โครงร่างงานวิจัยในชั้นเรียน เรื่อง การพัฒนาแนวคิดวิทยาศาสตร์โดยใช้วิธีการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับการใช้ แบบจำลองเป็นฐาน เรื่องการสืบพันธุ์ของพืชดอก ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนบ้านปางวุ้น อำเภอทองแสนขัน จังหวัดอุตรดิตถ์ โดย นางสาวธนพร คำเติม ชั้นปีที่ 4 รหัสนักศึกษา 62031050108 Section 01 สาขาวิทยาศาสตร์ทั่วไป วิจัยในชั้นเรียนเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาการปฏิบัติการสอนในสถานศึกษา 4 รหัสวิชา 104803 หลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ ปีการศึกษา 2565
บทที่ 1 ความสำคัญ วิทยาศาสตร์มีบทบาทสำคัญยิ่งในสังคมโลกปัจจุบันและอนาคต เพราะวิทยาศาสตร์เกี่ยวข้องกับ ทุกคนทั้งในชีวิตประจำวันและการงานอาชีพต่าง วิทยาศาสตร์ช่วยให้มนุษย์ได้พัฒนาวิธีคิด ทั้งความคิดเป็น เหตุเป็นผล คิดสร้างสรรค์ คิดวิเคราะห์ มีทักษะสำคัญในการค้นคว้าหาความรู้ มีความสามารถในการแก้ปัญหา อย่างเป็นระบบได้ ดังนั้นทุกคนจึงจำเป็นต้องได้รับการพัฒนาให้รู้วิทยาศาสตร์ เพื่อที่จะมีความรู้ความเข้าใจใน ธรรมชาติและเทคโนโลยีที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้น สามารถนำความรู้ไปใช้อย่างมีเหตุผล และมีคุณธรรม (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (2551); อ้างใน จิรัสยา นาคราช, 2558) การมีความรู้ทางด้าน วิทยาศาสตร์ถือว่าสำคัญมากซึ่งทางสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์พยายามส่งเสริมให้ทุกคนได้รับการ พัฒนาด้านวิทยาศาสตร์มากขึ้นเพื่อให้เข้าใจธรรมชาติและสิ่งต่าง และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ใน ชีวิตประจำวันได้ต่อไป (สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี(2546); อ้างใน จิรัสยา นาคราช, 2558) ดังนั้นการจัดการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์จึงมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาให้ผู้เรียนเป็นผู้รู้วิทยาศาสตร์ เพื่อสามารถนำความรู้ไปใช้ในการดำเนินในชีวิตประจำวัน จากประสบการณ์ที่พบสภาพปัญหาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 และจากการศึกษางานวิจัยที่ เกี่ยวข้อง พบว่า นักเรียนมีแนวคิดคลาดเคลื่อนในหลายแนวคิดย่อย อาทิ นักเรียนเข้าใจว่าพืชไม่มีการสืบพันธุ์ แบบอาศัยเพศ การสืบพันธุ์อาศัยเพศจะต้องมีการเกี้ยวพาราสี เป็นต้น นอกจากนี้ยังพบว่า นักเรียนไม่ สามารถเชื่อมโยงแนวคิดเรื่องการสืบพันธุ์ของพืชดอกได้อย่างต่อเนื่อง ดังนั้น หากนักเรียนมีแนวคิด วิทยาศาสตร์ที่คลาดเคลื่อนย่อมส่งผลต่อการเรียนรู้แนวคิดอื่นๆ ที่มีความซับซ้อนมากขึ้น และจะส่งผลเสียต่อ กระบวนการเรียนรู้ ของนักเรียนเป็นอย่างมาก ด้วยเหตุนี้ในการออกแบบการจัดการเรียนรู้ ครูควรมีการ สำรวจแนวคิดก่อนเรียนนั้นเป็นสิ่งสำคัญสำหรับครู เนื่องจากจะทำให้ทราบแนวคิดที่คลาดเคลื่อนของนักเรียน เพื่อเป็นข้อมูลในการพัฒนาแนวคิดที่ถูกต้องแก่นักเรียนได้ และจากการศึกษาค้นคว้าจะเห็นได้ว่าวิธีการที่จะ ช่วยส่งเสริมให้นักเรียนมีแนวคิดทางวิทยาศาสตร์มีหลายวิธี และการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบจำลอง เป็นฐานก็เป็นวิธีการหนึ่ง ซึ่งเป็นวิธีการหนึ่งที่จะทำให้นักเรียนได้นำความรู้เกี่ยวกับแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ ไปสู่การสร้างแบบจำลองทางความคิดในรูปแบบที่หลากหลายเพื่อน าเสนอแนวคิด ร่วมกับการมีโอกาสได้ เรียนรู้ร่วมกัน การอภิปรายร่วมกัน การมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนเพื่อให้ได้รับความรู้จากการเข้าใจสิ่งใหม่ๆ และ แบบจำลองช่วยให้นักเรียนได้นำเสนอความคิดของตนแสดงออกในสิ่งที่เป็นรูปธรรม สามารถทำให้มองเห็น ความคิดอย่างเป็นระบบ (Windschitl (2006); อ้างใน ละมัย โชคชัย และคณะ, ม.ป.ป.) ดังนั้นผู้วิจัยจึงสนใจการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับการใช้แบบจำลองเป็นฐาน เรื่อง การสืบพันธุ์ของพืชดอก โดยมีเนื้อหาเรื่องการสืบพันธุ์ของพืชดอก ซึ่งมีการจัดกระบวนการเรียนการสอนแบบ
นักวิทยาศาสตร์มาให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ และเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้สะท้อนการเรียนรู้ของตนเอง เพื่อพัฒนา แนวคิดวิทยาศาสตร์เรื่องการสืบพันธุ์ของพืชดอก ส่งผลให้นักเรียนมีแนวคิดทางวิทยาศาสตร์เรื่องการสืบพันธุ์ ของพืชดอก ได้อย่างถูกต้องยิ่งขึ้น เพื่อนำความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ไปใช้ในการดำรงชีวิตและอยู่ในโลก สมัยใหม่แห่งการเรียนรู้ได้อย่างมีความสุข คำถามการวิจัย ผู้วิจัยจะพัฒนาแนวคิดวิทยาศาสตร์เรื่องการสืบพันธุ์ของพืชดอก ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ได้อย่างไร จัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับการใช้แบบจำลองเป็นฐาน วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อพัฒนาแนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับการใช้แบบจำลองเป็น ฐาน ช่วยให้นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี่ที่ 1 มีแนวคิดวิทยาศาสตร์ เรื่องการสืบพันธุ์ของพืชดอก 2. เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์เรื่องการสืบพันธุ์ของพืชดอก ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จัดการเรียนรู้ แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับการใช้แบบจำลองเป็นฐาน 3. เพื่อศึกษาความพึงพอใจต่อการพัฒนาพัฒนาแนวคิดวิทยาศาสตร์เรื่องการสืบพันธุ์ของพืชดอก ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับการใช้แบบจำลองเป็น ฐาน ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1. ได้แนวทางสำหรับครูวิทยาศาสตร์ ในการใช้การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับการใช้ แบบจำลองเป็นฐาน ที่ช่วยพัฒนาแนวคิดวิทยาศาสตร์ เรื่องเซลล์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 2. ได้พัฒนาแนวคิดวิทยาศาสตร์เรื่องเซลล์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยการจัดการเรียนรู้แบบ สืบเสาะหาความรู้ร่วมกับการใช้แบบจำลองเป็นฐาน 3. ได้ศึกษาความพึงพอใจต่อการพัฒนาพัฒนาแนวคิดวิทยาศาสตร์ เรื่องการสืบพันธุ์ของพืชดอก ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับการใช้แบบจำลองเป็นฐาน
ขอบเขตของการวิจัย ด้านกลุ่มที่ศึกษา กลุ่มที่ศึกษา เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ในปีการศึกษา 2565 ในโรงเรียนขยายโอกาสแห่งหนึ่ง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุตรดิตถ์ เขต 1 จำนวน 13 คน เป็นนักเรียนชาย 6 คน และ นักเรียนหญิง 8 คน ซึ่งเป็นกลุ่มศึกษาที่ผู้วิจัยเลือกแบบเฉพาะเจาะจง เหตุผลที่เลือกกลุ่มดังกล่าว 1) เป็นกลุ่ม ที่ผู้วิจัยเคยจัดการเรียนรู้ เรื่องเซลล์ด้วยการสอนแบบบรรยายมาก่อนแล้ว 2) โรงเรียนของกลุ่มที่ศึกษาเป็น โรงเรียนขยายโอกาสขนาดเล็ก มีนักเรียนในปีการศึกษา 2564 จำนวนทั้งสิ้น 115 คน ผู้วิจัยไม่สามารถสุ่ม ตัวอย่างตามระเบียบวิธีวิจัยซึ่งต่างกับโรงเรียนขนาดใหญ่ที่แต่ละระดับชั้นเรียนจำนวนหลายห้องเรียน ทำให้สามารถสุ่มตัวอย่างตามระเบียบวิธีวิจัย 3) โรงเรียนของกลุ่มที่ศึกษาเป็นโรงเรียนที่สนับสนุนและส่งเสริม การจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์เป็นอย่างดี ด้านตัวแปร ตัวแปรต้น คือ การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับการใช้แบบจำลองเป็นฐาน ตัวแปรตาม คือ แนวคิดวิทยาศาสตร์เรื่องการสืบพันธุ์ของพืชดอก ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ด้านเนื้อหาที่ใช้ในการวิจัย เนื้อหารายวิชาวิทยาศาสตร์ ในหน่วยการเรียนที่ 3 เรื่องการสืบพันธุ์ของพืชดอก ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ซึ่งครอบคลุม 2 แนวคิดหลัก ได้แก่ 1) การสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศของพืชดอก 2) การสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศของพืชดอก ด้านสถานที่ดำเนินการวิจัย สถานที่ดำเนินการวิจัย คือ โรงเรียนขยายโอกาสขนาดเล็กแห่งหนึ่ง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาอุตรดิตถ์เขต 1 ด้านระยะเวลาในการทำวิจัย ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 นิยามศัพท์เฉพาะ แนวคิดวิทยาศาสตร์เรื่อง การสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศของพืชดอก หมายถึง คำอธิบายของนักเรียน สร้างขึ้นที่แสดงถึงความรู้ความเข้าใจ เป็นแนวคิดที่สำคัญเรื่องหนึ่งสำหรับการเรียนทางด้านวิทยาศาสตร์ และ ทางด้านชีววิทยาระดับสูงขึ้นไป เพราะแนวคิดเรื่องนี้เป็นพื้นฐานการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ซึ่งสามารถวัดได้จาก แบบวัดแนวคิดวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับเซลล์อนุทินบันทึกการเรียนรู้ของนักเรียน โดยจัดกลุ่มแนวคิดของนักเรียน ออกเป็น 5 กลุ่ม ได้แก่
1) กลุ่มที่มีแนวคิดเชิงวิทยาศาสตร์ (Scientific Understanding, SU) หมายถึง นักเรียนตอบได้ สอดคล้องกับแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ของนักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันครบทุกแนวคิด 2) กลุ่มที่มีแนวคิดเชิงวิทยาศาสตร์แบบไม่สมบูรณ์ (Partial Understanding, PU)หมายถึง นักเรียน ตอบได้สอดคล้องกับแนวคิดเชิงวิทยาศาสตร์อย่างน้อย 1 แนวคิดแต่ไม่มีส่วนผิด 3) กลุ่มที่มีแนวคิดเชิงวิทยาศาสตร์บางส่วนและแนวคิดเชิงวิทยาศาสตร์คลาดเคลื่อนบางส่วน (Partial Understanding with Misunderstanding, PU&MU) หมายถึงนักเรียนตอบได้สอดคล้องกับแนวคิดทาง วิทยาศาสตร์ปัจจุบันบางส่วนและมีบางส่วนที่ไม่สอดคล้อง 4) กลุ่มที่มีแนวคิดเชิงวิทยาศาสตร์คลาดเคลื่อน (Misunderstanding, MU) หมายถึง คำตอบของ นักเรียนไม่สอดคล้องกับแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน 5) ไม่มีแนวคิด (No Understanding, NU) หมายถึง นักเรียนไม่ได้ตอบคำถามหรือตอบว่าไม่เข้าใจ หรือจำไม่ได้ การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้หมายถึง การจัดการเรียนรู้ที่ครูผู้สอนกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิด คําถาม เกิดข้อสงสัย เกิดความคิด แล้วนําไปสู่ความสนใจที่จะลงมือแสวงหาความรู้ โดยใช้วิธีการต่าง ๆ ในการ หาคําตอบที่จะต้องมีหลักฐาน และเหตุผลรองรับ เพื่อนํามาประมวลและสร้างองค์ความรู้หรือข้อสรุปด้วย ตนเอง โดยครูผู้สอนช่วยอํานวยความสะดวกในการเรียนรู้ด้านต่าง ๆ ให้แก่ผู้เรียน เช่น ในด้านการสืบค้นหา แหล่งความรู้ การศึกษาข้อมูล การวิเคราะห์ การสรุปการอภิปราย และการทํางานร่วมกับผู้อื่น เป็นต้น การเรียนรู้โดยใช้แบบจําลองเป็นฐาน หมายถึง การเรียนรู้ที่เน้นสถานการณ์จริง หรือบริบทใน ชีวิตประจําวัน ส่งเสริมให้ผู้เรียนสร้างแบบจําลองทางความคิดขึ้นผ่านการศึกษาทดลอง หรือผ่านกระบวนการ คิดอย่างเป็นระบบ โดยแบบจําลองสามารถทําออกมาได้เป็นภาพ 2 มิติ หรือโมเดล 3 มิติ เพื่อใช้เป็นตัวแทนใน การอธิบายความเข้าใจของผู้เรียนที่มีต่อแนวคิดทฤษฎีหรือปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ผ่านการแสดงหลักฐาน เชิงประจักษ์ในรูปแบบจําลอง การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับการใช้แบบจําลองเป็นฐาน หมายถึง การจัดการ เรียนรู้ที่นําการเรียนรู้แบบสืบเสาะซึ่งเป็นการจัดการเรียนรู้ที่เน้นให้ผู้เรียนสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองมาใช้ ร่วมกับการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบจําลองเป็นฐาน มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้เรียนแสวงหา ค้นคว้า และสร้าง ความรู้ด้วยตนเอง และแสดงความเข้าใจหรือมโนทัศน์ในเรื่องที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ผ่านการสร้างแบบจําลอง 2 มิติ หรือ 3 มิติ การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะร่วมกับการใช้แบบจําลองเป็นฐาน ประกอบด้วย 5 ขั้นตอน ได้แก่
