The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

พุทธวจน ฉบับ เรื่อง อุปมา อุปมัย

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Nattarat Juntien, 2023-03-01 02:58:33

คำพระพุทธเจ้า เรื่องอุปมา-อปไมย

พุทธวจน ฉบับ เรื่อง อุปมา อุปมัย

พุทธวจน ๔๙ ประกอบดวยกองป  ญญาชั้นอเสขะ ประกอบดวยกองวมิุตติชั้นอเสขะ ประกอบดวยกองวิมตตุ ญาณทิ ัสสนะชั้น อเสขะ. เรากลาววาทานที่ใหในบ ุคคลผูละองคหาและประกอบดวยองคห าดวยอาการอยางนี้มีผลมากดังน. ี้ มู.ม. ๑๒/๓๗๓/๓๕๒.,ติก. อ. ํ ๒๐/๒๐๕/๔๙๗. เน ื้อแท  อันตรธาน ภิกษุท.! เรื่องนี้เคยมีมาแลว : กลองศึกของกษัตริยพวกทสารหะเร ียกวาอานกะ มีอยู. เมื่อกลองอานกะนี้มี แผลแตก หรือลิ, พวกกษตรั ิยทสารหะไดหาเน ื้อไมอนทื่ําเปนลิ่ม เสริมลงในรอยแตกของกลองนั้น (ทุกคราวไป) ภิกษุท.! เมื่อเชื่อมปะเขาหลายครั้งหลายคราวเชนนนนานเขั้าก็ถึงสมัยหนึ่ง ซึ่งเนื้อไมเดิมของตัวกลองหมดสิ้นไป เหลืออยูแตเน อไม ื้ที่ทําเสริมเขาใหมเทานนั้ ; ภิกษุท.! ฉันใดก็ฉนนั ั้น : ในกาลยดยาวฝ ื ายอนาคต จักมีภกษิุทั้งหลาย, สุตตันตะ (ตัวสูตรสวนที่ลึกซึ้ง) เหลาใด ที่เปนคําของตถาคต เปนขอความลึกมีความหมายซึ่งเปนชั้นโลกุตตระ วา เฉพาะดวยเร ื่องสุญญตา, เมื่อมีผูนําสุตตันตะเหลานนมากลั้าวอย. ูเธอจักไมฟงดวยดีจักไมเงยหี่ฟูงจักไมต ั้งจิตเพื่อ จะรูทั่วถึงและจักไมสําคัญวาเปนสิ่งที่ตนควรศึกษาเลาเรียน. สวนสุตตันตะเหลาใด มีนักกวีแตงขนใหม ึ้ เปนคํารอย กรองประเภทกาพยกลอน มีอักษรสละสรวย มีพยัญชนะอันวิจิตร เปนเรื่องนอกแนว เปนคํากลาวของสาวก, เมื่อมี ผูนําสูตรที่นักกวีแตงขึ้นใหมเหลานั้นมากลาวอย, ูเธอจักฟงดวยด ีจักเงี่ยหูฟง จักตั้งจิตเพ่อจะรืูทั่วถึง และจักสําคัญ วาเปนสิ่งที่ตนควรศึกษาเลาเรียนไป. ภิกษุท.! ความอันตรธานของสุตตันตะเหลานั้น ที่เปนคําของตถาคตเปนขอความลึก มีความหมายซึ้ง เปน ชั้นโลกุตตระวาเฉพาะดวยเร ื่องสุญญตาจักมีไดดวยอาการอย างนี้แล. นิทาน. สํ. ๑๖/๓๑๑/๖๗๒-๓ เร ื่องท ี่เปนไปได ยาก ภิกษุท.! สมมติวามหาปฐพีอันใหญหลวงนี้มีนาท้ํ ั่วถึงเปนอันเดียวกันทั้งหมด; บุรุษคนหนึ่งทิ้ง แอก(ไมไผ !) ซึ่งมีรูเจาะไดเพียงรูเดียว ลงไปในน้ํานนั้ ; ลมตะวันออกพัดใหลอยไป ทางทศตะวินตกั , ลม ตะวนตกพั ดให ั ลอยไปทางทิศตะวนออกั , ลมทิศเหนือพัดใหลอยไปทางทิศใต, ลมทิศใตพัดใหลอยไปทางทิศ เหนืออยดู ังนี้. ในน้ํานนมั้ีเตาตัวหนึ่งตาบอด ลวงไปรอยๆป  มันจะผดขุึ้นมาครั้งหนึ่งๆ. ภิกษุท.! เธอ ทั้งหลายจะสําคัญความขอนี้วาอยางไร : จะเปนไปไดไหมท  ี่เตาตาบอด รอยปจึงจะผุดขึ้นมาสักครั้งหนึ่ง จะพึงยื่น คอเขาไปในรูซึ่งมีอยูเพียงรูเดียวในแอกนนั้ ? “ขอนี้ ยากทจะเป ี่ นไปได พระเจาขา ! ที่เตาตาบอดนั้น รอยปผุดขึ้นเพียงครั้งเดยวี จะพึงยื่นคอเขาไป ในรู ซึ่งมีอยเพู ียงรูเดยวในแอกน ีนั้ ”. ภิกษุท. ! ยากที่จะเปนไปได ฉันเดียวกัน ที่ใครๆจะพึงไดความเป  นมนุษย; ยากที่จะเปนไปได ฉันเดียวกัน ที่ตถาคตผูอรหันตสัมมาสัมพุทธะ จะเกิดขึ้นในโลก; ยากที่จะเปนไปไดฉนเดั ียวกนั ที่ธรรมวินยั อันตถาคตประกาศแลวจะรุงเรืองไปทั่วโลก. ภิกษุท. ! แตวาบัดน ี้ความเปนมนุษยก ็ไดแล ว; ตถาคตผูอรหันตสัมมาสัมพุทธะ ก็บังเกิดขึ้นในโลก แลว; และธรรมวินัยอันตถาคตประกาศแลว ก็รุงเรืองไปทั่วโลกแลว.


