โดยศาสตราจารย์พิเศษไพโรจน์ วายุภาพ อดีตประธานศาลฎีกา
ส่วนนิติการ ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ Legal Affairs Section Court of Appeal, Region 1
คํานํา ศาลยุติธรรมเปนองคกรที่มีหนาที่พิจารณาพิพากษาอรรถคดีเพื่ออํานวยความยุติธรรม ใหแกประชาชนโดยกระบวนการหลักในรูปแบบของการทําคําสั่งหรือคําพิพากษา ดังนั้น การตรวจทาน รางคําสั่งหรือคําพิพากษาของศาลกอนที่จะใหมีผลเปนคําวินิจฉัยชี้ขาดคดีนับวาเปนกระบวนการสําคัญ ทั้งนี้ เพื่อใหไดคําสั่งหรือคําพิพากษาที่ถูกตองชอบธรรม มีการใชดุลพินิจอยางเหมาะสมทั้งปญหา ขอเท็จจริงและขอกฎหมาย ตลอดจนการรักษาบรรทัดฐานคําสั่งหรือคําพิพากษาใหเปนไปในแนวทาง เดียวกัน อันจะนํามาซึ่งการสรางหลักประกันใหแกสังคม ศาลอุทธรณภาค ๑ ไดเล็งเห็นความสําคัญของการตรวจรางคําพิพากษาดังกลาว จึงได จัดโครงการฝกอบรม “การตรวจรางคําพิพากษาของผูชวยผูพิพากษาศาลอุทธรณภาค ๑” ภายใต โครงการ “พัฒนาศักยภาพบุคลากรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของศาลอุทธรณภาค ๑” โดย ไดกราบเรียนเชิญศาสตราจารยพิเศษไพโรจน วายุภาพ อดีตประธานศาลฎีกา ซึ่งเปนผูทรงคุณวุฒิ ที่มีประสบการณดานการตรวจรางคําพิพากษามาเปนวิทยากรในการบรรยายใหความรูในหัวขอดังกลาว นับเปนโอกาสอันดีที่ศาลอุทธรณภาค ๑ ไดรับความกรุณาจากทานวิทยากรผูบรรยาย สิ่งที่ไดรับจาก การบรรยายครั้งนี้ ถือเปนองคความรูสําคัญจากบรรพตุลาการที่ไดสั่งสมมาตลอดระยะเวลาที่ทานปฏิบัติ หนาที่การเปนผูพิพากษา ผมเชื่อเปนอยางยิ่งวาหนังสือเลมนี้จะเปนประโยชนตอการทําคําพิพากษาของศาล และเปนแนวทางใหแกขาราชการฝายตุลาการศาลยุติธรรมในการอํานวยความยุติธรรมใหแกประชาชน อยางแทจริง นายสันติ วงศรัตนานนท อธิบดีผูพิพากษาศาลแพง ชวยทํางานชั่วคราวในตําแหนง ประธานศาลอุทธรณภาค ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๕
โครงการฝึกอบรม เรื่อง “การตรวจร่างคําพิพากษาของผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑” โดยศาสตราจารย์พิเศษไพโรจน์ วายุภาพ อดีตประธานศาลฎีกา วันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๔ ณ ห้องประชุมชั้น ๔ ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ หัวข้อที่บรรยายในวันนี้เป็นเรื่องที่มีความสําคัญในการตรวจร่างคําพิพากษาก่อนที่จะออก เป็นคําพิพากษา ซึ่งกระบวนการนี้ตั้งแต่ขั้นตอนแรกจนถึงขั้นตอนสุดท้ายมีผู้ปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวข้องอยู่ เป็นจํานวนมาก ควบคู่กับการทํางานของท่านผู้พิพากษาเจ้าของสํานวน โดยบุคคลที่เกี่ยวข้องเหล่านี้ ต้องมีความรับผิดชอบอย่างมากเพราะเป็นบุคคลที่รู้ความลับในคดี ซึ่งโดยปกติในแต่ละคดีบุคคล ที่จะรู้ผลของคดีนั้นได้คือ ท่านผู้พิพากษาเจ้าของสํานวนและองค์คณะเท่านั้น แต่บุคคลดังกล่าว เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยโดยมีหน้าที่ตรวจร่างคําพิพากษาได้แก่ ผู้พิพากษาประจํากองผู้ช่วยผู้พิพากษา ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ เรียกว่า ผู้ช่วยเล็ก ผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ เรียกว่า ผู้ช่วยใหญ่ ประธานแผนกคดีในศาลอุทธรณ์ภาค ๑ รองประธานศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ประธานศาลอุทธรณ์ภาค ๑ และเลขานุการศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ทั้งยังมีเจ้าหน้าที่ศาลยุติธรรมซึ่งเป็นผู้พิมพ์และผู้มีหน้าที่นําข้อมูลคดี ไปลงในสารบบเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย หากมีปัญหาเกิดขึ้นบุคคลดังกล่าวถือว่าเป็นบุคคลที่ทราบความลับ โดยหน้าที่ บุคคลอื่นจะอ้างว่าทราบความลับโดยหน้าที่ไม่ได้ ดังนั้น บุคคลภายนอกที่บังอาจเข้ามา ทราบความลับในคดีย่อมมีความผิด บุคคลที่เกี่ยวข้องในระบบตรวจร่างฯ ต้องรับผิดชอบเอง เช่น ในสมัยที่ผมเป็นประธานศาลฎีกา ผมต้องการได้รับความรู้จากท่านใดในศาลฎีกา ผมจะทําบันทึกไปถึงท่านนั้น ว่า “เรียนท่าน ... ขอความเห็นคดีนี้ด้วยครับ” ต้องบันทึกไว้เป็นหลักฐานเพราะว่าเขาทําโดยการ ได้รับมอบหมาย บันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรตามที่กล่าวนี้ ควรเอาออกไว้ต่างหาก ไม่เก็บไว้ในสํานวนคดี เนื่องจากเป็นเรื่องภายใน ไม่ควรให้ท่านผู้พิพากษาเจ้าของสํานวนทราบถึงการทําบันทึกดังกล่าวด้วย เพราะเป็นเรื่องนอกหน้าที่ ส่วนเลขานุการศาลอุทธรณ์ภาค ๑ เป็นบุคคลที่ทราบความลับในคดีตามหน้าที่ เพราะต้องดําเนินการในขั้นตอนของการคัดท้ายคําพิพากษา ซึ่งเป็นหน้าที่ของเลขานุการแต่จะมอบหมาย ให้ผู้ช่วยฯ เป็นผู้ตรวจคัดท้ายคําพิพากษาก็ได้ โดยการตรวจคัดท้ายคําพิพากษาไม่ใช่เป็นการตรวจ เพียงคําถูกผิดเท่านั้น แต่ต้องตรวจในส่วนของหลักกฎหมายที่ใช้ในการพิจารณาคดีนั้นด้วย และ อาจทักท้วงภายหลังสั่งออกคําพิพากษาแล้วได้ด้วย บุคคลที่เข้ามาเกี่ยวข้องที่ควรคํานึงถึง คือ ข้าราชการตําแหน่งเจ้าหน้าที่ศาลยุติธรรม ซึ่งปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้พิมพ์และลงสารบบ โดยคําพิพากษาของศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกา ต้องลงสารบบ ก่อนส่งให้ศาลชั้นต้นอ่านคําพิพากษา ซึ่งแตกต่างไปจากการดําเนินงานของอธิบดีผู้พิพากษาภาค ที่ตรวจร่างคําพิพากษาของศาลชั้นต้นเสร็จแล้วจะส่งคืนไปให้ศาลชั้นต้นอ่านจึงนําไปลงในสารบบ จากนั้นจึงพิมพ์คําพิพากษาและลงลายมือชื่อองค์คณะผู้พิพากษา ดังนั้น เจ้าหน้าที่ศาลยุติธรรมซึ่งปฏิบัติหน้าที่ เป็นผู้พิมพ์ที่ย้ายมาจากศาลจังหวัดต่าง ๆ ต้องทราบด้วยว่าขณะที่ได้พิมพ์คําพิพากษาศาลอุทธรณ์อยู่นั้น ยังเป็นความลับอยู่
