DIARIES NERVOUS SYSTEM AND SENSORY ORGANS แบบทดสอบ
จุดประสงค์ 1.สืบค้นข้อมูล อธิบาย และเปรียบเทียบโครงสร้างและหน้าที่ของระบบประสาทพลานาเรีย ไส้เดือนดิน กุ้ง หอย แมลง และสัตว์มีกระดูกสันหลัง 6.อธิบาย และสรุปเกี่ยวกับโครงสร้างของระบบประสาทส่วนกลางและระบบประสาทรอบนอก 7.สืบค้นข้อมูล อธิบายโครงสร้างและหน้าที่ของส่วนต่างๆ ของสมอง และไขสันหลัง 8.สืบค้นข้อมูล อธิบายการทำ งานของระบบประสาทโซมาติกและระบบประสาทอัตโนวัติ 9.เปรียบเทียบและยกตัวอย่างการทำ งานของระบบประสาทโซมาติกและระบบประสาทอัตโนวัติ 10. สืบค้นข้อมูลและอธิบายโครงสร้างและหน้าที่ของตา 5.อธิบายเกี่ยวกับกลไกการเกิดกระแสประสาทและการถ่ายทอดกระแสประสาท 4.อธิบายเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของศักย์ไฟฟ้าที่เยื่อหุ้มเซลล์ของเชลล์ประสาท 3.ระบุชนิดของเซลล์ประสาทที่จำ แนกตามจำ นวนเส้นใยประสาทและหน้าที่ 2. อธิบายเกี่ยวกับโครงสร้างและหน้าที่ของเซลล์ประสาท
13. สืบค้นข้อมูลและอธิบายโครงสร้างและหน้าที่ของจมูก 14. สืบค้นข้อมูลและอธิบายโครงสร้างและหน้าที่ของลิ้น 16. สังเกตและอธิบายความไวในการรับสัมผัสของผิวหนังใน แต่ละบริเวณ 11. สังเกตและอธิบายการหาตำ แหน่งของจุดบอดและโฟเวีย 17. สืบค้นข้อมูลและยกตัวอย่างโรคที่เกี่ยวข้องกับตา หู จมูก ลิ้น และผิวหนัง และนำ ความรู้มาใช้ในการดูแลรักษาและ ป้องกันอันตรายอวัยวะรับความรู้สึกต่างๆ 12. สืบค้นข้อมูลและอธิบายโครงสร้างและหน้าที่ของหู จุดประสงค์
ในบางครั้งการตอบสนองของสัตว์จะอาศัยการทำ งานร่วมกันของ ระบบประสาทและระบบต่อมไร้ท่อ ระบบประสาท ควบคุมการ ตอบสนองที่เกิดขึ้นและสิ้นสุดอย่าง รวดเร็ว ระบบต่อมไร้ท่อ ควบคุมการตอบสนองที่เกิดขึ้นช้า แต่มีผลต่อเนื่อง หน่วยรับความรู้สึก องค์ประกอบในการรับรู้เพื่อตอบสนอง ของสิ่งมีชีวิต หน่วยประมวลผล เซลล์ประสาทรับความรู้สึก หน่วยปฎิบัติงาน เซลล์ประสาทสั่งการ
การตอบสนองของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง ไฮดรา (hydar) มีการประสานงานกันระหว่างเซลล์ โดยมีเซลล์ประสาทเชื่อมโยงกัน เป็นร่างแหประสาท (Nerve net) ทั่วร่างกายเวลามีสิ่งเร้ามา กระตุ้นทุกส่วนของร่างกายจะหดตัว และ ไฮดราจะมีเส้นใยประสาทหนาแน่นบริเวณปาก หรือเทนทาเคิลทำ ให้ตอบสนองได้ดีกว่าบริเวณอื่น
พลานาเรียเป็นสัตว์จำ พวกแรกที่มีปมประสาท (nerve ganglion) 2 ปม ด้านล่างของปมประสาทจะมีเส้นประสาทขนาดใหญ่ เรียกว่า เส้นประสาทขนาดใหญ่(nerve cord) และ เส้นประสาทตามขวาง (transverse nerve) ทำ ให้พลานาเรีย มีลักษณะ เป็นเเบบขั้นบันได (ladder type) พลานาเรีย (planaria) การตอบสนองของสัตว์มีกระดูกสันหลัง
มนุษย์และสัตว์มีกระดูกสันหลัง มีโครงสร้างที่ซับซ้อน โดยมีสมองและไขสันหลัง เป็นศูนย์กลางของระบบประสาท เรียกว่าระบบประสาทส่วนกลาง และยังมีเส้นประสาท เป็นระบบประสาทรอบนอกทำ หน้าที่ในการควบคุม และประสานงานในระบบประสาทส่วนต่างๆในร่างกาย การตอบสนองของสัตว์มีกระดูกสันหลัง