วาดวยบทอุปมาอุปไมย ๕๐ ภิกษุท. ! เพราะเหตุนั้นในกรณีนี้ พวกเธอพึงกระทําโยคกรรมเพื่อใหรูวา “นี้ ทุกข; นี้ เหตุใหเกิด ทุกข; นี้ ความดับแหงทุกข; นี้ หนทางใหถึงความดบแหั งทุกข” ดงนั ี้เถิด. มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๖๘/๑๗๔๔ ทรงเปนผู เอ็นดูเก ื้อกูลแกสรรพสัตว  ทั้งปวง “ขาแตพระองคผูเจริญ ! พระผูมีพระภาค ทรงเปนผูเอ็นดูเกื้อกูลแกสัตวทั้งปวงอยูมิใชหรือ พระเจาขา ?” คามณิ ! ถูกแลว,ตถาคตเปนผูเอ็นดูเกื้อกูลแกสัตวท ั้งปวงอยู “ขาแตพระองคผูเจริญ ! ถาอยางนั้น ทําไมพระองคจึงทรงแสดงธรรมแกคนบางพวก โดยเอื้อเฟอ, และแกคนบางพวก โดยไมเอื้อเฟอเลา พระเจาขา ?” คามณิ ! ถาอยางนั้น เราขอยอนถามทานในขอนี้ ทานจงตอบเราตามที่ควร. คามณิ ! ทานจะสําคัญความ ขอนี้เปนไฉน : ในถิ่นแหงเรานี้ ชาวนาผูคหบดีคนหนึ่ง มีนาอยู ๓ แปลง แปลงหนึ่งเปนนาช ั้นเลิศ, แปลง หนึ่งเปนนาปานกลาง, แปลงหนึ่งเปนนาเลว มีดนเป ิ นกอนแข ็ง มีรสเค็ม พื้นที่เลว. คามณิ ! ทานจะสําคัญความ ขอนี้วาอยางไร : ชาวนาผคหบดู ีนั้น เมอประสงค ื่ จะหวานพชื เขาจะหวานในนาแปลงไหนกอน คือวาแปลง  ที่เปนนาเลิศ, นาปานกลาง, หรือวานาเลว มีดินเปนก อนแข็ง มีรสเค็ม พื้นที่เลว เลา ? “ขาแตพระองคผูเจริญ ! ชาวนาคหบดผีูประสงคจะหวานพืชคนนนั้ยอมหวานในนาเลิศกอน, แลวจึง หวานในนาปานกลาง, สําหรับนาเลว ซึ่งดินเปนกอนแข็ง มีรสเค็ม พื้นที่เลวนนั้ เขาก็หวานบาง ไมหวานบาง เพราะเหตุวา อยางมากที่สุด ก็หวานไวใหโคก  ิน พระเจาข า !” คามณิ ! นาเลิศนั้น เปรียบเหมือนภิกษุภิกษุณีของเรา เรายอมแสดงธรรม งดงามในเบื้องตน งดงามใน ทามกลาง งดงามในที่สุด ประกาศพรหมจรรยบริสุทธิ์บริบูรณสิ้นเชิง พรอมทั้งอรรถะ พรอมทั้งพยัญชนะ แก ภิกษภุิกษุณเหลี านั้น. ขอนั้นเพราะเหตุไรเลา ? คามณ ! ิเพราะเหตวุาภิกษภุิกษณุทีั้งหลาย เหลานั้น มีเราเปน ประทีป มีเราเปนที่ซอนเรน มีเราเปนที่ตานทาน มีเราเปนที่พิงอาศัยอยู. คามณิ ! นาปานกลางนั้น เปรียบเหมือนอุบาสกอุบาสิกาของเรา เรายอมแสดงธรรม งดงามในเบื้องตน งดงามในทามกลาง งดงามในที่สุด ประกาศพรหมจรรยบริสุทธิ์บริบูรณสิ้นเชิง พรอมทั้งอรรถะ พรอมทั้ง พยัญชนะ แกอบาสกอุ ุบาสิกาทั้งหลาย เหลานั้น. ขอนั้นเพราะเหตุไรเลา ? คามณิ ! เพราะเหตุวา ชนทั้งหลาย เหลานั้น มีเราเปนประทีป มีเราเปนที่ซอนเรน มีเราเปนท ี่ตานทาน มีเราเปนที่พิงอาศัยอย. ู คามณิ ! นาเลว มีดินเปนก อนแข็ง มีรสเค็ม พื้นที่เลวนั้นเปรียบเหมือนสมณพราหมณ ปริพพาชกทั้งหลาย ผูเปนเดียรถยีอ ื่นตอเรา เราก็ยอมแสดงธรรม งดงามในเบ้องตื น งดงามในทามกลาง งดงามในที่สุด ประกาศ พรหมจรรยบริสุทธิ์บริบูรณสิ้นเชิง พรอมท ั้งอรรถะ พรอมทั้งพยัญชนะ แกชนทงหลายเหลั้านนั้ . ขอนั้นเพราะ เหตุไรเลา ? เพราะเหตุวา ถงแมึ วาเขาจะเขาใจธรรมที่เราแสดง สักบทเดียว นั่นกย็ังเปนไปเพื่อประโยชนเกื้อกูล และความสุข แกชนทั้งหลายเหลานั้น ตลอดกาลนาน. สฬา. ส. ๑๘/๓๘๗/๖๐๓


