The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by aliens_nt, 2021-10-14 06:10:33

Steel Design

Steel Design

Keywords: Steel Design,ออกแบบโครงสร้างเหล็ก

บทท่ี 11 การต่อองค์อาคารโดยใช้สลกั เกลียว

กาลงั แบกทาน P  d (2t) Fp  (1.9) 2(1.0)(4.8) 18.2 ตนั ใช้ 2 ตัว
จานวนสลกั เกลียวที่ตอ้ งการ = 20/11.9 = 1.7

องค์อาคาร BC: P = 28 ตนั ใชห้ นา้ ตดั 2Ls909010 สลกั เกลียวรับแรงเฉือนคู่ ควบคุม
กาลงั เฉือนคู่ของสลกั เกลียว A325 ขนาด 19 ม.ม. 1 ตวั ใช้ 3 ตวั

P  2 ( / 4) d 2Fv  2( / 4) (1.9)2(2.1) 11.9 ตนั
กาลงั แบกทาน P  d (2t) Fp  (1.9) 2(1.0)(4.8) 18.2 ตนั
จานวนสลกั เกลียวท่ีตอ้ งการ = 28/11.9 = 2.4

องค์อาคาร BD: P = 8 ตนั ใชห้ นา้ ตดั 1Ls50508 สลกั เกลียวรับแรงเฉือนเดี่ยว ควบคุม
กาลงั เฉือนคู่ของสลกั เกลียว A325 ขนาด 19 ม.ม. 1 ตวั ใช้ 2 ตัว

P ( / 4) d 2Fv  ( / 4) (1.9)2(2.1)  5.95 ตนั
กาลงั แบกทาน P  d t Fp  (1.9)(1.0)(4.8)  9.12 ตนั
จานวนสลกั เกลียวท่ีตอ้ งการ = 8/5.95 = 1.4

องค์อาคาร BE: P = 7 ตนั ใชห้ นา้ ตดั 1Ls50508 สลกั เกลียวรับแรงเฉือนเดี่ยว

กาลงั เฉือนคู่ของสลกั เกลียว A325 ขนาด 19 ม.ม. 1 ตวั

P ( / 4) d 2Fv  ( / 4) (1.9)2(2.1)  5.95 ตนั ควบคุม
กาลงั แบกทาน P  d t Fp  (1.9)(1.0)(4.8)  9.12 ตนั ใช้ 2 ตวั
จานวนสลกั เกลียวท่ีตอ้ งการ = 7/5.95 = 1.2

นาข้อมูลจานวนสลักเกลียวที่ออกแบบมาเขียนแบบรายละเอียดตามระยะห่างและระยะขอบ
มาตรฐานไดด้ งั ในรูป ขนาดของแผ่นเหล็กประกบั จุดต่อเขียนได้โดยลากเส้นเชื่อมระยะทาบท่ีแต่ละองค์
อาคารตอ้ งการ ส่วนความหนาน้นั จะใชเ้ ท่ากบั ความหนามากท่ีสุดขององคอ์ าคารท่ีมาต่อถา้ เป็ นเหล็กชนิด
เดียวกนั ในตวั อยา่ งน้ีคือ 2Ls909010 ดงั น้นั จึงใชแ้ ผน่ เหลก็ หนา 20 ม.ม.

ต่อจากน้ีส่ิงท่ีตอ้ งตรวจสอบคือ ความสามารถในการรับแรงดึงขององคอ์ าคารว่าเพียงพอหรือไม่
เนื่องจากการใชส้ ลกั เกลียวตอ้ งมีการเจาะรูองคอ์ าคารที่ให้พ้ืนท่ีลดลง จึงตอ้ งตรวจสอบกาลงั ของพ้ืนที่สุทธิ
ประสิทธิผล และกาลงั บลอ็ กแรงเฉือนขององคอ์ าคาร

11-14

บทท่ี 11 การต่อองค์อาคารโดยใช้สลกั เกลียว B 2Ls90x90x10 C

A 2Ls75x75x10 Bolt A325x19 mm
Gusset plate 20 mm
1Ls50x50x8 1Ls50x50x8
E
D

ตัวอย่างท่ี 11-6 เหล็กฉากคู่ A36 รับแรงดึง 25 ตนั ดงั ในรูป จงออกแบบขนาดของเหล็กฉาก แผน่ ประกบั
และจานวนสลกั เกลียว A325-N ขนาด 19 มม.(เกลียวอยใู่ นระนาบการเฉือน)

4 cm
3 @ 8 cm

3.5 cm ใช้ 4 ตวั

30 ton

วธิ ีทา ออกแบบสลกั เกลยี ว:
กาลงั ของ A325-N ขนาด 19 ม.ม. หน่ึงตวั รับแรงเฉือนคู(่ ตารางที่ ง.1) = 8.39 ตนั

จานวนสลกั เกลียวที่ตอ้ งการ = 30/8.39 = 3.58
ออกแบบเหลก็ ฉาก:
พ้ืนท่ีหนา้ ตดั ท้งั หมดที่ตอ้ งการ Ag = T / 0.6Fy = 30 / (0.62.5) = 20 ซม.2
ลองใช้ 2L757510 ม.ม. มีพนื้ ที่ 28.2 ซม.2
พ้ืนท่ีสุทธิประสิทธิผล Ae = UAn = 0.85(28.2 - 2(1.9+0.3)(1.0)) = 20.2 ซม.2

11-15

บทท่ี 11 การต่อองค์อาคารโดยใช้สลกั เกลียว

น้าหนกั ที่ยอมให้เน่ืองจากพ้นื ท่ีสุทธิประสิทธิผล = 0.5(4.0)(20.2) = 40.4 ตนั > 30 ตนั OK

ออกแบบแผ่นเหลก็ ประกบั (Gusset Plate): (ควบคุม)
สมมุติใหแ้ ผน่ เหล็กมีความกวา้ ง 25 ซม. ท่ีสลกั เกลียวตวั บนสุด

ความกวา้ งสุทธิ = 25 – 2.2 = 22.8 ซม. > 0.85(25) = 21.25 ซม.
ความหนาท่ีตอ้ งการ(พ้นื ท่ีท้งั หมด) = 30/(25 x 0.6 x 2.5) = 0.8 ซม.
ความหนาที่ตอ้ งการ(พ้ืนที่สุทธิ) = 30/(21.25 x 0.5 x 4.0) = 0.7 ซม.
ใช้แผ่นประกบั หนา 10 ม.ม.

ตรวจสอบกาลงั แบกทานของเหลก็ ฉาก: OK
สาหรับสลกั เกลียววางเรียงห่างกนั 8 ซม. มีระยะขอบ 4 ซม.

กาลงั แบกทานที่ยอมให้ = 1.2Fu = 1.2(4,000) = 4,800 กก./ซม.2
แรงแบกทานท่ีรับได้ = (4.8)(1.0)(1.9)(4) = 36.5 ตนั > 30 ตนั

ตรวจสอบกาลงั บลอ็ กแรงเฉือน:
พ้นื ท่ีรับแรงเฉือน Av = (28 – 3.5  2.2)  1.0  2 = 20.3 ซม.2
พ้ืนท่ีรับแรงดึง At = (3.5 – 0.5  2.2)  1.0  2 = 4.8 ซม.2
แรงตา้ นทานการฉีกออก P = 0.3(4.0)(20.3) + 0.5(4.0)(4.8) = 34.0 ตนั > 30 ตนั OK 

11.10 สลกั เกลยี วภายใต้แรงเฉือนและแรงดึง

สลกั เกลียวในจุดตอ่ ของหลายโครงสร้างอยภู่ ายใตแ้ รงเฉือนและแรงดึงร่วมกระทา กรณีท่ีเห็นไดช้ ดั เจนเป็ น
ดงั แสดงในรูปท่ี 11.11 ซ่ึงเหล็กยดึ โยงถูกยึดติดกบั เสา องคป์ ระกอบแรง 35.8 ตนั พยายามที่จะเฉือนสลกั
เกลียวออกจากผวิ หนา้ เสา ในขณะที่องคป์ ระกอบแรง 71.6 ตนั พยายามจะดึงหวั สลกั เกลียวใหห้ ลุดออก

กาลังรับแรงเฉือนและแรงดึงของสลกั เกลียวแบบแบกทานมีลกั ษณะปฏิสัมพนั ธ์กันดังในรูปท่ี
11.12 เมื่อ Ft คือขีดจากดั ของหน่วยแรงดึงเม่ือไมม่ ีแรงเฉือนเกิดข้ึน และ Fv คือขีดจากดั ของหน่วยแรงเฉือน
เม่ือไม่มีแรงดึงเกิดข้ึน

AISC ใชส้ ูตรปฏิสัมพนั ธ์ในการคานวณ ค่าใหม่ของหน่วยแรงดึงท่ียอมให้ Ft ซ่ึงจะเป็ นฟังชน่ั ของ
หน่วยแรงเฉือนที่เกิดข้ึน fv ดงั แสดงในตารางที่ 11.5

11-16

บทที่ 11 การต่อองค์อาคารโดยใช้สลกั เกลียว

80 ton 35.8 ton
2L150x90x12 mm
1
2 Eight 22 mm.
bolts
71.6 ton

Structural Tee

รูปท่ี 11.11 จุดต่อถูกกระทาโดยแรงเฉือนและแรงดึงร่วมกระทา

ft
Ft

fv
Fv

รูปท่ี 11.12 สลกั เกลียวชนิดมีแรงกดภายใตแ้ รงเฉือนและแรงดึงร่วมกระทา

ตารางท่ี 11.5 หน่วยแรงดึงท่ียอมให้ Ft สาหรับสลกั เกลียวในจุดตอ่ แบกทาน

ชนิดสลกั เกลยี ว เกลยี วอยู่ในระนาบเฉือน เกลยี วไม่อย่ใู นระนาบเฉือน

A307 1820 1.8 fv  1400
A325
30802  4.39 f 2 30802  2.15 f 2
v v

A490 37802  3.75 f 2 37802  1.82 f 2
v v

ตัวอย่างท่ี 11-7 องคอ์ าคารรับแรงดึงดงั ในรูปที่ 11.11 ถูกต่อเขา้ กบั เสาดว้ ยสลกั เกลียว A325 ขนาด 22 ม.
ม. (A = 3.8 ซม.2) จานวน 8 ตวั ในจุดต่อแบบมีแรงกดโดยท่ีเกลียวอยนู่ อกระนาบการเฉือนและรูเจาะเป็ น
ขนาดมาตรฐาน จงตรวจสอบดูวา่ สลกั เกลียวจานวนน้ีสามารถตา้ นทานแรงกระทาไดห้ รือไม่?

11-17

บทที่ 11 การต่อองค์อาคารโดยใช้สลักเกลียว

วธิ ีทา หน่วยแรงเฉือน fv  35.8(1,000)  1,178 ก.ก./ซม.2

(8)(3.8)

หน่วยแรงดึง ft  71.6(1,000)  2,355 ก.ก./ซม.2

(8)(3.8)

หน่วยแรงดึงที่ยอมให้ Ft  3,0802  2.151,1782  2,550  2,355 ก.ก./ซม.2 OK

จุดต่อสามารถรับนา้ หนักบรรทกุ ได้ 

11-18

บทที่ 11 การต่อองค์อาคารโดยใช้สลักเกลียว

ปัญหาท้ายบทท่ี 11

เว้นแต่จะกาหนดมา ให้ใช้รูเจาะมาตรฐาน และระยะห่างและระยะขอบเป็นไปตามข้อกาหนด AISC เพื่อให้

Fp =1.2Fu

ข้อ 11-1 ถึง 11-5 จงพิจารณาแรงดึงท่ียอมให้ขององค์อาคารและจุดต่อดังแสดงในรูป สมมุติว่าเป็ นการต่อ
แบบมีแรงแบกทาน

PP

PL19x300mm PL19x300mm
P
P

11-1 เหล็ก A36 สลกั เกลียว A325 ขนาด 22 ม.ม. เกลียวอยนู่ อกระนาบเฉือน
11-2 เหล็ก A36 สลกั เกลียว A325 ขนาด 19 ม.ม. เกลียวอยนู่ อกระนาบเฉือน
11-3 เหล็ก A36 สลกั เกลียว A325 ขนาด 25 ม.ม. เกลียวไม่อยนู่ อกระนาบเฉือน
11-4 เหล็ก A572 สลกั เกลียว A490 ขนาด 25 ม.ม. เกลียวอยนู่ อกระนาบเฉือน
11-5 เหล็ก A572 สลกั เกลียว A490 ขนาด 19 ม.ม. เกลียวไม่อยนู่ อกระนาบเฉือน
ข้อ 11-6 ถึง 11-10 จงพิจารณาแรงดึงท่ียอมให้ขององค์อาคารและจุดต่อดังแสดงในรูป สมมตุ ิว่าจุดต่อเป็ น
แบบมีแรงแบกทาน

PP

PL22x300mm PL12x300mm P/2
P PL12x300mm P/2

11-19

บทท่ี 11 การต่อองค์อาคารโดยใช้สลกั เกลียว

11-6 เหล็ก A36 สลกั เกลียว A325 ขนาด 22 ม.ม. เกลียวไมอ่ ยนู่ อกระนาบเฉือน

11-7 เหล็ก A36 สลกั เกลียว A325 ขนาด 22 ม.ม. เกลียวอยนู่ อกระนาบเฉือน

11-8 เหล็ก A36 สลกั เกลียว A325 ขนาด 19 ม.ม. เกลียวไม่อยนู่ อกระนาบเฉือน

11-9 Fy = 3,500 กก./ซม.2 Fu = 4,900 กก./ซม.2 สลกั เกลียว A325 ขนาด 25 ม.ม. เกลียวอยนู่ อกระนาบ
เฉือน

