บั ยกย่องใหม้ ฐี านะสูงขน้ึ เป็นถงึ เจา้ ประเทศราช อย่างไรก็ตามพม่ากม็ ไิ ด้
ลดละความพยายามทจ่ี ะกลบั เขา้ มามอี ทิ ธพิ ลในลานนาไทยอกี เพ่อื ใชเ้ ป็นแหล่งสะสมผู้คนและเสบยี ง
อาหาร เขา้ โจมตกี รงุ เทพ ฯ

สงครามคราวพม่าตีนครลาปาง และป่ าซาง (พ.ศ. ๒๓๓๐)

หลงั จากทพ่ี ระเจา้ ปะดุงพ่ายแพแ้ ก่กองทพั ไทยไปจากสงครามเก้าทพั (พ.ศ. ๒๓๒๘) และ

สงครามทท่ี ่าดนิ แดง (พ.ศ. ๒๓๒๙) แลว้ บรรดาหวั เมอื งประเทศราชลอ้ื เขนิ ของพมา่ แถบเมอื งเชยี งตุง

เชยี งรุ้ง เมอื งสาด เมอื งปุก็พากนั กระด้างกระเด่อื งแขง็ เมอื ง พระเจา้ ปะดุงจงึ โปรดให้ยกกองทพั ไป

ปราบปรามใน พ.ศ. ๒๓๓๐ โดยมหี วนุ่ ยมี หาชยั สุระเป็นแม่ทพั ใหญ่ คุมรพ้ี ล ๔๕,๐๐๐ คน ลงมาทางหวั

เมอื งไทยใหญ่ ครนั้ ยกมาถงึ เมอื งนายไดแ้ บ่งกําลงั ออกเป็นสองส่วนออกปราบบรรดาหวั เมอื งทก่ี ระดา้ ง

กระเด่อื ง สําหรบั กองทพั พม่าทย่ี กเขา้ ทางหวั เมอื งลานนาไทย จอข่องนรทาเป็นแม่ทพั คุมรพ้ี ล ๕,๐๐๐

คน ยกลงมายดึ เมอื งฝางไวเ้ ป็นแหล่งชุมนุมพล และสะสมเสบยี งอาหารไวร้ อกําลงั ส่วนใหญ่เพ่อื เตรยี ม

เขา้ ตนี ครลาํ ปาง
ฝา่ ยโปมะยุงว่ นเจา้ เมอื งเชยี งใหม่ซง่ึ หลบหนีกองทพั ไทยไปอย่เู มอื งเชยี งแสนมกี ําลงั รกั ษา

บ้านเมอื งไม่มากนัก เพราะกําลงั ส่วนหน่ึงถูกเกณฑ์ไปช่วยทํานาท่ีเมอื งฝาง จงึ ทําให้พระยาแพร่

ชอื มงั ชยั และพระยายองเหน็ เป็นโอกาสคุมกําลงั เขา้ โจมตเี มอื งเชยี งแสนโปมะยงุ ว่ นสไู้ มไ่ ดห้ นีไปอาศยั

อยกู่ บั พระยาเชยี งราย จงึ ถูกพระยาเชยี งรายควบคุมตวั ส่งแก่ พระยาแพร่ และพระยายอง แลว้ พระยา

แพรแ่ ละพระยายองคุมตวั สง่ แก่เจา้ กาวลิ ะ ทน่ี ครลาํ ปางเน่อื งจากเหน็ ว่าโปมะยงุ ว่ นเป็นบุคลสําคญั ระดบั

เจา้ เมอื ง ทางนครลาํ ปางจงึ คมุ ตวั ส่งลงไปถวายยงั กรงุ เทพฯ การจบั โปมะยงุ ่วนเป็นเชลยได้ กลายเป็น
ผลดตี ่อฝา่ ยไทยอยา่ งมาก เพราะไดน้ ําตวั ไปสอบสวนขอ้ ราชการสงคราม ทาํ ใหท้ ราบขา่ ว แน่ชดั ว่า

พม่าเตรยี มกองทพั เขา้ มาตนี ครลาํ ปางในฤดูแลง้ เม่อื ตไี ดแ้ ลว้ กจ็ ะกลบั ไปตงั้ มนั่ อย่ทู ่ีเชยี งใหม่ อกี ครงั้

หน่ึง(คาํ ใหก้ ารของโปมะยงุ ่วนต่อมากลายเป็นเอกสารสาํ คญั ทางประวตั ศิ าสตรฉ์ บบั หน่ึง ท่ี

เรยี กวา่ คาํ ใหก้ ารของชาวองั วะ)

การท่พี ม่ามนี โยบายเขา้ มายดึ เชียงใหม่เป็นท่มี นั่ นับว่าเป็นอนั ตรายต่อบรรดาหวั เมอื ง
เหนอื ทงั้ ปวง ดงั นนั้ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั จงึ คดิ หาทางป้องกนั ไวก้ ่อน โดยมพี ระบรมราชโองการ



