1
2 คาถาชุมนุมเทวดา ผะริตะวานะ เมตตัง สะเมตตา ภะทันตา อะวิกขิตตะจิตตา ปะริตัง ภะณันตุ สัคเค กาเม จะ รูเป คิริสิขะระตะเฏ จันตะลิกเข วิมาเน ทีเปรัฏเฐ จะ คาเม ตะรุวะนะคะหะเน เคหะวัตถุมหิ เขตเต ภุมมา จายันตุ เทวา ชะละถะละวิสะเม ยักขะคันธัพพะนาคา ติฏฐันตา สันติเก ยังมุนิวะระวะจะนัง สาธะโวเม สุณันตุฯ ธัมมัสสะวะนะกาโล อะยัมภะทันตา ธัมมัสสะวะนะกาโล อะยัมภะทันตา ธัมมัสสะวะนะกาโล อะยัมภะทันตา... คําแปล ทานผูเจริญ ผูมีเมตตาขอจงแผเมตตาจิตไป อยาไดมีจิตฟุงซานสวดพระปริตรเทอญ ขอเชิญเทวดาทั้งหลายซึ่งสิงสถิตอยูในสวรรคชั้นกามภพ ในชั้นรูปภพ สิงสถิตอยูบนยอด เขา และที่หุบผา ทั้งที่มีวิมานอยูในอากาศ และภุมมเทวดาทั้งหลาย ซึ่งสิงสถิตอยูในทวีป ในรัฐ ในหมูบาน บนตนไม ในปาชัฏ ในเหยาเรือน และเรือกสวนไรนา ตลอดทั้งเหลา ยักษ คนธรรพ และเหลานาคทั้งหลาย ผูเปนสาธุชน ซึ่งอยูในน้ํา บนบก ที่ลุม และที่ดอน จงมาชุมนุมกัน ขอเชิญฟงคําของพระมุนีเจาผูประเสริฐ ทานผูเจริญทั้งหลาย กาลนี้เปนกาลฟงธรรม ทานผูเจริญทั้งหลาย กาลนี้เปนกาลฟงธรรม ทานผูเจริญทั้งหลาย กาลนี้เปนกาลฟงธรรม บทกราบพระรัตนตรัย อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา, พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ. ส๎วากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม, ธัมมัง นะมัสสามิ. สุปะฏิปนโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, สังฆัง นะมามิ
3 นมัสการพระรัตนตรัย นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต,อะระหะโต, สัมมาสัมพุทธัสสะ นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต, อะระหะโต, สัมมาสัมพุทธัสสะ นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต, อะระหะโต, สัมมาสัมพุทธัสสะ ไตรสรณคมน พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ ทุติยัมป พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ทุติยัมป ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ ทุติยัมป สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ ตะติยัมป พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ตะติยัมป ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ ตะติยัมป สังฆัง สะระณัง คัจฉา บทสวดสรรเสริญพระรัตนตรัย บทสรรเสริญ พระพุทธคุณ อิติป โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจะระณะสัมปนโน สุคะโต โลกะวิทู อะนุตตะโร ปุริสสะทัมมะสาระถิสัตถา เทวะมนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ.
4 บทสรรเสริญ พระธรรมคุณ สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม สันทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปสสิโก โอปะนะยิ โก ปจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญูฮีติ. บทสรรเสริญ พระสังฆคุณ สุปะฏิปนโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อุชุปะฏิปนโน ภะคะวะโต สาวะ กะสังโฆ ญายะปะฏิปนโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สามีจิปะฏิปนโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ยะทิทัง จัตตาริ ปุริสะยุคานิอัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา เอสะ ภะคะ วะโต สาวะกะสังโฆ อาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทักขิเณยโย อัญชะลีกะระณีโย อะนุต ตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ. คําแปล บทสรรเสริญพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระสังฆคุณ บทสรรเสริญ พระพุทธคุณ อิติป โส ภะคะวา (เพราะเหตุอยางนี้ พระผูมีพระภาคเจานั้น) อะระหัง (เปนผูไกลจาก กิเลส) สัมมาสัมพุทโธ (เปนผูตรัสรูชอบโดยพระองคเอง) วิชชาจะระณะสัมปนโน (เปนผูถึงพรอมดวยวิชชาและจรณะ) สุคะโต (เปนผูไปแลวดวยดี) โลกะวิทู (เปนผูรู โลกอยางแจมแจง) อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ (เปนผูสามารถฝกบุรุษที่สมควร ฝกได อยางไมมีใครยิ่งกวา) สัตถา เทวะมนุสสานัง (เปนครูผูสอนของเทวดาและ มนุษยทั้งหลาย) พุทโธ (เปนผูรู ผูตื่น ผูเบิกบานดวยธรรม) ภะคะวาติ. (เปนผูมีความ จําเริญจําแนกธรรมสั่งสอนสัตว ดังนี้) บทสรรเสริญ พระธรรมคุณ สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม (พระธรรม เปนสิ่งที่พระผูมีพระภาคเจาตรัสไวดีแลว) สันทิฏฐิโก (เปนสิ่งที่ผูศึกษาและปฏิบัติ พึงเห็นไดดวยตนเอง) อะกาลิโก (เปนสิ่งที่ ปฏิบัติได และใหผลไดไมจํากัดกาล) เอหิปสสิโก (เปนสิ่งที่ควรกลาวกับผูอื่นวา ทานจง
5 มาดูเถิด) โอปะนะยิโก (เปนสิ่งที่ควรนอมเขามาใสตัว) ปจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญูหีติ. (เปนสิ่งที่ผูรู พึงรูไดเฉพาะตน ดังนี้ ฯ) บทสรรเสริญ พระสังฆคุณ สุปะฏิปนโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ (สงฆสาวกของพระผูมีพระภาคเจาหมูใด ปฏิบัติดีแลว) อุชุปะฏิปนโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ (สงฆสาวกของพระผูมีพระ ภาคเจาหมูใด ปฏิบัติตรงแลว) ญายะปะฏิปนโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ (สงฆสาวก ของพระผูมีพระภาคเจาหมูใด ปฏิบัติเพื่อรูธรรมเปนเครื่องออกจากทุกขแลว) สามีจิ ปะฏิปนโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ (สงฆสาวกของพระผูมีพระภาคเจาหมูใด ปฏิบัติ สมควรแลว) ยะทิทัง (ไดแกบุคคลเหลานี้คือ) จัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐะ ปุริสะปุ คคะลา (คูแหงบุรุษสี่คู นับเรียงตัวไดแปดบุรุษ) เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ (นั่น แหละ สงฆสาวกของพระผูมีพระภาคเจา) อาหุเนยโย (เปนผูควรแกสักการะที่เขานํามา บูชา) ปาหุเนยโย (เปนผูควรแกสักการะที่จัดไวตอนรับ) ทักขิเณยโย (เปนผูควรรับ ทักษิณาทาน) อัญชะลีกะระณีโย (เปนผูที่บุคคลทั่วไปควรทําอัญชลี) อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ. (เปนเนื้อนาบุญของโลก ไมมีนาบุญอื่นยิ่งกวา ดังนี้)
6 บทสวด ปฏิจจสมุปบาท และความหมายบทสวด (บทนํา) หันทะ มะยัง ปะฏิจจะสะมุปปาทะธัมมะปาฐัง ภะณามะ เส ฯ (บทรับ) อิธะ ภิกขะเว อะริยะสาวะโก ปะฏิจจะสะมุปปาทัญเญวะ สาธุกัง โยนิโส มะนะสิกะโรติ - ภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ยอมกระทําไวในใจ โดยแยบคายเปนอยางดี ซึ่งปฏิจจสมุปบาทนั่นเทียว ดังนี้วา อิมัส๎มิง สะติ อิทัง โหติ - เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้ยอมมี อิมัสสุปปาทา อิทัง อุปปชชะติ - เพราะความเกิดขึ้นแหงสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น อิมัส๎มิง อะสะติ อิทัง นะ โหติ - เมื่อสิ่งนี้ไมมี สิ่งนี้ยอมไมมี อิมัสสะ นิโรธา อิทัง นิรุชฌะติ - เพราะความดับไปแหงสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงดับไป ยะทิทัง ไดแกสิ่งเหลานี้ คือ อะวิชชาปจจะยา สังขารา - เพราะมีอวิชชาเปนปจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย สังขาระปจจะยา วิญญาณัง - เพราะมีสังขารเปนปจจัย จึงมีวิญญาณ วิญญาณะปจจะยา นามะรูปง - เพราะมีวิญญาณเปนปจจัย จึงมีนามรูป
7 นามะรูปะปจจะยา สะฬายะตะนัง - เพราะมีนามรูปเปนปจจัย จึงมีสฬายตนะ สะฬายะตะนะปจจะยา ผัสโส - เพราะมีสฬายตนะเปนปจจัย จึงมีผัสสะ ผัสสะปจจะยา เวทะนา - เพราะมีผัสสะเปนปจจัย จึงมีเวทนา เวทะนาปจจะยา ตัณหา - เพราะมีเวทนาเปนปจจัย จึงมีตัณหา ตัณหาปจจะยา อุปาทานัง - เพราะมีตัณหาเปนปจจัย จึงมีอุปาทาน อุปาทานะปจจะยา ภะโว - เพราะมีอุปาทานเปนปจจัย จึงมีภพ ภะวะปจจะยา ชาติ - เพราะมีภพเปนปจจัย จึงมีชาติ ชาติปจจะยา ชะรามะระณัง โสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสา สัมภะวันติ - เพราะมีชาติเปนปจจัย ชรา มรณะ โสกะปริเทวะทุกขโทมนัส อุปายาสะทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถวน เอวะเมตัสสะ เกวะลัสสะ ทุกขักขันธัสสะสะมุทะโย โหติ - ความเกิดขึ้นพรอมแหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมีดวยอาการอยางนี้
