- รวมเล่ม -
ผลตอบแทนของความพยายาม กับความตั้ งใจ สวยงามเสมอ ต้นทุนชีวิตไม่ดี ไม่ได้แปลว่า วันข้างหน้าจะมีเหมือนคนอื่ นไม่ได้ ชีวิตมันไม่ได้ง่ายทุกเรื่ อง… https://forfundeal.com
สาวโรงงานสู่อาชีพผู้พิพากษา ลัดดาวรรณ หลวงอาจ ชาวดอย... สู่เส้นทางสายตุลาการ วิริยะบัณฑิต คีรีธีระกุล ความฝันไม่มีวันหมดอายุ ธวัชชัย เชษฐวงครัตน ์ ์ จุดเล็กๆ ที่ ยิ่ งใหญ่ นิพิฐพนธ์ หงษ์ ใจ เวลาเปลี่ ยน…แต่ความฝันไม่เคยเปลี่ ยน สุชาติ จันทร์ พวง จากแพทย์เกียรตินิยมอันดับหนึ่ ง... สู่เส้นทางผู้พิพากษา ขจรเดช ดิเรกสุนทร เปิดมุมมองชีวิต ศตพัฒน์ แขกเพ็ง หน้า 1 9 17 21 25 31 39 สารบัญ
นางสาวลัดดาวรรณ หลวงอาจ ผูพิพากษาหัวหน ้ ้ าคณะชั้นตนในศาลจังหวัดชัยภูมิ ้ หลังจากมีการเผยแพร่ บทความ “จากสาวโรงงานสูผู่ พิพากษา” ทางอินเตอร ้ ์ เน็ตและส่ งตอ่กันอย่ างรวดเร็ว ทำ ให้ เยาวชนหลายคนที่มีความสนใจก้ าวสู่ อาชีพผู้ พิพากษา ยกย่ อง เป็นแบบอย่ าง ไมทราบว่ ่ ารู้ สึกอย่ างไร “ ตองขอขอบคุณที ้ เห็นความสำ ่คัญของบทความนีและให้ ้ โอกาสดิฉันไดมาพูดคุยนะคะ้บทความนีโพสต้ ครั้งแรกในเพจธรรมะกับกฎหมาย ซึ ์ งจัดทำ่ขึนเพื่อแนะนำ ้การเรียนกฎหมาย แกผู่ ที้สนใจใน Facebook และสมาชิกในเพจ ตอนนั้นมีไม ่มาก ตอนที ่ โพสต่บทความนี ์ ครั้งแรก ้ ก็เพื่อสร้ างกำ ลังใจให้ แกสมาชิกใน Facebook แต ่แล่ วก็รู ้ ้ สึกแปลกใจเป็นอย่ างมากทีมี่ การส่ งตอบทความนี ่ กันอย้่ างแพรหลาย มีคนพูดถึงจำ ่นวนมาก รูสึกปลื ้ ้มใจและดีใจทีตัวเอง่ เป็นแรงบันดาลในให้ ใครหลายคนทีกำ่ลังทอ ลุกขึ ้ นเดินตามหาความฝันของตัวเองต้อไปค ่ ่ ะ ” 1 สาวโรงงานสู่อาชีพผู้พิพากษา
ตั้งใจไวหรือไม ้ ่ ว่ าโตขึ้ นอยากเป็นผูพิพากษา ้ “ ดิฉันเกิดในหมูบ่ ้ านเล็กบนภูเขาในจังหวัดเลย คนทีนั่นไม่่ เห็นความสำ คัญของการเรียนหนังสือ คิดว่ าการเรียน หนังสือเสียเวลาทำ มาหากิน แต่ ไม่ รู้ ทำ ไมตัวเองถึงมีความคิดทีแปลกกว่่ าคนอื่น คือชอบอ่ านหนังสือมาก สมัยเรียนประถม เด็กคนอื่นไปวิ่งเล่ นกัน ตัวเองก็นั่งอ่ านหนังสืออยู่ ในห้ องสมุดของโรงเรียน ตอนเด็ก ๆ ไม่ รู้ ด้ วยซ้ำว่ าผู้ พิพากษาคืออะไร ไม่ เคยไดยินคำ ้ นี ตอนนั้นแค ้่ ว่ าอยากเรียนตอให ่ จบปริญญาตรีก็พอ ส ้ ่ วนทำ งานอะไรยังไม่ ไดคิด มีอยู ้ ่ วันหนึงที่ เผลอบอกเพื่อน ่ ไปว่ าอยากเรียนมหาวิทยาลัยรามคำ แหงแค่ นั้น เพื่อนก็มองเราแล้ วอมยิ้ม คงคิดในใจว่ าเราใฝ่ สูงเกินตัว เพราะตอนนั้น กำ ลังเรียนการศึกษานอกโรงเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้ นอยู่ ความคิดอยากเป็นผู้ พิพากษาเริ่มตอนที่เรียนปริญญาตรี และได้ ยินอาจารย์ ที่สอนในชั้นพูดว่ า อาชีพผู้ พิพากษา เป็นอาชีพที่สงบ สันโดษ ไม่ มีเส้ นสาย ทุกคนก้ าวเข้ าสู่ ตำ แหน่ งนี้ ดวยความสามารถ ผู้ พิพากษาทุกคนใช ้ ้ ชีวิตแบบพอเพียง ตามทีราชการจัดให่ฟังแล ้ วก็รู ้ สึกว ้ ่ านีแหละคือเส่นทางชีวิตที ้เราชอบ่ เป้ าหมายก็ชัดเจนนับแตนั้นจากนั้นก็ศึกษาหาข ่ อมูล และเตรียมตัวเข ้ ้ าสูสนามการเป็นผู ่ พิพากษา จนกระทั ้งสอบผู่พิพากษาได ้ ้ ” อยากให้ ท่ านเล่ าชีวประวัติตั้งแต่ วัยเด็กจนก้ าวมาเป็นผูพิพากษา ้ “ อย่ างที่เล่ าไปบ้ างแล้ วในตอนต้ น ดิฉันเกิดที่หมู่ บ้ านเล็ก ๆ ในจังหวัดเลย คนในหมู่ บ้ านมีอาชีพทำ ไร่ ทำ นา ทีหมู่บ่ ้ านไมค่ อยมีแหล ่ ่ งน้ำทำ การเกษตร ตองอาศัยน้ำ ้ ฝนเพียงอย่ างเดียว ทำ นาไดปีละครั้ง ต ้ องไปยืมเงิน ธ.ก.ส. มาลงทุน ้ ทำ ไร่ ข้ าวโพด ตั้งแต่ เล็กจนโตก็เห็นพ่ อแม่ ทำ งานหนักแต่ รายได้ ต่ำ เป็นหนี้ ธ.ก.ส. รายได้ ไม่ พอกับรายจ่ ายก็เลยอยากจะ แบ่ งเบาภาระของพ่ อแม่ บ้ าง แต่ โดยส่ วนตัวแล้ วเป็นคนทำ งานหนักไม่ ไหว ทำ ไร่ ทำ นา ไม่ เป็น เพราะยายเลี้ยงมาแบบ ทะนุถนอม ไม่ เคยทำ งานบ้ านเองไม่ เคยซักผ้ าเอง ยายทำ ให้ ตลอด หลังจบประถมศึกษา พอแม่ ก็ให ่ ้ ออกมาช่ วยทำ ไร่ ทำ นา แต่ ผลงานไม่ ค่ อยดี พ่ อแม่ ให้ ไปเลี้ยงวัวเลี้ยงควาย ก็ทำ ได้ ไม่ ดีอีกเพราะมัวแต่ ฟั งละครวิทยุจนวัว ควาย แอบไปกินพืชไร ของชาวบ้ าน ชาวบ้ านชอบพูดกันว่ า ดิฉันเป็นคนทำ อะไรไม่ ได้ เรื่อง ถ้ าไม่ มีพ่ อแม่ คอยดูแลแล้ วจะเอาตัวรอดได้ อย่ างไร พอไดฟั งแบบนั้นก็เสียใจ และคิดว ้ ่ าตัวเองคงไม่ เหมาะกับการทำ ไรทำ ่ นา เราอยากเรียนหนังสือมากกว่ า อยากไปหางานอื่นทำ และส่ งเงินมาให้ พอแม่ ่ แตก็เข ่ ้ าใจว่ าพออยากส่ ่ งเรียนแต่ ไมมีเงิน พอดีฟั งวิทยุเค ่ ้ าบอกว่ ามีการเรียนทางไกล ทีศูนย่ การศึกษา ์ นอกโรงเรียนจังหวัดเพชรบูรณ์ ” 2
เรียนวันอาทิตยวันเดียวก็ได ์ วุฒิเทียบเท ้ ่ า ม.ตน้ เลยขอพอไปเรียน แม ่ กับยายไม ่ อนุญาตเพราะเป็นห ่ ่ วงแต่ ได้ ไปเรียนเพราะพ่ ออนุญาต ถึงยายจะไม่ เห็นด้ วยที่ดิฉัน จะไปเรียนแต่ ในเมื่อห้ ามไม่ ได้ ยายก็ไม่ ไดว้่ าอะไร การไป เรียนตองเดินลงเขาระยะทาง 3 กิโลเมตร เพื่อมาขึ ้นรถเมล้์ ทีถนนใหญ่ ยายก็แค ่ ขอตามไปส ่ ่ ง เพราะถนนทางเข้ าหมูบ่ ้ าน มันเปลียว ยายเป็นห ่่ วง โดยส่ วนตัวไมอยากให ่ ยายไปรับส ้ ่ ง เพราะอายเพื่อน คนอื่นเค้ าไปไหนมาไหนเค้ าก็ไปคนเดียวได้ ไม่ เห็นต้ องมีใครคอยตามถนนเส้ นนี้ไม่ ได้ เปลี่ยวอะไรเลย มีคนผ่ านไปมาตลอด แต่ ไม่ ว่ าจะพูดยังไงยายก็ไมยอม สุดท่ ้ าย ระยะเวลาหนึ่งปีทีไปเรียนยายก็จะเดินตามไปส ่่ งทีปากทาง่ เข้ าหมูบ่ ้ านและไปนังรออยู่ที่บ่ ้ านภารโรงของโรงเรียนทีอยู่่ ปากทางเข้ าหมูบ่ ้ าน จนกระทังดิฉันกลับมาในตอนเย็น ่ พออายุครบสิบห้ าปี ก็มีความคิดอยากไปทำ งาน และหาที่เรียนในเมืองใหญ่ ก็ไปขออนุญาตพ่ อแม่ แม่ และ ยายไมอนุญาตเหมือนเดิม ที ่ ได่ ้ ไปเพราะพออนุญาตจากนั้น ่ ก็ไปหางานทีสำ่นักจัดหางานอำ เภอด่ านซ้ าย เขาก็ส่ งดิฉัน และเพื่อนในหมูบ่ ้ านไปทำ งานโรงงานปลากระป๋ อง ทีจังหวัด่ นครปฐม เป็นครั้งแรกในชีวิตทีได่ออกจากบ้ ้ านนอกเดินทาง โดยรถทัวร์ ไปลงทีหมอชิต มีเจ่ ้ าหน้ าทีจากสำ่นักจัดหางาน คอยดูแล และมีเจ้ าหน้ าทีจากโรงงานมาคอยรับ ที่ยังจำ่ได้ ติดตาคือเจ้ าหน้ าทีคอยตะโกนบอกเราด่วยเสียงดังให ้ จับกลุ ้ม่ กันไว้ กลัวจะหลงทาง จนคนแถวนั้นหันมามองดวยสายตา้ เวทนาสงสาร บางคนถามว่ าเพิ่งมากรุงเทพครั้งแรกเหรอ จากนั้นเจ้ าหน้ าทีของโรงงานก็รับไปส ่่ งทีโรงงานให่ ้ พักรวม กับพนักงานคนอื่นทีอยู่ก่อนแล่ว ห้ องละแปดคน ไปทำ ้งาน วันแรกก็เป็นลมเพราะเหม็นปลาทูน่ ามาก สภาพทีนี่ลำ่บาก อึดอัดมาวันแรกก็คิดถึงบ้ านใจแทบขาด ยายไม่ เคยปลอย่ ให้ ลำ บากเลย แตก็คิดได ่ว้่ าเราไม่ ไดมาเพื่อหาความสบาย ้ แต่ มาเพื่อหาอนาคตที่ดีกว่ า ชอบที่นี่เพราะได้ ทำ งานกะ กลางคืนจะไดมีเวลาไปหาที ้ เรียนในตอนกลางวัน แต่ทำ ่งาน ไดแค้ ่ เดือนเดียวโรงงานก็กิจการไมดี ต ่ องเลิกจ ้ ้ างคนใหม่ เลยตองไปหางานที ้ ใหม่่ พอไปทำ งานทีอื่นเป็นงานเข ่ ้ าสามกะ เช้ า บ่ าย ดึก เวียนกันตลอดวันหยุดก็ไมแน่ นอน ทำ ่ ให้ เรียน ไม่ ไดก็ต้ องไปหางานใหม ้ อีก และมีเงื่อนไขอีกอันคือความ ่ เป็นเด็กบ้ านนอก ไปไหนตองมีเพื่อนหมู ้บ่ ้ านเดียวกันไปดวย้ พอทำ งานจะลงตัวจะได้ ที่เรียน เพื่อนบอกว่ าทนความลำ บาก ไม่ ไหวกลับบ้ านดีกว่ า เราก็ตองตามเพื่อนกลับบ ้ ้ านเพราะไมกล่ ้ า อยู่ คนเดียวเป็นแบบนี้อยู่ หลายครั้ง จนครั้งสุดท้ ายก็กลับไป ทำ งานโรงงานปลากระป๋ องทีเคยทำ่ทีแรกและได่ที้เรียน ม.ปลาย่ ครั้งนีเพื่อนจะกลับบ ้ ้ านอีก เลยตัดสินใจ ขอพอแม่ ่ อยูคนเดียว ่ และเรียนต่ อจนได้ วุฒิ ม.ปลาย มาด้ วยความเหนื่อยล้ าท้ อใจ ไม่ รูจะเอาวุฒิไปใช ้ ้ ทำ อะไร ประกอบกับตอนนั้น คนทีชอบพอกัน่ อยู่ ที่บ้ านนอก เค้ ารอเราไม่ ไหวหนีไปแต่ งงานเลยยิ่งท้ อหนัก เข้ าไปอีก ตอนนั้นคิดว่ าถ้ ายอนเวลาได ้ ้ จะไม่ รงไม่ เรียนมันแลว้ กลับไปทำ ไร่ ทำ นาดีกว่ า แตคิดได ่ ก็สายเกินไป มาจนถึงขนาด ้ นี้แล้ วต้ องเดินหน้ าต่ อไป แต่ ขอกลับบ้ านนอกพักเอาแรงกอน่ พอหายเหนื่อยก็พาแมมาทำ ่งานกอสร่ ้ าง เหตุทีมาทำ่งานกอสร่ ้ าง เพราะมีทีพัก เราจะได่ ้ ไปหางานโรงงานทำ และหาทีเรียนต่อได ่ ้ ตอมาก็ได ่ ้ งานโรงงานแถวสมุทรปราการ เลยส่ งแมกลับบ ่ ้ านนอก ตอนนั้นตั้งใจว่ าจะเรียนรัฐศาสตร์ เพราะมีคนแนะนำ ว่ าเป็นสาขา เดียวที่เด็ก กศน. เรียนจบ แต่ ก็ไม่ ได้ เรียนเพราะโรงงานมี นโยบายไมจ่ ้ างพนักงานประจำ 3 สาวโรงงานสู่อาชีพผู้พิพากษา
ทำ งานสีเดือนก็จะไม ่จ่ ้ างตอแต่จะจ่ ้ างคนใหมแทน โครงการเรียนเลยต ่ องพักไว ้ก้อน ต่ อมาได ่ ้ งานใหมที่ โรงงาน่ เครื่องแฟกซ์ แถวบางปะกง ตอนนี้คิดจะสมัครเรียนรามอีกครั้ง หลังจากศึกษาขอมูล ก็เชื่อตัวเองว ้ ่ าเราจะเรียนนิติศาสตร์ ไดดีกว ้ ่ ารัฐศาสตร์ จึงตัดสินใจสมัครเรียนนิติศาสตร์ สองปีแรกก็ยังทำ งานดวยเรียนด ้วย แต้ พอปีที ่ สามได่กู้ ้ เงินของ กยศ. เลยเรียนอย่ างเดียว ใช้ เวลาเรียนมหาวิทยาลัยรามคำ แหงสามปี จากนั้นก็ไปเรียนเนติฯ อีกหนึ่งปี ช่ วงที่เรียนเนติฯ ยังได้ เงินกู้ ของ กยศ.อยู่ เพราะเป็นช่ วงคาบเกี่ยวกัน พอจบเนติฯแล้ วก็สอบบรรจุเข้ ารับราชการได้ ที่ ป.ป.ช. ทำ งานอยู่ ป.ป.ช. เกือบสีปีจึงสอบผู ่พิพากษาได ้ ้ ในการสอบครั้งที ๒่ แรงบันดาลใจในการสูชีวิตมาจนถึงทุกวันนี ้ ?้ แรงบันดาลใจทีสำ่คัญทีสุดคงเป็นครอบครัวค ่่ ะ เพราะตั้งแต่ เด็กเห็นพอแม่ ทำ ่ งานหนักแต่ รายได้ ไมพอกับรายจ ่ ่ าย เราจะคิดเสมอว่ าอยากเรียนสูง ทำ งานดี ๆ เพื่อให้ พ่ อแม่ สบาย และแรงบันดาลใจอีกอย่ างคือ เป็นคนไม่ ชอบใช้ กำ ลัง ในการทำ งาน คิดว่ าตัวเองทำ ไร่ ทำ นาไม่ ไหวและไมชอบเลยต่ องหาสิ ้ งที่เราชอบทำ่ เพื่อพิสูจนว์่ าเราก็มีดีเหมือนกันนะ มีเคล็ดลับในการศึกษาวิชานิติศาสตร์ ? เคล็ดลับ คือ ต้ องฝึกมากๆ ฝึกเขียน ฝึกทำ ข้ อสอบเก่ า ปั ญหาหลักของนักกฎหมายในตอนนี้คือ เราเน้ นอ่ าน เนนท้ องจำ ่ กันมากเกินไปจน ทำ ให้ ไมสามารถถ่ ่ ายทอดความรูที้ มีออกไปได่ ้ ถ้ าเราไดฝึกทำ ้ โนตย๊ อ สรุปสาระสำ ่ คัญวิชากฎหมาย ให้ เป็นภาษาของเราเอง ฝึกเขียนคำ ตอบขอสอบเก้ ่ าบอยๆจะทำ ่ ให้ ความคิดเราเป็นระบบ สามารถถ่ ายทอดสิ่งที่รู้ ให้ คนอื่น เข้ าใจได้ ดิฉันเขียนหลักการเรียนเหล่ านี้ไว้ ในเพจธรรมะกับกฎหมาย ถ้ าใครสนใจก็เข้ าไปติดตามอ่ านได้ นะคะ อันนี้คือ ตัวอย่ างหลักการเรียนทีเขียนในเพจจะเล่่ าให้ ฟั งคร่ าว ๆ ค่ ะ 4
