47 ปัญหาน่าสนใจในคดีผู้บริโภค : รังสรรค์ วิจิตรไกรสร การใช้สิทธิทางกฎหมายว่าต้องการในเรื่องใดในขอบเขตเพียงใด และศาลซึ่งเป็ นคนกลางไม่ควรให้ ในสิ่งที่โจทก์ไม่ต้องการและฝื นความประสงค์ของโจทก์ ตามหลักนี ้ฝ่ ายจ าเลยเองก็ทราบขอบเขต ว่าหากแพ้คดีจะต้องรับผิดเพียงใด เพื่อความชัดเจนในการก าหนดทิศทางการต่อสู้คดี ตัวอย่างคดีที่ศาลไม่อาจให้ในสิ่งที่โจทก์ไม่ได้ขอบังคับไว้ในค าฟ้ อง เช่น ฎีกาที่ 2364/2526 ฟ้ องขอไถ่ที่ดิน เมื่อโจทก์ไม่ได้มีค าขอเรียกค่าเสียหายหากโอน ที่ดินคืนไม่ได้ ศาลจะให้ใช้ค่าเสียหายแทนไม่ได้ ฎีกาที่ 1552/2523 ฟ้ องว่าจ าเลยท าให้ท่อประปาเสียหาย เรียกให้ใช้ค่าซ่อมท่อ เมื่อ ไม่ได้เรียกค่าเสียหายเป็ นค่าน ้าประปาที่สูญเสียมาด้วย ศาลจะพิพากษาให้ใช้ค่าน ้าประปาไม่ได้ คดีตามตัวอย่างเห็นได้ว่า ในบางครั ้ง การจ ากัดอ านาจศาลห้ามพิพากษาเกินค าขอ กลายเป็ นอุปสรรคขัดขวางการที่ศาลจะให้ความยุติธรรมแก่โจทก์ แม้ศาลเห็นว่าโจทก์ควรได้รับสิ่ง นั ้นก็ตาม การที่โจทก์ไม่ได้ขอในสิ่งที่ควรขอตามสิทธิที่มี ซึ่งมักเกิดในรายที่โจทก์ขาดความรู้ และประสบการณ์ในทางคดี ย่อมก่อให้เกิดความไม่ยุติธรรมขึ ้นได้ เพราะโจทก์ไม่ได้รับการเยียวยา ความเสียหายตามที่ควรจะได้ โดยเฉพาะในวงจรของการบริโภคสินค้าหรือบริการที่ฝ่ ายผู้ผลิตหรือ ผู้ประกอบธุรกิจมีอ านาจต่อรองเหนือกว่าฝ่ ายผู้บริโภค ความรู้ความเข้าใจที่ด้อยกว่าของผู้บริโภค ท าให้ไม่ทราบว่าตนมีสิทธิเพียงใด หากกฎหมายไม่ผ่อนปรนเรื่องห้ามพิพากษาเกินค าขอ เห็นได้ว่า ฝ่ ายผู้บริโภคอาจไม่ได้รับความเป็ นธรรมตามสมควร จึงเกิดการยกเว้นหลักห้ามพิพากษาเกินค าขอ ขึ ้นในการด าเนินคดีผู้บริโภค การยกเว้นหลักห้ามพิพากษาเกินค าขอในคดีผู้บริโภค มีที่มาตามหมายเหตุท้าย พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551 ว่า เป็ นไปเพื่อคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภค ขณะเดียวกัน เป็ นการส่งเสริมให้ผู้ประกอบธุรกิจหันมาให้ความส าคัญต่อการพัฒนาคุณภาพของสินค้าและ บริการให้ดียิ่งขึ ้น พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551 สร้ างหลักเกณฑ์ให้ศาลพิพากษาได้ เกินกว่าที่ฝ่ ายผู้บริโภคเป็ นโจทก์ฟ้ องคดีได้เรียกร้องไว้ในมาตรา 39เป็ นส าคัญ มาตรา 39 การพิพากษาเกินค าขอ (Ultra Petita)