พุทธวจน ๕๑ อานิสงส  ของการถ ึ งพร  อมด  วยทัสสนทิฏฐิ สูตรที่สอง (สูตรที่สองและสูตรตอ ๆ ไป เปนสูตรที่ตรัสถึงประโยชนของความสมบูรณดวยทัสสนทิฏฐิแหงความเปนพระโสดาบัน เหมือนกันทุกตัวอักษรในสวนที่เปนอุปไมย; ตางกันแตอุปมา ซึ่งทรงนํามาใชเปนเครื่องเปรียบเทียบแตละอุปมาเปนลําดับไป ในทุก ๆ สูตร ดังตอไปนี้ :-) ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เปรียบเหมือนสระโบกขรณียาว ๕๐ โยชนกวาง ๕๐โยชนลึก ๕๐ โยชนมีน้ําเต็ม เสมอขอบ กาดื่มไดสะดวก มีอยู. ลําดับนั้น บุรุษพึงจมแลุ วยกขึ้นมาซึ่งน้ําดวยปลายแหงใบหญาคา. ดูกอนภกษิุ ทั้งหลาย! พวกเธอทั้งหลายจะสําคัญความขอนั้นวาอยางไร? น้ําที่บุรุษจุมแลวยกขึ้นมาดวยปลายแหงใบหญาคา เปน น้ําที่มากกวา หรอวื าน้ําในสระโบกขรณีนมากกวี้า? "ขาแตพระองคผูเจริญ! น้ําในสะโบกขรณนีั่นแหละ เปนน้ําที่มากกวา.น้ําที่บุรุษจุมแลวยกขึ้นมาดวยปลาย แหงใบหญาคา มีประมาณนอย . น้ํานี้เมื่อนําเขาไปเทยบกี ับน้ําในสระโบกขรณียอมไมเขาถึงสวนหนึ่งในรอย สวน หนึ่งในพัน สวนหนึ่งในแสน แหงน้ํานั้น". ...ฯลฯ... สูตรที่สาม ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เปรียบเหมือนแมน้ําใหญเหลานี้คือ แมน้ําคงคาแมน้ํายมุนา แมน้ําอจิรวดีแมน้ําสรภู แมน้ํามหีไหลมาบรรจบกันในทใดี่ลําดับนั้น บุรุษพึงนําน้ําขึ้นมาสองหรือสามหยด. ดูกอนภกษิุทั้งหลาย! พวกเธอ ทั้งหลาย จะสาคํ ัญความขอนี้วาอยางไร? น้ําสองหรือสามหยดที่บุรษนุําขึ้นมา เปนน้ําที่มากกวา หรือวาน้ําตรงที่ แมน้ําบรรจบกัน มากกวา? "ขาแตพระองคผูเจริญ! น้ําตรงที่แมน้ําบรรจบกันนั่นแหละ เปนน้ําที่มากกวา .น้ําสองหรือสามหยดที่บุรษุ นําขึ้นมา มีประมาณนอย. น้ํานี้เมื่อนําเขาไปเทียบกับน้ําตรงที่แมน้ําบรรจบกัน ยอมไมเขาถึงสวนหนึ่งในรอย สวน หนึ่งในพัน สวนหนึ่งในแสนแหงน้ํานั้น". ...ฯลฯ... สูตรที่สี่ ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เปรียบเหมือนแมนาเหล้ํ านี้คือ แมน้ําคงคา แมน้ํายมุนา แมน้ําอจิรวดีแมน้ําสรภู แมน้ํามหีไหลมาบรรจบกันในทใดี่น้ํานั้น พึงถึงความสิ้นไป หมดไป ยังเหลืออยูสองหรือสามหยด. ดูกอนภิกษุ ทั้งหลาย! พวกเธอทั้งหลาย จะสําคัญความขอนั้นวาอยางไร? คือน้ําตรงที่แมน้ําบรรจบกัน ซึ่งสิ้นไปแลวหมดไป แลวเปนนําท้มากกวี่า หรือวาน้ําทยี่ังเหลออยืูสองหรือสามหยด มากกวา? "ขาแตพระองคผูเจริญ! น้ําตรงที่แมน้ําบรรจบกันซึ่งสิ้นไปแลวหมดไปแลวนั่นแหละ เปนน้ําที่มากกวา. น้ํา ที่ยังเหลืออยูสองหรือสามหยด มีประมาณหนอย. น้ํานี้เมื่อนําเขาไปเทียบกับน้ําตรงที่แมน้ําบรรจบกันซึ่งสิ้นไป แลวหมดไปแลวยอมไมเขาถึงสวนหนึ่งในรอย สวนหนึ่งในพนัสวนหนึ่งในแสน แหงนําน้ั้น". ...ฯลฯ... สูตรที่หา


วาดวยบทอุปมาอุปไมย ๕๒ ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เปรียบเทียบบุรษพุึงโยนกอนดินมีประมาณเทาเม็ดกระเบาเจ็ดกอนลงไปบนมหา ปฐพี. ดูกอนภกษิุทั้งหลาย! พวกเธอทั้งหลายจะสําคัญความขอนั้นวาอยางไร  ? กอนดนมิ ีประมาณเทาเม็ดกระเบาเจ็ด กอนที่บุรุษโยนลงไปแลวนนั้เปนดนมากกิ า หรือมหาปฐพีมากกวา? "ขาแตพระองคผูเจริญ! มหาปฐพีนั่นแหละ เปนดนทิ ี่มากกวา. กอนดนมิ ีประมาณเทาเม็ดกระเบาเจดก็ อนที่ บรุ ุษโยนลงไปแลวนั้น มีประมาณนอย. ดินนี้เมื่อน้ําเขาไปเท  ียบกบมหาปฐพ ั ียอมไมเขาถึงสวนหนึ่งในรอย สวน หนึ่งในพัน สวนหนึ่งในแสน แหงมหาปฐพีนั้น". ...ฯลฯ... สูตรที่หก ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เปรียบเทียบเหมือนมหาปฐพีถึงความสิ้นไปหมดไปเหลือกอนดินมีประมาณเทาเม็ด กระเบาเจ็ดกอน. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! พวกเธอทั้งหลายจะสําคัญความขอนั้นวาอยางไร  ? มหาปฐพีที่สิ้นไปแลว หมดไปแลวเปนดินที่มากกวาหรือวากอนดินมีประมาณเทาเม็ดกระเบาเจ็ดกอนที่ยังเหลืออยูมากกวา? "ขาแตพระองคผูเจริญ! มหาปฐพีที่สิ้นไปแลวหมดไปแลวน ั่นแหละ เปนดินที่มากกวา . กอนดนมิ ีประมาณ เทาเม ็ดกระเบาเจ็ดกอนที่ยังเหลืออยูมีประมาณนอย.ดินนี้เมื่อนําเขาไปเทียบกับมหาปฐพีที่สิ้นไปแลวหมดไปแลว ยอมไมเขาถึงสวนหนึ่งในรอยส  วนหนึ่งในพัน สวนหนงในแสน ึ่แหงมหาปฐพีนนั้ ". ...ฯลฯ... สูตรที่เจ็ด ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เปรียบเหมือนบุรษพุึงนําน้ําสองหรือสามหยดขึ้นจากมหาสมุทร. ดูกอนภกษิุ ทั้งหลาย! พวกเธอทั้งหลาย จะสําคัญความขอนั้นวาอยางไร? น้ําสองหรือสามหยดที่บุรุษนาขํ ึ้นแลว เปนนาท้ํ ี่ มากกวา หรือวาน้ําในมหาสมุทรมากกวา? ความขอนั้นวาอยางไร? กอนดินมีประมาณเทาเม็ดกระเบาเจ็ดกอนที่บุรุษ โยนลงไปแลวนั้น เปนดินมากกา หรือมหาปฐพีมากกวา? "ขาแตพระองค ผูเจริญ! มหาปฐพีนั่นแหละ เปนดนทิ ี่มากกวา. กอนดนมิ ีประมาณเทาเม็ดกระเบาเจดก็ อนที่ บุรุษโยนลงไปแลวนั้น มีประมาณนอย. ดินนี้เมื่อน้ําเขาไปเท  ียบกบมหาปฐพ ั ียอมไมเขาถึงสวนหนึ่งในรอย สวน หนึ่งในพัน สวนหนึ่งในแสน แหงมหาปฐพีนั้น". ...ฯลฯ... สูตรที่หก ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เปรียบเทียบเหมือนมหาปฐพีถึงความสิ้นไปหมดไปเหลือกอนดินมีประมาณเทาเม็ด กระเบาเจ็ดกอน. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! พวกเธอทั้งหลายจะสําคัญความขอนั้นวาอยางไร  ? มหาปฐพีที่สิ้นไปแลว หมดไปแลวเปนดินที่มากกวาหรือวากอนดินมีประมาณเทาเม็ดกระเบาเจ็ดกอนที่ยังเหลืออยูมากกวา? "ขาแตพระองคผูเจริญ! มหาปฐพีที่สิ้นไปแลวหมดไปแลวน ั่นแหละ เปนดินที่มากกวา . กอนดนมิ ีประมาณ เทาเม ็ดกระเบาเจ็ดกอนที่ยังเหลืออยูมีประมาณนอย.ดินนี้เมื่อนําเขาไปเทียบกับมหาปฐพีที่สิ้นไปแลวหมดไปแลว ยอมไมเขาถึงสวนหนึ่งในรอยส  วนหนึ่งในพัน สวนหนงในแสน ึ่แหงมหาปฐพีนนั้ ". ...ฯลฯ...