๒ ผู้พิพากษาประจํากองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ประธานแผนกคดีในศาลอุทธรณ์ภาค ๑ รองประธานศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ประธานศาลอุทธรณ์ภาค ๑ และเลขานุการศาลอุทธรณ์ภาค ๑ มีอํานาจตรวจร่างฯ ได้ โดยอาศัยอํานาจของผู้พิพากษาผู้รับผิดชอบ ราชการในศาลนั้นอย่างเป็นระบบที่ต้องช่วยกันทําให้สําเร็จลุล่วงไปอย่างมีประสิทธิภาพ ตามพระธรรมนูญ ศาลยุติธรรม มาตรา ๑๑ ซึ่งบัญญัติว่า “ประธานศาลฎีกา ประธานศาลอุทธรณ์ ประธานศาลอุทธรณ์ภาค อธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น และผู้พิพากษาหัวหน้าศาล ต้องรับผิดชอบในราชการของศาลให้เป็นไป โดยเรียบร้อย และให้มีอํานาจหน้าที่ดังต่อไปนี้ด้วย (๑) นั่งพิจารณาและพิพากษาคดีใด ๆ ของศาลนั้น หรือเมื่อได้ตรวจสํานวนคดีใดแล้ว มีอํานาจทําความเห็นแย้งได้ (๒) สั่งคําร้องคําขอต่าง ๆ ที่ยื่นต่อตนตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยวิธีพิจารณาความ (๓) ระมัดระวังการใช้ระเบียบวิธีการต่าง ๆ ที่กําหนดขึ้นโดยกฎหมายหรือโดยประการอื่น ให้เป็นไปโดยถูกต้อง เพื่อให้การพิจารณาพิพากษาคดีเสร็จเด็ดขาดไปโดยเร็ว (๔) ให้คําแนะนําแก่ผู้พิพากษาในศาลนั้นในข้อขัดข้องเนื่องในการปฏิบัติหน้าที่ ของผู้พิพากษา (๕) ร่วมมือกับเจ้าพนักงานฝ่ายปกครองในบรรดากิจการอันเกี่ยวกับการจัดวางระเบียบ และการดําเนินการงานส่วนธุรการของศาล (๖) ทํารายงานการคดีและกิจการของศาลส่งตามระเบียบ (๗) มีอํานาจหน้าที่อื่นตามที่กฎหมายกําหนดให้รองประธานศาลฎีกา รองประธานศาลอุทธรณ์ รองประธานศาลอุทธรณ์ภาค หรือรองอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น มีอํานาจตาม (๒) ด้วย และให้มีหน้าที่ ช่วยประธานศาลฎีกา ประธานศาลอุทธรณ์ ประธานศาลอุทธรณ์ภาค หรืออธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น แล้วแต่กรณี ตามที่ประธานศาลฎีกา ประธานศาลอุทธรณ์ ประธานศาลอุทธรณ์ภาค หรืออธิบดี ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นมอบหมาย จะเห็นได้ว่าการตรวจร่างฯ นั้นถือเป็นเรื่องการแนะนํา ส่วนจะปฏิบัติตามคําแนะนํา หรือไม่นั้นแล้วแต่ดุลพินิจของแต่ละบุคคล หากไม่ปฏิบัติตามอาจต้องดําเนินการโอนสํานวน การโอนสํานวน ดังกล่าวไม่ถือว่าเป็นการก้าวก่ายการทํางานแต่อย่างใด แต่เป็นอํานาจที่กฎหมายได้บัญญัติไว้ให้ ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา ๓๓ กรณีดังกล่าวจึงเป็นเรื่องของบุคคลต่าง ๆ ที่มีความเกี่ยวข้องกับการตรวจร่างฯ ที่ทําอย่างเป็นระบบ เนื่องจากประธานศาลฎีกา ประธานศาลอุทธรณ์ ไม่สามารถตรวจร่างฯ ได้เพียงคนเดียว ต้องมีผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกา ผู้พิพากษาประจํากองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ หรือศาลฎีกา ประธานแผนกคดีในศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกา รองประธานศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกา สนับสนุนการใช้อํานาจของประธานศาลฎีกาหรือประธานศาลอุทธรณ์ในการตรวจร่างฯ ดังนั้น ผู้พิพากษาทุกท่านจึงต้องทราบถึงลักษณะของระบบตรวจร่างฯ และให้ความสําคัญกับระบบ ดังกล่าวด้วย ระบบตรวจร่างฯ มีขึ้นเพื่อความถูกต้องและความยุติธรรม กล่าวคือ การที่ท่านผู้พิพากษา เจ้าของสํานวนได้ร่างคําพิพากษาแต่ละคดีออกมา แม้จะได้ดําเนินการร่าง และค้นคว้าหาคําพิพากษาฎีกา ตํารากฎหมายมาประกอบการพิจารณาอย่างเต็มที่แล้วก็ตาม หากมีระบบตรวจร่างฯ เข้ามาเสริมอีกทางหนึ่ง
๓ ก็จะช่วยสนับสนุนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ผู้ตรวจร่างฯ จะต้องเข้าใจเหตุผลข้อนี้เช่นเดียวกัน ว่าไม่ได้ตรวจเพียงเพื่อความถูกต้องเท่านั้น แต่ต้องคํานึงถึงคุณภาพของคําพิพากษาในแต่ละคดีที่ต้องมี ความเป็นธรรมซึ่งต้องอาศัยความรอบรู้และรอบคอบของทุกคนด้วย การตรวจร่างฯ เป็นงานที่ทําเป็นระบบ ทุกฝ่ายแบ่งหน้าที่ในการปฏิบัติงานโดยมีกระบวนการ เป็นลําดับขั้นตอน จะไม่มีการทํางานข้ามขั้นตอน จึงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน หรือเรียกได้ว่า “เป็นงาน ที่มีเอกภาพ” เมื่อทราบว่างานมีลักษณะตามที่กล่าวไว้ข้างต้น ก็ต้องพิจารณาต่อไปว่า ระบบตรวจร่างฯ นั้น เกี่ยวข้องกับอะไรบ้าง กล่าวคือ ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ที่ทํางานอยู่ทุกวันนี้มีหน้าที่ ต้องปฏิบัติทั้งงานคําพิพากษาและงานคําสั่งคําร้อง โดยดําเนินการออกร่างคําพิพากษาและคําสั่งคําร้อง แต่ทางด้านผู้ช่วยฯ มีหน้าที่ในการปฏิบัติงานเกี่ยวกับงานคําพิพากษาเท่านั้น คือ มีหน้าที่การตรวจ ร่างคําพิพากษา ซึ่งบางครั้งผู้ช่วยเล็กหรือผู้ช่วยใหญ่ซึ่งเป็นผู้ตรวจร่างคําพิพากษาต้องทราบว่า คดีที่ตนตรวจนั้นได้มีคําสั่งคําร้องเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เช่น คู่ความยื่นอุทธรณ์มา ๒ คน ปรากฏว่าคู่ความ คนหนึ่งถอนอุทธรณ์ โดยตามร่างฯ มีคําสั่งอนุญาตให้ถอนอุทธรณ์ เช่นนี้ ผู้ตรวจต้องสอบถามงานคําสั่งคําร้อง ว่ากรณีที่มีการอนุญาตถอนอุทธรณ์ดังกล่าวเป็นความจริงหรือไม่ และอนุญาตตามคําสั่งคําร้องที่เท่าใด โดยต้องบันทึกไว้ด้วย ทางปฏิบัติของกรณีนี้อาจเป็นว่างานคําสั่งคําร้องมีคําสั่งอนุญาตให้ถอนอุทธรณ์ ก่อนแล้ว จึงมีการจ่ายสํานวนคดีดังกล่าวในภายหลัง โดยมีการส่งสํานวนคดีมาพร้อมกับคําร้องขอถอนอุทธรณ์ หากเป็นเช่นนี้สํานวนคดีดังกล่าวจะต้องส่งไปที่งานคําสั่งคําร้องก่อนแล้วจึงส่งไปยังงานคําพิพากษา ในภายหลัง หรืออาจเป็นว่าได้จ่ายสํานวนคดีให้แก่ท่านผู้พิพากษาเจ้าของสํานวนแล้ว ต่อมาทางงาน คําสั่งคําร้องได้มีการขอสํานวนคดีดังกล่าวกลับไป