48 ปัญหาน่าสนใจในคดีผู้บริโภค : รังสรรค์ วิจิตรไกรสร มาตรา 39 ในคดีทีผู่บ้ริโภคหรือผูม้ีอ านาจฟ้องคดีแทนผูบ้ริโภคเป็นโจทก์ถ้าความ ปรากฏแก่ศาลว่าจ านวนค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องไม่ถูกต้องหรือวิธีการบังคบัตามค าขอของ โจทก์ไม่เพียงพอต่อการแกไ้ขเยียวยาความเสียหายตามฟ้อง ศาลมีอ านาจยกขึ้นวินิจฉยัใหถู้กต้อง หรือก าหนดวิธีการบังคับให้เหมาะสมได้แม้จะเกินกว่าที่ปรากฏในค าขอบังคับของโจทก์ก็ตาม แต่ ขอ้ทีศ่าลยกขึ้นวินิจฉยันนั้จะตอ้งเกี่ยวขอ้งกบัขอ้เท็จจริงทีคู่่ความยกขึ้นมาว่ากล่าวกนัแลว้โดยชอบ หลักเกณฑ์ตามมาตรา 39 เป็ นกรณีฝ่ ายผู้ บริโภคเป็ นโจทก์เท่านั ้น ศาลจึงจะ พิพากษาให้เกินค าขอของโจทก์ได้ ซึ่งรวมถึงกรณีที่ฝ่ ายผู้บริโภคฟ้ องแย้งด้วย เพราะถือเป็ นโจทก์ ฟ้ องแย้ง และการพิพากษาเกินค าขอเป็ นดุลพินิจศาลโดยโจทก์ไม่ต้องร้องขอ กรณีวิธีการบังคับตามค าขอของโจทก์ไม่เพียงพอต่อการแก้ไขเยียวยาความเสียหาย ตามฟ้ องนั ้น หากเป็ นค าขอในหนี้ต่างประเภทกันเช่น ขอให้บังคับช าระหนี ้กระท าการด้วยการ ให้เปลี่ยนรถคันใหม่แทนคันที่ช ารุดบกพร่อง แต่ไม่ได้ขอค่าเสียหายเป็ นเงิน ถ้าศาลเห็นว่าไม่ถึง ขนาดต้องเปลี่ยน แต่รถมีความช ารุดบกพร่อง ศาลมีอ านาจพิพากษาให้เงินแทนได้หรือไม่ ฎ.4567/2561 ผู้บริโภคฟ้ องเกี่ยวกับความช ารุดบกพร่องของรถ ศาลฎีกาฟังว่า จ าเลยที่ 1 ผู้ ขายส่งมอบรถแก่โจทก์ผู้ ซื ้อพร้ อมกับส่งมอบสมุดคู่มือการรับบริการ ระบุการ รับประกันรถตามเงื่อนไขและระยะเวลา มีชื่อโจทก์เป็ นลูกค้า ย่อมหมายถึงเป็ นผู้มีสิทธิรับบริการ เกี่ยวกับรถซึ่งเป็ นไปตามข้อตกลงที่จ าเลยที่ 1 แจ้งแก่โจทก์ขณะตกลงซื ้อขายอันเป็ นการจูงใจให้ โจทก์เข้าเป็ นลูกค้าข้อตกลงเช่นนี้ย่อมถือเป็ นสัญญาการให้บริการที่ผู้ขายตกลงจะให้บริการ ตอบแทนแก่ผู้ซื ้อ มีผลเป็ นสัญญาบริการตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค ฯ มาตรา 11 และพิพากษาวางหลักว่า ที่จ าเลยที่ 1 แก้ฎีกาว่า กรณีเป็ นการรับประกันว่าจะ ซ่อมหรือเปลี่ยนชิ ้นส่วนที่เสียหายจากความบกพร่องของวัสดุหรือวิธีการผลิตภายใต้การใช้งาน ปกติ แต่ค าขอท้ายฟ้ องกลับขอบังคับให้ใช้เงินซึ่งนอกเหนือจากที่ฝ่ายจ าเลยรับประกันไว้ จึงไม่อาจ บังคับให้ได้นั ้น ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อฟังได้ว่าฝ่ ายจ าเลยไม่อาจแก้ไขเหตุช ารุดบกพร่อง ศาล ย่อมมีอ านาจบังคับให้ใช้ค่าเสียหายเป็ นเงินได้ตามมาตรา 39 และ 41 ตามคดีดังกล่าว ในทางกลับกัน แม้ขอให้ช าระหนี ้เป็ นเงิน ศาลก็พิพากษาให้ช าระ หนี ้โดยการเปลี่ยนรถได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม คดีตามตัวอย่างล้วนต้องอยู่ใต้หลักเกณฑ์ว่า เป็ น กรณีเข้าเกณฑ์ที่กฎหมายบังคับไว้ในข้ออื่นครบถ้วน ศาลจึงจะพิพากษาเกินค าขอได้เช่น