หลักการเรียนกฎหมายทีแอดมินเขียนใว่ ้ ใน บันทึกหรือ Note ของเพจนี (ถ้ ้ าเปิดจากโทรศัพทอาจมอง์ ไม่ เห็นต้ องเปิดจากคอมพิวเตอร์ หรือแท็บเล็ต) เป็นหลัก การเรียนเบื้องต้ นที่สามารถนำ ไปปรับใช้ กับการเรียนได้ ทุกระดับทุกสาขากระบวนการเรียนรู้ มีสองส่ วน คือ ส่ วนรับ ขอมูล เช้ ่ น การอ่ านและการฟังส่ วนถ่ ายทอดขอมูล การพูด้ และการเขียน ปัญหาหลัก ๆ ทีทำ่ให้ ไม่ เราไมประสบความสำ ่ เร็จ ในการเรียนคือ การเน้ นส่ วนใดส่ วนหนึ่งมากเกินไปเพียง ส่ วนเดียว เช่ นบางคนเนนส้ ่ วนรับขอมูลคืออ ้ ่ านและฟังมามาก พยายามทีจะจำ่ให้ ไดทุกอย้ ่ าง แตข่ อมูลในหัวมีมาก จึงไม ้ ่ สามารถจำ อะไรได้ เมื่อเรามุ่ งแต่ จะจำ ทำ ให้ เราไมสามารถ่ คิดได้ เอง เวลาเจอปั ญหาใหมก็ทำ ่ อะไรไมถูกเพราะไม ่ ่ เคย เรียนรู้ ทีจะคิด่ จะศึกษาหาขอมูลอย้ ่ าง รอบด้ าน มองขอดีและข ้ อเสียของสิ ้ งนั้นนำ ่ ความคิดดีๆ ของคนอื่นมาคิดต่ อ เพื่อแก้ ไขข้ อบกพร่ องหรือ ปรับปรุงให้ ดียิงๆขึ ่ ้นไป ดังนั้น หลักการเรียนที่ถูกต้ องคือ การที่เราทำ ให้ กระบวนการเรียนรู้ ในส่ วนรับขอมูลและถ้ ่ ายทอดขอมูลมีความ ้ สมดุล กล่ าวคือจะเรียนอะไรก็ศึกษาหาข้ อมูลก่ อน ศึกษาสาระ สำ คัญของสิ่งนั้นจนเข้ าใจละเอียดถี่ถ้ วน และสามารถจดจำ ได้ จากนั่นก็ฝึกถ่ ายทอดข้ อมูลนั้น ด้ วยการเน้ นไปที่ประเด็นหลัก เพียงประเด็นเดียว อธิบายประเด็นที่เราต้ องการนำ เสนอด้ วย การหาเหตุผลจากแหล่ งที่น่ าเชื่อถือมา สนับสนุนความคิดเรา ตามดวยการยก้ ตัวอย่ างที่มองเห็นภาพ หรือเป็ น เหตุการณที์ สามารถเกิดขึ ่ ้นไดจริง ้ ในทางตรงข้ ามบางคนก็เนนที ้จะถ่่ ายทอดขอมูล้ อย่ างเดียว คือพยายามคิด พยายามพูดพยายามเขียนแต่ ไม่ เคยสนใจจะฟังหรืออ่ าน เช่ น มาเรียนหนังสือก็ทองตัวบท ่ อย่ างเดียว เพราะคิดว่ าตัวบทสำ คัญทีสุด พอจำ่ตัวบทไดแล้ว้ เราก็เอาไปปรับใช้ ได้ เลย แต่ ไม่ เคยสนใจว่ าคนอื่นเค้ าปรับ ใช้ กฎหมายกันยังไง กฎหมายมีทีมามีแนวคิดยังไง มีตัวอย่่ าง ทีคนอื่นเคยเอากฎหมายแบบนี ่ไปปรับใช้ ้ หรือเปล่ า ทีเราคิด่ ตรงกับสิงที่ คนอื่นคิดหรือไม ่่ มีคนแบบเราหรือเปล่ า แลวผล้ ของการคิดแบบนี มีข้อดีข ้ อเสียอย ้ ่ างไร คนทีคิดเป็นไม ่่ ใช่ คิดอะไรใหมขึ่ นมาทั้งหมดในคราวเดียวกัน แต ้คนที ่ คิดเป็น ่ 5 สาวโรงงานสู่อาชีพผู้พิพากษา
ถ้ าทำ แบบนีเป็นประจำ ้จะทำ ให้ เราคิดเป็นระบบสามารถถ่ ายทอดความคิดของเราออกมา ไดอย้ ่ างมีประสิทธิภาพ สามารถโนมน้ ้ าวใหคนอื่นคล ้ ้ ายตามความเห็นของเรา ยกตัวอย่ างเช่ น แอดมิน เขียนบทความเรื่อง “กว่ าจะเป็นผู้ พิพากษา” ถ้ าแอดมินมาเล่ าว่ า แอดมินจบกศน. ทำ งานโรงงาน สอบผู้ พิพากษาได้ ตั้งแต่ อายุน้ อย ๆ หลังเป็นผู้ พิพากษาก็ประสบความสำ เร็จเยอะแยะมากมาย ถ้ าเขียนแค่ นี้ ใครจะสนใจ บางคนอาจจะคิดว่ าเธอประสบความสำ เร็จเธอก็เก่ งไง แล้ วมันเกี่ยวอะไร กับชีวิตฉัน มีผูพิพากษาคนอื่นที ้ เคยลำ่บากมากอนและประสบความสำ ่ เร็จอีกตั้งมากมายแลวจะมาพูด้ ไปทำ ไม ที่บทความเรื่องนี้มีคนสนใจอ่ านมากมาย เพราะแอดมินเขียนโดยการนำ เสนอประเด็นที่ว่ า ถ้ าเรามีเป้ าหมายชัดเจน หาวิธีการต่ างเพื่อเดินไปสู่ เป้ าหมาย ถ้ าเราไม่ ท้ อวันหนึ่งมันต้ องสำ เร็จ และเอาเรื่องราวในชีวิตจริงของตัวเองมาพิสูจน์ เรื่องราวที่เล่ าตั้งแต่ ต้ นจนจบแทรกขอคิดให ้ ้ คนอ่ าน กลับไปมองตัวเองตลอดเพราะเป็นเหตุการณธรรมดา ที ์ เคยเกิดกับตัวเองแต่่ ไดอีกมุมมองหนึ ้ งที่ต่่ างไป ศึกษาขอมูลว้ ่ าคนอื่นคิดยังไง และนำ เสนอ ความคิดของตัวเอง เพื่อใหคนอ้ ่ านเปรียบเทียบว่ าความคิด มีผลต่ อชีวิตจริง ๆ เช่ นเล่ าว่ าทำ งานโรงงานมุมมองของคนส่ วนใหญ่ คือ มันเป็นงานหนัก ต่ำ ต้ อย รายไดต่ำ ้ แต่ ไมมีทางเลือกก็ต ่ องทำ ้ทุกอย่ างใหดีที ้ สุดภายใต่ข้อจำ ้ กัดทีมี การนำ่เสนอมุมมองของตัวเอง ใหคนอ้ ่ านคิดตามว่ า แมจะเป็นงานที ้ ต่ำ ่ตอย แต้ ่ งานทุกอย่ างก็มีคุณค่ าในตัวเอง มันสอนอะไรบางอย่ าง แก่ เรา เช่ นสอนให้ เราอดทน มีจิตใจเขมแข็ง สามารถฝ ้ ่ าฝั นอุปสรรคต่ าง ๆ ได้ หลักสำ คัญของการ ถ่ ายทอดขอมูลคือ สิ ้ งที่เราพูดสิ่งที่เราเขียนมีประโยชน่ต์อคนอ่ ่ านคนฟั งยังไง เค้ าจะไดอะไรจากการ ้ ทีต่องมาเสียเวลาอ ้ ่ านงานเขียนของเราหรือฟั งเราพูด 6
คติในการดำ รงชีวิต และการทำ งานคือ อะไร ? ในช่ วงต้ นของชีวิตคิดว่ าตัวเองเรียนอะไร ก็ได้ ทำ งานอะไรก็ได้ ขอให้ มีเงินส่ งเสียครอบครัว พอมาเรียนกฎหมายคิดว่ าที่สุดของสายกฎหมาย ก็คือการเป็นผูพิพากษา เป ้ ้ าหมายก็ชัดเจนนับแตนั้น่จากนั้นศึกษาหาขอมูล วางแผนหาวิธีการที ้ ่จะเดิน ไปสู่ เป้ าหมายทีตั้งไว ่ต้ อมาก็สอบได ่ ตอนอายุ 27 ปี ้พอสอบได้ แล้ วรู้ สึกไม่ รู้ จะทำ อะไรต่ อเพราะสิ่งที่ เราตั้งใจไวมันสำ ้ เร็จแลว เคว้ ้ งคว้ างไปสักพัก สิงที่ ่ ได้ เรียนรูจากการดำ ้ เนินชีวิตทีผ่่ านมาอย่ างหนึงก็คือ่ เราอยากได้ อะไร เราจะได้ สิ่งนั้นถ้ าเราต้ องการมัน จริง ๆ เราก็จะมีใจหาวิธีการให้ ไดมาจนได ้ ้ แตปัญหา ่คือ ทีเราอยากได่ นั้น เป็นสิ ้ งที่เราต่องการจริง ๆ หรือไม ้ ่และถ้ าเราไดมันมาแล ้ วมันจะทำ ้ ให้ เรามีความสุขจริงๆ อย่ างทีคิดหรือเปล่่ าตอนนีค้นพบเป ้ ้ าหมายใหม่ คือ ทำ ยังไงจะมีแนวทางการดำ เนินชีวิตที่ถูกต้ องและ มีความสุขจนสามารถส่ งผ่ านความสุขและแนวทาง นั้นให้ แก่ ผู้ อื่นได้ ตอนนี้กำ ลังศึกษาเส้ นทางนี้อยู่นับแต่ ได้ ศึกษาเส้ นทางนี้รู้ สึกว่ าการได้ ทำ หน้ าที่ คนกลางยุติข้ อพิพาทให้ คนอื่น การได้ ช่ วยคนอื่น ที่กำ ลังมีทุกข์ ได้ แบ่ งปั นความรู้ ความสุขที่มีให้ แก่ผู้ อื่น ทำ ให้ ชีวิตมีค่ ามีความหมายและมีความสุข คติในการดำ รงชีวิตในตอนนี้คือการใช้ ชีวิตให้สงบเย็นและเป็นประโยชนต์อตนเองและผู่ อื่นค ้ ่ ะ บทสัมภาษณจาก รายการคุยกันนอกศาล ออกอากาศทางสถานีวิทยุรัฐสภา ์ขอมูลจาก เพจธรรมะกับกฎหมาย ้ 7 สาวโรงงานสู่อาชีพผู้พิพากษา
8
การศึกษา นายวิริยะบัณฑิต คีรีธีรกุล ชื่อเล่ น เคียว ผมสำ เร็จการศึกษานิติศาสตรบัณฑิต และศิลปศาสตรบัณฑิต เอกภาษาอังกฤษ จากมหาวิทยาลัยรามคำ แหง ระดับประถมศึกษาผมเรียนในโรงเรียนของหมู่ บ้ าน ชื่อหมู่ บ้ านมณีพฤกษ์ อยูที่ ตำ่บลงอบ อำ เภอทุ่ งช้ าง จังหวัดน่ าน ระดับมัธยมศึกษาตอนตนบวชเรียนอยู ้ ่ โรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา วัดสว่ างภพ จังหวัดปทุมธานี ระดับมัธยมศึกษาตอนปลายเรียนทีโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา วัดกลาง จังหวัดน ่่ าน การทีต่องบวชเรียนเพราะว ้ ่ าทางบ้ านไมมีเงินส ่ ่ งเสีย ระยะเวลาทีบวชเรียนตลอด 6 ปี ทุกอย่่ างฟรีหมด ผมรู้ สึกดีครับเพราะ ไมต่องรบกวนทางบ้ ้ าน นายวิริยะบัณฑิต คีรีธีระกุล จากชาวดอย... สู่ เสนทางสายตุลาการ้ 9 ชาวดอย... สู่เส้นทางสายตุลาการ
ประวัติตั้งแต่ วัยเด็กกอนก่ ้ าวมาเป็นผูพิพากษา ้ ผมเกิดที่จังหวัดน่ าน หมู่ บ้ านมณีพฤกษ์ ตำ บลงอบ อำ เภอทุ่ งช้ าง คือบ้ านที่ผมเกิดเป็นชาวเขา เผ่ าม้ ง หมู่ บ้ านของผมอยู่ ไกลจากตัวอำ เภอทุ่ งช้ างต้ อง ขึ้นไปบนเขาอีกประมาณ 40 กิโลเมตร อำ เภอทุ่ งช้ าง ห่ างจากอำ เภอเมือง 80 กิโลเมตร ถ้ าจากอำ เภอเมืองน่ าน ไปบ้ านผมก็ประมาณหนึ่งร้ อยกว่ ากิโลเมตร ผมใช้ ชีวิต อยูบนเขาจนจบระดับประถมศึกษา หลังจากนั้นก็ออกจาก ่ หมูบ่ ้ านมาเรียนหนังสืออย่ างเดียว ทำ ให้ ไมค่ อยได ่ กลับบ ้ ้ าน ปีหนึ่งอาจจะกลับหนึ่งครั้งหรือสองครั้ง ครอบครัวผมมี พีน่องห้ ้ าคน ผมเป็นคนทีสี่ มีพี่ สาวสามคนก็มีครอบครัว ่ กันหมดแลวทำ ้ งานทำ ไรทำ ่ สวนปกติ ส่ วนนองชายก็เหมือน ้ ผมบวชเรียนและเรียนที่มหาวิทยาลัยรามคำ แหง เหมือนกันซึ่งตอนนี้สอบติดข้ าราชการตำ รวจไปแล้ ว นิยามชาวเขาเผาม้ ง นิยามเหมือนเป็นเผ่ าปกากะญอ อาข่ า พอแม่ ่ เป็นม้ งเราเกิดมาก็ต้ องเป็นม้ งครับ ปกติเขาจะใช้ แซ่ กัน แตตอนหลังรัฐบาลบอกว ่ ่ าให้ เปลียนมาใช่ ้ นามสกุลโดยที่ เขามีรายชื่อนามสกุล ให้ เราเลือก แต่ ของผมนี้เกิดมาก็ ได้ สัญชาติไทย เรื่องของม้ งเมื่อก่ อนเขาเล่ าว่ ามาจาก ไซบีเรีย คืออยูพื่้นทีเยือกเย็น ตอนหลังก็อพยพมาอยู ่ที่่ เมืองจีนแล้ วก็มีปั ญหาทะเลาะกับคนจีนก็ทำ ให้ แตก กระจายกัน บางส่ วนอพยพมาอยูที่ ประเทศลาว ประเทศ่ เวียดนามและมีบางส่ วนอยู่ พื้นที่ทางภาคเหนือของ ประเทศไทยชาวเขาเผ่ าม้ งชอบอยู่ พื้นที่สูง ๆ ถ้ ามาอยู่ พื้นที่ราบก็จะไมสบาย เมื่อก ่ อนเคยมีหมู ่ ่ บ้ านหนึ่งที่เขา อพยพย้ ายมาอยู่ ข้ างล่ าง เพราะถูกมองว่ าอยู่ บนเขาแล้ ว ชอบทำ ไร่ เลื่อนลอยทำ ลายทรัพยากรธรรมชาติ พออพยพ ลงมาอยูข่ ้ างล่ างชาวบ้ านเกิดอาการแพ้ เพราะเข้ ากับอากาศ พื้นราบไม่ ได้ สุดท้ ายก็ต้ องย้ ายกลับไปเหมือนเดิมส่ วน ผมก็มีปั ญหานีเหมือนกันตอนที้ลงมาอยู่่ ใหมๆ ก็มีผื่นขึ ่น้ เต็มไปหมด ชีวิตวัยเด็ก ณ บ้ านมณีพฤกษ์ ชีวิตวัยเด็ก ณ บ้ านมณีพฤกษ์ ชีวิตในช่ วง วัยเด็ก ก็เหมือนเด็กทัวไปคือชอบวิ่ ่งเล่ น เวลาเลิกเรียน เสาร์ -อาทิตย์ ก็ช่ วยพ่ อช่ วยแม่ ทำ ไร่ ทำ สวนปลูกข้ าว แต่ ก็ไม่ ได้ ทำ เป็นเชิงพาณิชย์ ทำ สำ หรับบริโภคภายใน ครอบครัว ส่ วนที่แค่ ทำ เป็นเชิงพาณิชย์ ที่พอจะหาเป็น รายไดจุนเจือครอบครัวก็จะเป็นพวกกะหล่ำ ้ ปลี ผักกาดขาว แลวก็ผักตามฤดูกาลแล ้ วก็ผลไม ้พวกลูกท้ อ พวกลูกไหน ้ ลิ้นจี่ครับ เรื่องการเรียนผมเรียนอยู่ ระดับปานกลางก็ ไมค่อยเก่ ่ งเท่ าไรครับ ช่ วงตอนมัธยมตนก็พอได ้บ้ ้ างส่ วน มัธยมศึกษาตอนปลายก็ดีหนอย จริงๆ แล ่ วก็ไม ้ ่ ได้ เรียนเก่ ง อะไรครับ ช่ วงมัธยมศึกษาผมก็บวชเณรเรียน ทำ กิจวัตร ของเณรไปควบคูกับการเรียนขึ ่้นเต็มไปหมด 10
ทำ ไมตัดสินใจมาเรียนรามคำ แหง... เมื่อสำ เร็จการศึกษาในระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6 ก็ได้ มี ความคิดว่ าบวชเรียนมาเป็นเวลา 6 ปีแลว น้ ่ าจะไปศึกษาทีวิชาความรู่ ้ ทางโลกภายนอกเพื่อให้ เรารู้ มากขึ้น ซึ่งก็เล็งไว้ หลายที่แต่ มองว่ าที่ มหาวิทยาลัยรามคำ แหงน่ าจะเหมาะที่สุดเพราะค่ าหน่ วยกิตไมแพง ่ เราไมต่องเข้ ้ าห้ องเรียนสามารถทำ งานไปดวยเรียนไปด ้ ้ วยได้ การศึกษาความรู้ ทางโลกกับทางธรรม มันไม่ ไดสับสนมากเพียงแต ้ ่ ว่ าตอนทีเราบวชเรียน่ อยู่ ในวัด เราเป็นสามเณรมีขอปฏิบัติพอสมควรจึงต ้ องสำ ้รวม รักษากิริยามารยาท แต่ ด้ วยความที่เราเป็นเด็กก็มีมุมของ เด็กด้ วย คือมีวิ่งเล่ นอะไรปกติแต่ พอเรามาอยู่ กับทางโลก ก็ยิงสบายเพราะไม่มีระเบียบวินัยที ่ต่องเคร้ ่ งครัดมากนัก 11 ชาวดอย... สู่เส้นทางสายตุลาการ