พุทธวจน ๕๓ สูตรที่เจ็ด ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เปรียบเหมือนบุรษพุึงนําน้ําสองหรือสามหยดขึ้นจากมหาสมุทร. ดูกอนภกษิุ ทั้งหลาย! พวกเธอทั้งหลาย จะสําคัญความขอนั้นวาอยางไร? น้ําสองหรือสามหยดที่บุรุษนาขํ ึ้นแลว เปนนาท้ํ ี่ มากกวา หรือวาน้ําในมหาสมุทรมากกวา? "ขาแตพระองคผูเจริญ! น้ําในมหาสมุทรนนแหละั่เปนน้ําที่มากกวา.น้ําสองหรือสามหยดที่บุรษนุาขํ ึ้นแลว มีประมาณนอย . น้ํานี้เมื่อนําเขาไปเทียบกบนั้ําในมหาสมุทร ยอมไมเขาถึงสวนหนงในร ึ่ อย สวนหนึ่งในพัน สวน หนึ่งในแสนแหงน้ํานนั้ ". ...ฯลฯ... สูตรที่แปด ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เปรียบเหมือนมหาสมุทรพึงความสิ้นไปหมดไปยังเหลือนาอย้ํูสองหรือสามหยด. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! พวกเธอทั้งหลาย จะสําคัญความขอนั้นวาอยางไร? คือน้ําในมหาสมุทรซึ่งสิ้นไปแลวหมดไป แลวเปนน้ําทมากกวี่าหรือวาน้ําที่ยังเหลืออยูสองหรือสามหยด มากกวา ? "ขาแตพระองคผูเจริญ! น้ําในมหาสมุทรซึ่งสิ้นไปแลวหมดไปแลวนนแหละเป ั่ นน้ําที่มากกวา.น้ําที่ยัง เหลืออยูสองหรือสามหยด มีประมาณนอย. น้ํานี้เมื่อนําเขาไปเทยบกี ับน้ําในมหาสมุทรซึ่งสิ้นไปแลวหมดไปแลว ยอมไมเขาถึงสวนหนึ่งในรอย สวนหนึ่งในพัน สวนหนงในแสนแห ึ่งน้ํานั้น"....ฯลฯ... สูตรที่เกา ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เปรียบเหมือนบุรษพุึงโยนกรวดหินมีประมาณเทาเม็ดพันธผุ ักกาดเจดเม็ ็ดเขาไปที่ เทือกเขาหลวงชื่อหิมพานต. ดูกอนภิกษุทงหลายั้ ! พวกเธอทั้งหลาย จะสําคัญความขอนั้นวาอยางไร? กรวดหินมี ประมาณเทาเม็ดพันธุผักกาดเจ็ดเม็ดที่บุรษโยนเขุาไปนนั้เปนของมากกวา หรือวาเทือกเขาหลวงชื่อหิมพานต มากกวา "ขาแตพระองคผูเจริญ! เทือกเขาหลวงชอหื่ิมพานตนนแหละั่เปนสิ่งที่มากกวา. กรวดหินมีประมาณเทา เม็ดพันธุผักกาดเจ็ดเม็ดที่ยังเหลืออยูมีประมาณนอย. กรวดหนนิ ี้เมื่อนําเขาไปเทยบกี ับเทือกเขาหลวงชื่อหิมพานต ยอมไมเขาถึงสวนหนึ่งในรอย สวนหนึ่งในพัน สวนหนงในแสน ึ่แหงเทือกเขานั้น". …ฯลฯ… สูตรที่สิบ ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! เปรียบเหมือนเทือกเขาหลวงชื่อหิมพานต. พึงถึงความสิ้นไปหมดไป เหลือกรวดหนมิ ี ประมาณเทาเม็ดพันธุผักกาดเจ็ดเม็ด. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! พวกเธอทั้งหลายจะสําคัญความขอนั้นวาอยางไร? เทือกเขาหลวงชื่อหิมพานตซงสึ่ิ้นไปแลวหมดไปแลว เปนสิ่งที่มากวาหรือวากรวดหนมิ ีประมาณเทาเมดพ็ ันธุ ผักกาดเจดเม็ ็ดที่ยังเหลืออยูมากกวา "ขาแตพระองคผูเจริญ! เทือกเขาหลวงชื่อหิมพานตซึ่งสนไปแล ิ้วหมดไปแลวนนแหละั่เปนสิ่งที่มากกวา. กรวดหินมีประมาณเทาเม็ดพันธุผักกาดเจดเม็ ็ดทยี่ังเหลออยืูมีประมาณนอย. กรวดหนนิ ี้เมื่อนําเขาไปเทยบกี ับ