โครงสร้างของเซลล์ประสาท เนื้อเยื่อประสาท 1.เซลล์ประสาท (nerve cell ) หรือ นิวตรอน (neuron) เซลล์ประสาทแยกออกเป็น 2 ชนิด 1 ตัว เซลล์ 2 เส้นใยประสาท - ตัวเซลล์มีไมโทคอนเดรีย กอลจิคอมเพล็กซ์และ เอ็นโดพลาสมิกเรติคูลัม เป็นจำ นวนมาก - เส้นใยประสาทแยกได้ออกเป็น 2 ส่วนคือ เดนไดรต์และก็เอกซอน เดนไดรต์มีหน้าทีรับกระแสประสาท เซลล์ประสาทจะมี เดนไดรต์แยกออกเป็น 1 หรือหลายเส้นใย - เอกซอนมีหน้าที่ส่งกระแสกลับเข้าไปมี 1 เส้นใย ตอนปลายมีการแตกแขนง
โครงสร้างของเซลล์ประสาท เซลล์เกลีย (glial cells) เซลล์เกลีย พบได้ทั้งระบบประสาทส่วนกลาง และรูปและระบบประสาทรอบนอกมีหน้าที่ - ที่ค้ำ จุ้นโครงสร้างเซลล์ประสาท - ลำ เลียงของเสียออกจากเซลล์ประสาท - รักษาดุลยภาพของสารต่างๆของเซลล์ประสาทเซลล์เกลีย ที่พบบ่อยเช่น เซลล์ชวันน์คือเซลล์ที่สร้างเยื่อไมอีลินหุ้ม เอกซอนในระบบประสาทรอบนอกแต่ระบบ ประสาทส่วนกลางเซลล์ที่มีหน้าที่สร้างเยื่อไมอีลินไม่ใช่เซลล์ชวันน์ แต่เป็นเเซลล์โอลิโกเดนโดรไซด์(oligodendrocyte)
โครงสร้างของเซลล์ประสาท เซลล์ประสาทแบ่งเป็น 3ชนิด เซลล์ประสาทขั้วเดียว (unipolar neuron)มีเส้นใย ประสาทแยกออกมาจากตัวเซลล์เพียง1 เส้นใย คือ แอกซอน พบในเซลล์ประสาทที่หลั่งฮอร์โมนของ สัตว์ ในกลุ่มนี้ยังมีเซลล์ประสาทขั้วเดียวเทียม (pseudounipolarneuron) มีแอกซอนออกจากตัว เซลล์เส้นใยเดียวแล้วแตกออกเป็น 2 เส้น
โครงสร้างของเซลล์ประสาท เซลล์ประสาทแบ่งเป็น 3ชนิด เซลล์ประสาทสองขั้ว (bipolar neuron) เซลล์ ประสาทมีแขนงแยกออกมาเป็น 2แขนง โดยแขนงหนึ่งเป็นแอกซอน และอีกแขนงเป็นเดนไดร์ต ความยาวของแขนงทั้งสองนี้ใกล้เคียงกัน มักพบที่บริเวณ เรตินา และเยื่อดมกลิ่นของจมูกท าหน้าที่เป็นเซลล์ ประสาทรับความรู้สึก
โครงสร้างของเซลล์ประสาท เซลล์ประสาทแบ่งเป็น 3ชนิด เซลล์ประสาทหลายขั้ว (multipolarneuron) เซลล์ประสาทจะมีหลายแขนง โดยเป็นแอกซอน 1 แขนง และเป็นเคนไดรต์2 หรือมากกว่า เซลล์ประสาทส่วนใหญ่ของร่างกายเป็นเซลล์ประสาทหลายขั้ว พบได้ในสมอง และไขสันหลังมีแอกซอนยาว และเคนไดรต์สั้นทำ หน้าที่นำ คำ สั่งไปยังอวัยวะตอบสนอง
การเกิดกระแสประสาท ในภาวะที่เซลล์ประสาทยังไม่ถูกกระตุ้นความต่างศักย์ของเยื่อเซลล์ ด้านในและด้านนอกมีค่าประมาณ -70มิลลิโวลต์ซึ่งเป็นศักย์ไฟฟ้าเยื่อเซลล์ ระยะพัก เซลล์ประสาทจะรับความต่างศักย์ไฟฟ้านี้ไว้ตลอดเวลาโดยการ ทำ งานของโซเดียมโพแทสเซียมปั๊มซึ่งในระหว่างนี้ช่องโซเดียมที่มีประตู และช่องโพแทสเซียมที่มีประตูที่เยื่อหุ้มเซลล์ของแอกซอนยังคงปิดอยู่ การทำ งานของเซลล์ประสาท
ดีโพลาไรเชชั่น (ช่วงแรก) ดีโพลาไรเชชั่น (ช่วงหลัง) การเกิดแอกชันโพเทนเชียล ระยะพัก รีโพลาไรเซชั่น ไฮเพอร์โพลาไรเซชั่น
การนำ กระแสประสาทไปตามแอกซอนที่ไม่มีเยื่อไมอีลินหุ้ม การนำ กระแสประสาทไปตามแอกซอนที่มีเยื่อไมอีลินหุ้ม การนำ กระแสประสาทเข้าเยื่อหุ้มไมอีลิน การนำ กระแสประสาท