(1) ขั้นสร้างความสนใจ เป็นขั้นที่ครูนําเสนอคําถามเกี่ยวกับการเกิดขึ้นของปรากฏการณ์ทาง ธรรมชาติ หรือประเด็นทางวิทยาศาสตร์ เพื่อเร้าความสนใจของผู้เรียน กระตุ้นความสงสัย และยังสามารถ ตรวจสอบ ความรู้เดิมของผู้เรียนได้อีกด้วย (2) ขั้นสํารวจและค้นหา เป็นขั้นที่ผู้เรียนทํางานร่วมกันเป็นกลุ่ม เพื่อค้นคว้าข้อมูลระดมความคิด วิเคราะห์ และสรุปความรู้เกี่ยวกับการเกิดปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ หรือประเด็นทางวิทยาศาสตร์ จากนั้น ร่วมกันสร้างแบบจําลอง 2 มิติ หรือ 3 มิติ เพื่ออธิบายปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้น (3) ขั้นอธิบาย เป็นขั้นที่ผู้เรียนแสดงความเข้าใจหรือสร้างมโนทัศน์ด้วยการอธิบายปรากฏการณ์ทาง ธรรมชาติ หรือประเด็นทางวิทยาศาสตร์ รับฟังข้อเสนอแนะและคําอภิปรายจากแบบจําลองกลุ่มอื่น เพื่อหา ข้อสรุปหรือสรุปความรู้ร่วมกัน (4) ขั้นขยายความรู้ เป็นขั้นที่ครูนําเสนอคําถามเพิ่มเติม เพื่อให้ผู้เรียนร่วมกันอภิปรายและตอบ คําถาม เพื่อให้ได้ความรู้และมโนทัศน์ที่ถูกต้องสมบูรณ์ (5) ขั้นประเมินผล เป็นขั้นที่ผู้เรียนสะท้อนผลการเรียนรู้ของตนเอง โดยการสรุปความรู้ วิเคราะห์ แบบจําลองที่กลุ่มตนเองและเพื่อนสร้างขึ้นมา เพื่อสามารถนําไปอธิบายหรือหาความสัมพันธ์ของปรากฎการณ์ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจําวัน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง คะแนนจากการทำแบบทดสอบก่อนและหลังเรียน โดยใช้ แบบทดสอบ เรื่องการสืบพันธุ์ของพืชดอก ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ซึ่งเป็นแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ ความพึงพอใจ หมายถึง ความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อการ จัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับการใช้แบบจำลองเป็นฐาน ระดับความพึงพอใจแบบประมาณค่า (Likert Scale) โดยเรียงลำดับจากระดับมากที่สุดถึงน้อยที่สุด 5 ระดับคือ มีความพึงพอใจมากที่สุด มีความพึง พอใจมาก มีความพึงพอใจปานกลาง มีความพึงพอใจค่อนข้างน้อย และมีความพึงพอใจน้อยที่สุด แต่ละระดับ ดังกล่าวกำหนดโดยเกณฑ์ช่วงค่าเฉลี่ยของบุญชม ศรีสะอาด (2545) ดังนี้ ระดับความพึงพอใจ ระดับค่าเฉลี่ย มีความพึงพอใจที่ระดับมากที่สุด หมายถึง คะแนนเฉลี่ย 4.51 – 5.00 มีความพึงพอใจที่ระดับมาก หมายถึง คะแนนเฉลี่ย 3.51 – 4.50 มีความพึงพอใจที่ระดับปานกลาง หมายถึง คะแนนเฉลี่ย 2.51 – 3.50 มีความพึงพอใจที่ระดับน้อย หมายถึง คะแนนเฉลี่ย 1.51 – 2.50 มีความพึงพอใจที่ระดับน้อยที่สุด หมายถึง คะแนนเฉลี่ย 1.00 – 1.50
บทที่ 2 การตรวจเอกสาร / การทบทวนวรรณกรรม การวิจัยเรื่อง การพัฒนาแนวคิดวิทยาศาสตร์เรื่องเซลล์ โดยการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ ร่วมกับการใช้แบบจำลองเป็นฐาน ผู้วิจัยได้ค้นคว้าเอกสาร วารสาร บทความและงานวิจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยนำเสนอตามลำดับหัวข้อ ดังต่อไปนี้ 1. การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับการใช้แบบจำลองเป็นฐาน 2. แนวคิด 3. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 4. ความพึงพอใจ 5. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 1. การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้กับการใช้แบบจำลองเป็นฐาน โดยปกติแล้วการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้นั้น จะเป็นการสนับสนุนให้นักเรียนค้นคว้าหาคำตอบ ด้วยตนเอง โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งก็คือ การคิดแบบนักวิทยาศาสตร์แต่ทั้งนี้แนวคิดของการให้ เหตุผลด้วยแบบจำลองทางควาคิด จะแตกต่างจากการให้เหตุผลแบบทั่วไป ที่จะให้เหตุผลแบบอุปนัยหรือ นิรนัย หรือจะกล่าวได้ว่า การให้เหตุผลด้วยแบบจำลองทางความคิด จะขยายแนวคิดของการให้เหตุผล ดังกล่าวออกไปได้ชัดเจนกว่าด้วยตัวแทนที่น่าสนใจซึ่งอาจจะเป็นการอุปมาหรือการทดลองเป็น ต้น (Khan,2007 Nersessian, 2002 อ้างถึงใน โพธิศักดิ์ โพธิเสน, 2558) โพธิศักดิ์ โพธิเสน, 2558 กล่าวว่า “การจัดการเรียนรู้แบบการสืบเสาะหาความรู้ที่ใช้แบบจำลองเป็น ฐานนั้น หมายถึง การจัดการเรียนรู้โดยใช้ขั้นตอนตามกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ที่ นักเรียนจะต้องใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์เพื่อแก้ปัญหาหรือหาคำตอบด้วยตนเองของนักเรียนโดยที่ครูมี หน้าที่ส่งเสริมหรือช่วยเหลือและใช้คำถามกระตุ้นเพื่อให้นักเรียนได้คันพบวิธีแก้ปัญหานั้น ๆ ได้ทั้งนี้ในการหา คำตอบนั้นนักเรียนจะต้องสร้างแบบจำลองออกมาเพื่อใช้ในการอธิบายด้วย” สราวุธ แท่นจินดารัตน์. (2559) ยังกล่าวอีกว่า “การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ที่ใช้ แบบจำลองเป็นฐาน คือ การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ที่เน้นให้นักเรียนสร้าง แบบจำลองทางความคิดด้วยตนเองโดยการกระตุ้นให้นักเรียนสร้างแบบจำลองมาอธิบายปรากฎการณ์หรือสิ่ง ต่าง ๆ จากนั้นให้นักเรียนได้ลงมือปฏิบัติกิจกรรมเพื่อนำแบบจำลองที่สร้างขึ้นไปใช้เพื่อทำการการปรับปรุง แบบจำลองให้สามารถอธิบายปรากฎการณ์ที่ศึกษาได้ดีขึ้น และการขยายแบบจำลองกับปรากฏการณ์อื่น ๆ ต่อไป”
นอกจากนี้ ชาตรี ฝ่ายคำตา และคณะ (2557 อ้างใน สราวุธ แท่นจินดารัตน์2559) กล่าวถึง การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ที่ใช้แบบจำลองเป็นฐาน เป็นวิธีที่ให้นักเรียนได้สร้างแบบจำลองทาง ความคิดขึ้นโดยผ่านกระบวนการ สร้าง ใช้ ปรับปรุง และขยายแบบจำลอง โดยเชื่อว่า ก่อนที่นักเรียนจะเรียนรู้ เรื่องใดนักเรียนจะมีแบบจำลองทางความคิด หรือ ความรู้เดิมที่เกี่ยวกับเรื่องที่จะเรียนรู้ ทั้งนี้นักเรียนแต่ละคน จะมีแบบจำลองทางความคิดหรือความรู้ตามที่แตกต่างกัน ซึ่งแบบจำลองทางความคิดของนักเรียนจะแตกต่าง จากแบบจำลองทางความคิดทางวิทยาศาสตร์ ดังนั้นครูจะต้องพัฒนาหรือจัดประสบการณ์เรียนรู้เพื่อให้ นักเรียนได้แลกเปลี่ยนแบบจำลองทางความคิดให้สอบคล้องกับแนวคิดวิทยาศาสตร์ ซึ่งการจัดการเรียนรู้ ดังกล่าวจะได้รับอธิบพลมาจากทฤษฎีการเรียนรู้การสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง (constructivism) ดังนั้น การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ที่ใช้แบบจำลองเป็นฐาน หมายถึง กระบวนการที่ช่วย ให้นักเรียนเข้าใจและอธิบายธรรมชาติของวิทยาศาสตร์จากความรู้เดิมที่นักเรียนมีอยู่ โดยผ่านการสร้างและ ปรับปรุงแนวคิดนั้นอย่างต่อเนื่อง ผ่านกระบวนการเรียนรู้แบบนักวิทยาศาสตร์ เพื่อให้ความรู้เดิมที่เข้าใจ คลาดเคลื่อนไปจากแนวคิดวิทยาศาสตร์ ให้เข้าใจแนวคิดวิทยาศาสตร์อย่าสมบูรณ์ ซึ่งครูจะต้องจัดการเรียนรู้ที่ ให้นักเรียนหาคำตอบด้วยตนเอง 2. แนวคิด 2.1 ความหมายของแนวคิด สุรางค์ โค้วตระกูล (2552) ได้ให้ความหมายของแนวคิดว่า เป็นคำที่เป็นนามธรรมใช้แทนสัตว์ วัตถุ สิ่งของที่ได้จัดไว้ในจำพวกเดียวกัน โดยถือลักษณะ (Attribute) ที่สำคัญหรือวิกฤติเป็นเกณฑ์ตัวอย่างเช่น คำ ว่า "นก" เป็นคำที่ใช้แทนสัตว์จำพวกหนึ่งที่มีคุณลักษณะวิกฤต (Critical Attribute:) 3 อย่าง คือ สัตว์นั้นต้อง มีปีก มีขนและบินได้ ภพ เลาหไพบูรณ์. (2540 จารัตน์ แตงอ่อน, 2554) แนวคิดเป็นภาพที่เกิดขึ้นในใจของบุคคลเกี่ยวกับ กลุ่มของสิ่งเร้าที่มีคุณลักษณะร่วมกันและแนวคิดเป็นเรื่องของบุคคลในการรับรู้และนำผลมาสัมพันธ์กับ ประสบการณ์เดิมจนทำให้เกิดแนวคิดซึ่งเป็นความเข้าใจเกี่ยวกับวัตถุหรือปรากฎการณ์นั้น Eggen and Kauchak. (1997 อ้างใน จิรัสยา นาคราช, 2558) รวมถึงเป็นข้อสรุปในจิตใจซึ่งใช้ในการจัดแบ่งกลุ่มของวัตถุ เหตุการณ์ หรือความคิด
ดังนั้นสรุปได้ว่าแนวคิด หมายถึง เป็นความรู้ความเข้าใจของแต่ละบุคคลเกี่ยวกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งของแต่ ละบุคคล โดยนำการรับรู้มาสัมพันธ์กับประสบการณ์เดิม แนวคิดเป็นเรื่องเฉพาะของแต่ละบุคคล ซึ่งเป็นผลมา จากประสบการณ์ของแต่ละบุคคล 2.2 แนวคิดทางวิทยาศาสตร์ ภพ เลาหไพบูลย์. (2540 อ้างใน รุ่งนภา เอียงอุบล, 2555) แนวคิดทางวิทยาศาสตร์มีทั้งรูปธรรมและ นามธรรมซึ่งมีความเชื่อมโยงต่อเนื่องกัน แนวคิดหนึ่ง ๆ อาจเกิดจากการนำเอาแนวคิดหลายๆ อย่างมาสัมพันธ์ กันอย่างมีเหตุผล สำหรับแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่จะมีลักษณะเป็นสากลจึงช่วยให้นักเรียนมีความเช้า ใจบทเรียนและมีความรู้ในระดับสูงอย่างชัดเจนดีขึ้น แบ่งแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้ 1. แนวคิดเกี่ยวกับการแบ่งประเภท (classificational concepts) เป็นแนวคิดที่ชี้แจงคำอธิบายหรือ ชี้แจงสมบัติ บอกสมบัติรวม โดยนำไปใช้ในการบรรยายวัตฤหรือปรากฎการณ์นั้นๆ 2. แนวคิดทางทฤษฎี (theoretical concepts) เป็นแนวคิดที่นักวิทยาศาสตร์พยายามอธิบายลักษณะ บางอย่างหรือปรากฏการณ์ที่ไม่อาจสังเกต ได้โดยครงทั้งหมดแต่มีหลักฐานเป็นเหตุเป็นผลสนับสนุนแล้วสร้าง เป็นความเข้าใจของตนเอง 3. แนวคิดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ (correlational concepts) เป็นแนวคิดที่กล่าวถึงความสัมพันธ์ ระหว่างเหตุและผล นำไปใช้ในการทำนาย หรือพยากรณ์เหตุการณ์ต่าง ๆ ได้ วราภรณ์ แย้มจินดา. (2547 อ้างใน จิรัสยา นาคราช, 2558) ได้ให้ความหมายของแนวคิดทาง วิทยาศาสตร์ว่า หมายถึงความคิด ความเข้าใจในการสรุปลักษณะที่สำคัญของวัตถุหรือปรากฎการณ์ที่เกี่ยวข้อง กับวิทยาศาสตร์ที่เกิดจากการสังเกต หรือได้รับประสบการณ์เกี่ยวกับสิ่งนั้นหรือเรื่องนั้นแล้วนำมาเชื่อมโยงให้มี ความสัมพันธ์กันเป็นข้อสรุปทางวิทยาศาสตร์ ดังนั้นสรุปได้ว่า แนวคิดวิทยาศาสตร์หมายถึง ความคิด ความเข้าใจที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ ซึ่งเกิดจากการนำเอาแนวคิดหลาย ๆ อย่างมาสัมพันธ์กันอย่างมีเหตุผล และเกิดจากการสังเกต หรือได้รับ ประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องนั้น และนำสิ่งเหล่านั้นมาเชื่อมโยงเข้าด้วยกันแล้วสร้างเป็นความเข้าใจของตนเอง 2.3 การวัดแนวคิด ทฤษฎีการสร้างความรู้ เป็นทฤษฎีที่เน้นว่าความรู้มีอยู่แล้วในตัวนักเรียนและความรู้นี้จะพัฒนาขึ้น ขณะที่นักเรียนมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนกับครูและสภาพแวดล้อม นักเรียนจะเป็นคนสร้างความรู้ หรือความหมาย โดยทำความเข้าใจเกี่ยวกับประสบการณ์ต่าง ๆ ที่ตัวเองมีอยู่ ซึ่งความรู้นั้น ไม่สามรถส่งผ่านจากครูไปยัง นักเรียน หรือจากหนังสือไปยังนักเรียนได้ง่าย ๆ แต่ตัวนักเรียนจะเป็นคนสร้างคำอธิบายหรือสร้างความคิดนั้น ๆ ขึ้นมาเอง ดังนั้นการที่จะทราบว่านักเรียนมีความรู้อย่างไร จึงต้องมีการตรวจสอบแนวคิดของนักเรียน การที่ จะทราบว่านักเรียนมีแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ในเรื่องที่เรียนหรือไม่อย่างไรสามารถทำได้โดยการวัดหรือการ
สำรวจแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ดังกล่าว ซึ่งตัวอย่างแบบวัดแนวคิดวิทยาศาสตร์ของนักเรียนตามแนวคิดของ จีระวรรณ เกษสิงห์ (2562). มีวิธีการหลายวิธีดังนี้ 1. แบบวัดแนวคิดชนิดคำถามปลาย แบบวัดชนิดคำถามปลายเปิดมีข้อดีที่สามารถวัดความรู้ความเข้าใจของนักเรียนได้อย่างเต็มที่ ซึ่งถ้านักเรียนไม่ มีความรู้เรื่องนั้นจะไม่สามารถเดาคำตอบได้ แต่มีข้อจำกัดที่ครูสร้างข้อคำถามในการวัดได้น้อย เนื่องจากแต่ละ ข้อต้องใช้เวลานานในการตอบ หากต้องการวัดให้ครอบคลุมแนวคิดสำคัญทั้งหมดมักมีข้อคำถามหลายข้อ ซึ่ง จะใช้เวลานานเกินไปในการทำข้อสอบ ดังนั้นอาจต้องแบ่งสอบหลายครั้ง อีกทั้งการตรวจให้คะแนนหรือ วิเคราะห์ข้อมูลทำได้ยาก ใช้เวลามาก และมีโอกาสเกิดความลำเอียงเนื่องจากอารมณ์ของผู้ตรวจ จึงต้องมี เทคนิคในการตรวจสอบผลการวิเคราะห์กับเพื่อนผู้วิพากษ์ ซึ่งจะกล่าวในบทต่อไป นอกจากนี้ลายมือของ ผู้ตอบและประสิทธิภาพในการเขียนบรรยายความอาจมีผลต่อผลการวิเคราะห์ 2. แบบวัดแนวคิดชนิดเลือกตอบพร้อมอธิบายเหตุผล ข้อคำถามถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกเป็นคำถามเพื่อบ่งชี้แนวคิดสำคัญที่ต้องการวัด จากนั้นจะมี ตัวเลือกให้ผู้เรียนเลือก ซึ่งจำนวนตัวเลือกอาจมีได้ตั้งแต่ 2 – 5 ตัวเลือก และตัวเลือกที่ถูกต้องอาจมีได้ มากกว่าหนึ่งตัวเลือก ขึ้นกับผู้ออกข้อสอบ โดยมากตัวเลือกมักได้มาจากประสบการณ์การสอนและงานวิจัยที่ พบว่าผู้เรียนมีแนวคิดคลาดเคลื่อนในเรื่องดังกล่าว จากนั้นส่วนที่สองจะเป็นพื้นที่ว่างเพื่อให้นักเรียนเขียนแสดง เหตุผลประกอบการเลือกตัวเลือกในส่วนที่หนึ่ง แบบวัดประเภทนี้มีข้อดีตรงที่สามารถตรวจสอบข้อมูลความ เข้าใจคลาดเคลื่อนของผู้เรียนได้ง่าย เพราะตัวเลือกมักถูกสร้างมาจากความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่พบในผู้เรียน สามารถแยกคนที่รู้และไม่รู้ออกจากกันได้ดี อีกทั้งมีพื้นที่ให้ผู้เรียนเขียนอธิบายความเข้าใจเพิ่มเติม แต่มี ข้อจำกัดตรงที่สร้างได้ยาก โดยเฉพาะส่วนที่ 1 เพราะทุกตัวเลือกต้องมีโอกาสถูกเลือกเท่าเทียมกันและแยกคน รู้ออกจากคนไม่รู้ได้ ขณะที่ส่วนที่ 2 จะมีความยากในกวรตรวจ ดังนั้นต้องมีเกณฑ์การให้คะแนนหรือรูบริคเพื่อ จัดกลุ่มแนวคิดของนักเรียนที่ชัดเจน และโดยทั่วไปผู้เรียนที่มีแนวคิดทางวิทยาศาสตร์จะต้องตอบถูกทั้งส่วนที่ 1 และ 2 หากตอบผิดส่วนใดส่วนหนึ่ง ควรให้น้ำหนักกับสิ่งที่นักเรียนเขียนบรรยายความในส่วนที่ 2 มากกว่า แต่หากไม่แน่ใจว่านักเรียนคิดอย่างไรให้ทำการสัมภาษณ์นักเรียนเพิ่มเติม 3. แบบวัดชนิดเลือกตอบทั้งคำตอบและเหตุผล ข้อคำถามประกอบด้วยสองส่วนเช่นเดียวกับแบบวัดแนวคิดชนิดเลือกตอบพร้อมอธิบายเหตุผล โดยส่วนที่ 2 จะเป็นตัวเลือกเช่นเดียวกับส่วนที่ 1 แต่ต่างกันตรงที่ส่วนที่ 2 จะเป็นเหตุผลในการเลือกตัวเลือกจากส่วนที่ 1 ซึ่งแบบวัดชนิดนี้ถูกพัฒนามาจากแบบวัดชนิดเลือกตอบพร้อมอธิบายเหตุผล ที่ในงานวิจัยหลายชิ้นคันพบแล้ว ว่ากลุ่มเหตุผลที่ผู้เรียนมักใช้ในการอธิบายแนวคิดเรื่องนั้น ๆ อาจเป็นอะไรได้บ้าง ครูจึงไม่จำเป็นต้องให้ผู้เรียน เขียนบรรยายความอีก เพื่อประหยัดเวลาในการทดสอบ ดังนั้นข้อดีของแบบวัดชนิดนี้คือตรวจสอบความเข้าใจ ของผู้เรียนได้ชัดเจน ประหยัดเวลาในการสอบและวิเคราะห์ข้อมูล แต่มีข้อจำกัดตรงที่สร้างได้ยาก ต้องทำการ
ตรวจเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่สนใจศึกษามาพอสมควร หรือมีประสบการณ์ในการสอนมากจน สามารถจับประเด็นที่นักเรียนมักเข้าใจคลาดเคลื่อนและเขียนไล่เรียงออกมาเป็นข้อ ๆ ได้ นอกจากนี้ในส่วนที่ 2 ตัวเลือกข้อสุดท้ายเป็น “อื่น ๆ” และเว้นพื้นที่ให้นักเรียนเขียนอธิบายความ ซึ่งตัวเลือกข้อนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อ แก้ไขข้อจำกัดของแบบวัดในกรณีที่นักเรียนมีเหตุผลของการเลือกที่แตกต่างไปจากตัวเลือกที่ครูกำหนดให้ 4. แบบวัดแนวคิดชนิดถูก-ผิดพร้อมอธิบายเหตุผล ข้อคำถามมีหลายข้อ แต่ทุกข้อมุ่งเป้าไปที่การวัดแนวคิดเรื่องเดียวกัน ซึ่งเหมือนกับแบบวัดแนวคิดที่กล่าวมา ก่อนหน้า แบบวัดแนวคิดประเภทนี้ประกอบด้วยสองส่วน คือ ส่วนที่ 1 เป็นตัวเลือก กรณีนี้ตัวเลือกคือถูกหรือ ผิด ส่วนที่ 2 เป็นเหตุผลในการเลือกตอบ โดยข้อดีของแบบวัดประเภทนี้คือสามารถวัดแนวคิดที่มีรายละเอียด สำคัญย่อย ๆ จำนวนมากได้ครอบคลุม อาทิ แนวคิดที่เป็นคุณสมบัติของสาร ลักษณะเฉพาะของสิ่งมีชีวิตในแต่ ละคลาส เป็นต้น และอาจใช้เวลาในสร้างน้อยสร้างได้ง่าย แต่เนื่องจากนักเรียนต้องเขียนอธิบายเหตุผลทุกข้อ ทำให้ต้องใช้เวลาในการสอบมากและข้อความที่นักเรียนเขียนอธิบายเหตุผลอาจซ้ำช้อนกับข้ออื่น เนื่องจากทุก ข้อมุ่งวัดแนวคิดเรื่องเดียวกัน นอกจากนี้แบบวัดแนวคิดชนิดนี้อาจไม่เหมาะที่จะวัดแนวคิดที่เป็นกระบวนการ อาทิ กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง กระบวนการเกิดสุริยุปราคา จันทรุปราคา เป็นต้น 5. แบบวัดแนวคิดชนิดใช้การสัมภาษณ์เกี่ยวกับตัวอย่าง จะแสดงภาพเนื้อหาที่ต้องการสอบถาม หรืออาจเป็นวัตถุสิ่งของก็ได้ เช่นการถามเรื่องการเกิดจันทรุปราคา สุริยุปราคา ฤดูกาล อาจใช้วัตถุทรงกลม 3 ลูกประกอบ จากนั้นครูจะใช้คำถามกระตุ้นให้นักเรียนอธิบายความ เข้าใจแนวคิดในเรื่องที่ต้องการตรวจสอบ โดยนักเรียนสามารถใช้ภาพหรือสื่อที่ครูเตรียมมาประกอบการ อธิบายได้ แบบวัดแนวคิดชนิดนี้มีข้อดีคือทำให้ทราบความเข้าใจของผู้ตอบได้อย่างลึกขึ้ง เหมาะกับเนื้อหาที่ เขียนอธิบายได้ยาก การพูดเล่าเรื่องและแสดงท่าทางประกอบจะทำให้เข้าใจได้มากกว่า หรือเหมาะกับนักเรียน ระดับประถมศึกษาที่ยังไม่สามารถสื่อสารด้วยการใช้ภาษาเขียนได้ดี อย่างไรก็ดีแบบวัดชนิดนี้มีข้อจำกัดที่ใช้ เวลานานในการเก็บข้อมูล รวมทั้งการถอดเทป และวิเคราะห์ข้อมูล เพราะต้องทำกับผู้เรียนรายบุคคลหรือกลุ่ม ย่อยและการสัมภาษณ์ไม่สามารถทำได้ครอบคลุมทุกแนวคิดย่อย เนื่องจากต้องใช้เวลามาก จึงมักวัดได้ไม่ ครอบคลุมนักเรียนทุกคนในทุกแนวคิดย่อย 2.4 การจัดกลุ่มแนวคิด นักวิทยาศาสตร์ศึกษาทั้งในประเทศเละต่างประเทศ ได้กำหนดแนวทางการจัดกลุ่มแนวคิดหรือ กำหนดลักษณะของกลุ่มแนวคิดของผู้เรียนไว้หลากหลายรูปแบบ ซึ่งอาจจะมีทั้งเหมือนและแตกต่างกัน แต่ก็สามารถสรุปได้ 3 รูปแบบ ดังนี้ 1. การจัดแนวคิดแบบ 4 กลุ่ม ทัศนียา รัตนาฤทัย และคณะ. (2549 อ้างใน ขวัญฤทัย เที่ยงจันทรา ทิพย์, 2553) ดังนี้
1) แนวคิดที่ถูกต้อง (sound understanding: SU) หมายถึง คำตอบที่แสดงให้เห็นถึงความ เข้าใจแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ทั้งหมด 2) แนวคิดถูกต้องบางส่วน (partial understanding: PU) หมายถึง คำตอบที่แสดงให้เห็นถึง ความเข้าใจเกี่ยวกับแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ที่ถูกต้องแต่ไม่สมบูรณ์หรือไม่ครบถ้วน 3) แนวคิดคลาดเคลื่อน (limited understanding: I U) หมายถึง คำตอบที่มีบางองค์ประกอบที่ มีแนวคิดที่ถูกต้องและบางองค์ประกอบที่มีแนวคิดไม่ถูกต้องตามแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ 4) แนวคิดที่ไม่ถูกต้อง (misunderstanding: MU) หมายถึง คำตอบที่แสดงถึงความไม่เข้าใจ แนวคิดนั้น ๆ 2. การจัดแนวคิดแบบ 5 กลุ่ม Haidar. (1997 อ้างใน จิรัสยา นาคราช, 2558) มีลักษณะของกลุ่ม แนวคิด ดังนี้ 1) แนวคิดเชิงวิทยาศาสตร์หรือแนวคิดที่ถูกต้อง (Scientific understanding: SU) หมายถึง คำตอบที่อธิบายเหตุผลได้ถูกต้องสมบูรณ์ สอดคล้องกับแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ซึ่งเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป 2) แนวคิดเชิงวิทยาศาสตร์บางส่วนหรือแนวคิดถูกต้องบางส่วน Partial understanding. PU) หมายถึง คำตอบที่อธิบายเหตุผลบางส่วนได้สอดคล้องกับแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ และไม่มีคำอธิบายที่ผิดไป จากแนวทางวิทยาศาสตร์ 3) แนวคิดทางวิทยาศาสตร์บางส่วนและแนวคิดที่คลาดเคลื่อนบางส่วน (Partial understanding and misconception: PUMU) หมายถึง คำตอบที่อธิบายเหตุผล ได้ถูกต้องบางส่วนแต่มี คำอธิบายบางส่วนที่ผิดไปจากแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ 4) แนวคิดที่คลาดเคลื่อนหรือไม่มีแนวคิดวิทยาศาสตร์หรือแนวคิดที่ไม่ถูกต้อง (misconception, specific misconception: SM) หมายถึง คำตอบที่อธิบายเหตุผลไม่ถูกต้องตามแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ 5) ไม่มีแนวคิดหรือไม่ตอบคำถาม (without answer, no conception, no understanding: NU) หมายถึง ไม่ได้ตอบคำถาม ตอบว่าไม่เข้าใจคำถาม ทวนคำถามหรือไม่ได้อธิบายเหตุผล 3. การจัดกลุ่มแนวคิดแบบ 6 กลุ่ม Abraham et al. (1992 อ้างใน อังคณา ปัทมพงศา, 2555) มีแนวทางการจัดกลุ่มดังนี้ 1) แนวคิดถูกต้อง (Sound Understanding) หมายถึง คำตอบที่แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจ แนวคิดทางวิทยาศาสตร์ทั้งหมด 2) แนวคิดถูกต้องบางส่วน (Partial Understanding) หมายถึง คำตอบอย่างน้อยหนึ่ง องค์ประกอบที่เป็นไปตามแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ แต่ไม่มีคำตอบที่แสงแนวคิดที่คลาคเคลื่อน
3) แนวคิดถูกต้องบางส่วนและคลาคเคลื่อนบางส่วน (Patil Understanding with Specific Misconception) หมายถึง คำตอบที่บางองค์ประกอบมีแนวคิดที่ถูกล้องตามแนวคิดทางวิทยาศาสตร์และบาง องค์ประกอบมีแนวคิดคลาดเคลื่อน 4) แนวคิดคลาดเคลื่อน (Specific Misconception) หมายถึง คำตอบที่อธิบายเกี่ยวกับเรื่องที่ ถามแต่ไม่ถูกต้องตามแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ 5) ไม่เข้าใจแนวคิด (No Understanding) หมายถึง ตอบทวนคำถาม ตอบไม่เกี่ยวข้องกับเรื่อง ที่ถาม หรือไม่เขียนอธิบายเหตุผล 6) ไม่มีแนวคิด (No Response) หมายถึง ไม่เขียนคำตอบ หรือตอบว่าไม่ทราบ จากการศึกษาการจัดกลุ่มแนวคิดในรูปต่าง ๆ ผู้วิจัยเลือกใช้การจัดกลุ่มแนวคิดแบบ 5 กลุ่ม ตามแนวคิดของ Haidar (1997 อ้างใน จุฑารัตน์ แตงอ่อน, 2554) เนื่องจากมีความสอดคล้องกับบริบทของ ผู้วิจัยมากที่สุดทั้งในด้านภาษาที่ใช้เรียกชื่อแนวคิดแต่ละกลุ่ม รวมทั้งการให้ความหมายหรือการนิยามใน แต่ละข้อของแนวคิดมีความชัดเจนเข้าใจง่าย 3. ผลการเรียนรู้หรือผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เป็นคุณลักษณะเกี่ยวกับความรู้ความสามารถของบุคคลที่ ได้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในด้านต่าง ๆ และประสบการณ์อันเป็นผลจากการเรียนการสอนซึ่งมีความเกี่ยวข้อง กับองค์ประกอบและแนวทางในการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนดังนี้ 3.1 ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนขนิษฐา บุญภักดี (2552, หน้า 10) ได้กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน หมายถึงคุณลักษณะและ ความสามารถของบุคคลอันเกิดจากการเรียนการสอนอาจได้มาจาก กระบวนการที่ไม่ต้องอาศัยการทดสอบ เช่น การสังเกตและจากการใช้แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทั่วไป พิมพ์ประภา อรัญมิตร (2552, หน้า 8) ได้ให้ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหมายถึง คุณลักษณะและความรู้ความสามารถที่แสดงถึงความสำเร็จที่ได้จากการเรียนการสอนในวิชาต่าง ๆ ซึ่งสามารถ วัดเป็นคะแนนได้จากแบบทดสอบทางภาคทฤษฎีหรือภาคปฏิบัติหรือ ทั้งสองอย่าง เยาวดี รางชัยกุลวิบูลย์ศรี (2552, หน้า 16) ได้กล่าวไว้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหมายถึงคุณลักษณะ และประสบการณ์เรียนรู้ที่เกิดขึ้นจากการฝึกอบรมหรือการสอนจึงเป็นการตรวจสอบความสามารถหรือความ สัมฤทธิ์ผลของบุคคลว่าเรียนรู้แล้วเท่าไร มีความสามารถชนิดใด วุฒิชัย คานะ (2553, หน้า 32) ได้กล่าวว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ระดับความรู้ ความสามารถและทักษะที่ได้รับและพัฒนามาจากการเรียนการสอนวิชาต่าง ๆ โดยอาศัยเครื่องมือในการ วัดผลหลังจากการเรียนหรือจากการฝึกอบรม ลัดดาวัลย์ ใจภักดิ์ดี (2555, หน้า 16) ได้กล่าไว้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึงความรู้ ความสามารถในการเรียนโดยการวัดพฤติกรรมด้านพุทธิพิสัย 6 ด้าน ของบลูม (Bloom)ได้แก่ ด้านความรู้