เนื่องจากมีคู่ความบางรายได้มีคําร้องขอถอนอุทธรณ์ มาภายหลังผู้ตรวจจะต้องทราบถึงขั้นตอนการปฏิบัติงานดังกล่าวด้วย แต่มีงานคําสั่งคําร้องอื่นที่ไม่ปรากฏอยู่ในร่างคําพิพากษาก็ไม่ต้องสนใจเพราะไม่เกี่ยวกับ เนื้อหาของคดี เช่น การปล่อยชั่วคราวในชั้นอุทธรณ์ การทุเลาการบังคับคดีในชั้นอุทธรณ์ ผู้ตรวจจะต้อง ทราบถึงขั้นตอนการปฏิบัติงานดังกล่าวด้วย นอกจากการตรวจร่างฯ ยังมีงานจดรายงานกระบวนพิจารณา เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ผู้ตรวจต้องทราบว่ามีเรื่องใดบ้างที่สามารถจดเป็นรายงานกระบวนพิจารณา สั่งออกไปได้ การจดรายงานกระบวนพิจารณาแบ่งออกเป็น ๒ กรณี ๑. การจดรายงานกระบวนพิจารณาที่หากจดรายงานไปแล้วต้องคืนสํานวนทันที เนื่องจากคําพิพากษาที่นํามาจ่ายให้ตรวจ เมื่อมาถึงผู้ตรวจที่ทําหน้าที่ตรวจแล้วปรากฏว่าเป็นกรณี ที่ท่านผู้พิพากษาเจ้าของสํานวนได้ร่างคําพิพากษาไป ทั้งที่ไม่สามารถตัดสินอุทธรณ์ได้ เพราะยังไม่มี ความเรียบร้อยในบางขั้นตอนจึงต้องคืนสํานวนให้กลับไปให้ศาลชั้นต้นดําเนินการใหม่ แต่ระบบ การคืนสํานวนในปัจจุบันจะต้องจดรายงานกระบวนพิจารณาสั่งจําหน่ายคดีออกจากสารบบความด้วย พร้อมกับส่งสํานวนคดีดังกล่าวคืนสู่ศาลชั้นต้น ให้ดําเนินการในส่วนของขั้นตอนที่ผิดพลาดให้เรียบร้อย แต่หากเป็นในอดีต การคืนสํานวนสู่ศาลชั้นต้นอย่างนี้ต้องรอให้ดําเนินการในขั้นตอนที่ผิดพลาด ให้เรียบร้อยเสียก่อน จึงคืนกลับมาพิจารณาต่อไปได้ ระหว่างที่รอสํานวนคืนกลับมาศาลอุทธรณ์ ถือว่าสํานวนคดีดังกล่าวยังค้างอยู่ในศาลอุทธรณ์ เนื่องจากไม่ได้มีการจําหน่ายคดีดังกล่าวออกจาก ศาลอุทธรณ์แต่อย่างใด
๔ ๒. การจดรายงานกระบวนการพิจารณาส่งไปศาลชั้นต้นพร้อมกับร่างฯ เพื่อให้ ศาลชั้นต้นปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งก่อนอ่านคําพิพากษา เช่น การเรียกค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์เพิ่ม ก่อนอ่านคําพิพากษาศาลอุทธรณ์ ซึ่งหากจดรายงานกระบวนพิจารณาไปพร้อมกับร่างฯ นั้น ย่อมไม่มี ปัญหาเรื่องความลับ กรณีนี้ผู้ตรวจต้องบันทึกไว้ที่หน้าแรกของร่างฯ ด้วยว่า มีรายงานกระบวนพิจารณา เสนอมาพร้อมกัน โดยต้องตรวจรายงานกระบวนพิจารณาที่เสนอมานั้นด้วย ต่อไปนี้จะกล่าวถึงขั้นตอนในการตรวจร่างฯ ไปตามลําดับ โดยแบ่งออกเป็นการตรวจ โดยมีสํานวนคดีประกอบอยู่ในมือ ซึ่งเป็นหน้าที่ของผู้ตรวจและการตรวจโดยไม่มีสํานวนคดีประกอบ ซึ่งเป็นหน้าที่ของผู้ช่วยผู้พิพากษาที่มีตําแหน่งสูงขึ้นไปตามลําดับ ทําให้ทราบว่าแต่ละหน้าที่มีความรับผิดชอบ ในเรื่องใดบ้าง การที่ผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ ๑ และรองประธานศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ประธาน ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ไม่มีสํานวนคดีอยู่ในมือ หากมีข้อตําหนิว่าบุคคลดังกล่าวทําไมไม่ทราบรายละเอียด ในสํานวน บุคคลดังกล่าวสามารถอ้างได้ว่า ขั้นตอนในการปฏิบัติงานของตนไม่มีสํานวนคดีอยู่ในมือ หากมีปัญหาเกิดขึ้นทางผู้ตรวจจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบคนเดียว เนื่องจากเป็นผู้ตรวจโดยมีสํานวนคดี อยู่ในมือ แต่ในศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ผู้ตรวจคนแรกอาจเป็นผู้ช่วยใหญ่ก็ได้ก็จะมีสํานวนคดีอยู่ในมือ ขั้นตอนการตรวจร่างฯ โดยมีสํานวนคดีประกอบ ซึ่งเป็นหน้าที่ของผู้ช่วยฯ ในส่วนของ ความถูกต้อง แบ่งออกเป็น ๒ ลักษณะ ๑. ตรวจว่าร่างคําพิพากษาตรงกับสํานวนคดีหรือไม่ ๒. ตรวจร่างคําพิพากษาตรงตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ความเห็นทางตํารา ของนักกฎหมายและคําพิพากษาฎีกาที่ใช้อ้างอิงประกอบหรือไม่ บทกฎหมาย ความเห็นทางตําราของนักกฎหมายและคําพิพากษาฎีกาที่นํามาใช้วินิจฉัย เป็นสิ่งที่อยู่นอกสํานวนคดี ดังนั้น แหล่งอ้างอิงจึงมีทั้งในและนอกสํานวนคดี ไม่ได้พิจารณา แต่รายละเอียดในสํานวนคดีเพียงอย่างเดียว โดยเฉพาะอัตราโทษอย่าใช้วิธีการจําต้องดูตัวบทให้เห็น กับตาตนเอง ส่วนคําพิพากษาฎีกาที่ใช้อ้างอิง ผู้ช่วยฯ อาจอ้างคําพิพากษาฎีกาเพิ่มเติม เพื่อให้ผู้ใหญ่ พิจารณาต่อไปก็ได้ ส่วนหลักกฎหมายทางวิชาการอาจใช้หนังสือต่าง ๆ ประกอบด้วย โดยถ่ายเอกสาร แนบมาด้วยก็ได้ ถือเป็นการสนับสนุนร่างฯ ของท่านผู้พิพากษาเจ้าของสํานวน อันเป็นประโยชน์ ต่อการตรวจร่างฯ ในลําดับขั้นตอนที่เป็นหน้าที่ของผู้ช่วยใหญ่ทําให้คําพิพากษาศาลอุทธรณ์มีคุณภาพ ยิ่งขึ้น ส่วนในเรื่องการใช้ดุลพินิจในคดี เช่น ดุลพินิจในการกําหนดโทษ ก็ต้องตรวจและทักท้วง ได้ว่าเหมาะสมหรือไม่ บัญชีมาตรฐานการกําหนดอัตราโทษ (ยี่ต๊อก) เป็นตัวช่วยในการใช้ดุลพินิจเท่านั้น ผู้พิพากษาจึงอาจตัดสินไปมากหรือน้อยกว่าที่บัญชีกําหนดไว้ก็ได้ การตรวจร่างฯ ในคดีอาญามักพบข้อผิดพลาดในเรื่องอัตราโทษที่ใช้อ้างอิงในร่างฯ อยู่บ่อยครั้งที่กําหนดมากกว่าขั้นสูงหรือน้อยกว่าอัตราขั้นต่ําตามกฎหมาย แต่ในคดีแพ่งไม่มีข้อผิดพลาด ในเรื่องนี้ เนื่องจากเป็นการตัดสินไปตามประเด็นแห่งคดีเท่านั้น โดยเฉพาะในชั้นอุทธรณ์ที่มีประเด็น ในการวินิจฉัยน้อยกว่าประเด็นที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัย การตัดสินของศาลอุทธรณ์เรียกได้ว่าตัดสิน ตามอุทธรณ์ ถ้าไม่อุทธรณ์ข้อใดก็ไม่ต้องวินิจฉัย แต่การวินิจฉัยอุทธรณ์บางกรณีอาจมีการตัดสินเพิ่มเติม กล่าวหาว่ากระบวนการพิจารณาที่ศาลชั้นต้นกระทําไปเป็นการมิชอบด้วยกฎหมาย ส่วนใหญ่ศาลอุทธรณ์