8 อะวิชชายะเต๎ววะ อะเสสะวิราคะนิโรธา สังขาระนิโรโธ - เพราะความจางคลายดับไปโดยไมเหลือ แหงอวิชชานั้นนั่นเทียว จึงมีความดับแหงสังขาร สังขาระนิโรธา วิญญาณะนิโรโธ - เพราะมีความดับแหงสังขาร จึงมีความดับแหงวิญญาณ วิญญาณะนิโรธา นามะรูปะนิโรโธ - เพราะมีความดับแหงวิญญาณ จึงมีความดับแหงนามรูป นามะรูปะนิโรธา สะฬายะตะนะนิโรโธ - เพราะมีความดับแหงนามรูป จึงมีความดับแหงสฬายตนะ สะฬายะตะนะนิโรธา ผัสสะนิโรโธ - เพราะมีความดับแหงสฬายตนะ จึงมีความดับแหงผัสสะ ผัสสะนิโรธา เวทะนานิโรโธ - เพราะมีความดับแหงผัสสะ จึงมีความดับแหงเวทนา เวทะนานิโรธา ตัณหานิโรโธ - เพราะมีความดับแหงเวทนา จึงมีความดับแหงตัณหา ตัณหานิโรธา อุปาทานะนิโรโธ - เพราะมีความดับแหงตัณหา จึงมีความดับแหงอุปาทาน อุปาทานะนิโรธา ภะวะนิโรโธ - เพราะมีความดับแหงอุปาทาน จึงมีความดับแหงภพ ภะวะนิโรธา ชาตินิโรโธ - เพราะมีความดับแหงภพ จึงมีความดับแหงชาติ ชาตินิโรธา ชะรามะระณัง โสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสา นิรุชฌันติ
9 - เพราะมีความดับแหงชาตินั่นแล ชรา มรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสะทั้งหลาย จึงดับสิ้น เอวะเม ตัสสะ เกวะลัสสะ ทุกขักขันธัสสะ นิโรโธ โหตีติ - ความดับลงแหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้ ยอมมีดวยอาการอยางนี้ ดังนี้ บทขัดธัมมจักกัปปวัตตนสูตร อะนุตตะรัง อะภิสัมโพธิง สัมพุชฌิต๎วา ตะถาคะโต ปะฐะมัง ยัง อะเทเสสิ ธัมมะจักกัง อะนุตตะรัง สัมมะเทวะ ปะวัตเตนโต โลเก อัปปะฏิวัตติยัง ยัตถากขาตา อุโภ อันตา ปะฏิปตติ จะ มัชฌิมา จะตูส๎วาริยะสัจเจสุ วิสุทธัง ญาณะทัสสะนัง เทสิตัง ธัมมะราเชนะ สัมมาสัมโพธิกิตตะนัง นาเมนะ วิสสุตัง สุตตัง ธัมมะจักกัปปะวัตตะนัง เวยยากะระณะปาเฐนะ สังคีตันตัมภะณามะ เส ฯ คําแปล พระตถาคตตรัสรูพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแลว เมื่อ จะทรงประกาศธรรมที่ใครๆ ยังมิไดใหเปนแลวในโลกใหเปนไปโดยชอบแท ทรงแสดง อนุตตรธรรมจักรใด คือในธรรมจักรใด พระองคตรัสซึ่งที่สุด ๒ ประการ และขอ ปฏิบัติเปนกลาง และปญญาอันรูเห็นที่หมดจดแลวในอริยสัจทั้ง ๔ เราทั้งหลายจง สวดธรรมจักรนั้นที่พระองคผูเปนพระธรรมราชาทรงแสดงแลว ปรากฏโดยชื่อวา ธัมม จักกัปปวัตตนสูตร เปนสูตรประกาศพระสัมมาสัมโพธิญาณ อันพระสังคีติกาจารย รอย กรองไวโดยเวยยากรณปาฐะเทอญ
10 อานิสงสแหงการสวดธัมมจักกัปปวัตตนสูตร บทสวดธรรมจักรทานใดไดสวด จะทําใหชีวิตเจริญรุงเรือง กิจการมีความ เจริญกาวหนา ทําใหผูสวดมีอายุยืน มีความสุขกายสุขใจ ปราศจากทุกขโศกโรคภัย ปลดเปลื้องทุกขภัยตาง ๆ นานาได สิ่งเลวรายจะกลับกลายเปนแกวสารพัดนึกขึ้นมา ได หากสวดประจําจะเปนมิ่งมงคลแกตัวมีความกาวหนาสถาพร ทรัพยสมบัติขาวของ บริบูรณ ตายแลวก็ไปเกิดในสุคติโลกสวรรค ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร เอวัมเม สุตังฯ เอกัง สะมะยัง ภะคะวา พาราณะสิยัง วิหะระติ อิสิปะตะเน มิคะ ทาเย ฯ ตัต๎ระ โข ภะคะวา ปญจะวัคคิเย ภิกขู อามันเตสิ ฯ เทวเม ภิกขะเว อันตา ปพพะชิเตนะ นะ เสวิตัพพา โย จายัง กาเมสุ กามะสุขัลลิ กานุโยโค หีโน คัมโม โปถุชชะนิโก อะนะริโย อะนัตถะสัญหิโต โย จายัง อัตตะกิละ มะถานุโยโค ทุกโข อะนะริโย อะนัตถะสัญหิโต ฯ เอเต เต ภิกขะเว อุโภ อันเต อะนุปะคัมมะ มัชฌิมา ปะฏิปะทา ตะถาคะเตนะ อะภิสัมพุทธา จักขุกะระณี ญาณะกะระณี อุปะสะมายะ อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิ พพานายะ สังวัตตะติ ฯ กะตะมา จะ สา ภิกขะเว มัชฌิมา ปะฏิปะทา ตะถาคะเตนะ อะภิสัมพุทธา จักขุ กะระณี ญาณะกะระณี อุปะสะมายะ อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ ฯ อะยะเมวะ อะริโย อัฏฐังคิโก มัคโค ฯ เสยยะถีทัง ฯ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว สัมมาวายาโม สัมมาสะติ สัมมาสะมาธิ ฯ อะยัง โข สา ภิกขะเว มัชฌิมา ปะฏิปะทา ตะถาคะเตนะ อะภิสัมพุทธา จักขุ กะระณี ญาณะกะระณี อุปะสะมายะ อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ ฯ อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขัง อะริยะสัจจัง ฯ ชาติป ทุกขา ชะราป ทุกขา มะระณัมป ทุกขัง โสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสาป ทุกขา อัปปเยหิ สัมปะโย
11 โค ทุกโข ปเยหิ วิปปะโยโค ทุกโข ยัมปจฉัง นะ ละภะติ ตัมป ทุกขัง สังขิตเตนะ ปญจุ ปาทานักขันธา ทุกขา ฯ อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจัง ฯ ยายัง ตัณหา โปโนพภะ วิกา นันทิ ราคะสะหะคะตา ตัต๎ระ ตัต๎ราภินันทินี ฯ เสยยะถีทัง ฯ กามะตัณหา ภะ วะตัณหา วิภะวะตัณหา ฯ อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจัง ฯ โย ตัสสาเยวะ ตัณหายะ อะเสสะวิราคะนิโรโธ จาโค ปะฏินิสสัคโค มุตติ อะนาละโย ฯ อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะสัจจัง ฯ อะยะเมวะ อะริโย อัฏฐังคิโก มัคโค ฯ เสยยะถีทัง ฯ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว สัมมาวายาโม สัมมาสะติ สัมมาสะมาธิ ฯ (หยุด) อิทัง ทุกขัง อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะ ปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ ตัง โข ปะนิทัง ทุกขัง อะริยะสัจจัง ปะริญเญยยันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุ เตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ ตัง โข ปะนิทัง ทุกขัง อะริยะสัจจัง ปะริญญาตันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุ เตสุ ธัมเมสุจักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ อิทัง ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจัง ปะหาตัพพันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะ ปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ
12 ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจัง ปะหีนันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะ นุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ อิทัง ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจัง สัจฉิกาตัพพันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะ ปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจัง สัจฉิกะตันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะ นุสสุเตสุธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ อิทัง ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุ เตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโล โก อุทะปาทิ ฯ ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะสัจจัง ภาเวตัพพันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปญญา อุทะ ปาทิ วิชชา อุทะปาทิอาโลโก อุทะปาทิ ฯ ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะสัจจัง ภาวิตันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ ยาวะกีวัญจะ เม ภิกขะเว อิเมสุ จะตูสุ อะริยะสัจเจสุ เอวันติปะริวัฏฏัง ท๎วาทะ สาการัง ยะถาภูตัง ญาณะทัสสะนัง นะ สุวิสุทธัง อะโหสิ ฯ
13 เนวะ ตาวาหัง ภิกขะเว สะเทวะเก โลเก สะมาระเก สะพ๎รัห๎มะเก สัสสะมะณะ พ๎ ราห๎มะณิยาปะชายะ สะเทวะมะนุสสายะ อะนุตตะรัง สัมมาสัมโพธิง อะภิสัมพุทโธ ปจจัญญาสิง ฯ ยะโต จะ โข เม ภิกขะเว อิเมสุ จะตูสุ อะริยะสัจเจสุ เอวันติปะริวัฏฏัง ท๎วาทะสา การัง ยะถาภูตัง ญาณะทัสสะนัง สุวิสุทธัง อะโหสิ ฯ อะถาหัง ภิกขะเว สะเทวะเก โลเก สะมาระเก สะพ๎รัห๎มะเก สัสสะมะณะพ๎ราห๎ มะณิยา ปะชายา สะเทวะมะนุสสายะ อะนุตตะรัง สัมมาสัมโพธิง อะภิสัมพุทโธ ปจจัญญาสิง ฯ ญาณัญจะ ปะนะ เม ทัสสะนัง อุทะปาทิ อะกุปปา เม วิมุตติ อะยะมันติมา ชาติ นัตถิทานิ ปุนัพภะโวติ ฯ อิทะมะโวจะ ภะคะวาฯ อัตตะมะนา ปญจะวัคคิยา ภิกขู ภะคะวะโต ภาสิตัง อะภินันทุง ฯ อิมัส๎มิญจะ ปะนะ เวยยากะระณัส๎มิง ภัญญะมาเน อายัสมะโต โกณ ฑัญญัสสะ วิระชัง วีตะมะลัง ธัมมะจักขุง อุทะปาทิ ยังกิญจิ สะมุทะยะธัมมัง สัพพันตัง นิโรธะธัมมันติ ฯ ปะวัตติเต จะ ภะคะวะตา ธัมมะจักเก ภุมมา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง เอตัมภะ คะวะตา พาราณะสิยัง อิสิปะตะเน มิคะทาเย อะนุตตะรัง ธัมมะจักกัง ปะวัตติตัง อัปปะฏิวัตติยัง สะมะเณนะ วา พ๎ราห๎มะเณนะ วา เทเวนะ วา มาเรนะ วา พ๎รัห๎มุนา วา เกนะจิ วา โลกัส๎มินติ ฯ (หยุด) ภุมมานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา จาตุมมะหาราชิกา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ จาตุมมะหาราชิกานัง เท วานัง สัททัง สุต๎วา ตาวะติงสา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ ตาวะติงสานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา ยามา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ ยามานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา
14 ตุสิตา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ ตุสิตานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา นิมมานะระตี เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ นิมมานะระตีนัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา ปะระนิมมิตะวะสะวัตตี เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ ปะระนิมมิตะวะสะวัต ตีนัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา (เมื่อจะสวดยอเพียงสวรรค ๖ ชั้น ครั้นสวดมาถึงตรงนี้แลวสวด พ๎รัห๎มะกายิกา เทวา สัท ทะมะนุส สะเวสุง แลวลง เอตัมภะคะวะตา พาราณะสิยัง อิสิปะตะเน มิคะทาเย ฯลฯ เหมือนกันไปจนจบ) พ๎รัห๎มะปาริสัชชา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ พ๎รัห๎มะปาริสัชชานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา พ๎รัห๎มะปะโรหิตา เทวา สัททะมะนุสสาสเวสุง ฯ พ๎รัห๎มะปะโรหิตานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา มะหาพ๎รัห๎มา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ มะหาพ๎รัห๎มานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา ปะริตตาภา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ ปะริตตาภานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา อัปปะมาณาภา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ อัปปะมาณาภานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา อาภัสสะรา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ อาภัสสะรานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา ปะริตตะสุภา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ ปะริตตะสุภานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา อัปปะมาณะสุภา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ อัปปะมาณะสุภานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา
15 สุภะกิณหะกา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ สุภะกิณหะกานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา (อะสัญญิสัตตา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง อะสัญญิสัตตานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา) เวหัปผะลา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ เวหัปผะลานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา อะวิหา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ อะวิหานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา อะตัปปา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ อะตัปปานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา สุทัสสา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ สุทัสสานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา สุทัสสี เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ สุทัสสีนัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา อะกะนิฏฐะกา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ เอตัมภะคะวะตา พาราณะสิยัง อิสิปะตะเน มิคะทาเย อะนุตตะรัง ธัมมะจักกัง ปะวัตติตัง อัปปะฏิวัตติยัง สะมะเณนะ วา พ๎ราห๎มะเณนะ วา เทเวนะ วา มาเรนะ วา พ๎รัห๎มุนา วา เกนะจิ วา โลกัส๎มินติ ฯ (หยุด) อิติหะ เตนะ ขะเณนะ เตนะ มุหุตเตนะ ยาวะ พ๎รัห๎มะโลกา สัทโท อัพภุคคัจฉิ ฯ อะยัญ จะ ทะสะสะหัสสี โลกะธาตุ สังกัมป สัมปะกัมป สัมปะเวธิ ฯ อัปปะมาโณ จะ โอฬาโร โอภาโส โลเก ปาตุระโหสิ อะติกกัมเมวะ เทวานัง เทวานุภาวัง ฯ อะถะโข ภะคะวา อุทานัง อุทาเนสิ อัญญาสิ วะตะ โภ โกณฑัญโญ อัญญาสิ วะ ตะ โภ โกณฑัญโญติ ฯ อิติหิทัง อายัสมะโต โกณฑัญญัสสะ อัญญาโกณฑัญโญเตววะ นามัง อะโหสี ติ ฯ คําแปล ขาพเจาไดสดับมาอยางนี้ สมัยหนึ่ง พระผูมีพระภาคประทับอยู ณ ปาอิสิปตนมฤคทายวัน เขตกรุงพาราณสี ณ ที่นั้นแล พระผูมีพระภาครับสั่งเรียก ภิกษุปญจวัคคียมาตรัสวา
16 ภิกษุทั้งหลาย ที่สุด ๒ ประการ บรรพชิตไมพึงเสพ ที่สุด ๒ ประการ อะไรบาง คือ กามสุขัลลิกานุโยค (การหมกมุนอยูดวยกามสุขในกามทั้งหลาย) เปนธรรมอันทราม เปนของชาวบาน เปนของปุถุชน ไมใชของพระอริยะ ไมประกอบดวยประโยชน อัตตกิลมถานุโยค (การประกอบความเดือดรอนแกตน) เปนทุกข ไมใชของพระอริยะ ไม ประกอบดวยประโยชน มัชฌิมาปฏิปทาไมเอียงเขาใกลที่สุด ๒ ประการนี้ที่ตถาคตไดตรัสรู อันเปน ปฏิปทากอใหเกิดจักษุ กอใหเกิดญาณ เปนไปเพื่อสงบระงับ เพื่อรูยิ่ง เพื่อตรัสรู เพื่อนิพพาน มัชฌิมาปฏิปทาที่ตถาคตไดตรัสรู อันเปนปฏิปทากอใหเกิดจักษุ กอใหเกิด ญาณ เปนไปเพื่อสงบระงับ เพื่อรูยิ่ง เพื่อตรัสรู เพื่อนิพพานนั้น เปนอยางไร คือ อริยมรรค มีองค ๘ นี้แล ไดแก สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ นี้คือมัชฌิมาปฏิปทานั้นที่ตถาคตไดตรัสรูแลว อันเปนปฏิปทาที่กอใหเกิดจักษุ กอใหเกิดญาณ เปนไปเพื่อสงบระงับ เพื่อรูยิ่ง เพื่อตรัสรู เพื่อนิพพาน ภิกษุทั้งหลาย ขอนี้เปนทุกขอริยสัจ คือ แมความเกิดก็เปนทุกข แมความแกก็ เปนทุกข แมความเจ็บก็เปนทุกข แมความตายก็เปนทุกข ความประสบสิ่งอันไมเปน ที่รักก็เปนทุกข ความพลัดพรากจากสิ่งอันเปนที่รักก็เปนทุกข ปรารถนาสิ่งใดไมไดสิ่ง นั้นก็เปนทุกข โดยยออุปาทานขันธ ๕ เปนทุกข ภิกษุทั้งหลาย ขอนี้เปนทุกขสมุทยอริยสัจ คือ ตัณหาอันทําใหเกิดอีก ประกอบดวยความเพลิดเพลินและความกําหนัด มีปกติใหเพลิดเพลินในอารมณนั้น ๆ คือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ภิกษุทั้งหลาย ขอนี้เปนทุกขนิโรธอริยสัจ คือ ความดับตัณหาไมเหลือดวยวิราคะ ความสละ ความสละคืน ความพน ความไมอาลัยในตัณหา
17 ภิกษุทั้งหลาย ขอนี้เปนทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ คือ อริยมรรคมีองค ๘ นี้ แล ไดแกสัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติสัมมาสมาธิ ภิกษุทั้งหลาย จักษุเกิดขึ้นแลว ญาณเกิดขึ้นแลว ปญญาเกิดขึ้นแลว วิชชาเกิดขึ้น แลว แสงสวางเกิดขึ้นแลวแกเราในธรรมทั้งหลายที่ไมเคยไดฟงมากอนวา นี้ทุกขอริยสัจ จักษุเกิดขึ้นแลว ญาณเกิดขึ้นแลว ปญญาเกิดขึ้นแลว วิชชาเกิดขึ้นแลว แสงสวาง เกิดขึ้นแลวแกเราในธรรมทั้งหลายที่ไมเคยไดฟงมากอนวา ทุกขอริยสัจนี้ควรกําหนดรู จักษุเกิดขึ้นแลว ญาณเกิดขึ้นแลว ปญญาเกิดขึ้นแลว วิชชาเกิดขึ้นแลว แสงสวาง เกิดขึ้นแลวแกเราในธรรมทั้งหลายที่ไมเคยไดฟงมากอนวา ทุกขอริยสัจนี้ เราไดกําหนดรู แลว ภิกษุทั้งหลาย จักษุเกิดขึ้นแลว ญาณเกิดขึ้นแลว ปญญาเกิดขึ้นแลว วิชชาเกิดขึ้น แลว แสงสวางเกิดขึ้นแลวแกเราในธรรมทั้งหลายที่ไมเคยไดฟงมากอนวา นี้ทุกขสมุท ยอริยสัจ จักษุเกิดขึ้นแลว ญาณเกิดขึ้นแลว ปญญาเกิดขึ้นแลว วิชชาเกิดขึ้นแลว แสงสวาง เกิดขึ้นแลวแกเราในธรรมทั้งหลายที่ไมเคยไดฟงมากอนวา ทุกขสมุทยอริยสัจ นี้ ควรละ จักษุเกิดขึ้นแลว ญาณเกิดขึ้นแลว ปญญาเกิดขึ้นแลว วิชชาเกิดขึ้นแลว แสงสวาง เกิดขึ้นแลวแกเราในธรรมทั้งหลายที่ไมเคยไดฟงมากอนวา ทุกขสมุทยอริยสัจ นี้ เราละไดแลว ภิกษุทั้งหลาย จักษุเกิดขึ้นแลว ญาณเกิดขึ้นแลว ปญญาเกิดขึ้นแลว วิชชาเกิดขึ้น แลว แสงสวางเกิดขึ้นแลวแกเราในธรรมทั้งหลายที่ไมเคยไดฟงมากอนวา นี้ทุกขนิโรธ อริยสัจ