ความจำด้านความเข้าใจ ด้านการนำไปใช้ด้านการวิเคราะห์ด้านการสังเคราะห์และ ด้านการประเมินค่าที่วัดได้ จากคะแนนในการตอบแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ดังนั้น ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสามารถในการเรียนรู้ซึ่งเป็นความสามารถ ทาง สติปัญญา ด้านความรู้ ด้านความจำ ความเข้าใจซึ่งวัดได้จากแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 3.2 ประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนใช้ใน การวัดความรู้ความสามารถของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ตามกระบวนการเรียนรู้ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นซึ่งมี ผู้ให้ความหมายและจัดประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ดังนี้ บุญชม ศรีสะอาด (2545, หน้า 53) ได้แบ่งประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์เป็น 2 ประเภท คือ 1. แบบทดสอบอิงเกณฑ์ (Criterion referenced test) หมายถึงแบบทดสอบที่สร้างขึ้นตาม จุดประสงค์เชิงพฤติกรรมมีคะแนนจุดตัดหรือคะแนนเกณฑ์สำหรับใช้ตัดสินว่าผู้สอบมีความรู้ตามเกณฑ์ที่ กำหนดไว้หรือไม่การวัดตรงตามจุดประสงค์เป็นหัวใจสำคัญของข้อสอบในแบบทดสอบประเภทนี้ 2. แบบทดสอบอิงกลุ่ม (Norm references test) หมายถึงแบบทดสอบที่มุ่งสร้างเพื่อวัดให้ ครอบคลุมหลักสูตรจึงสร้างตามตารางวิเคราะห์หลักสูตรความสามารถในการจำแนกผู้สอบตามความเก่งอ่อน ได้ดีเป็นหัวใจสำคัญของข้อสอบในแบบทดสอบประเภทนี้ บุญชม ศรีสะอาด (2545, หน้า 122-123) ได้เสนอกรอบแนวคิดที่ใช้เป็นแนวในการสร้างแบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนว่าในการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเพื่อนำไปใช้เก็บรวบรวม ข้อมูลนั้นนิยมสร้างโดยยึดตามการจำแนกจุดประสงค์ทางการศึกษาด้านพุทธิพิสัยของบลูม (Benjamin S.Bloom) (1965, p123-125) ที่จำแนกจุดประสงค์ทางการศึกษาด้านพุทธิพิสัยออกเป็น 6 ประเภทได้แก่ 1. ความรู้ (Knowledge) หมายถึง ความสามารถของผู้เรียนในการบรรยายให้คำนิยามศัพท์ คำจำกัด ความ จัดลำดับ ทำรายการ ท่องบทอาขยาน จำแนกและอธิบายได้ 2. ความเข้าใจ (Comprehension) หมายถึงความสามารถของผู้เรียนในการอธิบายและขยายความที่ ได้รับรู้มาโดยใช้ถ้อยคำของตนเอง แปลความสรุปใจความสำคัญ จัดทำแผนผังความคิด จัดหมวดหมู่และ ยกตัวอย่างได้ 3. การนำไปใช้ (Application) หมายถึงความสามารถของผู้เรียนในการนำความรู้ความเข้าใจซึ่งเป็น หลักการ ทฤษฎีไปใช้ในสถานการณ์ที่ต่างออกไปเพื่อหาคำตอบและแก้ปัญหาในสถานการณ์ต่างๆ ประยุกต์ ปรับปรุงแสดง สาธิต และผลิตได้ 4. การวิเคราะห์ (Analysis) หมายถึง ความสามารถของผู้เรียนในการหาเหตุผลหลักการ แยกแยะ ข้อมูลและปัญหาต่างๆ ออกเป็นส่วนย่อย แบ่งกลุ่ม หาความเหมือน ความแตกต่างเช่น วิเคราะห์องค์ประกอบ ความสัมพันธ์ หลักการดำเนินการ
5. การสังเคราะห์ (Synthesis) หมายถึงความสามารถของผู้เรียนที่จะคิดสิ่งใหม่จากสิ่งที่มีอยู่นำ องค์ประกอบหรือส่วนต่าง ๆ เข้ามารวมกันเป็นหมวดหมู่การตั้งชื่อเรื่อง การสรุป และคิดวิธีการแก้ปัญหาได้ 6. การประเมินผล (Evaluation) หมายถึงความสามารถของผู้เรียนในการพิจารณาและตัดสินของ ข้อมูล คุณค่าของหลักการ ดีไม่ดีอย่างไรถูกผิดยังไง มีคำว่าที่สุด โดยใช้เกณฑ์ที่กำหนดไว้หรือตัวเองกำหนดขึ้น 4. ความพึงพอใจ 4.1 ความหมายของความพึงพอใจ ความหมายของความพึงพอใจ ได้มีผู้ให้ความหมายเกี่ยวกับความพึงพอใจไว้หลายลักษณะ ดังนี้ จรัส โพธิ์จันทร์ (2553) ได้กล่าวถึง ความพึงพอใจว่าเป็นความรู้สึกของบุคคลต่อหน่วยงานซึ่งอาจ เป็นความรู้สึกในทางบวก ทางเป็นกลาง หรือทางลบ ความรู้สึกเหล่านี้มีผลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติหน้าที่ กล่าวคือ หากความรู้สึกโน้มเอียงไปในทางบวก การปฏิบัติหน้าที่่จะมีประสิทธิภาพสูง แต่หากความรู้สึกโน้ม เอียงไปในทางลบการปฏิบัติหน้าที่่จะมีประสิทธิภาพต่ำ วิมลสิทธิ์ หรยางกูร (2551) กล่าวว่า ความพึงพอใจเป็นการให้ค่าความรู้สึกของเราและมี ความสัมพันธ์กับโลกทัศน์ที่เกี่ยวกับความหมายของสภาพแวดล้อม ค่าความรู้สึกของบุคคลที่มีต่อ สภาพแวดล้อมจะแตกต่างกัน เช่น ความรู้สึกเลว-ดี พอใจ-ไม่พอใจ สนใจ-ไม่สนใจ เป็นต้น สง่า ภู่ณรงค์ (2551) ได้ให้ความหมายว่า ความพึงพอใจ หมายถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อได้รับ ผลสำเร็จตามความมุ่งหมายหรือเป็นความรู้สึกขั้นสุดทายที่ได้รับผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์ Philip Kotler 2003 (2551) ได้ให้ความหมายว่า ความพึงพอใจ คือ ระดับความรู้สึกของบุคคล ว่ารู้สึกพอใจ ถูกใจ หรือผิดหวังอันเป็นผลมาจากการเปรียบเทียบระหว่างผลงานที่ได้รับรู้จากสินค้าหรือบริการ กบความคาดหวังของบุคคลนั้น ๆ ดังนั้นระดับความพึงพอใจจะสัมพันธ์กับความแตกต่างระหว่างผลงานที่ได้รับ รู้ความคาดหวัง เทพพนม และสวิง (2547) ได้ให้ ความหมายว่า ความพึงพอใจเป็นภาวะของความพึงใจหรือ ภาวะที่มีอารมณ์ในทางบวกที่เกิดขึ้น เนื่องจากการประเมินประสบการณ์ของคน ๆ หนึ่งสิ่งที่ขาดหายไป ระหว่างการเสนอให้กับสิ่งที่ได้รับจะเป็นรากฐานของการพอใจและไม่พอใจได้ ปริญญา จเรรัชต์และคณะ (2546) กล่าวไว้ว่าความพึงพอใจ หมายถึงท่าทีความรู้สึกหรือทัศนคติ ในทางที่ดีของบุคคลที่มีต่อสิ่งที่ปฏิบัติร่วมปฏิบัติ หรือได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติโดยผลตอบแทนที่ได้รับรวมทั้ง สภาพแวดล้อมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเป็นปัจจัยทำให้เกิดความพึงพอใจหรือไม่พึงพอใจจากความหมายของความพึง พอใจดังกล่าวพอสรุปความได้ว่าความพึงพอใจเป็นทัศนคติอย่างหนึ่ง ที่เป็นนามธรรมเป็นความรู้สึกส่วนตัวทั้ง ทางด้านบวกและลบขึ้นอยู่กับการได้รับการตอบสนองเป็นสิ่งที่กำหนดพฤติกรรม ในการแสดงออกของบุคคลที่ มีผลต่อการเลือกที่จะปฏิบัติสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
กาญจนา อรุณสอนศรี (2546) กล่าวว่า ความพึงพอใจของมนุษย์เป็นการแสดงออกทาง พฤติกรรมที่เป็นนามธรรม ไม่สามารถมองเห็นเป็นรูปร่างได้ การที่เราจะทราบว่าบุคคลมีความพึงพอใจหรือไม่ สามารถสังเกตโดยการแสดงออกที่ค่อนข้างสลับซับซ้อนและต้องมีสิ่งเร้าที่ตรงต่อความต้องการของบุคคล จึง จะทาให้บุคคลเกิดความพึงพอใจ ดังนั้นการสร้างสิ่งเร้าจึงเป็นแรงจูงใจของบุคคลนั้นให้เกิดความพึงพอใจใน งานนั้น อรรถพร คำคม (2546) ได้สรุปว่า ความพึงพอใจ หมายถึง ทัศนคติหรือระดับความพึงพอใจของ บุคคลต่อกิจการรมต่าง ๆ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงประสิทธิภาพของกิจกรรมนั้น ๆโดยเกิดจากพื้นฐานของการรับรู้ ค่านิยมและประสบการณ์ที่แต่ละบุคคลจะได้รับ ระดับของความพึงพอใจจะเกิดขึ้นเมื่อกิจกรรมนั้น ๆ สามารถ ตอบสนองความต้องการแก่บุคคลนั้นได้ เทพนิมิตร พิมทะวงศ์ (2545) ให้ความหมายว่าความพึงพอใจหมายถึง ความรู้สึกหรือทัศนคติ ของบุคคลที่มีต่อสิ่งหนึ่งหรือปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ความรู้สึกพอใจจะเกิดขึ้นเมื่อความต้องการของบุคคลนั้น ได้รับการตอบสนอง จะแสดงออกมาในรูปแบบพฤติกรรมและความพอใจ ความพึงพอใจนี้อาจเปลี่ยนแปลงได้ ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น ลักษณะส่วนบุคคล สภาพเศรษฐกิจ สังคม สภาพแวดล้อมทางกายภาพ ตลอดจนทรัพยากรต่างๆ ที่เอื้ออำนวยด้วย นภารัตน์ เสือจงพรู (2545) ได้ให้ความหมายว่า ความพึงพอใจเป็นความรู้สึกทางบวกความรู้สึก ทางลบและความสุขที่มีความสัมพันธ์กนอย่างซับซ้อน โดยความพึงพอใจจะเกิดขึ้นเมื่อความรู้สึกทางบวกมาก กวาทางลบ อรพิน วรรณคำ (2545) ให้ความหมายว่า ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกของประชาชนที่เกิด จากการรับบริการรักษาพยาบาลและตามคลีนิคต่าง ๆ ว่าเป็นไปตามความคาดหวังที่ตั้งไว้มากหรือน้อยเพียงใด วิรุฬ พรรณเทวี (2542) ได้ให้ความหมายว่า ความพึงพอใจเป็นความรู้สึกภายในจิตใจของมนุษย์ ที่ไม่เหมือนกันขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลว่าจะคาดหมายกับสิ่งหนึ่งสิ่งใดอย่างไร ถ้าคาดหวังหรือมีความตั้งใจมาก และได้รับการตอบสนองด้วยดีจะมีความพึงพอใจมาก แต่ในทางตรงกันข้ามอาจผิดหวัง หรือไม่พึงพอใจเป็น อย่างยิ่ง เมื่อไม่ได้รับการตอบสนองตามที่คาดหวังไว้ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสิ่งที่ตั้งใจไว้ว่าจะมีมากหรือน้อย จากความหมายข้างต้นสรุปได้ว่า ความพึงพอใจหมายถึง ความรู้สึกนึกคิด ทัศนคติที่ดีความ ต้องการด้านจิตใจที่มีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากการได้รับการตอบสนองทั้งทางร่างกายและ จิตใจ เป็นผลให้เกิดความพึงพอใจ เป็นไปตามความคาดหวังของผู้มารับบริการ 4.2 เครื่องมือวัดระดับความพึงพอใจ โยธิน แสวงดี (2551) กล่าวว่า มาตรวัดความพึงพอใจสามารถกระทำได้หลายวิธีได้แก่ 1. การใช้แบบสอบถาม โดยผลตอบแบบสอบถามจะออกแบบสอบถามเพื่อต้องการทราบ ความคิดเห็น ซึ่งสามารถทำได้ในลักษณะที่กำหนดคำตอบให้เลือกหรือตอบคำถามอิสระ คำถามดังกล่าวอาจ ถามความพึงพอใจในด้านต่าง ๆ เช่น การบริหาร และการควบคุมงาน และเงื่อนไขต่าง ๆ เป็นต้น
2. การสัมภาษณ์ เป็นวิธีวัดความพึงพอใจทางตรงทางหนึ่ง ซึ่งต้องอาศัยเทคนิคและวิธีการที่ดี จึงจำให้ข้อมูลที่เป็นจริงได้ 3. การสังเกต เป็นวิธีการวัดความพึงพอใจโดยสังเกตพฤติกรรมของบุคคลเป้าหมาย ไม่ว่าจะ แสดงออกจากการพูด กิริยาท่าทาง วิธีนี้จะต้องอาศัยการกระทำอย่างจริงจังและการสังเกตอย่างมีระเบียบ แบบแผน ปริญญา จเรรัชต์และคณะ (2546) กล่าวว่ามาตรวัดความพึงพอใจสามารถกระทำได้หลายวิธีได้แก่ 1. การใช้แบบสอบถามโดยผู้สอบถามจะออกแบบสอบถามเพื่อต้องการทราบความคิดเห็น ซึ่งสามารถทำได้ในลักษณะที่กำหนดคำตอบให้เลือก หรือตอบคำถามอิสระคำถามดังกล่าวอาจถามความพึง พอใจในด้านต่าง ๆเช่น การบริการการบริหารและเงื่อนไขต่าง ๆ เป็นต้น 2. การสัมภาษณ์เป็นวิธีวัดความพึงพอใจทางตรงทางหนึ่งซึ่งต้องอาศัยเทคนิค และวิธีการ ที่ดีที่จะทำให้ได้ข้อมูลที่เป็นจริงได้ 3. การสังเกตเป็นวิธีการวัดความพึงพอใจโดยสังเกตพฤติกรรมของบุคคลเป้าหมาย ไม่ว่า จะแสดงออกจากการพูดกิริยาท่าทาง วิธีนี้จะต้องอาศัยการกระทำอย่างจริงจัง และการสังเกตอย่างมีระเบียบ แบบแผน ภณิดา ชัยปัญญา (2541) ได้กล่าวไว้ว่า การวัดความพึงพอใจนั้น สามารถทำได้หลายวิธีดังต่อไปนี้ 1. การใช้แบบสอบถาม โดยผู้ออกแบบสอบถาม ต้องการทราบความคิดเห็นซึ่งสามารถ กระทำได้ในลักษณะกำหนดคำตอบให้เลือก หรือตอบคำถามอิสระ คำถามดังกล่าว อาจถามความพอใจในด้าน ต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ตอบทุกคนมาเป็นแบบแผนเดียวกัน มักใช้ในกรณีที่ต้องการข้อมูลกลุ่มตัวอย่างมาก ๆ วิธีนี้ นับเป็นวิธีที่นิยมใช้กันมากที่สุดในการวัดทัศนคติ รูปแบบของแบบสอบถามจะใช้มาตรวัดทัศนคติ ซึ่งที่นิยมใช้ใน ปัจจุบันวิธีหนึ่ง คือ มาตราส่วนแบบลิเคิร์ท ประกอบด้วยข้อความที่แสดงถึงทัศนคติของบุคคลที่มีต่อสิ่งเร้าอย่าง ใดอย่างหนึ่งที่มีคำตอบที่แสดงถึงระดับความรู้สึก 5 คำตอบ เช่น มากที่สุด มาก ปานกลาง น้อย น้อยที่สุด 2. การสัมภาษณ์ เป็นวิธีการที่ผู้วิจัยจะต้องออกไปสอบถามโดยการพูดคุย โดยมีการ เตรียมแผนงานล่วงหน้า เพื่อให้ได้ข้อมูลที่เป็นจริงมากที่สุด 3. การสังเกต เป็นวิธีวัดความพึงพอใจ โดยการสังเกตพฤติกรรมของบุคคลเป้าหมายไม่ว่า จะแสงดออกจากการพูดจา กริยา ท่าทาง วิธีนี้ต้องอาศัยการกระทำอย่างจริงจัง และสังเกตอย่างมีระเบียบ แบบแผน วิธีนี้เป็นวิธีการศึกษาที่เก่าแก่ และยังเป็นที่นิยมใช้อย่างแพร่หลายจนถึงปัจจุบัน จากการศึกษาการ วัดความพึงพอใจ สรุปได้ว่าการวัดความพึงพอใจเป็นการบอกถึงความชอบของบุคคลที่มีต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่ง สามารถวัดได้หลายวิธีการสัมภาษณ์ การใช้แบบสอบถามความคิดเห็น การใช้แบบสำรวจความรู้สึก