๕ จะวินิจฉัยน้อยกว่าศาลชั้นต้น เพราะว่าศาลอุทธรณ์ไม่ได้ตัดสินจากคําฟ้อง แต่ตัดสินตามที่คู่ความ ยื่นอุทธรณ์มาเท่านั้น การปฏิบัติในแต่ละขั้นตอนของการตรวจร่างฯ เป็นการตรวจและการเสนออย่างเป็นระบบ จึงเริ่มต้นด้วยคําว่า “ขอประธานเสนอ” ซึ่งเป็นการเสนอและลงลายมือชื่อตามลําดับจนถึงที่สุด โดยผู้ตรวจลงลายมือชื่อเป็นลําดับแรก เสนอต่อผู้ช่วยใหญ่ รองประธานศาลอุทธรณ์จนจบขั้นตอน ที่ประธานศาลอุทธรณ์ตีสั่งออกทุกคนจะไม่ได้ขึ้นต้นด้วยคําว่า “ขอประธานเสนอ” เมื่อเสนอขึ้นไปแล้ว อาจมีการย้อนกลับลงมาจากประธานศาลอุทธรณ์ภาค ๑ กรณีนี้ ท่านจะระบุชื่อที่จะให้ท่านใดเป็นผู้ดําเนินการหรือพิจารณา เช่น ประธานศาลอุทธรณ์ภาค ๑ เขียนคําว่า “เรียนท่านผู้พิพากษาเจ้าของสํานวนและองค์คณะ” หรือ “เรียนท่านผู้ช่วยผู้พิพากษา” ผู้พิพากษา ส่วนใหญ่มักจะสงสัยว่า เมื่อประธานศาลอุทธรณ์ภาค ๑ เขียนว่า “เรียนท่านผู้พิพากษาเจ้าของสํานวน” จะต้องปรึกษาผู้พิพากษาทั้งองค์คณะหรือไม่ ซึ่งตามความเป็นจริงไม่ต้องปรึกษา กรณีที่จะต้องปรึกษา ผู้พิพากษาทั้งองค์คณะ ประธานศาลอุทธรณ์ภาค ๑ จะเขียนคําว่า “เรียนท่านผู้พิพากษาเจ้าของสํานวน และองค์คณะ” แต่หากเป็นกรณีที่ตรวจแล้วพบว่าต้องเปลี่ยนผลของร่างฯ เดิมด้วย ถึงแม้จะเขียนคําว่า “เรียนท่านผู้พิพากษาเจ้าของสํานวน” ท่านผู้พิพากษาเจ้าของสํานวนก็ต้องปรึกษาองค์คณะและให้ทุกคน ลงนามด้วย การบันทึกต้องทําเป็นลายลักษณ์อักษร เพราะการทําด้วยวาจาอาจปฏิเสธได้ว่าตน ไม่ได้พูด ข้อสําคัญคือการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรย่อมมีความหนักแน่นมั่นคง และชัดเจนกว่าการพูด ด้วยวาจา ทั้งปฏิเสธไม่ได้ว่าท่านไม่ได้เป็นผู้สั่งหรือแนะนํา มีข้อสังเกตการตรวจร่างฯ ทั้งหมดเป็นระบบร่างคําพิพากษา เคยเกิดข้อสงสัยหรือไม่ ว่าเพราะเหตุใดไม่เขียนด้วยหมึก ต้องทําเป็นตัวดินสอ สาเหตุมีว่าการตรวจร่างฯ ยังไม่ยุติ การใช้ดินสอ เมื่อมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงจะลบได้ง่ายกว่า เมื่อได้ข้อยุติแล้ว จึงจัดพิมพ์เป็นคําพิพากษาในภายหลัง เมื่อตรวจเรียบร้อยแล้วจะเสนอไปตามลําดับขั้นตอน แต่อาจมีบันทึกกลับลงมาบ้าง ในบางเรื่อง โดยอาจลงมาหากองผู้ช่วยฯ หรือท่านผู้พิพากษาเจ้าของสํานวนแล้วเสนอขึ้นไปใหม่ เมื่อเสนอขึ้นไปใหม่แล้ว จึงต้องมีการขอประธานเสนอเป็นครั้งที่สอง เป็นการเริ่มต้นขั้นตอนการตรวจ ตั้งแต่ผู้ช่วยฯ ขึ้นไปใหม่ พร้อมลงนามตามลําดับต่อไป โดยปกติหากบันทึกกลับลงไปที่ผู้ช่วยฯ อีกครั้ง ต้องบันทึกเสนอขึ้นไปอีกครั้งว่า “ขอประธานเสนอเป็นครั้งที่สอง” เพื่อป้องกันการสับสน ในกระบวนการขั้นตอนตรวจร่างฯ ขั้นตอนสุดท้ายคือการสั่งออกซึ่งเป็นขั้นตอนที่มีความสําคัญ หากสังเกตในแง่ของ งานเอกสารของทางราชการโดยทั่วไปจะเห็นได้ว่าเอกสารบางฉบับ หากไม่ใช่ผู้บังคับบัญชาสูงสุด เป็นผู้สั่งออก ผู้บังคับบัญชาสูงสุดจะไม่ลงนามแต่ให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นผู้ลงนามแทน คําพิพากษา ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ที่มีการสั่งออกทุกฉบับถือว่าเป็นเอกสารสําคัญการสั่งออกผู้บริหารจะต้องใช้ ความวิริยะอุตสาหะอย่างมาก เมื่อผู้บริหารสั่งออกแล้วจึงเข้าสู่ขั้นตอนของการคัดท้าย โดยเลขานุการศาลอุทธรณ์ภาค ๑ จะตรวจสอบความเรียบร้อยอีกครั้งจึงเป็นอันเสร็จสิ้นกระบวนการตรวจร่างคําพิพากษา ภายหลังจากนั้น จะส่งคําพิพากษาไปอ่านที่ศาลชั้นต้น
๖ ที่กล่าวไปข้างต้นเป็นภาพรวมของระบบการตรวจร่างฯ ต่อไปนี้จะกล่าวถึงการปฏิบัติ ในการตรวจร่างคําพิพากษาโดยละเอียดเป็นลําดับไป เริ่มต้นตั้งแต่การจ่ายร่างคําพิพากษาให้ตรวจ โดยเป็นอํานาจของเลขานุการศาลอุทธรณ์ภาค ๑ จะนําร่างคําพิพากษาที่พิมพ์แล้วเป็นฉบับตรวจมาจ่าย ให้แก่ผู้ช่วยเล็ก ถ้าไม่มีผู้ช่วยเล็กก็จะจ่ายให้ผู้ช่วยใหญ่เป็นผู้ตรวจเป็นคนแรก โดยพิจารณาว่าจ่ายให้ ผู้พิพากษาท่านใดตามความเหมาะสม ผู้ตรวจต้องสังเกตว่างานที่จ่ายมานั้นมีงานที่ยากและง่ายผสมกัน ซึ่งเลขานุการฯ จะพิจารณาถึงจํานวนหน้าของร่างฯ เช่น ร่างฯ มีจํานวนน้อยกว่า ๕๐ หน้า แยกไว้พวกหนึ่ง เกิน ๕๐ หน้า แยกหน้าไว้อีกพวก สมมติว่ามีผู้ตรวจจํานวน ๑๐ คน ท่านแรกจ่ายร่างมีจํานวนเกิน ๕๐ หน้าไปแล้ว ๑ ครั้ง ก็จะไม่จ่ายซ้ําอีก เลขานุการจะแบ่งงานเฉลี่ยกันไป ไม่ใช่จ่ายโดยอําเภอใจ ของเลขานุการ แต่ได้พิจารณาอย่างถูกต้องเหมาะสมแล้ว เมื่อได้รับร่างฯ มาแล้ว ต้องลงสมุดประจําตัวทันที ตรวจสอบชื่อผู้ตรวจตรงปกสํานวน ซึ่งจะลงชื่อไว้ด้านล่างทางด้านขวา เมื่อเห็นว่าเป็นชื่อของตนเองให้ลงในสมุดของตนเองว่ารับงาน วันที่เท่าใด ต่อจากนั้นให้เปิดดูหน้าสุดท้ายของสํานวนคดีนั้นว่าศาลชั้นต้นส่งมาเพื่อให้ทําอะไร เช่น เรียนเลขานุการฯ ด้วยคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์คําพิพากษาและมีสิ่งใดส่งมาด้วย เช่น สํานวนส่งมา ๒ ปึก กับเอกสาร ๓ ปึก ผู้ตรวจต้องตรวจสอบทันทีว่าครบถ้วนหรือไม่ หากไม่ครบให้ติดตาม ไม่เช่นนั้น จะถือว่าได้รับแล้ว ต่อไปตรวจร่างฯ ลงนามครบหรือไม่ เพราะอาจมีกรณีที่ลงนามไม่ครบแล้วนํามาส่ง เพื่อเอาแต้มสะสมการส่งงาน หากพบว่าลงนามไม่ครบผู้ตรวจควรไปปรึกษาองค์คณะในเรื่องการลงนาม ว่าหลงลืมหรือไม่ กรณีเช่นนี้อาจคืนสํานวนโดยไม่ทําการตรวจได้เพราะร่างฯ ไม่เรียบร้อย แต่ใน ทางปฏิบัติไม่ควรคืนคําพิพากษาโดยใช้วิธีแก้ปัญหาดังกล่าว ประการต่อมาดูว่าสํานวนคดีที่จ่ายมาให้ตรวจ เป็นงานคําพิพากษาหรืองานคําสั่งคําร้อง ถ้าเป็นงานคําพิพากษาถือว่าเป็นงานในหน้าที่ แต่ถ้าเป็นงานคําสั่งคําร้องให้คืนไป โดยการจะรู้ว่า เป็นเรื่องของงานคําสั่งคําร้องให้พิจารณาตามระเบียบของศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ว่าลักษณะใดออกเป็น คําสั่งคําร้อง หากเป็นงานคําสั่งคําร้องที่หลุดออกมาทําเป็นคําพิพากษาผู้พิพากษาเจ้าของสํานวน