ให้เจ้ากาวลิ ะแบ่งครอบครวั จากนครลําปางส่วนหน่ึง ข้นึ ไปรกั ษาเมอื งเชยี งใหม่ ส่วนทางเมอื งนคร
ลาํ ปางโปรดใหเ้ จา้ คาํ โสมอนุชา เจา้ กาวลิ ะเป็นเจา้ เมอื งสบื แทน เน่ืองจากมกี ําลงั น้อยเจา้ กาวลิ ะเหน็ ว่า
ไม่เพยี งพอท่จี ะรกั ษาเมอื งเชยี งใหม่ ท่อี ย่ใู นสภาพทรุดโทรม เพราะเป็นเมอื งรา้ งมาหลายปี ดงั นัน้ จงึ
อพยพครอบครัวไปตัง้ ท่ีป่าซางก่อนเป็นการชัว่ คราว โดยมีกองทหารจากเมืองสวรรคโลก
และกําแพงเพชรยกขน้ึ มาช่วยป้องกนั บา้ นเมอื ง ในระหว่างนัน้ ไดร้ วบรวมผูค้ นทก่ี ระจดั กระจายบรเิ วณ
ชายแดน มาไวใ้ นบา้ นเมอื งตามนโยบายทเ่ี รยี กว่า "เกบ็ ผกั ใส่ซา้ เกบ็ ขา้ ใส่เมอื ง" แต่ยงั ไมท่ นั จะอพยพ
ขน้ึ ไปตงั้ มนั่ ทเ่ี ชยี งใหม่ พมา่ กไ็ ดย้ กกองทพั มาโจมตเี สยี ก่อน ดงั นนั้ จงึ ตงั้ มนั่ อยทู่ ป่ี า่ ซางถงึ ๕ ปี เศษ

ครนั้ ถึงฤดูแล้ง พ.ศ. ๒๓๓๐ กองทพั ของหวุ่นยมี หาชยั สุระยกลงจากเชียงตุงเข้ายดึ
เชยี งใหมค่ นื ตเี ชยี งรายแลว้ เขา้ สมทบกบั กองทพั ของจอขอ้ งนรทาทฝ่ี าง รวมรพ้ี ลได้ ราว ๓๐,๐๐๐ คน
ยกลงมาทางเมอื งพะเยา เขา้ ตนี ครลําปาง ส่วนทางป่าซางพระเจา้ ปะดุงทรงมรี บั สงั่ ใหย้ แี ข่งอุเมงคโี ป
คุมกําลงั ๑๖,๐๐๐ คน* จากเมอื งเมาะตะมะ เขา้ โจมตลี ้อมไว้ป้องกนั มใิ ห้ยกไปช่วยทางนครลําปาง
ฝา่ ยกองทพั พม่าท่ลี อ้ มนครลําปาง เจา้ คําโสมไดน้ ําทพั ชาวเมอื งต่อสู้ป้องกนั บ้านเมอื งไวอ้ ย่างเขม้ แขง็
พมา่ พยายามเขา้ ปลน้ เมอื งหลายครงั้ แต่ไมส่ าํ เรจ็ จงึ ตงั้ คา่ ยลอ้ มไวใ้ หข้ าดเสบยี งอาหาร

ขณะนนั้ ทางกรงุ เทพฯ กาํ ลงั เตรยี มกองทพั จะไปตเี มอื งทวาย ครนั้ ทราบขา่ วการศกึ ทางหวั
เมอื งเหนือ จงึ โปรดให้พระอนุชาธริ าช สมเด็จพระบวรราชเจ้า กรมพระราชวงั บวรมหาสุรสิงหนาท
ยกขน้ึ มาช่วย พอยกขน้ึ มาถงึ นครลําปาง โปรดให้ตงั้ ค่ายโอบลอ้ ม พมา่ ไวอ้ กี ชนั้ หน่ึง เม่อื พรอ้ มแล้วก็
ส่งสญั ญาณให้กองกําลงั ในเมอื งตีกระหนาบออกมาพร้อมกัน พม่าสู้ไม่ได้จงึ แตกพ่ายหนีกลบั ไปยงั
เชยี งแสน ส่วนทป่ี า่ ซางกองทพั ไทยกไ็ ดย้ กขน้ึ ไปช่วยตกี ระหนาบขา้ ศกึ แตกพ่ายไป เชน่ เดยี วกนั