ความคาดหวังในการเรียนมหาวิทยาลัยรามคำ แหง ครั้งแรกในการศึกษาทีมหาวิทยาลัยรามคำ่แหง ผมไม่ ได้ เรียนคณะนิติศาสตร์ แต่ เรียนคณะมนุษยศาสตร์ ์ เอกภาษาอังกฤษ ตอนนั้นก็คิดว่ าเมื่อเรียนจบอาจจะไปเรียน ประกาศนียบัตรวิชาชีพครูแลวกลับไปเป็นครูอยู ้ ที่บ่ ้ านนอก แตพอเรียนจบปริญญาตรีได ่ มีโอกาสไปทำ ้งานอยูกับบริษัท ่ ทีเป็นตัวแทนการขนส ่่ งทางเรือ ตำ แหน่ งฝ่ ายสินไหม มีบาง กรณีทีต่ องมีคดีขึ ้้นสูศาล เราทำ ่งานอยู่ ในตำ แหน่ งนีก็ต้อง้ ดูคำ ฟ้ องคำ ให้ การ พออ่ านแลวไม ้ ่ รู้ เรื่องตองขอคำ ้ ปรึกษา จากทนายในการส่ งรายงานมาใหดู แต้ ก็ไม ่ ่ เข้ าใจอยูดี ผมจึง ่ ตัดสินใจว่ าควรไปเรียนนิติศาสตร์ เพิ่มเติม การเรียน ปริญญาตรีใบที่สองสามารถโอนหน่ วยกิตพื้นฐานไปได้ ทำ ให้ ประหยัดเวลา ผมใช้ เวลาในการเรียนสองปี ก็สำ เร็จ การศึกษา เรื่องการอ่ านหนังสือผมเป็นคนชอบอ่ านอยูแล่ว้ แตถ่ ้ าถามว่ าจำ แมนหรือไม ่ ่ ไมถึงกับร ่ อยเปอร ้ ์ เซนต์ แต่ เวลา ทำ อะไรก็ทำ จริง ถ้ าตัดสินใจทำ ก็ทำ เต็มที เพื่อให ่ ้ จบไวสุด สำ หรับการศึกษาวิชากฎหมาย ทีเนติบัณฑิตยสภาใช่ ้ เวลา กว่ าปี ครึ่งครับ เนื่องจากในปี แรกของภาคที่หนึ่งผมตก อาญา สาเหตุส่ วนหนึงก็มาจาก การที่ผมต่องทำ ้ งานไปดวย้ ทำ ให้ ไมมีเวลา และการเรียนที ่ ของเนติบัณฑิตยสภาไม่่ เหมือน ตอนเรียนในมหาวิทยาลัย ทำ ให้ ตองมีการปรับตัว ้ จากเด็กดอยมาสู่ เมืองกรุง ตอนที่ผมเรียนจบมัธยมศึกษาปีที่ 6 มีรุ่ นพี่ ในหมูบ่ ้ านเรียนมหาวิทยาลัยรามคำ แหง 2 คน ผมเดินทาง เข้ ากรุงเทพไปกับเพื่อน 2 คน แต่ ว่ าเราไมมีข่ อมูลติดต ้ ่ อ รุ่ นพี่ในหมู่ บ้ านได้ เลย เราเองไม่ รู้ จักใคร เราไม่ เคยเข้ า กรุงเทพฯ มากอน ชีวิตตอนนั้นก็ลำ ่ บากเหมือนกัน พอเพื่อน ลงทะเบียนเสร็จเพื่อนหนีกลับบ้ านเลย ช่ วงแรก ๆ ก็มาหางาน ทำ เพื่อทีจะหาค่่ าลงทะเบียนเรียน ผมขอเงินแมมาสองพันบาท ่ ตั้งใจจะเอาเป็นค่ าสมัครงาน ซื้อชุดสมัครงาน แต่ ว่ างาน มันก็ไม่ ไดดั้งใจเพราะว่่ าเราไม่ รูจักใครเราไปหาเอง พยายาม ้ หางานที่มีที่พักแล้ วก็มีอาหารด้ วย คือดูจากในละครที่ พนักงานเสิรฟในร ์ ้ านอาหารมีข้ าวใหกินฟรีมีที ้ พักให่ภายใน ้ หนึ่งเดือนอาจจะได้ สักพันสองพันก็พอ ปรากฏเราหางาน อย่ างนั้นไม่ ได้ ช่ วงที่จะไปซื้อใบสมัครเรียนมหาวิทยาลัย รามคำ แหงก็นั่งรถตู้ ไปพอดีเห็นป้ ายเขาติดรับสมัครงาน ข้ างถนนเป็น รปภ. ก็ว่ าน่ าสนใจดี ก็เลยไปสมัครเสียเงิน ค่ าสมัครไป 500 บาท ปรากฏว่ าเขาพาเราไปลงพื้นที่งาน แต่ งานไม่ ว่ างเราก็ไม่ ได้ งานอีก พอวันรุ่ งขึ้นก็ไปหาที่ใหม่ ได้ เป็นพนักงานทัวไปในออฟฟิศเพราะว่่ าตอนนั้นอายุยังนอย้ อายุแค่ 17 ปี เป็นพนักงานทั่วไปในออฟฟิ ศเขาก็เก็บค่ า สมัครอีก 500 บาท เป็นค่ าลงทะเบียนแล้ วค่ าประกันอีก 1,000 บาท เงินเราก็หมดเลย ผมได้ เงินเดือนเดือนละ 1,800 บาท ที่พักอยู่ ในสำ นักงานเลย และเขาก็จะให้ เงิน เราวันละ 50 บาท เป็นค่ ากับข้ าว ผมก็เลยไปอยู่ กับเขา ตอนนั้นเพื่อนก็ยังอยู่ ด้ วยแต่ เงินที่เราเอามาหมดแล้ ว เงินเดือนก็ยังไมออกและใกล ่ ที้ จะเปิดลงทะเบียนเรียนแล่ว้ เพื่อนก็เลยกลับบ้ าน ผมจึงฝากให้ เพื่อนไปขอใหแม้ ่ เอาเงิน มาให้ อีกแม่ ก็ต้ องไปขอยืมเงินมาให้ อีก 2,000 บาท เพื่อ ให้ เราลงทะเบียนเรียน พอดีเงินเดือนเดือนแรกออก 1,800 บาท มันก็ได้ เงินพอดี 3,500 บาท สำ หรับไปลงทะเบียนเรียน ที่มหาวิทยาลัยรามคำ แหงเทอมแรก พอสมัครเรียนเสร็จ เพื่อนก็กลับบ้ านเหลือผมคนเดียว ผมทำ งานอยู่ ที่นั่นได้ ประมาณ 2 เดือน ได้ เงินมาเพิ่มสามพันกว่ าบาท ก็เลย ตัดสินใจมาอยูอีกที ่ หนึ ่งได่้ งานของโรงแรมทีเปิดให่ ้ บริการ ตลอด 24 ชัวโมง ช่่ วงนั้นบริหารเวลาไม่ ได้ เลย เพราะบางวันก็ อยากไปเรียนอยากเข้ าไปมหาวิทยาลัยบ้ าง การทำ งานโต้ รุ่ ง ตั้งแตบ่ ่ ายสามโมงยันตีสี นอนแค่่ 2-3 ชัวโมง ตื่นมาก็เบลอๆ ่ ก็ทำ อยูจนเทอมแรกผ่ ่ านไป ซึ่งแถวทีทำ่งานของโรงแรมมี ทีพักแล่วอาหารให ้ ้ เราดวย เลยทำ ้ ใหผมเก็บเงินได ้ ประมาณ ้ 6,000 บาท ก็คิดคำ นวณแลวถ้ ้ าไปทำ งานทีใหม่่ เสียค่ าเช่ าหอง้ ค่ ากินอีก น่ าจะพอดี พอเทอมที่สองก็เลยเปลี่ยนงานใหม่ ไปอยู่ แถวหลังมหาวิทยาลัยรามคำ แหง แถวพัฒนาการ อยู่ ใกล้ ระหว่ างราม 1 กับราม 2 ทำ งานเป็นพนักงานเสิร์ ฟ ร้ านอาหารในห้ างก็เป็นรายชัวโมง ก็แล ่วแต้ ่ ว่ าเราจะกำ หนด ตารางเรียนว่ าวันนี้ มีเรียนหรือไม่ อย่ างวันไหนไมมีเรียน ่ ก็ทำ งานเต็มวัน ใช้ วิธีนี้มาตลอด จนจบปริญญาใบแรก ถ้ าถามว่ าค่ าใช้ จ่ ายพอหรือไม่ จริงๆ แล้ วค่ าใช้ จ่ ายไมพอ ่ แต่ ว่ าพอดีผมทำ เรื่องกู้ กยศ. สำ รองไว้ เผื่อว่ าเงินทีเราทำ่งาน ไมพอใช ่ ้ เพราะว่ าเดือนหนึงได่ประมาณ 4,000-5,000 บาท ้ เราได้ เงินกูมาอีกสองพันห ้ ้ าเป็นเงินสำ รองไว้ 12
เคยท้ อบ้ างหรือไม่ ... ก็ท้ อบ้ างครับแต่ ก็สู้ ผมเคยท้ อแล้ ว ตอนนั้นผมก็กลับบ้ านไปเปลี่ยนชื่อ ตอนแรกผมชื่อวันดี ซึ่งชาวม้ งเขาจะมี ชื่อเลนเป็น ภาษาม ่ ้ งแตของผมไม ่ มีชื่อ ส ่ ่ วนนามสกุลใช้ ของพีครับแต่ ชื่อนี ่ คิดเอง ผมมาเปลี่ ยนตอนมาเรียนรามปีหนึ ่ง พอเทอม่ แรกผ่ านไปมันเป็นช่ วงทีหัวเลี่ยวหัวต้อมาก เพราะผมบวชเรียนมา 6 ปี เราไม ่ ่ รูข้ ้ างนอกมันเป็นยังไง เข้ ามาเมืองกรุงเราไม่ รูจัก้ ใครเลย เพื่อนทีนี่ ก็ไม ่มี แต ่ถ่ ้ าไมมาเรียนต ่อแล่วอยู้บ่ ้ านก็ตองแต้ ่ งงาน ตองจับจอบทำ ้ สวนทำ ไรก็เหมือนคนอื่นทั ่ วไป ตอนนั้น ่ ถ้ าจิตใจไมมั่ นคงก็อาจตามเพื่อนกลับบ ่ ้ านลมเลิกความคิดที ้ จะเรียน แต่่ เราก็ยืนหยัดจนผ่ านไปหนึงปีพอเรียนปีสองก็เริ่มอยู่ตัว่ ตั้งใจเรียนใหจบภายในสองปีครึ ้ ง การเปลี่ ยนชื่อเหมือนเป็นการกระตุ ่นตัวเราด ้ วย พอเราตั้งชื่อเราก็ตั้งใจทำ ้ งานและตั้งใจเรียน จนจบสองปีครึ่ง แรงบันดาลใจที่ทำ ให้ ต่ อสู้ มาถึงทุกวันนี้... แรงบันดาลใจของผมคือคุณแม่ เพราะว่ าตั้งแต่ ตอนเด็กๆ เห็นคุณแมทำ ่ งานหนักทุกวัน วันเสาร์ -อาทิตย์ เราก็ ตองไปช ้ ่ วยคุณแมทำ ่ งานบางทีตอนทีเรามาบวชเณรเรียนเราก็กลับไปถึงบ ่ ้ านพอเห็นเขาทำ งานงานหนัก เราก็คิดว่ าเราอยากจะ เรียนจบสูงๆ ไดทำ ้ งานเพื่อทีจะหาเงินมามาดูแลตอบแทนพระคุณท่่ าน 13 ชาวดอย... สู่เส้นทางสายตุลาการ
เคล็ดลับการเรียน... เคล็ดลับการเรียนของผม คือความตั้งใจ การจะทำ อะไรตองตั้งใจจริง ในส ้ ่ วนของการทำ งานไปดวยเรียนไปด ้ วยนั้น ้ ผมมองว่ ามันไม่ ใช่ อุปสรรคของการเรียนเพราะว่ าถ้ าเราไมทำ ่อย่ างนั้นเราก็ไมมีโอกาสได ่ ้ เรียน จะไปขอให้ ที่บ้ านส่ งเงินมา เป็นค่ ากับข้ าว ค่ าหอง ค้ ่ าตำ ราเรียนทีบ่ ้ านก็ไมมีให ่ ้ การทำ งานเป็นการสร้ างโอกาสให้ เราได้ เรียน เพราะฉะนั้นผมมองว่ าปัญหา ทุกอย่ างไม่ ใช่ อุปสรรคมองเป็นแรงผลักดันมากกว่ า การทำ ทุกอย่ างตองเกิดมาจากความตั้งใจ เรียนหนังสือต ้ องขยัน ในช ้ ่ วง ที่เรียนมหาวิทยาลัยรามคำ แหงผมทำ งานไปด้ วยเรียนไปด้ วย ช่ วงไหนว่ างก็อ่ านหนังสือ บางทีเลิกกลับมาถึงบ้ านประมาณ ห้ าทุมผมก็อ ่ ่ านตอถึงตีหนึ ่่ง-ตีสอง อาจจะหลับคาหนังสือก็ได้ ซึ่งใช้ วิธีนีมาตลอด ส้่ วนช่ วงทีมาเรียนคณะนิติศาสตร่ ์ ตองอ้ ่ าน มากกว่ าตอนเรียนคณะมนุษยศาสตร์ อีกเพราะว ์ ่ ามีตำ ราเยอะมาก วิธีของผมก็จะพกประมวลกฎหมายไปดวยตลอดเวลา ว้ ่ างเมื่อไร ก็อ่ าน เหตุการณอะไรในชีวิตที ์ ทำ่ให้ รู้ สึกทอถอย... ้ ไม่ เคยเจอเหตุการณแย์ ๆ ที ่่สุดในชีวิตนะครับ ผมมองว่ ามันไม่ ใช่ สิ่งที่เลวร้ ายคือมันไม่ ได้ มีอะไรที่แยขนาดนั้น ่ อาจจะมีเหตุครั้งแรกตอนที่สอบผู้ ช่ วยผู้ พิพากษาไมผ่ ่ าน ทำ ให้ ท้ อบ้ างเพราะคิดว่ าเราอ่ านหนังสือเยอะมาก แต่ พอไมผ่ ่ าน รู้ สึกหมดกำ ลังใจ แตพอเมื่อนึกไปถึงคนอื่นๆ บางคนก็ไม ่ ่ ใช่ ครั้งเดียวสอบผ่ านเลย ผมก็กลับมาคิดอีกแงหนึ ่่งว่ าเราอาจจะยัง พยายามไม่ เพียงพอ 14
คติการทำ งานและการดำ เนินชีวิต... คติการทำ งานตองเอาใจใส ้ ่ ทำ เต็มที ทำ่ให้ ดีทีสุด ่ ส่ วนคติการดำ เนินชีวิต คือใช้ ชีวิตอย่ างเรียบง่ าย ไม่ ฟุ้ งเฟ้ อ ครอบครัวรู้ สึกอย่ างไรบ้ าง.... ครอบครัวก็รู้ สึกดีใจที่สอบได้ ฝากให้ เราตั้งใจ ทำ งานให้ ดี ทำ งานให้ ความยุติธรรมต้ องรอบคอบระมัดระวัง ตั้งใจทำ ให้ ดีทีสุด่ ฝากขอคิดให ้ ้ กับเยาวชนทีคิดว่่ าตนเองขาด โอกาสทางสังคม.... โอกาสของแตละคนบางทีก็ไม ่ ่ เท่ ากัน เราตองคิดว ้ ่ า คนทีแย่กว่ ่ าเราก็ยังมี และทีสำ่ คัญเราก็ตองหาโอกาสให ้ ตัวเราเอง ้ อย่ าหวังพึงครอบครัวเพียงอย่่ างเดียวพยายามพึงตัวเองให่มากๆ้ ตองแสวงหาโอกาสให ้ ตัวเอง หากหลังจากที ้ ผม จบมัธยมศึกษาปีที ่ 6่ แล้ วผมไม่ มาหางานทำ ไม่ มาทำ งานส่ งเสียตัวเองเรียน ก็คง ไม่ ได้ เรียน รอแต่ พ่ อแม่ ผมคงขาดโอกาส เมื่อพ่ อแม่ เราไม่ มี ทุนทรัพยส์ ่ งเสีย ดังนั้น เราต้ องสร้ างโอกาสด้ วยการเลือกเรียน สถานทีที่เราสามารถเรียนไปด่วยและทำ ้ งานไปได้ สมมุติว่ านองๆ้ กำ ลังจะจบมัธยมศึกษาปีที 6 และกำ่ลังมองหาทีเรียน แต่ทางบ่ ้ าน ไมมีทุนทรัพย ่ส์ ่ ง ก็สามารถใชวิธีเหมือนของพี ้ ได่ด้วยการที ้ หางานทำ่ แลวก็ส ้ ่ งเสียตัวเอง โดยทีไม่ต่ องเป็นภาระทางครอบครัว ผมเชื่อ ้ ว่ าถ้ าตั้งใจทำ สามารถทำ ไดแน้นอน เพราะว่ ่ าผมเรียนมหาวิทยาลัย รามคำ แหงใช้ เวลาแคสองปีครึ ่่งสำ หรับคณะนิติศาสตร์ บางคน บอกว่ าเรียนมหาวิทยาลัยรามคำ แหงเข้ าง่ ายออกยาก แตจริงๆ ่ ผมว่ ามาเรียนมหาวิทยาลัยรามคำ แหงจบเร็วกว่ ามหาวิทยาลัย ทัว ๆ ไป ถ่ ้ าเรียนทีอื่นต ่องเข้ ้ าหองเรียนตลอดเวลา ค ้ ่ าใช้ จ่ ายก็สูง ผมเลยเลือกใช้ วิธีนี้ 15 ชาวดอย... สู่เส้นทางสายตุลาการ
มุมมองทีมีต่อศาลยุติธรรม... ่ ผมมองว่ าศาลยุติธรรมมีลักษณะของการทำ งานเชิงรับมากกว่ าคือข้ อพิพาทมันเกิดขึ้นมาแล้ ว แต่ สุดท้ าย เรามาเป็นคนตัดสินให้ ขอพิพาทตรงนั้นมันยุติไป เป็นส ้ ่ วนทีจะช่่ วยเหลือและแก้ ไขปั ญหาสังคม ทีผ่่ านมาในแงของการทำ ่งาน เชิงรุกผมก็ยังไม่ เห็นเท่ าไร แต่ เท่ าที่ทราบศาลเยาวชนและครอบครัวมีการจัดเผยแพร่ ความรู้ ทางกฎหมายให้ กับเยาวชน ในสถานศึกษา ถือว่ าเป็นการช่ วยแกปั ญหาในเชิงการป ้ ้ องกันมากกว่ าที่จะทำ งานในเชิงรับอย่ างเดียว การทำ งานในเชิงรับ ตองใช ้ ้ ความรู้ ทางกฎหมาย การพิจารณาพิพากษาตัดสินตองเป็นไปตามข ้ อกฎหมายก็จะช ้ ่ วยแกปั ญหาได ้ ้ ในระดับหนึ่ง มองตัวเองในอนาคตไวอย้ ่ างไร... เรื่องงานตอนนี้ยังไม่ ได้ คิดอะไรเลยครับ เมื่อได้ มีโอกาสมาทำ งานแล้ วเราต้ องเก็บเกี่ยวความรู้ ให้ ได้ มากที่สุด สิ่งที่เรียนมาผมว่ ามันนอยนิดมาก เหมือนกับว ้ ่ าไม่ เพียงพอที่จะสามารถทำ ให้ เราทำ งานได้ เต็มร้ อย คิดว่ าในอนาคตอยาก จะไปศึกษาตอ เพื่อมาสนับสนุนให ่ การทำ ้ งานมีประสิทธิภาพมากยิงขึ ่น ส้่ วนเรื่องชีวิตส่ วนตัวตอนนีคิดไว้ว้่ าอาจจะหาทีทำ่การเกษตร ผมชอบแนวเกษตรธรรมชาติ ในการทำ งานของผูพิพากษามีความตึงเครียดอาจจะหาจุดนั้นเป็นการคลายเครียดเป็นสถานที ้ ่ พักผอนของเรา่ 16