การถ่ายทอดกระแสประสาทระหางเซลประสาท เน อมสความ ร้อนร่างกายดึงมือกลับ วหงกการกระนายทอดกระแสประสาทเน ทอดๆเกิดกระแสประสาทบเวณไซแนประหาง เซลประสาทอนไซ แนปส์(presynaptic neuron) เซลล์ประสาทหลังไซแนป(postsynaptic neuron) 2 เซลองไซ แนปส์ (synaptic cleft) กระแสไฟาไสามารถานองไไซแนปแงไ2 ชด การถ่ายทอดกระแสประสาท
นักวิทยาศาสตร์ ออมโต ลอวิ(otto Loewi) ได้ทำ การทดลองนำ หัวใจกบ ที่ยังมีชีวิตและยังมีเส้นประสาทคู่ที่ 10 ติดอยู่มาใส่ในแก้วที่มีน้ำ เกลือ แล้ว กระตุ้นเส้นประสาทด้วยกระแสไฟฟ้า พบว่าหัวใจกบเต้นช้าลง ไซแนปส์เคมี เมื่อดูดสารละลายจากแก้วที่ 1 มาใส่ลงในแก้วที่ 2 ซึ่งมีหัวใจกบที่ตัดเอาเส้น ประสาทสมองคู่ที่ 10 ออกไป พบว่าหัวใจกบในแก้วที่ 2 มีการเต้นของหัวใจที่ ช้าลงเช่นเดียวกัน ทำ ให้เห็นว่าการกระตุ้น เส้นประสาทสมองคู่ที่10เรียกสารที่ หลั่งออกมาจากเส้นใยประสาทว่า สารสื่อสาร (neurotransmitter)
การถ่ายทอดกระแสประสาท ผ่านไซแนปส์เคมี
-เกิดขึ้นที่บริเวณรอยต่อระหว่างเยื่อหุ้มเซลล์ของเซลล์ประสาทก่อนไซแนป์ และเซลล์ประสาทหลังไซแนปส์ -เกิดจากการเชื่อมติดกันของโปรตีนรวมกันเป็นช่อง -ทำ ให้เกิดแอกชั่นโพแนลเชียลจากเซลล์ประสาทก่อนไซแนป์สามารถ ผ่านเข้าสู่ซ่องโปรตีนซึ่งจะเคลื่อนที่เข้าสู่ไซแนปส์หลังเซลล์ประสาทได้ โดยตรงได้โดยตรง -พบได้ที่บริเวณกล้ามเนื้อหัวใจหรือขอบสมอง การเกิดไซแนปส์ไฟฟ้า - ไซแนปส์ไฟฟ้า
ศูนย์ควบคุมระบบประสาทของมนุษย์ สมองและไขสันหลัง ทำ หน้าที่เป็นศูนย์กลางการควบคุม ของระบบประสาท ซึ่งจะพัฒนามาจาก นิวรัลทิวบ์(neural tube) ในระยะเอ็มบริโอ โดยนิวรัลทิวบ์มีลักษณะเป็นหลอดยาวทอดไปตามแนวสัน หลังของร่างกายและจะพัฒนาไปทำ หน้าที่ ที่แตกต่างกันต่อไป
เยื่อหุ้ม(Meninges) 1.เยื่อหุ้มสมองชั้นนอก(Dura mater) จะมีลักษณะเหนียว แข็งแรงมากโดยมีหน้าที่ ป้องกันการกระทบกระเทือนแก่สมองและ ไขสันหลัง 2.เยื่อหุ้มสมองชั้นกลาง(Arachold mater) เป็นเยื่อหุ้มบางๆ อยู่ระหว่างเยื่อหุ้มชั้นนอกและ เยื่อหุ้มชั้นใน 3.เยื่อหุ้มชั้นใน(ple mater)จะมีเส้นเลือดมากมาย ทำ หน้าที่ส่ง อาหารและแก๊สออกซิเจนเลี้ยงสมอง ในระหว่างชั้นกลางกับชั้นในจะมีการ บรรจุของเหลวที่เรียกว่าน้ำ เลี้ยงสมองไขสันหลัง โดยจะทำ หน้าที่ให้สมองและ ไขสันหลังเปียกชื้นอยู่เสมอ เยื่อหุ้มสมองจะแบ่งออกเป็น 3 ชั้น
โครงสร้างของสมอง สมองของสัตว์ที่มีกระดูกสันหลังพบว่าส่วนนอกเป็น เนื้อสีเทา (gray matter) ส่วนนี้มีตัวเซลล์ประสาทและแอกชอนที่ ไม่มี เยื่อไมอิลินหุ้ม แต่ส่วนในของสมองหลายแห่งมีเส้นใยประสาทที่ มีเยื่อไมอีลินหุ้ม จึงเห็นเป็นสีขาว (white matter)
เซรีบรัม(cerebrum) ทำ หน้าที่ เกี่ยวกับความทรงจำ และเป็นศูนย์กลางควบคุม การทำ งานของส่วนต่างๆของร่างกาย เช่น การประมวลเกี่ยวกับกลิ่น รส และเสียง ทาลามัส(thalamus) เป็นศูนย์รวบรวมกระแสประสาทที่ผ่านเข้าออกและแยก กระแสประสาทกับไปยังสมองที่เกี่ยวข้องกับกระแสประสาท ไฮโพทาลามัส(hypothalamus) ทำ หน้าที่ ควบคุมดุลยภาพของร่างกาย เช่นอุณหภูมิปริมาณน้ำ และสร้างฮอร์โมนบางชนิด สมองส่วนกลาง(midbrian) ทำ หน้าที่ ควบคุมการเคลื่อนไหวของตา ศีรษะ และลำ ตัวเพื่อตอบสนองต่อแสงและเสียง สมองส่วนหน้า สมองส่วนกลาง สมองส่วนหลัง โครงสร้างสมองของมนุษย์