ภายหลงั เสรจ็ จากการศกึ สงครามคราวน้ี เจา้ กาวลิ ะเจา้ เมอื งเชยี งใหมแ่ ละเจา้ คาํ โสม เจา้
เมอื งนครลาํ ปาง ไดพ้ าพระอนุชา (เจา้ เจด็ ตน) เขา้ เฝ้าสมเดจ็ พระบวรราชเจา้ กรมพระราชวงั บวรมหา
สรุ สงิ หนาท แลว้ ถวายพระพทุ ธสหิ งิ คใ์ หน้ ําไปประดษิ ฐาน ณ กรงุ เทพ ฯ มาจนกระทงั่ ทุกวนั น้ี

ในปีจุลศกั ราช ๑๑๘๑ (พ.ศ. ๒๓๓๗) เจา้ กาวลิ ะไดเ้ รยี กพระอนุชาทงั้ ๖ เขา้ เฝ้าแล้ว
มโี อวาทคําสอน โดยมุ่งให้มคี วามจงรกั ภกั ดีต่อพระมหากษัตรยิ ์แห่งราชวงศ์จกั รี ซ่งึ มสี าระสําคญั
ตอนหน่งึ วา่

"ตงั้ แต่เจา้ เราทงั้ หลายไปภายหน้าสบื ไป ถึงชวั่ ลูก ชวั่ หลาน เหลน หลดี หล้ี ตราบส้นิ
ราชตระกูลแห่งเราทงั้ หลาย แม้นว่าลูกหลาน เหลน หลดี หล้ี บุคคลใดยงั มใี จใคร่กบฏ คดิ สู้รบกบั
พระมหากษตั รยิ เ์ จา้ แหง่ ราชวงศจ์ กั รี แลว้ เอาตวั และบา้ นเมอื งไปพง่ึ เป็น ขา้ มา่ น ขา้ ฮ่อ ขา้ กูลา ขา้ แก๋ว
ขา้ ญวน ขอผนู้ นั้ ใหว้ นิ าศฉิบหาย ตายวาย พลนั ฉิบหายเหมอื นกอกลว้ ย พลนั มว้ ยเหมอื นกอเลา กอคา
ตายไปแล้วก็ขอให้ตกนรกแสนมหากัปป์ อย่าได้เกิดได้งอก ผู้ใดยงั อยู่ตามโอวาทคําสอนแห่งเรา
อนั เป็นเจา้ พ่ี กข็ อใหอ้ ยสู่ ขุ วฒุ จิ าํ เรญิ ขอใหม้ เี ตชะฤทธอี นุภาพปราบชนะศตั รมู ฑี ฆี า อายมุ นั่ ยนื ยาว"

* หลกั ฐานใน "ไทยรบพม่า" หน้า ๕๙๓ วา่ ช่อื เลตะละสหี ะสงิ ครนั เป็นแม่ทพั จาํ นวนพล ๓๕,๐๐๐ คน



สงครามคราวพม่าตีเชียงใหม่ (พ.ศ. ๒๓๔๐)

ภายหลงั จากกองทพั พม่าพ่ายแพ้แก่กองทัพไทยไป เม่อื ครงั้ ตีนครลําปางแล ะป่าซาง
ในปี พ.ศ. ๒๓๓๐ เจา้ กาวลิ ะจงึ ไดอ้ พยพผู้คนจากป่าซาง ขน้ึ ไปตงั้ มนั่ ทเ่ี ชยี งใหม่ ใน พ.ศ. ๒๓๓๙
ยงั จดั ราชการบ้านเมอื งไม่เป็นท่เี รยี บรอ้ ย พม่ากย็ กกองทพั เขา้ มาโจมตี ใน พ.ศ. ๒๓๔๐ ทงั้ น้ีเพราะ
พระเจ้าปะดุงยงั คดิ เสยี ดายอาณาเขตในแคว้นลานนาไทยอยู่ จงึ สัง่ ให้เนมะโยกยอดินสีหะสุระคุม
กองทพั มาประชุมพลทเ่ี มอื งนาย รวมรพ้ี ล ๕๕,๐๐๐ คน จดั เป็น ๗ กองทพั พม่าจดั วางกําลงั ลอ้ มเมอื ง
เชยี งใหม่ไว้อย่างแน่นหนาถงึ ๓ ชนั้ ประสงค์จะตหี กั เอาเมอื งให้ได้ แต่เจ้ากาวลิ ะก็สามารถคุมกําลงั
ป้องกนั เมอื งไวไ้ ด้

ทางกรุงเทพฯเม่อื ทราบข่าวศึกเมอื งเชยี งใหม่จงึ โปรดให้สมเด็จพระบวรราชเจ้า กรม
พระราชวงั บวรมหาสุรสงิ หนาท เสดจ็ ยกกองทพั ขน้ึ มาช่วยเหลอื ประชุมทพั ท่นี ครลําปาง ส่งกองทพั
หน้าเขา้ ตคี ่ายพมา่ ซง่ึ สกดั อยทู่ ล่ี าํ พนู และปา่ ซางแตกพ่ายไป แลว้ กองทหารชาวนครลาํ ปางไดส้ มทบกบั
กองทพั หลวง รวม ๔๐,๐๐๐ คน ยกขน้ึ ไปตกี ระหนาบพมา่ ทล่ี อ้ มเชยี งใหม่แตกพ่ายไปอยา่ งยบั เยนิ จบั
เชลยอาวุธ และชา้ งมา้ พาหนะไวไ้ ดจ้ าํ นวนมาก

