พระบิดาแห่งเทคโนโลยีของไทย
และพระบิดาแห่งนวัตกรรมไทย
พระบิดาแห่งเทคโนโลยีของไทย
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีอัจฉริยภาพ
ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจนเป็นที่ประจักษ์ไปทั่วโลกด้วยเหตุนี้
ประเทศไทยจึงให้ความสำคัญกับการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและได้
กำหนดให้ วันที่ 19 ตุลาคม เป็นวันเทคโนโลยีของไทย วันเทคโนโลยีของไทย
สาเหตุที่กำหนดให้วันที่ 19 ตุลาคม เป็นวัน
เทคโนโลยีของไทย เนื่องจาก เมื่อวันที่ 19
ตุลาคม พ.ศ. 2515 หรือเมื่อ 50 ปีที่แล้ว ด้วย
พระปรีชาสามารถในการค้นคว้าทดลองและ
ปฏิบัติการทำฝนหวังผล ให้ตกในพื้นที่เป้าหมาย
ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ประเทศสิงคโปร์ที่
กำลังประสบภาวะแห้งแล้งอย่างรุนแรงเช่นเดียว
กับสภาวะแห้งแล้งในพื้นที่ภาคใต้ตอนบน ได้แก่
จังหวัดเพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์ในขณะนั้น
ขอส่งนักวิทยาศาสตร์มาสังเกตการณ์และขอรับ
ถ่ายทอดประสบการณ์และความเชี่ยวชาญใน การปฏิบัติการทำฝนหวังผลใน
ประเทศไทย ในการนี้ทรงพระกรุณารับบัญชาการปฏิบัติการสาธิตด้วยพระองค์เอง
ทรงกำหนดให้อ่างเก็บน้ำของเขื่อนแก่ง
กระจาน อำเภอแก่งกระจาน
จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งมีพื้นที่ผิวน้ำเพียง
46.5 ตารางกิโลเมตรหรือ 1,162.5 ไร่
เป็นพื้นที่เป้าหมายหวังผลในการปฏิบัติ
การทำฝนสาธิตครั้งนี้ ซึ่งเป็นเป้าหมายที่
เล็กที่สุดเท่าที่เคยปฏิบัติการค้นคว้า
ทดลองและปฏิบัติการทำฝนหวังผลที่ผ่านมา ทรงปฏิบัติการฯสาธิตใน19ตุลาคม 2515
ณ ศูนย์บัญชาการฯ สันเขื่อนแก่งกระจาน ทรงสามารถบังคับหรือชักนำฝนให้ตกลงสู่
อ่างเก็บน้ำเขื่อนแก่งกระจานอย่างแม่นยำ ภายในเวลาประมาณ 5 ชั่วโมง
นับจากเริ่มปฏิบัติการ เป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาและเป็นที่น่าอัศจรรย์แก่นัก
วิทยาศาสตร์สิงคโปร์ และข้าราชบริพารที่เป็นข้าราชการและข้าราชบริพารระดับสูงที่
เฝ้า สังเกตการณ์อยู่ ณ ที่นั้น ต่างประทับใจในพระมหากรุณาธิคุณและพระปรีชา
สามารถ
การสาธิตฝนครั้งนั้น ถือเป็นต้นกำเนิดเทคโนโลยีฝนหลวงที่พัฒนาเป็นการทำ
ฝนมาถึงปัจจุบัน และเพื่อจารึกไว้เป็นเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ของชาติ
ไทย ในวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2543 คณะรัฐบาลจึงมีมติให้เทิดพระเกียรติ
พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
ทรงเป็น "พระบิดาแห่งเทคโนโลยีของไทย"
และกำหนดให้วันที่ 19 ตุลาคมของทุกปีเป็น "วันเทคโนโลยีของไทย" เพื่อ
เป็นการแสดงความจงรักภักดีและรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จ
พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยมาโดยตลอด โดยได้
ทรงศึกษาค้นคว้าวิจัย และทรงนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาประยุกต์ใช้แก้ไขปัญหาความ
เดือดร้อนของประชาชน ตลอดจนเป็นการแสดงเทคโนโลยีที่คิดค้นประดิษฐ์ และ