พอนส์(pons) ทำ หน้าที่ ควบคุมการทำ งานกิจบางอย่าง เช่น การเคลื่อนไหวบริเวณหน้า เมดัลลาออบลองกาตา(medulla oblongata) ทำ หน้าที่ เป็นศูนย์กลางการควบคุมการ ทำ งานของระยะภายในที่สำ คัญเช่นการเต้นของหัวใจ เซรีเบลลัม(cerebellum) ทำ หน้าที่ ควบคุมการทรงตัวของร่างกาย อับแฟกทอรีบัลบ์(alfactory bulb) ทำ หน้าที่ เกี่ยวกับการรับกลิ่นโดยรับสัญญาณจาก จมูกส่งไปยังเซรีเบลลัม สมองส่วนหน้า สมองส่วนกลาง สมองส่วนหลัง โครงสร้างสมองของมนุษย์
เส้นประสาทของมนุษย์ 1.เส้นประสาทที่ทำ หน้าที่รับความรู้สึก(sensory nerve) 2.เส้นประสาทสมองที่ทำ หน้าที่สั่งการ(motor nerve) 3.เส้นประสาทสมองที่ทำ หน้าที่รับความรู้สึกและสั่งการ(mxed nerve) เส้นประสาทสมองมี 12 คู่ แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มคือ ได้แก่ เส้นประสาทที่ 1,2และ 8 ได้แก่ เส้นประสาทที่ 3,4,6,11และ 12 ได้แก่ เส้นประสาทที่ 5,7,9และ 10
ไขสันหลังและเส้นประสาทไขสันหลัง ไขสันหลัง เป็นส่วนที่ต่อจากสมองอยู่ภายในกระดูกสันหลังบริเวณคอข้อแรกถึง กระดูกสันหลังบริเวณเอวข้อที่ 2 และมีเส้นประสาทแยกออกจากไขสันหลัง เรียกว่า เส้นประสาทไขสันหลัง จำ นวน 31 คู่ โดยส่วนปลายของไขสันหลังจะเรียวเล็กจน เหลือแต่เพียงส่วนของเส้นประสาทไขสันหลังเท่านั้น ไขสันหลังและเส้นประสาทไขสันหลัง ทำ หน้าที่ ประมวลผลการตอบสนองเช่น การเกิดรีเฟล็กซ์ และการเกิดถ่ายทอดกระแสประสาท โดยเส้นประสาทไขสันหลังทุกคู่จะ ทำ หน้าที่รับความรู้สึกจากกล้ามเนื้อบริเวณแขนขาและลำ ตัวเข้าสู่ไขสันหลังและนำ คำ สั่ง ออกจากไขสันหลังไปยังกล้ามเนื้อแขน ขาและลำ ตัว
นอกจากนี้ยังมีเซลล์ประสาทประสานงาน ทำ หน้าที่ถ่ายทอดกระแสประสาทจาก เซลล์ประสาทรับความรู้สึกไปยังเซลล์ประสาทสั่งการ ถ้าเซลล์ประสาทประสานงานทำ หน้าที่ถ่ายทอดกระแสประสาทไปยังสมองจะมีแอกชอนเข้าไปในสมอง โครงสร้างของไขสันหลังและเส้นประสาทไขสันหลังของมนุษย์พบว่า ปมประสาทรากบน (dorsal root ganglion)มีตัวเซลล์ประสาทรับความรู้สึก ทำ หน้าที่รับกระแสประสาทจากหน่วยรับความรู้สึกส่งมาตามแอกซอนและยื่นเข้าใน รากบนเข้าสู่ไขสันหลัง ขณะที่รากล่างประกอบด้วยแอกชอนของเซลล์ประสาท สั่งการ ทำ หน้าที่ส่งกระแสประสาทไปยังหน่วยปฏิบัติงาน เส้นประสาทสมองและเส้นประสาทไขสันหลังที่กล่าวมานั้นจะเป็นเส้นประสาทที่แยก ออกมาเป็นคู่ๆและมีปมประสาทอยู่ ทำ หน้าที่รับสัญญาณความรู้สึกจากหน่วยรับความรู้สึก และออกคำ สั่งควบคุมหน่วยปฏิบัติงาน จัดอยู่ในระบบประสาทรอบนอก ทิศทางการถ่ายทอดของกระแสประสาทเข้าและ ออกจากไขสันหลัง
การเกิดรีเฟล็กซ์แอกชัน การเกิดรีเฟล็กซ์แอกชันเมื่อนิ้วมือสัมผัสกับความร้อนแล้วจะชัก นิ้วมือออกทันที โดยสมองไม่ต้องคิดหรือสั่งการและสมองยังไม่รู้ว่ามี อะไรเกิดขึ้น จนกระทั่งในเสี้ยววินาทีต่อมาจึงรู้สึกเจ็บและรับรู้ว่านิ้วมือ สัมผัสกับความร้อน ซึ่งการรับรู้ว่าร้อนนั้นเกิดขึ้นได้เพราะมีการส่ง กระแสประสาทไปที่สมองทำ ให้รู้สึกร้อนกระแสประสาทจากหน่วยรับ ความรู้สึกร้อนที่ผิวหนัง