วาดวยบทอุปมาอุปไมย ๕๔ เทือกเขาหลวงชื่อหิมพานตซงสึ้ิ้นไปแลวหมดแลว ยอมไมเขาถึงสวนหนึ่งในรอย สวนหนึ่งในพนัสวนหนึ่งใน แสน แหงเทือกเขานั้น". ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! อุปมานี้ฉันใด อุปไมยก็ฉันนั้น : สําหรับอริยสาวกผูถึงพรอมดวย (สัมมา) ทิฏฐิเปน บุคคลผูรูพรอมเฉพาะแลว, ความทุกขของทานสวนที่สิ้นไปแลว หมดไปแลวยอมมากกวา; ความทุกขที่ยังเหลืออยู มีประมาณนอย : เมื่อนําเขาไปเทียบกับกองทุกขที่สิ้นไปแลว หมดไปแลว ในกาลกอน ยอมไมเขาถึงสวนหนงใน ึ่ รอย สวนหนึ่งในพัน สวนหนึ่งในแสน; กลาวคือความสิ้นไปแหงกองทุกข (ของพระโสดาบัน) ผูเปนสัตตักขัตตปรุ มะ. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย! การรูพรอมเฉพาะซึ่งธรรม เปนไปเพื่อประโยชนอนใหญ ั หลวงอยางนี้การไดเฉพาะซึ่ง ธรรมจักษุเปนไปเพ  ื่อประโยชนอันใหญหลวงอยางนี้ดังนี้แล. การวางจิตเม ื่อถูกกลาวหา ภิกษุท. ! ทางแหงถอยคาทํ ี่บุคคลอื่นจะพึงกลาวหาเธอ ๕ อยาง เหลานี้มีอยูคือ ๑. กลาวโดยกาลหรือโดยมิใชกาล ๒. กลาวโดยเรื่องจริงหรือโดยเรื่องไมจริง ๓. กลาวโดยออนหวานหร ือโดยหยาบคาย ๔. กลาวดวยเรื่องมีประโยชนหรือไมมีประโยชน ๕. กลาวดวยมจีิตเมตตาหรือมิโทสะในภายใน ภิกษุท. ! เมื่อเขากลาวอยูอยางนนั้ ในกรณนีั้น ๆ เธอพึงทําการสําเหนียกอยางนี้วา“จิตของเรา จัก ไมแปรปรวน, เราจักไมกลาววาจาอันเปนบาป เราจักเปนผูมีจิตเอ็นดเกูื้อกูลมีจิตประกอบ และจกมั ีจิตสหรคตดวย เมตตา อันเปนจ ิตไพบูลยใหญหลวง ไมม ีประมาณ ไมม ีเวร ไมมพยาบาทีแผไปสูโลกถึงที่สุดทุกทิศทาง มีบุคคล นั้นเปนอารมณแลวแลอย” ูดังนี้. ภกษิุท.! เธอพึงทําการสําเหนียกอยางนี้แล ภิกษุท. ! ถาโจรผูคอยชอง พึงเลื่อยอวยวะนั อยใหญของใครดวยเล ื่อยมดีามสองขาง ผูใดมีใจ ประทุษรายในโจรนั้น ผูนั้นชื่อวาไมทําตามคําสอนของเรา เพราะเหตทุี่มีใจประทษรุายตอโจรนั้น ภิกษุท. ! ในกรณีนั้น เธอพึงทําการสําเหนียกอยางนี้วา “จิตของเราจักไมแปรปรวน เราจักไมกล าว วาจาอันเปนบาป เราจักเปนผูมีจิตเอ็นดูเกอกืู้ล มีจิตประกอบดวยเมตตาไม  มีโทสะ ในภายในอยูดวยเมตตา ไมมี โทสะในภายใน อยู , จักมีจตสหรคตดิ วยเมตตาแผไปยังบุคคลนั้น อยูและ จักมจีิตสหรคตดวยเมตตา อันเปนจติ ไพบูลยใหญหลวง ไมมีประมาณ ไมมีเวร ไมมีพยาบาท แผไปสูโลกถึงที่สุดทุกทิศทาง มีบุคคลนั้นเปนอารมณ แลวแลอย” ูดั้งนี้. ภิกษุท.! เธอพึงทําการ สําเนียกอยางนี้ ภกษิุท. ! เธอพึงกระทําในใจถึงโอวาทอัน เปรียบดวยเล ื่อยนี้อยเนู ืองๆ เถิด ภิกษุท! เมอเธอทื่ําในใจถึงโอวาทนั้นอยู เธอจะไดเห ็นทางแหงการกลาวหาเล็กหรือใหญที่เธออดกลั้น ไมไดอยูอกหรี ือ ? “ขอนั้นหามิไดพระเจาขา” ภิกษุท. ! เพราะเหตุนั้นในเรื่องนี้พวกเธอทั้งหลายจงกระทําในใจถึงโอวาทอันเปรียบดวยเล ื่อยน้อยีู เปนประจําเถิด นั่นจักเปนไปเพื่อประโยชนเก ื้อกูลและความสุขแกเธอ ทั้งหลายตลอดกาลนาน