11-10 Fy = 3,500 กก./ซม.2 Fu = 4,900 กก./ซม.2 สลกั เกลียว A490 ขนาด 19 ม.ม. เกลียวอยนู่ อก
ระนาบเฉือน

ข้อ 11-11 ถึง 11-13 ต้องการสลักเกลียวก่ีตวั สาหรับจุดต่อดงั แสดงในรูป

PL16mm

PL16mm 60 ton

60 ton

11-11 เหล็ก A36 สลกั เกลียว A325 ขนาด 19 ม.ม. เกลียวอยนู่ อกระนาบเฉือน

11-12 Fy = 3,500 กก./ซม.2 Fu = 4,900 กก./ซม.2 สลกั เกลียว A325 ขนาด 22 ม.ม. เกลียวอยนู่ อก
ระนาบเฉือน

11-13 เหลก็ A36 สลกั เกลียว A325 ขนาด 25 ม.ม. เกลียวไม่อยนู่ อกระนาบเฉือน
ข้อ 11-14 ถึง 11-16 ต้องการสลักเกลียวกี่ตวั สาหรับจุดต่อดงั แสดงในรูป

50 ton PL12mm PL19mm
50 ton PL12mm
100 ton

11-14 เหล็ก A36 สลกั เกลียว A325 ขนาด 22 ม.ม. เกลียวอยนู่ อกระนาบเฉือน

11-15 เหล็ก A36 สลกั เกลียว A325 ขนาด 19 ม.ม. เกลียวไม่อยนู่ อกระนาบเฉือน

11-16 Fy = 3,500 กก./ซม.2 Fu = 4,900 กก./ซม.2 สลกั เกลียว A325 ขนาด 22 ม.ม. เกลียวอยนู่ อก
ระนาบเฉือน

11-17 ตอ้ งการสลกั เกลียว A325 ขนาด 19 ม.ม. ก่ีตวั (เกลียวอยนู่ อกระนาบเฉือน)ในจุดต่อแบบมีการแบก
ทาน เพ่ือใหไ้ ดค้ วามสามารถเตม็ ที่ของหนา้ ตดั ดงั แสดงในรูป? สมมุติวา่ ใชเ้ หล็ก A36 และมีสลกั เกลียวสอง
แถวในแต่ละปี ก(อยา่ งนอ้ ยสามตวั ในแต่ละแถว)

11-20

บทที่ 11 การต่อองค์อาคารโดยใช้สลกั เกลียว

PL19x400mm
P/2 W450x106

P

P/2
PL19x400mm

11-18 ทาปัญหาท่ี 11-17 ซ้าโดยใชส้ ลกั เกลียว A490 ขนาด 22 ม.ม. และเหล็ก A572
11-19 สาหรับคานดงั แสดงในรูป ระยะห่างของสลกั เกลียว A325 ขนาด 22 ม.ม.แบบมีแรงแบกทานท่ี
ตอ้ งการเทา่ กบั เทา่ ไหร่ ถา้ หนา้ ตดั ตอ้ งแรงเฉือน 90 ตนั ? ใชเ้ หล็ก A36 เกลียวอยนู่ อกระนาบเฉือน

PL25x300

W600x120

PL25x300

11-20 หนา้ ตดั หุม้ แผน่ เหล็กดงั แสดงในรูปถูกใชร้ องรับน้าหนกั แผ่ 20 ตนั /เมตร(รวมน้าหนกั คาน)สาหรับ
คานช่วงเด่ียว 5.5 เมตร ถา้ ใชส้ ลกั เกลียว A325 ขนาด 22 ม.ม.ดงั แสดง จงหาระยะห่างสลกั เกลียว s ของท้งั
ช่วงคาน สมมุติวา่ แผน่ เหลก็ หุม้ ถูกใชท้ ้งั ช่วงคาน ใชเ้ หล็ก A36 เกลียวอยนู่ อกระนาบเฉือน

PL8x400

W700x185 s

PL8x400

11-21 สาหรับหนา้ ตดั ดงั แสดงในรูป จงพิจารณาระยะห่างที่ตอ้ งการของสลกั เกลียว A490 ขนาด 19 ม.ม.
แบบมีแรงแบกทาน ถา้ องคอ์ าคารทาดว้ ยเหลก็ A572 แรงเฉือนเทา่ กบั 100 ตนั เกลียวอยนู่ อกระนาบเฉือน

11-21

บทที่ 11 การต่อองค์อาคารโดยใช้สลักเกลียว

L150x100x19mm

6 cm

PL12x1200 120 cm
108 cm

6 cm

L150x100x19mm

11-22 สาหรับแรงเฉือน 180 ตนั จงพิจารณาระยะห่างท่ีตอ้ งการของสลกั เกลียว A325 ขนาด 19 ม.ม. ท่ีเอว
คานเป็นแบบมีแรงแบกทานของหนา้ ตดั ประกอบดงั แสดงในรูป เกลียวอยนู่ อกระนาบการเฉือน

PL20x500mm

L200x200x16mm 7.5 cm
7.5 cm

PL16x1350mm 110 cm 140 cm

Bolts are not 7.5 cm
staggered 7.5 cm

11-23 องคอ์ าคารโครงถกั ดงั แสดงในรูปประกอบดว้ ยหนา้ ตดั รางน้า C3009038.1 สองหนา้ ตดั ทาดว้ ย
เหล็ก A36 ตอ่ เขา้ กบั แผน่ ปะกบั หนา 2.5 ซม. ตอ้ งการสลกั เกลียว A325 ขนาด 22 ม.ม. ก่ีตวั เพ่ือใหไ้ ดก้ าลงั
รับแรงดึงขององคอ์ าคารเตม็ ที่เมื่อ (ก) ใชจ้ ุดต่อแบบมีแรงเสียดทาน และ(ข)ใชจ้ ุดต่อแบบมีแรงแบกทาน?
เกลียวอยนู่ อกระนาบการเฉือน

PP

11-24 ทาปัญหา 11-23 ซ้าโดยใชส้ ลกั เกลียว A490 ขนาด 25 ม.ม. และเหลก็ A36

11-22

บทท่ี 11 การต่อองค์อาคารโดยใช้สลักเกลียว

11-25 สาหรับจุดต่อแบบมีแรงแบกทานดงั แสดงในรูป P เทา่ กบั 240 ตนั จงพจิ ารณาจานวนของสลกั เกลียว
A325 ขนาด 25 ม.ม. (เกลียวอยนู่ อกระนาบเฉือน) ท่ีตอ้ งการ ใชเ้ หล็ก A36

PL22x400mm PL16x400mm

P/3
P/2

P/3
P/2

P/3

11-26 ทาปัญหา 11-25 ซ้าโดยใชส้ ลกั เกลียว A490 ขนาด 22 ม.ม. และเหลก็ A572

11-27 จงพิจารณาน้าหนกั บรรทุกท่ียอมให้ของจุดต่อดงั แสดงในรูป ถา้ เหล็กที่ใช้เป็ น A36 และใชส้ ลกั
เกลียว A325 ขนาด 22 ม.ม. จานวน 8 ตวั ต่อแบบมีแรงแบกทาน (เกลียวอยนู่ อกระนาบการเฉือน) บนปี ก

แต่ละขา้ ง คิดบลอ็ กแรงเฉือนในการคานวณดว้ ย

5 cm 3 @ 8 cm = 24 cm 5 cm

P 14 cm P

PL19x350mm W500x103

PL19x350mm

11-28 ทาปัญหา 11-27 ซ้าโดยใชเ้ หล็ก A572 และสลกั เกลียว A325 ขนาด 25 ม.ม. แบบมีแรงแบกทาน
11-29 จุดต่อแบบแบกทานดงั แสดงในรูปมีกาลงั เพียงพอในการรองรับน้าหนกั บรรทุก 40 ตนั กระทาผา่ น
ศนู ยถ์ ่วงกลุ่มสลกั เกลียวหรือไม่?

11-23

บทท่ี 11 การต่อองค์อาคารโดยใช้สลกั เกลียว

P = 40 ton
3
4

Eight 19mm A325

11-30 ทาซ้าปัญหาท่ี 11-29 โดยใชส้ ลกั เกลียวแบบมีแรงเสียดทาน และ P = 30 ตนั
11-31 ถา้ น้าหนกั บรรทุกดงั แสดงในรูปกระทาผา่ นศูนยถ์ ่วงกลุ่มสลกั เกลียว ค่ามากท่ีสุดของน้าหนกั ท่ียอม
ใหจ้ ะเป็นเท่าไรถา้ ใชก้ ารตอ่ แบบมีแรงแบกทาน?

P
1
2

Ten 22mm A409

11-32 ทาซ้าปัญหาที่ 11-31 โดยใชส้ ลกั เกลียว A325
11-33 จงพิจารณาจานวนของสลกั เกลียว A325 ขนาด 22 ม.ม. ที่ตอ้ งการในเหล็กฉากและปี กของหนา้ ตดั
W ถา้ ใชก้ ารต่อแบบแบกทาน

P = 60 ton
2L125x90x13 W450x106

3
4

22 mm PL
2 vertical rows
of bolts

11-24

บทที่ 12 การต่อองค์อาคารโดยใช้สลกั เกลียว (ต่อ)

12

การตอ่ องคอ์ าคารโดยใชส้ ลกั เกลียว (ตอ่ )

12.1 สลกั เกลยี วภายใต้แรงเฉือนเยอื้ งศูนย์

กลุ่มของสลักเกลียวท่ีรับน้ าหนักบรรทุกแบบเย้ืองศูนย์จะถูกกระทาโดยแรงเฉือนและโมเมนต์ดัด
ตวั อยา่ งเช่นในโครงถกั ซ่ึงตอ้ งการใหศ้ ูนยถ์ ่วงขององคอ์ าคารอยใู่ นแนวเดียวกบั ศูนยถ์ ่วงของกลุ่มสลกั เกลียว
ที่จุดต่อปลาย แต่ในความเป็ นจริงการต่อเพ่ือให้เป็ นไปตามเงื่อนไขดงั กล่าวไม่ใช่เรื่องง่าย และจุดต่อมกั จะ
ถูกกระทาโดยโมเมนต์

(a) (b)

รูปท่ี 12.1 จุดต่อรับน้าหนกั บรรทุกเย้ืองศูนย์
การเย้อื งศูนยจ์ ะเห็นไดช้ ดั ในรูปที่ 12.1(a) เมื่อคานถูกต่อเขา้ กบั เสาโดยใชแ้ ผน่ เหล็ก ในรูป (b) คาน
อีกตวั ถูกเชื่อมต่อกบั เสาด้วยเหล็กฉากคู่ท่ีเอวคาน เห็นได้ชัดว่าจุดต่อจะต้องตา้ นทานโมเมนต์บางส่วน
เนื่องจากศนู ยถ์ ่วงของน้าหนกั บรรทุกจากคานไม่อยใู่ นแนวเดียวกบั แรงปฎิกริยาที่เสา
การวเิ คราะห์แบบอลี าสตกิ (Elastic Analysis)
สลกั เกลียวในรูปท่ี 12.2(a) อย่ภู ายใตน้ ้าหนกั บรรทุก P ซ่ึงกระทาท่ีระยะเย้ืองศูนย์ e จากศูนยถ์ ่วง (c.g.)
ของกลุ่มสลกั เกลียว จากน้นั สมมุติแรง P ในทิศข้ึนและลงมากระทาท่ีศูนยถ์ ่วงดงั แสดงในรูป (b) แรงท่ี

12-1

บทที่ 12 การต่อองค์อาคารโดยใช้สลักเกลียว (ต่อ)

เกิดข้ึนในสลกั เกลียวแต่ละตวั จะเท่ากบั แรง P หารดว้ ยจานวนสลกั เกลียวดงั ในรูป (c) บวกกบั แรงท่ีเกิดข้ึน
จากโมเมนตค์ ู่ควบในรูป (d)

eP eP

P

c.g. c.g.

P

(a) (b)
eP

P

c.g. c.g.