เมื่ออยู่ในเหตุการณ์ที่ทำ ให้เกิดอาการตกใจ หรือหวาดกลัว หัวใจจะเต้นเร็ว และแรงขึ้น แต่เมื่อระยะเวลาผ่านไปหัวใจจะเต้นช้าลงแล้วกลับเข้าสู่ภาวะปกติ การทำ งานดังกล่าวของหัวใจควบคุมด้วยระบบประสาทอัตโนวัติที่เกิดจากการ ทำ งานแบบสภาวะตรงกันข้ามของระบบประสาทชิมพาเทติกและระบบประสาท พาราชิมพาเทติก โดยระบบประสาทชิมพาเท ติกกระตุ้นการเต้นของหัวใจ ส่วนระบบประสาทพาราชิมพาเทติกจะยับยั้งการ เต้นของหัวใจ ระบบประสาททั้งสองระบบควบคุมการทำ งานของอวัยวะภายใน ร่างกาย ระบบประสาทอัตโนวัติ
ระบบประสาทซิมพาเทติก ระบบประสาทซิมพาเทติก การทำ งานของระบบประสาทชิมพาเทติกมีความเกี่ยวข้องกับการตอบสนองที่ เรียกว่า สู้หรือหนี (fght-or-fight) เกิดขึ้นในสถานการณ์ที่มีความกดดัน ความเครียด(stress) การตอบสนองดังกล่าวจะทำ ให้ร่างกายมีความพร้อมต่อ สถานการณ์นั้น เช่น เหตุการณ์ไฟไหม้แล้วสามารถยกสิ่งของที่มีน้ำ หนักมากและไม่ เคยยกได้มาก่อน ระบบประสาทชิมพาเทติก ทำ หน้าที่ กระตุ้นหน่วยปฏิบัติงานอยู่ที่บริเวณ ไขสันหลังส่วนอกและเอว มีแอกชอนค่อนข้างสั้นและยื่นออกไปไซแนปส์กับเซลล์ ประสาทหลังปมประสาท แอกชอนของเชลล์ประสาทหลังปมประสาทจะยื่นยาวไป ไซแนปส์ที่หน่วยปฏิบัติงาน เซลล์ประสาทก่อนปมประสาท 1 เซลล์จะไซแนปส์กับ เซลล์ประสาทหลังปมประสาททำ ให้เกิดการตอบสนองของหน่วยปฏิบัติงาน
ระบบประสาทซิมพาเทติก ระบบประสาทพารามพาเทกวนใหจะ หาลดการกระนการงาน ของหน่วยปฏิบัติงานใางกายกบเาสภาวะปกหอใางกายเด ภาวะพัก(resting) ระบบประสาทพาราชิมพาเทติก ระบบประสาทพาราชิมพาเทติก ทำ หน้าที่ ตรงกันข้ามกับระบบประสาท ชิมพาเทติก ตัวเชลล์ของเซลล์ประสาทก่อนปมประสาทอยู่ที่ก้านสมอง และ ไขสันหลังบริเวณกระเบนเหน็บ แอกซอนยื่นยาวไปไซแนปส์กับเซลล์ประสาท หลังปมประสาทที่อยู่ใกล้หรือในอวัยวะภายใน แอกซอนของเซลล์ประสาทหลัง ปมประสาทจะค่อนข้างสั้นเซลล์ประสาทก่อนปมประสาท 1 เซลล์จะไซแนปส์กับ ประสาทหลังปมประสาทได้จำ นวนน้อยและเกิดการตอบสนองได้เพียงหน่วย เดียว
-เซลล์ประสาทรับความรู้สึก (sensory neurcn) คือ เซลล์ประสาทที่รับกระแสประสาทจากหน่วยรับความรู้สึกแล้วถ่ายทอดกระแส ประสาทไปยังเซลส์ประสาทสั่งการ ตัวเซลล์ประสาทรับความรู้สึกอยู่ที่ปมประสาท รากบนของใขสันหลัง -เซลล์ประสาทสั่งการ (motor neuron) มักมีใยประสาทแอกซอน ยาวกว่าเดนไดรต์ อาจยาวถึง 1 เมตร เพราะเซลล์ประสาทสั่งการที่อยู่ใน ไขสันหลังต้องส่งกระแสประสาทออกจากไขสันหลัง เพื่อนำ กระแส ประสาทไปยังหน่วยปฏิบัติงาน -เซลล์ประสาทประสานงาน (associationneuron) เซลล์ประสาทชนิดนี้ อยู่ในสมองและไขสันหลัง จะเชื่อมต่อระหว่างเซลล์ประสาทรับความรู้สึก กับเซลล์ประเภทสั่งการ ใยประสาทของเซลล์ประสาทประสานงาน เซลล์ประสาทตามชนิด