18 จักษุเกิดขึ้นแลว ญาณเกิดขึ้นแลว ปญญาเกิดขึ้นแลว วิชชาเกิดขึ้นแลว แสงสวาง เกิดขึ้นแลวแกเราในธรรมทั้งหลายที่ไมเคยไดฟงมากอนวา ทุกขนิโรธอริยสัจนี้ควรทํา ใหแจง จักษุเกิดขึ้นแลว ปญญาเกิดขึ้นแลว วิชชาเกิดขึ้นแลว แสงสวางเกิดขึ้นแลวแกเรา ในธรรมทั้งหลายที่ไมเคยไดฟงมากอนวา ทุกขนิโรธอริยสัจนี้เราไดทําใหแจงแลว ภิกษุทั้งหลาย จักษุเกิดขึ้นแลว ญาณเกิดขึ้นแลว ปญญาเกิดขึ้นแลว วิชชาเกิดขึ้น แลว แสงสวางเกิดขึ้นแลวแกเราในธรรมทั้งหลายที่ไมเคยไดฟงมากอนวา นี้ทุกขนิโรธคา มินีปฏิปทาอริยสัจ จักษุเกิดขึ้นแลว ญาณเกิดขึ้นแลว ปญญาเกิดขึ้นแลว วิชชาเกิดขึ้นแลว แสงสวาง เกิดขึ้นแลวแกเราในธรรมทั้งหลายที่ไมเคยไดฟงมากอนวา ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา อริยสัจนี้ควรเจริญ จักษุเกิดขึ้นแลว ญาณเกิดขึ้นแลว ปญญาเกิดขึ้นแลว วิชชาเกิดขึ้นแลว แสงสวาง เกิดขึ้นแลวแกเราในธรรมทั้งหลายที่ไมเคยไดฟงมากอนวา ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา อริยสัจนี้เราไดเจริญแลว ภิกษุทั้งหลาย ญาณทัสสนะ(ความรูเห็น) ตามความเปนจริงของเราในอริยสัจ ๔ ประการนี้ มีวน ๓ รอบ มี ๑๒ อาการอยางนี้ยังไมหมดจดดีตราบใด เราก็ยังไมยืนยัน วา เปนผูตรัสรูสัมมาสัมโพธิญาณอันยอดเยี่ยมในโลก พรอมทั้งเทวโลก มารโลก พรหม โลก ในหมูสัตวพรอมทั้งสมณพราหมณ เทวดาและมนุษยตราบนั้น ภิกษุทั้งหลาย เมื่อใด ญาณทัสสนะตามความเปนจริงของเราในอริยสัจ ๔ ประการนี้ มีวน ๓ รอบ มี ๑๒ อาการอยางนี้หมดจดดีแลว เมื่อนั้นเราจึงยืนยันไดวา เปน ผูตรัสรูสัมมาสัมโพธิญาณอันยอดเยี่ยมในโลก พรอมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ใน หมูสัตวพรอมทั้งสมณพราหมณ เทวดาและมนุษย ญาณทัสสนะเกิดขึ้นแกเราวา ความหลุดพนของเราไมกําเริบ ชาตินี้เปนชาติ สุดทาย บัดนี้ภพใหมไมมีอีก
19 พระผูมีพระภาค ไดตรัสธัมมจักกัปปวัตตนสูตรนี้ ภิกษุปญจวัคคียมีใจยินดี ตาง ชื่นชมพระภาษิตของพระผูมีพระภาค เมื่อพระผูมีพระภาคตรัสเวยยากรณะอยู ธรรมจักษุอันปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน ไดเกิดแกทานพระโกณฑัญญะวา สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเปนธรรมดา สิ่งนั้นทั้งปวงมีความดับไปเปนธรรมดา ครั้นพระผูมีพระภาคทรงประกาศพระธรรมจักรใหเปนไปแลว ทวยเทพชั้นภุม มะกระจายขาววา นั่นพระธรรมจักรอันยอดเยี่ยมพระผูมีพระภาคทรงใหเปนไปแลว ณ ปาอิสิปตนมฤคทายวัน เขตกรุงพาราณสี อันสมณพราหมณ เทวดา มาร พรหม หรือ ใครๆ ในโลกใหหมุนกลับไมได ทวยเทพชั้นจาตุมหาราชสดับเสียงของทวยเทพชั้นภุมมะแลว ไดกระจายขาว ตอไปวา นั่นพระธรรมจักรอันยอดเยี่ยมพระผูมีพระภาคทรงใหเปนไปแลว ณ ปาอิสิปตน มฤคทายวัน เขตกรุงพาราณสี อันสมณะ พราหมณ เทวดา มาร พรหม หรือใคร ๆ ใน โลกใหหมุนกลับไมได ทวยเทพชั้นดาวดึงส สดับเสียงของทวยเทพชั้นจาตุมหาราชแลว ไดกระจายขาว ตอไป ฯลฯ ทวยเทพชั้นยามา สดับเสียงของทวยเทพชั้นดาวดึงสแลว ไดกระจายขาว ตอไป ฯลฯ ทวยเทพชั้นดุสิต สดับเสียงของทวยเทพชั้นยามาแลว ไดกระจายขาว ตอไป ฯลฯ ทวยเทพชั้นนิมมานรดี สดับเสียงของทวยเทพชั้นดุสิตแลวไดกระจายขาวตอไป ฯลฯ ทวยเทพชั้นปรนิมมิตวสวัตดี สดับเสียงของทวยเทพชั้นนิมมานรดีแลว ได กระจายขาวตอไป ฯลฯ (หมายเหตุ หากสวดยอเพียง สรรค ๖ ชั้น ก็แปลวาทวยเทพที่นับเนื่องในหมูพรหมสดับ เสียงของทวยเทพชั้นปรนิมมิตวสวัตดีแลวก็กระจายขาววา)
20 ทวยเทพชั้นพรหมปาริสัชชา สดับเสียงของทวยเทพชั้นปรนิมมิตวสวัตตีแลว ก็ กระจายขาวตอไป ฯลฯ ทวยเทพชั้นปโรหิตา สดับเสียงของทวยเทพชั้นพรหมปาริสัชชาแลว ก็กระจาย ขาวตอไป ฯลฯ ทวยเทพชั้นมหาพรหม สดับเสียงของทวยเทพชั้นปโรหิตาแลว ก็กระจายขาว ตอไป ฯลฯ ทวยเทพชั้นปริตรตาภา สดับเสียงของทวยเทพชั้นอาภาแลว ก็กระจายขาว ตอไป ฯลฯ ทวยเทพชั้นอัปปมาณาภา สดับเสียงของทวยเทพชั้นปริตรตาภาแลว ก็กระจาย ขาวตอไป ฯลฯ ทวยเทพชั้นอาภัสสรา สดับเสียงของทวยเทพชั้นอัปปมาณาภาแลว ก็กระจาย ขาวตอไป ฯลฯ ทวยเทพชั้นปริตตสุภา สดับเสียงของทวยเทพชั้นอาภัสสราแลว ก็กระจายขาว ตอไป ฯลฯ ทวยเทพชั้นอัปปมาณสุภา สดับเสียงของทวยเทพชั้นปริตตสุภาแลว ก็กระจาย ขาวตอไป ฯลฯ ทวยเทพชั้นสุภกิณหกา สดับเสียงของทวยเทพชั้นอัปปมาณสุภาแลว ก็ กระจายขาวตอไป ฯลฯ (ทวยเทพชั้นอสัญญพรหม สดับเสียงของทวยเทพชั้นสุภกิณหกาแลว ก็กระจายขาว ตอไป ฯลฯ) ทวยเทพชั้นเวหัปผลา สดับเสียงของทวยเทพชั้นสุภกิณหกาแลว ก็กระจาย ขาวตอไป ฯลฯ
21 ทวยเทพชั้นอวิหา สดับเสียงของทวยเทพชั้นเวหัปผลาแลว ก็กระจายขาว ตอไป ฯลฯ ทวยเทพชั้นอตัปปา สดับเสียงของทวยเทพชั้นอวิหาแลว ก็กระจายขาว ตอไป ฯลฯ ทวยเทพชั้นสุทัสสา สดับเสียงของทวยเทพชั้นอตัปปาแลว ก็กระจายขาว ตอไป ฯลฯ ทวยเทพชั้นสุทัสสี สดับเสียงของทวยเทพชั้นสุทัสสาแลว ก็กระจายขาวตอไป ฯลฯ ทวยเทพชั้นอกนิฏฐาสดับเสียงของทวยเทพชั้นสุทัสสีแลว ก็กระจายขาววา นั่น พระธรรมจักรอันยอดเยี่ยมพระผูมีพระภาคทรงใหเปนไปแลว ณ ปาอิสิปตน มฤคทายวัน เขตกรุงพาราณสี อันสมณพราหมณ เทวดา มาร พรหม หรือใคร ๆ ใน โลกใหหมุนกลับไมได เพียงครูเดียวเทานั้น เสียงปาวประกาศไดกระจายขึ้นไปถึงพรหมโลกดวยประการ ฉะนี้ ทั้งหมื่นโลกธาตุนี้ก็สั่นสะเทือนเลื่อนลั่น ทั้งแสงสวางอันเจิดจาหาประมาณมิได ก็ ปรากฏในโลก ลวงเทวานุภาพของเทวดาทั้งหลาย ลําดับนั้น พระผูมีพระภาคทรงเปลงพระอุทานนี้วา ผูเจริญทั้งหลาย โกณฑัญญะ ไดรูแลวหนอ ผูเจริญทั้งหลาย โกณฑัญญะไดรูแลวหนอ ดังนั้น คําวา อัญญาโกณฑัญญะ นี้จึงไดเปนชื่อของพระโกณฑัญญะนั่นแล หมายเหตุ:- ๑. ตั้งแต [พรัห๎ มะปาริสัชชา เทวา...อะกะนิฏฐะกา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง] เปนสวน นอกพระบาลี (ไตรปฎก) ซึ่งเติมเขามาในภายหลัง หากตองการสวดก็ใหเริ่มตอ
22 จาก ปะระนิมมิตะวะสะวัตตีนัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา*** และตัด พรัห๎ มะกายิกา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ออกเสีย ๒. ในคัมภีรสายหลัก ทานเวนอสัญญีพรหมและอรูปพรหม เพราะเปนภูมิที่ไมมีโสตายต นะ (ประสาทหู) ที่จะรับฟงได บทขัดอนัตตลักขณสูตร ยันตัง สัตเตหิ ทุกเขนะ เญยยัง อะนัตตะลักขะณัง อัตตะวาทาตตะสัญญานัง สัมมะเทวะ วิโมจะนัง สัมพุทโธ ตัง ปะกาเสสิ ทิฏฐะสัจจานะ โยคินัง อุตตะริง ปะฏิเวธายะ ภาเวตุง ญาณะมุตตะมัง ยันเตสัง ทิฏฐะธัมมานัง ญาเณนุปะปะริกขะตัง สัพพาสะเวหิ จิตตานิ วิมุจจิงสุ อะเสสะโต ตะถา ญาณานุสาเรนะ สาสะนัง กาตุมิจฉะตัง สาธูนัง อัตถะสิทธัตถัง ตัง สุตตันตัง ภะณามะ เส ฯ คําแปล อนัตตลักขณะอันใด อันสัตวทั้งหลายพึงรูไดโดยยาก พระสัมพุทธเจา ไดทรงประกาศอนัตตลักขณะนั้น เปนธรรมอันปลดเปลื้องการถือมั่นดวยอันกลาววา ตนและความสําคัญวาตนโดยชอบแท แกเหลาโยคี คือ ปญจวัคคีย ผูมีสัจจะอันเห็น แลว เพื่อใหเจริญญาณอันอุดม เพื่อตรัสรูธรรมอันยิ่ง จิตของพระปญจวัคคีย เหลานั้น ผูมีธรรมอันไดเห็นแลว ใครครวญแลวดวยญาณ พนแลวจากอาสวะทั้งปวง โดยไมเหลือ ดวยพระ สูตรใด เราทั้งหลายจงสวดพระสูตรนั้น เพื่อสําเร็จประโยชนแก สาธุชนทั้งหลาย ผูปรารถนาจะทําคําสอน โดย ระลึกตามญาณอยางนั้น เทอญฯ
23 อนัตตลักขณสูตร (ผูสวดถึงอนัตตลักขณสูตร จะทําใหงานที่ยังคั่งคางอยู สําเร็จลุลวงไปได ดวยดี ปรารถนาอะไร ก็สําเร็จ ไดดังใจหวัง) เอวัมเม สุตัง ฯ เอกัง สะมะยัง ภะคะวา พาราณะสิยัง วิหะระติ อิสิปะ ตะเน มิคะทาเย ฯ ตัต๎ระ โข ภะคะวา ปญจะวัคคิเย ภิกขู อามันเตสิ ฯ รูปง ภิกขะเว อะนัตตา ฯ รูปญจะหิทัง ภิกขะเว อัตตา อะภะวิสสะ นะยิ ทัง รูปง อา พาธายะ สังวัตเตยยะ ลัพเภถะ จะ รูเป เอวัง เม รูปง โหตุ เอวัง เม รูปง มา อะโหสีติ ฯ ยัส๎มา จะ โข ภิกขะเว รูปง อะนัตตา ตัส๎มา รูปง อาพาธายะ สังวัตตะติ นะ จะ ลัพภะติ รูเป เอวัง เม รูปง โหตุ เอวัง เม รูปง มา อะโหสีติ ฯ เวทะนา อะนัตตา ฯ เวทะนา จะ หิทัง ภิกขะเว อัตตา อะภะวิสสะ นะยิ ทัง เวทะนา อา พาธายะ สังวัตเตยยะ ลัพเภถะ จะ เวทะนายะ เอวัง เม เวทะนา โหตุ เอวัง เม เวทะนา มา อะโห สีติ ฯ ยัส๎มา จะ โข ภิกขะเว เวทะนา อะนัตตา ตัส๎มา เวทะนา อาพาธายะ สังวัตตะติ นะ จะ ลัพภะติ เวทะนายะ เอวัง เม เวทะนา โหตุ เอวัง เม เวทะนา มา อะโหสีติ ฯ สัญญา อะนัตตา ฯ สัญญา จะ หิทัง ภิกขะเว อัตตา อะภะวิสสะ นะยิทัง สัญญา อา พาธายะ สังวัตเตยยะ ลัพเภถะ จะ สัญญายะ เอวัง เม สัญญา โหตุ เอวัง เม สัญญา มา อะโหสีติ ฯ ยัส๎มา จะ โข ภิกขะเว สัญญา อะนัตตา ตัส๎มา สัญญา อาพาธา ยะ สังวัตตะติ นะ จะ ลัพภะติ สัญญายะ เอวัง เม สัญญา โหตุ เอวัง เม สัญญา มา อะโห สีติ ฯ สังขารา อะนัตตา ฯ สังขารา จะ หิทัง ภิกขะเว อัตตา อะภะวิสสังสุ นะยิ ทัง สังขารา อา พาธายะ สังวัตเตยยุง ลัพเภถะ จะ สังขาเรสุ เอวัง เม สังขารา โหนตุ เอวัง เม สังขารา มา อะเห สุนติ ฯ ยัส๎มา จะ โข ภิกขะเว สังขารา อะนัตตา ตัส๎มา สัง ขารา อาพาธายะ สังวัตตันติ นะ จะ ลัพภะติ สังขาเรสุ เอวัง เม สังขารา โหนตุ เอวัง เม สังขารา มา อะเหสุนติ ฯ