รับมาแล้วออกเป็นคําพิพากษา ผู้ตรวจต้องคืนสํานวนไปเพราะว่าเป็นงานคําสั่งคําร้อง ยังมีเหตุที่ออกเป็นคําพิพากษาไม่ได้อยู่อีก คือ องค์ประกอบไม่ครบที่จะเขียนคําพิพากษาได้ เช่น คู่ความยื่นอุทธรณ์หลายฉบับแต่ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์มาเพียงบางฉบับ อีกฉบับไม่ได้สั่งว่าอะไร อย่างนี้ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ตัดสินคดีไม่ได้ก็คืนสํานวนไป เมื่อรับสํานวนคดีมาแล้วให้พิจารณาก่อนว่าคู่ความในคดีเป็นญาติกับผู้ตรวจหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีญาตินามสกุลไม่ตรงกัน เมื่อรับสํานวนมาตรวจแล้วเป็นเช่นนี้ อย่าเก็บงานไว้ นานแล้วจึงนําไปส่งคืน เพราะอาจทําให้เกิดข้อสงสัยได้ว่า น่าจะทราบแต่แรกแล้วเหตุใดจึงไม่นําไปส่งคืน อาจชี้แจงได้ยาก เมื่อไม่มีเหตุต้องคืนสํานวนก็จะเข้าสู่ขั้นตอนการตรวจที่แบ่งไว้เป็น ๒ ลักษณะข้างต้น แต่การตรวจมิใช่ใช้ร่างคําพิพากษาของผู้พิพากษาเจ้าของสํานวนที่ท่านเขียนไว้ ต้องพิมพ์เป็นฉบับตรวจ ขึ้นมาก่อน ผู้ตรวจจึงมีหน้าที่ตรวจพิสูจน์อักษรหรือตรวจปรู๊ฟด้วย ก็ยุ่งยากพอสมควรจึงนํามากล่าวไว้ เสียแต่แรก เรื่องแรก คือ รูปแบบ เจ้าหน้าที่ที่พิมพ์มักพิมพ์ไม่ผิดรูปแบบ อาจจะมีข้อบกพร่องเพียงว่า เส้นขั้นหน้าหรือหลังกระดาษไม่เสมอกันคือยึดร่างฯ เป็นสําคัญ
๗ ขั้นตอนการพิสูจน์อักษรเป็นการตรวจการใช้อักษรและการพิมพ์ให้ตรงตามร่างฯ เมื่อยึดร่างฯ เป็นสําคัญ จะต้องมีความรู้ในเรื่องของการตรวจปรู๊ฟ ซึ่งในท้องตลาดมีการจําหน่ายหนังสือ เกี่ยวกับเรื่องการพิมพ์และการตรวจปรู๊ฟ แต่ของศาลเพิ่มเติมว่าให้ขีดกากบาททุกจุดที่ผิด ทุกจุดที่แก้ไข หรือเติม เพื่อเป็นการช่วยให้กากบาทเท่ากับจํานวนจุดนั้น เพื่อความสะดวกในการทํางานของเจ้าหน้าที่ การเว้นวรรคควรใช้เครื่องหมายขีดเส้นตรงขั้นในแนวเดียวกัน หากวรรคใหญ่เท่ากับให้ขีด ๒ เส้น หากวรรคเล็กให้ขีดเส้นเดียว สัญลักษณ์ว่าให้ติดกันทําอย่างไร ตัดคําทําอย่างไร คําตกทําอย่างไร ทั้งตกคําและเติมคําต้องลงมาด้านล่างของบรรทัดหากแก้คําให้วงคําที่แก้ไขและเขียนคําที่ถูกไว้ ริมกระดาษทั้งหมดล้วนเป็นเทคนิคการพิมพ์ คําที่ใช้ในขั้นตอนนี้ที่เขียนกํากับไว้มีว่าหากผิดเมื่อแก้แล้วให้หมายเหตุไว้ข้าง ๆ ว่าพิมพ์ผิด ร่างฯ เป็นแบบนี้พิมพ์ออกมาเป็นแบบนี้ ไม่ตรงกับร่างฯ ให้วงกลมไว้แล้วใส่คําที่ถูก นอกจากนี้ยังมีกรณีที่หมายเหตุว่าพิมพ์ตกหรือพิมพ์เกิน อีกวิธีหนึ่งไม่ได้ใช้คําดังกล่าว เช่น พิมพ์ผิด แก้คําที่ถูกเขียนไว้ในร่างฯ แล้วเขียนว่า ตามร่างฯ ตามร่างฯ หมายความว่า ร่างฯ แบบนี้แต่พิมพ์ผิดจากร่างฯ ถ้าพิมพ์ตกต้องเติม เขียนว่า เติมตามร่างฯ พิมพ์เกิน ตัดออกให้ตรงตามร่างฯ เขียนว่า ตัดออกตามร่างฯ กรณีต่อไปไม่ใช่กรณีที่เจ้าหน้าที่พิมพ์ผิด แต่เป็นกรณีที่พิมพ์ถูกต้องทุกประการ ปรากฏว่า ผู้ตรวจเห็นว่าไม่ตรงตามตัวบทกฎหมายจึงทําการแก้ไขให้ตรงตัวบท เขียนว่า แก้ตามตัวบท ไม่ต้องขออนุญาตเจ้าของสํานวนเพราะการแก้ตามตัวบทกฎหมายไม่ต้องขออนุญาต หรือแก้ไข ตามพจนานุกรมก็ไม่ต้องขออนุญาต แก้ตามคู่มือปฏิบัติหรือแก้ตามแบบก็ไม่ต้องขออนุญาต สําหรับแบบ บางทีมีปัญหาว่า เอาแบบมาจากที่ใด ส่วนการแก้ตามที่เคยสั่งออก อาจมีข้อถกเถียงระหว่างท่านผู้พิพากษา เจ้าของสํานวนกับผู้ตรวจเพราะว่ามันไม่ใช่แบบ การขออนุญาตที่ผู้ตรวจเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรแปลว่า ไม่ได้ขออนุญาตจริง ไม่ได้ ไปพบผู้พิพากษาเจ้าของสํานวน หากได้มีการขออนุญาตจริงต้องใช้คําว่า ท่านอนุญาตแล้ว ไม่ต้องใช้ คําว่าท่านเจ้าของสํานวนอนุญาต ทุกครั้งที่เรียกผู้พิพากษาเจ้าของสํานวนจะเรียกว่าท่าน ซึ่งในอดีต ได้ใช้แบบนี้ ปัจจุบันไม่ควรใช้คําอื่นให้ยืดยาวโดยคําว่าท่านอนุญาตแล้ว หากขออนุญาตเติมหรือแก้ไข เมื่อเสนอไปยังผู้บริหารอาจพิจารณาสั่งว่าคงไว้ตามร่างฯ ก็ได้ เพราะฉะนั้น การที่ขออนุญาตแก้ เป็นเรื่องที่อาจมีปัญหา ซึ่งผู้บริหารจะใช้คําว่า “คงไว้ตามร่างฯ ” ไม่ใช้คําว่า “ไม่ต้องขออนุญาต ไม่ต้องเติม ไม่ต้องแก้” ต่างกับกรณีที่ผู้ตรวจไปขออนุญาตแก้และท่านผู้พิพากษาเจ้าของสํานวนอนุญาตให้แก้ ผู้บริหารจะมีคําสั่งให้คงไว้ตามร่างฯ ไม่ได้ ดังนั้น จึงมีความแตกต่างกันระหว่างไปขออนุญาตแก้ กับไม่ไปขออนุญาตแก้ หากขออนุญาตแก้จะเป็นผลดีกว่าการไม่ขออนุญาตทั้งเป็นข้อดีที่ผู้ตรวจจะได้ ปรึกษากับท่านผู้พิพากษาเจ้าของสํานวนและไม่ต้องรับผิดชอบ โดยให้ผู้พิพากษาเจ้าของสํานวน เป็นผู้รับผิดชอบเองว่าควรอนุญาตหรือไม่ มีข้อสังเกตอีกว่าหากปรากฏว่าผู้พิพากษาเจ้าของสํานวน อนุญาตให้แก้ต้องปรากฏในฉบับตรวจเป็นลายมือของผู้ตรวจอย่าไปแก้ในร่างของผู้พิพากษา เจ้าของสํานวน เพราะบางครั้งที่ผู้ตรวจไปเข้าพบผู้พิพากษาเจ้าของสํานวน ท่านอาจเห็นว่าตามที่จะเติมนั้น ท่านจะเติมเอง ท่านจะบอกว่าจะเติมเองก็ให้ท่านเขียนในฉบับตรวจได้เลยและผู้ตรวจไม่ควรไปเติมในร่างฯ ของผู้พิพากษาเจ้าของสํานวนอีก การเติมอย่างนี้อาจเกิดข้อสงสัยว่าเป็นลายมือของใครเว้นแต่มีการ ลงลายมือชื่อไว้ หรือผู้ตรวจเขียนกํากับไว้ว่า ท่านกรุณาเติมเองซึ่งสามารถเติมได้เอง เรื่องนี้อาจพบอีกอย่าง