P

(c) (d)

รูปที่ 12.2 กลุ่มของสลกั เกลียวภายใตแ้ รงกระทาเย้อื งศูนย์

ลองมาพิจารณาแรงในสลกั เกลียวอนั เนื่องมาจากโมเมนต์ Pe ใหค้ ่า d1, d2, d3 และ d4 แทนระยะห่าง
ของสลกั เกลียวแต่ละตวั จากจุดศูนยถ์ ่วงดงั ในรูปที่ 12.3 โมเมนตจ์ ากแรงคู่ควบจะพยายามทาให้แผน่ เหล็ก
เกิดการหมุนรอบจุดศูนยถ์ ่วงของกลุ่มสลกั เกลียว โดยที่ระยะการเคล่ือนตวั จากการหมุนของสลกั เกลียวแต่
ละตวั จะเป็ นสัดส่วนกบั ระยะห่างจากศูนยถ์ ่วงของสลกั เกลียวตวั น้นั ๆ ยง่ิ อยหู่ ่างจากศูนยถ์ ่วงก็จะเคล่ือนตวั
มากข้ึนซ่ึงทาใหเ้ กิดหน่วยแรงมากข้ึนดว้ ย เน่ืองจากหน่วยแรงจะแปรผนั ตามหน่วยการยดื หดในช่วงอีลาสติก

จากการหมุนสมมุติวา่ เกิดแรง r1, r2, r3 และ r4 ข้ึนในสลกั เกลียวแต่ละตวั ดงั ในรูป โมเมนตท์ ี่จะถูก
ถ่ายเทลงสู่สลกั เกลียวจะตอ้ งถูกสมดุลโดยโมเมนตต์ า้ นทานของสลกั เกลียว

M c.g.  Pe  r1d1  r2d2  r3d3  r4d4 (12.1)

12-2

บทท่ี 12 การต่อองค์อาคารโดยใช้สลกั เกลียว (ต่อ)

e P
r1

d4 d1 r2
r4 d3 d2

r3

รูปที่ 12.3 การหมุนของจุดต่ออนั เป็นผลมาจากโมเมนต์
แรงในสลกั เกลียวแต่ละตวั ถูกสมมุติใหแ้ ปรผนั โดยตรงกบั ระยะทางจากจุดศนู ยถ์ ่วง

r1  r2  r3  r4 (12.2)
d1 d2 d3 d4 (12.3)

และเมื่อเขียนคา่ r แต่ละตวั ในรูปของ r1 และ d1

r1  r1d1 r2  r1d 2 r3  r1d 3 r4  r1d 4
d1 d1 d1 d1

แทนค่าเหล่าน้ีลงในสมการที่ (12.1) และทาใหอ้ ยใู่ นรูปง่าย

M  r1d12  r1d 2  r1d 2  r1d 2
2 3 4

d1 d1 d1 d1 (12.4)
(12.5)
  r1 d12  d 2  d 2  d 2
d1 2 3 4

ดงั น้นั M  r1  d 2

d1

แรงที่เกิดข้ึนในสลกั เกลียวแต่ละตวั จะเทา่ กบั

r1  Md1 , r2  Md 2 , r3  Md3 , r4  Md 4 (12.6)

d2 d2 d2 d2

แรง r แต่ละแรงจะมีทิศทางต้งั ฉากกบั เส้นที่ลากจากจุดศูนยถ์ ่วงถึงสลกั เกลียวน้นั ๆ ซ่ึงจะเป็ นการ
สะดวกกวา่ ที่จะแตกแรงใหอ้ ยใู่ นแนวด่ิงและแนวราบ (ดูรูปที่ 12.4)

12-3

บทท่ี 12 การต่อองค์อาคารโดยใช้สลักเกลียว (ต่อ)

r1 V

H
d1

v

c.g.

h

รูปท่ี 12.4

องคป์ ระกอบในแนวราบและแนวดิ่งของระยะ d1 คือ h และ v ตามลาดบั และองคป์ ระกอบใน
แนวด่ิงและแนวราบของแรง r1 คือ H และ V ตามลาดบั ดงั น้นั จึงสามารถหาคา่ H ไดจ้ ากอตั ราส่วน

r1  H (12.7)
d1 v

H  r1v   Md1  v   Mv (12.8)
d1 d1
d2 d2

ดว้ ยวธิ ีการท่ีคลา้ ยกนั V จะมีคา่ เท่ากบั

V  Mh (12.9)

d2

ตัวอย่างท่ี 12-1 จงพิจารณาแรงในสลกั เกลียวท่ีมากท่ีสุดในกลุ่มท่ีแสดงในรูป โดยใชว้ ิธีการวิเคราะห์แบบอี
ลาสติก

15 cm P = 12 ton

10 cm
10 cm
10 cm

10 cm

12-4

บทท่ี 12 การต่อองค์อาคารโดยใช้สลกั เกลียว (ต่อ)

วธิ ีทา สลกั เกลียวแตล่ ะตวั และแรงที่กระทาต่อมนั โดยตรงและจากโมเมนตถ์ ูกแสดงไวแ้ ผนภูมิวตั ถุอิสระ ซ่ึง
จะเห็นไดว้ า่ สลกั เกลียวตวั ขวาบนสุดและตวั ขวาล่างสุดจะมีหน่วยแรงมากท่ีสุดและเทา่ กนั

ระยะเย้อื งศูนยจ์ ากศนู ยก์ ลางกลุ่มสลกั เกลียวถึงแนวแรงคือ

e = 15 + 5 = 20 ซม.

โมเมนต์ M = Pe = (12)(20) = 240 ตนั -ซม.

ผลรวมระยะกาลงั สอง  d2   h2  v2

 d 2  8(5)2  4(52 152 )  1, 200 ซม.2

V องคป์ ระกอบแรงในแนวราบ:
P/8 P/8

H2 H2 H1  Mv  240(5)  1.0 ตนั
d2 1, 200
V
V P/8 H2  Mv  240(15)  3.0 ตนั
P/8 d2 1, 200

H1 H1 องคป์ ระกอบแรงในแนวด่ิง:

V Mh 240(5) ตนั
V d2 1, 200

P/8 P/8

H1 H1 V    1.0
V
V แรงเฉลี่ยโดยตรงจากแรง P ลงสลกั เกลียวท้งั 8 ตวั
P/8 P/8

H2 H2 P/8 = 12/8 = 1.5 ตนั

V

แรงลพั ธ์ในสลกั เกลียวตวั ขวาล่างสุด (เทา่ กบั ตวั ขวาบนสุด) จะเทา่ กบั

r H 2  (V  P / 8)2  3.02  (1.0 1.5)2  3.9 ตนั 
2

ตัวอย่างท่ี 12-2 จงพิจารณาแรง P มากที่สุดที่แป้ นหูชา้ งดงั ในรูปสามารถรองรับได้ เสาและแป้ นหูชา้ งทา
ดว้ ยเหล็ก A36 ใชส้ ลกั เกลียว A325 ขนาด 22 ม.ม. ในรูเจาะมาตรฐาน เกลียวอยใู่ นระนาบเฉือน โดยใช้
วธิ ีการวเิ คราะห์แบบอิลาสติก

12-5

บทท่ี 12 การต่อองค์อาคารโดยใช้สลกั เกลียว (ต่อ)

e = 40 cm P
16 cm

Critical bolts

5 @ 8 cm

วธิ ีทา

1. โมเมนต์ M = Pe = 40P ตนั -ซม. (เม่ือ P มีหน่วยเป็ น ตนั )

2. ผลรวมระยะกาลงั สองจากจุดศูนย์ถ่วง

 h2  12(8)2  768 ซม.2

 v2  4(4)2  4(12)2  4(20)2  2, 240 ซม.2

 d 2   h2  v2  768  2, 240  3,008 ซม.2

3. องค์ประกอบแรงทส่ี ลกั เกลยี ววกิ ฤต ซ่ึงจากการพจิ ารณาจะเป็นตวั ล่างสุดและบนสุดทางดา้ นขวา

H  Mv  40P(20)  0.266P ตนั
d2 3, 008

V  Mh  40P(8)  0.106P ตนั
d2 3, 008

P/12 = 0.083P ตนั

4. แรงลพั ธ์ในสลกั เกลยี ววกิ ฤต

r  H 2  (V  P /12)2  P 0.2662  (0.106  0.083)2  0.326P ตนั

จากตาราง ง.1 สลกั เกลียว A325 ขนาด 22 ม.ม. รูเจาะมาตรฐาน เกลียวอยใู่ นระนาบเฉือน รับการเฉือนเดี่ยว
ไดต้ วั ละ 5.63 ตนั ดงั น้นั

0.326P = 5.63 ตนั

12-6

บทที่ 12 การต่อองค์อาคารโดยใช้สลักเกลียว (ต่อ)

น้าหนกั มากที่สุด P = 17.3 ตนั 

12.2 สูตรออกแบบสลกั เกลยี วหนึ่งแถวรับโมเมนต์

เป็ นสูตรอยา่ งง่ายที่ใชใ้ นการพิจารณาจานวนสลกั เกลียวท่ีตอ้ งการเพื่อรับน้าหนกั บรรทุกเย้ืองศูนย์ ในรูปท่ี
12.5 แสดงสลักเกลียวแถวหน่ึงจานวน n ตัววางห่างเป็ นระยะเท่าๆกัน ดังน้ันตามสมการที่ (12.5),
R  Md /(Σd2) แรงที่เกิดข้ึนจะแปรผนั เป็ นเส้นตรงดงั ในรูปท่ี 12.5

สมมุติวา่ R คือแรงท่ีสลกั เกลียวตวั นอกสุดซ่ึงเทียบเท่ากบั ผลของหน่วยแรงบนพ้ืนท่ีตา้ นทานบน
ระยะ p ซ่ึงเราอาจกาหนดเป็นคา่ เฉลี่ยของน้าหนกั บรรทุกต่อหน่วยความยาวท่ีสลกั เกลียวตวั นอกคือ R/p

โดยใชก้ ฎสามเหลี่ยมคลา้ ย แรงต่อหน่วยความยาวท่ีผวิ นอกสุดคือ

Extreme fiber value  R  n n 1  (12.10)
p    (12.11)

แรงดึงคือพ้ืนท่ีสามเหลี่ยมรูปบนมีคา่ เทา่ กบั

T  1  np  R  n n 1   Rn2
2 2 p   4(n 1)

R  n 
p  n 1

R/p f R
T pA

Typ. p

(n – 1) space @ p 2 np np หน้าตดั ต้านทานโดย
3 กระจายสลกั เกลยี ว
แบบสม่าเสมอ

M

C

(f )(width)  R A  R A
Ap p p

รูปท่ี 12.5 โมเมนตก์ ระทาบนสลกั เกลียวหน่ึงแถว

โมเมนตต์ า้ นทานมีค่าเท่ากบั M  T 2 np เม่ือแทนคา่ T จากสมการ (12.11) จะได้
3

12-7

บทท่ี 12 การต่อองค์อาคารโดยใช้สลักเกลียว (ต่อ)

M  Rn2  2 np   Rn3 p (12.12)
4(n 1)  3  6(n 1)

แกส้ มการ (12.12) สาหรับ n2 จะได้

n  6M  n 1  6M (12.13)
Rp  n  Rp

ซ่ึงเป็นสูตรที่ใชส้ าหรับการออกแบบ

เนื่องจากสมการ (12.13) ไดจ้ ากเพียงโมเมนตก์ ระทากบั สลกั เกลียวหน่ึงแถว ในการใชง้ านอาจตอ้ ง
ปรับคา่ R เพื่อคิดผลของการเฉือนทางตรงหรือสาหรับสลกั เกลียวมากกวา่ หน่ึงแถว เม่ือกาหนดจานวนสลกั
เกลียวไดแ้ ลว้ ใหท้ าการตรวจสอบกาลงั สลกั เกลียวตามข้นั ตอนอีกคร้ัง

ตัวอย่างที่ 12-3 พิจารณาจานวนท่ีตอ้ งการของสลกั เกลียว A325 ขนาด 22 ม.ม. สาหรับสลกั เกลียวหน่ึง
แถวในรูปขา้ งล่าง กาหนดใหจ้ ุดต่อเป็นแบบรับแรงแบกทานและเกลียวอยใู่ นระนาบการเฉือน

20 ton

15 cm

(n – 1) @ 10 cm Angle 6 mm
thick

12 mm
plate

วธิ ีทา

1. กาลงั ของสลกั เกลยี ว A325-N ขนาน 22 ม.ม. หน่ึงตัว

กาลงั เฉือนคู่ : R = 2(/4)(2.2)2(2.1) = 15.97 ตนั

กาลงั แบกทาน : R = 1.2(2.2)(1.2)(4.0) = 12.67 ตนั ควบคุม

2. ประมาณจานวนสลกั เกลยี วทตี่ ้องการ

n  6M  6  20 15  3.77
Rp 12.67 10

เน่ืองจากค่า R ที่ใชใ้ นการคานวณยงั ไม่รวมผลของการเฉือนทางตรง ดงั น้นั ลองใชส้ ลกั เกลียว 4 ตวั
3. ตรวจสอบกาลงั ของกล่มุ สลกั เกลยี ว

12-8

บทท่ี 12 การต่อองค์อาคารโดยใช้สลกั เกลียว (ต่อ)

20 ton โมเมนต์ : M = 20(15) = 300 ตนั -ซม.