4.3 วิธีการสร้างเครื่องมือวัดระดับความพึงพอใจ การสร้างแบบสอบถามวัดความพึงพอใจของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มีลำดับขั้นตอนดังนี้ 1. ศึกษาเอกสารเกี่ยวกับการวัดผลและประเมินผลวิธีการสร้างแบบสอบถามแสดงความพึงพอใจ 2. กำหนดรูปแบบการประเมินความพึงพอใจโดยสร้างแบบสอบถามแบบวัดที่เป็นแบบมาตรา ส่วนประมาณค่า (Rating Scale) แบ่งเป็น 5 ระดับ (บุญชม ศรีสะอาด, 2542) 3. กำหนดเกณฑ์ในการตัดสินความพึงพอใจของผู้เรียน (บุญชม ศรีสะอาด, 2542) 4. นำแบบสอบถามความพึงพอใจให้ผู้เชี่ยวชาญ 3 คน เพื่อตรวจสอบความเที่ยงตรงของ เนื้อหา (Content validity) โดยใช้เกณฑ์การประเมิน ดังนี้ +1 หมายถึง ถ้าแน่ใจว่าแบบสอบถามวัดพฤติกรรมนั้นจริง 0 หมายถึง ถ้าไม่แน่ใจว่าหรือตัดสินใจไม่ได้ว่าแบบสอบถามวัดพฤติกรรมนั้นจริง -1 หมายถึง ถ้าแน่ใจว่าแบบสอบถามไม่ได้วัดพฤติกรรมนั้นจริง 5. นำแบบสอบถามที่ได้รับการตรวจจากผู้เชี่ยวชาญนำมาหาค่าดัชนีความสอดคล้องกับ จุดประสงค์ IOC ที่มีเกณฑ์ตั้งแต่ 0.50 ขึ้นไป ได้ค่าดัชนีความสอดคล้อง เท่ากับ 1.00 แสดงว่า แบบสอบถาม ความเที่ยงตรงเชิงโครงสร้าง และสอดคล้องกับพฤติกรรมที่ต้องการวัด 6. นำแบบสอบถามความพึงพอใจมาปรับแก้ตามคำแนะนาของผู้เชี่ยวชาญ 7. นำแบบสอบถามไปใช้กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนเทศบาลวัดท้ายตลาด (กวี ธรรมสาร) จำนวน 30 คนเพื่อหาค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามความพึงพอใจโดยหาค่าความเชื่อมั่น แบบ สัมประสิทธิ์แอลฟ่า (Alpha Coefficient) 8. จัดพิมพ์แบบสอบถามความพึงพอใจฉบับสมบูรณ์ เพื่อนำไปใช้กับกลุ่มตัวอย่าง 4.4 การประเมินระดับความพึงพอใจด้วยค่าเฉลี่ย ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับการใช้แบบจำลองเป็นฐานทำการ วิเคราะห์โดยใช้ค่าสถิติ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน โดยใช้วัดความพึงพอใจ ซึ่งเป็นแบบมาตราส่วน ประมาณค่า (Rating scale) แบ่งเป็น 5 ระดับ คือมากที่สุด มาก ปานกลาง น้อย และน้อยที่สุดตามลำดับ นำเสนอน้าหนักความพึงพอใจ โดยใช้เกณฑ์การประเมินของบุญชม ศรีสะอาด (2542) กำหนดเกณฑ์ในการ ตัดสิน ความพึงพอใจของนักเรียน ดังนี้ ค่าเฉลี่ยระหว่าง 4.51 - 5.00 หมายถึง มีระดับความพึงพอใจมากที่สุด
ค่าเฉลี่ยระหว่าง 3.51 - 4.50 หมายถึง มีระดับความพึงพอใจมาก ค่าเฉลี่ยระหว่าง 2.51 - 3.50 หมายถึง มีระดับความพึงพอใจปานกลาง ค่าเฉลี่ยระหว่าง 1.51 - 2.50 หมายถึง มีระดับความพึงพอใจน้อย ค่าเฉลี่ยระหว่าง 1.00 - 1.50 หมายถึง มีระดับความพึงพอใจน้อยที่สุด 5. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง งานวิจัยที่เกี่ยวข้องภายในประเทศ ขวัญฤทัย เที่ยงจันทราทิพย์. (2553) การพัฒนาแนวคิดทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับระบบต่อมไรท่อและ ความเข้าใจธรรมชาติของวิทยาศาสตร์ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยการจัดการเรียนรู้แบบสืบ เสาะหาความรู้วัตถุประสงค์การวิจัยเพื่อศึกษาการ พัฒนาแนวคิดทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับระบบต่อมไร้ท่อ และความเข้าใจธรรมชาติของวิทยาศาสตร์ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โคยการจัดการเรียนรู้แบบ สืบเสาะหาความรู้ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบกรณีศึกษา กลุ่มที่ศึกษาเป็นนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 5 ของโรงเรียนแห่งหนึ่งในสังกัดสำนัดงานเขดพื้นที่การศึกษาพะเยาเขต 1 จำนวนทั้งสิ้น 80 คน ซึ่งกำลังศึกษาอยู่ใบภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2552 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แผนการจัดการ เรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้เรื่องระบบต่อมไร้ท่อ แบบวัดแนวคิดเกี่ยวกับระบบต่อมไร้ท่อ แบบสำรวจความ เข้าใจธรรมชาติของวิทยาศาสตร์ แบบบันทึกการจัดการเรียนรู้ และอนุทินสะท้อนการเรียนรู้ของนักเรียน ข้อมูลด้านการพัฒนาแนวคิดทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับระบบต่อมไร้ห่อจากแบบวัดแนวคิดเกี่ยวกับระบบต่อม ไร้ท่อ วิเคราะห์ข้อมูลโดยจัดกลุ่มแนวคิดของนักเรียนออกเป็น 4 กลุ่มแนวดีด จากนั้นคำนวณค่าร้อยละของ นักเรียนในแต่ละกลุ่มแนวคิดข้อมูลด้านการพัฒนาความเข้าใจธรรมชาดีของวิทยาศาสตร์จากแบบสำรวจความ เข้าใจธรรมชาติของวิทยาศาสตร์วิเคราะห์เนื้อหาคำตอบ โดยจัดกลุ่มความเข้าใจธรรมชาติของวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนดามกลุ่มคำตอบ จากนั้นคำนวณค่าร้อยละของนักเรียนในแต่ละกลุ่มความเข้าใจ สำหรับข้อมูลจาก แบบบันที่กการจัดการเรียนรู้และอนุทินสะท้อนการเรียนรู้ของนักเรียนใช้คารวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัย พบว่า 1) การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ทำให้ นักเรียนเกิดการพัฒนาแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ เกี่ยวกับระบบต่อมไร้ท่อมากขึ้น โดยจำนวนนักเรียนที่มีแนวคิดทางวิทยาศาสตร์และแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ บางส่วนเพิ่มขึ้น จำนวนนักเรียนที่มีแนวคิดทางวิทยาศาสตร์บางส่วนและแนวคิดคลาดเคลื่อนบางส่วน และ แนวคิดคลาดเคลื่อนลดลง ยกเว้นแนวคิดเกี่ยวกับการรักษาดุลยภาพของร่างกายด้วยออร์โมนจากระบบต่อม ไร้ท่อ จำนวนนักเรียนที่มีแนวคิดคลาดเคลื่อนเพิ่มขึ้น 2) การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ทำให้นักเรียน มีความเข้าใจธรรมชาติของวิทยาศาสตร์เพิ่มขึ้นในทุกประเด็น และสามารถอธิบายเหตุผลที่สนับสนุนความ เข้าใจของตนเองได้มากขึ้น ซึ่งนักเรียนมีความเข้าใจรรรมชาติของวิทยาศาสตร์ประเด็นต่าง ๆ เรียงตามลำดับ จากมากไปหาน้อย ดังนี้ นักวิทยาศาสตร์เข้าร่วมกิจกรรมทางสังคมในฐานะผู้เชี่ยวชาญหรือพลเมืองของสังคม
การพัฒนาทางวิทยาศาสตร์มีความสัมพันธ์กับสังคม เทคโนโลยี วัฒนธรรม บรรทัดฐาน และการเมือง วิทยาศาสตร์ต้องการหลักฐาน ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เปลี่ยนแปลงได้ และวิทยาศาสตร์เป็นกิจกรรมทางสังคม ที่ทุกคนสามารถมีส่วนร่วม จุฑารัตน์ แตงอ่อน. (2554) การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับการเรียนรู้แบบร่วมมือ เพื่อพัฒนาแนวคิด เรื่องสมบัติของสาร ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และเจตคติต่อวิทยาศาสตร์ของ นักเรียนชั้นประถศึกษาปีที่ 6 การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาแนวคิด เรื่องสมบัติของสาร ของ นักเรียนประถมศึกษาปีที่ 6 2) ประเมินทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนระดับชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 3) ประเมินเจตคติต่อวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 หลังการ เรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับการเรียนรู้แบบร่วมมือ กลุ่มที่ศึกษา คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ของโรงเรียนแห่งหนึ่งในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากรุงเทพมหานคร ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2553 ที่เลือกแบบเฉพาะเจาะจง จำนวน 40 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย บันทึกการเรียนรู้ บันทึกหลังสอน แบบวัดแนวคิด เรื่องสมบัติของสารแบบวัดทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ แบบวัดเจตคติต่อวิทยาศาสตร์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยจัดกลุ่มแนวคิดของนักเรียนออกเป็น 5 กลุ่ม ตามความสอดคล้องกับแนวคิดเชิงวิทยาศาสตร์ หาค่าความถี่ และร้อยละ ผลการวิจัย พบว่า 1) นักเรียนมี แนวคิดเชิงวิทยาศาสตร์ เรื่องสมบัติของของแข็งร้อยละ 77 โดยนักเรียนสามารถบอกสถานะและสมบัติของ ของแข็งได้ทั้งในเรื่องรูปร่างและปริมาตร และมีแนวคิดเชิงวิทยาศาสตร์คลาดเคลื่อนเรื่องสมบัติของของเหลว ร้อยละ 12.5 โดยนักเรียนระบุว่าของเหลวมีปริมาตรไม่คงที่ นักเรียนมีแนวคิดเชิงวิทยาศาสตร์ เรื่องการเปลี่ยน สถานะของสารเกี่ยวกับการแข็งตัวร้อยละ 72.5 โดยสามารถระบุเกี่ยวกับการเปลี่ยนสถานะและอุณหภูมิและ มีแนวคิดเชิงวิทยาศาสตร์คลาดเคลื่อนในเรื่องการควบแน่นร้อยละ 22 5 โดยนักเรียนเรียกชื่อปรากฎการณ์เป็น การระเหยหรือการเดือด อธิบายเกี่ยวกับการเปลี่ยนสถานะและอุณหภูมิไม่ถูกต้อง มีแนวคิดเชิงวิทยาศาสตร์ เรื่องการละลายร้อยละ 95 นักเรียนสามารถะบุได้ว่าการละลายคือการที่สารอย่างน้อย 2 ชนิดรวมเป็นเนื้อ เดียวกันและสามารถทำให้สารกลับคืนมาได้ และนักเรียนมีแนนคิดเชิงวิทยาศาสตร์เรื่องการเปลี่ยนแปลงทาง เคมีร้อยละ 97.5 นักเรียนสามารถระบุได้ว่าการเปลี่ยนแปลงทางเคมีคือกาเกิดปฏิกิริยาเคมีจะมีสารใหม่เกิดขึ้น โดยสารใหม่ที่เกิดขึ้นจะมีสมบัติเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมสามารถทำให้สารกลับคืนมาได้ยาก 2) นักเรียนมีทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ชั้นพื้นฐานเฉลี่ยร้อยละ 66.25 มีทักษกระบวนกาทางวิทยาศาสตร์ขั้นผสมเฉลี่ย ร้อยละ 45 3) นักเรียนมีเจตคติต่อวิทยาศาสตร์อยู่ในระดับดีร้อยละ 80 รุ่งนภา เอียงอุบล. (2555) การพัฒนาแนวคิดเรื่องกรดและเบสของนักเรียนช่วงชั้นที่ 3 โดยใช้การ จัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะทางวิทยาศาสตร์ วัตถุประสงค์ในการวิชัยครั้งนี้ 1) เพื่อพัฒนาแนวคิดเรื่องกรดและ เบสของนักเรียนช่วงชั้นที่ 3โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะทางวิทยาตาสตร์2) เพื่อหาแนวทางการสอน แบบสืบเสาะทางวิทยาศาสตร์ที่มีคุณภาพ เพื่อพัฒนาแนวคิดเรื่องกรดแถะเบส การวิชัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิง
ปฏิบัติการในชั้นเรียนกลุ่มที่ศึกษา คือ นักเรียนระดับมัธยมศึกษาปีที่ 1 ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกบา 2554 จำนวน1 ห้องเรียน 40 คน ของโรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษแห่งหนึ่งในจังหวัดเพชรบุรี เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้ 7 แผน (15 ดาบ) แบบวัคแนวคิดเรื่องกรดและเบส แบบอนุทินบันทึกการ เรียนรู้ แบบบันทึกหลังสอนของครู การวิเคราะห์แนวคิดเรื่องกรดและเบสได้วิเคราะห์จากเนื้อหา โดยจัดกลุ่ม ออกเป็น 5 ประเกท ดังนี้ 1) แนวคิดถูกต้องตามแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ (Sound Understanding: SU ) 2) แนวคิดที่ถูกต้องเพียงบางส่วน (Partial Understanding: PU ) 3) แนวคิดที่ถูกต้องบางส่วนและแสดงแนว ติดทางเผือก (Partial Understanding with Alternative conception: PUA) 4) แนวคิดทางเลือก Specific Alterative conception: SA) 5) ไม่ตอบหรือไม่แสคงแนวคิด (No Response: NR ) โดยพิจารณาจากความ สอดคล้องกับคำตอบที่คาดหวัง จากนั้น ตำนวณด่าร้อยละของนักเรียนแต่ละกลุ่มแนวคิด เปรียบเทียบผลก่อน เรียนและหลังเรียน เพื่อดูการพัฒนาแนวคิดในภาพรวม ผู้วิชัยให้คะแนนแนวคิดแต่ถะประเภท (จาก 1 ถึง 5 คะแนน ) ในทุกแนวคิดคิดตะแนนรวมรายบุคคล ก่อนและหลังในการประเมิน ผู้วิชัยพิจารณา คะแนนหลังเรียนเฉลี่ยและดูคะแนนพัฒนาการสัมพัทธ์ เฉถี่ยเทียบกับเกณฑ์60 เปอร์เซ็นต์ สำหรับการพัฒนา แนวทางการสอนใช้วิเคราะห์ข้อมูลแบบอุปนัย โดยตีความสร้างข้อสรุปจากการสะท้อนความคิดอนุทินของ นักเรียน แบบบันทึกหลังสอนของครู ผลการวิจัยพบว่า การพัฒนาแนวคิดเรื่องกรดและเบสโดยใช้การจัดการ เรียนรู้แบบสืบเสาะทางวิทยาศาสตร์สามารถพัฒนาได้ทุกแนวคิดโดยมีผลการประเมินในภาพรวมหลังเรียนและ คะแนนพัฒนาการสัมพัทธ์ ดังนี้ คะแนน หลังเรียนเฉลี่ย 81.98 คะแนนและคะแนนพัฒนาการสัมพัทธ์เฉสี่ย 66 54 .เปอร์เซ็นต์ สำหรับแนวทางการสอนแบบสีบเสาะทางวิทยาศาสตร์ ผู้วิชัยได้สังเคราะห์กระบวนการ จัดการเรียนรู้ในแนวทางการเรียนรู้แบบ 5E ร่วมกับการเขียนอนุทินบันทึกการเรียนรู้ของนักเรียน อังคณา ปัทมาพงศา. (2555) การพัฒนาแนวคิดเรื่องการสังเคราะห์ด้วยแสงและมุมมองธรรมชาติของ วิทยาศาสตร์ โดยใช้การจัดการเรียนการสอนแบบสืบเสาะหาคความรู้ร่วมกับการสอนธรรมชาติของ วิทยาศาสตร์แบบชัดแจ้งของนักนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย การวิชัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาแนวคิดเรื่องการสังเคราะห์ด้วยแสงและมุมมองธรรมชาติของวิทยาศาสตร์ โดยการจัดการเรียนการ สอนแบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับการสอนธรรมชาติของวิทยาศาสตร์แบบชัดแจ้งง และ 2) เพื่อศึกษาและ เสนอแนวทางการปฏิบัติการสอนในรูปแบบดังกล่าวที่ส่งเสริมการพัฒนาแนวคิดเรื่องการสังเคราะห์ด้วยแสง และธรรมชาติของวิทยาศาสตร์ในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายจากการสะท้อนความคิดจากการสอนอย่าง ใคร่ครวญ การวิจัยครั้งนี้เป็นคารวิชัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียนกลุ่มที่ศึกมาเป็นนักเรียนระดับมัธยมศึกษา ปีที่ ของโรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดกรุงเทพมหานคร 1 ห้องเรียน (48 คน) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้ 9 แผน (16 คาบ) แบบวัคแนวคิดเรื่องการสังเคราะห์ด้วยแสง แบบวัคมุมมองธรรมชาติของวิทยาศาสตร์ แบบบันทึกการจัดการเรียนรู้ แบบสังเกตการสอนของครูผู้ช่วยวิจัย แบบบันที่กอนุทินของนักเรียน และใบกิจกรรมประกอบการเรียนรู้ในห้องเรียน วิเคราะห์แนวคิดเรื่องการ
สังเคราะห์ด้วยแสงและมุมมองธรรมชาติของวิทยาศาสตร์ โดยการวิเคราะห์เนื้อหาจากแบบวัดแนวคิดและ แบบวัคมุมมอง แล้วจัดกลุ่มเป็น 5 กลุ่ม และ 4 กลุ่ม ตามสำดับ โคยพิจารณาจากความสอดคล้องจากคำตอบ ที่คาดหวัง จากนั้นคำนวมค่าร้อยละของนักเรียนแต่ละกลุ่มแนวคิดหรือกลุ่มมุมบองแล้วเปรียบเทียบผลก่อน เรียนกับหลังเรียน และประเมินการพัฒนาในภาพรวมจากคะแนนหลังเรียนโดยใช้เกณฑ์60% และพิจารณา ระดับพัฒนาการจากคะแนนพัฒนาการสัมพัทธ์ สำหรับข้อมูลจากเครื่องมืออื่น ๆ ใช้การวิเคราะห์เนื้อหา ส่วนการศึกษาและเสนอแนวทางการสอนใช้การวิเคราะห์ข้อมูลโดยการตีความสร้างข้อสรุปแบบอุปนัย จากอนุทินของนักเรียน แบบบันทึกการจัดการเรียนรู้ และแบบสังเกตการสอนของครูผู้ช่วยวิจัย ผลการวิจัย พบว่าการจัดการเรียนการสอนแบบสืบเสาะหาควาบรู้ร่วมกับการสอนธรรบชาติของวิทยาศาสตร์แบบชัคแจ้ง สามารถพัฒนาแนวคิดเรื่องการสังเคราะห์ด้วยแสงได้ทุกแนวคิด โคยมีคะแนนหลังเรียนเฉลี่ยผ่านเกณฑ์เท่ากับ 69.00%และมีคะแนนพัฒนาการสัมพัทธ์เท่ากับ 60.49% ซึ่งอยู่ในเกณฑ์การพัฒนาระดับสูง ส่วนการพัฒนา มุมมอรกรมชาติของวิทยาศาสตร์สามารถพัฒนาได้ทุกค้านที่ศึกษาเช่นกัน แต่ค้านที่นักเรียนมีพัฒนาการน้อย คือค้านมาชาคติของวิธีการทางวิทยาศาสตร์ โดยมีคะแนนหลังเรียนเฉลี่ยผ่านเกณฑ์เท่ากับ 68.27% และ มีคะแนนพัฒนาการสัมพัทธ์เท่ากับ 33.09% ซึ่งอยู่ในเกณฑ์การพัฒนาระดับกลาง สำหรับการจัดการเรียนการ สอนแบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับการสอนธรรมชาติของวิทยาศาสตร์แบบชัดแจ้งที่ส่งเสริมนวคิดเรื่องการ สังเคราะห์ด้วยแสงและมุมมองธรรมชาติของวิทยาศาสตร์ ผู้วิจัยได้เสนอแนวจัดการเรียนการสอนในลักษณะ ดังกล่าวจากการปฏิบัติที่ดี เพื่อประโยชน์กับครูผู้สอนวิชาวิทยาศาสตร์ต่อไป นรา เขียวละลิ้ม. (2556) การพัฒนาแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ เรื่อง สารประกอบไฮโดรคาร์บอนของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โดยการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับแผนผังแนวคิด การวิจัยเชิง ปฏิบัติการในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวทางการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับแผนผัง แนวคิดและศึกษาการพัฒนาแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ เรื่องสารประกอบไฮโครคาร์บอน ของนักเรียนระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 37 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แบบบันทึกหลังสอนของครู แบบ บันทึกการเรียนรู้ของนักเรียนแบบวัคแนวคิด เรื่อง สารประกอบไฮโครคาร์บอน และใบกิจกรรม วิเคราะห์ ข้อมูลจากแบบวัดแนวคิด เรื่องสารประกอบไฮโครคาร์บอน โดยจัดกลุ่มแนวคิดของนักเรียนออกเป็น 5 กลุ่ม จากนั้นคำนวณค่าร้อยละของนักเรียนในแต่ละกลุ่มแนวคิด และวิเคราะห์บันทึกหลังสอนของครู บันทึกการ จัดการเรียนรู้ของนักเรียน และใบกิจกรรม โดยวิเคราะห์เนื้อหาผลการวิจัยพบว่า การจัดการเรียนรู้แบบสืบ เสาะหาความรู้ร่วมกับแผนผังแนวคิดเรื่องสารประกอบไฮโครคาร์บอนประกอบด้วยลักษณะสำคัญของการ สืบเสาะ 5 ประการ มีแนวทางดังนี้ 1) ครูควรใช้สื่อร่วมกับคำถามที่กระตุ้นดวามสนใจของนักเรียน 2) ครูควรมี กิจกรรมให้นักเรียนได้ค้นหาข้อมูลหลักฐาน 3) ครูควรใช้คำถามเพื่อให้นักเรียนได้แสคงความคิดเห็นและ อธิบายเหตุผล 4) ครูควรให้นักเรียนนำเสนอและอภิปรายร่วมกันเพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ถูกต้อง 5) ให้นักเรียนได้มี การสื่อสารและให้เหตุผลของคำอธิบายโดยการเขียนแผนผังแนวคิด นอกจากนี้ยังพบว่าหลังจากการจัดการ
เรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับแผนผังแนวคิด นักเรียนร้อยละ 49.18 มีแนวคิดถูกต้อง (SU) รองลงมา ร้อยละ 21. 92 มีแนวคิดถูกต้องบางส่วน (PU) ร้อยละ 17.87 มีแนวคิดคลาดเคลื่อน (SM) ร้อยละ 9.38 มี แนวคิดถูกต้องบางส่วนและคลาคเคลื่อนบางส่วน(PU/SM ) และร้อยละ 1.65 ไม่มีแนวคิด (NU) โดยนักเรียนมี แนวคิดทางวิทยาศาสตร์ถูกต้องมากที่สุดคือ ลักษณะของสารประกอบไฮโครคาร์บอนและมีแนวคิดทาง วิทยาศาสตร์ถูกต้องน้อยที่สุด คือ สารประกอบแอลเคน จิรัสยา นาคราช. (2558) การพัฒนาแนวคิดทางวิทยาศาสตร์เรื่องระบบประสาทและความสามารถใน การสืบเสาะทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหา ความรู้การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบแนวคิดทางวิทยาศาสตร์และความสามารถในการสืบเสาะทาง วิทยาศาสตร์ วิชาชีววิทยา เรื่องระบบประสาท ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่ได้รับการจัดการ เรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้กับการจัดการเรียนแบบปกติ กลุ่มที่ศึกษาได้แก่นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 80 คน โรงเรียนกาญจนาภิเษกวิทยาลัยนครปฐมสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 9 การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาแนวคิดทางวิทยาศาสตร์เรื่องระบบ ประสาทและความสามารถในการสืบเสาะทางวิทยาศาสตร์ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้ แบบทดสอบวัดแนวคิด เรื่องระบบประสาทแบบทดสอบวัดความสามารถในการสืบเสาะทางวิทยาศาสตร์ ผู้วิจัยวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ สถิติANCOVA ผลการวิจัยพบว่า 1) แนวคิดทางวิทยาศาสตร์ เรื่องระบบประสาท ของนักเรียนหลังเรียนที่ ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้สูงกว่ากับการจัดการเรียนรู้แบบปกติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ 05 โดยแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ เรื่องระบบประสาท ของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบสืบ เสาะหาความรู้มีค่าเฉลี่ยสูงกว่าที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบปกติ2) ความสามารถในการสืบเสาะทาง วิทยาศาสตร์ ของนักเรียนหลังเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้สูงกว่ากับการจัดการเรียนรู้ แบบปกติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยความสามารถในการสืบเสาะทางวิทยาศาสตร์ ของ นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ มีค่าเฉลี่ยสูงกว่าที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบปกติ งานวิจัยที่เกี่ยวข้องภายในต่างประเทศ Abrahum and Renner. (1986) ได้ศึกษาผลงานการวิจัยของนักศึกษาวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับ วงจรการเรียนรู้ในวิชาเคมี ระดับมัธยมศึกษา พบว่านักเรียนที่ได้รับการสอนตามแนววงจรการเรียนรู้มี ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านเนื้อ หาวิชาและทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์วิชาเคมีสูงกว่านักเรียนที่ได้รับ การสอนตามปกติ และนอกจากนี้การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ยังมีผลต่อความคงทนในผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนของนักเรียน
Wilder and Shuttleworth (2005) ศึกษาผลการจัดการเรียนรู้ 5E เรื่องเซลล์ ในนักเรียนระดับ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 รวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบทดสอบ ผลการศึกษาพบว่า การจัดการเรียนรู้แบบวัฏจักรการ เรียนรู้ 5E เรื่องเซลล์ ทำให้นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเซลล์มากยิ่งขึ้น และกิจกรรมการเรียนรู้แบบ สืบเสาะหาความรู้สามารถกระตุ้นความสนใจของนักเรียนให้อยากรู้ และมีการขยายความรู้โดยการอภิปราย แลกเปลี่ยนผลการเรียนรู้ร่วมกันส่งเสริมให้ผู้เรียนมีทักษะการสืบเสาะหาความรู้และสามารถสร้างความรู้ด้วย ตัวเองได้