ความฝันไมมีวันหมดอายุ ด ่ วยวัย 51 ปี ้สู่ เสนทางสายตุลาการ้ ประวัติ นายธวัชชัย เชษฐวงค์ รัตน์ ชื่อเล่ น บุ้ ง เกิดวันที่ 15 พฤศจิกายน 2508 สำ เร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำ แหง ผมเป็นคนกรุงเทพฯ สำ เร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาที่โรงเรียนวัดมกุฏกษัติย์ สายวิทย์ -คณิต ซึ่งจริงๆ แล้ วผมอยากเป็ นวิศวกร แต่ สอบ เอนทรานซ์ ไม่ ไดก็เลยเลือกเรียนคณะนิติศาสตร ้ ์ ซึ่งแตแรกเลย่ ไม่ ไดตั้งใจจะมาสายนี ้แต้ พอเรียนไป ก็มีความรู ่ ้ สึกชอบ คิดว่ า รู้ การรู้ กฎหมายก็เป็นสิงดีเหมือนกัน่ เมื่อสำ เร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรีผมได้ มี โอกาสไปทำ งานที่กรมบังคับคดี ประมาณ 3 ปี และเป็ น พนักงานคุมประพฤติ อยู่ กรมคุมประพฤติ ซึ่งรวมระยะเวลา ในการรับราชการประมาณ 4 ปี หลังจากนั้นที่บ้ านได้ ขอให้ ลาออก เพราะพีน่องผมต้ องทำ ้ ธุรกิจกันหมดไมมีใครดูแลคุณแม ่ ่ ซึงผมก็ยินดี ระหว่่ างนั้นก็ดูแลธุรกิจทีบ่ ้ านไปดวย ซึ ้ งเป็นประเภท่ ค้ าขายอะไหล่ รถยนต์ ทำ อยู่ ประมาณ 8 ปี ก็เห็นว่ าหลานๆ โตกันหมดสามารถที่จะมาช่ วยดูแลธุรกิจได้ แล้ ว ผมก็อยากจะ กลับมารับราชการอีกครั้ง ก็เลยตัดสินใจมาเรียนเนติบัณฑิต อยากจะมาตามความฝั นของตัวเองอีกครั้ง จุดเปลียนที่ทำ่ให้ อยากมาทำ งานทีศาล...่ ผมมองว่ าการเป็นผู้ พิพากษาเป็นอาชีพที่ช่ วยเหลือคนได้ จริงๆ เพราะตอนนั้นไปเจอคดีหนึ่งตอนอยู่ กรมคุมประพฤติ เขาเป็นพนักงานของบริษัทแห่ งหนึ่ง แล้ วมีปั ญหาชกต่ อยกับเพื่อนร่ วมงานแล้ วโดนฟ้ องคดีอาญาสองขอหา ถ้ ้ าไมมีเงินประกันตัว ่ เขาต้ องออกจากงาน ผมทราบว่ าที่สำ นักงานมีเงินช่ วยประกันจำ เลยก็เลยไปเสนอหัวหน้ าว่ าประกันตัวเขาดีกว่ า เขามีลูกมีเมีย ถ้ าเขาตองออกจากงานมันก็ลำ ้ บาก ปรากฏว่ าวันนั้นหัวหน้ าก็เห็นชอบ เราก็นำ เงินสำ นักงานไปประกันตัวเขา สุดท้ ายศาลพิพากษา รอการลงโทษ เขามาขอบคุณยกมือไหว้ แค่ คำ ขอบคุณคำ เดียวทำ ให้ ผมดีใจมาก ก็เลยประทับใจว่ าเราสามารถช่ วยคนได้ จริงๆ ตั้งแต่ วันนั้นก็อยากสอบเป็นผูพิพากษาอยากทำ ้ งานทีศาล ตอนอยู่คุมประพฤติต ่ องทำ ้ สำ นวนและอ่ านสำ นวนต่ างๆ ทำ ใหมีแรงบันดาลใจ ้ ว่ าเป็นศาลน่ าจะช่ วยคนได้ มาก ถ้ าเป็นแค่ พนักงานอาจจะทำ ได้ เพียงส่ วนเดียวเท่ านั้น ถ้ าเป็นศาลน่ าจะมีโอกาสมองในมุมที่กว้ าง มากขึน อาจจะดูได้หลาย ๆ จุด ซึ ้ งตอนนั้น ผมมีความตั้งใจและพยายามจะสอบอยู ่แล่ว แต้ต่ องลาออกจากราชการไปเสียก ้อน ถามว่ ่ า เสียใจหรือไม่ ผมบอกได้ เลยว่ าไม่ เสียใจเพราะการได้ ไปดูแลคุณแม่ เป็นสิงที่ ดีมากๆ ซึ ่ ่งตอนนีคุณแม้ ก็อายุ 93 ปี แล ่ว ้ นายธวัชชัย เชษฐวงค์รัตน์ 17 ความฝันไม่มีวันหมดอายุ
ทั้งทีสอบติดอัยการแล่วทำ ้ ไมถึงเลือกเป็นผูพิพากษา... ้ กอนสอบได ่ผู้ช้่ วยผูพิพากษาผมสอบติดอัยการผู ้ช้่ วยและผ่ านการอบรมมา 5 เดือนแลว แต้ ก็ตัดสินใจโอนมา ่ เพราะใจผมรักทางนี แรกๆ ผมไม้่ เคยสอบอัยการ สอบผูช้่ วยผูพิพากษามาตลอด สอบมาสิบครั้ง แต ้ สอบอัยการสามครั้ง ่ ผมไม่ เคยทอเพราะว้ ่ าเราอยากเป็น ไม่ เคยถอดใจคิดว่ าอีกนิดเดียว เพราะครั้งล่ าสุดทีสอบผู่ช้่ วยผูพิพากษาผมไม ้ ่ ไดอ้ ่ าน หนังสือเลยสามเดือนกอนสอบ คิดว ่ ่ าคงจะทำ ไม่ ได้ เพราะไปอบรมอัยการผู้ ช่ วยแล้ วไมมีเวลาอ ่ ่ านหนังสือ ช่ วงนั้นไม่ ได้ อ่ านหนังสือเลย แลวก็คิดว ้ ่ าจะไม่ ไปสอบดวยซ้ำ ้แตแฟนไม ่ ยอม ก็เลยมาลองดูอีกครั้ง ่ เคล็ดลับการเรียนหนังสือ... เนื่องจากอายุมากแล้ วเคล็ดลับก็คือว่ าสมองเราไม่ ไวแล้ ว เราสดสู้ เด็กไม่ ได้ ฉะนั้นต้ องอาศัยความอึด เด็กอ่ านรอบหนึงเราต่องอ้ ่ านสามรอบ ผมใช้ เวลาเรียนทีเนติบัณฑิต 2 ปี ผมจบสมัยที่ 56 ส่่ วนตอนสอบผูช้่ วยผูพิพากษา ้ สอบมาเป็นสิบรอบ ผมไม่ เคยทอ เพราะว้ ่ ายิ่งอ่ านหนังสือก็ยิ่งสนุกไม่ ได้ เครียดกับการอ่ านหนังสือ การสอบในแต่ ละครั้ง คะแนนในการสอบขาดไม่ มาก แต่ ถ้ าขาดเยอะๆ อาจจะเลิกสอบแล้ วก็ได้ ผมว่ าอาจารย์ ที่เนติฯ หลายๆ ท่ านพูดถูกว่ า “อ่ านให้ มันซึม อ่ านให้ มันจำ ” ความรู้ สึกที่ไมกดดัน เวลาอยู ่ ่ ในห้ องสอบต้ องไม่ รู้ สึกกดดันคิดว่ า “ต้ องได้ ต้ องได้ ” คิดถึง คำ พูดของอาจารย์ ไพฤทธิ์ เศรษฐไกรกุล กอนการบรรยายท่ ่ านชอบอบรมสิบนาทีว่ าอ่ านให้ มันซึม ซึ่งการอ่ านให้ ซึมคง เป็นเหตุผลที่ทำ ให้ ผมสอบได้ เพราะครั้งหลังไม่ ได้ อ่ านหนังสือไปสอบเลย คืออยากแนะนำ ว่ าให้ อ่ านเยอะๆ อย่ าท้ อ อย่ าไปกดดัน อย่ าไปเครียด เจ้ าหน้ าที่ห้ องสมุดที่เนติบัณฑิตรู้ จักผมทุกคน ผมอ่ านหนังสืออยู่ ที่นั่นประมาณสิบสองปี ทุกเจ็ดโมงเช้ าผมจะอยูที่ นี่ จนถึงหนึ ่ ่งทุมผมถึงจะกลับ อย ่ ่ าเพิงหมดกำ่ลังใจอ่ านนะครับ ผมก็ยึดหลักความซื่อสัตยอย์ ่ างเดียว ซื่อสัตย์ สุจริต ที่ผมชอบ ทำ งานศาลผมชอบ ความสมถะชอบอยู่ เงียบๆ จริงๆ ไมอยาก่ เป็นข่ าวทำ ให้ ผมเลือกสอบแต่ ศาลเป็นหลัก เคยเห็นเพื่อนๆ ที่ กรมเขาสอบกันไดแล้ วเขาก็ใช ้ ้ ชีวิตเรียบง่ ายดี ทัศนคติในการทำ งานและดำ เนินชีวิต... ผมไม่ ไดคาดหวังอะไรมาก ้ เพราะสอบไดตอนอายุมากแล้ว ้ คิดว่ าทำ งานในตำ แหน่ งหน้ าที่ ให้ ดีทีสุด่ มองอย่ างไรกับอนาคตในการทำ งาน... 18
ความประทับใจในการอบรมผูช้่ วยผูพิพากษา... ้ อาจารยปลูกฝั งเรื่องจริยธรรม ศาลเราต ์ องมีจริยธรรมในการดำ ้รงตน อาจารยจะปลูกฝั งเรื่องนี ์ การดำ้รงตน ผมคิดว่ าสิ่งนี้สำ คัญที่สุดเพราะว่ าความรู้ ถ้ านอยมันก็ยังไปเพิ ้ ่มได้ สอนให้ เรารู้ จักการวางตัวทุกอย่ างถ้ าตรงนี้มีอย่ างอื่น ก็ตามมา คนทีมุ่่ งมันสอบในสายนี่อย้่ าทออย้ ่ างเดียว อ่ านไปอย่ าไปคิดมาก อ่ านให้ มันซึมอย่ างที่ท่ านอาจารย์ พูดอย่ าไปเครียด ไม่ ได้ ก็เอาใหม่ เพราะว่ าองคกรนี ์ เปิดกว้ ้ างไมจำ ่ กัดอายุ คนอายุมากก็พยายามต่ อไป ถ้ ายังรักในอาชีพนีอยู้ ก็ ่ “อย่าไปท้อ”ครับ ฝากข้อคิดสำ หรับคนที่ เริ่ มท้อแท้ในการสอบ... 19 ความฝันไม่มีวันหมดอายุ
ภาพถ่ าย : ชรัช เปลียนศรี ่ 20
เมื่ออายุไม่ ได้ เป็นอุปสรรคกับ์เสนทางที ้มุ่่ งมัน่ ดวยวัยเพียง 25 ปี กับก ้ ้ าวแรกในสนามสอบ ผู้ ช่ วยผู้ พิพากษา สนามสอบที่ขึ้นชื่อว่ ายากและโหด ทีสุด ความรู่ที้ มีอยู่่ การเตรียมตัว การวางแผน สิงใดกัน่ ที่จะสามารถพิชิตการสอบครั้งแรกไปได้ ด้ วยคะแนน อันดับหนึ่งของรุ่ น เมื่ออายุมิได้ เป็นอุปสรรค์ อีกต่ อไป จุดเล็ก ๆ ทีทุกคนมักมองข่ ้ ามอาจเป็นจุดสำ เร็จทียิ่งใหญ่่ ... ประวัติ นิพิฐพนธ์ หงษ์ ใจ (เน็ท) อายุ 25 ปี ผู้ ช่ วยผู้ พิพากษา รุ่ นที่ 69 สำ เร็จการศึกษามัธยมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนสตรีศรีน่ าน ระดับปริญญาตรี นิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ... จุดเริมต่น... ้ ตั้งแตจำ ่ ความไดผมก็มาทำ ้ งานกับคุณแม่ ทำ ให้ มีโอกาสได้ เจอท่ านผูพิพากษาเพราะคุณแม ้ ่ เป็น เจ้ าหน้ าทีหน่ ้ าบัลลังก์ การทีมีโอกาสไปทำ่งานกับคุณแม่ ที่ศาล ทำ ให้ ผมได้ เห็นแบบอย่ างที่ดี ที่น่ าเลื่อมใส ผมรู้ สึกใกลชิด ผูกพันกับสถานที ้แห่่ งนี และจุดเริ้มต่น้ จริงๆ ก็คือ การมีโอกาสเข้ าไปร่ วมการแข่ งขันตอบปัญหา กฎหมายเนื่องในวันรพี อาจจะมองว่ าเป็นจุดเล็ก ๆ แตทำ ่ ใหผมรู้ว้่ าผมชอบอะไรและอยากเป็นอะไร เริมจาก่ ไม่ มีความรู้ ทางด้ านกฎหมายเลย ไม่ เคยอ่ านมาก่ อน การเข้ าร่ วมการแข่ งขันตอบปั ญหากฎหมายฯ ทำ ให้ เห็นว่ าเรายังมีความรู้ ไม่ เพียงพอ เราเห็นขอผิดพลาด ้ ของตัวเอง หลังจากนั้นทำ ให้ เราเตรียมตัวมากขึนสุดท้้ าย ก็สามารถผ่ านรอบแรก ในรอบ 4 คน แต่ ก็ไม่ ได้ รับ รางวัลชนะเลิศ หลังจากนั้นผมก็เริมจริงจังเพราะรู่ ้ แลว้ ว่ าเราชอบอะไร เป็นคนเรียนหนังสือเก่ งหรือไม่ ... ผมไม่ ได้ เป็นคนทีเรียนหนังสือเก่่ งตั้งแต่ เด็ก ผมมาตั้งใจ เรียนจริงๆ ตอนมัธยมศึกษาตอนปลาย และผมเองก็ไม่ ได้ เป็นคนที่ อ่ านรอบเดียวแลวจำ ้ ได้ ในช่ วงมัธยมศึกษาตอนตน ผมได ้ ้ เป็นตัวแทน ของโรงเรียนเข้ าร่ วมการแข่ งขันตอบสารานุกรม ตอนนั้นผมเครียดมาก เพราะอ่ านเท่ าไรก็จำ ไม่ ไดจึงเป็นจุดเปลี ้ ยนที่ทำ่ให้ ผมกลับมาตั้งใจ อ่ านหนังสือ เรียนมากขึ้น พอช่ วงมัธยมศึกษาตอนปลายเกรดเฉลีย่ ผมคอนข่ ้ างดี ผมชอบการคำ นวณ วิชาทางด้ านตรรกศาสตร์ การคิด แบบมีเหตุมีเหตุผล ตอนนั้นที่ยื่นใบสมัคร ในระดับปริญญาตรี ประกอบดวย คณะพาณิชยศาสตร ้ และบัญชี จุฬาลงกรณ ์ มหาวิทยาลัย ์ คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย คณะนิติศาสตร ์ มหาวิทยาลัย ์ ธรรมศาสตร์ และคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แตสุดท่ ้ าย ผมได้ เรียนทีคณะนิติศาสตร่ ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประกาศผล ออกมากอนผลแอดมิชชั ่นจะออก่ 21 จุดเล็ก ๆ ที่ ยิ่ งใหญ่
เทคนิคดี ๆ ในการเรียนหนังสือ ... ในการเรียนหนังสือผมจะมีการวางแผน ตลอดซึ่งจริง ๆ แล้ วผมมองว่ าควรต้ องวางแผนการ เรียนตั้งแต่ ระดับปริญญาตรี คือทองประมวลให ่ ้ มากๆ เพราะถือว่ าเป็นหัวใจสำ คัญ ถ้ าพืนฐานระดับปริญญาตรีดี้ การเรียนในระดับต่ อไปก็จะเข้ าใจง่ ายมากยิ่งขึ้น การ ตอยอดในระดับต ่ อก็จะไม ่ ลำ ่บาก ถ้ าถามเรื่องการอ่ าน หนังสือผมอ่ านหนังสือรอบเดียว ยกเวนประมวลกฎหมาย ้ ที่จะท่ องจำ หลายรอบ การอ่ านในรอบเดียวคือไม่ ได้ เพียงแค่ อ่ าน แต่ ใช้ การอ่ านแล้ วคิดตาม เชื่อมโยงกับ เรื่องอื่น สิงที่สำ่คัญสำ หรับผมคือการตั้งเป้ าหมายใหสูง้ ก็จะเป็นเหมือนการบังคับให้ เราตั้งใจอ่ านหนังสือให้ มากขึ้นตามไปด้ วย ในบางครั้งก็มีความรู้ สึกกดดันแต่ การมองโลกในแงดี จะทำ ่ ให้ เรายอมรับในสิงที่ เกิดขึ ่นได้้ ผมมองว่ าถ้ าไม่ ไดก็ไม ้ ่ เป็นไรอย่ างนอยเราตั้งเป ้ ้ าหมาย ไวสูง ถ้ ้ าเราทำ ไม่ ไดก็ไม ้ ่ รูสึกเสียดาย เพราะแต ้ละช่ ่ วงชีวิต แตละช่ ่ วงอายุ เราจะทำ สิงนี่ได้แค้ ครั้งเดียว ผมจึงพยายาม ่ ทำ ให้ ได้ ดีที่สุด ตอนที่ผมสอบเนติฯตั้งใจไว้ ว่ าต้ องติด 1 ใน 10 ผลที่ออกมาคือได้ ที่ 5 และในการสอบผู้ ช่ วย ผู้ พิพากษาผมก็ตั้งไว้ ว่ าอยากได้ ที่ 1 เป็นความตั้งใจ และการวางแผนของผมตั้งแต่ ต้ น แต่ ใช่ ว่ าผมจะอ่ าน หนังสืออย่ างเดียว ผมก็มีไปออกกำ ลังกาย ไปสังสรรค์ กับเพื่อนบ้ าง และสิงสำ่คัญคือการพักผอนให ่ ้ เพียงพอ 22