๘ ที่ต่างกันมาก ๆ คือ ผู้พิพากษาเจ้าของสํานวนขอเติมในร่างฯ ของท่าน ซึ่งก็ยังเติมได้ ไม่เป็นการแก้ไข คําพิพากษา เมื่อท่านเติมแล้ว ผู้ตรวจต้องมาเติมในฉบับตรวจ และเขียนว่า เติมตามร่างฯ หรือ พิมพ์ตก ซึ่งดูจะฝืนๆ อยู่บ้าง ก็มิใช่สาระสําคัญที่จะทําไม่ได้ เนื่องจากการตรวจพิสูจน์อักษรถือร่างคําพิพากษาของเจ้าของสํานวนเป็นหลัก ถ้าจะแก้ หรือตกเติมอาจแก้หรือตกเติมแล้วเขียนคําว่า ตามร่างฯ ไว้ก็ได้ เช่น เขียนว่าแก้ตามร่างฯ เติมตามร่างฯ ไม่ต้องเขียนแบบมุ่งที่การพิมพ์อย่างที่กล่าวข้างต้นว่าพิมพ์ผิด พิมพ์ตก อย่างไรก็ตามไม่ควรเขียนลอย ๆ ว่า ตามร่างฯ ตามตัวบทหรือตามพจนานุกรม โดยไม่ระบุเป็นการแก้หรือตกเติม ในทํานองเดียวกัน กรณีที่เจ้าหน้าที่พิมพ์เกินมาโดยพลการ ต้องตัดออกโดยเขียนว่า ตัดออกตามร่างฯ หรือพิมพ์เกิน เมื่อมีการตรวจปรู๊ฟเสร็จสิ้นแล้วขั้นตอนต่อไปจะมีการดําเนินการตรวจร่างคําพิพากษา กับสํานวนคดีโดยผู้ตรวจมีสํานวนคดีอยู่ในมือกรณีนี้ผู้ตรวจบางท่านเมื่อได้รับสํานวนแล้วจะอ่านร่างฯ ทั้งหมดก่อนแล้วจึงตรวจปรู๊ฟเป็นการพิจารณาในภาพรวมก่อนว่าเป็นอย่างไรเช่น พิจารณาว่าเป็นการ อุทธรณ์ในเรื่องใด เป็นการอุทธรณ์คัดค้านคําสั่งหรืออุทธรณ์คัดค้านคําพิพากษา หากเป็นการอุทธรณ์ คัดค้านคําพิพากษา รูปแบบของคําพิพากษา คือ โจทก์ฟ้องว่า ... จําเลยให้การว่า ... แต่หากเป็น การอุทธรณ์คัดค้านคําสั่งจะระบุว่าเป็นชั้นอะไร โดยเริ่มต้นด้วยคําว่า “คดีสืบเนื่องมาจาก ... ” หรืออาจใช้ คําว่า คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องว่าการอุทธรณ์คําสั่งแสดงว่าคําสั่งนั้นไม่ใช่คําสั่งของศาลอุทธรณ์ภาค ๑ แต่เป็นคําสั่งของศาลชั้นต้น เป็นการอุทธรณ์เพื่อให้ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ มีคําสั่ง มิใช่มีคําขอ ต่อศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ในส่วนนี้ซึ่งเป็นงานของส่วนคําสั่งคําร้องไม่ใช่งานของผู้ตรวจร่างฯ เพราะเป็นคําร้อง ที่ยื่นต่อศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ไม่ได้มีการคัดค้านในเรื่องใด การอุทธรณ์คัดค้านคําสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าว คู่ความจึงไม่ได้มีคําขอต่อศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ให้ดําเนินการสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่เป็นการอุทธรณ์คัดค้านคําสั่ง ของศาลชั้นต้น คําสั่งของศาลชั้นต้นที่มีคําสั่งเองกับคําสั่งของศาลชั้นต้นที่ศาลชั้นต้นทําในนาม ของศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของส่วนคําสั่งคําร้องไม่ใช่งานของผู้ตรวจร่างฯ เพราะทําเป็นรูปแบบคําร้อง เช่น อุทธรณ์คําสั่งไม่รับอุทธรณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความแพ่ง มาตรา ๒๓๔ หรือตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๙๘ ทวิ จึงต้องพิจารณาก่อนว่าร่างฯ ที่จะตรวจนั้นเป็นอุทธรณ์คัดค้านคําสั่งหรือคัดค้านคําพิพากษาหรือเป็นการ อุทธรณ์คัดค้านทั้งคําสั่งและคําพิพากษาพร้อมกันที่ทําในอุทธรณ์ฉบับเดียวกันได้ รูปแบบคําพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค ๑ จะต้องปรากฏทั้งหมายเลขคดีดําและ หมายเลขคดีแดง สําหรับในศาลฎีกามีเฉพาะคดีหมายเลขแดงและเรียกว่า คําพิพากษาศาลฎีกาที่เท่าไร โดยไม่ได้บอกว่าเป็นหมายเลขคดีแดง กรณีอุทธรณ์คัดค้านคําสั่งของศาลชั้นต้นในชั้นต่าง ๆ การตรวจ จะง่ายกว่าโดยพิจารณาเฉพาะในชั้นนั้นๆส่วนกรณีอุทธรณ์คัดค้านคําพิพากษาต้องพิจารณาก่อนว่า เป็นอุทธรณ์ของคู่ความฝ่ายใดและเป็นการอุทธรณ์ในคดีที่มีข้อพิพาทหรือคดีที่ไม่มีข้อพิพาท วินิจฉัย ออกผลในปัญหาข้อเท็จจริงหรือในปัญหาข้อกฎหมาย หรือวินิจฉัยทั้งในปัญหาข้อเท็จจริงและปัญหา ข้อกฎหมาย หากผู้พิพากษาเจ้าของสํานวนออกร่างฯ ตามข้อกฎหมายก็ไม่ต้องพิจารณาในปัญหา ข้อเท็จจริง หากเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่อาศัยข้อเท็จจริงที่รับฟังเป็นยุติแล้วก็ไม่ต้องพิจารณาคําเบิกความ พิจารณาแต่ว่าข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่าอย่างไร การอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายที่ไม่ต้องอาศัย
๙ ข้อเท็จจริงเลย เช่น ฟ้องเคลือบคลุมหรือไม่ ซึ่งพิจารณาจากคําฟ้องเท่านั้นก็ไม่ต้องพิจารณา ถึงข้อเท็จจริงเลย อุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายที่อาศัยข้อเท็จจริงที่รับฟังเป็นยุติ การจัดทําร่างฯ จะเริ่มต้นด้วยข้อเท็จจริงฟังได้ยุติตามคําพิพากษาศาลชั้นต้นว่า ซึ่งคําว่า “ยุติ” หมายความว่าเป็นกรณี ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยทั้งปัญหาข้อเท็จจริงและปัญหาข้อกฎหมาย เมื่อคู่ความมิได้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงยุติ เช่น คดีอาญาข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามคําพิพากษาศาลชั้นต้นว่า จึงให้ ตั้งข้อสังเกตในประเด็นนี้ไว้ด้วยว่ายุติเพราะเหตุผลใด ซึ่งเป็นคนละกรณีกับที่เขียนว่าข้อเท็จจริงรับฟังได้ ในเบื้องต้น เพราะว่าร่างฯ ที่วินิจฉัยในปัญหาข้อกฎหมาย ข้อเท็จจริงต้องฟังเป็นยุติว่าอย่างไร การวินิจฉัยข้อเท็จจริงในชั้นอุทธรณ์ที่คู่ความอุทธรณ์ขึ้นมาควรจะมีข้อเท็จจริงฟังได้ ในเบื้องต้นเพื่อจะได้มีความสะดวกในการวินิจฉัยข้อเท็จจริงอื่น ๆ มากขึ้น ก็จะมาพิจารณาในเรื่อง รูปแบบการเขียนต่อไป หากวินิจฉัยข้อเท็จจริงแบบมีทางนําสืบก็ต้องตรวจสํานวนไปตามทางนําสืบว่า ตรงกับร่างฯ หรือไม่ หากไม่มีทางนําสืบจะเริ่มกล่าวถึงคําเบิกความหรือเอกสารที่ผู้พิพากษาเจ้าของสํานวน ยกขึ้นมากล่าวในร่างฯ โดยคัดลอกมาจากในสํานวน ไม่ได้มีความเห็นของท่านผู้พิพากษาเจ้าของสํานวน เข้าไปแทรกเลย ผู้ตรวจก็ดูว่าตรงกันหรือไม่เท่านั้น การที่ผู้ตรวจพิจารณาเพียงว่าตรงกันหรือไม่ เป็นการตรวจที่มีมุมมองแคบเกินไป โดยไม่ได้ตรวจในสํานวนว่ามีการถามค้านหรือถามติงอย่างไร หากจะให้การตรวจมีคุณภาพมากขึ้นควรจะต้องอ่านคําเบิกความทั้งหมด ซึ่งเป็นเรื่องที่เสียเวลาแต่ดีกว่า ไม่พิจารณา ซึ่งบางครั้งพิจารณาแล้วจะไม่เห็นด้วยกับผู้พิพากษาเจ้าของสํานวน