บทที่ 3 วิธีการวิจัย การวิจัยเรื่องการพัฒนาแนวคิดวิทยาศาสตร์โดยใช้วิธีการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับการใช้ แบบจำลองเป็นฐาน เรื่องการสืบพันธุ์ของพืชดอก ผู้วิจัยได้ดำเนินการวิจัย ตามขั้นตอนดังนี้ กรอบแนวคิดในการวิจัย ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม การเลือกกลุ่มที่ศึกษาในงานวิจัย กลุ่มที่ศึกษา เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาศึกษาปีที่ 1 ในปีการศึกษา 2565 โรงเรียนบ้านปางวุ้น อำเภอทองแสนขัน จังหวัดอุตรดิตถ์ จำนวน 13 คน เป็นนักเรียนชาย 6 คน และนักเรียนหญิง 7 คน ซึ่งเป็น กลุ่มศึกษาที่ผู้วิจัยเลือกแบบเฉพาะเจาะจง เหตุผลที่เลือกกลุ่มดังกล่าว 1) เป็นกลุ่มที่ผู้วิจัยเคยจัดการเรียนรู้ เรื่องเซลล์ด้วยการสอนแบบบรรยายมาก่อนแล้ว 2) โรงเรียนของกลุ่มที่ศึกษาเป็นโรงเรียนขยายโอกาสขนาด เล็ก มีนักเรียนในปีการศึกษา 2565 จำนวนทั้งสิ้น 115 คน ผู้วิจัยไม่สามารถสุ่มตัวอย่างตามระเบียบวิธีวิจัยซึ่ง ต่างกับโรงเรียนขนาดใหญ่ที่แต่ละระดับชั้นเรียนจำนวนหลายห้องเรียนทำให้สามารถสุ่มตัวอย่างตามระเบียบ วิธีวิจัย 3) โรงเรียนของกลุ่มที่ศึกษาเป็นโรงเรียนที่สนับสนุนและส่งเสริมการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์เป็น อย่างดี ขั้นตอนการดำเนินการวิจัย การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียน (Classroom Action Research) เพื่อพัฒนา แนวคิดวิทยาศาสตร์ เรื่อง การสืบพันธุ์ของพืชดอก ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ด้วยการจัดการ เรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับการใช้แบบจำลองเป็นฐาน โดยผู้วิจัยได้นำหลักการและขั้นตอนของการ วิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียนตามแนวคิดของ Wilfred Carr และ Stephen Kemmis (1986 อ้างใน จี ระวรรณ เกษสิงห์, 2562) มาเป็นแนวทางในการวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียนประกอบด้วย 4 ขั้นตอนที่เป็น วงจรต่อเนื่องกัน ดังต่อไปนี้ การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะแบบสืบ เสาะหาความรู้ร่วมกับการใช้แบบจำลอง เป็นฐานความรู้ร่วมกับการใช้แบบจำลอง เป็นฐาน แนวคิดวิทยาศาสตร์เรื่องการสืบพันธุ์ของ พืชดอก ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ร่วมกับการใช้แบบจำลองเป็นฐาน
1. ขั้นวางแผนปฏิบัติ(Plan) ผู้วิจัยศึกษาวิเคราะห์สภาพปัญหาในการจัดการเรียนในรายวิชาวิทยาศาสตร์ และสะท้อนปัญหาจาก การจัดการเรียนรู้ของผู้วิจัยที่ผ่านมา จากนั้นผู้วิจัยศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวของกับการจัดการเรียนรู้แบบสืบ เสาะหาความรู้ร่วมกับการใช้แบบจำลองเป็นฐาน และแนวคิดที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับการสืบพันธุ์ของพืชดอก แบบวัดแนวคิดที่จำเป็นต่อการเรียนรู้ในเรื่องการสืบพันธุ์ของพืชดอก และเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการจัดการ เรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับการใช้แบบจำลองเป็นฐาน เพื่อหาแนวทางการออกแบบแผนการจัดการ เรียนรู้ ที่จะสามารถพัฒนาแนวคิดของนักเรียนเกี่ยวกับการสืบพันธุ์ของพืชดอก และผู้วิจัยยังศึกษาข้อมูล เกี่ยวกับการออกแบบและสร้างเครื่องมือที่ใช้เก็บข้อมูล เพื่อนำมาวิเคราะห์แนวคิดวิทยาศาสตร์ของนักเรียน 2. ขั้นปฏิบัติการ (Act) ผู้วิจัยนําแผนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับการใช้แบบจำลองเป็นฐานที่สร้างขึ้นไปใช้ ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ในเรื่องความการสืบพันธุ์ของพืชดอก ใช้เวลาการสอนทั้งหมด 4 คาบ 3. ขั้นสังเกตผลการปฏิบัติ(Observe) ผู้วิจัยดําเนินการสอนในแต่ละแผนแล้วทุกครั้งผู้วิจัยจะบันทึกหลังสอน โดยการสังเกตการจัดการเรียนรู้ ที่สร้างขึ้น เมื่อสอนจบในแต่ละคาบผู้วิจัยจะบันทึกผลจากการสังเกตการจัดการเรียนการสอนทันที เพื่อที่ สามารถวิเคราะห์ประเด็นสําคัญ ปัญหา หรือสิ่งที่ต้องแก้ไขจากกระบวนการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นได้ถูกต้องและ ครอบคลุมทุกประเด็น เพื่อที่สามารถนํามาปรับปรุงและแก้ไขในขั้นถัดไปได้ในขั้นนี้เพื่อตอบวัตถุประสงค์ของ การวิจัยของที่ข้อที่ 1 (เพื่อพัฒนาแนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับการใช้ แบบจำลองเป็นฐาน ช่วยให้นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี่ที่ 1 มีแนวคิดวิทยาศาสตร์ เรื่องการสืบพันธุ์ของพืชดอก) เครื่องมือที่ผู้วิจัยใช้เก็บรวบรวมข้อมูลในขั้นนี้ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับการใช้ แบบจำลองเป็นฐาน บันทึกหลังการสอนของผู้วิจัยและอนุทินบันทึกการเรียนรู้ของนักเรียน เพื่อตอบ วัตถุประสงค์ของการวิจัยข้อที่ 2 (เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์การจัดการเรียนรู้ที่ช่วยให้นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีแนวคิดวิทยาศาสตร์เรื่องการวืบพันธุ์ของพืชดอก) เครื่องมือที่ผู้วิจัย ใช้เก็บรวบรวมข้อมูลในขั้นนี้ ได้แก่ แบบ วัดผลสัมฤทธิ์และเพื่อวัตถุประสงค์ของการวิจัยข้อที่ 3 (เพื่อศึกษาความพึงพอใจต่อการพัฒนาแนวคิด วิทยาศาสตร์ เรื่องการสืบพันธุ์ของพืชดอก ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยการจัดการเรียนรู้แบบสืบ เสาะหาความรู้ร่วมกับการใช้แบบจำลองเป็นฐาน) เครื่องมือที่ผู้วิจัยใช้เก็บรวบรวมข้อมูลในขั้นนี้ได้แก่ แบบ ประเมินความพึงพอใจของนักเรียน 4. ขั้นสะท้อนการปฏิบัติ (Reflect) ผู้วิจัยเขียนการสะท้อนผลการปฏิบัติการสอนของตนเอง โดยให้ครอบคลุมประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ ปัญหา ในการจัดการเรียนรู้ แนวทางแก้ไข และสิ่งที่ได้เรียนรู้ จากนั้นจะนำข้อมูลที่ได้จากขั้นสังเกตผลการปฏิบัติ
(Observe) มาทำการวิเคราะห์เพื่อใช้หาแนวทางในการปรับปรุงพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ของผู้วิจัยในครั้ง ถัดไป ซึ่งในขั้นนี้ก็จะตอบคำถามการวิจัยของผู้วิจัย โดยผู้วิจัยสรุปขั้นตอนการดำเนินการวิจัยได้ดังแผนภาพ แผนภาพวงจรการดำเนินการวิจัยตามแนวคิดของ Wilfred Carr และ Stephen Kemmis (1986 อ้างใน จีระวรรณ เกษสิงห์, 2562) เครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ประกอบไปด้วย เครื่องมือที่ใช้ในการจัดการเรียนรู้ ได้แก่ แผนการจัดการ เรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้เรื่องการสืบพันธุ์ของพืชดอก และเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลได้แก่ แบบบันทึกหลังการจัดการเรียนรู้ และแบบวัดแนวคิดวิทยาศาสตร์เรื่องการสืบพันธุ์ของพืชดอก 1. แผนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับการใช้แบบจำลองเป็นฐาน ผู้วิจัยสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ในหน่วยการเรียนรู้เรื่องเซลล์ทั้งหมด 3 แผน โดยมีระยะเวลาในการ จัดกิจกรรมการเรียนรู้ทั้งหมด 4 คาบ ซึ่งแต่ละแผนการจัดการเรียนรู้จะประกอบไปด้วย 5 ขั้นตอน คือ ขั้น สร้างความสนใจและตรวจสอบความรู้เดิมของนักเรียน ขั้นการสำรวจและค้นหา ขั้นอธิบาย ขั้นขยายความรู้ ขั้นสรุปและประเมินผลสิ่งที่เรียนรู้ สำหรับการสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ ผู้วิจัยมีวิธีการสร้างและหาคุณภาพ ดังนี้ 1.1 ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) มาตรฐานการเรียนรู้สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ สาระที่ 1 วิทยาศาสตร์ชีวภาพ หนังสือเรียนวิทยาศาสตร์ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 ของสำนักพิมพ์ต่าง ๆ เอกสารและงานวิจันต่าง ๆ เพื่อทำกรอบแนวคิดวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับ การสืบพันธุ์ของพืชดอก 1.2 นำกรอบเนื้อหาและแนวคิดที่คลาดเคลื่อน เรื่องการสืบพันธุ์ของพืชดอก จากงานวิจัยที่ศึกษามา สร้างแบบสำรวจแนวคิดเกี่ยวกับการเกิดเงา และนำแบบสำรวจแนวคิดเกี่ยวกับการเกิดเงา ไปทำการสำรวจ แนวคิดกับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 นำแนวคิดวิทยาศาสตร์ของนักเรียนที่ได้จากการสำรวจมาใช้เป็น แนวทางในการออกแบบแผนการจัดการเรียนรู้ เพื่อให้มีกิจกรรมที่ออกแบบสามารถพัฒนาแนวคิดของนักเรียน ได้ 1.3 ออกแบบและสร้างกิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ เรื่องการสืบพันธุ์ของพืชดอก ในแต่ละแผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 3 แผน
1.4 นำแผนการจัดการเรียนรู้ทั้ง 3 แผน ให้อาจารย์ที่ปรึกษางานวิจัย ครูพี่เลี้ยงและผู้เชียวชาญด้าน การจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ จำนวน 3 ท่าน ตรวจสอบเนื้อหาและด้านกิจกรรมการเรียนรู้ จากการ ตรวจสอบของอาจารย์ที่ปรึกษางานวิจัย ครูพี่เลี้ยงและผู้เชียวชาญทั้ง 3 ท่าน ผู้วิจัยจะได้รับข้อเสนอแนะเพื่อ นำมาปรับปรุงแผนการจัดการเรียนรู้ของผู้วิจัย 1.5 นำข้อเสนอแนะของอาจารย์ที่ปรึกษางานวิจัยครูพี่เลี้ยงและผู้เชียวชาญทั้ง 3 ท่าน มาปรับปรุง แผนการจัดการเรียนรู้ แล้วนำแผนที่ปรับปรุงแล้วให้อาจารย์ที่ปรึกษางานวิจัยครูพี่เลี้ยงและผู้เชียวชาญ ทั้ง 3 ท่าน ตรวจสอบอีกครั้ง ก่อนนำแผนการจัดการเรียนรู้ไปใช้กับกลุ่มที่ศึกษา 2. แบบบันทึกหลังการจัดการเรียนรู้ เป็นแบบการบันทึกการจัดการเรียนรู้สร้างขึ้น เพื่อให้ผู้วิจัยเขียนสะท้อนเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้ บันทึกเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละคาบเรียนและมีการสะท้อนเรื่องราวด้วยตัวผู้วิจัยเอง โดยประเด็นหลัก ที่ผู้วิจัยบันทึกจะมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 3 ประเด็นคือ 1) ผลการจัดการประสบการณ์การเรียนรู้ 2) ปัญหาและ อุปสรรคที่พบในการจัดการเรียนรู้ 3) ข้อเสนอแนะหรือแนวทางในการแก้ไข ผู้วิจัยมีวิธีการสร้างและหา คุณภาพ ดังนี้ 2.1 ศึกษารูปแบบของแบบบันทึกหลังการจัดการเรียนรู้จากเอกสารและงานวิจัยต่าง ๆ เพื่อกำหนด ประเด็นการบันทึกหลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ให้กับนักเรียน 2.2 สร้างแบบบันทึกหลังการจัดการเรียนรู้และนำไปให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ จำนวน 3 ท่าน ตรวจสอบความเหมาะสมของแบบบันทึกหลังการจัดการเรียนรู้ จากนั้นนำข้อเสนอแนะของผู้เชียวชาญทั้ง 3 ท่าน มาปรับปรุงกรอบการบันทึกที่ต้องการเก็บรวบรวมข้อมูล 2.3 ได้แบบบันทึกหลังการจัดการเรียนรู้ ได้แก่ 1) ผลการจัดการประสบการณ์การเรียนรู้ 2) ปัญหา และอุปสรรคที่พบในการจัดการเรียนรู้ 3) ข้อเสนอแนะหรือแนวทางในการแก้ไข จากนั้นนำแบบบันทึกหลัง การสอนไปใช้เก็บรวบรวมข้อมูล 3. อนุทินบันทึกการเรียนรู้ของนักเรียน แบบบันทึกอนุทินการเรียนรู้ของนักเรียน เป็นรูปแบบตั๋วออก ซึ่งมีการกำหนดหัวข้อในการบันทึกให้ นักเรียนเขียนบันทึก เพื่อเป็นข้อมูลที่สะท้อนความเข้าใจ จากการจัดการเรียนรู้ในแต่ละครั้ง และเป็นการ สะท้อนการจัดการเรียนรู้ของครู ในมุมมองของนักเรียน ผู้วิจัยมีแนวทางในการสร้างแบบบันทึกอนุทินการ เรียนรู้ของนักเรียน ดังนี้ 3.1 ศึกษารูปแบบของอนุทินบันทึกการเรียนรู้ของนักเรียน จากเอกสารและงานวิจัยต่าง ๆ จากนั้น สร้างหัวข้อ เพื่อให้นักเรียนบันทึกการเรียนรู้ของตนเอง