เคล็ดลับการอ่ านหนังสือรอบเดียวให้ประสบความ...สำ เร็จ... เทคนิคการอ่ านรอบเดียวของผมคือ ผมจะอ่ านละเอียด อ่ านแลวคิดทบทวน ก ้ อนที ่ จะนอนก็จะมาคิดว ่่ าวันนีเราอ้่ านอะไรไปบ้ าง ผมก็ใช้ เวลาอยู่ กับการอ่ านหนังสือเฉลี่ยวันละประมาณ 10 ชั่วโมง ผมเป็นคนไมทานกาแฟ ตื่นเช ่ ้ าพอทานข้ าวเสร็จก็จะมาอ่ านหนังสือ ตั้งแต่ เก้ าโมงเช้ าถึงเที่ยง เสร็จแล้ วก็มาทานข้ าวเที่ยงแล้ วก็จะงีบ ประมาณ 15 - 20 นาที แลวก็ลุยอ ้ ่ านหนังสือในช่ วงบ่ ายตอ ช่ ่ วงเย็น ก็จะเป็นแบบนีเช้่ นกัน เพราะถ้ าผมทานข้ าวแล้ วไม่ งีบกอน สิ ่ งที่อ่่ าน ไปก็จะไม่ เข้ าหัวเลย ทีบ่ ้ านคาดหวังไหมว่ าครั้งแรกเราตองสอบได ้ ้ ... คุณแมน่ ่ าจะคาดหวังครับ เพราะจริงๆ ตอนนั้นทีผมทำ่งาน ที่ศาลฎีกา ผมก็คิดอยู่ ว่ าจะลาออกมาอ่ านหนังสืออย่ างเดียว เพราะ ตอนนั้นผมอยากจะทุมเทกับการสอบสักครั้งดูว ่ ่ าเราจะทำ ได้ หรือไม่ แตคุณแม่ ่ ไมอยากให ่ ลาออก ก็เลยต ้ องทำ ้ งานไปดวยและอ้ ่ านหนังสือ ไปด้ วย ผมว่ าจริงๆ แล้ ว ความตั้งใจครั้งนี้ครอบครัวมีส่ วนช่ วย สนับสนุนในทุกๆ ด้ าน แรงผลักดันทีทำ่ให้ สอบผูช้่ วยผูพิพากษา ้ในครั้งแรกผ่ านคือ... อยากทำ ให้ ได้ ในครั้งเดียวเลยไมอยาก่ จะเหนื่อยหลายรอบ เป็นความตั้งใจและสิ่งที่ผม วางแผนเอาไว้ ตั้งแต่ แรก การจะสอบเนติฯหรือ ผูช้่ วยผูพิพากษา คนส ้ ่ วนใหญก็จะต ่องท้ องประมวล ่ กฎหมายตอนใกล้ จะสอบ แต่ ในส่ วนตัวผมนั้น ได้ ท่ องจำ มาตั้งแต่ เรียนในระดับปริญญาตรี พอมาสอบเนติฯหรือผู้ ช่ วยฯ ทำ ให้ ความรู้ ต่ าง ๆ มันอยู่ ในหัวพอสมควร เทคนิคคือดูจากฎีกา หรือ ดูแนวคำ ตอบจากขอสอบเก้ ่ า ๆ ผมมีวิธีการจำ เป็น ภาพและองคประกอบหลัก ๆ ยกตัวอย ์ ่ างการฟ้ องหย่ า มันควรจะมีอะไรบ้ าง มีขอกฎหมายมาตราไหนบ ้ ้ าง ถ้ าขอไหนไม ้แน่ ่ ใจก็มาเปิดย้ำดูอีกครั้ง ตั้งแตสมัย ่ ปริญญาตรีมาจนมาถึงสอบผูช้่ วยผูพิพากษา ผม ้ ไม่ เคยซ้ อมทำ ขอสอบมาก้อน่ กอนสอบมีไปเรียนเพิ ่ มเติมหรือไม่่ ... หลาย ๆ คน ถามผมว่ า ตอนทีจะสอบ่ เนติฯกับผูช้่ วยฯ มีไปเรียนเพิมเติมที่ ไหนบางรึเปล ่่ า ผมไม่ ได้ ไปเรียนที่ไหนเลย เพราะผมไม่ มีเวลา ในวันธรรมดาผมก็ต้ องไปทำ งาน ถ้ าวันเสาร์ และ อาทิตยผมเอาเวลาไปเรียนเพิ ์ มผมก็จะไม ่่ ได้ อ่ าน หนังสือตามทีผมวางแผนเอาไว่ ้ ผมรูสึกว ้ ่ าผมอ่ าน หนังสือดวยตนเองจะจำ ้ ไดดีกว ้ ่ าการไปเรียนเพิมเติม่ การเป็นเด็กต่ างจังหวัดมีผลกับการเรียน หรือไม่ ... “ผมว่ าไม่ เกียวนะครับ ถ่ ้ าเราตั้งใจแลว้ก็จะทำ ได้ เอง เพราะอย่ างรุ่ นพีที่ เป็น ่ ผูช้่ วยผูพิพากษา หลายๆ คน ้ก็เป็นคนต่ างจังหวัด” 23 จุดเล็ก ๆ ที่ ยิ่ งใหญ่
อายุมีผลกับเรื่องงานเราหรือไม่ ... ผมมองว่ าเรื่องนีไม้่ ว่ าจะอายุมากหรือนอยไม ้ สำ ่ คัญ คนอายุนอยอาจจะมีผลทางด ้ ้ านประสบการณ์ แต่ ไม่ ว่ าจะอายุมาก หรือนอยเมื่อมาอยู ้ ่ ในจุดนีก็ต้องมาเริ ้ มเก็บเกี ่ยวประสบการณ่ ์ ใหม่ เหมือนกันหมด เริมต่นพร้ อมๆ กันจากการทำ ้ งานจริง ประสบการณ์ ที่ใช้ คือการวินิจฉัยหรือฟั งข้ อเท็จจริงมากกว่ า หากเราอยากรู้ เพิ่มเติมเราก็ถามท่ าน ๆ หรือไม่ ก็ถามเพื่อน หรือพี่ ๆ ที่เคยมี ประสบการณ์ ในด้ านนีมาก้ อน เขาคิดเห็นเป็นอย ่ ่ างไร แลวนำ ้ มาใช้ ประกอบดุลยพินิจในการทำ งาน อยากจะให้ ฝากถึงรุ่ นนอง ๆ ที ้ กำ่ลังเรียนหรือสนใจ จะเรียน ทางสายนิติศาสตร์ ว่ าทำ อย่ างไรถึงจะสำ เร็จ ตามฝั น... อย่ างทีบอกไว่ตอนต้ นครับว ้ ่ าเราควรจะตั้งเป้ าไว้ ใหสูง้ ไวก้ อน ถึงแม ่ว้่ าเราจะทำ ไมถึงในจุด ๆ นั้น แต ่อย่ ่ างนอยเราก็ได ้ ้ ตั้งใจเอาไวแล้ว ผลจะออกมาอย้ ่ างไรเราก็พร้ อมทีจะยอมรับ คือ่ อยากให้ วางแผนเตรียมตัวดี ๆ ตั้งเป้ าหมายของแต่ ละช่ วงเวลา ชีวิตใหดี ให ้ ้ เราคิดไวว้่ าแตละช่ ่ วงชีวิตทีอายุเรามากขึ ่น เรามีเวลา้ ทำ มันแค่ ครั้งเดียว ถ้ าหากเรารู้ ข้ อผิดพลาดแล้ วรีบนำ มาแก้ ไข นำ ครั้งแรกมาเป็นประสบการณ์ ปรับปรุงขอด้ อยของตนเองเชื่อว ้ ่ า จะประสบความสำ เร็จอย่ างแนนอน่ อุปสรรคจริง ๆ ในการเรียนนิติศาสตร ์ ์ คืออะไร... ความขีเกียจครับ เพราะว้่ าเราตองอยู้ กับตัวบท มาตรา ่ ฎีกา ทั้งวันทั้งคืน พอเรารู้ สึกเหนื่อยเราก็จะพอหรือหยุดแค่ นั้น ผลสุดท้ ายปั ญหาทีจะตามมาคืออ่่ านหนังสือไมทัน ต ่ อให ่ ้ เร่ งอ่ าน ช่ วงสุดท้ ายก็ไมทันผมว ่ ่ าสุดท้ ายแลวการวางแผนการอ้ ่ านหนังสือ ในแตละวันจะได ่ ผลดีที ้สุด่ มีช่ วงเวลาทีท่ อหรือเหนื่อยหรือไม ้ ่ ... มีครับ ตอนทีเรียนจบก็มีลังเลว ่่ าอยากจะไปเรียนตอ่ เพราะช่ วงนั้นอ่ านหนังสือเพื่อสอบเนติฯ แล้ ว รู้ สึกเหนื่อยครับ เพราะเราเริมต่นใหม ้ด่วย แล้ วไม ้ ่ รู้ หนทางจะเป็นยังไง ก็เลยลังเล ว่ าจะไปเรียนกอนแล่ วกลับมาสอบ แต ้ ่ ในเมื่อเราตั้งใจไวแล้ว และ้ ทุกอย่ างอยู่ ในแผนของเราก็ลุยเลยครับ มีคติอะไร ในการเรียนหรือการทำ งาน... คติประจำ ใจของผมคือ “ฝันให้ ไกล ไปใหถึง” ้ อย่ างทีผม่ บอกเราตองตั้งเป ้ ้ าไวใหสูงเสมอ และพยายามไปให ้สุดและต้ องทำ ้ ให้ ไดครับ ้ 24
“ลำ�บากหรือสบายมันไม่ต่างกัน” เป็นประโยคชวนคิดจากผู้ชายคนหนึ่ ง ที่ เราได้ฟังเรื่ องราวของเขา ผ่านผู้คนมามากมาย ต่างพูดถึงความยากลำ�บากของเขากว่าที่ จะก้าวเข้ามาเป็น 1 ใน 33 คนของ ผู้ช่วยผู้พิพากษา รุ่นที่ 69 จากคนสอบทั้ งหมดเจ็ดพันกว่าคนทั่ วประเทศอย่างเต็มภาคภูมิ 25 เวลาเปลี่ ยน…แต่ความฝันไม่เคยเปลี่่ ยน
ประวัติ ผมชื่อ สุชาติ จันทร์ พวง ปั จจุบันอายุ 43 ปี สำ เร็จการศึกษามัธยมศึกษาตอนตนที ้ โรงเรียนสำ่โรงวิทยาคาร อำ เภอสำ โรง จังหวัดอุบลราชธานี หลังจากจบได้ วุฒิ ม.3 ผมเข้ ามาทำ งานในกรุงเทพฯ แรกเริ่มนั้นผมมาทำ งานรับจ้ าง ในบริษัทเอกชนกอน หลังจากนั้นจึงได ่ ทำ ้ งานเป็นเจ้ าหน้ าทีอาคารสถานที่ของสถาบันพัฒนาข่ ้ าราชการฝ่ ายตุลาการศาลยุติธรรม ในปี พ.ศ.2537 ซึงขณะนั้นศาลยุติธรรมยังอยู ่่ ในสังกัดกระทรวงยุติธรรม เมื่อไดมีโอกาสมาทำ ้ งานทีสถาบันพัฒนาข่ ้ าราชการ ฝ่ ายตุลาการศาลยุติธรรม ทำ ให้ รู้ จักผูคนมากมายในศาลยุติธรรม โดยเฉพาะผู ้ช้่ วยผูพิพากษาและผู ้ พิพากษาหัวหน ้ ้ าศาล ทีเข่ ้ ารับการอบรมทีสถาบันฯ ทำ่ให้ อยากเรียนกฎหมาย จึงได้ ไปเรียนทีการศึกษานอกโรงเรียน (ก.ศ.น.) ในขณะที ่ยังคง่ ทำ งานทีสถาบันฯ เมื่อเรียนจบ ก.ศ.น. ก็ไปสมัครเรียนที ่ คณะนิติศาสตร่ ์ มหาวิทยาลัยรามคำ แหง จนสำ เร็จการศึกษาใน ระดับปริญญาตรี เมื่อได้ วุฒินิติศาสตรบัณฑิต จึงได้ สอบเปลี่ยนสายงานเป็นนิติกรลูกจ้ างชัวคราวที่ ่สำ นักระงับขอพิพาท ้ พร้ อมกับเรียนเนติบัณฑิตยไทยไปดวย หลังจากนั้นประมาณ 2-3 ปี ผมก็สอบบรรจุเป็นข ้ ้ าราชการในตำ แหน่ งนิติกรของ สำ นักงานศาลยุติธรรมได้ รับราชการทีสำ่นักคณะกรรมการข้ าราชการศาลยุติธรรมจนถึงปี พ.ศ.2557 ย้ ายไปเป็นนิติกร ชำ นาญการที่ศาลทรัพยสินทางปั ญญาและการค ์ ้ าระหว่ างประเทศกลาง และกอนสอบผู่ ้ ช่ วยผู้ พิพากษาได้ ผมได้ ย้ ายมา รับราชการทีศาลฎีกา แต่ก่ อนก็ไม ่ ่ เคยคาดคิดมากอนว่ ่ าจะได้ เป็นข้ าราชการ เพราะสมัยตอนทีเป็นเด็กอยู ่ต่ ่ างจังหวัดรุ่ นพี่ ทีเข่ ้ ามาเรียนตอในตัวจังหวัด เมื่อเรียนจบแล ่ วก็กลับไปทำ ้นาช่ วยพอแม่ ที่บ่ ้ าน ไมมีคนไหนได ่ ้ รับราชการหรือไดทำ ้ งานดีๆ ชาวบ้ านจึงไมค่อยส่ ่ งเสริมให้ บุตรหลานเรียนหนังสือ 26
คิดว่ าชีวิตของตัวเองลำ บากหรือไม่ ... ถ้ าถามผมว่ าแตก่ อนชีวิตลำ ่ บากหรือไม่ ผมมองว่ าทีผ่่ านมาชีวิตผมไมลำ ่ บากอะไรมากมายนะ เพราะเกิดมาเราก็เจอชีวิตแบบนีแล้ว และชีวิตที ้ผ่่ านมา ก็ไม่ เคยสบายพอโตมาก็ต้ องทำ งาน ไม่ ได้ ใช้ ชีวิต วัยรุนเหมือนคนอื่น เลยไม ่ ่ รูว้่ าจะเปรียบเทียบอย่ างไร ว่ ากอนจะสอบได ่ ้ ชีวิตลำ บากแต่ ตอนนี้สบายแล้ วก็ ไม่ ใช่ อีกอย่ างผมมองว่ าเรายังมีภาระหน้ าทีต่ องศึกษา ้ อบรมเพื่อเตรียมความพร้ อมให้ มากทีสุดในการรับ่ หน้ าทีสำ่คัญในวันข้ างหน้ า ชีวิตของคนทำ งานทีต่องเดินตามฝั นของ ้ตัวเอง... ก่ อนจะสอบได้ ถ้ ามีเวลาว่ างผมก็จะ อ่ านหนังสือ ยกเวนเวลาเหนื่อยๆ หรือมีเรื่องเครียด ๆ ้ ก็จะหยุดพักบ้ าง งานที่ผมทำ อยู่ ก่ อนหน้ านี้นั้นมี ความเครียด เพราะเป็นงานทีมีหน่ ้ าทีรับผิดชอบมาก่ และผมเป็นหัวหน้ าดวย เมื่อเราทำ ้ งานเครียดตลอด ทั้งวันแล้ ว ตอนเย็นหลังเลิกงานเราก็ไมสามารถที ่่ อ่ านหนังสือเพื่อเตรียมสอบได้ เพราะอ่ านเท่ าไหร่ มันก็ไม่ เข้ าสมองอยู่ ดี สมองคนเราจำ เป็นที่จะต้ อง พักบ้ าง วิธีการของผมคือวันไหนเครียดหรือสมองล้ า ก็จะไมพยายามฝืนอ ่ ่ านแต่ การที่เราทำ งานไปด้ วย ก็ถือว่ าเป็นขอดีอย ้ ่ างหนึ่งเพราะจะได้ ประสบการณ์ ชีวิตและการทำ งานได้ เรียนรู้ ระเบียบต่ าง ๆ ผมคิดว่ า คนทีทำ่งานไปดวยก็สามารถสอบผู ้ช้่ วยฯได้ แตต่อง้ มีระเบียบวินัยในการอ่ านหนังสือและอาจต้ องใช้ ความมุ่ งมั่นกว่ าคนอื่น ๆ หน่ อย เพราะว่ างานใน หน้ าที่รับผิดชอบก็หนักอยู่ แล้ วยังต้ องแบกความ เหนื่อยล้ ามานังอ่่ านหนังสือตออีกวันละ 2 –3 ชั ่ วโมง่ ครั้งไหนในชีวิตที ตอวัน ่รู่ ้ สึกทอมากที ้สุด...่ ผมสอบผู้ ช่ วยผู้ พิพากษามาทั้งหมด 9 ครั้ง ถ้ าถามว่ าผมท้ อไหมต้ องตอบว่ าท้ อบ้ างเป็นธรรมดา แต่ สักพักก็หายผมเริ่ม รูสึกท ้ อในการสอบตั้งแต ้ ครั้งที ่ 5-6 แต่ ก็คิดว ่ ่ าจะสอบไปเรื่อยๆ มันเป็นความรูสึกที ้ท่อแต้ ่ ไมถอยเชื่อว ่ ่ าเมื่อโอกาสมาถึงก็จะสอบได้ เอง หากครั้งนียังสอบไม้่ ไดก็จะสอบต ้ อไปเรื่อย ๆผมเคยไปสอบอัยการผู ่ช้่ วยประมาณ 2 ครั้งคะแนนไมค่ อยดีเท ่ ่ าไหร่ ต่ างจากการสอบ ผู้ ช่ วยฯจะได้ คะแนนดีกว่ าอีกอย่ างอาจเป็นเพราะเราทำ งานอยู่ ในศาลยุติธรรมมานานรวม 20 ปีความรู้ สึกลึกๆ มีความผูกพันกับ ศาลยุติธรรมมาก ผมอาจไมอยากย่ ้ ายไปอยูที่หน่่ วยงานอื่นดวยก็เป็นได ้ ้ 27 เวลาเปลี่ ยน…แต่ความฝันไม่เคยเปลี่่ ยน
เทคนิคดีๆ ในการทำ ขอสอบผู้ช้่ วย ผูพิพากษา... ้ ต้ องมีการวางแผนในการทำ ข้ อสอบ ขอไหนที ้ ยากให่ข้้ ามไปทำ ของ้ ่ ายกอน เราต่องทดเวลา้ ในใจ ผมเชื่อว่ าคนทีมีประสบการณ่ ์ ในการสอบ 5-6 ครั้ง หมายถึงเราตองอ้ ่ านหนังสือเตรียมสอบแบบเต็มที่ นะครับ ความรู้ ในขอกฎหมายจะไม ้ต่ ่ างอะไรกับคนที่ สอบไดนัก แต ้ อาจยังขาดอะไรเล็ก ๆ น ่ อย ๆ ที ้เรา่ ต้ องตรวจสอบตัวเอง ว่ าเรามีขอบกพร้ ่ องตรงไหน มีจุดออนตรงไหนในการทำ ่ขอสอบ ที ้ ทำ่ให้ เราสอบ ไม่ ได้ เช่ น ทำ ขอสอบไม ้ ทัน ก็ต ่ องไปหัดเขียนให ้ ทัน้ ตามเวลาทีเขากำ่หนด อีกอย่ าง ควรจะตองทำ ้ขอสอบ้ ให้ ครบทุกขอถ้ ้ าขอสอบมีทั้งหมด 10 ข ้ อ เราทำ ้ ได้ เพียง 8 ขอ สองข้ อที ้ ไม่่ ไดทำ ้เท่ ากับไมมีคะแนนเลย ่ อย่ างนอยถ้ ้ าไดทำ ้ขอสอบครบทุกข้อ ข้ อที ้ ทำ่ไมค่ อยได ่ ้ อาจจะได้ 2-3 คะแนนก็เป็นได้ ส่ วนคนที่สอบได้ เท่ าที่ผมสังเกตนันไม่มีคนไหนที ่่ทำ ขอสอบไม ้ครบ่ ทุกขอ ถ้ ้ าทำ ทันอย่ างนอยก็มีสิทธิ และอย ้ ่ าไปเสียเวลา กับการทำ ขอสอบข้ อใดข ้ อหนึ ้่งมากจนเกินไป ส่ วนคนทีสอบได่ ้ ในครั้งแรก ไม่ ใช่ เพราะ เขาไม่ เคยทำ ขอสอบมาก้อน แต่ ่ เป็นเพราะเขาไดลอง้ ทำ ขอสอบเก้ ่ ามากอนแล่ ว ขอเอาคำ ้พูดท่ านผูพิพากษา ้ ที่ผมรู้ จักและสนิทมาเล่ าต่ อนะครับ ท่ านก็บอกว่ า การสอบก็เปรียบเหมือนการชกมวย การอ่ านหนังสือ อย่ างเดียวก็เหมือนกับ นักมวยซอมชกกระสอบทราย้ อย่ างเดียวเราก็จะชกเก่ ง ออกหมัดดีฟุตเวิรกสวยงาม์ เพราะกระสอบทรายมันตอบโต้ เราไม่ ได้ แต่ เมื่อที่ ได้ ลองทำ ข้ อสอบเหมือนกับการลงนวมกับคู่ ซ้ อม เพราะคู่ ซ้ อมเขาออกหมัดชกตอบโต้ เราได้ และ เราก็โดนชกดวย ทำ ้ ให้ เราสามารถประเมินตัวเองว่ า เรามีความรูมากน้ อยเพียงไหน จุดไหนที ้ต่องปรับปรุง ้ ผมจะอ่ านหนังสือหลังเลิกงาน จะอ่ าน ได้ มากหรือได้ นอยก็แล ้ ้ วแต่ วันตอนทีผมทำ่งานอยู่ สำ นักคณะกรรมการข้ าราชการศาลยุติธรรมหลัง ทำ งาน 6-7 ชัวโมงสมองเราก็จะล ่ ้ าทำใหถ้้ าเราเลิกงาน แลวไปอ ้ ่ านหนังสือสมองก็จะไมค่ อยรับ ก ่ อนสอบได ่ ้ ประมาณ 3 – 4 ปีทีแล่ ว ก็เริ ้ มกลับมาอ่่ านหนังสือบ้ าง จำ ไดว้่ าครั้งสุดท้ ายกอนที ่ จะสอบได่ ้ ขาดไปครึ่งคะแนน ทำ ให้ รู้ สึกมีกำ ลังใจ ในการอ่ านหนังสือ ครั้งล่ าสุดที่สอบได้ สอบเสร็จก็ไม่ ได้ มั่นใจอะไรเลย คิดว่ าคงสอบไม่ ไดแต้ ก็คิดแบบเข ่ ้ าข้ างตัวเองว่ าเราน่ าจะมีลุนบ้ ้ างนะ ลุนเล็กๆ ้ ก็ยังดี ใหกำ ้ ลังใจตัวเองว่ า เราทำ ไดดีพอ ๆ กับครั้งก ้ อนที ่ เราขาดครึ ่งคะแนน่ คิดว่ าถ้ าผลออกมามีคนสอบได้ เยอะสัก 200 คนเราน่ าจะมีลุน แต้ก่อนผล่ ออกสักวันสองวัน ก็จะไดยินข ้ ่ าวลือออกมาว่ าปีนีคนสอบได้น้ อย คิดว ้ ่ าไมมี่ เราแลวละ แต้ พอประกาศผลก็เซอร ่ ์ ไพรสมากที ์ มีชื่อ ไม ่คิดว ่ ่ าจะสอบได้ ความรู้ สึกหลังจากทีสอบได่…้ ตอนที่ผมสอบได้ ผมก็ดีใจครับ เพราะอ่ านหนังสือมานาน แตก็ไม ่ ่ ไดคิดว ้ ่ าจะสบายอะไรเพราะรูว้่ าตองมีภาระหน ้ ้ าทีใหม่ที่ หนักกว่่ าเดิม ตองเรียนรู ้ ้ สิงใหม่ๆ อีกมากในการทำ ่งาน ตองรับผิดชอบในทรัพย ้ สินและ ์ ชีวิตของผูคน แอบคิดว ้ ่ าเราจะไหวไหมเพราะเรามีหน้ าทีมีความรับผิดชอบ่ ทีมากกว่่ าเดิม มองตัวเองในอนาคตอย่ างไร... ผมคิดว่ ามันใกล้ มากเลยเวลาราชการของผมเหลือไม่ มาก ก็อยากทำ ประโยชน์ ให้ กับองคกรให ์ ้ มากที่สุด จะทำ งานในหน้ าที่ให้ ดีที่สุด เพื่อประโยชนแก์ ประชาชนและประเทศชาติ ่ 28