ดังนั้น ผู้ตรวจควรอ่าน สํานวนทั้งหมดอย่าพิจารณาแต่เพียงตามร่างฯ เท่านั้น เพราะว่าเป็นการตัดสินใจของผู้พิพากษาเจ้าของสํานวน ที่ตกผลึกแล้ว จึงไม่ได้ระบุเนื้อหาที่ครอบคลุมสํานวนคดีทั้งหมด การตรวจในส่วนนี้ต่างกับการตรวจปรู๊ฟ โดยอาจจะมีการแก้ ตก เติม หรือ ตัด เพราะไม่ตรงตามสํานวน ถ้าไม่ตรงตามคําเบิกความ ก็เขียนว่า ขออนุญาตแก้ ตก หรือ เติม หรือ ตัด ตามคําพยาน ถ้าไม่เติมตามเอกสารก็เขียนว่าตามเอกสารอะไร กรณีที่ผู้พิพากษาเจ้าของสํานวนอมความ ต้องดูให้ดีว่าความนั้นตรงกันหรือไม่ก็พอ มิใช่ว่าต้องตรงกันทุกคํา ประการต่อมาจะเป็นส่วนของร่างฯ ที่อยู่หลังคําว่า “เห็นว่า” หมายความว่า ผู้พิพากษาเจ้าของสํานวนเห็นว่า ในส่วนนี้จะเป็นความเห็นที่เกี่ยวกับการวิเคราะห์ว่าคําเบิกความ ในสํานวนคดีมีน้ําหนักเพียงใด คําเบิกความสอดคล้องต้องกันหรือไม่ ในคําพิพากษาควรจะระบุคําเบิกความ ลงไปในคําพิพากษาด้วย เพื่อแสดงให้เห็นว่าคําเบิกความสอดคล้องต้องกันอย่างไร หากคําเบิกความ แตกต่างกันก็ระบุรายละเอียดว่าแตกต่างกันอย่างไร ซึ่งคู่ความอาจฎีกาว่า คําเบิกความไม่สอดคล้องต้องกัน หรือไม่แตกต่างกันอย่างไรได้ถูกต้อง ส่วนนี้เป็นความเห็นของผู้พิพากษาเจ้าของสํานวน ผู้ตรวจสามารถ ทักท้วงได้ โดยเฉพาะเรื่องพยานหลักฐานมีน้ําหนักหรือไม่มีน้ําหนักอย่างไร ไม่ว่าในส่วนสภาพ ของพยานหลักฐานหรือในส่วนของเนื้อหาของพยานหลักฐาน สภาพของพยานหลักฐานแตกต่าง กับเนื้อหา สภาพของพยานหลักฐานไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา กรณีคดียาเสพติดผู้พิพากษาเจ้าของสํานวน บางท่านอาจตัดสินด้วยการตัดพยานบุคคลบางคนไปโดยยกเหตุผลทางสภาพของพยาน เช่น ขณะเกิดเหตุ พยานอยู่ในจุดที่มองไม่เห็นเหตุการณ์ เพราะมีวัตถุบังอยู่ สิ่งเหล่านี้จะถูกเขียนประกอบกับคําเบิกความ พยานบุคคลที่ยกขึ้น โดยคําเบิกความพยานบุคคลระบุเพียงว่าชื่อนาย ก. และเบิกความว่าอย่างไร แต่ส่วนตัวเห็นว่าจะย้อนไปยกสภาพของพยานบุคคลว่า นาย ก. ขณะเกิดเหตุยืนอยู่ตรงจุดที่มีรถบรรทุก
๑๐ หรือมีต้นไม้บัง ซึ่งเป็นเรื่องของสภาพแวดล้อม ซึ่งสามารถทิ้งพยานปากนี้ไปได้เพราะว่าไม่มีน้ําหนัก อีกกรณีหนึ่งศาลจะไม่ตัดเรื่องสภาพของพยานบุคคลเพราะเมื่อพิจารณาแล้วว่าโดยสภาพพยานบุคคล สามารถมองเห็นได้โดยไม่มีอะไรบัง ก็จะมาพิจารณาในเนื้อหาว่า นาย ก. เบิกความว่าอย่างไร คําเบิกความ ของนาย ก. ขัดต่อเหตุผลอย่างไร ข้อเท็จจริงที่ได้จากพยานเอกสาร หรือข้อเท็จจริงที่ได้จากวัตถุพยาน ก็ล้วนเป็นเนื้อหาทั้งสิ้น สภาพของพยานบุคคลมักจะเห็นชัด เพราะสภาพบุคคลฟ้องอยู่ในตัวว่าพยาน บุคคลคนใดมีความน่าเชื่อถือ หากพิจารณาว่าพยานบุคคลไม่น่าเชื่อหรือว่าไม่มีน้ําหนักเพราะไม่น่าจะ เห็นเหตุการณ์ ไม่น่าจะรู้เห็น ก็ไม่ต้องพิจารณาเนื้อหาว่าเป็นพยานบุคคลอีก ถ้าตัดพยานบุคคลไปหลายปาก จนสรุปได้ว่าพยานบุคคลทั้งหมดไม่มีใครมีสภาพที่จะเห็นข้อเท็จจริงนั้นได้ ก็พิพากษายกฟ้องได้เลย ต้องนําฟ้องอุทธรณ์มาพิจารณาว่าอุทธรณ์ในเรื่องสภาพพยานหรืออุทธรณ์ในเรื่องเนื้อหา หากอุทธรณ์ในเรื่องสภาพพยาน ศาลก็ต้องพิจารณาในเรื่องสภาพของพยานบุคคล ถ้าพยานเบิกความว่า ไม่เห็นเพราะมีรถยนต์บรรทุกบัง แต่ได้ความว่ารถบรรทุกที่พยานเบิกความว่าบังได้เคลื่อนที่ออกไปแล้ว ย่อมมองเห็นได้ เช่นนี้ ก็ตอบอุทธรณ์ของคู่ความได้ อุทธรณ์ดังกล่าวผู้พิพากษาเจ้าของสํานวนบางคดีเขียนคําพิพากษาศาลอุทธรณ์ เช่นเดียวกับศาลชั้นต้น หากเขียนเหมือนศาลชั้นต้นก็ไม่เหมาะสมเท่าที่ควรดังนั้น วิธีการเขียน คําพิพากษาควรจะเขียนแทรกไว้ด้วยว่าจําเลยหรือโจทก์อุทธรณ์ว่าอย่างไร และควรตอบอุทธรณ์ ของคู่ความด้วยไม่เช่นนั้นคําพิพากษาของศาลอุทธรณ์ก็ไม่แตกต่างกับคําพิพากษาศาลชั้นต้นที่เป็นเพียง การตัดสินคดีใหม่ ดังนั้น การที่จะจัดทําร่างคําพิพากษาของศาลอุทธรณ์ อาจใช้วิธีการเขียนตอบอุทธรณ์ เป็นข้อ ๆ อย่างหนึ่ง หรือตอบแบบผสมอย่างใดจะดีกว่ากันหากตอบอุทธรณ์ของคู่ความเป็นข้อ ๆ อุทธรณ์จะต้องดีและสั้นอาจจะมีประมาณ ๕ หน้า ถ้าอุทธรณ์มายาว ๆ หลาย ๆ หน้า ทั้งข้อความวก ไปมาย่อมเขียนตอบเป็นข้อ ๆ ไม่ได้อยู่ดีหรือ สําหรับกรณีที่ออกร่างฯ โดยวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายต้องมีการตรวจบทกฎหมายนั้น ถ้าเป็นข้อกฎหมายที่วินิจฉัยโดยอาศัยบทบัญญัติของกฎหมาย ต้องยกบทมาตราขึ้นมาประกอบ เช่น “มาตรา … บัญญัติว่า ... ” โดยต้องเขียนให้ถูกต้องครบถ้วนตามบทบัญญัติของกฎหมาย ส่วนความเห็นตามตัวบทกฎหมายอาจจะอ้างมาจากหนังสือต่าง ๆ ประกอบ ตัวบทกฎหมายบางมาตราอาศัยคําตามหลักกฎหมาย เช่น ทรัพยสิทธิ นิติกรรม บุคคลสิทธิ ซึ่งเป็นหลักวิชานิติศาสตร์ต้องตรวจสอบว่าถูกต้องหรือไม่ บางมาตราอาจมีการตีความ ตามลายลักษณ์อักษรซึ่งเป็นหลักภาษา เช่น คําว่า “อาจ” “และ” ก็ต้องตรวจหลักภาษาให้ถูกต้อง ตามหลักภาษาด้วย การตรวจร่างฯ จะต้องตรวจคําพิพากษาศาลฎีกา หากผู้พิพากษาเจ้าของสํานวนมีการ อ้างคําพิพากษาศาลฎีกา ท่านควรถ่ายคําพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวแนบมากับร่างฯ ด้วย หากไม่ได้อ้างมา ผู้ตรวจต้องสืบค้นคําพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวแนบประกอบการตรวจเพื่อความชัดเจนและมั่นใจว่า ตัดสินถูกต้อง ข้อควรระมัดระวังในการสืบค้นคําพิพากษาศาลฎีกา คือ คําพิพากษาศาลฎีกาที่เป็นการ พิพากษากลับแนวบรรทัดฐานของคําพิพากษาเดิม ดังนั้น หากมีเวลาน้อยควรสืบค้นคําพิพากษาศาลฎีกา จากคําพิพากษาศาลฎีกาปีล่าสุดย้อนขึ้นไปก็จะเห็นเช่นนั้น หรือที่ว่ามีคําพิพากษาออกเป็น ๒ แนวนั้น จริงหรือไม่แนวใดดีกว่ากัน