พุทธวจน ๕๕ ม.ม. ๑๒/๒๕๕-๒๘๐/๒๖๗-๒๗๓ มนุษย  ผ ี คหบดีและคหปตานีทั้งหลายการอยูรวม๔ ประการนี้๔ ประการเปนอย างไรเลา ? คือ (๑) ชายผีอยูรวมก ับหญิงผี (๒) ชายผีอยูรวมก ับหญิงเทวดา (๓) ชายเทวดาอยูรวมกบหญั ิงผี (๔) ชายเทวดา อยูรวมกับหญงเทวดาิ คหบดีและคหปตานีทั้งหลายก็ชายผีอยูรวมกับหญิงผีอยางไร สามีในโลกนี้เปน ผูมักฆาสัตวลักทรัพย ประพฤติผิดในกาม พูดเทจ็ดื่มน้ําเมาคือสราและเมรุัยอนเป ั นที่ตั้งแหง ความประมาท เปนคน ทุศีลมีบาปธรรม มีใจ อันมลทินคือความตระหนี่ครอบงํา ดาและบริภาษ สมณพราหมณอยครองเรู ือน แมภรรยา ของเขาก็เปนผูมักฆา สัตวลักทรัพยประพฤต  ิผิดในกาม พดเทู็จ ดื่มน้ําเมาคือสราและเมรุัยอนเป ั นที่ตั้งแหง ความประมาท เปนคนทุศีล มี บาปธรรม มีใจอันมลทินคือความตระหนครอบงี่ํา ดาและบริภาษสมณพราหมณอยูครองเรือน คหบดีและคหปตานี ทั้งหลายชายผอยีูรวมกับหญงผิ ีอยางนี้แล ฯ คหบดีและคหปตานีทั้งหลาย ก็ชายผีอยูรวมก ับหญิงเทวดาอยางไร สามีในโลกนี้เปนผูมัก ฆาสัตวฯลฯ ดา และบริภาษสมณพราหมณอยูครองเรือนสวนภรรยาของเขาเปนผูงดเวนจากการฆาสัตวจากการลักทรัพยจากการ ประพฤติผิดในกาม จากการพูดเท็จ จากการดื่มน้ําเมาคือสุราเมรัยอันเปนท่ตีั้ง แหงความประมาท มีศีล มีกัลยาณ ธรรม มีใจปราศจากมลทินคือความตระหนี่ไมดาไมบริภาษสมณพราหมณอยูครองเรือน คหบดีและคหปตานี ทั้งหลายชายผอยีูรวมกับหญงเทวดาอยิ างนแลี้ฯ คหบดีและคหปตานีทั้งหลาย ก็ชายเทวดาอยูรวมกับหญิงผีอยางไรสามีในโลกนี้เปนผูงดเวนจากการฆา สัตวฯลฯ อยูครองเรือน สวนภรรยาของเขาเปนผูมักฆาสัตวฯลฯ ดาและบริภาษสมณพราหมณอยูครองเรือน คหบดีและคหปตานทีั้งหลาย ชายเทวดาอยูรวมกับหญิงผีอยางนี้แล คหบดีและคหปตานีทั้งหลาย ก็ชายเทวดาอยูรวมกับหญงเทวดาอยิ างไร สามีในโลกนี้เปน ผูงดเวนจากการ ฆาสัตวฯลฯ ไมดาไมบริภาษสมณพราหมณอยูครองเรือน แมภรรยาของเขาก็เปนผูงดเวนจากการฆาสัตวฯลฯไม ดาไมบริภาษสมณพราหมณอยูครองเรือน คหบดีและคหปตานีทั้งหลายชายเทวดาอยูรวมกับหญิงเทวดาอยางนี้แล คหบดีและปตานีทั้งหลายการอยูรวม ๔ ประการนี้แล ฯ ภรรยาและสามีทั้งสองเปนผูทุศีล เปนคนตระหนี่มกดัาว า สมณพราหมณชื่อวาเปนผ ีมาอยูรวมกันสามี เปนผูทุศีล มีความตระหนี่มักดาวาสมณพราหมณสวนภรรยาเป นผูมีศีล รูความประสงคของผูขอปราศจากความ ตระหนี่ภรรยานั้นชื่อวาเทวดาอยูรวมก ับสามีผีสามีเปนผูมีศีล รูความประสงคของผูขอปราศจากความตระหนี่ สวนภรรยาเปนผูทุศีล มีความตระหนี่มกดั าวาสมณพราหมณชื่อวาหญ ิงผีอยูรวมกับสามีเทวดา ทั้งสองเปนผูมี ศรัทธา รูความประสงคของผูขอ มีความสํารวม เปนอยูโดยธรรม ภรรยาและสามทีั้งสองนั้น เจรจาถอยคําที่นาร ัก แกกนและกั ัน ยอมมีความเจริญรุงเรืองมาก มีความผาสกุทั้งสองฝายมีศีลเสมอกัน รักใครกันมาก ไมมีใจรายตอกัน ครั้นประพฤติธรรม ในโลกนี้แลว เปนผูมศีีลและวัตร เสมอกันยอมเปนผูเสวยกามารมณเพลิดเพลินบันเทิงใจอยูใน เทวโลก. จตุกฺก.อํ.๒๑/๗๔/๕๓