แรงบันดาลใจที่อยากส่ งมอบให้ คนอื่น... ถ้ าทุกคนมีความพยายาม ผมคิดว่ าประสบความสำ เร็จได้ แตต่องดูว้ ่ าโอกาสจะมาถึงเมื่อไหร่ ผมคิดว่ าคนเรา ทุกคนตองการโอกาส บางคนเก ้ ่ ง บางคนดี แต่ ว่ าโอกาสและจังหวะยังไมมีและถ ่ ้ าเขาเป็นคนทีใฝ่่ ดีจริง ๆ มีพยายามแลว้ มีคนแนะนำ หรือคอยสนับสนุน และหยิบยื่นโอกาสทีดีให่ ้ ถือว่ าเป็นความโชคดีของเขา เทียบไดกับโอกาสของผมที ้ ได่ ้ รับ คือการได้ เข้ ามาทำ งานทีศาลยุติธรรมเป็นจุดเริ ่มต่น เพราะผมได ้ ้ เจอท่ านผูพิพากษาผู ้ ้ ใหญหลาย ๆ ท่ ่ าน ทีผมเคารพและ่ ศรัทธา จนถึงทุกวันนี เพราะท้่ านไดชี้ แนะหลักคิดของการดำ้เนินชีวิต ทำ ใหผมเกิดแรงบันดาลใจที ้จะพยายามสอบผู่ช้่ วยฯ ให้ ได้ ตรงนีมันคือจุดเริ้มต่ นความฝั นของผม ดังนั้น สิ ้ งที่ผมได่ ้ รับจากท่ านอาจารย์ ในวันนั้นทำ ให้ ผมมีวันนี้ 29 เวลาเปลี่ ยน…แต่ความฝันไม่เคยเปลี่่ ยน
การเรียนนิติศาสตร์ ใหประสบความสำ ้ เร็จและสอบผูช้่ วยฯได้ ผมคิดว่ าแคความพยายาม่อย่ างเดียวยังไมพอมันต ่ องอาศัยแรงบันดาลใจ เพราะถ ้ ้ าใช้ ความพยายามอย่ างเดียวคงทอแท้ ้ไปนานแล้ ว มันต้ องมีแรงบันดาลใจอย่ างใดอย่ างหนึ่งสิ่งที่เป็นแรงบันดาลใจของผมคือ การได้ ช่ วยให้ คนในสังคมที่เคารพกฎหมายได้ รับความยุติธรรม เราต้ องมีอำ นาจหน้ าที่ ที่สามารถทำ ตรงนั้นถ้ าเราเพียงแค่ คิดดีอย่ างเดียวไมมีอำ ่นาจหน้ าที่ อย่ างมากเราก็เป็นแค่พลเมืองดีหากเรามีอำ นาจหน้ าทีแล่ ว เราก็สามารถช ้ ่ วยคนเหลือคนอื่นให้ ได้ รับความยุติธรรม ได้ 30
นายขจรเดช ดิเรกสุนทร... ปั จจุบัน ดำ รงตำ แหน่ งผู้ พิพากษาประจำ สำ นักงานศาลยุติธรรม ช่ วยทำ งานชั่วคราวในตำ แหน่ งผู้ พิพากษาศาลชั้นต้ น ประจำ กองผูช้่ วยผูพิพากษาศาลอุทธรณ ้ ์ ประวัติการศึกษา - ผมเรียนจบแพทยศาสตรบัณฑิต (เกียรตินิยมอันดับ ๑ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย) ์ - นิติศาสตรบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (มสธ.) - เนติบัณฑิตไทยนิติศาสตรมหาบัณฑิต (Rector’s Award for Academic Excellence) - มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ และ Master of laws (Harvard University) โดยทุนของสำ นักงานศาลยุติธรรม ความฝั น...สู่ เสนทางหมอ้ ตอนเด็กๆ ผมเป็นโรคภูมิแพ้ ทั้งภูมิแพ้ ผิวหนัง และภูมิแพ้ อากาศ ซึ่งที่บ้ านเป็นกันหลายคนทำ ให้ ต้ องไปพบหมออยู่ เป็นประจำ ซึ่งคนในครอบครัว อยากให้ เป็นหมอ พูดให้ ฟั งตลอดว่ าเป็นหมอดีได้ ช่ วยเหลือผู้ คนและมีเกียรติประกอบกับสมัยนั้นการ คัดเลือกเข้ ามหาวิทยาลัยเป็นระบบเอนทรานซ์ ที่จะรู้ คะแนนกอนแล่ ้ วค่ อยเลือกคณะทีหลัง ซึ่งในตอนนั้น คณะยอดฮิตที่เด็กสายวิทย์ เรียนกัน คือคณะแพทย์ และคณะวิศวะที่เพื่อนๆ ในห้ องเลือกเรียนกัน และ คะแนนผมก็สามารถเลือกคณะแพทยกับคณะวิศวะได ์ ้ แต่ ผมไม่ ชอบเลขชอบเกี่ยวกับการท่ องจำ มากกว่ า เมื่อคะแนนถึงก็เลยเลือกหมอ ส่ วนวิชาเกียวกับกฎหมาย่ ผมชอบอยูแล่ วและเลือกไว ้ด้วย ต้ อมาเมื่อเข ่ ้ าเรียนแพทย์ แล้ วในตอนนั้นมีเพื่อนมาชวนเรียนรามหรือ (มสธ.) ควบคู่ ไปด้ วย ผมเห็นว่ าสามารถเรียนได้ โดยไมหนัก ่ เกินไปเพราะพ้ นช่ วงที่ต้ องผ่ าอาจารย์ ใหญ่ แล้ ว และ เราก็อยากจะเรียน ในศาสตรด์ ้ านอื่นๆ ดวยจึงตัดสินใจ ้ 31 จากแพทย์เกียรตินิยมอันดับหนึ่ ง........
เรียน (มสธ.) เพื่อนชวนไปเรียนคณะรัฐศาสตร์ แต่ ผม สนใจทางด้ านนิติศาสตร์ มากกว่ า ผมมาเริ่มเรียน นิติศาสตร์ ตอนผมเรียนอยู่ คณะแพทยศาสตร์ ชั้นปี 2 เทอม 2 ผมต้ องการจบให้ เร็ว จึงลงเรียนทั้งภาคปกติ และภาคพิเศษและโอนวิชาจากสัมฤทธิบัตรเข้ าหลักสูตร ปกติ ใช้ เวลาเรียนกฎหมายเป็นเวลาสามปีครึ่ง สาเหตุ ทีตัดสินใจเรียนทางด่ ้ านกฎหมาย ในตอนแรกคือความ อยากรู้ และความชอบ สมัยนั้นคนที่เรียนแพทย์ หันมา เรียนกฎหมายกันมากขึน เพราะมีกระแสที้คนไข่ฟ้้ องรอง้ หมอแพทยหลายท์ ่ านเลยเห็นว่ าต้ องรู้ กฎหมายควบคู่ ไปดวย้ เทคนิคการอ่ านหนังสือหนึ่ งรอบ ให้ ประสบความสำ เร็จ การเรียนควบคู่ ไปทั้งสองอย่ างทั้งยังเป็นวิชาคนละศาสตร์ เป็นเรื่องทีท่ ้ าทายมาก ผมมีขอจำ ้ กัดทีว่่ ามีเวลาในการ อ่ านหนังสือไปสอบวิชากฎหมายแค่ รอบเดียวเท่ านั้น ยิงเวลาขึ ่ ้นชั้นปีที 4-6 คณะแพทย่ที์ต่องอยู้ ่ เวรบางคืน เวลาอ่ านกฎหมายจำ กัดมาก เพราะฉะนั้นเวลาผมอ่ าน หนังสือจะตั้งใจมากเพราะเราไม่ มีเวลาเหมือนคนอื่น สิ่งที่สำ คัญคือ อย่ าไปกดดันตัวเอง ในช่ วงนั้นยอมรับ ว่ าเรียนกฎหมายเพราะความสนใจ ความอยากรู้ เท่ านั้น มีความคิดว่ าถ้ าสอบไมผ่ ่ านก็สอบไปเรื่อย ๆ อาจทำ ให้ ไม่ รูสึกว ้ ่ าตองเคร้ ่ งเครียดอะไรมาก อย่ างนอยก็ได ้ความรู้ ้ และเปิดโลกทัศนของเรายิ ์ งขึ ่ น บางครั้งวันสอบที ้ตรงกับ่ วันเสาร์ -อาทิตย์ แต่ เป็นวันที่ผมต้ องเข้ าเวรก็มีความ จำ เป็นทีจะต่องลาไปสอบ การวางแผนการอ ้ ่ านหนังสือ เป็นเรื่องทีสำ่คัญ สำ หรับใครทีต่ องเรียนทั้งสองอย ้ ่ าง ควบคูกันไป ่ จุดเปลียน....จากแพทย่ มาเป็นผู ์ พิพากษา ้ จุดเปลียนคือเกิดขึ ่ นเมื่อเริ ้มเรียนคณะแพทย่ ชั้นปี 4 เพราะต ์อง้ เริ่มไปตรวจผู้ ป่ วยโดยการตามอาจารย์ ดูคนไข้ ในตึกผู้ ป่ วย และตองอยู้ ่ เวรก็เลยเห็นชีวิตจริงแลวรู้ ้ สึกว่ ามันไม่ ใช่ เราไม่ ได้ ชอบแบบนี คงไม้สามารถทำ ่ แบบนีไปได้ตลอดชีวิตประกอบกับ ้ พอเรียนอยูชั้นปีที ่ 5 ตอนนั้นใกล ่ ้ เรียนจบกฎหมายแลว และได ้ ้ ไปนังเรียนสอนเสริมจึงได ่มีโอกาสพบท ้ ่ านอาจารยอำ ์นาจ พวงชมภู ซึ่งท่ านมาสอนเสริมทีมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (มสธ.)่ ก็เลยเข้ าไปถามท่ านว่ าอยากเป็นผูพิพากษาต ้ องทำ ้อย่ างไรบ้ างครับ เพราะมีความรูสึกว ้ ่ าเวลาอ่ านคำ พิพากษาศาลฎีกาแลวอยากได ้ ้ มีโอกาสตัดสินและวางหลักกฎหมายอย่ างนั้นบ้ าง ซึ่งก็เป็นการ ทำ ประโยชน์ ให้ สังคมอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งท่ านก็ไดกรุณาบอกว้ ่ า ตองไปสอบตั๋วทนายแล ้ วก็ต ้ องไปว ้ ่ าความทีศาลเพื่อเก็บคดี ถึง ่ จะมีสิทธิสอบ ตอนนั้นตัดสินใจเลยว่ าจะเปลี่ยนอาชีพ คิดว่ า จะลาออกจาก นิสิตแพทย์ เลยดีไหม แตที่บ่ ้ านบอกให้ เรียนตอ่ เพราะเหลืออีกหนึงปีก็ได่้ รับปริญญาแลวทำ ้ ไมไม่ เรียนใหจบก้อน่ ตอนนั้นมีความรู้ สึกว่ า ทำ ไมรู้ ว่ าตัวเองชอบอะไรช้ าเกินไป เพราะในสมัยกอนไม ่ มีการเข ่ ้ าค่ ายต่ าง ๆ เหมือนทีสำ่นักงานศาลยุติธรรม จัดในปั จจุบัน เช่ น ค่ ายต้ นกล้ าตุลาการ หรือในต่ างประเทศ เชน อเมริกาที ่ จะให่ ้ เข้ าเรียนมหาวิทยาลัยกอนทดลองเรียนหลาย ๆ ่ วิชาแลวค้ อยเลือกวิชาเอกหรือสาขาที ่ สนใจ ที่เราจะได่มีโอกาส ้ 32 ...สู่เส้นทางผู้พิพากษา
ในการเรียนรูก้อนเพื่อใช ่ ้ ในการตัดสินใจทีถูกต่ องในการศึกษาต ้อ่ พอผมสำ เร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรีคณะนิติศาสตร์ แลว้ จึงไดลงเรียนระดับปริญญาโทที ้ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (ABAC)่ ตอเลยเพราะว่ ่ าจะทำ ใหมีสิทธิสอบสนามเล็กด ้ วย ตอนนั้นคิดว ้ ่ า ทำ ยังไงก็ได้ ให้ เราได้ มีโอกาสสอบผู้ พิพากษาให้ เร็วที่สุด และ ได้ ลงเรียนที่สำ นักอบรมศึกษากฎหมายแห่ งเนติบัณฑิตยสภา ในตอนทีเรียนอยู่คณะแพทยศาสตร่ ชั้นปี 6 เทอม 2 เวลาเตรียมตัว ์ ในการสอบไมมากนัก แต ่ ่ ก็โชคดีสามารถสอบผ่ านในครั้งแรก เราตั้งเป้ าแล้ วว่ าจะเป็นผู้ พิพากษา ตอนนั้นยังไม่ มีคุณสมบัติ สอบสนามใหญและสนามเล็กก็เลยไปเป็นหมออยู ่ สักเกือบ 2 ปี ่ จนสนามใหญ่ เปิดสอบแล้ วผมก็สอบได้ ตอนนั้นคิดว่ าถ้ าสอบ ไม่ ไดจะกลับไปเป็นหมอเพราะเราได ้ลองพยายามแล้ว แต้ ่ เราอาจ ไมมีความสามารถหรืออาจไม ่ ่ เหมาะกับเราก็ได้ ความคล้ ายหรือแตกต่ างกันของทั้งสองอาชีพ ผมว่ ามีส่ วนคล้ ายกับส่ วนต่ างกัน ส่ วนคล้ าย คือเป็นงานที่ เนนบริการสาธารณะ Public service ส ้ ่ งเสริมความเป็นอยู่ ที่ดีในสังคม ผู้ พิพากษามอบความยุติธรรมให้ สังคม หมอรักษาคนไขก็ถือเป็นการดูแลสังคมเช ้ ่ นกัน เป็นอาชีพ ที่ไม่ ได้ ทำ เพื่อประโยชน์ ส่ วนตัว เป็นอาชีพที่ต้ องอาศัย คนทีเรียนมาถึงจะทำ ่ได้ เรียกว่ า วิชาชีพ ทั้งสองอาชีพนี้ คือต้ องอาศัยความไว้ เนื้อเชื่อใจของคนที่มารับบริการ ต้ องสร้ างความเชื่อมั่นให้ แก่ คนไข้ ในการตัดสินคดี ตองให ้ ้ เกิดความเชื่อถือศรัทธา เมื่อเขาเดือดรอนจึงมาหา ้ ดังนั้น ตองเป็นที ้ พึ่งพาให่ผู้ มารับบริการ ส ้ ่ วนทีต่่ างกันคือ ในอาชีพของหมอส่ วนใหญ่ เวลาคนไข้ เจ็บป่ วยเต็มใจ เพื่อมารักษา เต็มใจใหข้อเท็จจริง หรืออาจมี Test ต ้ ่ างๆ ที่ช่ วยในการค้ นหาความจริง เช่ น X-ray, Lab ต่ างๆ แต่ ผู้ รับบริการของศาลอย่ างเช่ นในคดีอาญาจำ เลย อาจจะไม่ เต็มใจเข้ ารับบริการศาลเท่ าไหร่ หรือคู่ ความ อาจไม่ เต็มใจทีจะให่ ความจริงทั้งหมด เพราะอาจส ้ ่ งผลตอ่ รูปคดีของเขา ลักษณะการทำ งานระหว่ างการตรวจรักษา คนไข้ กับการพิจารณาพิพากษาคดี ผู้ พิพากษาเป็ น ข้ าราชการไม่ อาจประกอบอาชีพอื่นที่กระทบต่ องาน ในหน้ าที่ได้ ส่ วนหมอสามารถเป็ นหมอทั้งในภาครัฐ และภาคเอกชนในเวลาเดียวกัน สามารถทำ งานอย่ างอื่น ไดมากกว้ ่ า 33 จากแพทย์เกียรตินิยมอันดับหนึ่ ง........