15 cm

d2 = v2 = 2(5)2 + 2(15)2 = 500 ซม.2

องคป์ ระกอบแรงจากโมเมนต์ :

4 - A325-N Rx  Mv  300(15)  9.0 ตนั
3 @ 10 cm Σd 2 500

12 mm องคป์ ระกอบแรงจากการเฉือนตรง :
plate

Rs = 20/4 = 5.0 ตนั

แรงลพั ธ์ในสลกั เกลียวตวั นอกสุด : R  9.02  5.02  10.3 ตนั < [ 12.67 ตนั ] OK 

ตัวอย่างที่ 12-4 พิจารณาจานวนที่ตอ้ งการของสลกั เกลียว A325 ขนาด 19 ม.ม. ในรูเจาะมาตรฐานสาหรับ
แผน่ หูชา้ งดงั ในรูขา้ งล่าง สมมุติวา่ ใชส้ ลกั เกลียวสี่แถว กาหนดให้จุดต่อเป็ นแบบรับแรงแบกทานและเกลียว
อยใู่ นระนาบการเฉือน

24 ton 24 ton

40 cm

8
8
8
8

12 mm plate on each
flange

8 14 8

วธิ ีทา

1. กาลงั ของสลกั เกลยี ว A325-N ขนาน 19 ม.ม. หนึ่งตัว

กาลงั เฉือนเดี่ยว : R = (/4)(1.9)2(2.1) = 5.95 ตนั ควบคุม

กาลงั แบกทาน : R = 1.2(1.9)(1.2)(4.0) = 10.94 ตนั

2. ประมาณจานวนสลกั เกลยี วทตี่ ้องการ

แผน่ หูชา้ งแต่ละแผน่ รับน้าหนกั คร่ึงหน่ึง : P = 24/2 = 12 ตนั

น้าหนกั บรรทุกในแต่ละแถวสลกั เกลียว : P/4 = 12/4 = 3 ตนั ต่อหน่ึงแถว

12-9

บทท่ี 12 การต่อองค์อาคารโดยใช้สลกั เกลียว (ต่อ)

n  6M  6  3 40  3.89
R p 5.95 8

เน่ืองจากค่า R ที่ใชใ้ นการคานวณยงั ไมร่ วมผลของการเฉือนทางตรง ดงั น้นั ลองใชส้ ลกั เกลียว 4 ตวั

3. ตรวจสอบกาลงั ของกล่มุ สลกั เกลยี ว

40 cm 12 ton โมเมนต์ : M = 12(40) = 480 ตนั -ซม.
h2 = 8(7)2 + 8(15)2 = 2,192 ซม.2

v2 = 8(4)2 + 8(12)2 = 1,280 ซม.2

8 d2 = h2 + v2 = 2,192 + 1,280 = 3,472 ซม.2

8 องคป์ ระกอบแรงจากโมเมนต์ :

8

Rx  Mv  480(12)  1.66 ตนั 
Σd 2 3,472

8 14 8 Ry  Mh  480(15)  2.07 ตนั 
Σd 2 3,472

องคป์ ระกอบแรงจากการเฉือนตรง : Rs = 12/16 = 0.75 ตนั 

แรงลพั ธ์ในสลกั เกลียวตวั นอกสุด : R  1.662  (2.07  0.75)2  3.27 ตนั < [ 5.95 ตนั ] OK 

12.3 สลกั เกลยี วภายใต้แรงเฉือนและแรงดงึ เยอื้ งศูนย์

เม่ือน้าหนกั เย้ืองศูนยอ์ ยนู่ อกระนาบสลกั เกลียวดงั ในรูปท่ี 12.6 ส่วนบนของจุดต่อจะถูกดึงแยกออกจากปี ก
เสา และส่วนล่างจะถูกอดั เขา้ หาปี กเสา ดงั น้นั สลกั เกลียวท่ีอยสู่ ่วนบนจะรับแรงดึง โดยแรงดึงจะลดลงจน
เป็นศูนยท์ ่ีแกนสะเทินของกลุ่มสลกั เกลียว จากน้นั จึงกลางเป็นแรงอดั ในส่วนล่างตอ่ ไป

eP

N.A.

รูปที่ 12.6 จุดตอ่ แป้ นหูชา้ งรับแรงกระทาเย้อื งศูนย์

12-10

บทท่ี 12 การต่อองค์อาคารโดยใช้สลกั เกลียว (ต่อ)

นอกจากน้นั สลกั เกลียวยงั คงตอ้ งรับแรงเฉือนเฉลี่ยในแนวดิ่งเช่นเดิม ดงั น้นั สลกั เกลียวจึงถูกแรง
เฉือนและแรงดึงร่วมกระทา หน่วยแรงเฉือนในสลกั เกลียวจากการเฉือนโดยตรงหาไดจ้ าก

fv  P (12.14)
nA

เม่ือ P = น้าหนกั บรรทุกท้งั หมดของหูชา้ ง
n = จานวนสลกั เกลียวท้งั หมด
A = พ้ืนที่หนา้ ตดั ของสลกั เกลียวหน่ึงตวั

สาหรับหน่วยแรงดึงจะสมมุติวา่ มีค่าเป็ นศูนยท์ ี่แกนสะเทินแลว้ เพ่ิมข้ึนเป็ นเส้นตรงมีค่ามากที่สุดท่ี
สลกั เกลียวตวั บนสุด ซ่ึงคานวณไดโ้ ดยใชส้ ูตรการดดั :

ft  Mc  Pec (12.15)
I I

เม่ือ e = ระยะเย้อื งศูนยจ์ ากผวิ เสา

M = Pe c = ระยะจากแกนสะเทินถึงสลกั เกลียวตวั นอกสุด

รูปท่ี 12.7 หน่วยแรงจากโมเมนต์ I = โมเมนตอ์ ินเนอร์เชียกลุ่มสลกั เกลียวรอบแกนสะเทิน

ตวั อย่างท่ี 12-5 ตรวจสอบจุดต่อแบบมีแรงแบกทานในรูปที่ 12.6 หูชา้ งท่ีทาจากเหล็ก A36 ถูกต่อโดยใช้
สลกั เกลียว A325-N ขนาด 22 ม.ม. ติดกบั ปี กเสา หูชา้ งรับน้าหนกั บรรทุก 12 ตนั ห่างจากปี กเสา 30 ซม.
ระยะห่างในแนวดิ่งระหวา่ งสลกั เกลียว 8 ซม. และระยะห่างในแนวราบ 10 ซม.

P

วธิ ีทา

8 cm 1. โมเมนต์อนิ เนอร์เชียของสลกั เกลยี ว

8 cm I = ( Ad 2 )

8 cm I = 3.8 [4(4)2 + 4(12)2] = 2,432 ซม.4
หน่วยแรงดึงที่ยอมของ A325-N = 3,100 ก.ก./ซม.2

10 cm

2. หน่วยแรงดึงทเ่ี กดิ ขนึ้ ในสลกั เกลยี วตวั บนสุด

ft  Pec  (12, 000)(30)(12)  1, 776 ก.ก./ซม.2 < 3,100 ก.ก./ซม.2 OK
I 2, 432

3. หน่วยแรงเฉือนทยี่ อมให้ ของ A325-N Fv = 1,480 ก.ก./ซม.2 หน่วยแรงเฉือนท่ีเกิดข้ึนในสลกั เกลียวคือ

12-11

บทท่ี 12 การต่อองค์อาคารโดยใช้สลกั เกลียว (ต่อ)

fv  12, 000  395 ก.ก./ซม.2 < 1,480 ก.ก./ซม.2 OK
(8)(3.8) OK 

ตรวจสอบหน่วยแรงดึงท่ียอมใหโ้ ดยใชส้ มการปฏิสัมพนั ธ์ (จากตารางที่ 11.5):

Ft  3, 0802  4.39 fv2

 3,0802  4.393952  2,967 ก.ก./ซม.2 > 1,776 ก.ก./ซม.2

ตัวอย่างท่ี 12-6 สาหรับจุดต่อแป้ นหูชา้ งและเสาในรูปขา้ งล่าง จงพจิ ารณาจานวนสลกั เกลียว A325 ขนาด
22 ม.ม. ใชร้ ะยะห่างสลกั เกลียว 7.5 ซม.

20 cm P = 28 ton วธิ ีทา 1. กาลงั เฉือนเดี่ยวของสลกั เกลยี ว :
Ab = (/4)(2.2)2 = 3.8 ซม.2

7.5 cm pitch
p(n – 1)
R = 3.8(1.48) = 5.63 ตนั

np

2. กาลงั รับแรงดงึ ของสลกั เกลยี ว :

R = 3.8(3.1) = 11.8 ตนั

3. นา้ หนักบรรทุกต่อแถวสลกั เกลยี ว :
P = 28/2 = 14 ตนั /แถว
M = 28(20)/2 = 280 ตนั -ซม./แถว

4. ประมาณจานวนสลกั เกลยี วทต่ี ้องการ :

ตอ้ งการ n  6M  6 280  4.4 สาหรับโมเมนต์

R p 11.8  7.5

ตอ้ งการ n = P/R = 14/5.63 = 2.5 สาหรับการเฉือน

5. ดงั น้ันลองใช้สลกั เกลยี ว 10 ตวั (5 ตวั /แถว) :

โมเมนตอ์ ินเนอร์เชีย (หน่ึงแถว) : 7.5 cm
I = 3.8(2(7.5)2 + 2(15)2) = 2,138 ซม.4 7.5 cm
7.5 cm
หน่วยแรงดึง : 7.5 cm

ft  Mc  280 103 15
I 2,138

= 1,964 ก.ก./ซม.2 < 3,100 ก.ก./ซม.2 OK

12-12

บทที่ 12 การต่อองค์อาคารโดยใช้สลกั เกลียว (ต่อ)

หน่วยแรงเฉือน :

fv  P  14 103  737 ก.ก./ซม.2 < 1,480 ก.ก./ซม.2 OK
Ab 5(3.8) OK 

6. ตรวจสอบปฏสิ ัมพนั ธ์ของแรงเฉือนและแรงดงึ (จากตารางท่ี 11.5)

Ft  3, 0802  4.39 fv2

 3,0802  4.39  7372  2,665 ก.ก./ซม.2 > 1,964 ก.ก./ซม.2

12.3 จุดต่อแผ่นปิ ดปลายคาน (End-plate Shear Connections)

เป็ นจุดต่อท่ีเริ่มเป็ นท่ีนิยมมาต้งั แต่ช่วงกลางทศวรรษที่ 1950 ดงั แสดงในรูปท่ี 12.8 มีสองแบบคือ แบบจุด
หมุน (Simple) หรือรับแรงเฉือนอยา่ งเดียว (Shear-only) (Type 2 construction) และแบบจุดต่อขอ้ แขง็

(Rigid) (Type 1 construction)

Simple – shear only Rigid – moment resisting

รูปท่ี 12.8 จุดต่อแผ่นปิ ดปลายคาน

ในจุดตอ่ ท้งั สองแบบ แผน่ เหลก็ จะถูกเช่ือมติดปลายคานในโรงผลิต แลว้ มายึดสลกั เกลียวติดกบั เสาหรือคาน
อีกตวั ในสถานที่ก่อสร้าง ทาให้การติดต้งั ทาไดส้ ะดวกรวดเร็วและตอ้ งการจานวนสลกั เกลียวนอ้ ยกว่าแบบ
อ่ืน แต่ความยาวคานผดิ พลาดไดน้ อ้ ย ปลายคานตอ้ งอยใู่ นแนวด่ิง การโก่งตวั คานจะทาใหจ้ ุดตอ่ อาจมีปัญหา

ในจุดตอ่ แบบรับแรงเฉือนอยา่ งเดียวตอ้ งใหม้ ีความยดื หยนุ่ เพียงพอให้ปลายคานหมุนไดบ้ า้ ง ดงั น้นั
แผน่ เหลก็ จึงค่อนขา้ งส้ันและบางกวา่ เมื่อเทียบกบั แบบขอ้ แข็ง AISC แนะนาให้ใชค้ วามหนา 6 ถึง 10 ม.ม.
เพ่ือใหไ้ ดค้ วามยดื หยนุ่

ส่วนจุดต่อแบบตา้ นทานโมเมนตต์ อ้ งพิจารณาความหนาแผน่ เหล็ก ขนาดรอยเชื่อม และสลกั เกลียว
การออกแบบขนาดรอยเช่ือม(จะกล่าวถึงในบทต่อไป) และสลกั เกลียวน้นั ค่อนขา้ งตรงไปตรงมาสามารถใช้
หลกั การคานวณแบบเดิมได้ แต่ความหนาแผน่ เหล็กน้นั ตอ้ งพิจารณาจากผลการทดสอบในงานวิจยั การรับ

12-13

บทที่ 12 การต่อองค์อาคารโดยใช้สลักเกลียว (ต่อ)

แรงดึงในสลกั เกลียวเป็นส่วนท่ีวกิ ฤต ส่วนดา้ นที่รับแรงอดั น้นั ใชย้ ดึ จุดต่อใหต้ รงแนวเท่าน้นั ข้นั ตอนในการ
คานวณออกแบบมีดงั น้ี

1. พิจารณาแรงในปี กคานรับแรงดึง
2. เลือกสลกั เกลียวที่ตอ้ งใชใ้ นการตา้ นทานแรงและจดั ให้สมมาตรรอบปี กรับแรงดึง ถา้ โมเมนต์กลบั

ทิศไดใ้ หร้ ูปแบบเดียวกนั ที่ดา้ นรับแรงอดั จานวนสลกั เกลียวท้งั หมดตอ้ งเพียงพอในการรับแรงเฉือน
จากแรงปฏิกิริยาปลายคาน
3. พิจารณาส่วนของปี กคานบริเวณท่ีติดกบั แผน่ เหลก็ ท่ีเป็ นเหมือนตวั ทีรับแรงดึง (รูปท่ี 12.9)
4. เลือกความกวา้ งและความหนาของปี กคานเพอื่ รองรับการดดั
5. ตรวจสอบการเฉือนในแผน่ เหล็ก
6. ออกแบบรอยเชื่อม

tf
Tf

d
tp

M
Cf

w Pf Me F1 1
1 Pf 1s Point of inflection

1s Pe Tf

tp

รูปท่ี 12.9 การคานวณออกแบบจุดต่อแผ่นปิ ดปลายคานแบบข้อแขง็
ข้นั ตอนแรกคือการคานวณแรงในปี กคานรับแรงดึง :