24 วิญญาณัง อนัตตา ฯ วิญญาณัญจะ หิทัง ภิกขะเว อัตตา อะภะวิสสะ นะยิทัง วิญญาณัง อา พาธายะ สังวัตเตยยะ ลัพเภถะ จะ วิญญาเณ เอวัง เม วิญญาณัง โหตุ เอวัง เม วิญญาณัง มา อะโหสีติ ฯ ยัส๎มา จะ โข ภิกขะเว วิญญาณัง อะนัตตา ตัส๎ มา วิญญาณัง อาพาธายะ สังสัตตะติ นะ จะ ลัพภะติ วิญญาเณ เอวัง เม วิญญาณัง โหตุ เอวัง เม วิญญาณัง มา อะโหสีติ ฯ (หยุด) ตัง กิง มัญญะถะ ภิกขะเว รูปง นิจจัง วา อะนิจจัง วาติ ฯ อะนิจจัง ภัน เต ฯ ยัมปะนานิจ จัง ทุกขัง วา ตัง สุขัง วาติ ฯ ทุกขัง ภันเต ฯ ยัมปะนานิจจัง ทุกขัง วิปะริณามะธัมมัง กัลลัง นุ ตัง สะมะนุปสสิตุง เอตัง มะมะ เอโสหะมัส๎มิ เอโส เม อัตตา ติ ฯ โน เหตัง ภันเต ฯ ตัง กิง มัญญะถะ ภิกขะเว เวทะนา นิจจา วา อะนิจจา วาติ ฯ อะนิจจา ภันเต ฯ ยัมปะนา นิจจัง ทุกขัง วา ตัง สุขัง วาติ ฯ ทุกขัง ภันเต ฯ ยัมปะนานิจจัง ทุกขัง วิปะริณามะธัมมัง กัลลัง นุ ตัง สะมะนุปสสิตุง เอตัง มะมะ เอโสหะมัส๎มิ เอโส เม อัตตาติ ฯ โน เหตัง ภันเต ฯ ตัง กิง มัญญะถะ ภิกขะเว สัญญา นิจจา วา อะนิจจา วาติ ฯ อะนิจจา ภันเต ฯ ยัมปะนา นิจจัง ทุกขัง วา ตัง สุขัง วาติ ฯ ทุกขัง ภันเต ฯ ยัมปะนานิจจัง ทุกขัง วิปะริณามะธัมมัง กัลลัง นุ ตัง สะมะนุปสสิตุง เอตัง มะมะ เอโสหะมัส๎มิ เอโส เม อัตตาติ ฯ โน เหตัง ภันเต ฯ ตัง กิง มัญญะถะ ภิกขะเว สังขารา นิจจา วา อะนิจจา วาติ ฯ อะนิจจา ภันเต ฯ ยัมปะนา นิจจัง ทุกขัง วา ตัง สุขัง วาติ ฯ ทุกขัง ภันเต ฯ ยัมปะนานิจจัง ทุก ขัง วิปะริณามะธัมมัง กัลลัง นุ ตัง สะมะนุปสสิตุง เอตัง มะมะ เอโสหะมัส๎มิ เอโส เม อัตตาติ ฯ โน เหตัง ภันเต ฯ ตัง กิง มัญญะถะ ภิกขะเว วิญญาณัง นิจจัง วา อะนิจจัง วาติ ฯ อะนิจ จัง ภันเต ฯ ยัม ปะนานิจจัง ทุกขัง วา ตัง สุขัง วาติ ฯ ทุกขัง ภันเต ฯ ยัมปะนานิจจัง ทุกขัง วิปะริณามะธัมมัง กัลลัง นุ ตัง สะมะนุปสสิตุง เอตัง มะมะ เอโสหะมัส๎มิ เอโส เม อัตตาติ ฯ โน เหตัง ภันเต ฯ
25 ตัส๎มาติหะ ภิกขะเว ยังกิญจิ รูปง อะตีตานาคะตะปจจุปปนนัง อัชฌัตตัง วา พะหิทธา วา โอฬาริกัง วา สุขุมัง วา หีนัง วา ปะณีตัง วา ยันทูเร สันติเก วา สัพพัง รูปง เนตัง มะมะ เนโส หะมัส๎มิ นะ เมโส อัตตาติ ฯ เอวะเมตัง ยะถาภูตัง สัมมัปปญญายะ ทัฏฐัพพัง ฯ ยา กาจิ เวทะนา อะตีตานาคะตะปจจุปปนนา อัชฌัตตา วา พะหิทธา วา โอฬาริกา วา สุขุมา วา หีนา วา ปะณีตา วา ยา ทูเร สันติเก วา สัพพา เวทะนา เนตัง มะมะ เนโสหะมัส๎มิ นะ เมโส อัตตาติ ฯ เอวะเมตัง ยะถาภูตัง สัมมัปปญญายะ ทัฏฐัพพัง ฯ ยา กาจิ สัญญา อะตีตานาคะตะปจจุปปนนา อัชฌัตตา วา พะหิทธา วา โอฬาริกา วา สุขุ มา วา หีนา วา ปะณีตา วา ยา ทูเร สันติเก วา สัพพา สัญญา เนตัง มะมะ เนโสหะมัส๎มิ นะ เมโส อัตตาติ ฯ เอวะเมตัง ยะถาภูตัง สัมมัปปญญายะ ทัฏฐัพพัง ฯ เย เกจิ สังขารา อะตีตานาคะตะปจจุปปนนา อัชฌัตตา วา พะหิทธา วา โอฬาริกา วา สุขุ มา วา หีนา วา ปะณีตา วา เย ทูเร สันติเก วา สัพเพ สังขารา เนตัง มะมะ เนโสหะมัส๎มิ นะ เมโส อัตตาติ ฯ เอวะเมตัง ยะถาภูตัง สัมมัปปญญายะ ทัฏฐัพพัง ฯ ยังกิญจิ วิญญาณัง อะตีตานาคะตะปจจุปปนนัง อัชฌัตตัง วา พะหิทธา วา โอฬาริกัง วา สุขุมัง วา หีนัง วา ปะณีตัง วา ยันทูเร สันติเก วา สัพพัง วิญญาณัง เน ตัง มะมะ เนโสหะมัส๎มิ นะ เมโส อัตตาติ ฯ เอวะเมตัง ยะถาภูตัง สัมมัปปญญายะ ทัฏฐัพพัง ฯ (หยุด) เอวัง ปสสัง ภิกขะเว สุต๎วา อะริยะสาวะโก รูปส๎มิงป นิพพินทะติ เวทะนายะป นิพพินทะติ สัญญายะป นิพพินทะติ สังขาเรสุป นิพพินทะติ วิญญาณัส๎ มิงป นิพพินทะติ ฯ นิพพินทัง วิรัชชะติ ฯ วิราคา วิมุจจะติฯ วิมุตตัส๎มิง วิมุตตะมีติ ญาณัง โหติ ขีณา ชาติ วุสิตัง พ๎รัห๎มะจะริยัง กะตัง กะระณี ยัง นาปะรัง อิตถัตตายาติ ปะชานาตีติ ฯ
26 อิทะมะโวจะ ภะคะวา ฯ อัตตะมะนา ปญจะวัคคิยา ภิกขู ภะคะวะโต ภาสิตัง อะภินันทุง ฯ อิมัส๎มิญจะ ปะนะ เวยยากะระณัส๎มิง ภัญญะมาเน ปญจะวัคคิ ยานัง ภิกขูนัง อะนุปาทายะ อาสะเวหิ จิตตานิ วิมุจจิงสูติ ฯ คําแปล ขาพเจาไดสดับมาอยางนี้ สมัยหนึ่ง พระผูมีพระภาคประทับอยู ณ ปาอิสิปตนมฤคทายวัน เขตกรุงพาราณสี ณ ที่นั้น พระผูมีพระภาคไดรับสั่งเรียก พระปญจวัคคียมาตรัสวา ภิกษุทั้งหลาย รูปเปนอนัตตา ถารูปนี้จักเปนอัตตาแลวไซร รูปนี้ไมพึง เปนไปเพื่ออาพาธ และบุคคลพึง ไดในรูปวา รูปของเราจงเปนอยางนี้ รูปของเราอยาได เปนอยางนั้น ก็เพราะรูปเปนอนัตตา ฉะนั้น รูปจึงเปนไปเพื่ออาพาธ และบุคคลยอม ไมไดในรูปวา รูปของเราจงเปนอยางนี้ รูปของเราอยาไดเปนอยางนั้น เวทนาเปนอนัตตา ถาเวทนานี้จักเปนอัตตาแลวไซร เวทนานี้ไมพึงเปนไป เพื่ออาพาธ และบุคคลพึงได ในเวทนาวา เวทนาของเราจงเปนอยางนี้ เวทนาของเรา อยาไดเปนอยางนั้น ก็เพราะเวทนาเปนอนัตตา ฉะนั้น เวทนาจึงเปนไปเพื่ออาพาธ และบุคคลยอมไมไดในเวทนาวา เวทนาของเราจงเปนอยางนี้ เวทนาของเราอยาได เปน อยางนั้น สัญญาเปนอนัตตา ถาสัญญานี้จักเปนอัตตาแลวไซร สัญญานี้ไมพึงเปนไป เพื่ออาพาธ และบุคคลพึงได ในสัญญาวา สัญญาของเราจงเปนอยางนี้ สัญญาของเรา อยาไดเปนอยางนั้น ก็เพราะสัญญาเปนอนัตตา ฉะนั้น สัญญาจึงเปนไปเพื่ออาพาธ และบุคคลยอมไมไดในสัญญาวา สัญญาของเราจงเปนอยางนี้ สัญญาของเรา อยาไดเปน อยางนั้น สังขารเปนอนัตตา ถาสังขารนี้จักเปนอัตตาแลวไซร สังขารนี้ไมพึงเปนไป เพื่ออาพาธ และบุคคลพึงได ในสังขารวา สังขารของเราจงเปนอยางนี้ สังขารของเรา อยาไดเปนอยางนั้น ก็เพราะสังขารเปนอนัตตา ฉะนั้น สังขารจึงเปนไปเพื่ออาพาธ และ บุคคลยอมไมไดในสังขารวา สังขารของเราจงเปนอยางนี้ สังขารของเราอยาได เปนอยาง นั้น
27 วิญญาณเปนอนัตตา ถาวิญญาณนี้จักเปนอัตตาแลวไซร วิญญาณนี้ไมพึง เปนไปเพื่ออาพาธ และบุคคล พึงไดในวิญญาณวา วิญญาณของเราจงเปนอยางนี้ วิญญาณของเราอยาไดเปนอยางนั้น ก็เพราะวิญญาณเปน อนัตตา ฉะนั้น วิญญาณจึง เปนไปเพื่ออาพาธ และบุคคลยอมไมไดในวิญญาณวา วิญญาณของเราจงเปนอยางนี้ วิญญาณของเราอยาไดเปนอยางนั้น ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะเขาใจความขอนั้นวาอยางไร รูปเที่ยงหรือไม เที่ยง ไมเที่ยง พระพุทธเจาขา ก็สิ่งใดไมเที่ยง สิ่งนั้นเปนทุกขหรือเปนสุข เปนทุกข พระพุทธเจาขา ก็สิ่งใดไมเที่ยง เปนทุกข มีความแปรผันเปนธรรมดา ควรหรือที่จะ พิจารณาเห็นสิ่งนั้นวา นั่นของเรา เราเปนนั่น นั่นเปนอัตตาของเรา ขอนั้นไมควรเลย พระพุทธเจาขา เวทนาเที่ยงหรือไมเที่ยง ไมเที่ยง พระพุทธเจาขา ก็สิ่งใดไมเที่ยง สิ่งนั้นเปนทุกขหรือเปนสุข เปนทุกข พระพุทธเจาขา ก็สิ่งใดไมเที่ยง เปนทุกข มีความแปรผันเปนธรรมดา ควรหรือที่จะ พิจารณาเห็นสิ่งนั้นวา นั่นของเรา เราเปนนั่น นั่นเปนอัตตาของเรา ขอนั้นไมควรเลย พระพุทธเจาขา สัญญาเที่ยงหรือไมเที่ยง ไมเที่ยง พระพุทธเจาขา
28 ก็สิ่งใดไมเที่ยง สิ่งนั้นเปนทุกขหรือเปนสุข เปนทุกข พระพุทธเจาขา ก็สิ่งใดไมเที่ยง เปนทุกข มีความแปรผันเปนธรรมดา ควรหรือที่จะ พิจารณาเห็นสิ่งนั้นวา นั่นของเรา เราเปนนั่น นั่นเปนอัตตาของเรา ขอนั้นไมควรเลย พระพุทธเจาขา สังขารทั้งหลายเที่ยงหรือไมเที่ยง ไมเที่ยง พระพุทธเจาขา ก็สิ่งใดไมเที่ยง สิ่งนั้นเปนทุกขหรือเปนสุข เปนทุกข พระพุทธเจาขา ก็สิ่งใดไมเที่ยง เปนทุกข มีความแปรผันเปนธรรมดา ควรหรือที่จะ พิจารณาเห็นสิ่งนั้นวา นั่นของเรา เราเปนนั่น นั่นเปนอัตตาของเรา ขอนั้นไมควรเลย พระพุทธเจาขา วิญญาณเที่ยงหรือไมเที่ยง ไมเที่ยง พระพุทธเจาขา ก็สิ่งใดไมเที่ยง สิ่งนั้นเปนทุกขหรือเปนสุข เปนทุกข พระพุทธเจาขา ก็สิ่งใดไมเที่ยง เปนทุกข มีความแปรผันเปนธรรมดา ควรหรือที่จะ พิจารณาเห็นสิ่งนั้นวา นั่นของเรา เราเปนนั่น นั่นเปนอัตตาของเรา ขอนั้นไมควรเลย พระพุทธเจาขา ภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้น รูปอยางใดอยางหนึ่ง ทั้งที่เปนอดีต อนาคต และปจจุบัน ภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต ไกลหรือใกลก็