ตากับการมองเห็น อวัยวะรับความรู้สึก อวัยวะรับความรู้สึกมีหน่วยความรู้สึกเมื่อมีสิ่งเร้ามากระตุ้นจะ ส่งกระแสประสาท เป็นสัญญาณเคมีไฟฟ้าไปยังเซลล์ประสาท ความรู้สึกแล้วส่งผ้านเส้นประสาทไปสมอง ตากับการมองเห็นตามนุษย์มีรูปร่างกลม เส้นผ่านศูนย์กลาง 2.5 เซนติเมตร ผนังตาจากด้านนอกเข้าไปด้านในคือ สเคลอรา (sclera) โครอยด์(choroid) และเรติน่า(retina )
อวัยวะรับความรู้สึก สเคอรา เป็นชั้นที่เหนียวไม่ยืดหยุ่น บริเวณหน้าสุดชั้นนี้โปร่งใสและ นูนออกมา เรียกว่ากระจกตา (cornea) บริเวณนอกของกระจกตาด้าน หลังจะเห็นเป็นสีขาว โครอย เป็นชั้นที่มีหลอดเลือดมาเลี้ยงมีสารสีแผ่กระจายจำ นวน มาก ป้องกันไม่ให้แสงสะท้อนทะลุผ่านชั้นเรติน่าไปด้านหลังตาโดยตรง ด้านหน้าของเลนส์ตามี ม่านตา(iris)ยื่นจากผนังโครอยด์เป็นผนังกัน บางส่วนของเลนส์ ช่องตรงกลางมีแสงผ่านเข้าไป เรียกว่า รูม่านตา มองเห็นเป็นสีดำ ตรงกลางตา ขนาดของจะรูม่านตาแคบหรือกว้างขึ้นอยู่ กับม่านตามม่านตา เมื่อคลายตัวจะทำ ให้รูม่านตาแคบ เมื่อหดตัวจะ ทำ ให้รู้ม่านตากว้าง ม่านตาจึงควบคุมปริมาณแสงที่เข้าสู่ตา ตากับการมองเห็น
อวัยวะรับความรู้สึก ตากับการมองเห็น เรตินา ในตาแต่ละข้างจะมีเซลล์รูปแห่งประมาณ 125 ล้านเซลล์ละเซลล์ รูปกรวยประมาณ 6 ล้านเซลล์ นอกจากในชั้นเรตินาจะมีเซลล์ไวต่อแสงแล้ว ยังมีเชลล์ประสาทอีกที่รับกระแสประสาทของเส้นประสาทสมองคู่ที่ 2 ที่อยู่ รวมกันเป็นมัด ดังนั้นเมื่อมีแส’มากระตุ้นเซลล์รับแสงจะเกิดกระแสประสาท และถ่ายทอดสัญญาณดังกล่าวไปยังเส้นประสาทสมองคู่ที่ 2 แล้วส่งไปยัง สมองส่วนเซรีบรัมเพื่อแปลเป็นภาพตามที่ตามองเห็น เลนส์ตา เป็นเลนส์นูนอยู่ด้านหน้าของตา ถัดจากกระจกตาเป็นเลนส์ตา ลักษณะใสและกั้นตาเป็น 2 ส่วนคือช่อง หน้าเลนส์และช่องหลังเลนส์ ช่องหน้า เลนส์มีน้ำ เลี้ยงลูกตาทำ ให้ความดันตาเป็นปกติ หน้าที่ลำ เลียงสารอาหาร และ แก๊สออกซิเจนแก่กระจกตา น้ำ วุ่นตาอยู่ช่องหลังเลนส์ช่วยให้ลูกตาคงที่ การ เกิดภาพแสงจากวัตถุผ่านเข้ากระจกตา
การเปลี่ยนแปลงเลนส์ตา ในการเกิดภาพแสงจากวัตถุผ่านเข้าสู่กระจกตาโดยมี เลนส์ตาทำ หน้าที่ รวมแสงทำ ให้แสงตกลงบนเรตินา ดังนั้นการหักเหของแสงจึงขึ้นอยู่กับ ความโค้งของกระจกตาและเลนส์ตา โดยทั่วไปความโค้งของกระจกตา คงที่เสมอ ส่วนความโค้งของเลนส์ตาอาจเปลี่ยนแปลงได้ เลนส์ตาถูกยึด ด้วยเอ็นยึดเลนส์ (suspensory ligament) โดยเอ็นดังกล่าวจะอยู่ติด กับกล้ามเนื้อยึดเลนส์(ciliary muscle) ที่มีลักษณะเป็นวงแหวน ดังนั้น การหดตัวและคลายตัวของกล้ามเนื้อยึดเลนส์ จึงมีผลทำ ให้เอ็นยึดเลนส์ หย่อนหรือตึงได้
การแก้ไขสายตา การแก้ไขปัญหาเรื่องสายตาสั้น และสายตายาว การแก้ปัญหาสายตาเอียง
การกลไกการมองเห็น เยื่อหุ้มเซลล์ของเซลล์รูปแท่งจะมีสารสีม่วงแดงที่เรียกว่า โรดอพซิน (rhodopsin) ฝังตัวอยู่สารชนิดนี้ประกอบด้วยโปรตีนออพซิน (opsin) รวมกับเรตินอล (retinol) ซึ่งไวต่อแสงและจะมีการเปลี่ยนแปลง เมื่อมีแสงมากระนเซลปแง โมเลลของเรนอลจะเปยนแปลง รูปร่างไปจนเกาะบโมลลของออพนไไใเดการเปยนแปลง ของศักย์ไฟฟ้าเอเซลจนไปการเดกระแสประสาทเคอนไปตาม เส้นประสาทสมอง2 เองไปงสมองใแปลเนภาพ จากนจะเอน ไซเปยนโมเลลของเรนอลใปางเหอนเม เอไแสง เรนอลจะรวมวบโรดอพนให