๑๑ ต่อไปเป็นการสืบค้นความเห็นทางตําราของนักกฎหมายที่อ้างอิงต้องค้นจากหนังสือ ที่มีความน่าเชื่อถือ เพื่อสนับสนุนร่างฯ ของผู้พิพากษาเจ้าของสํานวน และสิ่งที่สําคัญหากผู้พิพากษา เจ้าของสํานวนมีหนังสือของท่านเองเขียนออกเผยแพร่ต้องนํามาพิจารณาประกอบด้วยเสมอ หรือ หากปรากฏว่ามีหนังสือเล่มอื่นที่มีความเห็นแตกต่างจากหนังสือของท่านยิ่งเป็นการดี ส่วนผู้ตรวจ จะเห็นด้วยกับหนังสือเล่มใด ก็สุดแล้วแต่จะเห็นสมควร ในสมัยก่อนมีหนังสือที่ไม่เป็นที่ยอมรับก็จะไม่ นํามาอ้างอิงกรณีเป็นหนังสือที่ผู้เขียนเขียนขึ้นมาโดยที่ไม่อ้างหนังสือจากต่างประเทศ เช่น หนังสือ ของศาสตราจารย์ จิตติ ติงศภัทิย์ เรื่องกฎหมายอาญาซึ่งอ้างระบบกฎหมายของประเทศต่าง ๆ ก็ยิ่งดี หนังสือที่อ้างต่างประเทศ คนที่เขียนหนังสือมักจบการศึกษาจากต่างประเทศ ก็ควรทราบด้วยว่า ผู้เขียนจบการศึกษาจากประเทศใดเพราะระบบกฎหมายแต่ละประเทศแตกต่างกัน ระบบกฎหมาย ของประเทศเยอรมันจะใกล้เคียงกับระบบกฎหมายของประเทศไทย ความเห็นทางตําราของนักกฎหมายแตกต่างจากคําพิพากษา ตําราเขียนขึ้นมาเพื่อสอน ให้บุคคลทั่วไปอ่านเอาความรู้ ไม่ได้เขียนขึ้นมาเพื่อใช้ในการตัดสินคดี ดังนั้น หากผู้เขียนยกตัวอย่างว่า หากเป็นเช่นนั้นเช่นนี้มีผลอย่างไร ทั้งหมดล้วนมาจากการสมมติ ซึ่งการสมมติไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นจริง แต่คําพิพากษาศาลฎีกาเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงและได้มีการตัดสินลงโทษไปแล้วจริง ในการประชุมใหญ่ ศาลฎีกาครั้งหนึ่งมีการอภิปรายว่า ควรยึดถือตามแนวคําพิพากษาศาลฎีกามากกว่ายึดถือตามหนังสือ เพราะหนังสือเป็นสิ่งที่ผู้เขียนยกตัวอย่างขึ้นมาเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีกรณีที่ผู้พิพากษาเจ้าของสํานวนกล่าวถึงเรื่องความยุติธรรม ต้องพิจารณา ให้รอบคอบเพราะคําว่า “ยุติธรรม” มีอยู่หลายหลัก เช่น บุคคลควรได้อะไรก็ควรได้สิ่งนั้น คนอ่อนแอ ไม่ควรถูกข่มเหงหรือต้องได้รับส่วนแบ่งเท่า ๆ กัน ผู้ตรวจต้องพิจารณาว่าร่างฯ ใช้หลักใด เหมาะสมหรือไม่ ใช้ได้กับข้อเท็จจริงในคดีหรือไม่ ต่อไปเป็นการทําบันทึกในการตรวจร่างฯ การทําบันทึกแบ่งออกเป็น ๓ ประเภท ๑. การบันทึกทักท้วง ๒. การบันทึกเป็นข้อสังเกต ๓. การบันทึกเป็นหมายเหตุ การบันทึกเป็นข้อทักท้วงเป็นการแสดงว่าไม่เห็นด้วยกับร่างฯ มีทั้งกรณีทักท้วง ข้อเท็จจริงและทักท้วงข้อกฎหมายตั้งเป็นประเด็นไว้ว่ามีปัญหาว่าอย่างไร ไม่เห็นด้วยเพราะเหตุใด ปรึกษาเจ้าของสํานวนแล้วยืนยันตามร่างฯ หรือกรุณาให้เหตุผลว่าอย่างไร ส่วนการบันทึกเป็นข้อสังเกต หรือเป็นหมายเหตุ ไม่ถึงกับทักท้วง เพียงแต่มีแง่คิดที่จะพิจารณาต่อไปตามลําดับว่าอย่างไร อีกกรณีหนึ่ง คือไม่บันทึกเพียงขีดเส้นใต้ที่คําบางคําไว้ให้เห็นเท่านั้น เมื่อผู้ตรวจเสนอร่างฯ ไปโดยมีบันทึกหรือไม่ก็ตาม ประธานศาลอุทธรณ์ภาค ๑ อาจทําบันทึก ย้อนลงไปให้ทบทวนเรื่องอะไร ผู้ตรวจก็ต้องดําเนินการให้ตามนั้น การสั่งให้ทบทวนประธานศาลอุทธรณ์ภาค ๑ อาจบอกผลหรือไม่บอกผลผู้พิพากษา เจ้าของสํานวนอาจมีความเห็น ๒ ประการ คือ ยืนยันหรือไม่ยืนยันตามร่างฯ ผู้ตรวจก็จะเสนอขึ้นไปใหม่ เป็นครั้งที่ ๒ ตามลําดับ
๑๒ กรณีที่มีบันทึกเสนอมาถึงประธานศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ก่อนสั่งออก เมื่อพิจารณาประเด็น ที่บันทึกขึ้นมาแล้วเห็นว่าออกได้ผู้สั่งออกควรให้เหตุผลประกอบด้วยว่าสั่งออกด้วยเหตุผลใด ต่อไปเป็นกรณีที่ต้องมีการโอนสํานวน สมัยที่กระผมเป็นประธานศาลฎีกา ผมจะบันทึกว่า เรียนท่านธานิศ เกศวพิทักษ์ ขอความเห็นตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา ๓๓ ด้วย ท่านก็จะไม่รู้ว่า ผมมีความคิดอย่างไร ท่านก็จะไม่ต้องพะวง ส่วนท่านธานิศฯ เสนอมาอย่างไร แม้กระทั่งเสนอให้โอนสํานวน ผมอาจไม่เห็นด้วยก็ได้ โดยให้เหตุผลไว้ และบันทึกต่อไปว่า จึงเห็นควรให้ผ่านออกได้ แต่หากจะไม่ให้มีการโอนสํานวนวิธีปฏิบัติ อีกประการหนึ่ง คือ นําสํานวนเข้าวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ก็สั่งว่าให้นําปัญหานี้เข้าวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ สุดท้ายเป็นเรื่องการคัดท้าย คือ ตรวจสอบทุกอย่างอีกครั้ง เช่น ตรวจว่าองค์คณะลงนาม ครบถ้วนถูกต้องหรือไม่ กรณีผู้พิพากษาหัวหน้าคณะเป็นเจ้าของสํานวน การลงนาม ชื่อลําดับแรก คือ ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะ หากท่านไม่ได้เป็นผู้พิพากษาเจ้าของสํานวนจะลงนามในลําดับที่ ๒ คนที่คัดท้าย ควรพิจารณาแนวคําพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ที่ได้เคยสั่งออกไปประกอบด้วย เมื่อผู้สั่งออกได้สั่งออกร่างฯ แล้ว ห้ามมีการแก้ไขโดยพลการเด็ดขาด เพราะทุกอย่างได้ ผ่านการพิจารณามาทุกขั้นตอนแล้ว หมดเวลาเสียก่อนที่จะได้พูดถึงการตรวจคําสั่งคําร้อง หากมีโอกาสจะพูดให้ความรู้อีก เพราะเป็นเรื่องยาก แม้จะมีคําสั่งไม่กี่หน้าก็ตาม ******************************
จัดทําโดย สวนนิติการ ศาลอุทธรณภาค ๑ ที่ปรึกษา นางอุษา จิวะชาติ ผูพิพากษาหัวหนาศาลประจําสํานักประธานศาลฎีกา ชวยทํางานชั่วคราวในตําแหนงผูชวยผูพิพากษา ศาลอุทธรณภาค ๑ ปฏิบัติหนาที่เลขานุการศาล อุทธรณภาค ๑ คณะผูจัดทํา ๑. นางดวงใจ ดวงศรีทอง นิติกรชํานาญการพิเศษ ๒. นายพงศธร ไกรสิงหสม นิติกรปฏิบัติการ ๓. นางสาวบุญหญิง ไพทยาภรณ นิติกร ๔. นางสาวอาภาพร เจริญมั่น นิติกร ๕. วาที่รอยตรีกฤษณะ สุขีวิก นิติกร ๖. นายศิณพงศ จินตธนวัฒน นิติกร ๗. นางสาวปณณพร สมทบสุข นิติกร
ส่วนนิติการ ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ Legal Affairs Section Court of Appeal, Region 1