Tf  M (12.16)
d tf

12-14

บทที่ 12 การต่อองค์อาคารโดยใช้สลกั เกลียว (ต่อ)

ข้นั ต่อมาให้เลือกสลกั เกลียวตา้ นทานแรงดึงและจดั ให้สมมาตรเป็ นสองแถวที่ปี กรับแรงดึง สลกั เกลียวท่ี
ดา้ นรับแรงอดั ถูกใส่เพิ่มเพื่อรับแรงปฏิกิริยาปลายคานโดยใชอ้ ยา่ งนอ้ ยสองตวั

โมเมนตม์ ากที่สุดในส่วนตวั ที (split-tee) จะเกิดข้ึนที่แนว 1-1 ของรูป 12.9 มีคา่ เทา่ กบั

M e  F1 s (12.17)

เมื่อ F1 = แรงเฉือน = Tf / 2

s = ระยะจากแนว 1-1 ถึงจุดดดั กลบั

= Pe / 2 = (Pf – 0.25db – 0.707w)/2

จากในรูปท่ี 12.9, Pf คือระยะจากแนวสลกั เกลียวถึงปี กคาน โดยทว่ั ไปจะเท่ากบั เส้นผา่ ศูนยก์ ลางสลกั เกลียว
บวก 13 ม.ม. และ w คือขนาดรอยเช่ือม

ความหนาแผน่ เหลก็ tp หาใดโ้ ดยใหห้ น่วยแรงดดั มากท่ีสุดเท่ากบั คา่ หน่วยแรงท่ียอมให้ :

Me  Me  Fb  0.75Fy
S
bpt 2 / 6
p

tp  8M e (12.18)
bp Fy

ตรวจสอบหน่วยแรงเฉือนของแผน่ เหล็ก :

 fvF1
 bpt p  Fv  0.40Fy (12.19)

ตวั อย่างท่ี 12-7 ออกแบบแผน่ เหลก็ ปิ ดปลายคาน W40056.6 ตอ้ งการจุดต่อท่ีส่งผา่ นโมเมนตไ์ ดเ้ ตม็ ที่ ใช้
เหลก็ A36 ลวดเช่ือม E70XX และสลกั เกลียว A325

วธิ ีทา หนา้ ตดั คาน W40056.6 เป็ นหนา้ ตดั คอมแพค็ ดงั น้นั หน่วยแรงดดั ท่ียอมใหค้ ือ
Fb = 0.66Fy = 0.66(2,500) = 1,650 ก.ก./ซม.2

และกาลงั รับโมเมนตด์ ดั คือ

M = FbSx = 1.65(1,010) = 1,667 ตนั -ซม.
แรงดึงในปี กคาน :

Tf M  1,667  43.3 ตนั
d tf
39.6 1.1

12-15

บทที่ 12 การต่อองค์อาคารโดยใช้สลักเกลียว (ต่อ)

สลกั เกลยี ว :

ลองสลกั เกลียวสองแถว แถวละสองตวั :

หน่วยแรงดึงท่ียอมใหข้ อง A325 : Ft = 3,100 ก.ก./ซม.2

พ้นื ท่ีสลกั เกลียวท่ีตอ้ งการ = 43.3/(43.1) = 3.49 ซม.2

เลอื กใช้สลกั เกลยี ว A325 ขนาด 22 ม.ม. ( A = 3.80 ซม.2 ) 

แผ่นเหลก็ : 
แรงเฉือน F1 = Tf / 2 = 43.3/2 = 21.7 ตนั OK
ระยะห่าง s = Pe / 2 = (Pf – 0.25db – 0.707w) / 2
= (5 – 0.252.2 – 0.7070.5) / 2 = 4.1 ซม.
โมเมนต์ Me = F1 s = 21.74.1 = 89.0 ตนั -ซม.
ความกวา้ งแผน่ bp = bf + 5 = 25 ซม.

ความหนาแผน่ t p  8M  8 89.0  3.37 ซม.
bp Fy
25 2.5

เลอื กใช้แผ่นเหลก็ หนา 1 3/8 นิว้ ( tp = 3.5 ซม.)
ตรวจสอบการเฉือนของแผน่ เหล็ก :

fv  F1  21.7 103  248ก.ก./ซม.2
bp tp 25 3.5

หน่วยแรงเฉือนท่ียอมให้ Fv = 0.40Fy = 0.40(2.5)

= 1,000 ก.ก./ซม.2 > 248 ก.ก./ซม.2

12.4 จุดต่อคาน

จุดต่อคานจะรวมถึงจุดต่อระหว่างคานกบั เสา และจุดต่อระหวา่ งคานกบั คานดว้ ยกนั เอง จะมีความตา้ นทาน
โมเมนต์อยู่บา้ งแม้ว่าจะถูกออกแบบมาให้เป็ นจุดหมุนก็ตาม ในทางตรงกนั ขา้ มการสร้างจุดต่อขอ้ แข็ง
สมบูรณ์แบบที่มีความตา้ นทานโมเมนต์ 100% ของกาลงั ตา้ นทานโมเมนต์ขององคอ์ าคารก็ทาไดย้ ากมาก
AISC แบ่งจุดต่อคานออกเป็ น 3 ประเภทคือ จุดต่อข้อแข็ง (Rigid connection), จุดต่อหมุน (Simple
connection) และ จุดต่อก่ึงข้อแขง็ (Semirigid connection)

12-16

บทท่ี 12 การต่อองค์อาคารโดยใช้สลกั เกลียว (ต่อ)

ในทางปฏิบตั ิเนื่องจากไม่มีจุดต่อใดที่แขง็ หรืออ่อนอย่างสมบูรณ์ โดยทว่ั ไปจุดต่อแบบหมุนจะรับ
โมเมนได้ 0-20% ของจุดต่อขอ้ แข็ง จุดต่อแบบก่ึงขอ้ แข็งรับได้ 20-90% และถา้ มากกวา่ 90% จะถือจุดต่อ
แบบขอ้ แขง็ รูปที่ 12.10 แสดงความสัมพนั ธ์ระหวา่ งโมเมนตแ์ ละการหมุนของจุดตอ่ ประเภทตา่ งๆ

Rigid

Moment Semirigid

Simple

Rotation

รูปท่ี 12.10 ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งโมเมนตแ์ ละการหมุนของจุดต่อประเภทตา่ งๆ
ในอาคารโครงสร้างทว่ั ไปมกั ใชจ้ ุดต่อแบบหมุนเนื่องจากทาใหง้ ่ายและมีราคาถูกกวา่ จุดต่อแบบอ่ืน
โดยจะแบ่งออกเป็ นสองกลุ่มคือ จุดต่อคานแบบโครง (Framed beam connection) และ จุดคานต่อแบบ
ฐานรอง (Seated beam connection) รูปที่ 12.11 แสดงจุดต่อคานแบบหมุนในรูปแบบต่างๆ

Coping

(a) Framed connection

(b) Seated connection Erection seat
(c) Framed connection with seat

12-17

บทท่ี 12 การต่อองค์อาคารโดยใช้สลกั เกลียว (ต่อ)

Filler PL

(d) Seated connection (e) Seated connection with stiffened seat

รูปที่ 12.11 จุดตอ่ แบบโครงและจุดตอ่ แบบฐานรอง

12.5 จุดต่อคานแบบโครง

จุดต่อแบบโครงจะเป็ นจุดต่อท่ีใช้กันมากที่สุดสาหรับการต่อคานกับเสา และคานกับคาน เหมาะกับ
โครงสร้างที่ตอ้ งคิดผลของแรงดา้ นขา้ ง (เช่นแรงลม) จุดต่อแบบโครงถูกจดั อยใู่ นประเภทจุดต่อแบบหมุน
แมว้ า่ ในความเป็นจริงจะตา้ นทานโมเมนตไ์ ดบ้ า้ ง แต่ไม่นามาคิด จุดต่อจะถูกออกแบบเพ่ือรับเพียงแรงเฉือน
เท่าน้นั

ในการวเิ คราะห์จุดต่อแบบโครงที่ใชห้ นา้ ตดั ฉากคู่ยึดท่ีเอวคาน นอกจากจะตอ้ งพิจารณากรณีวบิ ตั ิที่
ได้เคยกล่าวมาแล้ว (การเฉือนของสลกั เกลียว, แรงแบกทานบนแผ่นเหล็ก, และบล็อกแรงเฉือน) การ
ตรวจสอบท่ีเพ่ิมข้ึนคือ พืน้ ที่สุทธิรับแรงเฉือน (Net shear area) ของหนา้ ตดั ฉาก ในกรณีน้ีจะใชห้ น่วยแรง
เฉือนที่ยอมให้ 0.3Fu และขนาดรูเจาะที่ใชจ้ ะเทา่ กบั เส้นผา่ ศูนยก์ ลางสลกั เกลียวบวก 3 ม.ม.

ตัวอย่างท่ี 12-8 จงพิจารณาความสามารถในการรับน้าหนกั บรรทุกของจุดต่อแบบโครงในรูป เหล็ก
โครงสร้างที่ใชค้ ือ A36 ใชส้ ลกั เกลียว A325-N ขนาด 19 ม.ม. ในรูเจาะมาตรฐาน เป็ นจุดต่อแบบแบกทาน

วธิ ีทา
1. กาลงั เฉือนคู่ของสลกั เกลยี ว A325-N ขนาด 19 ม.ม. รูเจาะมาตรฐาน
จากตาราง ง.1 รับแรงเฉือนคู่ได้ = 8.39 ตนั
จากรูปมี 3 ตวั กาลงั เฉือนคูข่ องสลกั เกลียว = 3(8.39) = 25.2 ตนั

12-18

บทที่ 12 การต่อองค์อาคารโดยใช้สลกั เกลียว (ต่อ)

2Ls 100 x 75 x 7 mm x 22 cm long
4 cm

Girder 3.5 cm 5 cm cope
W600x175 7.5 cm
(tw = 14 mm) Beam
7.5 cm W450x76
1.25 cm clear 3.5 cm (tw = 9 mm)

Lh = 4 cm

2. กาลงั แบกทานบนเอวคาน OK
ระยะห่างสลกั เกลียว 7.5 ซม. = 3.95d ( > 3d ) OK
ระยะขอบ 3.5 ซม. = 1.84d ( > 1.5d )
ควบคุม
หน่วยแรงแบกทานท่ียอมใหเ้ ทา่ กบั 1.2Fu
ความหนาเอวคาน = 9 ม.ม.
ความหนาเหล็กฉากคู่ = 7 + 7 = 14 ม.ม.

กาลงั แบกทานจากสลกั เกลียว 3 ตวั = 3 (1.2) (4.0) (0.9) (1.9) = 24.6 ตัน

3. กาลงั เฉือนบนพนื้ ทส่ี ุทธิเหลก็ ฉาก (Fv = 0.3Fu) จากรูปขา้ งล่าง

Shear 3.5 cm ขนาดรูเจาะ = 19 + 3 = 22 ม.ม.
area 7.5 cm พ้นื ที่สุทธิ Av = 2 (0.7) (22 – 3 (2.2)) = 21.6 ซม.2
7.5 cm กาลงั เฉือนเหลก็ ฉาก = 0.3 (4.0) (21.6) = 25.9 ตนั

3.5 cm

12-19

บทท่ี 12 การต่อองค์อาคารโดยใช้สลกั เกลียว (ต่อ)

4. กาลงั บลอ็ กแรงเฉือนของเอวคาน จากรูปขา้ งล่าง

ขนาดรูเจาะ = 19 + 3 = 22 ม.ม. 5 cm cope
Beam
Av = (0.9)(18.5 – 2.5(2.2)) = 11.7 ซม.2 3.5 cm W450x76
At = (0.9)(4 – 0.5(2.2)) = 2.61 ซม.2 7.5 cm (tw = 9 mm)
7.5 cm
P = 0.3(4.0)(11.7) + 0.5(4.0)(2.61) 
4 cm
= 19.3 ตนั ควบคุม

ดงั น้ันกาลงั จุดต่อคือ 19.3 ตนั

12.6 จุดต่อคานแบบฐานรอง

เป็ นจุดต่อแบบจุดหมุนอีกแบบซ่ึงโดยหลกั การแลว้ จะเหมือนกบั จุดต่อแบบโครง จุดต่อแบบน้ีจะใชห้ นา้ ตดั
ฉากเป็ นฐานรองท่ีปลายคานโดยจะยึดติดกบั เสาหรือคานหลกั มาจากโรงผลิต นอกจากน้นั ยงั มีหนา้ ตดั ฉาก
อีกตวั ที่ดา้ นบนซ่ึงจะยดึ ในสนาม

ในการคานวณออกแบบน้ัน จะสมมุติให้แรงปฏิกิริยาปลายคานถูกส่งผ่านทาง เหล็กฉากฐานรอง
(Seat angle) ส่วนเหล็กฉากบนจะช่วยเพ่ิมความตา้ นทานในแนวราบและช่วยเพ่ิมเสถียรภาพท่ีปี กบนของ
คาน เนื่องจากไม่ไดร้ ับแรงโดยตรงจึงมีขนาดเล็กและใชส้ ลกั เกลียวเพียงสองตวั ในแต่ละขา ที่ใช่ทวั่ ไปคือ
L90906 หรือ L100757 โดยพิจารณาตามความเหมาะสมในทางปฏิบตั ิ