การกลไกการมองเห็น เซลล์รูปกรวยแบ่งตามความไวต่อช่วงความยาวคลื่นแสงได้ 3 ชนิด คือ เซลล์รูปกรวยที่ไวต่อแสงสีน้ำ เงิน เซลล์รูปกรวยที่ไวต่อแสงสีแดง และเซลล์รูป กรวยที่ไวต่อแสงสีเขียว การที่สมองสามารถแยกสีต่างๆได้มากกว่า 3 สี เพราะมี การกระตุ้นเซลล์รูปกรวยแต่ละชนิดพร้อมๆกัน ด้วยความเข้มของแสงสีต่างกัน จึงเกิดการผสมของแสงสีต่าง ๆ ขึ้น เช่น ขณะมองวัตถุสีเหลือง เซลล์รูปกรวยที่ ไวต่อแสงสีแดงและเซลล์รูปกรวยที่ไวต่อแสงสีเขียวจะถูกกระตุ้นพร้อมกันทำ ให้ เห็นวัตถุนั้นเป็นสีเหลือง ตถุ
1. หูส่วนนอก ประกอบด้วยใบหู และรูหู โดยรูหูอยู่ลึกเข้าไปในกระโหลก ศีรษะ ไปสิ้นสุดที่เยื่อแก้วหูภายในช่องหูมีต่อมสร้างไขมันมาเคลือบไว้ทำ ให้ผนัง ช่องหูไม่แห้งและป้องกันอันตราย และ ต้านการติดเชื้อแบคทีเรียได้ เมื่อมีมากจะสะสมเป็นขี้หู 2. หูส่วนกลาง เริ่มจากเยื่อแก้วหู ซึ่งเป็นเนื้อเยื่อแผ่นบางๆ ปิดช่องหู และเป็นส่วนแบ่งระหว่างหูส่วนนอกกับหู ส่วนกลางถัดจากเยื่อแก้วหูเข้าไป มีลักษณะเป็นโพรง ภายในโพรงมีกระดูก 3 ชิ้น เรียงชิดติดกันคือ กระดูกค้อน กระดูกทั่ง และกระดูกโกลน ภายในหูส่วนกลางมีช่องเล็กๆที่ติดต่อกับ หลอดลมทำ หน้าที่ปรับความดันอากาศทั้ง 2 ด้านของแก้วหูให้เท่ากันตลอด เวลา ถ้าความดันทั้ง 2 ด้านของแก้วหูไม่เท่ากัน จะทำ ให้เกิดอาการหูอื้อ หรือ ปวดหู เมื่อขึ้นไปบนที่สูงมากๆ เช่นภูเขา หรือนั่งเครื่องบิน อวัยวะรับความรู้สึก หูกับการได้ยิน
ส่วนรับเสียงมีลักษณะเป็นท่อกลวงขดเป็นรูปคล้ายหอยโข่งเรียกว่า คอเคลีย ภายใน ท่อนี้มีเซลล์ขนอยู่เป็นจำ นวนมาก ทำ หน้าที่รับรู้การสั่นของ คลื่นเสียงที่ผ่านมาจากหูส่วน กลาง พร้อมกับส่งสัญญาณการรับรู้ผ่านโสตประสาทไปยังสมอง สมองจะทำ หน้าที่แปล สัญญาณที่ได้รับ ทำ ให้เรารับรู้เกี่ยวกับเสียงที่ได้ยิน ส่วนรับรู้การทรงตัว อยู่ด้านหลังของหูส่วนในทำ หน้าที่ รับรู้เกี่ยวกับการเอียงและ การหมุนของศีรษะตลอดการทรงตัวของร่างกาย มีลักษณะเป็นหลอดครึ่งวงกลม 3 หลอด วางตั้งฉากกัน เรียกว่า เซมิเซอร์คิวลาร์แคแนล (semicircular canal) ภายในหลอดมี ของเหลวบรรจุอยู่ที่โคนหลอดมีส่วนโป้งพองออกมาเรียกว่า แอมพูลลา (ampulla) ภายในมีเซลล์ขน (hair cell ) ทำ หน้าที่รับความรู้สึกซึ่งไวต่อการไหลของของเหลว ภายในหลอดที่เปลี่ยนแปลงตามตำ แหน่งของศรีษะและทิศทางการทรงตัวของร่างกาย หูกับการได้ยิน อวัยวะรับความรู้สึก 3. หูส่วนใน ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ ส่วนรับเสียง และ ส่วนรับรู้การ ทรงตัว
จมูก เป็นอวัยวะที่ใช้ในการหายใจสามารถบกนไภายในโพรงจกเอจก (olfactorymembrane) เซลประสาทบกน (olfactory neuron) หาบกน โดยเฉพาะ เมื่อกลิ่นในรูปของสารเคานเาไปทางองจกหอระเหยานคอหอยนมา เซลล์ประสาทรับกลิ่นจะถูกกระตุ้นและส่งกระแสประสาทไปตามเส้นประสาทรับกลิ่น (olfactory nerve) ซึ่งเทียบเท่ากับเส้นประสาทสมองคู่ที่ 1 ไปยังสมองส่วน อัลแฟกทอรีบัลบ์ เพื่อส่งต่อไปยังสมองส่วนเซรีบรัมที่เกี่ยวกับการดมกลิ่นทำ ให้สามารถ บอกได้ว่าเป็นกลิ่นใด อวัยวะรับความรู้สึก จมูกกับการดมกลิ่น