สงครามขบั ไล่พม่าออกจากเขตแดนลานนาไทย (พ.ศ. ๒๓๔๕ - ๒๓๔๗)

ภายหลงั จากกองทพั พม่าพ่ายแก่กองทพั ไทยในสงครามพม่าตเี ชยี งใหม่แล้ว ต่อมาในปี
พ.ศ. ๒๓๔๔ เจา้ กาวลิ ะได้เกณฑ์กําลงั จากหวั เมอื งเหนือไปโจมตเี มอื งสาด หวั เมอื งประเทศราชของ
พม่าเป็นการตอบแทนบ้าง จบั ได้เจ้าเมอื งกบั ลูกชายรวมทงั้ ทูตพม่าซ่งึ ส่งไปเจรญิ สมั พนั ธไมตรกี ับ
ตงั เกยี๋ ลงไปถวายยงั กรงุ เทพฯ นอกจากน้ยี งั กวาดตอ้ นครอบครวั ชาวเมอื งสาดประมาณ ๕,๐๐๐ คน มา
ใส่บ้านเมอื ง เหตุการณ์ครงั้ น้ีทําให้พระเจ้าปะดุงขดั เคืองมาก จงึ โปรดให้อินแซะหวุ่น คุมกองทพั
๔๐,๐๐๐ คน มาตเี ชยี งใหม่ ใน พ.ศ. ๒๓๔๕

สมเดจ็ พระบวรราชเจา้ กรมพระราชวงั บวรมหาสุรสงิ หนาท เสดจ็ ยกกองทพั ไทยขน้ึ มาช่วย
เหมอื นครงั้ ก่อน ครนั้ ถงึ เมอื งเถนิ พระองค์ประชวรเป็นโรคนิ่ว ไม่สามารถ เสด็จต่อไปได้อกี จงึ แต่ง
กองทพั ขน้ึ มาสมทบกบั กองทพั ของนครลาํ ปาง ขน้ึ ไปช่วยทางเชยี งใหม่จนสามารถขบั ไล่พมา่ แตกพ่าย
ไป เม่อื เสรจ็ สงคราม เจา้ กาวลิ ะเจา้ เมอื งเชยี งใหม่ และเจา้ ดวงทพิ เจา้ เมอื งนครลําปาง ไดพ้ ากนั ไปเฝ้า
สมเดจ็ พระอนุชาธริ าชทเ่ี มอื งเถนิ ทรงมรี บั สงั่ ใหช้ ่วยกนั ขบั ไลพ่ ม่าออกจากเชยี งแสนใหไ้ ด้ แลว้ พระองค์
เสดจ็ กลบั ถงึ กรงุ เทพ ฯ ไดไ้ มน่ านกท็ วิ งคต

พอถงึ ฤดูแลง้ กองทพั หลวงมเี จา้ ฟ้ากรมหลวงเทพหรริ กั ษ์และเจา้ พระยายมราช พรอ้ มดว้ ย
กองทพั ของเชยี งใหม่ นครลาํ ปาง น่าน และเวยี งจนั ทน์ ยกไปตเี ชยี งแสนใน พ.ศ. ๒๓๔๗ แต่ปรากฏว่า
การบงั คบั บญั ชากองทพั ไม่เดด็ ขาด เน่ืองจากมหี ลายกองทพั ส่วนกองทพั วงั หลวงท่ยี กขน้ึ ไปนัน้ ก็
ไมต่ งั้ ใจทาํ สงครามอยา่ งเตม็ ท่ี เน่อื งจากถูกปรบั โทษจากการยกไปตเี ชยี งใหมล่ ่าชา้ ตงั้ ลอ้ มเชยี งแสนอยู่
ได้ ๒ เดือน กองทัพชาวใต้ ได้เลิกทัพกลับเสีย ก่อนคงเหลือแต่กองทัพของลานนาไทย และ
เวยี งจนั ทน์ยงั คงลอ้ มเชยี งแสนต่อไป จนกระทงั่ ในทส่ี ดุ ชาวเชยี งแสนลกั ลอบเปิดประตูเมอื งใหเ้ น่ืองจาก
เหน็ ว่าเป็นพวกเดยี วกนั จงึ สามารถ ยดึ เชยี งแสนไวไ้ ด้ เจา้ กาวลิ ะสงั่ ใหร้ อ้ื กําแพงเมอื ง และทําลายเมอื ง