จากแพทยสู์ผู่ พิพากษา ความท ้ ้ าทายทีต่องเผชิญ ้ การที่ได้ มีโอกาสเรียนแพทย์ มาก่ อนเป็นส่ วนสำ คัญ ที่ทำ ให้ เรามีวิธีการคิดวิเคราะห์ เชิงสังเคราะห์ หรือ การคิดอย่ างมีระบบ สองอาชีพนี้ส่ งเสริมให้ คิดเป็น มองปั ญหาให้ รอบด้ านดูบริบทหลายๆ อย่ าง การที่ คนไขมาหาในฐานะแพทย ้ นั้นต ์ องคิดวิเคราะห ้ว์่ าจะรักษา คนไข้ คนนี้อย่ างไร หากแพทย์ คือผู้ ที่รักษาชีวิตคน ผูพิพากษาก็ถือว ้ ่ ารักษาชีวิตคนและทรัพยสินเหมือนกัน ์ เพราะว่ าการจะตัดสินชีวิตคนเป็นเรื่องที่มีความสำ คัญ เป็นอย่ างยิ่ง หมอเมื่อคนไข้ เข้ ามารับการรักษาต้ องมี การรวบรวมขอมูลโดยการซักประวัติและตรวจร ้ ่ างกาย ต้ องคิดต่ อแล้ วว่ าต้ องส่ งตรวจ เอกซเรย์ ส่ งเจาะเลือด เพื่อหาข้ อมูลเพิ่มเติมว่ าเขาเป็นโรคอะไร ต้ องคิดว่ า ทำ ไมเราถึงตองตัดสินใจส ้ ่ งตรวจอันนั้นอันนี ส้่ งไปแลว้ ได้ ประโยชน์ อะไร หลังจากนั้นต้ องวางแผนการรักษา การคิดตองเป็นระบบ คิดไปข ้ ้ างหน้ าแลว ก็ต ้ องคิดวิเคราะห ้ ์ เป็น ส่ วนผูพิพากษาเวลาจะตัดสินคดีต ้องรวบรวมข้อมูล้ ไตสวนสืบพยาน แล ่ วก็นำ ้ขอมูลทั้งหมดมาวินิจฉัยข ้ อเท็จจริง ้ ต้ องมีการชั่งน้ำ หนักพยานหลักฐาน และตัดสินตาม ขอกฎหมายว้ ่ าควรจะลงโทษจำ เลยคนนีหรือไม้จะลงโทษ ่ จำ คุกหรือว่ าปลอยตัวไปรอการลงโทษ ล ่วนต้ องวิเคราะห ้ ์ ให้ รอบด้ านเพื่อให้ เกิดความเป็นธรรมในสังคม ขอทราบรายละเอียดบทความทีได่ ้ รับการตีพิมพ์ ใน วารสาร Asia Pacific Journal of Health Law & Ethics สำ หรับบทความของผมคือเรื่อง “Informed Consent in Thailand : What Standard Is It? Which One Should It Be?” เป็นเรื่องเกียวกับความยินยอมที่ได่ ้ รับการบอกกล่ าว ผมมองว่ าเรื่องนี้แมยังไม ้ มีคดีความเกิดขึ ่้นในศาลฎีกา และ ยังไม่ มีการวางหลักเรื่องนี้ไว้ โดยตรง แต่ ในอนาคตอาจจะ เกิดปั ญหาจากการที่แพทย์ ต้ องให้ ข้ อมูลแก่ คนไข้ ในการ รักษาต้ องแจ้ งผลกระทบให้ คนไข้ ได้ ทราบ การยินยอมที่ได้ รับการบอกกล่ าวเป็นหลักสากล คือก่ อนที่แพทย์ จะทำ การ รักษาคนไข้ ต้ องแจ้ งให้ คนไข้ ทราบ และแจ้ งอย่ างเดียวยัง ไม่ เพียงพอตองบอกข้ อดี ข ้ อเสีย หรือทางเลือกอื่นๆ ในการ ้ รักษา หรือผลของการปฏิเสธการรักษาเพื่อเป็นการปกป้ อง คนไข้ ว่ าจะเข้ ารับการรักษาหรือไม่ หรือจะรักษาโดยวิธีอื่น ในอดีตที่ผ่ านมาเวลาที่แพทย์ รักษาคนไข้ ก็สามารถที่จะ ทำ ได้ เลยโดยไม่ ต้ องแจ้ งให้ ทราบ หรืออาจไม่ ต้ องแจ้ งถึง ผลกระทบที่จะตามมาหรือมี ข้ อดี ข้ อเสียอย่ างไรหลังจาก ทีทำ่การรักษา ในปั จจุบันสังคมเริมพัฒนาขึ ่ ้นเป็นหลักสากล ว่ าคนไขควรมีสิทธิในการรับรู ้ การรักษาของแพทย ้และสามารถ์ ทราบถึงผลกระทบหลังจากทำ การรักษา เป็นหลักที่ให้ สิทธิ คนไข้ ในการทีจะเลือกการรักษาเกี่ยวกับตัวเขาเอง ไม่่ ใช่ เป็น เรื่องทีหมอจะทำ่ อะไรก็ไดอีกต ้ อไป นอกจากนี ่ ยังเป็นกฎหมาย ้ ทีจะช่่ วยปกป้ องคนไขและคุ้มครองแพทย้ ์ หากไดแจ้ ้ งขอมูลให ้ ้ กับคนไขอย้ ่ างชัดเจนแลว้ 34 ...สู่เส้นทางผู้พิพากษา
การทีแพทย่แจ์ ้ งขอมูลแก้ คนไข ่ ้ ...แค่ ไหนถึงจะเรียก ว่ าเพียงพอ... มาตรฐานการแจ้ งขอมูลให ้ ้ คนไข้ ไดทราบนั้นในเรื่องนี ้ ้ มองได้ สองมุม ในมุมมองของคนไข้ คนอื่น ๆ ในสภาวะที่เป็น โรคเดียวกันว่ าคนไขต้องการรู้ อะไรบ ้ ้ าง และแพทย์ ไดแจ้ ้ งครบถวน้ ตามนั้นหรือไม่ หากคนไขต้ ้ องการรู้ สิบอย่ างแต่ แพทยแจ์ ้ งแค่ สองอย่ าง แบบนี้จะเรียกว่ าเพียงพอหรือไม่ ปั ญหาคือคนไขก็้ ไมทราบว่ ่ าตนเองต้ องรู้ ทั้งหมดกี่อย่ าง กฎหมายจึงได้ กำ หนด ในมุมมองของคนไขที้ ่เป็นโรคเดียวกันเขาต้ องการรู้ อะไรบ้ าง เพื่อคนไขจะใช ้ ้ เพื่อประกอบการตัดสินใจได้ แตสำ ่ หรับมุมมอง ของแพทย์ หากแพทยคนอื่น ๆ ที ์เจอสถานการณ่แบบเดียวกัน ์ เจอคนไขแบบเดียวกันแพทย ้จะต์ ้ องแจ้ งกับคนไขอย้ ่ างไรบ้ าง เพราะว่ าหากแพทยแจ์ ้ งไปคนไขอาจจะตกใจหรือแจ ้ ้ งไปแล้ ว คนไข้ จะมีแนวโน้ มไม่ รักษาสูง ทั้งที่ความเสี่ยงอาจจะมีน้ อย อาจทำให้ เกิดผลเสียมากกว่ าผลดี และในกรณีเชนนี ่แพทย้ คนอื่น ๆ ์ จะแจ้ งอย่ างไร จะเห็นไดว้่ าทั้งสองมุมมีความขัดแย้ งกัน เพราะ คนไขบางคนต้ องการทราบผลกระทบที ้ อาจเกิดขึ ่นในการรักษา้ การใหความยินยอมในการผ ้ ่ า หรือเจาะตอเนื ่ อตัวร้่ างกายของเขา ในทางกลับกันคนไข้ บางคนอาจจะไม่ พร้ อมในการรับทราบ ขอมูลทั้งหมดก็ได ้ ้ ในประเทศไทยมีพระราชบัญญัติสุขภาพแห่ งชาติ พ.ศ. 2550 มาตรา 8 ระบุว่ ากอนที ่จะแพทย่จะทำ ์ การรักษา คนไขต้องแจ้ ้ งขอมูลคนไข ้ก้ อน ซึ ่่งกฎหมายฉบับนีมีผลบังคับ้ มากว่ า 12 ปีแลว ยังไม ้ ่ เคยมีคำ พิพากษาศาลฎีกาหรือไม่ เคย มีประเด็นที่มีการหยิบยกขึ้นมาถกเถียงกันเรื่องนี้ ทั้งที่เป็น ประเด็นสำ คัญและอาจมีผลกระทบต่ อวงการแพทย์ และต่ อ สิทธิเสรีภาพคนไข้ ผมเขียนบทความนีเพื่อเสนอว ้่ าประเทศไทย ควรจะใช้ มาตรฐานใด เพื่อให้ เหมาะสมกับบริบทของสังคมไทย สำ หรับผูที้สนใจสามารถเข่ ้ าไปอ่ านไดที้่https://eible-journal.org ดูวารสาร Volume12 No.3 ฉบับภาษาไทยติดตามอ่ านไดที้ ่ หนังสือดุลพาห์http://jla.coj.go.th/th/content/category/ detail/id/8/cid/1605/iid/165632 มุมมองในอนาคตเกียวกับกฎหมายทางการแพทย่ ์ของไทย สำ หรับในเรื่องการแจ้ งคนไข้ ให้ ได้ รับทราบขอมูล้ กอนนั้น ต ่องมาย้อนมองว้ ่ าประเทศไทยควรใช้ แบบไหนเพราะ คงไมสามารถนำ ่กฎหมายของต่ างประเทศเกียวกับทางการแพทย่ ์ มาใช้ ได้ ทั้งหมด คนไขบางคนอาจจะไม ้ ่ ได้ ต้ องการรับรู้ ขอมูล้ ทุกอย่ างซึงต่องยอมรับว ้ ่ าคนไข้ ในประเทศไทยมีลักษณะเฉพาะ หากรับรู้ ขอมูลทั้งหมดคนไข ้ บางคนอาจจะไม ้ยอมเข่ ้ ารับการ รักษา กฎหมายในประเทศไทยที่ใช้ ในปั จจุบันก็ไม่ เหมือน กฎหมายในต่ างประเทศ กฎหมายของต่ างประเทศมองว่ า มาตรฐานในการแจ้ งขอมูลของแพทย้ มีประโยชน ์ ์ โดยเฉพาะ เวลาเมื่อมีการดำ เนินคดีในศาลหากมีคดีเกียวกับทางการแพทย่ ์ ต่ อไปในอนาคตน่ าจะเป็นประเด็นสำ คัญทีคู่ความสามารถที ่่ จะหยิบยกขึนมาต้อสู่ ้ ได้ โดยหากใช้ มาตรฐานจากมุมมองคนไข้ แมว้่ าจะสามารถคุมครองคนไข ้ ้ ได้ มากกว่ าในแงของสิทธิใน ่ การรับรูข้อมูลเพื่อตัดสินใจเข ้ ้ ารับการรักษา แตสำ ่ หรับประเทศ ไทยผมมองว่ ายังไม่ ควรใช้ มาตรฐานดังกล่ าว เพราะมองว่ า ไม่ เหมาะสมกับสภาพสังคมของประเทศไทย แต่ หากใช้ มาตรฐานของแพทย์ ผมมองว่ าสามารถปกป้ องคนไข้ ไดดีกว ้ ่ า และคุมครองแพทย้ ์ ในการปฏิบัติงานดวย้ 35 จากแพทย์เกียรตินิยมอันดับหนึ่ ง........
ตองยอมรับว ้ ่ าการทีในปัจจุบันมีวิทยาการใหม่่ ๆ เกิดขึ้นมากมาย เช่ น เรื่องการนำ สเต็มเซลล์ (เซลล์ ต้ น กำ เนิด : Stem Cell) มาใช้ เป็นเซลลสืบพันธุ ์ ์ โดยทีไม่ต่อง้ มีการผสมกันตามธรรมชาติ ก็อาจกอให ่ ้ เกิดปั ญหาทาง ขอกฎหมายตามมา เด็กที ้ เกิดมาจะเป็นลูกของใคร การทำ ่ สเต็มเซลลดังกล ์ ่ าวควรทำ หรือไม่ เป็นเรื่องทีคาบเกี่ยวกับ่ ศีลธรรม ควรมีกฎหมายควบคุมหรือไม่ หากเกิดกรณีที่ เด็กที่เกิดจากการทำ สเต็มเซลล์ แล้ วมีความผิดพลาด เกิดขึ้น หากผู้ ที่ทำ เกิดไม่ พอใจที่เด็กคนนี้ต้ องเกิดมา เป็นมะเร็งอย่ างแน่ นอน หรือไมอยากมีลูกที ่่เป็นแบบนี้ หน้ าตาอย่ างนีบุคลิกอย้่ างนีอยากทิ้งไม้อยากรับผิดชอบ ่ หรือเรื่องการอุมบุญก็มีปัญหาทางด ้ ้ านขอกฎหมาย เพราะ้ กฎหมายของประเทศไทยเพิ่งเริ่มมีเมื่อประมาณสองปี การคุ้ มครองเด็กที่เกิดจากเทคโนโลยีทางการแพทย์ ซึ่งตอนนีต้่ างประเทศศึกษากันไปไกลมาก ไมต่ องพูดถึง ้ เรื่องคนไขหรือจำ ้ เลยทีมีปั ญหาสุขภาพจิตที่เค่ ้ าศึกษามา มากเลย แต่ ในประเทศไทยกฎหมายของเรายังไม่ ได้ มี ความตื่นตัวในเรื่องนี และเรื่องที ้สำ่คัญทีไม่ควรมองข่ ้ าม คือเรื่องเกียวกับ Big Data ที่ทำ่ให้ เราสามารถเก็บขอมูล้ สุขภาพของคนทั่วโลกได้ เวลาไปโรงพยาบาลสามารถ รูว้่ าอายุเท่ าไหร่ มีโรคอะไรบ้ าง เคยรักษาอะไร เคยทำ งาน อะไรมา มีพอแม่ ่ เป็นโรคอะไรมากอน แล่ วก็นำ ้ขอมูลมา้ วิเคราะห์ ว่ าสามารถเป็นโรคอะไรได้ บ้ างเพื่อทำ แผนการ รักษา หรือวางแผนสาธารณสุขของประเทศ ซึงเป็นประเด็น่ ในเรื่องขอกฎหมายว้ ่ าขอมูลสุขภาพทั้งหมดที ้ เก็บเป็น Big Data ่ สามารถเปิดเผยไดมากน้ อยเพียงใด เราจะถือ ว ้ ่ าขอมูลดังกล ้ ่ าว เป็นขอมูลระดับชาติ การเปิดเผยข ้ อมูลเป็นไปเพื่อประโยชน ้ ์ ของสุขภาพส่ วนรวม หรือเป็นเรื่องที่จะต้ องรักษาความลับ และควรเคารพตอสิทธิส ่ ่ วนบุคคลของคนไข้ เป็นเรื่องทีอาจจะ่ มีปั ญหาตอศาลไทยในอนาคต ่ 36 ...สู่เส้นทางผู้พิพากษา
เป้ าหมายการทำ งานในอนาคต... เมื่อกอนผมรู่ ้ สึกว่ าผมสามารถเรียน หมอได้ หรือเรียนกฎหมายได้ คนเราสามารถ เรียนรูวิทยาการใหม ้ ๆ ได ่ตลอดเวลา แต้ ตอนนี ่้ ผมเปลี่ยนแนวความคิดแล้ ว หลังจากมีเรื่อง Big Data หรือจักรกลอัจฉริยะ AI เราสามารถ เข้ าถึงข้ อมูลได้ ง่ ายเพียงปลายนิ้ว สิ่งเหล่ านี้ ทำ ลาย ego ผมทั้งหมด ผมรู้ สึกว่ าแท้ จริง คนเราอาจจะไม่ ไดฉลาดหรือเรียนรู ้ ้ ไดมากที ้สุด่ เพราะตอนนีเราอาจไม้จำ ่ เป็นตองท้ องจำ ่ อะไรมาก เพราะคอมพิวเตอร์ สามารถจำ และคิดให้ หมด ผมเลยรู้ สึกว่ าควรจะไปศึกษาหาความรู้ ความ เชียวชาญพิเศษเฉพาะด่ ้ านทีสามารถนำ่ มาศึกษา และทำ ประโยชน์ ใหกับสังคมได ้ จริงๆ เคยคิดว ้ ่ า จะเรียนกฎหมายชำ นัญพิเศษต่ างๆ แตกฎหมาย่เหล่ านั้นมีคนไทยเก่ งๆ ทีไปศึกษาเป็น ผู ่ ้ เชียวชาญ่ ผู้ ทรงคุณวุฒิ และสามารถนำ ความรู้ มาพัฒนา ประเทศไทยได้ หลายท่ านอยู่ แล้ ว ผมซึ่งเป็น มือใหม่ อาจไม่ สามารถศึกษาเพิ่มเติมหรือต่ อ ยอดจากท่ านนำ กลับมาใช้ เป็นประโยชน์ ได้ ดี และหลังจากที่ได้ มีโอกาสไปเรียนเพิ่มเติม ที่ต่ างประเทศผมรู้ สึกว่ าควรจะศึกษากฎหมาย การแพทย์ เพิ่มเติม เป็นสิ่งที่ต่ างประเทศเขา กำ ลังศึกษากันอยู่ สามารถนำ ความรู้ ที่ได้ รับ นำ กลับมาใช้ ในเมืองไทย ผมไม่ ได้ เก่ งหรือ ฉลาดพอทีจะคิดสิ่งต่่ างๆ ขึ้ นเองได้ หลายเรื่อง ที่ต่ างประเทศโดยเฉพาะประเทศที่พัฒนาแล้ ว มีการคิดวิเคราะห์ อภิปรายไปไกลแล้ ว แม้ ผม จะคิดวิเคราะห์ ไม่ ได้ เลยการไปเรียนรู้ สิ่งต่ างๆ ทีเค่ ้ าคิดไวแล้ว แล้ วนำ ้ มาใช้ กับบริบทบ้ านเรา ซึ่ งต่ อไปก็คงรับวิทยาการความก้ าวหน้ าในทุก ด้ านมาจากต่ างประเทศก็คงมีประโยชน์ ไมมาก่ก็น้ อยผมจึงคิดว่ าหากผมไปศึกษากฎหมาย ทางด้ านนี้โดยตรงจะเป็นประโยชนต์ ่ อประเทศ บ้ าง 37 จากแพทย์เกียรตินิยมอันดับหนึ่ ง........