พัฒนาโดยคนไทย เพื่อเป็นการกระตุ้นให้สาธารณชนเกิดความเชื่อมั่นและเข้า
ร่วมพัฒนาเทคโนโลยีของไทย
และเมื่อวันที่ 17 ม.ค. 2558 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลย
เดช เสด็จพระราชดำเนินจากพระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล อ.หัวหิน
จ.ประจวบคีรีขันธ์ ไปยังเขื่อนแก่งกระจาน ของกรมชลประทาน ต.แก่ง
กระจาน อ.แก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี
โอกาสนี้ทรงทอดพระเนตรการสาธิตการปฏิบัติการฝนหลวง
จำลองซึ่งได้ทรงเล่าพระราชทานแก่ผู้ตามเสด็จว่า เมื่อวันที่ 19 ต.ค. 2515
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จพระราชดำเนินไป
ทรงบัญชาการปฏิบัติการทำฝนหลวงสาธิตแก่นักวิทยาศาสตร์สิงคโปร์
ณ เขื่อนแก่งกระจาน ทรงบังคับให้ฝนตกลงตรงเป้าหมาย ท่ามกลางสายตา
ของผู้แทนต่างประเทศข้าราชการและพสกนิกรชาวไทย ที่มารับเสด็จ ซึ่งต่าง
ชื่นชมในพระปรีชาสามารถถือเป็นต้นกำเนิดเทคโนโลยีฝนหลวงที่พัฒนามา
จนถึงปัจจุบันคณะรัฐมนตรีจึงมีมติถวายพระราชสมัญญา พระบาทสมเด็จ
พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ว่า "พระบิดาแห่งเทคโนโลยีของไทย"และ
กำหนดให้วันที่ 19 ต.ค.ของทุกปี “เป็นวันเทคโนโลยีไทย” เพื่อจารึก
เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ของชาติไทยในวันนั้นศูนย์ฝนหลวง
หัวหิน กรมฝนหลวงและการบินเกษตร ได้สาธิตปฏิบัติการฝนหลวงตาม
เทคนิคที่ได้พระราชทานเมื่อปี 2543 ซึ่งเป็นเทคนิคใหม่ล่าสุดใช้ในสภาวะ
อากาศยากลำบาก เป็นสูตรการกระตุ้นให้เกิดเมฆโดยใช้เครื่องบินเซสน่า
คาราแวน 4 ลำ พระปรีชาของพระบิดาแห่งเทคโนโลยี นอกจาก "โครงการ
ฝนหลวง" แล้ว พระองค์ยังทรงเป็นนักประดิษฐ์ และนักวิทยาศาสตร์ ดัง
จะเห็นได้จากโครงการในพระราชดำริ และที่เป็นสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ หลายด้าน
ตัวอย่างเช่น
กังหันน้ำชัยพัฒนา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้
ทรงประดิษฐ์คิดค้น "เครื่องกลเติมอากาศที่ผิวน้ำหมุนช้าแบบทุ่นลอย" หรือ
"กังหันชัยพัฒนา"
เพื่อทำหน้าที่เติมออกซิเจนลงไปในน้ำ เป็นการลดมลภาวะทางน้ำถือได้ว่า เป็น
ประวัติศาสตร์ของการออกสิทธิบัตรแก่สิ่งประดิษฐ์ของไทย
การออกแบบสายอากาศ(Antenna) เพื่อใช้กับวิทยุสื่อสารให้มีประสิทธิภาพ
ยิ่งขึ้น ในช่วงต้นรัชสมัย ประเทศไทยยังขาดแคลนเทคโนโลยีขั้นสูง พระบาท
สมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (HS1A) ได้ทรงหาหนทางพึ่งพาตนเอง
พัฒนาอุปกรณ์สื่อสาร เพื่อขจัดปัญหาการติดต่อกับพื้นที่ห่างไกล
ในขบวนเสด็จพระราชดำเนินไปเยี่ยมราษฎรในระยะแรก พระบาทสมเด็จพระ
ปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงสังเกตุคลื่นวิทยุรบกวนกันระหว่างเครือข่าย
ทำให้ไม่อาจติดต่อทางวิทยุสื่อสารได้ ทรงมีพระราชดำริว่าสายอากาศน่าจะเป็น
ตัวแปรสำคัญ และพระองค์ทรงอาศัยพื้นฐานทางวิทยุศาสตร์ที่เคยศึกษา ได้ทรง
ค้นคว้าเพิ่มเติมและมีพระราชปฏิสันถารกับผู้รู้