เพ่อื มใิ ห้เป็นทม่ี นั่ ของขา้ ศกึ อกี ต่อไป แล้วอพยพครอบครวั ชาวเชยี งแสนลงมา ไดค้ รอบครวั ประมาณ
๒๐,๐๐๐ คนแบ่งออกเป็น ๕ ส่วน ส่งลงไปกรงุ เทพฯ ส่วนหน่ึง ซง่ึ ต่อมาไดไ้ ปตงั้ หลกั แหล่งอยทู่ อ่ี ําเภอ
เสาไห้ จงั หวดั สระบุรี ในปจั จบุ นั ทเ่ี หลอื ส่งไปเวยี งจนั ทน์ น่าน เชยี งใหม่และนครลาํ ปาง ชาวเชยี งแสน
ทอ่ี พยพลงมาอยทู่ น่ี ครลาํ ปางอาศยั อยแู่ ถบบรเิ วณวดั ปงสนุกสบื ต่อลกู หลานกนั มา จนถงึ ปจั จบุ นั

ความดคี วามชอบในครงั้ น้ีเจ้ากาวลิ ะได้รบั บําเหน็จความชอบมาก โปรดให้สถาปนาเป็น
พระเจ้าเชียงใหม่มฐี านะเป็นเจ้าประเทศราช หลงั จากตีเมอื งเชียงแสนได้กองทพั ของลานนาไทย
ประกอบด้วย เชียงใหม่ นครลําปาง แพร่ เมืองเถิน น่าน รว มทัง้ กองทัพของลานช้างได้แก่
หลวงพระบางและเวยี งจนั ทน์ รว่ มกนั ยกขน้ึ ไปตเี มอื งยอง เมอื งลอ้ื เมอื งเขนิ เมอื งเชยี งตุง เมอื งเชยี งรงุ้
เมอื งเชยี งแขง ตลอดจนบรรดาหวั เมอื งต่างๆ แถบไทยใหญ่ ล้อื เขนิ มาเป็นข้าขอบขณั ฑสมี าของ
กรงุ เทพฯ ทําใหอ้ าณาเขตของ ไทยแผ่ออกไปกวา้ งใหญ่ไพศาลยง่ิ กว่าครงั้ ใดๆ นบั ตงั้ แต่นนั้ มาบรรดา
หวั เมอื งลานนาไทย ทงั้ ปวงจงึ ปลอดภยั จากการรกุ รานของพมา่ ขา้ ศกึ ดว้ ยเดชะพระบารมแี ห่งบรมราช
จกั รวี งศ์

การจดั รปู การปกครองเมืองตามระบอบมณฑลเทศาภิบาล

เพ่อื ความเข้าใจเร่อื งน้ีเสยี ก่อนในเบ้อื งต้น จงึ ขอนําคําจาํ กดั ความของ "การเทศาภบิ าล"
ซ่งึ พระยาราชเสนา (สิริ เทพหสั ดนิ ณ อยุธยา) อดตี ปลดั ทูลฉลอง กระทรวงมหาดไทยตพี มิ พ์ไว้
ซง่ึ มคี วามว่า

"การเทศาภิบาล คือ การปกครองโดยลักษณะท่ีจัดให้มีหน่วยบริหารราชการ อัน
ประกอบดว้ ยตําแหน่งขา้ ราชการต่างพระเนตรพระกรรณของพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อย่หู วั และเป็นท่ี
ไว้วางใจของรฐั บาลของพระองค์ รบั แบ่งภาระของรฐั บาลกลาง ซ่งึ ประจํา แต่เฉพาะในราชธานีนัน้
ออกไป ดาํ เนนิ งานในส่วนภมู ภิ าคใหไ้ ดใ้ กลช้ ดิ กบั อาณาประชากร เพอ่ื ใหเ้ ขาไดร้ บั ความรม่ เยน็ เป็นสุข
และ เกดิ ความเจรญิ ทวั่ ถงึ กนั โดยมรี ะเบยี บแบบแผนอนั เป็นคุณประโยชน์แก่ประเทศชาตดิ ว้ ย จงึ แบ่ง
เขตการปกครองโดยขนาดลดหลนั่ กนั เป็นขนั้ อนั ดบั กนั ดงั น้ีคอื ส่วนใหญ่เป็นมณฑล รองถดั ลงไปเป็น
เมอื ง คอื จงั หวดั รองไปอกี เป็นอําเภอ ตําบล และหมบู่ า้ น จดั แบ่งหน้าทร่ี าชการเป็นส่วนสดั แผนกงาน
ให้ สอดคล้องกบั ทํานองการของกระทรวงทบวงกรมในราชธานี และจดั สรรขา้ ราชการทม่ี คี วามรู้
สติปญั ญา ความประพฤตดิ ี ให้ไปประจาํ ทํางานตามตําแหน่งหน้าท่มี ใิ ห้มกี ารก้าวก่ายสบั สนกนั ดงั ท่ี
เป็นมาแต่ก่อน เพอ่ื นํามาซง่ึ ความเจรญิ เรยี บรอ้ ยและรวดเรว็ แก่ราชการและธุรกจิ ของประชาชน ซง่ึ ตอ้ ง
อาศยั ทาง ราชการเป็นทพ่ี ง่ึ ดว้ ย"