วาดวยบทอุปมาอุปไมย ๕๖ น้ําติดก  นกะลา “ราหุล! เธอเหนน็ ้ําที่เหลืออยนู ิดหนึ่งที่กนภาชนะนหรี้ือ ? ” “เห็นแลว พระเจาขา!” “ราหุล! นักบวชที่ไมมีความละอายในการแกลงกลาวเท็จ ทั้งที่รูอยูวาเป นเท็จ ก็มีความเปนสมณะนิดเดยวี เหมือนน้ําทเหลี่ืออยูที่กนภาชนะนี้ฉันนั้น”. พระผูมีพระภาคเจา ทรงสาดน้ํานั้นเทไป (ดวยอาการที่นาจะเหล้ํ ือติดอยูไดน อยที่สุดเปนธรรมดา)แลวตรัส วา : “ราหุล! เธอเหนน็ ้ําที่ถูกสาดเทไปแลว มิใชหรือ ?” “เห็นแลว พระเจาขา!” ขณะที่ทรงลางพระบาทดวยพระองค เอง แลวทรงเหลือน้ําติดกนกะลาเพ ื่อเปนอุปมา, ที่เวฬุวนใกล ั นครรา ชคฤห. “ราหุล! นักบวช ที่ไมมีความละอายในการแกลงกลาวเท็จ ทั้งที่รูอยูวาเป นเท็จก็มีความเปนสมณะ เหลืออยู นอยเหมือนนา้ํที่สักวาเหลอตื ิดอยูตามภาชนะ (หลังจากที่สาดเทออกไปแลวโดยแรง) นี้ฉันนั้น”. พระผูมีพระภาคเจา ทรงคว่ําภาชนะน้ํานนแลั้ว ตรัสวา : “ราหุล! เธอเหนภาชนะท็ ี่ควาอย่ํูแลวนี้มิใชหรือ ? ” “เห็นแลว พระเจาขา!” “ราหุล! นักบวชที่ไมมีความละอายในการแกลงกลาวเท็จ ทั้งที่รูอยูวาเป นเท็จ ก็มีความเปนสมณะ เทากับ น้ําที่เขาคว่ําภาชนะเสียแลวอยางน ี้ฉันนั้น”. พระผูมีพระภาคเจา ทรงหงายภาชนะนนขั้นมาดึู้แลวตรัสวา : “ราหุล! เธอเหนภาชนะอ็ ันวางจากน้ํานี้แลวมิใชหรือ ? ” “เห็นแลว พระเจาขา!” “ราหุล! นักบวช ที่ไมมีความละอายในการแกลงกลาวเท็จ ทั้งที่รูอยูวาเป นเท็จ ก็มีความเปนสมณะ เทากับ ความวางเปลาของน้ําในภาชนะนี้ฉันนั้นเหมือนกัน ..ฯลฯ..” “ราหุล! เรากลาววา กรรมอันลามกหนอยหนึ่ง ซึ่งนักบวชที่ไมมีความละอายในการแกลงกลาวเท็จ ทั้งที่ รูอยูวาเปนเท็จ จะทําไมไดหามีไม. เพราะฉะนั้น ในเรื่องนี้เธอทั้งหลาย พึงสําเหนยกใจไว ี วา “เราทั้งหลายจักไม กลาวมุสาแมแตเพื่อหัวเราะกันเลน” ดังน. ี้ ราหุล! เธอทั้งหลายพึงสําเหนียกใจไวอยางนี้”. “ราหุล! กระจกเงา๑มีไวสําหรับทําอะไร ? “ขาแตพระองคผูเจริญ! กระจกเงามีไวสําหรับสองดูพระเจาขา!” “ราหุล! กรรมทั้งหลายก็เปนสิ่งที่บุคคลควรสอดสองพิจารณาดแลูว ๆ เลา ๆ เสียกอน จึงทําลงไปทางกาย, ทางวาจา, หรือทางใจฉันเดยวกี ับกระจกเงานั้นเหมือนกนั .” ม.ม. ๑๓/๑๒๓/๑๒๖


พุทธวจน ๕๗ งูเปอนคูถ ภิกษุท.! นักบวชชนิดไร ที่ทุก ๆ คนควรขยะแขยงไมควรสมาคมไมควรคบ ไมควรเขาใกล ?  ภิกษุท.! นักบวชบางคนในกรณีนี้เปนคนทุศีล มีความเปนอยูเลวทราม ไมสะอาด มีความประพฤติชนิดที่ ตนเองนึกแลวก็กินแหนงตัวเองมีการกระทาทํ ี่ตองปกปดซอนเรน ไมใชสมณะกปฏ็ ิญญาวาเปนสมณะไมใชคน ประพฤติพรหมจรรยก็ปฏิญญาวาประพฤติพรหมจรรย เปนคนเนาใน เปยกแฉะมสีัญชาตหมิ ักหมมเหมือนบอที่เท ขยะมูลฝอย. ภกษิุท.! นักบวชชนิดนแลที้ี่ทุก ๆ คนควรขยะแขยง ไมควรสมาคม ไมควรคบ ไมควรเขาใกล. ขอนั้น เพราะอะไร ? ภิกษุท.! เพราะเหตวุาถึงแมผูที่เขาใกลชิด จะไมถือเอานกบวชชนัดนิ ี้เปนตัวอยางก็ตาม, แตวา เสียง ล่ําลืออันเสื่อมเสียจะระบือไปวา “คน ๆ นี้มีมิตรเลว มีเพอนทรามื่มีเกลอลามก” ดังนี้. ภิกษุท.! เปรียบเหมือน งูที่ตกลงไปจมอยในหลูุมคูถกัดไมไดกจร็ ิงแล, แตมันอาจทําคนที่เขาไปชวยยกมนั ขึ้นจากหลุมคถใหูเปอนดวยคูถได (ดวยการดิ้นของมัน) นี้ฉันใด. ภิกษุท.! แมผูเขาใกลชิดจะไมถอเอานื ักบวชชนิด นี้เปนตัวอยางก็จริงแล, แตวาเสยงลี่ําลืออันเสื่อมเสียจะระบือไปวา “คน ๆ นี้มีมิตรเลว มีเพื่อนทราม มีเกลอลามก” ดังนี้ฉันนนั้เหมือนกัน. เพราะเหตนุั้น นักบวชชนิดนี้จึงเปนคนที่ทุก ๆ คนควรขยะแขยง ไมควรสมาคม ไมควรคบ ไมควรเขาใกล. ติก. อํ. ๒๐/๑๕๘/๔๖๖ เหตุเจริญและเหตุเส ื่อม แหงทรัพย  ๔ ประการ พยัคฆปชชะ ! ปากทางแหงความเสื่อม ๔ ประการ ของโภคะที่เกิดขนึ้พรอมแลวอยางนี้มีอยูคือ ความ เปนนักเลงหญิง นักเลงสุรา นักเลงการพนนัและมีมตรสหายเพิ ื่อนฝงเลวทรามู พยัคฆปชชะ ! เปรียบเหมือนทางน้ําเขา ๔ ทาง ทางน้ําออก ๔ ทาง ของบึงใหญมีอยู, บุรุษปดทางน้ําเขา เหลานั้นเสียและเปดทางน้ําออกเหลานั้นดวยทั้งฝนก็ไมตกลงมาตามท ี่ควร พยัคฆปชชะ ! เมื่อเปนอยางนั้น ความเหอดแหื งเทาน ั้นที่หวังไดสําหรับบึงใหญนั้น ความเต็มเปยม ไมมี ทางที่จะหวังไดนี้ฉันใด; พยัคฆปชชะ ! ผลที่จะเกิดขนกึ้ ็ฉันนนั้สําหรับโภคะที่เกดขิ ึ้นพรอมแลวอย างนี้ที่มปากทางแห ี งความ เสื่อม ๔ ประการคือความเปนนกเลงหญั ิง เปนนกเลงสัราุเปนนักเลงการพนนัและมีมิตรสหายเพื่อนฝูง เลวทราม. พยัคฆปชชะ ! ปากแหงความเจร ิญ ๔ ประการ ของโภคะที่เกิดขึ้น พรอมแล วอยางนี้มีอยูคือ ความไมเปน นักเลงหญิง ไมเปนนักเลงสราุไมเปนนักเลงการพนนและมั ีมิตรสหายเพื่อนฝงทูี่ดงามี . พยัคฆปชชะ ! เปรียบเหมือนทางน้ําเขา ๔ ทาง ทางน้ําออก ๔ ทาง ของบึงใหญ, บุรุษเปดทางนํ้าเขา เหลานั้นดวย และปดทางน้ําออกเหลานั้นเสีย ทั้งฝนก็ตกลงมาตามที่ควรดวย พยัคฆปชชะ ! เมื่อเปนอย างนนั้ความ เต็มเปยมเทานนทั้ี่หวังไดสําหรับบึงใหญนนั้ความเหือดแหง เปนอ ันไมตองหวัง นี้ฉนใด ั ; พยัคฆปชชะ ! ผลที่จะเกิดขนกึ้ ็ฉันนนั้สําหรับโภคะที่เกดขิ ึ้นพรอมแลวอย างนี้ที่มีปากทางแหงความเจริญ ๔ ประการ คือ ความไมเปนน ักเลงหญิง เปนไมนกเลงสัุรา ไมเปนนักเลงการพนัน และมีมิตร สหายเพื่อนฝูงที่ดี งาม.