3.2 สร้างอนุทินบันทึกการเรียนรู้ของนักเรียน ตามหัวข้อที่กำหนดไว้ แล้วนำเสนอไปให้อาจารย์ที่ ปรึกษางานวิจัยและครูพี่เลี้ยง ตรวจสอบความเหมาะสมของหัวข้อที่กำหนดให้นักเรียนบันทึก 3.3 ปรับปรุงแก้ไขอนุทินบันทึกการเรียนรู้ของนักเรียนตามข้อเสนอแนะของอาจารย์ที่ปรึกษา งานวิจัยและครูพี่เลี้ยง เพื่อให้มีความเหมาะที่จะนำไปเก็บรวบรวมข้อมูล มีหัวข้อให้นักเรียนบันทึก 4 หัวข้อ ได้แก่ 1) การสอนในครั้งนี้ของครูช่วยให้นักเรียนมีความเข้าใจในเนื้อหามากขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด 2) สิ่งที่นักเรียนอยากให้ครูปรับปรุงการสอน พร้อมบอกเหตุผลประกอบ 3) ปัญหาและอุปสรรคที่นักเรียนมี ระหว่างเรียน 4) ความรู้สึกของนักเรียนที่มีต่อการเรียนในชั่วโมง 4. แบบวัดแนวคิดวิทยาศาสตร์เรื่องการสืบพันธุ์ของพืชดอก เป็นแบบปรนัย จํานวน 20 ข้อ เพื่อวัดแนวคิดวิทยาศาสตร์ เรื่อง การสืบพันธุ์ของพืชดอก โดยครอบคลุมแนวคิดหลักทั้งหมดของเนื้อหา โดยมีวิธีการสร้างและหาคุณภาพ ดังนี้ 4.1 ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) มาตรฐานการเรียนรู้สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ สาระที่ 1 วิทยาศาสตร์ชีวภาพ หนังสือเรียน วิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ของสํานักพิมพ์ต่าง ๆ เอกสารและงานวิจัยต่าง ๆ เพื่อวิเคราะห์ถึงแนวคิดที่ สําคัญในเรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างและการสร้างเครื่องมือวัดแนวคิดของกลุ่มที่ศึกษา 4.2 สร้างโครงสร้าง วิเคราะห์และรายการแนวคิดที่ต้องการวัดประเมินข้อคําถาม และกรอบ ของ คําตอบเสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษางานวิจัยและครูพี่เลี้ยง เพื่อตรวจสอบความครอบคลุมของเนื้อหา 4.3 นําโครงสร้างที่ผ่านการตรวจสอบแล้ว จัดทําแบบวัดแนวคิด จํานวน 20 ข้อ โดยแบบวัดแนวคิดวิทยาศาสตร์มีลักษณะเป็นแบบปรนัยซึ่งครอบคลุมทุกแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับเรื่องการ สืบพันธุ์ของพืชดอก 4.4 นําแบบวัดความเข้าใจธรรมชาติของวิทยาศาสตร์ฉบับร่างเสนอให้อาจารย์ที่ปรึกษา งานวิจัย ครู พี่เลี้ยง และผู้เชี่ยวชาญ จํานวน 3 ท่าน เพื่อตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา ความถูกต้องของภาษา และความสอดคล้องของคําถามและคําตอบ 4.5 นําแบบวัดความเข้าใจธรรมชาติของวิทยาศาสตร์ฉบับร่างที่ได้รับการปรับปรุงมาแล้ว เสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษางานวิจัยและครูพี่เลี้ยงอีกครั้ง เพื่อรับฟังข้อเสนอแนะ และนํามาปรับปรุงแก้ไขตาม ข้อเสนอให้ เรียบร้อย 4.6 นําคําแนะนําจากผู้เชี่ยวชาญมาปรับปรุงแบบวัดแนวคิดวิทยาศาสตร์ ฉบับร่างเพิ่มเติม แล้วนําแบบวัดแนวคิดวิทยาศาสตร์ไปใช้เก็บรวบรวมข้อมูลกับกลุ่มที่ศึกษา
5. แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนต่อการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับการ ใช้แบบจำลองเป็นฐาน 5.1 ทำการทบทวนเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อศึกษาแนวคิด ทฤษฎี หลักการ วิธีการ ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างแบบสอบถามวัดระดับความพึงพอใจ ตามแนวคิด ทฤษฎี หลักการ วิธีการต่าง ๆ 5.2 สร้างฉบับร่าง (ยกร่าง) แบบสอบถามวัดระดับความพึงพอใจ โดยอ้างอิงผลการศึกษา เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องดังกล่าวข้อ 1 ก่อนหน้า 5.3 สร้างแบบประเมินค่าดรรชนีความสอดคล้อง ( Index of Item –Objective Congruence: IOC) เพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญทำการประเมินค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) ของ เครื่องมือรวบรวมข้อมูลแบบประเมินที่สร้าง IOC สร้างแบบสอบถามความพึงพอใจเป็นมาตราส่วนประมาณค่า (rating scale) 5 ระดับได้แก่ 5 หมายถึง มีความพึงพอใจมากที่สุด 4 หมายถึง มีความพึงพอใจมาก 3 หมายถึง มีความพึงพอใจปานกลาง 2 หมายถึง มีความพึงพอใจน้อย 1 หมายถึง มีความพึงพอใจน้อยที่สุด เกณฑ์การแปลความหมาย เพื่อจัดระดับคะแนนเฉลี่ย ในช่วงคะแนนดังต่อไปนี้ 1.00 – 1.49 หมายถึง มีความหมาะสมน้อยที่สุด 1.50 – 2.49 หมายถึง มีความหมาะสมน้อย 2.50 – 3.49 หมายถึง มีความหมาะสมปานกลาง 3.50 – 4.49 หมายถึง มีความหมาะสมด้วยมาก 4.50 – 5.00 หมายถึง มีความหมาะสมมากที่สุด
5.4 จัดพิมพ์แบบสอบถามความพึงพอใจฉบับร่าง 5.5 นำแบบสอบถามความพึงพอใจเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด 3 ท่าน ตรวจสอบคุณภาพ ของแบบสอบถาม เพื่อหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) โดยใช้เกณฑ์กำหนดความคิดเห็นดังนี้ +1 หมายถึง แน่ใจว่าข้อคำถามสอดคล้องชัดเจนเหมาะสมกับเนื้อหา 0 หมายถึง ไม่แน่ใจว่าข้อคำถามสอดคล้องชัดเจนเหมาะสมกับเนื้อหา -1 หมายถึง แน่ใจว่าข้อคำถามสอดคล้องชัดเจนเหมาะสมกับเนื้อหา 5.6 นําแบบสอบถามความพึงพอใจปรับปรุงตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ และนำผลมา คำนวณวิเคราะห์ค่า IOC โดยเลือกข้อคำถามที่มีค่า IOC ตั้งแต่ 0.5 ขึ้นไป 5.7 นำแบบสอบถามที่ผู้เชี่ยวชาญประเมินนำไปปรับปรุงแก้ไข 5.8 จัดทำรูปเล่มเครื่องมือแบบสอบถามวัดระดับความพึงพอใจ พร้อมสำหรับการนำไปใช้กับ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายการวิจัย รูปแบบการศึกษา ตารางที่ 3.1 แสดงแผนการศึกษา กลุ่ม Pretest Treatment Posttest กลุ่มตัวอย่าง T1 X T2 X แทน การใช้แบบวัดแนวคิดวิทยาศาสตร์เรื่องการสืบพันธุ์ของพืชดอก T1 แทน การวัดผลก่อนการทดลอง (Pre-test) T2 แทน การวัดผลหลังการทดลอง (Post-test) การเก็บรวบรวมข้อมูลในงานวิจัย การเก็บรวบรวมข้อมูลในงานวิจัย ดำเนินการรวบรวมข้อมูลตามลำดับขั้น ดังนี้ 1. ทําการวัดแนวคิดวิทยาศาสตร์ของนักเรียนกลุ่มที่ศึกษา โดยใช้แบบวัดแนวคิดวิทยาศาสตร์ เรื่องการสืบพันธุ์ของพืชดอก ก่อนทําการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับการใช้แบบจำลองเป็น ฐาน 2. ดําเนินการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับการใช้แบบจำลองเป็นฐานเรื่อง การ สืบพันธุ์ของพืช ให้กับกลุ่มที่ศึกษา ตามแผนการจัดการเรียนรู้ทั้งหมด 3 แผน โดยใช้ระยะเวลาในการจัดการ
เรียนรู้ทั้งหมด 4 คาบ คาบละ 50 นาที และผู้วิจัยจะบันทึกหลังการสอนด้วยตนเองหลังจากสอนเสร็จในทุก แผน 3. ให้นักเรียนเขียนอนุทินบันทึกการเรียนรู้ของนักเรียน หลังจากเสร็จสิ้นการจัดการเรียนรู้ใน แต่ ละคาบเรียน โดยเป็นรูปแบบตั๋วออก ซึ่งตลอดระยะเวลาการจัดการเรียนรู้การสืบพันธุ์ของพืช นักเรียนจะต้อง ส่งอนุทินบันทึกการเรียนรู้ของนักเรียนทั้งหมด 4 ครั้ง 4. ทําการทดสอบวัดความเข้าใจธรรมชาติของวิทยาศาสตร์ของนักเรียนกลุ่มที่ศึกษาโดยใช้แบบ วัดความเข้าใจธรรมชาติของวิทยาศาสตร์ เรื่องการสืบพันธุ์ของพืช 5. หลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ใช้ชุดกิจกรรมการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับ การใช้แบบจำลองเป็นฐานกับนักเรียนกลุ่มเป้าหมายการวิจัยในชั้นเรียน ให้นักเรียนตอบแบบสอบถามวัดระดับ ความพึงพอใจด้วยแบบวัดระดับความพึงพอใจ การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ในงานวิจัย การวิเคราะห์ข้อมูลในการวิจัยครั้งนี้ เป็นการวิเคราะห์ข้อมูลระหว่างการดำเนินการปฏิบัติการวิจัย และหลังจากสิ้นสุดการปฏิบัติการวิจัย ผู้วิจัยนำข้อมูลจากการเก็บรวบรวมข้อมูลมาวิเคราะห์ ดังนี้ 1. วิเคราะห์การหาประสิทธิภาพแผนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับการใช้ แบบจำลองเป็นฐาน เรื่องการสืบพันธุ์ของพืช ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้สูตรการหาค่าประสิทธิภาพของ นวัตกรรม (E1/ E2 ) 2. เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้จัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหา ความรู้ร่วมกับการใช้แบบจำลองเป็นฐาน เรื่อง การสืบพันธุ์ของพืช 3. วิเคราะห์ความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ โดยใช้การเรียนรู้แบบสืบเสาะหา ความรู้ร่วมกับการใช้แบบจำลองเป็นฐานเรื่อง การสืบพันธุ์ของพืช ของประชากร โดยนำคะแนนจาก แบบสอบถามความคิดเห็นที่สร้างขึ้นมาคำนวณหาค่าเฉลี่ย (̅) และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 1. ค่าสถิติพื้นฐาน ค่าสถิติพื้นฐานที่ใช้ คือ ค่าเฉลี่ย (mean) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (standard deviation: SD) 1.1 ค่าเฉลี่ย (mean) คำนวณโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป 1.2 ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน (standard deviation) คำนวณโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป 2. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์หาคุณภาพของเครื่องมือ การวิเคราะห์ความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา ใช้วิธีการวิเคราะห์ค่าดรรชนีความสอดคล้อง ( Index of Item-Objective Congruence: IOC) หาค่าเฉลี่ยของข้อคำถาม IOC โดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป ข้อคำถามที่มี ค่า IOC > 0.50 คือ ข้อคำถามที่มีความสอดคล้องสามารถนำไปใช้ได้
บรรณานุกรม ขวัญฤทัย เที่ยงจันทราทิพย์. (2553). การพัฒนาแนวคิดทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับระบบต่อมไรท่อและความ เข้าใจธรรมชาติของวิทยาศาสตร์ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยการจัดการเรียนรู้ แ บ บ ส ื บ เ ส า ะ ห า ค ว า ม ร ู ้ . ( ว ิ ท ย า น ิ พ น ธ ์ ป ร ิ ญ ญ า ศ ึ ก ษ า ศ า ส ต ร ม ห า บ ั ณ ฑ ิ ต , มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์). นรา เขียวละลิ้ม. (2556). การพัฒนาแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ เรื่อง สารประกอบไฮโดรคาร์บอนของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โดยการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับแผนผัง แนวคิด. (วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์). จีระวรรณ เกษสิงห์. (2562). การวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียนวิทยาศาสตร์: วิถีปฏิบัติสู่การพัฒนาตนเอง = Science classroom action research: S learning pathway for improving you. กรุงเทพฯ : จรัลสนิทวงศ์การพิมพ์. ชาตรี ฝ่ายคำตา และคณะ. (2559). การวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียนวิทยาศาสตร์. กรุงเทพฯ : สถาบันพัฒนา คุณภาพวิชาการ (พว.) อังคณา ปัทมาพงศา. (2555). การพัฒนาแนวคิดเรื่องการสังเคราะห์ด้วยแสงและมุมมองธรรมชาติของ วิทยาศาสตร์ โดยใช้การจัดการเรียนการสอนแบบสืบเสาะหาคความรู้ร่วมกับการสอนธรรมชาติ ของวิทยาศาสตร์แบบชัดแจ้งของนักนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย. (วิทยานิพนธ์ปริญญา ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์). รุ่งนภา เอียงอุบล. (2555). การพัฒนาแนวคิดเรื่องกรดและเบสของนักเรียนช่วงชั้นที่ 3 โดยใช้การจัดการ เรียนรู้แบบสืบเสาะทางวิทยาศาสตร์. (วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์). จุฑารัตน์ แตงอ่อน. (2554). การจัดการเรียนรู้แบบสืบสอบหาความรู้ร่วมกับการเรียนรู้แบบร่วมมือรเพื่อ พัฒนาแนวคิดเรื่องสมบัติของศาลทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และเจตคติต่อ วิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6. (วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์). จิรัสยา นาคราช. (2558). การพัฒนาแนวคิดทางวิทยาศาสตร์เรื่องระบบประสาทและความสามารถในการ สืบเสาะทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยการจัดการเรียนรู้แบบสืบ เสาะหาความรู้. (วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยบูรพา). Abraham, M.R. and J.W. Renner 1986."The Sequence of Learning Cycle Activities in High School Chemistry. “Journal of Research in Science Teaching” 23 (2): 121-143.
Wilder, M., & Shuttleworth, P. (2005). “Cell Inquiry: A 5e Learning Cycle Lesson. Science Activities”. Winter, 41(4), 37-43.