จากคําจาํ กดั ความดงั กล่าวขา้ งต้น ควรทาํ ความเขา้ ใจบางประการเกย่ี วกบั การจดั ระเบยี บ
การปกครองแบบเทศาภบิ าล ดงั น้ี

การเทศาภบิ าล นัน้ หมายความรวมว่า เป็น "ระบบ" การปกครองอาณาเขต ซง่ึ เรยี กว่า
"การปกครองส่วนภมู ภิ าค" ส่วน "มณฑลเทศาภบิ าล" นนั้ คอื ส่วนหน่ึงของการปกครองแบบเทศาภบิ าล
ระบบเทศาภบิ าลเป็นระบบท่รี ฐั บาลกลางจดั ส่งขา้ ราชการส่วนกลางไปบรหิ ารราชการในทอ้ งท่ตี ่างๆ
แทนท่ีส่วนภูมภิ าคจะจดั ปกครองกันเองเช่นท่ีเคยปฏิบัติมาแต่เดิม ซ่ึงเรยี กว่าการปกครองแบบ



"กนิ เมอื ง" ดงั นัน้ ระบบการปกครองแบบเทศาภบิ าลจงึ เป็นระบบการปกครองซง่ึ รวมอํานาจเขา้ มาไว้

ในส่วนกลาง และรดิ รอนอาํ นาจของเจา้ เมอื งลงอยา่ งสน้ิ เชงิ

นอกจากน้ีมขี อ้ ท่คี วรทําความเข้าใจอกี ประการหน่ึง คอื ในสมยั รชั กาลท่ี ๕ ก่อนปฏริ ูป

การปกครองก็มกี ารรวมหวั เมอื งเข้าเป็นมณฑลแล้ว แต่มณฑลสมยั นัน้ หาใช่มณฑลเทศาภิบาลไม่

ดงั จะอธิบายโดยย่อดังน้ี เม่อื พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หวั พระปิยมหาราช ทรง

พระราชดํารจิ ะจดั การปกครองพระราชอาณาจกั รให้มนั่ คง และเป็นอนั หน่ึงอนั เดยี วกนั ทรงเหน็ ว่าหวั

เมอื งอนั มมี าแต่เดมิ แยกกนั ขน้ึ อย่ใู นกระทรวงมหาดไทยบ้าง กระทรวงกลาโหมบ้าง และกรมท่าบ้าง

การบงั คบั บญั ชาหวั เมอื งในสมยั นัน้ แยกกนั อย่ถู งึ ๓ แห่ง ยากทจ่ี ะจดั ระเบยี บปกครองใหเ้ ป็นระเบยี บ

เรยี บรอ้ ย เหมอื นกนั ไดท้ วั่ ราชอาณาจกั ร ทรงพระราชดาํ รวิ ่าควรจะรวมการบงั คบั บญั ชาหวั เมอื งทงั้ ปวง

ให้ข้ึนอยู่ในกระทรวงมหาดไทยกระทรวงเดียว จึงมีพระบรมราชโองการแบ่งหน้าท่ีระหว่าง

กระทรวงมหาดไทย กับกระทรวงกลาโหมเสียใหม่ เม่อื วนั ท่ี ๒๓ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๔๓๕ เม่อื ได้

มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยปกครองหวั เมอื งทงั้ ปวงแลว้ จงึ ได้รวบรวมหวั เมอื งเขา้ เป็นมณฑลมี

ขา้ หลวงใหญ่ เป็นผปู้ กครอง การจดั ตงั้ มณฑลในครงั้ นนั้ มอี ยทู่ งั้ สน้ิ ๖ มณฑล คอื มณฑลลาว

เฉียงหรอื มณฑลพายพั มณฑลลาวพวนหรอื มณฑลอุดร มณฑลลาวกาวหรอื มณฑลอสี าน มณฑลเขมร
หรอื มณฑลบูรพา และมณฑลนครราชสมี า ส่วนหวั เมอื งทางฝงั่ ทะเลตะวนั ตกรวมเป็นมณฑลภูเก็ต