29 ตาม รูปทั้งหมดนั้นเธอทั้งหลายพึงเห็นดวยปญญา อันชอบตามความเปนจริงอยางนี้วา นั่นไมใชของเรา เราไมเปนนั่น นั่นไมใชอัตตาของเรา เวทนาอยางใดอยางหนึ่ง ทั้งที่เปนอดีต อนาคต และปจจุบัน ภายในหรือ ภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต ไกลหรือใกลก็ตาม เวทนาทั้งหมดนั้น เธอทั้งหลายพึงเห็นดวยปญญาอันชอบตามความเปนจริง อยางนี้วา นั่นไมใชของเรา เราไมเปนนั่น นั่นไมใชอัตตาของเรา สัญญาอยางใดอยางหนึ่ง ทั้งที่เปนอดีต อนาคต และปจจุบัน ภายในหรือ ภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต ไกลหรือใกลก็ตาม สัญญาทั้งหมดนั้น เธอทั้งหลายพึงเห็นดวยปญญาอันชอบตามความเปนจริง อยางนี้วา นั่นไมใชของ เรา เราไมเปนนั่น นั่นไมใชอัตตาของเรา สังขารเหลาใดเหลาหนึ่ง ทั้งที่เปนอดีต อนาคต และปจจุบัน ภายในหรือ ภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต ไกลหรือใกลก็ตาม สังขารทั้งหมด นั้นเธอทั้งหลายพึงเห็นดวยปญญาอันชอบตามความจริง อยางนี้วา นั่นไมใชของเรา เราไมเปนนั่น นั่นไมใชอัตตาของเรา วิญญาณอยางใดอยางหนึ่ง ทั้งที่เปนอดีต อนาคต และปจจุบัน ภายใน หรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต ไกลหรือใกลก็ตาม วิญญาณ ทั้งหมดนั้นเธอทั้งหลายพึงเห็นดวยปญญาอันชอบตาม ความเปนจริงอยางนี้วา นั่นไมใชของเรา เราไมเปนนั่น นั่นไมใชอัตตาของเรา ภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผูไดสดับเห็นอยูอยางนี้ ยอมเบื่อหนายแมในรูป ยอมเบื่อหนายแมในเวทนา ยอมเบื่อหนายแมในสัญญา ยอมเบื่อหนายแมในสังขาร ยอมเบื่อหนายแมในวิญญาณ เมื่อเบื่อหนายยอมคายกําหนัด เพราะคายกําหนัดจิต ยอมหลุดพน เมื่อจิตหลุดพนแลว ก็รูวาหลุดพนแลว รูชัดวาชาติสิ้นแลว อยูจบ พรหมจรรยแลว ทํากิจที่ควรทําเสร็จแลว ไมมีกิจอื่นเพื่อความเปนอยางนี้อีกตอไป พระผูมีพระภาคไดตรัสอนัตตลักขณสูตรนี้จบแลว พระปญจวัคคียมีใจ
30 ยินดีตางชื่นชมพระภาษิตของพระผูมีพระภาค เมื่อพระผูมีพระภาคตรัสเวยยากรณ ภาษิตนี้อยู พระปญจวัคคียก็มีจิตหลุดพนจากอาสวะเพราะไมถือมั่น บทขัดอาทิตตปริยายสูตร เวเนยยะทะมะโนปาเย สัพพะโส ปาระมิง คะโต อะโมฆะวะจะโน พุทโธ อะภิญญายานุสาสะโก จิณณานุรูปะโต จาป ธัมเมนะ วินะยัง ปะชัง จิณณาคคิปาริจะริยานัง สัมโพชฌาระหะโยคินัง ยะมาทิตตะปะริยายัง เทสะยันโต มะโนหะรัง เต โสตาโร วิโมเจสิ อะเสกขายะ วิมุตติยา ตะเถโวปะปะริกขายะ วิญูนัง โสตุมิจฉะตัง ทุกขะตาลักขะโณปายัง ตัง สุตตันตัง ภะณามะ เส ฯ คําแปล พระพุทธเจาไดถึงพระบารมีแลวโดยประการทั้งปวง ในอุบาย ฝกเวไนยสัตว มีพระวาจาไม เปลาจากประโยชน ทรงพราสอนเพื่อความตรัสรูยิ่ง และ ทรงแนะนําหมูสัตวโดยธรรมตามสมควรแกอุปนิสัยที่ เคยประพฤติมา ทรงแสดงอา ทิตตปริยายใดเปนเครื่องนําใจของเหลาพระโยคีผูควรจะตรัสรูซึ่งเปนชฏิลเคย บําเรอไฟ ไดทรงยังพระโยคีผูสดับเหลานั้นใหพนแลวดวยอเสกขวิมุตติ เราทั้งหลายจงสวดอา ทิตตปริยายสูตรนั้นเปนอุบายเครื่องกําหนดความทุกขเพื่อวิญูชนทั้งหลาย ผูปรารถนา เพื่อจะฟงโดยความใครครวญอยางนั้น เทอญ อาทิตตปริยายสูตร (ผูสวดอาทิตตปริยายสูตร จะทําใหทุกขโศกโรคภัยไมเบียดเบียน ปรารถนาสิ่งใด ก็สําเร็จสมใจ ปรารถนา มีความสุข มีความเกษมสําราญทุกเมื่อ)
31 เอวัมเม สุตัง ฯ เอกัง สะมะยัง ภะคะวา คะยายัง วิหะระติ คะยาสีเส สัทธิง ภิกขุสะหัส เสนะ ฯ ตัต๎ระ โข ภะคะวา ภิกขู อามันเตสิ ฯ สัพพัง ภิกขะเว อาทิตตัง ฯ กิญจะ ภิกขะเว สัพพัง อาทิตตัง ฯ จักขุง ภิกขะเว อา ทิตตัง รูปา อาทิตตา จักขุวิญญาณัง อาทิตตัง จักขุสัมผัสโส อาทิตโต ยัมป ทัง จักขุสัมผัสสะปจจะยา อุปปชชะติ เวทะยิตัง สุขัง วา ทุกขัง วา อะทุกขะมะสุขัง วา ตัมป อาทิตตัง ฯ เกนะ อาทิตตัง ฯ อาทิตตัง ราคัคคินา โทสัคคินา โมหัคคินา อาทิตตัง ชาติยา ชะรามะระเณนะ โสเกหิ ปะริเทเวหิ ทุก เขหิ โทมะนัสเสหิ อุปายาเสหิ อาทิต ตันติ วะทามิ ฯ โสตัง อาทิตตัง สัททา อาทิตตา โสตะวิญญาณัง อาทิตตัง โสตะสัมผัสโส อาทิตโต ยัมปทัง โสตะสัมผัสสะปจจะยา อุปปชชะติ เวทะยิตัง สุขัง วา ทุกขัง วา อะทุกขะมะสุขัง วา ตัมป อาทิตตัง ฯ เกนะ อาทิตตัง ฯ อาทิตตัง ราคัคคินา โทสัคคินา โมหัคคินา อาทิตตัง ชาติยา ชะรามะระเณนะ โสเกหิ ปะริเทเวหิ ทุกเขหิ โทมะนัสเสหิ อุ ปายาเสหิ อาทิตตันติ วะทามิ ฯ ฆานัง อาทิตตัง คันธา อาทิตตา ฆานะวิญญาณัง อาทิตตัง ฆานะสัมผัสโส อาทิตโต ยัมปทัง ฆานะสัมผัสสะปจจะยา อุปปชชะติ เวทะยิตัง สุขัง วา ทุกขัง วา อะทุกขะมะสุขัง วา ตัมป อาทิตตัง ฯ เกนะ อาทิตตัง ฯ อาทิตตัง ราคัคคินา โทสัคคินา โมหัคคินา อาทิตตัง ชาติยา ชะรามะระเณนะ โสเกหิ ปะริเทเวหิ ทุกเขหิ โทมะนัสเสหิ อุ ปายาเสหิ อาทิตตันติ วะทามิ ฯ ชิวหา อาทิตตา ระสา อาทิตตา ชิวหาวิญญาณัง อาทิตตัง ชิวหาสัมผัสโส อาทิตโต ยัมปทัง ชิวหาสัมผัสสะปจจะยา อุปปชชะติ เวทะยิตัง สุขัง วา ทุกขัง วา อะทุกขะมะสุขัง วา ตัมป อาทิต ตัง ฯ เกนะ อาทิตตัง ฯ อาทิตตัง ราคัคคินา โทสัคคินา โมหัคคินา อาทิตตัง ชาติยา ชะรามะระเณนะ โสเกหิ ปะริเทเวหิ ทุกเขหิ โทมะนัสเสหิ อุปายาเสหิ อาทิตตันติ วะทามิ ฯ กาโย อาทิตโต โผฏฐัพพา อาทิตตา กายะวิญญาณัง อาทิตตัง กายะ สัมผัสโส อาทิตโต ยัมป ทัง กายะสัมผัสสะปจจะยา อุปปชชะติเวทะยิตัง สุขัง วา ทุก
32 ขัง วา อะทุกขะมะสุขัง วา ตัมป อาทิต ตัง ฯ เกนะ อาทิตตัง ฯ อาทิตตัง ราคัคคินา โท สัคคินา โมหัคคินา อาทิตตัง ชาติยา ชะรามะระเณ นะ โสเกหิ ปะริเทเวหิ ทุกเขหิ โท มะนัสเสหิ อุปายาเสหิ อาทิตตันติ วะทามิ ฯ มะโน อาทิตโต ธัมมา อาทิตตา มะโนวิญญาณัง อาทิตตัง มะโนสัมผัสโส อาทิตโต ยัมปทัง มะโนสัมผัสสะปจจะยา อุปปชชะติ เวทะยิตัง สุขัง วา ทุกขัง วา อะ ทุกขะมะสุขัง วา ตัมป อาทิตตัง ฯ เกนะ อาทิตตัง ฯ อาทิตตัง ราคัคคินา โทสัคคินา โม หัคคินา อาทิตตัง ชาติยา ชะรามะระเณนะ โส เกหิ ปะริเทเวหิ ทุกเขหิ โทมะนัสเสหิ อุ ปายาเสหิ อาทิตตันติ วะทามิ ฯ (หยุด) เอวัง ปสสัง ภิกขะเว สุต๎วา อะริยะสาวะโก จักขุส๎มิงป นิพพินทะติ รูเป สุป นิพพินทะติ จักขุ วิญญาเณป นิพพินทะติจักขุสัมผัสเสป นิพพินทะติยัมปทัง จักขุสัมผัสสะปจจะยา อุปปชชันติ เวทะยิตัง สุขัง วา ทุกขัง วา อะทุกขะมะสุขัง วา ตัส๎มิงป นิพพินทะติ ฯ โสตัส๎มิงป นิพพินทะติ สัทเทสุป นิพพินทะติ โสตะวิญญาเณป นิพพินทะติ โสตะสัมผัสเสป นิพพินทะติ ยัมปทัง โสตะสัมผัสสะปจจะยา อุปปชชะติ เว ทะยิตัง สุขัง วา ทุกขัง วา อะทุกขะมะสุขัง วา ตัส๎มิงป นิพพินทะติ ฯ ฆานัส๎มิงป นิพพินทะติคันเธสุป นิพพินทะติ ฆานะวิญญาเณป นิพพินทะติ ฆานะสัมผัสเสป นิพพินทะติ ยัมปทัง ฆานะสัมผัสสะปจจะยา อุปปชชะติ เวทะยิตัง สุขัง วา ทุกขัง วา อะทุกขะมะสุขัง วา ตัส๎มิงป นิพพินทะติ ฯ ชิวหายะป นิพพินทะติระเสสุป นิพพินทะติ ฯ ชิวหาวิญญาเณป นิพพินทะติ ชิวหาสัมผัสเสป นิพพินทะติ ยัมปทัง ชิวหาสัมผัสสะปจจะยา อุปปชชะติ เว ทะยิตัง สุขัง วา ทุกขัง วา อะทุกขะมะสุขัง วา ตัส๎มิงป นิพพินทะติ ฯ กายัส๎มิงป นิพพินทะติ โผฏฐัพเพสุป นิพพินทะติกายะวิญญาเณป นิพพินทะติ กายะสัมผัส เสป นิพพินทะติ ยัมปทัง กายะสัมผัสสะปจจะยา อุปปชชะติ เว ทะยิตัง สุขัง วา ทุกขัง วา อะทุกขะมะ สุขัง วา ตัส๎มิงป นิพพินทะติ ฯ