แรงกดความร้อร้น ความเจ็บจ็ ปวดหน่วน่ยรับรัสัมสัผัสผับาง หน่วน่ยพันพัรอบเส้นส้ขน เมื่อมื่ลูบลูเส้นส้ขนจะรับรัรู้กรู้ารสัมสัผัสผั บางหน่วน่ยมีปมีลายประสาทเดน ไดต์อยู่ตยู่รงกลางและเนื้อนื้เยื่อยื่เกี่ยวพันพัหุ้มหุ้ ผิวผิหนังเป็นป็อวัยวัวะที่ห่อห่หุ้มหุ้ร่าร่งกาย และรับรัความรู้สึรู้กสึที่รับรัความรู้สึรู้กสึ ได้ หลากหลายผิวผิหนังมีหมีน่วยรับรัความรู้สึรู้กสึที่ปลายประสาทเดนไดรต์ที่แทรก อยู่ใยู่นชั้นชั้หนังกำ พร้าร้ (epidermis) และหน่วยรับรัความรู้สึรู้กสึบางชนิดนิ ฝัง ลึกอยู่ใยู่นผิวผิหนังขั้นขั้หนังแท้ (dermis หน่วยรับรัความรู้สึรู้กสึนี้จนี้ะไวต่อการก ระตุ้นตุ้และไวต่อการสัมสัผัสผั อวัยวะรับความรู้สึก ผิวหนังกับการรับความรู้สึก
การเกิดรีเฟล็กซ์แอกชันเมื่อนิ้วมือสัมผัสกับความร้อนแล้วจะชักนิ้วมือ ออกทันที โดยสมองไม่ต้องคิดหรือสั่งการและสมองยังไม่รู้ว่ามีอะไรเกิด ขึ้น จนกระทั่งในเสี้ยววินาทีต่อมาจึงรู้สึกเจ็บและวับรู้ว่านิ้วมือสัมผัสกับ ความร้อน ซึ่งการรับรู้ว่าร้อนนั้นเกิดขึ้นได้เพราะมีการส่งกระแสประสาท ไป ที่สมองทำ ให้รู้สึกร้อน กลไกการเกิดการเกิดรีเฟล็กซ์แอกชันมีการ ทำ งานที่เป็นวงจรเรียกว่า รีเฟล็กซ์อาร์ก (reflex arc) ซึ่งประกอบด้วย หน่วยย่อย ๆ การเกิดรีเฟล็กซ์แอกชัน
ระบบประสาทอัตโนวัติ ประสาทสั่งการที่ออกจากไขสันหลังมาที่ ปมประสาทอัตโนวัติว่า เซลล์ประสาทก่อน ปมประสาท (preganglionicneuron) มีตัวเซลล์อยู่ที่ระบบประสาทส่วนกลางหรือไขสันหลัง บริเวณเนื้อสีเทา มีแอกซอน ยื่นยาวออกไปถึงบริเวณปมประสาทอัตโนวัติ และเรียกเซลล์ประสาทสั่งการอีก เซลล์ที่ออกจากปม ประสาทอัตโนวัติว่า เซลล์ประสาทหลังปมประสาท (postgangionic neuron) ซึ่งมีตัวเซลล์อยู่ที่ปม ประสาทอัตโนวัติและมีแอกซอนยื่นยาวออกไปไซแนปส์ที่หน่วยปฏิบัติงาน ประสาทซิมพาเทติกและระบบประสาทพาราชิมพาเทติกระบบประสาทอัตโนวัติ ประกอบด้วยหน่วยรับ ความรู้สึกชื่งส่วนใหญ่อยู่ที่อวัยวะภายใน และมีเชลล์ประสาทรับความรู้สึกรับ กระแสประสาทผ่านรากบน ของเส้นประสาทไขสันหลังเข้าสู่ใขสันหลังจากไขสันหลังจะมีเชลล์ประสาทสั่งการ ออกจากไขสันหลังไปไซแนปส์กับเซลล์ประสาทสั่งการ อีกเซลล์ที่ปมประสาทอัตโน วัติ (autonomic gangion) เรียกเซลล์ ระบบประสาทอัตโนวัติ คือ ควบคุมการรักษาดุลยภาพต่างๆของร่างกาย เช่น การ เต้น การหายใจ อุณหภูมิของร่างกาย การหรี่หรือขยายรูม่านตา ระบบประสาทอัตโนวัติแบ่งได้เป็น 2 ระบบย่อย คือ ระบบ
นายภาณุ อุ่นทวง เลขที่ 3. นางสาวสุพรรษา โพธิ์ถนอม เลขที่ 5. ชั้นมัธยมศึกษาปีที่6 นางสาวชมพูนุช ม่วงคลองใหม่ เลขที่ 6. นางสาวแพนีดา โพธิ์งาม เลขที่ 17. นายอลงกรณ์ จันทร์บำ รุง เลขที่ 22. นางสาวชนัญญา พลายกำ เหนิ เลขที่27. นางสาวทิพย์เกศร ศิริโต เลขที 28. นายปิยวัฒน์ พรหมศาสตร์ เลขที่16.