บญั ชาการอยทู่ เ่ี มอื งภเู กต็

การจัดรวบรวมหัวเมืองเข้าเป็น ๖ มณฑลดังกล่าวน้ี ยังมิได้มีฐานะเหมือนมณฑล

เทศาภบิ าล การจดั ระบบการปกครองมณฑลเทศาภบิ าลไดเ้ รมิ่ อยา่ งแทจ้ รงิ เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๓๗ เป็นต้นมา

และกม็ ไิ ดด้ าํ เนินการจดั ตงั้ พรอ้ มกนั ทเี ดยี วทวั่ ราชอาณาจกั ร แต่ไดจ้ ดั ตงั้ เป็นลาํ ดบั ดงั น้ี

พ.ศ. ๒๔๓๗ เป็นปีแรกท่ไี ดว้ างแผนงาน จดั ระเบยี บการบรหิ ารมณฑลแบบใหม่เสรจ็

กระทรวงมหาดไทยได้จดั ตงั้ มณฑลเทศาภบิ าลขน้ึ ๓ มณฑล คอื มณฑลพษิ ณุโลก มณฑลปราจนี บุรี

มณฑลนครราชสมี า ซ่งึ เปล่ยี นแปลงจากสภาพมณฑลแบบเก่า มาเป็นแบบใหม่และเม่อื โปรดเกล้าฯ

ให้โอนหวั เมอื งทงั้ ปวงซ่งึ เคยข้นึ อยู่ในกระทรวงกลาโหมและกระทรวงการต่างประเทศมาข้นึ อยู่กบั

กระทรวงมหาดไทยกระทรวงเดยี วแลว้ จงึ ไดร้ วมหวั เมอื งจดั เป็นมณฑลราชบรุ ขี น้ึ อกี มณฑลหน่งึ

พ.ศ. ๒๔๓๘ ไดร้ วบรวมหวั เมอื งจดั เป็นมณฑลเทศาภบิ าลขน้ึ อกี ๓ มณฑล คอื มณฑล
นครชยั ศรี มณฑลนครสวรรค์ และมณฑลกรุงเก่าและไดแ้ ก้ไขระเบยี บการจดั มณฑลฝา่ ยทะเลตะวนั ตก

คอื ตงั้ เป็นมณฑลภเู กต็ ใหเ้ ขา้ รปู ลกั ษณะของมณฑลเทศาภบิ าลอกี มณฑลหน่งึ

พ.ศ. ๒๔๓๙ ได้รวมหัวเมืองมณฑลเทศาภิบาลข้ึนอีก ๒ มณฑล คือ มณฑล

นครศรธี รรมราช และมณฑลชุมพร

พ.ศ. ๒๔๔๐ ไดร้ วมหวั เมอื งมะลายตู ะวนั ตกเป็นมณฑลไทรบุรี และไดต้ งั้ มณฑลเพชรบูรณ์

ขน้ึ อกี มณฑลหน่งึ ในปี พ.ศ. ๒๔๔๒

พ.ศ. ๒๔๔๓ ไดเ้ ปลย่ี นแปลงสภาพการปกครองมณฑลอกี ๓ มณฑล คอื มณฑลพายพั

มณฑลอุดร และมณฑลอสี าน ใหเ้ ป็นมณฑลเทศาภบิ าล

พ.ศ. ๒๔๔๗ ยบุ มณฑลเพชรบรู ณ์ เพราะเหน็ ว่ามแี ต่จะสน้ิ เปลอื งคา่ ใชจ้ า่ ย

๑๐

พ.ศ. ๒๔๔๙ จดั ตงั้ มณฑลปตั ตานแี ละมณฑลจนั ทบุรี
พ.ศ. ๒๔๕๐ ตงั้ มณฑลเพชรบรู ณ์ขน้ึ อกี ครงั้ หน่งึ
พ.ศ. ๒๔๕๑ จาํ นวนมณฑลลดลง เพราะไทยต้องยอมยกมณฑลไทรบุรใี หแ้ ก่ องั กฤษเพ่อื
แลกเปลย่ี นกบั การแกไ้ ขสญั ญาคา้ ขาย และเพอ่ื จะกยู้ มื เงนิ องั กฤษมาสรา้ งทางรถไฟสายใต้
พ.ศ. ๒๔๕๕ ไดแ้ ยกมณฑลอสี านออกเป็น ๒ มณฑล มชี ่อื ใหมว่ ่า มณฑลอุบล และมณฑล
รอ้ ยเอด็
พ.ศ. ๒๔๕๘ จดั ตงั้ มณฑลมหาราษฎรข์ น้ึ โดยแยกออกจากมณฑลพายพั