วาดวยบทอุปมาอุปไมย ๕๘ พยัคฆปชชะ ! ธรรม ๔ ประการ (ดังที่กลาวแลวขางตน อันเวนเสีย จากอบายมุขสี่และประกอบดวย อบายมุขสี่) เหลานี้แลเปนธรรมเปนไปเพอประโยชน ื่ เกอกืู้ลเพื่อความสุขของกุลบุตรในทิฏฐธรรม. อฏธกฺอํ. ๒๓/๓๙๓/๑๔๔. เร ื่องสัตว  ๓ สหาย ดูกรภิกษุทั้งหลายเรื่องเคยมีมาแล  ว มีต นไทรใหญต  นหนึ่งอยูแถบหิมพานต  สัตว  ๓ สหายคือ นกกระทา, ลิง, ช  าง, อาศัยต นไทรใหญนั้นอยูทงสามสั้ัตว  นั้นมิได เคารพ มิได ยําเกรงกัน มีความ ประพฤติไมกลมเกลียวกนอยัูจึงสัตว  ๓ สหายนั้นปรึกษากันวาโอ พวกเราทําอยางไรจึงจะรูได แนวา บรรดาพวกเราผูใดเปนใหญโดยกําเนดิ พวกเราจะไดสักการะเคารพ นับถือบูชาผู นั้น แลจะได ตั้งอยู ในโอวาทของผู นั้นจึงนกกระทาและลิงถามช  างวา สหายทานจําเรื่องเกาแกอะไรได บ  าง ช  างตอบวา สหายทั้งหลายเมื่อฉันยังเล ็ ก ฉันเดินครอมต นไทรนี้ไวในหวางขาหนีบได ยอดไทรพอระท องฉัน ฉันจําเรื่องเกาได ดังนี้ นกกระทากบชั  างถามลิงวา สหาย ทานจําเรื่องเกาแกอะไรได บ  าง ลงตอบวิ า สหายทั้งหลายเมื่อฉันยังเล ็ ก ฉันนั่งบนพื้นดินเคี้ยวกินยอดไทรนี้ฉันจํา เรื่องเกาได ดังนี้ ลิงและช  างถามนกกระทาวา สหาย ทานจําเรื่องเกาแกอะไรได บ  าง นกกระทาตอบวา สหายทั้งหลายในสถานที่โน นมีต นไทรใหญฉันกินผล จากต นไทร ใหญนั้น แลวได   ถายมูลไว ณ สถานทนี่ี้ต นไทรต นนี้เกิดจากต นไทรใหญ นั้น เพราะฉะนั้น ฉันจึงเปนใหญกวาโดยกําเนิด ลิงกับชางได   กลาวกับนกกระทาวา บรรดาพวกเรา ทานเป นผูใหญกวา โดยกําเนิด พวกเราจักสักการะเคารพ นับถือ บูชาทานและจะตั้งอยูในโอวาทของทาน ดูกรภิกษุทั้งหลาย นกกระทาไดให ลิงกับช  าง สมาทานศีลห  าและตนเอง ก ็ประพฤติ สมาทานในศีลห  า สัตว  ทั้งสามมีความเคารพยําเกรงกัน มีความประพฤติกลมเกลียวกันอยู เบื้องหน  าแตการตายเพราะการทําลายแหงกายไดเข   าถึงสุคติโลกสวรรค ดูกรภิกษุทั้งหลายวัตรจริยานี้ แลได ชื่อวาติตติริยพรหมจรรย  ฯ คนเหลาใด ฉลาดในธรรม ประพฤติออนน  อมตอทานผูใหญ ยอมเป นผู อันมหาชนสรรเสริญ ในปจจุบันนี้ทั้งสัมปรายภพของ คนเหลานั้นเป นสุคติแล ดูกรภิกษุทั้งหลายแท  จริงสัตว  เหลานั้นเป นดิรัจฉาน ยังมีความเคารพ ยําเกรงกัน มีความ ประพฤติกลมเกลียวกันอยูการที่พวกเธอเป นบรรพชิตในธรรม วินัยที่เรากลาวดีแล  วอยางนี้มีความ เคารพยําเกรงกัน มีความประพฤติกลมเกลียวกันอยูนั่นจะพึงงามในธรรมวินัยนี้โดยแท ดูกรภิกษุ


พุทธวจน ๕๙ ทั้งหลายเราอนุญาตการกราบไหว การลุกรับ การทําอัญชลีกรรม การทําสามีจิกรรม อาสนะที่เลิศ น้ํา อันเลิศ บิณฑบาตอันเลิศ ตามลําดับผู แกกวา จุลฺล. วิ. ๗/๗๔/๒๖๒


Click to View FlipBook Version