หลกั ท่ีสาคญั สองประการในการวิเคราะห์และออกแบบเหล็กฉากฐานรองคือ ประการแรก ฐานรอง
หรือ ขาย่ืน (Outstanding leg, OSL) จะตอ้ งมีความยาวพอท่ีจะป้ องกนั การครากและการเยนิ ของเอวคาน
(Web yielding and web crippling) ประการที่สอง ตวั เหล็กฉากเองจะตอ้ งหนาพอที่จะตา้ นทานการดดั ท่ี
เกิดจากการรองรับคานได้ การคานวณจะคิดเป็ นคานยื่นมีหนา้ ตดั วิกฤตที่ปลายส่วนโคง้ ของมุมใน ถา้ ไม่รู้ค่า
รัศมีความโคง้ จะใชร้ ะยะ ta + 9 ม.ม. เมื่อ ta คือความหนาเหล็กฉาก

ระยะช่องวา่ งระหวา่ งปลายคานถึงหนา้ เสาเรียกวา่ Setback โดยทวั่ ไปคือ 1 ซม. เพ่ือความสะดวก
ในการติดต้งั แต่ในการคานวณจะใช้ 2 ซม. ตาแหน่งของแรงปฏิกิริยา R จะอยู่ที่กลางความยาวแบกทาน b
ซ่ึงจะไมใ่ ช่ความยาวแบกทานจริงท่ีเหล็กฉากรองรับคาน แตจ่ ะเป็นความยาวซ่ึงเอวคานเกิดหน่วยแรงถึงค่าท่ี
ยอมให้ 0.66Fy บนระยะ b + 2.5k ขนาดและระยะห่างแสดงในรูปท่ี 12.12

12-20

บทที่ 12 การต่อองค์อาคารโดยใช้สลกั เกลียว (ต่อ)

1 cm N Beam
Column b + 2.5k
b/2 b/2

R

e

9 mm
ta

Critical section

รูปท่ี 12.12 รายละเอียดจุดต่อแบบฐานรอง
พจิ ารณาการครากในเอวคานโดยแทนค่าความยาวแบกทาน N ดว้ ย b จากสมการ (8.12) เขียนไดเ้ ป็น

R  0.66Fy (12.20)
tw (b  2.5k)

ความยาวแบกทาน b คานวณไดจ้ ากสมการ (12.20) โดยจดั รูปสมการใหม่ แตต่ อ้ งมีค่าไม่นอ้ ยกวา่

b  R  2.5k  1 R  (12.21)
tw (0.66Fy ) 2  tw (0.66Fy ) 

พจิ ารณาการดดั ณ. หนา้ ตดั วกิ ฤตในเหล็กฉาก โดยมีค่าหน่วยแรงดดั มากที่สุดที่ยอมใหค้ ือ 0.75Fy ดงั น้นั

M  Re  0.75Fy (12.22)
S L ta2 / 6

เม่ือ S คือโมดูลสั หนา้ ตดั ของขาเหล็กฉาก (เป็ นรูปสี่เหล่ียมผนื ผา้ ), L คือความยาวเหล็กฉาก, ระยะเย้อื งศูนย์
e จากรูปที่ 12.12 มีค่าเท่ากบั

e  b / 2  2  ta  0.9 (12.23)

จากสมการ (12.22) ความหนา ta ของเหล็กฉากที่ตอ้ งการคือ

ta  6Re  8Re (12.24)
L(0.75Fy ) L Fy

12-21

บทที่ 12 การต่อองค์อาคารโดยใช้สลกั เกลียว (ต่อ)

ตัวอย่างที่ 12-9 จงพจิ ารณาออกแบบจุดตอ่ แบบฐานรอง สาหรับแรงปฏิกิริยาท่ีปลายคาน 8 ตนั หนา้ ตดั คาน
W25044.1 (tw = 7 ม.ม., k = tf + r = 27 ม.ม., bf = 175 ม.ม.) ต่อกบั ปี กเสา W20049.9 (tw = 8 ม.ม.,
bf = 200 ม.ม.)

W200x49.9 W250x44.1

วธิ ีทา ใหค้ วามยาวเหล็กฉากฐานรองเท่ากบั ความกวา้ งปี กคานคือ L = 175 ม.ม.
ความยาวการแบกทาน b หาจากสมการ (12.13),

b = R  2.5k  1 R 
tw (0.66Fy ) 2  tw (0.66Fy ) 

= 8  2.5(2.7)  0.18 ซม.

0.7(0.66)(2.5)

แตต่ อ้ งไม่นอ้ ยกวา่ R  8  3.46 ซม. ใช้ b = 3.46 ซม.

2tw (0.66Fy ) 2(0.7)(0.66)(2.5)

ลองเลอื กหน้าตัดฉาก L1509015 ม.ม.
ระยะเย้อื งศูนย์ e = b/2 + 2 – ta – 0.9 = 3.46/2 + 2 – 1.5 – 0.9 = 1.33 ซม.
ความหนาเหล็กฉากที่ตอ้ งการ:

ta  8Re  8 (8) (1.33)  1.40 ซม. < 1.5 ซม. OK
L Fy
(17.5) (2.5) ควบคุม

ออกแบบสลกั เกลยี ว ลองเลอื ก A325-N  19 ม.ม.:

กาลงั เฉือน = ( / 4) (1.9)2 (1.48) = 4.20 ตนั /สลกั เกลียว

12-22

บทท่ี 12 การต่อองค์อาคารโดยใช้สลกั เกลียว (ต่อ)

กาลงั แบกทาน = (1.9) (1.5) (1.2) (4.0) = 13.7 ตนั /สลกั เกลียว

จานวนสลกั เกลียวที่ใช้ = 8.0/4.2 = 1.91 ใช้ A325-N  19 ม.ม. 4 ตวั

ตัวอย่างที่ 12-10 จงพิจารณาน้าหนกั บรรทุกที่รับไดข้ องจุดต่อแบบฐานรองดงั แสดงในรูป เหล็กที่ใชค้ ือ
A36 และสลกั เกลียว A325-N ขนาด 19 ม.ม. ในรูเจาะมาตรฐาน

W250x44.1

L150x100x15mm x 20cm
long

Column: W250x72.4 L = 20 cm

วธิ ีทา ความยาวเหลก็ ฉากฐานรองคานคือ L = 20 ซม.
ความยาวการแบกทาน b หาจากสมการ (12.13),

b = R  2.5k  1 R 
tw (0.66Fy ) 2  tw (0.66Fy ) 

= R  2.5(2.7)  R

0.7(0.66)(2.5) 2(0.7)(0.66)(2.5)

ระยะเย้อื งศนู ย์ = R  6.75  R (a)
1.16 2.32 (b)

e = b/2 + 2 – ta – 0.9 = b/2 – 0.4

= R  2.98  R  0.4
2.32 4.64

จากสมการ (12.14) จดั รูปใหมเ่ พอ่ื หาค่า e:

e = 0.75Fy  L ta2   0.75(2.5)  20(1.5)2 
R  6   
  R  6 

12-23

บทที่ 12 การต่อองค์อาคารโดยใช้สลกั เกลียว (ต่อ)

e = 14.06 (c)
R

กาหนดใหส้ มการ (b) และ (c) เทา่ กนั จะไดส้ องสมการกาลงั สองเพือ่ พิจารณาคา่ R คือ

R  2.98  14.6  R2  6.91R  33.87  0 R = 10.2 ตนั
2.32 R

R  0.4  14.6  R2 18.56R  67.74  0 R = 9.47 ตนั
4.64 R

เลือกค่าท่ีนอ้ ยกวา่ ดงั น้นั เลือก R = 9 ตนั ตอ่ จากน้นั จะตรวจสอบคา่ bวา่ อยใู่ นช่วงที่ยอมรับไดห้ รือไม่

จากสมการ (a) b = R  6.75  R

1.16 2.32

= 9  6.75  1.01   9  3.88 ใชั b = 3.88 ซม.
1.16  2.32

ระยะเย้อื งศนู ย์ e = 3.88/2 – 0.4 = 1.54 ซม.
ความหนาเหลก็ ฉากที่ตอ้ งการ:

ta  8Re  8 (9) (1.54)  1.49 ซม. < 1.5 ซม. OK
L Fy
(20) (2.5)

12-24

บทที่ 12 การต่อองค์อาคารโดยใช้สลักเกลียว (ต่อ)

ปัญหาท้ายบทท่ี 12

สาหรับปัญหาต่อไปนีถ้ ้าไม่มีการกาหนดให้ใช้ข้อมลู ดังต่อไปนี้; (ก) เหลก็ A36 (ข) รูเจาะมาตรฐาน (ค)
ระยะขอบและระยะห่างมากพอที่จะใช้ Fp = 1.2Fu และ(ง) เกลียวอย่นู อกระนาบเฉือน

12-1 ถึง 12-7 จงพิจารณาแรงลพั ธ์บนสลักเกลียวที่มีหน่วยแรงมากท่ีสุดของจุดต่อเยือ้ งศูนย์ดังในรูป ใช้วิธีอี
ลาสติก

12-1 12-2

P = 8 ton P = 18 ton
5 cm

10 cm 12 cm
12 cm
12-3
7.5 cm 10 cm 15 cm
P = 12 ton
25 cm PL19mm 12-4
10 cm
PL12mm 10 cm P = 35 ton 10 cm
10 cm 1 15 cm
10 cm 15 cm
1 15 cm
10 cm
10 cm 20 cm

12-25

บทที่ 12 การต่อองค์อาคารโดยใช้สลักเกลียว (ต่อ)

12-5 12-6

P = 40 ton P = 12 ton 1

20 cm 2

10 cm 12 cm
10 cm 12 cm
10 cm 12 cm
12 cm

12-7 10 cm 10 cm 10 cm

P = 15 ton
8 cm 8 cm 8 cm

8 cm
8 cm

12-8 โดยใชว้ ธิ ีอีลาสติก จงพิจารณากาลงั ท่ียอมใหข้ องจุดตอ่ แบบมีแรงแบกทานดงั ในรูป สลกั เกลียว A325
มีขนาด 22 ม.ม. รับแรงเฉือนเดี่ยวและกดบนแผน่ เหลก็ หนา 12 ม.ม.

P
15 cm 20 cm

15 cm

15 cm

15 cm

12-26

บทท่ี 12 การต่อองค์อาคารโดยใช้สลกั เกลียว (ต่อ)

12-9 โดยใช้วิธีอีลาสติก จงพิจารณากาลงั ที่ยอมให้ของจุดต่อแบบมีแรงเสียดทานดงั ในรูป สลกั เกลียว
A325 มีขนาด 19 ม.ม. รับแรงเฉือนคู่

45o P

8 cm
8 cm

8 cm 8 cm 8 cm 8 cm

12-10 จงพิจารณาแรงปฏิกิริยาท่ีปลายมากที่สุดที่สามารถถ่ายผา่ นจุดต่อเหล็กฉากท่ีเอวไดด้ งั ในรูป เหล็กที่
ใชเ้ ป็ นเหล็ก A36 และใชส้ ลกั เกลียว A325-N ขนาด 19 มม. ในรูเจาะมาตรฐาน

W450x106

Angle t = 9 mm 3 cm
3 @ 8 cm

3 cm

1.5 cm

5 cm

12-11 ทาซ้าปัญหา 12-10 โดยใชส้ ลกั เกลียว A325-N ขนาด 22 มม.

12-12 ทาซ้าปัญหา 12-10 โดยใชส้ ลกั เกลียว A325-X ขนาด 25 มม.

12-13 จงเลือกหนา้ ตดั ฉากคูส่ าหรับเอวของหนา้ ตดั W900213 ซ่ึงมีแรงปฏิกิริยา 100 ตนั สลกั เกลียวที่ใช้
คือ A325-N ขนาด 22 มม. ในรูเจาะมาตรฐานจดั วางดงั ในรูป ใชเ้ หลก็ A36

W900x213

3 cm
3 @ 8 cm

3 cm

1.5 cm

5 cm

12-27

บทท่ี 12 การต่อองค์อาคารโดยใช้สลักเกลียว (ต่อ)

12-14 ทาซ้าปัญหา 12-13 โดยใชส้ ลกั เกลียว A325-N ขนาด 25 มม.
12-15 ทาซ้าปัญหา 12-13 โดยใชส้ ลกั เกลียว A325-SC ขนาด 19 มม.
12-16 จงออกแบบจุดตอ่ คานแบบโครงสาหรับ W700185 เพอ่ื รองรับแรงปฏิกิริยาที่ปลาย 70 ตนั ใชส้ ลกั
เกลียว A325-X ขนาด 25 มม. และเหลก็ A36 ระยะขอบและระยะระหวา่ งสลกั เกลียวเหมือนกบั ขอ้ 12-13
12-17 ทาซ้าขอ้ 12-16 โดยใชส้ ลกั เกลียว A325-N ขนาด 25 มม. ในรูเจาะรางส้ัน 2733 มม.ท่ีมีแกนยาว
ต้งั ฉากกบั แนวแรง ความหนาเหล็กฉากคือ 15 ม.ม.
12-18 จงออกแบบจุดต่อคานแบบโครงสาหรับ W450106 เพ่ือรองรับแรงปฏิกิริยา 35 ตนั ปี กบนของ
คานถูกเฉือนออกลึก 5 ซม. ใชส้ ลกั เกลียว A325-X ขนาด 22 มม. ในรูเจาะมาตรฐานดงั ในรูป