33 มะนัส๎มิงป นิพพินทะติ ธัมเมสุป นิพพินทะติ มะโนวิญญาเณป นิพพินทะติ มะโนสัมผัสเสป นิ พพินทะติ ยัมปทัง มะโนสัมผัสสะปจจะยา อุปปชชะติ เว ทะยิตัง สุขัง วา ทุกขัง วา อะทุกขะมะสุขัง วา ตัส๎มิงป นิพพินทะติ ฯ นิพพินทัง วิรัชชะติ ฯ วิราคา วิมุจจะติ ฯ วิมุตตัส๎มิง วิมุตตะมีติ ญาณัง โหติ ขีณา ชาติ วุสิตา พ๎รัห๎มะจะริยัง กะตัง กะระณียัง นาปะรัง อิตถัตตายาติ ปะชานาตี ติ ฯ อิทะมะโวจะ ภะคะวา ฯ อัตตะมะนา เต ภิกขู ภะคะวะโต ภาสิตัง อะภินันทุง ฯ อิมัส๎มิญจะ ปะ นะ เวยยากะระณัส๎มิง ภัญญะมาเน ตัสสะ ภิกขุสะหัสสัสสะ อะนุปาทา ยะ อาสะเวหิ จิตตานิ วิมุจจิงสูติ ฯ คําแปล ขาพเจาไดสดับมาอยางนี้ สมัยหนึ่ง พระผูมีพระภาคประทับ อยู ณ ตําบลคยาสีสะ ริมฝง แมนาคยา พรอมกับภิกษุ ๑,๐๐๐ รูป ณ ที่นั้น พระผูมีพระ ภาครับสั่งเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสวา ภิกษุทั้งหลาย สิ่งทั้งปวงเปนของรอน ก็อะไรเลาชื่อวาสิ่งทั้งปวงเปนของ รอน ภิกษุทั้งหลาย จักษุ (ตา) เปนของรอน ภิกษุทั้งหลาย รูปทั้งหลายเปนของ รอน ภิกษุทั้งหลาย จักขุวิญญาณเปนของรอน ภิกษุทั้งหลาย จักขุสัมผัสเปนของรอน แมความเสวยอารมณที่เปนสุขหรือทุกข หรือ ที่มิใชทุกขมิใชสุขที่เกิดขึ้นเพราะจักขุ สัมผัสเปนปจจัยก็เปนของรอน รอนเพราะอะไร เรากลาววา รอนเพราะไฟคือราคะ เพราะไฟคือโทสะ เพราะไฟคือโมหะ รอนเพราะความเกิด เพราะความแก เพราะ ความตาย เพราะความโศก เพราะความคราครวญ เพราะทุกข เพราะโทมนัส เพราะความคับแคนใจ โสตะ (หู) เปนของรอน เสียงทั้งหลายเปนของรอน ภิกษุทั้งหลาย โสต วิญญาณเปนของรอน ภิกษุทั้งหลาย โสตสัมผัสเปนของรอน แมความเสวยอารมณที่ เปนสุขหรือทุกข หรือที่มิใชทุกขมิใชสุขที่เกิดขึ้นเพราะโสตสัมผัสเปนปจจัยก็เปนของรอน รอนเพราะอะไร เรากลาววา รอนเพราะไฟคือราคะ เพราะไฟคือโทสะ เพราะไฟ
34 คือโมหะ รอนเพราะความเกิด เพราะความแก เพราะความตาย เพราะความโศก เพราะความครา ครวญ เพราะทุกข เพราะโทมนัส เพราะความคับแคนใจ ฆานะ (จมูก) เปนของรอน กลิ่นทั้งหลายเปนของรอน ภิกษุทั้งหลาย ฆานวิญญาณเปนของรอน ภิกษุทั้งหลาย ฆานสัมผัสเปนของรอน แมความเสวย อารมณที่เปนสุขหรือทุกข หรือที่มิใชทุกขมิใชสุขที่เกิดขึ้น เพราะฆานสัมผัสเปนปจจัยก็ เปนของรอน รอนเพราะอะไร เรากลาววา รอนเพราะไฟคือราคะ เพราะไฟคือ โทสะ เพราะไฟคือโมหะ รอนเพราะความเกิด เพราะความแก เพราะความตาย เพราะความโศก เพราะความ คราครวญ เพราะทุกข เพราะโทมนัส เพราะความคับ แคนใจ ชิวหา (ลิ้น) เปนของรอน รสทั้งหลายเปนของรอน ภิกษุทั้งหลาย ชิวหา วิญญาณเปนของรอน ภิกษุทั้งหลาย ชิวหาสัมผัสเปนของรอน แมความเสวยอารมณ ที่เปนสุขหรือทุกข หรือที่มิใชทุกขมิใชสุขที่เกิดขึ้น เพราะชิวหาสัมผัสเปนปจจัยก็เปนของ รอน รอนเพราะอะไร เรากลาววา รอนเพราะไฟคือราคะ เพราะไฟคือโทสะ เพราะ ไฟคือโมหะ รอนเพราะความเกิด เพราะความแก เพราะความตาย เพราะความโศก เพราะความ คราครวญ เพราะทุกข เพราะโทมนัส เพราะความคับแคนใจ กายเปนของรอน โผฏฐัพพะ (สิ่งที่กายสัมผัสถูกตอง) ทั้งหลายเปนของ รอน ภิกษุทั้งหลาย กายวิญญาณเปนของรอน ภิกษุทั้งหลาย กายสัมผัสเปนของรอน แมความเสวยอารมณที่เปนสุขหรือทุกข หรือที่ มิใชทุกขมิใชสุขที่เกิดขึ้นเพราะกายสัมผัส เปนปจจัยก็เปนของรอน รอนเพราะอะไร เรากลาววา รอนเพราะไฟคือราคะ เพราะ ไฟคือโทสะ เพราะไฟคือโมหะ รอนเพราะความเกิด เพราะความแก เพราะความ ตาย เพราะความโศก เพราะความคราครวญ เพราะทุกข เพราะโทมนัส เพราะ ความคับแคนใจ มนะ (ใจ) เปนของรอน ธรรม (อารมณ)ทั้งหลายเปนของรอน มโนวิญญาณ (ความรูทางใจ)เปนของรอน มโนสัมผัส (การกระทบทางใจ) เปนของรอน แมความเสวยอารมณที่เปนสุขหรือทุกข หรือที่มิใชทุกขมิใช สุขที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัส
35 เปนปจจัย ก็เปนของรอน รอนเพราะอะไร เรากลาววา รอนเพราะไฟคือราคะ เพราะไฟคือโทสะ เพราะไฟคือโมหะ รอนเพราะความเกิด เพราะความแกเพราะ ความตาย เพราะความโศก เพราะความคราครวญ เพราะทุกข เพราะโทมนัส เพราะความคับแคนใจ ภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผูไดสดับเห็นอยูอยางนี้ ยอมเบื่อหนายแมใน จักขุ ยอมเบื่อหนายแมในรูปทั้งหลาย ยอมเบื่อหนายแมในจักขุวิญญาณ ยอมเบื่อ หนายแมในจักขุสัมผัส ยอมเบื่อหนายแมในความเสวย อารมณที่เปนสุขหรือทุกขหรือที่ มิใชทุกขมิใชสุขที่เกิดขึ้นเพราะจักขุสัมผัสเปนปจจัย ยอมเบื่อหนายแมในโสตะ ยอมเบื่อหนายแมในเสียงทั้งหลาย ยอมเบื่อ หนายแมในโสตวิญญาณ ยอมเบื่อหนายแมในโสตสัมผัส ยอมเบื่อหนายแมในความ เสวยอารมณที่เปนสุขหรือทุกขหรือที่มิใชทุกขมิใชสุขที่เกิดขึ้นเพราะโสตสัมผัสเปนปจจัย ยอมเบื่อหนายแมในฆานะ ยอมเบื่อหนายแมในกลิ่นทั้งหลาย ยอมเบื่อ หนายแมในฆานวิญญาณ ยอมเบื่อหนายแมในฆานสัมผัส ยอมเบื่อหนายแมในความ เสวยอารมณที่เปนสุขหรือทุกขหรือที่มิใชทุกขมิใชสุขที่ เกิดขึ้นเพราะฆานสัมผัสเปน ปจจัย ยอมเบื่อหนายแมในชิวหา ยอมเบื่อหนายแมในรสทั้งหลาย ยอมเบื่อ หนายแมในชิวหาวิญญาณ ยอมเบื่อหนายแมในชิวหาสัมผัส ยอมเบื่อหนายแมใน ความเสวยอารมณที่เปนสุขหรือทุกขหรือที่มิใชทุกขมิใชสุขที่ เกิดขึ้นเพราะชิวหาสัมผัส เปนปจจัย ยอมเบื่อหนายแมในกาย ยอมเบื่อหนายแมในโผฏฐัพพะทั้งหลาย ยอม เบื่อหนายแมในกายวิญญาณ ยอมเบื่อหนายแมในกายสัมผัส ยอมเบื่อหนายแมใน ความเสวยอารมณที่เปนสุขหรือทุกขหรือที่มิใชทุกขมิใชสุข ที่เกิดขึ้นเพราะกายสัมผัส เปนปจจัย ยอมเบื่อหนายแมในมนะ ยอมเบื่อหนายแมในธรรมทั้งหลาย ยอมเบื่อ หนายแมในมโนวิญญาณ ยอมเบื่อหนายแมในมโนสัมผัส ยอมเบื่อหนายแมในความ
36 เสวยอารมณที่เปนสุขหรือทุกข หรือที่มิใชทุกขมิใชสุข ที่ เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัสเปน ปจจัย เมื่อเบื่อหนาย ยอมคายกําหนัด เพราะคายกําหนัด จิตยอมหลุดพน เมื่อจิตหลุดพนแลว ยอมมีญาณวาหลุดพนแลว อริยสาวกยอมรูชัดวา ชาติสิ้นแลว พรหมจรรยไดอยูจบแลว กิจที่ควรทําไดทําเสร็จแลว กิจอื่นเพื่อความเปนอยางนี้มิได มีอีกตอไป พระผูมีพระภาคไดตรัสอาทิตตสูตรนี้แลว ภิกษุเหลานั้นก็มีใจยินดี ตาง ชื่นชมพระภาษิตของพระผูมี พระภาค เมื่อพระองคตรัสเวยยากรณภาษิตนี้อยู ภิกษุ ๑,๐๐๐ รูป นั้นก็มีจิตหลุดพนจากอาสวะเพราะไมถือมั่น (บทขัด) หันทะ มะยัง โพชฌังคะปะริตตัง ภะณามะ เส โพชฌังคะปะริตตัง โพชฌังโค สะติสังขาโต ธัมมานัง วิจะโย ตะถา วิริยัมปติปสสัทธิ- โพชฌังคา จะ ตะถาปะเร สะมาธุเปกขะโพชฌังคา สัตเตเต สัพพะทัสสินา มุนินา สัมมะทักขาตา ภาวิตา พะหุลีกะตา สังวัตตันติ อะภิญญายะ นิพพานายะ จะ โพธิยา เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โสตถิ เต โหตุ สัพพะทา ฯ เอกัสมิง สะมะเย นาโถ โมคคัลลานัญจะ กัสสะปง คิลาเน ทุกขิเต ทิสวา โพชฌังเค สัตตะ เทสะยิ เต จะ ตัง อะภินันทิตวา โรคา มุจจิงสุ ตังขะเณ เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โสตถิ เต โหตุ สัพพะทา ฯ
37 เอกะทา ธัมมะราชาป เคลัญเญนาภิปฬิโต จุนทัตเถเรนะ ตัญเญวะ ภะณาเปตวานะ สาทะรัง สัมโมทิตวา จะ อาพาธา ตัมหา วุฏฐาสิ ฐานะโส เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โสตถิ เต โหตุ สัพพะทา ฯ ปะหีนา เต จะ อาพาธา ติณณันนัมป มะเหสินัง มัคคาหะตะกิเลสา วะ ปตตานุปปตติธัมมะตัง เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โสตถิ เต โหตุ สัพพะทา ฯ คําแปล โพชฌงคปริตร โพชฌงค คือ องคแหงการตรัสรู ๗ ประการ เหลานี้ คือ สติ ความระลึกได ธรรมวิจยะ ความใครครวญในธรรม วิริยะ ความเพียร ปติ ความอิ่มใจ ปสสัทธิ ความสงบ สมาธิ ความตั้งใจมั่น อุเบกขา ความวางเฉย เปนธรรมที่ พระมหามุนีเจาผูเห็นธรรมทั้งปวงไดตรัสไวชอบแลว ซึ่งถาบุคคลเจริญใหมากแลว ยอม ทําใหเปนไปเพื่อความรูยิ่ง เพื่อพระนิพพาน และเพื่อความตรัสรู ดวยการกลาว คํา สัตยจริงนี้ ขอความสวัสดีจงมีแกทานตลอดการทุกเมื่อ ฯ ในสมัยหนึ่ง พระบรมโลกนาถไดทอดพระเนตรเห็น พระโมคคัลลานะ กับ พระกัสสปะ เปนไขมีทุกขเวทนา จึงไดทรงแสดงธรรมอันเปนองคแหงการตรัสรู ๗ ประการนี้ พระเถระทั้ง ๒ ทาน ก็มีใจเพลิดเพลินกับพระธรรมที่พระบรมโลกนาถทรง กลาวแลวนั้น และไดหายจากความเจ็บไขในขณะนั้น ดวยการกลาวคําสัตยจริงนี้ ขอ ความสวัสดีจงมีแกทานตลอดการทุกเมื่อ ฯ ในกาลครั้งหนึ่ง แมพระพุทธเจา ผูเปนพระธรรมราชาเอง ก็ถูกความเจ็บปวยไข เบียดเบียนเชนกัน พระองคทรงมีรับสั่งใหพระจุนทเถระแสดงธรรมอันเปนองคแหงการ ตรัสรู ๗ ประการนี้โดยความยินดี แลวพระองคก็ทรงบันเทิงพระทัยหายจากความปวย