แรงบันดาลใจทีอยากส่่ งมอบ... หากเรารู้ ว่ าชอบอะไรให้ รีบทำ เลย ไมต่องรอ้ เหมือนกับว่ า เราปั กธงไว้ ทำ ให้ เรามีเป้ าหมายที่ชัดเจน อยากจะฝากข้ อคิดในเรื่องของอิทธิบาท 4 เป็นหนทาง สู่ ความสำ เร็จ คือ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา เพียงแค่ เราหาความชอบให้ เจอ มีความพากเพียรพยายาม ความ เอาใจใส่ และการคิดไตร่ ตรองด้ วยความรอบคอบ และ ทีสำ่คัญคือตองประเมินตนเองว ้ ่ า สิงนั้นเหมาะสม มีความ ่ เป็นไปได้ และเราสามารถจะทำ ให้ สำ เร็จขึ้นได้ หรือไม่ อยากให้ คิดพิจารณาทบทวนให้ รอบคอบและพยายาม ให้ ถึงที่สุดก่ อน เช่ น นักเขียนระดับโลก เจเค โรว์ ลิ่ง เธอมีความใฝ่ ฝันอยากเป็นนักเขียน แตพ่อแม่ ่ ไม่ ไดสนับสนุน ้ เธอต้ องนำ บทประพันธ์ แฮร์ รี่ พอตเตอร์ ไปเสนอให้ กับ สำ นักพิมพต์ ่ าง ๆ แมจะโดนปฏิเสธมาตลอดแต ้ ่ ก็ไม่ เคย ละทิ้งความพยายาม จนในที่สุดก็ประสบความสำ เร็จ ผมเชื่อว่ าเราสามารถประสบความสำ เร็จ ในสิงที่เรารักได่ ้ ถ้ ามีเป้ าหมายทีชัดเจน และอย่่ าละทิงความฝันของตนเอง้ และที่สำ คัญคือต้ องอยู่ บนพื้นฐานของความเป็นจริง รวมทั้งต้ องมี mind set ที่ว่ างานที่ตนเองทำ อยู่ ล้ วนมี คุณค่ าและมีเป้ าหมายเสมอ เช่ น ภารโรงทีทำ่ความสะอาด ในองคการ NASA เมื่อประธานาธิบดี John F. Kennedy ์ ถามว่ ากำ ลังทำ อะไร เขาตอบด้ วยความภาคภูมิใจว่ า “เขากำ ลังส่ งมนุษย์ ไปเหยียบดวงจันทร์ ” 38 ...สู่เส้นทางผู้พิพากษา
เปิดมุมมองชีวิต ผมชื่อ ศตพัฒน์ แขกเพ็ง ชื่อเล่ น ตวง จบการศึกษาระดับมัธยมปลายจาก โรงเรียนวัดเขมาภิรตาราม ระดับปริญญาตรีจากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำ แหง หลักสูตรพรีดีกรี (Pre-Degree) และปริญญาตรีนิติศาสตร์ บัณฑิต เกียรตินิยมอันดับ 2 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กอนหน่ ้ านี้ประกอบอาชีพทนายความอิสระ หลังจากนั้นก็ได้มาสอบเป็นผูช้่ วยผูพิพากษา ้ เปิดมุมมองชีวิต ศตพัฒน์ แขกเพ็ง ค้นหาตัวเองผ่านค่าย ต้นกล้าตุลาการ 39 เปิดมุมมองชีวิต
คนหาตัวเองผ ้ ่ านหลักสูตร Pre–degree กอนอื่นต ่ ้ องพูดในฐานะทีเคยผ่่ านหลักสูตรนี้ จริงๆ แล้ ว พรีดีกรีเหมือนเปิดโอกาสให้ กับเด็กที่จะ ไปค้ นคว้ าว่ าตัวเองต้ องการที่จะเรียนศึกษาต่ อ ในระดับอุดมศึกษาในคณะใด สาขาใด เป็นการเปิด โอกาสให้ เด็กค้ นหาตัวเองมันคือประสบการณ์ ที่หา ได้ ในช่ วงมัธยมศึกษาตอนปลาย เป็นประสบการณที์ ่ เราจะรู้ ว่ าจะเรียนอะไรตอไป บางทีการเรียนในระดับ ่ มัธยมศึกษาตอนปลายไมสามารถที ่่จะบอกเราได้ ว่ า เราควรไปเรียนตอ ในคณะอะไร สาขาอะไร แต ่ การเรียน ่ พรีดีกรีเมื่อเราเข้ ามาเห็นระบบการเรียน ระบบการสอบ คณะนี้เหมาะกับเราหรือว่ าไม่ เหมาะกับเราหรือเปล่ า เป็นการเปิดโอกาสประสบการณ์ ให้ กับเด็กๆ ค่ ายตนกล้ ้ าตุลาการทำ ให้ รู้ สึกว่ าเดินมา ถูกทาง ตอนทีผมเข่ ้ าร่ วมโครงการตนกล้ ้ าตุลาการ ได้ เข้ าร่ วมตอนอยู่ มัธยมศึกษาปี ที่ 6 ซึ่งหลังจากที่ ผมได้ เรียนคณะนิติศาสตร์ ไปแล้ วในโครงการ Pre degree ของมหาวิทยาลัยรามคำ แหง แต่ ว่ า ค่ ายต้ นกล้ าตุลาการทำ ให้ ผมรู้ ตัวเองชัดได้ อีกว่ าที่ เรียนมา 2-3 ปีกอนที ่ จะมีการเข่ ้ าค่ ายเรียนมาถูกทางแลว ้ อาชีพความฝั นในวัยเด็กที่อยากจะเป็นผู้ พิพากษา เมื่อเราไดมาเข้ ้ าค่ ายนีเราจะได้ ้ รูว้่ าผูพิพากษาจริง ๆ ต ้ องมีคุณสมบัติ ้ อย่ างไร มีวิธีการทำ งานอย่ างไร ใช้ ชีวิตอย่ างไร เพราะว่ าเราได้ ใกลชิด้ กับผู้ พิพากษาจริง ๆ เลยครับ ผมก็เลยรู้ สึกว่ าผมมาถูกทางแล้ ว ค่ ายต้ นกล้ าก็เลยเป็นเหมือนแรงบันดาลใจในการที่จะทำ ให้ ผม เรียนตอจนจบและก็แรงบันดาลใจในการที ่ จะสอบเป็นผู ่ช้่ วยผูพิพากษา ้ อาชีพแรกบนเสนทางสายนักกฎหมาย ้ ผมเลือกทีจะทำ่ อาชีพทนายความเพราะหนึงต่นทุนทางที ้บ่ ้ าน เป็นทนายกันหลายคนอยูแล่ ว สองผมเห็นว ้ ่ าการทำ อาชีพทนายความ เราจะได้ นำ กฎหมายที่ได้ เรียนมาไปใช้ จริง ๆ และฝึกปฏิบัติจริง ๆ การขึ้นว่ าความในศาล อันนีก็คือผมเลือกที ้จะเรียน่ การเรียน VS การทำ งาน เวลาเราเรียนเราเรียนเฉพาะในตำ รา อาจจะมีอาจารยท์ ่ าน พูดถึงประสบการณส์ ่ วนตัวของท่ านบ้ าง แต่ ว่ าเวลามาทำ งานจริง ๆ แลว้ บางทีมันไม่ เหมือนกับที่เรียนมาทุกอย่ าง เพราะเราต้ องมาแบกรับ ทั้งในเรื่องของคน และเรื่องของการเป็นทนายความของผม ผมเรียน กฎหมายมา ผมก็เข้ าใจเป๊ ะ ๆ เรื่องนีไม้่ ไดกลัวอะไรเวลาสอบ แต ้ ่ เวลา มาทำ งานในเรื่องเดียวกัน ที่จะต้ องใช้ กฎหมายมาใช้ เราเกิดความ ไมมั่ นใจเพราะเรากลัว อีกอย่่ างตองแบกรับความคาดหวังของลูกความ ้ และก็ประสบการณ์ ในการทำ งานบางทีไม่ ได้ หาได้ จากห้ องเรียน บางทีเราก็เรียนรู้ ใหม่ ๆ ข้ างนอกว่ าเราเรียนมาแบบนี้ ทางปฏิบัติ เขาทำ กันแบบนี มันก็จะมีแตกต ้่ างกันบ้ าง เริมต่นความฝั นด ้ วยการเรียน ้Pre–degree ผมเองได้ รับโอกาสจากทางมหาวิทยาลัย รามคำ แหง ในการศึกษาหลักสูตรพรีดีกรี จุดเริมต่น้ จริงๆ คือเริมจากที่บ่ ้ านทีทำ่ให้ ผมสนใจอยากจะเป็น ผู้ พิพากษาแล้ วก็มาเรียนพรีดีกรีที่มหาวิทยาลัย รามคําแหง เป็นสถานที่ที่เขาเปิ ดโอกาสให้ เด็กใน ระดับมัธยมศึกษาตอนปลายได้ มาเก็บหน่ วยกิตกอน่ 40
จากประสบการณทนายความ สู์ การเป็นผู ่ พิพากษาใน ้อนาคต การเป็นทนายความอย่ างแรกเลย เราตองไปว ้ ่ าความจริง ๆ เราทำ งานในบัลลังก์ จริงๆ เพราะฉะนั้นเราก็จะเห็นการทำ งาน ของทุกภาคส่ วนในบัลลังก์ นั้นว่ า ท่ านผู้ พิพากษาทำ งานอย่ างไร ทนายความทำ งานอย่ างไร พนักงานอัยการทำ งานอย่ างไร หรือแม้ กระทังเจ่ ้ าหน้ าทีสนับสนุน เขาทำ่งานกันอย่ างไร เราก็จะเห็นระบบ การทำ งานละว่ าไปศาลทำ อะไรเป็นลำ ดับแรก ขั้นตอนของการว่ า ความว่ ามีขั้นตอนอย่ างไร เพราะว่ าเราทำ งานกันเป็นกลุม พูดตามตรง่ มันก็คือเหมือนเห็นภาพในการทำ งานจริง ๆ แค่ อยู่ กันคนละจุด เท่ านั้นเอง ที่1 ของการสอบผูช้่ วยผูพิพากษา ้ ตองบอกก้อนเลยว่ ่ าความรู้ สึกจริงๆ คือรู้ สึกดีใจตอนผล ข้ อเขียนออก อันนั้นคือดีใจมากๆ แต่ ว่ าพอผลแบบจัดอันดับ เรียบร้ อยออกเมื่อวันพุธ รู้ สึกตกใจนะครับตกใจเพราะว่ าไมคิดว ่ ่ า ตนเองจะผ่ านด้ วยตั้งแต่ ตอนแรกครับ ทีนี้พอได้ ลำ ดับที่หนึ่งก็เกิน คาดมาก ช่ วงไหนทีรู่ ้ สึกว่ ายากทีสุด่ จริงๆ ช่ วงทียากที่สุดน่่ าจะเป็นช่ วงตอนเรียน เนติบัณฑิตครับ เพราะว่ าตอนที่เรียนเนติบัณฑิต กำ ลังศึกษาระดับปริญญาตรีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชั้นปีทีสองต่อมาคิดว ่ ่ า จะเรียนแค่ เทอมแรก แลวก็กลับไปเรียนมหาวิทยาลัย ้ ธรรมศาสตร์ ต่ อให้ จบ และจะไปเรียนเทอมสอง ที่นี้พอเรียนเทอมแรกเรียนๆ ไปแล้ วคะแนนที่ ออกมาดี ไดลำ ้ ดับที 1 ภาคแรก ก็เลยเรียนเทอมสอง ่ ตอเลยกลายเป็นว ่ ่ าเหมือนเราเรียน 2 ที ทั้งเนติบัณฑิต ่ และทั้งปริญญาตรีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อันนั้นถือว่ าเป็นช่ วงทียากที่สุดแล่วครับ ้ ถ้ าใจเราสู้ ทุกอย่ างก็ผ่ านไปได้ รูสึกเหนื่อยไหม คนเราก็มีอารมณ ้ ์ เหนื่อย อยูแล่ วครับ เพราะว ้ ่ าเหมือนเราทำ อะไรทีมากกว่่ า คนอื่นเวลาพักเราก็จะนอยกว้ ่ าคนอื่น ก็รูสึกเหนื่อย ้ แต่ ว่ าความเหนื่อยจริง ๆ มันไม่ ได้ เหนื่อยทีกายครับ ่ คุณสมบัติของคนทีจะสอบผู้ช่วยผู้พิพากษา (สนามใหญ่)่ 1. ปริญญาตรีนิติศาสตรบัณฑิต 2. จบเนติบัณฑิต 3. จะต้องมีประสบการณ์ การทำ งานด้านกฎหมาย 2 ปี ซึ่ งทนายความกำ หนดขั้ นต่ ำ ของคดีที่ จะต้องว่าความ 20 คดี 39 เปิดมุมมองชีวิต
พอเหนื่อยมานอนพักก็หายใช่ ไหม แตจริงๆ มันน ่ ่ าจะ เป็นเรื่องของความคาดหวัง ความกดดันอะไรแบบนี้ ทีคนรอบข่ ้ างมองว่ าตองทำ ้ ไดนะ ทำ ้ ให้ เราจะกดดัน ตัวเอง ซึ่งอยากบอกว่ าไมต่ องกดดันตัวเอง เพราะว ้ ่ า เราจะทำ ได้ ไม่ ได้ มันไม่ ได้ ขึ้นอยู่ กับว่ าคนอื่น มา คาดหวังเราหรือเปล่ า มันขึ้นอยู่ กับตัวเราเอง ว่ า เรามีความพร้ อม มีความพยายามมากขนาดไหน มันไม่ ไดขึ้นอยู้กับผู ่ อื่น ้ “ ขึนอยู้กับตัวเราเองถ ่ ้ าใจ เราสูอย้ ่ างอื่นมันก็ผ่ านไปไดครับ ” ้ ถ้าใจเราสู้ อย่างอื ่ น มันก็ผ่านไปได้ 40
แบ่ งเวลาให้ ดี มองโลกในแงดี และมีเป ่ ้ าหมาย วิธีการเรียนนะครับ ไม่ ว่ าจะเป็นการเรียนในระดับปริญญาตรี เนติบัณฑิต หรือว่ า ในการเตรียมตัวสอบผูช้่ วย มีสิงหนึ ่ ่ งทีเหมือนกันคือ ่ หนึงในเรื่องของการแบ ่่ งเวลา คือเราไมต่ องใช ้ ้ เวลาทั้งชีวิต เพื่อจะทุมไปที ่ เป่ ้ าหมาย เวลาเรามี 24 ชัวโมง่ เราก็แบ่ งเวลาว่ าตอนนีเราจะสอบอะไร เราก็อาจจะอ ้่ านหนังสือ 3 ถึง 4 ชัวโมง คือเรื่องของการแบ ่่ งเวลา สองให้ มองโลกในแงดี ่ สามในเรื่องของการตั้งเป้ าหมาย เป้ าหมายของชีวิตถ้ ามันชัดเจน มันก็สามารถทำ ตามแผนได้ ง่ ายขึ้ น มากกว่ าคนทีไม่มีเป ่ ้ าหมายในชีวิต 41 เปิดมุมมองชีวิต
เคล็ดลับการประสบความสำ เร็จ... เคล็ดลับของการประสบความสำ เร็จตองออกตัวก ้อนเลยว่ ่ าไม่ ได้ เป็นจุดตายตัว ผมทำ แลวสำ ้ เร็จ พีทำ่แลวสำ ้ เร็จ นองทำ ้แลวสำ ้ เร็จ แต่ ว่ าถ้ าเกิดพูดถึงในทัวๆ ไป เคล็ดลับในการประสบความสำ ่ เร็จ ทุกๆ ที จะบอกคือหนึ ่งเราต่ องตั้งเป ้ ้ าหมาย แบ่ งเป้ าหมายออกเป็นสองช่ วง คือหนึงเป่้ าหมายระยะไกล อย่ างพีอยากเป็นผู ่พิพากษาพี ้ ก็ตั้งไว ่ว้่ าจะตองสอบผู้ พิพากษาให ้ ้ ได้ แต่ ว่ าระหว่ างทางทีเราจะไปถึงวันที ่ เราสอบ เราก็ต ่ องตั้งเป ้ ้ าหมายในแตละวันของเราว ่ ่ าเวลาอ่ านหนังสือสอบ ไม่ ว่ าจะไปสอบ ทีไหนก็ตาม ขอยกตัวอย ่่ างในการสอบผูช้่ วยผูพิพากษา ตั้งเป ้ ้ าหมายว่ าวันนีอ้่ านให้ ได้ 80 ถึง 90 หน้ า หรืออาจจะตั้งเป้ าหมายว่ า วันนีเราต้องเข้ ้ าใจเรื่องๆ นี อ้่ านให้ จบและก็เข้ าใจ แลวก็ทำ ้ ให้ มันสำ เร็จไปทุกๆ วัน ถ้ าหากเราทำ สำ เร็จในทุกๆ วัน ก็ไมต่อง้ ไปตั้งเป้ าหมายใหญ่ ให้ เราคิดว่ าเราทำ วันนีตามที้ เราตั้งเป ่ ้ าหมายไว้ เราก็ประสบความสำ เร็จแลว้ มุมองอนาคตตออาชีพผู ่ พิพากษา ้ การสอบผู้ พิพากษาได้ ทุกคนอาจจะ มองว่ าเป็นเส้ นชัย ผมมองว่ าเป็นเส้ นชัยของการ เตรียมตัวสอบ แต่ มันเป็นเพียงจุดเริ่มต้ นของการ ทำ งาน ซึ่งหลังจากนี้ส่ วนตัวจะมองอนาคตว่ า เมื่อ เราเข้ ามาเป็นผู้ พิพากษาแล้ ว เราก็อยากจะเป็น ผู้ พิพากษาที่ดี ดีทั้งในเรื่องของการประพฤติ การปฏิบัติตัว การวางตัว คุณธรรมจริยธรรมและ ในเรื่องของความรู้ ความสามารถ เราก็ตองหมั ้น่ ศึกษาเรียนรู้ เพิ่มเติม เพื่อจะได้ เป็นผู้ พิพากษาที่ดี และรักษาสุขภาพตัวเอง เพื่อให้ รับราชการไปนานๆ อายุ 25 ปีกับการเป็นผูพิพากษา ้ ความกดดันก็มีทุกคน แต่ ผมไม่ ค่ อย กดดันเท่ าไร เพราะว่ าการสอบเข้ ามาเป็นผูพิพากษา ้ แมจะอายุ 25 ปี เรายังไม ้ ่ ได้ ไปตัดสินใคร เราตอง้ ผ่ านการอบรม ฝึกฝนจากทางสถาบัน มีการเก็บเกียว่ ประสบการณ์ กว่ าจะได้ ไปตัดสินคดีจริงๆ แล้ ว ก็เกือบอายุ 30 เพราะฉะนั้น แรงกดดันในช่ วงตอนนี้ ยังไมมี แต ่ ่ ก็ต้ องมีความกังวลที่เกิดขึ้นกับเรา เราก็ มีวิธีรับมือกับเรื่องนี้ ในสิ่งที่เป็นหน้ าที่ของเราให้ ดี ที่สุด ทำ ให้ ถูกต้ องที่สุด ส่ วนผลที่จะตามมาเป็น อย่ างไร บางทีเราคาดหมายไม่ ได้ แรงบันดาลใจทีอยากส่่ งตอ่ แรงบันดาลใจทีอยากจะส่่ งมอบให้ ก็คือความพยายาม กว่ าจะมาถึงตรงนี้ ไม่ ใช่ ว่ านอนตื่นเช้ ามา แล้ วก็จะได้ มาเป็น ผูช้่ วยผูพิพากษาเลย ต ้ ้ องผ่ านอะไรมามากมาย ความผิดหวัง ไม่ ไดว้่ าหมายถึงว่ า เป็นคนเรียนเก่ งมาตั้งแต่ เกิด ไม่ เคยสอบตก อะไรเลย เพราะฉะนั้น พีทำ่ได้ นองก็ต ้ องทำ ้ ได้ แรงบันดาลใจ ทีอยากส่่ งตอ คือความพยายาม และความอดทน เท ่ ่ านั้นเอง 42
จัดทำ�โดย กองสารนิเทศและประชาสัมพันธ์ สำ�นักงานศาลยุติธรรม ที่ปรึกษา สุริยัณห์ หงษ์วิไล ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นประจำ�สำ�นักประธานศาลฎีกา ประยุทธ ศิริล้น ผู้ช่วยเลขาธิการสำ�นักงานศาลยุติธรรม
คณะผู้จัดทำ� วิภาวรรณ หลีศิริ ผู้อำ�นวยการกองสารนิเทศและประชาสัมพันธ์ นันทวัลย์ นุชนนทรี นักประชาสัมพันธ์ชำ�นาญการพิเศษ ศณิฏา จารุภุมมิก นักประชาสัมพันธ์ชำ�นาญการพิเศษ ออกแบบและจัดรูปแบบ สุภาวัชร์ ดลมินทร์ ทศพร ศิลาบำ�เพ็ญ สุทิน ทวีการ