5 cm

3 cm
3 @ 8 cm
3 cm

1.5 cm

5 cm

12-19 ทาซ้าปัญหา 12-8 เมื่อแรงปฏิกิริยาเทา่ กบั 80 ตนั และใชเ้ หล็ก A572

12-20 จงพิจารณากาลงั รับแรงของจุดต่อดงั ในรูป ใชเ้ หล็ก A36 สลกั เกลียว A325-SC ขนาด 22 ม.ม. ใน
รูเจาะมาตรฐาน

Structural tee

3 P
4

Column

12-28

บทที่ 13 การต่อองค์อาคารโดยการเช่ือม

13

การตอ่ องคอ์ าคารโดยการเชื่อม

13.1 บทนา

การเช่ือมคือกระบวนการต่อโลหะเขา้ ดว้ ยกนั โดยการเพ่ิมอุณหภูมิที่ผิวจนกลายสภาพเป็ นสถานะพลาสติก
หรือของเหลว ทาให้โลหะที่รอยต่อไหลมารวมกันเป็ นเน้ือเดียว แม้ว่าการเชื่อมจะเป็ นท่ีนิยมในงาน
โครงสร้างเน่ืองจากความสะดวกรวดเร็วและหลากหลายกวา่ การเชื่อมต่อโดยใชส้ ลกั เกลียว แต่วศิ วกรหลาย
คนคิดวา่ การเชื่อมมีขอ้ เสียเปรียบสองขอ้ ที่สาคญั คือ (1) การเชื่อมจะลดกาลงั ตา้ นทานการลา้ เมื่อเปรียบเทียบ
กบั การใช้หมุดย้าหรือสลกั เกลียว และ (2) ไม่สามารถควบคุมคุณภาพของการเช่ือมโดยปราศจากการ
ตรวจสอบอยา่ งเขม้ งวดได้

13.2 รูปแบบของการเช่ือมและจุดต่อ

การเช่ือมที่ใชเ้ ป็ นหลกั ในงานโครงสร้างมีสองประเภทคือ การเช่ือมแบบฟิ ลเลต (Fillet welds) และ การ
เช่ือมแบบร่ อง (Groove welds) นอกน้นั จะมี แบบอุดรูกลม (Plug) และ แบบอุดรูยาว (Slot) ซ่ึงจะใชใ้ น
กรณีที่การเชื่อมแบบฟิ ลเลตรับแรงไดไ้ มเ่ พียงพอ รูปที่ 13.1 แสดงลกั าณะรอยเชื่อมท้งั ส่ีแบบ

Fillet welds Groove welds
Slot welds
Plug welds

Fillet welds

รูปที่ 13.1 ชนิดของการเช่ือม
การเช่ือมแบบฟิ ลเลตจะมีการใชง้ านมากท่ีสุด เนื่องจากไม่ตอ้ งจดั ระยะรอยต่ออยา่ งระเอียดแม่นยา
เหม่ือนการเชื่อมแบบอื่นทาใหม้ ีราคาถูกกวา่ และยงั มีความยดื หยนุ่ ในการใชง้ านมากกวา่ อีกดว้ ย

13-1

บทท่ี 13 การต่อองค์อาคารโดยการเชื่อม

ในจุดต่อเชื่อมน้ันองค์อาคารท่ีมาต่อกันมีได้หลายรูปแบบ จุดต่อเหล่าน้ีจึงอาจถูกจดั ประเภท
ออกเป็ น จุดต่อทาบ (Lap), จุดต่อชน (Butt), จุดต่อที (Tee), จุดต่อขอบ (Edge) และจุดต่อมุม (Corner)
ดงั ในรูปที่ 13.2

Lap Butt

Tee Edge Corner

รูปท่ี 13.2 ชนิดของจุดตอ่

รอยเช่ือมแบบฟิ ลเลตจะมีหนา้ ตดั เป็นรูปสามเหล่ียมต่อเช่ือมผวิ องคอ์ าคารท่ีมาต่อกนั เป็ นมุมฉากใน
จุดตอ่ ทาบ ตวั ที และมุม รูปท่ี 13.3 แสดงรูปแบบของรอยเช่ือมฟิ ลเลตในจุดต่อทว่ั ไป ขนาดของรอยเชื่อมที่
ระบุจะหมายถึง ขนาดขารอยเชื่อม (Leg size)

Throat size

Root

Leg size

รูปที่ 13.3 รอยเชื่อมแบบฟิ ลเลต

เน่ืองจากผวิ ของรอยเชื่อมในความเป็นจริงจะนูนออกหรือเวา้ เขา้ ไม่เป็ นระนาบเรียบเน่ืองจากการหด
ตวั ของโลหะที่เป็ นวสั ดุเช่ือมดงั แสดงในรูปที่ 13.4 โดยรูปแบบที่ควรจะเป็ นคือควรจะนูนออก ระยะจากผิว
รอยเช่ือมถึงมุมซ่ึงเป็ นส่วนที่แคบท่ีสุดเรียกวา่ ขนาดคอรอยเช่ือม (Throat size) เป็ นแนวท่ีจะเกิดการวบิ ตั ิ
ทามุมประมาณ 45o ดงั น้นั ในการคานวณกาลงั ของรอยเช่ือม จะใชข้ นาดของคอ 0.707 เท่าของขนาดขารอย
เช่ือมคูณกบั ความยาวรอยเชื่อม

13-2

บทที่ 13 การต่อองค์อาคารโดยการเช่ือม

Weld face Weld face
Theoretical throat
Theoretical face
Leg

Theoretical throat

Root Leg

(a) Convex (b) Concave

รูปท่ี 13.4 รอยเชื่อมแบบฟิ ลเลต

การเช่ือมแบบร่องเกิดข้ึนระหว่างปลายท้งั สองขององค์อาคารที่มาต่อกนั โดยอาจทาได้หลาย
รูปแบบคือ แบบส่ีเหลี่ยม แบบเอียง (Bevel) แบบตวั วี แบบตวั เจ และแบบตวั ยู ถา้ องคอ์ าคารมีความหนาก็
จะทาท้งั สองดา้ นเป็น แบบสี่เหล่ียมคู่ แบบเอียงคู่ แบบตวั วีคู่ แบบตวั เจคู่ และแบบตวั ยคู ู่ ดงั แสดงในตารางท่ี

13.1

ตารางที่ 13.1 รูปแบบต่างๆของการเช่ือมแบบร่อง

แบบเดย่ี ว แบบคู่

ร่องสี่เหล่ียม

ร่องเอียง

ร่องตวั วี

ร่องตวั เจ

ร่องตวั ยู

รอยเชื่อมยงั ถูกแบ่งเป็ น รอยเชื่อมในแนวราบ (Flat) แนวระดบั (Horizontal) แนวต้งั (Vertical)
และแบบเหนือศรีษะ (Overhead) ดงั แสดงในรูปที่ 13.5 แบบแนวราบจะประหยดั ท่ีสุดและแบบเหนือ
ศรีษะจะแพงที่สุด ช่างเช่ือมทวั่ ไปจะทาการเช่ือมแบบราบไดด้ ีแต่ตอ้ งใชช้ ่างเชื่อมท่ีเก่งมากๆเพื่อใหไ้ ดร้ อย
เช่ือมเหนือศรีษะที่ดี

13-3

บทท่ี 13 การต่อองค์อาคารโดยการเชื่อม

Vertical Horizontal Overhead
weld weld
weld
s

Flat weld รูปท่ี 13.5 ชนิดรอยเชื่อมแบ่งตามตาแหน่งการเชื่อม

13.3 สัญลกั ษณ์ของการเชื่อม

สญั ลกั ษณ์ของการเชื่อมตามขอ้ กาหนดมาตรฐานของ AWS ซ่ึงดว้ ยระบบตวั ยอ่ น้ีขอ้ มูลจานวนมากสามารถ
ท่ีจะถูกแสดงภายในเน้ือท่ีจากดั บนแบบแปลนทาใหไ้ ม่จาเป็ นตอ้ งวาดภาพรอยต่อและคาอธิบายยาวๆ ดงั น้นั
ท้งั ผูอ้ อกแบบและผูท้ ่ีทาการก่อสร้างจึงตอ้ งมีความเขา้ ใจสัญลกั ษณ์การเช่ือมเป็ นอย่างดีเพ่ือความเขา้ ใจที่
ถูกตอ้ งตรงกัน สัญลักษณ์การเชื่อมจะมีลักษณ์เป็ นลูกศรช้ีไปท่ีรอยเช่ือมในแบบแปลน และมีข้อมูล
รายละเอียดของการเชื่อมท้งั รูปแบบ ขนาด ความยาว ตลอดจนชนิดลวดเชื่อมดงั แสดงในรูปที่ 13.6

ลกั ษณะผิวรอยเชื่อม ้ทังสอง ด้าน เคร่ืองหมายรอยเชื่อมสาเร็จ
ความลึกของร่อง ด้าน ูลกศร ้ีช ด้านตรงข้าม องศาของร่อง ความยาวรอยเช่ือม

ขนาดเชื่อมประสิทธิผล F ระยะห่างรอยเชื่อม
A
ขนาดขาเชื่อม R L-P เชื่อมในสนาม

ขอ้ กาหนด T S (E) ศรช้ีดา้ นรอยต่อ
เสน้ อา้ งอิง

เช่ือมโดยรอบ

รูปท่ี 13.6 สัญลกั ษณ์มาตรฐานของรอยเช่ือม

จากรูปที่ 13.6 จะเห็นว่าสัญลกั ษณ์ค่อนขา้ งซับซ้อนมีหลายส่วนประกอบ แต่ในการใช้งานจริงอาจไม่
จาเป็นตอ้ งระบุทุกส่วนกไ็ ด้ ดงั จะไดอ้ ธิบายแตล่ ะส่วนดงั น้ี

ด้านลูกศรช้ี และ ด้านตรงข้าม เน่ืองจากแบบแปลนหรือแบบรายละเอียดจะเป็นรูปสองมิติ แต่รูปชิ้นงานที่จะ
ทาการเชื่อมตอ่ จริงเป็นรูปสามมิติ ดงั น้นั ในบางกรณีอาจไม่สามารถเขียนหวั ลูกศรใหช้ ้ีไปยงั จุดท่ีตอ้ งการให้
เชื่อมไดเ้ นื่องจากอยู่ดา้ นหลงั หรือดา้ นตรงขา้ ม ดงั น้นั จึงกาหนดวา่ ถา้ เขียนขอ้ มูลการเช่ือมใตเ้ ส้นหมายถึง

13-4

บทท่ี 13 การต่อองค์อาคารโดยการเช่ือม

ดา้ นที่ลูกศรช้ีและดา้ นบนสาหรับดา้ นตรงขา้ ม รูปที่ 13.5 แสดงตวั อยา่ งของดา้ นลูกศรช้ีและดา้ นตรงขา้ ม
แบบต่างๆ

ดา้ นลูกศรช้ี ดา้ นลูกศรช้ี

ดา้ นตรงขา้ ม ดา้ นตรงขา้ ม

ดา้ นตรงขา้ ม ดา้ นลูกศรช้ี

ดา้ นลูกศรช้ี ดา้ นตรงขา้ ม

รูปที่ 13.5 ดา้ นลูกศรช้ีและดา้ นตรงขา้ มสัญลกั ษณ์การเชื่อม

สัญลักษณ์การเช่ือมพน้ื ฐาน เป็นรูปสัญลกั ษณ์แสดงรูปแบบการเช่ือมซ่ึงจะเขียนอยทู่ ่ีส่วนกลางของเส้นราบ
เพื่อระบุชนิดของรอยเช่ือมไดแ้ ก่ แบบฟิ เลต และแบบร่องซ่ึงจะมีหลายประเภท ดงั แสดงในตารางที่ 13.2 ถา้
รอยเชื่อมอยดู่ า้ นลูกศรช้ี สัญลกั ษณ์จะอยใู่ ตเ้ ส้นราบ และอยบู่ นเส้นราบสาหรับดา้ นตรงขา้ ม หรือถา้ ตอ้ งการ
ท้งั สองดา้ นกจ็ ะเขียนท้งั บนและล่าง

ตารางที่ 13.2 สัญลกั ษณ์รอยเช่ือมพ้นื ฐาน

ตาแหน่ง ด้านลกู ศรชี้ ด้านตรงข้าม ท้งั สองด้าน
รอยเชื่อม

ฟิ ลเลต

อุดรูกลม หรือ ไม่ใช้
อุดรูยาว

ร่องสี่เหล่ียม

13-5

บทที่ 13 การต่อองค์อาคารโดยการเชื่อม

ตารางท่ี 13.2(ต่อ) สัญลกั ษณ์รอยเช่ือมพ้นื ฐาน

ตาแหน่ง ด้านลกู ศรชี้ ด้านตรงข้าม ท้งั สองด้าน
รอยเช่ือม

ร่องเอียง

ร่องตวั วี

ร่องตวั เจ

ร่องตวั ยู

เชื่อมโดยรอบ และ เช่ือมในสนาม ระบุอยทู่ ่ีมุมหกั หรือจุดต่อของเส้นลูกศรและเส้นราบ รอยเช่ือมโดยรอบ
น้นั จะเขียนเป็นวงกลมรอบแตร่ อยเช่ือมจริงอาจไมเ่ ป็ นวงกลมกไ็ ด้ สาหรับการเชื่อมในสนามหรือในสถานที่
ก่อสร้างจะเขียนเป็ นรูปธงดงั แสดงในรูปท่ี 13.6

เชื่อมโดยรอบ เชื่อมในสนาม

รูปที่ 13.6 สัญลกั ษณ์การเช่ือมโดยรอบและในสนาม

ขนาด ความยาวและระยะห่างรอยเชื่อม ขนาดของรอยเช่ือมจะระบุอยทู่ างดา้ นซ้ายของสัญลกั ษณ์มีหน่วย
เป็นมิลลิเมตร ส่วนความยาวและระยะห่างรอยเช่ือมจะอยทู่ างดา้ นขวา ถูกคนั่ กลางดว้ ยขีด ถา้ มีตวั เลขเดียวจะ
หมายถึงความยาวรอมเชื่อม ระยะห่างรอยเชื่อมจะใชใ้ นกรณีท่ีรอยเชื่อมเป็ นแบบไม่ต่อเน่ืองดงั แสดงในรูปท่ี

13.7

13-6

บทที่ 13 การต่อองค์อาคารโดยการเชื่อม 100 100

100 100 50 50 5
50 50 50 0

6 50 - 100 6 50 - 100
6 50 - 100 6 50 - 100

รูปท่ี 13.7 ขนาด ความยาว และระยะห่างรอยเช่ือม

61 เชื่อมแบบฟิ ลเลตบนดา้ นลูกศรช้ี ขนาดรอยเช่ือม (6 ม.ม.)
0 จะอยทู่ างซา้ ยของสัญลกั ษณ์ และความยาว(10 ซม.)จะอยู่
ทางขวา

12 5 - 15 เชื่อมแบบฟิ ลเลตขนาด 12 ม.ม. บนดา้ นตรงขา้ ม ความ
ยาวรอยเช่ือม 5 ซม. ระยะห่างระหวา่ งรอยเชื่อม 15 ซม.