การจดั รปู การปกครองในสมยั ปัจจบุ นั

การปรบั ปรุงระเบยี บการปกครองหวั เมอื งเม่อื มกี ารเปล่ยี นแปลงการปกครองประเทศ
เป็นระบอบประชาธปิ ไตยนัน้ ปรากฏตามพระราชบญั ญตั ริ ะเบยี บบรหิ ารแห่งราชอาณาจกั รสยาม พ.ศ.
๒๔๗๖ จดั ระเบยี บราชการบรหิ ารส่วนภูมภิ าค ออกเป็นจงั หวดั และอําเภอ จงั หวดั มฐี านะเป็นหน่วย
บรหิ ารราชการแผน่ ดนิ มขี า้ หลวงประจาํ จงั หวดั และกรมการจงั หวดั เป็นผบู้ รหิ าร เมอ่ื ก่อนเปลย่ี นแปลง
การปกครอง นอกจากจะแบ่งเขตการปกครองออกเป็น จงั หวดั และอําเภอแลว้ ยงั แบ่งเขตการปกครอง
ออกเป็นมณฑลอีกด้วย เม่ือได้มีการประกาศ ใช้พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแห่ง
ราชอาณาจกั รสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ จงึ ไดย้ กเลกิ มณฑลเสยี เหตุทย่ี กเลกิ มณฑลน่าจะเน่อื งจาก

๑) การคมนาคมส่อื สารสะดวกและรวดเรว็ ขน้ึ กวา่ แต่ก่อน สามารถทจ่ี ะสงั่ การและตรวจตรา
สอดส่องไดท้ วั่ ถงึ

๒) เพ่อื ประหยดั คา่ ใชจ้ า่ ยของประเทศใหน้ ้อยลง
๓) เหน็ ว่าหน่วยมณฑลซอ้ นกบั หน่วยจงั หวดั จงั หวดั รายงานกจิ การต่อมณฑล มณฑล
รายงานต่อกระทรวง เป็นการชกั ชา้ โดยไมจ่ าํ เป็น
๔) รฐั บาลในสมยั เปลย่ี นแปลงการปกครองใหม่ มนี โยบายทจ่ี ะใหอ้ ํานาจแก่ ส่วนภูมภิ าค
ยงิ่ ขน้ึ และการทย่ี บุ มณฑลกเ็ พ่อื ใหจ้ งั หวดั มอี ํานาจนนั่ เอง
ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๙๕ รฐั บาลไดอ้ อกพระราชบญั ญตั ริ ะเบยี บบรหิ ารราชการแผ่นดนิ อกี
ฉบบั หน่งึ ในส่วนทเ่ี กย่ี วกบั จงั หวดั มหี ลกั การเปลย่ี นแปลงไปจากเดมิ ดงั น้ี
๑) จงั หวดั มฐี านะเป็นนิตบิ ุคคล แต่จงั หวดั ตามพระราชบญั ญตั ิว่าด้วยระเบยี บบรหิ าร
แหง่ ราชอาณาจกั รสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ หามฐี านะเป็นนิตบิ ุคคลไม่
๒) อํานาจบรหิ ารในจงั หวดั ซง่ึ แต่เดมิ ตกอย่แู ก่คณะบุคคล ไดแ้ ก่ คณะกรมการจงั หวดั นนั้
ไดเ้ ปลย่ี นแปลงมาอยกู่ บั บคุ คลคนเดยี ว คอื ผวู้ า่ ราชการจงั หวดั
๓) ในฐานะคณะกรมการจงั หวดั ซ่งึ แต่เดมิ เป็นผู้มอี ํานาจหน้าท่บี รหิ ารราชการแผ่นใน
จงั หวดั ไดก้ ลายเป็นคณะเจา้ หน้าทท่ี ป่ี รกึ ษาของผวู้ า่ ราชการจงั หวดั
ต่อมาได้มกี ารแก้ไขปรบั ปรุงกฎหมาย ว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินตามนัย
ประกาศของคณะปฏวิ ตั ิ ฉบบั ท่ี ๒๑๘ ลงวนั ท่ี ๒๙ กนั ยายน ๒๕๑๕ โดยจดั ระเบยี บบรหิ ารราชการ
ส่วนภมู ภิ าคเป็น

๑๑

๑) จงั หวดั
๒) อาํ เภอ
จงั หวดั นัน้ ได้รวมท้องท่หี ลายๆ อําเภอข้นึ เป็นจงั หวดั มฐี านะเป็นนิติบุคคล การตงั้ ยุบ
และเปลย่ี นแปลงเขตจงั หวดั ใหต้ ราเป็นพระราชบญั ญตั ิ และให้มคี ณะกรรมการจงั หวดั เป็นทป่ี รกึ ษา
ของผวู้ า่ ราชการจงั หวดั ในการบรหิ ารราชการแผ่นดนิ ในจงั หวดั นนั้ 

 ทม่ี า : ประวตั ิมหาดไทยภมู ิภาคจงั หวดั ลาปาง. ลาํ ปาง : กจิ เสรกี ารพมิ พ,์ ๒๕๒๘.


Click to View FlipBook Version