38 ไขไปโดยฐานะอันควรนั่นแล ดวยการกลาวคําสัตยจริงนี้ ขอความสวัสดีจงมีแกทาน ตลอดการทุกเมื่อ ฯ ก็ความเจ็บไขไดปวยทั้งหลายนั้น เปนสภาวะที่พระผูแสวงหาคุณใหญทั้ง ๓ องค ละไดแลว ถึงความไมสามารถจะเกิดขึ้นไดอีกโดยธรรม ประดุจดังกิเลสทั้งหลาย ถูกอริยมรรคกําจัดเสียแลวฉะนั้นนั่นแล ดวยการกลาวคําสัตยจริงนี้ ขอความสวัสดี จงมีแกทานตลอดการทุกเมื่อ ฯ บทสวด ถวายพรพระ (พระพุทธเจา) ๑) พาหุง สะหัสสะมะภินิมมิตะสาวุธันตัง ค๎รีเมขะลัง อุทิตะโฆระสะเสนะมารัง ทานาทิ ธัมมะ วิธินา ชิต๎วา มุนินโท, ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ, ๒) มาราติเรกะมะภิยุชฌิตะสัพพะรัตติง โฆรัมปะนาฬะวะกะมักขะมะถัทธะยักขัง ขันตีสุทันตะวิธินา ชิต๎วา มุนินโท, ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ, ๓) นาฬาคิริง คะชะวะรัง อะติมัตตะภูตัง ทาวัคคิ จักกะมะสะนีวะ สุทารุณันตัง เมตตัมพุ เสกะวิธินา ชิต๎วา มุนินโท, ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ, ๔) อุกขิตตะขัคคะมะติหัตถะสุทารุณันตัง ธาวันติโยชะนะปะถังคุลิมาละวันตัง อิทธีภิสังขะตะมะโน ชิต๎วา มุนินโท, ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ, ๕) กัต๎วานะ กัฏฐะมุทะรัง อิวะคัพภินียา จิญจายะ ทุฏฐะวะจะนัง ชะนะกายะมัชเฌ สันเตนะ โสมะวิธินา ชิต๎วา มุนินโท,
39 ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ, ๖) สัจจัง วิหายะมะติสัจจะกะวาทะเกตุง วาทาภิโรปตะมะนัง อะติอันธะภูตัง ปญญาปะทีปะชะลิโต ชิต๎วามุนินโท, ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ, ๗) นันโทปะนันทะ ภุชะคังวิพุธัง มะหิทธิง ปุตเตนะเถระ ภุชะเคนะ ทะมาปะยันโต, อิทธูปะเทสะวิธินา ชิต๎วา มุนินโท, ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ, ๘) ทุคคาหะทิฐิ ภุชะเคนะ สุทัฏฐะหัตถัง พรัหม๎มัง วิสุทธิชุติ มิทธิพะกาภิธานัง ญาณาคะเทนะ วิธินา ชิต๎วา มุนินโท, ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ, เอตาป พุทธะชะยะมังคะละอัฎฐะคาถา โย วาจะโน ทินะทิเนสะระเตมะตันที หิต๎วา นะเนกะวิวิธานิจุปท๎วานิ, โมกขัง สุขัง อะทิคะเมยยะ นะโร สะปญโญ. บทสวด ถวายพรพระ แปล สมเด็จพระผูมีพระภาค ผูเปนจอมของนักปราชญ ทรงชนะพญามารพรอม ดวยเสนา ซึ่งเนรมิตแขนไดตั้งพัน มีมือถืออาวุธครบทั้งพันมือ ขี่ชางคิรีเมขล สงเสียงสนั่น นากลัว ทรงชนะดวยธรรมวิธีมีทานบารมี เปนตน และดวยเดชะของพระผูมีพระภาค พระองคนั้น ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแกขาพเจา สมเด็จพระผูมีพระภาค พระจอมมุนีทรงชนะอาฬวกยักษผูโหดรายบาคลั่ง นาสพึงกลัว ซึ่งตอสูกับพระองค ตลอดทั้งคืนรุนแรงยิ่งกวาพญามาร จนละพยศรายไดสิ้น ดวยขันติธรรมวิธีอันพระองคไดฝกไวดีแลว และดวยเดชของพระผูมีพระภาคพระองคนั้น ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแกขาพเจา
40 สมเด็จพระผูมีพระภาค พระจอมมุนีทรงชนะพญาชาง ชื่อ นาฬาคิรี ซึ่ง กําลังตกมันจัด ทารุณโหดรายยิ่งนัก ดุจไฟปาจักราวุธและสายฟา ดวยพระเมตตาธรรม และดวยเดชของพระผูมีพระภาคพระองคนั้น ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแกขาพเจา สมเด็จพระผูมีพระภาค พระจอมมุนีทรงชนะมหาโจร ชื่อ องคุลีมาล ในมือ ถือดาบเงื้องาโหดรายทารุณยิ่ง วิ่งไลตามพระองคหางออกไปเรื่อย ๆ เปนระยะทางถึง ๓ โยชน ดวยทรงบันดาลมโนมยิทธิ (ฤทธิ์ทางใจ) และดวยเดชของพระผูมีพระภาคพระองค นั้น ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแกขาพเจา สมเด็จพระผูมีพระภาค พระจอมมุนีทรงชนะคํากลาวใสรายทามกลาง ชุมชน ของนางจิญจมาณวิกา ผูผูกทอนไมซอนไวที่ทองแสรงทําเปนหญิงมีครรภ ดวย ความจริง ดวยความสงบเยือกเย็นดวยวิธีสมาธิอันงาม และดวยเดชของพระผูมีพระภาค พระองคนั้น ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแกขาพเจา สมเด็จพระผูมีพระภาค พระจอมมุนีทรงชนะสัจจกนิครนถ ผูเชิดชูลัทธิ ของตนวาจริงแทอยางเลิศลอย ราวกับชูธงขึ้นฟา ผูมุงโตวาทะกับพระองค ดวยพระ ปญญาอันเปนเลิศดุจประทีปอันโชติชวง ดวยเทศนาญาณวิถี และดวยเดชของพระผูมี พระภาคพระองคนั้น ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแกขาพเจา สมเด็จพระผูมีพระภาค พระจอมมุนีทรงชนะพญานาคชื่อนันโทปนันทะ ผู หลงผิดและมีฤทธิ์มาก ดวยทรงแนะนําวิธี และ อิทธิฤทธิ์แกพระโมคคัลลานะ พระเถระ ภุชงค พุทธบุตร ใหไปปราบจนเชื่อง และดวยเดชของพระผูมีพระภาคพระองคนั้น ขอ ชัยมงคลทั้งหลายจงมีแกขาพเจา สมเด็จพระผูมีพระภาค พระจอมมุนีทรงชนะพรหม ชื่อ ทาวพะกา ผูรัด รึงทิฏฐิ คือ ความเห็นผิดไวแนบแนน โดยสําคัญผิดวาตนบริสุทธิ์มีฤทธิ์รุงโรจนดวยวิธี วางยาอันวิเศษ คือ เทศนาญาณ และดวยเดชของพระผูมีพระภาคพระองคนั้น ขอชัย มงคลทั้งหลายจงมีแกขาพเจา
41 แมนรชนใดไมเกียจคราน สวดก็ดี ระลึกก็ดี ซึ่งพุทธชัยมงคลคาถา ๘ บทนี้ ทุกวัน ยอมเปนเหตุใหพนอุปทวอันตรายทั้งปวง นรชนผูมีปญญายอมถึงซึ่งความสุข สูงสุดแล สิวโมกขนฤพานอันเปนเอกันตบรมสุข ชะยะปะริตตัง มะหาการุณิโก นาโถ หิตายะ สัพพะปาณินัง ปูเรต๎วา ปาระมี สัพพา ปตโต สัมโพธิมุตตะมัง เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ เต ชะยะมังคะลัง ฯ ชะยันโต โพธิยา มูเล สัก๎ยานัง นันทิวัฑฒะโน เอวัง ต๎วัง วิชะโย โหหิ ชะยัสสุ ชะยะมังคะเล อะปะราชิตะปลลังเก สีเส ปะฐะวิโปกขะเร อะภิเสเก สัพพะพุทธานัง อัคคัปปตโต ปะโมทะติ ฯ สุนักขัตตัง สุมังคะลัง สุปะภาตัง สุหุฏฐิตัง สุขะโณ สุมุหุตโต จะ สุยิฏฐัง พ๎รัห๎มะจาริสุ ปะทักขิณัง กายะกัมมัง วาจากัมมัง ปะทักขิณัง ปะทักขิณัง มะโนกัมมัง ปะณิธี เต ปะทักขิณา ปะทักขิณานิ กัต๎วานะ ละภันตัตเถ ปะทักขิเณ ฯ ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา สัพพะพุทธานุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เต ฯ ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา สัพพะธัมมานุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เต ฯ ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา สัพพะสังฆานุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เต ฯ
42 ชะยะปะริตตัง แปล สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจา พระผูทรงเปนที่พึ่งของสรรพสัตวทรง ประกอบดวยพระมหากรุณา ทรงบําเพ็ญพระบารมีทั้งปวง เพื่อประโยชนเกื้อกูลแกสรรพ สัตว ทรงบรรลุพระสัมโพธิญาณอันสูงสุด ดวยการกลาวสัจจวาจานี้ ขอชัยมงคลทั้งหลาย จงมีแกขาพเจา ขอขาพเจาจงมีชัยชนะในชัยมงคลพิธี ดุจพระจอมมุนีผูยังความปติยินดีให เพิ่มพูนแกชาวศากยะ ทรงมีชัยชนะมาร ณ โคนตนมหาโพธิ์ทรงถึงความเปนเลิศยอด เยี่ยม ทรงปติปราโมทยอยูเหนืออชิตบัลลังกอันไมรูพาย ณ โปกขรปฐพี อันเปนที่อภิเษก ของพระพุทธเจาทุกพระองค ฉะนั้นเถิด เวลาที่กําหนดไวดี งานมงคลดี รุงแจงดี ความ พยายามดี ชั่วขณะหนึ่งดี ชั่วครูหนึ่งดี การบูชาดี แดพระสงฆผูบริสุทธิ์ กายกรรมอันเปน กุศล วจีกรรมอันเปนกุศล มโนกรรมอันเปนกุศล ความปรารถนาดีอันเปนกุศล ผูได ประพฤติกรรมอันเปนกุศล ยอมประสบความสุขโชคดี เทอญ ขอสรรพมงคลจงมีแกขาพเจา ขอเหลาเทพยดาทั้งปวงจงรักษาขาพเจา ดวย อานุภาพแหงพระพุทธเจา ขอความสุขสวัสดีทั้งหลาย จงมีแกขาพเจาทุกเมื่อ ขอสรรพมงคลจงมีแกขาพเจา ขอเหลาเทพยดาทั้งปวงจงรักษาขาพเจา ดวยอานุภาพ แหงพระธรรม ขอความสุขสวัสดีทั้งหลาย จงมีแกขาพเจาทุกเมื่อ ขอสรรพมงคลจงมีแกขาพเจา ขอเหลาเทพยดาทั้งปวงจงรักษาขาพเจา ดวยอานุภาพ แหงพระสงฆ ขอความสุขสวัสดีทั้งหลาย จงมีแกขาพเจาทุกเมื่อ บทสวดมนตแผเมตตาแกตนเอง อะหัง สุขิโต โหมิ ขอใหขาพเจามีความสุข นิททุกโข โหมิ ปราศจากความทุกข อะเวโร โหมิ ปราศจากเวร อัพยาปชโฌ โหมิ ปราศจากอุปสรรคอันตรายทั้งปวง อะนีโฆ โหมิ ปราศจากความทุกขการทุกขใจ สุขี อัตตานัง ปะริหะรามิ มีความสุขกายสุขใจรักษาตนใหพน จากทุกภัยทั้งสิ้นเถิด
43 บทสวดมนต แผเมตตาใหสรรพสัตว สัพเพ สัตตา สัตวทั้งหลายที่เปนเพื่อนทุกข เกิดแกเจ็บตาย ดวยกันทั้งหมดทั้งสิ้น อะเวรา โหนตุ จงเปนสุขเปนสุขเถิด อยาไดมีเวรแกกันและกันเลย อัพะยาปชฌา โหนตุ จงเปนสุขเปนสุขเถิด อยาไดเบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย อะนีฆา โหนตุ จงเปนสุขเปนสุขเถิด อยาไดมีความทุกขกาย ทุกขใจเลย สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ จงมีความสุขกาย สุขใจ รักษาตนใหพนจากทุกขภัยทั้งสิ้น เถิด