6 15 เช่ือมแบบฟิ ลเลตขนาด 6 ม.ม.ท้งั สองดา้ น ความยาวรอย
9 5 - 15 เช่ือม 15 ซม. ทาการเช่ือมในสนาม

E70 เช่ือมแบบฟิ ลเลตขนาด 9 ม.ม.สลบั ฟันปลา ความยาวรอย
เช่ือม 5 ซม. ระยะห่างระหวา่ งรอยเชื่อมบนดา้ นท้งั สอง
15 ซม.

ใชล้ วดเช่ือมชนิด E70

รูปที่ 13.8 ตวั อยา่ งของสญั ลกั ษณ์รอยเช่ือม

13.4 กาลงั ของรอยเช่ือมฟิ ลเลต

รอยเช่ือมฟิ ลเลตเป็ นรอยเช่ือมท่ีผิวซ่ึงขนาดและความยาวไม่ถูกกาหนดโดยหนา้ ตดั เหล็กท่ีถูกเช่ือม ดงั น้นั
ผอู้ อกแบบจะเป็ นผกู้ าหนดเองเพื่อใหม้ ีกาลงั เหมาะสมในการรับแรง จากการทดสอบพบวา่ รอยเช่ือมฟิ ลเลต
จะมีความแขง็ แรงในการรับแรงดึงและแรงอดั มากกวา่ แรงเฉือน ดงั น้นั จึงใชก้ าลงั เฉือนบนพ้ืนที่คอรอยเช่ือม

13-7

บทท่ี 13 การต่อองค์อาคารโดยการเชื่อม

ประสิทธิผลดงั ในรูปท่ี 13.9 ในรอยเชื่อมฟิ ลเลตขาเท่ากนั มีหนา้ ตดั เป็ นรูปสามเหลี่ยมมุมฉากมีดา้ นเอียงทา
มุม 45o ระยะคอประสิทธิผลคือ

sin 45o  ขนาดขารอยเช่ือม = 0.707  ขนาดขารอยเชื่อม

กาลงั ของรอยเชื่อมฟิ ลเลตจะข้ึนกบั ทิศทางการรับแรง จากรูป 13.9 จะมีสองทิศทางคือทิศขนานและทิศต้งั
ฉากกับแนวรอยเช่ือม เม่ือแรงอยู่ในทิศขนานรอยเชื่อม กาลังของรอยเช่ือมคานวณได้โดยใช้พ้ืนท่ีคอ
ประสิทธิผลคูณกบั หน่วยแรงเฉือนท่ียอมให้ ส่วนในทิศต้งั ฉากน้นั จากการทดสอบพบวา่ มีกาลงั มากกวา่ ทิศ
ขนานประมาณหน่ึงในสาม แต่ AISC ก็ไม่ไดย้ อมใหใ้ ชก้ าลงั ในส่วนท่ีมากกวา่ น้ี

P P
45o

Throat = 0.707  leg

(a) แรงในแนวขนานรอยเชื่อม (b) แรงในแนวต้งั ฉากรอยเชื่อม

รูปที่ 13.9 รอยเชื่อมฟิ ลเลตรับแรงในทิศขนานและต้งั ฉากกบั รอยเช่ือม

สาหรับการเช่ือมแบบฟิ ลเลต หน่วยแรงที่เฉือนท่ียอมใหบ้ นพ้นื ท่ีประสิทธิผลจะเท่ากบั

Fv = 0.30 Fu (13.1)

เม่ือ Fu คือกาลงั ดึงของรอยเชื่อม ดงั น้นั กาลงั ของรอยเชื่อมฟิ ลเลตต่อความยาวจะมีคา่ เท่ากบั

P = Fv (0.707) (ขนาดขารอยเช่ือม)

ชนิดของลวดเช่ือมสาหรับการเช่ือมด้วยประกายไฟฟ้ า(Arc welding) จะถูกเรียกเป็ น E60XX
E70XX และอ่ืนๆ ตวั อกั ษร E ยอ่ มาจาก Electrode หรือลวดเช่ือม ในขณะท่ีตวั เลขสองตวั แรก (ซ่ึงอาจเป็ น
60 70 80 90 100 หรือ 110) จะแสดงกาลงั ประลยั ของลวดเชื่อมในหน่วย ksi (kip/in.2) ตวั เลขสองตวั ที่
เหลือจะแสดงชนิดของการเคลือบผวิ ท่ีใชใ้ นลวดเช่ือมบางชนิด

13-8

บทท่ี 13 การต่อองค์อาคารโดยการเช่ือม

เนื่องจากกาลงั เป็ นสิ่งสาคญั สาหรับผูอ้ อกแบบ ตวั เลขสองตวั สุดทา้ ยจึงมกั จะถูกละไวเ้ ป็ น XX
ดงั น้นั จึงอาจเรียก E70XX หรือเพียง E70 เฉยๆก็ไดซ้ ่ึงจะหมายถึงลวดเช่ือมท่ีมีกาลงั ประลยั 70 ksi หรือ
4,900 ก.ก./ตร.ซม. ในเมืองไทยมีเพียงลวดเช่ือมสองเกรดท่ีใชก้ นั ทว่ั ไปคือ E60 และ E70

ตารางท่ี 13.3 กาลงั รอยเช่ือม (ก.ก./ซม.)

ขนาดรอยเชื่อม (ม.ม.) E60 E70

3 267 310

5 445 520

6 530 620

8 710 830

10 890 1040

12 1070 1250

16 1425 1660

นอกจากกาลงั รอยเชื่อมที่กาหนดไวใ้ นตารางท่ี 13.3 ยงั มีขอ้ กาหนดเพม่ิ เติมสาหรับรอยเช่ือมดงั น้ี

1. ความยาวน้อยสุดของรอยเชื่อมแบบฟิ ลเลต จะตอ้ งไม่นอ้ ยกวา่ สี่เทา่ ของขนาดขาของรอยเช่ือม

2. ขนาดใหญ่สุดของรอยเชื่อม สาหรับแผน่ เหล็กท่ีหนาไม่เกิน 6 ม.ม.รอยเชื่อมจะเท่ากบั ความหนาแผน่
เหล็ก สาหรับแผน่ เหล็กท่ีหนากวา่ ขนาดของรอยเชื่อมจะเท่ากบั ความหนาของแผน่ เหลก็ ลบ 2 ม.ม.

3. ขนาดเลก็ สุดของรอยเชื่อม ถูกแสดงไวใ้ นตารางที่ 13.4 ซ่ึงจะมีต้งั แต่ขนาด 3 ม.ม. สาหรับเหล็กหนา
6 ม.ม. หรือนอ้ ยกวา่ จนถึงขนาด 8 ม.ม.สาหรับแผน่ เหลก็ ท่ีหนากวา่ 19 ม.ม.

ตารางท่ี 13.4 ขนาดใหญส่ ุดและเล็กสุดของรอยตอ่ เชื่อม

ความหนาแผ่นเหลก็ ขนาดรอยเชื่อมเลก็ สุด ขนาดรอยเชื่อมใหญ่สุด

(ม.ม.) (ม.ม.) (ม.ม.)

t6 3 t
6 < t  12 5 t–2
12 < t  19 6 t–2
t  19 8 t–2

4. การเชื่อมแบบฟิ ลเลตควรมีการอ้อมปลาย(End return) ดงั แสดงในรูปท่ี 13.10 ความยาวของ
การอ้อมปลายไม่ควรน้อยกว่าสองเท่าของขนาดรอยเชื่อม เพ่ือช่วยลดหน่วยแรงเกินปกติ
(Stress concentration) ท่ีจะเกิดข้ึนที่ปลายรอยเช่ือม

13-9

บทที่ 13 การต่อองค์อาคารโดยการเช่ือม

5. เม่อื ใช้การเช่ือมแบบฟิ ลเลตตามยาว สาหรับการต่อแผน่ เหล็ก หรือเหล็กเส้น ความยาวจะตอ้ งไม่นอ้ ย
กวา่ ระยะต้งั ฉากระหว่างแนวเช่ือม สาหรับการต่อปลายน้นั ถา้ ไม่มีการออกแบบเผ่ือสาหรับโมเมนต์
ดดั ในแนวขวาง ระยะระหวา่ งแนวของการเชื่อมแบบฟิ ลเลตจะห่างไดไ้ ม่เกิน 20 ซม.

6. ระยะทาบน้อยท่ีสุด ตอ้ งไม่เกิน 5 เท่าของความหนาของส่วนที่บางกวา่ ซ่ึงจะนามาต่อกนั และจะตอ้ ง
ไมน่ อ้ ยกวา่ 25 ม.ม.

P End P
Return

รูปที่ 13.10 รอยเชื่อมฟิ ลเลตแบบมีการออ้ มปลาย

ตัวอย่างที่ 13-1 จงพิจารณาแรงดึง P ท่ีจุดต่อดงั ในรูปสามารถรองรับได้ ใชเ้ หล็ก A36 ลวดเช่ือมเป็ นแบบ
E70 และรอยเช่ือมแบบฟิ ลเลตมีขนาด 10 มม.

15 cm PL 2 x 20

P 20 cm P

10 mm 

วธิ ีทา
กาลงั ของรอยเช่ือมแบบฟิ ลเลตขนาด 10 ม.ม. = 1,040 กก./ซม.
แรงดึงท่ียอมใหข้ องรอยเชื่อม = (15+20+15)(1,040)/1,000 = 52 ตนั (ควบคุม)
แรงดึงที่ยอมใหข้ องแผน่ เหล็ก = (2  20) (0.60  2.5) = 60 ตนั
P = 52 ตัน

ตัวอย่างท่ี 13-2 โดยใชเ้ หล็ก A36 และลวดเชื่อม E70 ออกแบบรอยเชื่อมแบบฟิ ลเลตเพื่อตา้ นทานน้าหนกั
บรรทุกเตม็ ท่ีบนแผน่ เหล็ก 110 ซม. ดงั แสดงในรูป

13-10

บทที่ 13 การต่อองค์อาคารโดยการเช่ือม PL 1 x 10
P
P

วธิ ีทา P = (1.0)(10)(0.6)(2.5) = 15 ตนั 
ขนาดรอยเชื่อมใหญ่สุด = 10 – 2 = 8 มม.
ขนาดรอยเชื่อมเล็กสุด = 5 มม.
ใช้รอยเช่ือมขนาด 8 มม.
กาลงั ที่ยอมใหข้ องรอยเชื่อม = 830 กก./ซม.
ความยาวรอยเชื่อมที่ตอ้ งการ = 15(1,000)/830 = 18 ซม.
ใชก้ ารเชื่อมออ้ มปลายไมน่ อ้ ยกวา่ 20.8 = 1.6 (ใช้ 2 ซม.)
ความยาวรอยเช่ือมแต่ละขา้ ง = 18/2 - 2 = 7 ซม. < 10 ซม. (ใช้ 10 ซม.)

ในบางโอกาสความยาวที่มีใหข้ องการเชื่อมแบบฟิ ลเลตตามยาวไม่เพียงพอสาหรับน้าหนกั บรรทุกที่
ตอ้ งการรับ จึงอาจใชก้ ารเชื่อมในรูปท่ี 13.11 ให้รอยเช่ือมมีกาลงั เพียงพอโดยเพ่ิมการเช่ือมขอบแผน่ เหล็ก
ติดกบั หลงั หนา้ ตดั รางน้าและใชก้ ารเชื่อมแบบอุดรูยาวดงั จะแสดงในตวั อยา่ งท่ี 13-3

C380x54.5 (tw=10.5 mm) Slot weld
80 t 80 t

Weld on back of channel 15 cm

รูปท่ี 13.11 รอยเช่ือมแบบอุดรูยาว

13-11


Click to View FlipBook Version