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงเริ่มต้นทดลองงาน
สายอากาศด้วยพระองค์เอง ปรับค่าต่างๆ จนได้สายอากาศที่มีประสิทธิภาพทั้งใน
การส่งและการรับ สายอากาศที่ดีที่สุดที่ทรงทดลองได้นั้นนอกจากสัมพันธืกับ
เครื่องรับส่งวิทยุ และสายส่งแล้ว ยังมีค่าสะท้อนกลับของคลื่นวิทยุ หรือที่เรียก
ว่า Standing Wave Ratio (SWR) ที่ได้มาตรฐานสูงกว่ามาตรฐานสากลซึ่งนัก
วิทยุสื่อสารได้ปรับใช้กันทั่วไป
เมื่อ 40 กว่าปีก่อน ราคาเครื่องรับส่งวิทยุเมื่อเทียบกับงบประมาณของ
ประเทศแล้ว มีมูลค่าสูงแต่เป็นสิ่งจำเป็นในงานพัฒนาประเทศและภารกิจด้านความ
มั่นคง หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชได้ทรงค้นคว้า
และทดลองสายอากาศด้วยพระองค์เองเป็นเบื้องต้นแล้ว จึงมีพระราชดำริว่าเป็น
เทคโนโลยีที่น่าจะสามารถพัฒนาขึ้นได้เองภายในประเทศ
งานพัฒนาสายอากาศซึ่งเป็นพระราชดำริที่ได้ริเริ่มครั้งแรกของโลกจึงได้
เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2512 ได้พระราชทานให้กองทัพและนักวิทยาศาสตร์ไทยร่วมกัน
ค้นคว้าวิจัย ท่ามกลางแดดจัดยามบ่ายพระมหากษัตริย์ประทับบนดาดฟ้า
พระตําหนักจิตรลดารโหฐานพระราชทานกระแสพระราชดำรัส เกี่ยวกับสาย
อากาศตามพระราชประสงค์จำนวนกว่า 20 รายการ แก่ ดร.สุธี อักษรกิตติ์จึงได้
ออกแบบและสร้างสายอากาศถวาย ตามพระราชประสงค์ จนกระทั่งสายอากาศ
เหล่านั้นได้รับพระราชทาน ได้แก่
ทฤษฎีใหม่" เป็นการบริหารจัดการที่ดินเพื่อเกษตรกร ให้มีสภาพการใช้งาน
ที่สร้างความยั่งยืนมากกว่าการทำการเกษตร โดยไม่มีการแบ่งส่วนของที่ดิน เพื่อ
ใช้ทำหน้าที่เป็นแหล่งน้ำ และเพาะพันธุ์สัตว์น้ำ ควบคู่ไปกับการเพาะปลูก เป็นต้น
โครงการ "แกล้งดิน" โดยทรงพบว่า ดินพรุเป็นดินเปรี้ยวจัด ไม่สามารถ
ใช้ประโยชน์ได้ จึงมีพระราชดำริว่า ควรแกล้งทำให้ดินเปรี้ยวจนถึงที่สุด แล้ว
ทำ "วิศวกรรมย้อนรอย" หาทางปรับปรุงดินที่เปรี้ยวนั้น เพื่อจะได้รู้วิธีแก้ไข
และป้องกันไม่ให้เกิดสภาพเปรี้ยวแบบที่เคยเป็น จากนั้นจึงมีการปรับปรุงดิน
เปรี้ยวโดยวิธีการต่างๆ จนทำให้พื้นดินที่เปล่าประโยชน์ และไม่สามารถทำอะไร
ได้ กลับฟื้นคืนสภาพที่สามารถทำการเพาะปลูกได้อีกครั้งหนึ่ง
กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นหน่วยงานหลักในการจัดงาน ร่วม
กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชน จัดกิจกรรมเกี่ยวกับการ
เทิดพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในฐานะที่ทรงเป็น "พระ
บิดาแห่งเทคโนโลยีของไทย" โดยเริ่มจัดงานครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2544
พระบิดาแห่งนวัตกรรมไทย
คณะรัฐมนตรีมีมติ เมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๙ เห็นชอบให้
ดำเนินโครงการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็น
“พระบิดาแห่งนวัตกรรมไทย” เนื่อง ในวโรกาสพระราชพิธีฉลองสิริราช
สมบัติครบ ๖๐ ปี และเป็นการรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ พระอัจฉริย
ภาพ และพระปรีชาสามารถ ด้านนวัตกรรมจากโครงการแกล้งดิน
ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาสภาพดินเปรี้ยว ให้สามารถใช้ประโยชน์ทางการเกษตรได้
และกำหนดในวันที่ ๕ ตุลาคม ของทุกปีเป็น “วันนวัตกรรมแห่งชาติ” เนื่อง จาก
ในวันที่ ๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๓๕ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงทอดพระเนตร
การดำเนินงาน โครงการศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทอง อันเนื่องมาจากพระราชดำริ
และได้มีพระราชดำรัสเกี่ยวกับโครงการแกล้งดินอย่างเป็นทางการจากโครงการอัน
เนื่องมาจากพระราชดำริ แกล้งดิน ในเขตจังหวัดนราธิวาส ซึ่งโครงการดังกล่าวเป็น
วิธีการแก้ไขพื้นที่ที่มีสภาพเป็นดินเปรี้ยวจัด ทำการเพาะปลูกไม่ได้ เนื่องจากมีกรด
กำมะถันอันเป็นสาเหตุของดินเปรี้ยวอยู่เป็นจำนวนมาก การแก้ไขดินเปรี้ยวตามแนว
พระราชดำริโดยใช้กรรมวิธีแกล้งดิน คือ การทำดินให้เปรี้ยวด้วยการทำดินให้แห้ง
และเปียกสลับกันเพื่อเร่งปฏิกิริยาทางเคมีของดินให้มีความเป็นกรดจัดมากขึ้นจนถึง
ขั้นที่สุด
จากนั้นจึงมีการทดลองปรับปรุงดินเปรี้ยวโดยวิธีต่าง ๆ กัน เช่น โดยการ
ควบคุมระบบน้ำใต้ดินเพื่อป้องกันการเกิดกรดกำมะถัน การใช้วัสดุปูนผสม
ประมาณ ๑-๔ ตันต่อไร่ การใช้น้ำชะล้างจนถึงการเลือกใช้พืชที่จะเพาะปลูกใน
บริเวณนั้น การแกล้งดินตามแนวพระราชดำริ สามารถทำให้พื้นดินที่เปล่าประโยชน์
และไม่สามารถทำอะไรได้กลับฟื้นคืนสภาพ ที่สามารถทำการเพาะปลูกได้อีกครั้ง
หนึ่ง “โครงการแกล้งดิน” เป็น โครงการที่มีนวัตกรรมโดยใช้เทคโนโลยีเพื่อแก้
ปัญหาดินเปรี้ยวในประเทศ เขตร้อน ยังไม่มีที่ใดในโลกที่ใช้วอีการดำเนินงานใน
ลักษณะดังกล่าว และมีการนำมาทำเป็นตำราเผยแพร่ จึงแสดงให้เห็นถึงพระปรีชา
สามารถของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ หัวที่ทรงเป็น “นวัตกรรม” อย่าง แท้จริง
ซึ่งแนวพระราชดำริดังกล่าวเน้นให้เห็นถึงการประสมประสานรวัตกรรมด้าน
เทคโนโลยีควบคู่กับนวัตกรรมด้านการบริหารจัดการ จนได้วิธีที่เหมาะสมในการ
แก้ไขดินเปรี้ยวได้
ด้วยพระปรีชาสามารถทาง ด้านนวัตกรรมของพระบาทสมเด็จ
พระเจ้าอยู่หัว และความตั้งพระราชหฤทัยที่จะยกระดับความเป็นอยู่ ของพสกนิกร
ชาวไทยนั้น เป็นที่ประจักษ์และเป็นที่สรรเสริญพระเกียรติคุณทั่วทิศานุทิศ
สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ รู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ ขององค์พระบาท
สมเด็จพระเจ้า อยู่หัวที่ได้บำเพ็ญพระราชกรณียกิจ มากหลายซึ่งเป็นคุณประโยชน์
ใหญ่หลวงต่อ ชาวไทยและชาวโลก และเนื่องในวโรกาสฉลองสิริราชสมบัติครบ
๖๐ ปี ใน พ.ศ. ๒๕๔๙ นี้ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และ
เทคโนโลยี จึงขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเทิดพระเกีรยติพระองค์เป็น “พระ
บิดาแห่งนวัตกรรมไทย” เพื่อ สดุดีพระเกียรติคุณให้สถิตสถาพร อีกทั้งเพื่อเป็น
เกียรติ และสิริอันสูงยิ่งแก่สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ และวงการนวัตกรรมไทย
สืบต่อไป