49 ปัญหาน่าสนใจในคดีผู้บริโภค : รังสรรค์ วิจิตรไกรสร ฎีกาที่.2123/2562 ศาลชั้นต้นยกฟ้ อง ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ก าหนดค่า สินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ทงั้สี่กรณีผู้ตายต้องเจ็บป่วยด้วยอาการทกุขเวทนาจากการผ่าตดัครั้ง แรก ต้องนอนพักฟื้นที่โรงพยาบาลจ าเลยที่ 3 เพื่อรักษาบาดแผลผ่าตัดตั้งแต่วันที่ 17 ถึงวันที่ 20 พฤษภาคม 2554 และต้องรักษาตัวต่อที่บ้านเป็นเงิน 200,000 บาท กับให้ค่าเสียหายเชิงลงโทษอีก 300,000 บาท รวมให้ช าระ 500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย) ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า...การก าหนดค่าสินไหมทดแทนเพื่อความที่เสียหายอย่างอื่น อันมิใช่ตัวเงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 446 เป็ นสิทธิเรียกร้องที่ไม่อาจโอน กันได้ และไม่ตกสืบไปถึงทายาท เว้นแต่สิทธินั ้นจะได้รับสภาพกันไว้โดยสัญญาหรือได้เริ่มฟ้ องคดี ตามสิทธินั ้นแล้ว คดีนี ้ ผู้ตายไม่ได้ฟ้องคดีเรียกค่าสินไหมทดแทนกรณีดังกล่าวไว้ ทั ้งไม่ปรากฏว่า เป็ นกรณีที่ได้รับสภาพกันไว้โดยสัญญาระหว่างฝ่ ายโจทก์กับฝ่ ายจ าเลยโจทก์ทั ้งสี่ (ทายาทผูต้าย) จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องในมูลหนี ้ส่วนนี ้ดังที่กฎหมายบัญญัติบังคับไว้ เมื่อโจทก์ทั ้งสี่ไม่มีอ านาจแห่ง มูลหนีที่จะ ้ บังคับให้จ าเลยที่ 1 และที่ 3 ใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความที่เสียหายอย่างอื่นอัน มิใช่ตัวเงินดังที่ได้ความ ศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภคจึงไม่อาจอาศัยอ านาจตาม พ.ร.บ. วิธี พิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551 มาตรา 39 ก าหนดค่าสินไหมทดแทนส่วนนี ้ให้ได้ และย่อมส่งผล ให้ไม่อาจสั่งให้จ่ายค่าเสียหายเพื่อการลงโทษเพิ่มขึ ้นจากจ านวนค่าเสียหายที่แท้ จริงที่ศาล ก าหนดให้ได้ตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค ฯ มาตรา 42ไปด้วย พิพากษากลับให้บังคับคดีไปตามค าพิพากษาศาลชั ้นต้น ฯ นอกจากบทมาตรา 39 แล้ว ศาลในคดีผู้บริโภคยังพิพากษาเกินค าขอได้อีก ตามเกณฑ์ใน มาตรา 40 ถึงมาตรา 44 ได้แก่ มาตรา 40 การสงวนสิทธิแก้ไขค าพิพากษา มาตรา 41 การเปลี่ยนสินค้าข ารุดบกพร่อง (Lemon Law) มาตรา 42 ค่าเสียหายเชิงลงโทษ (Punitive Damages) มาตรา 43 การเรียกคืนสินค้า (Recall) และมาตรา 44 การแหวกม่านนิติ บุคคล (Piercing the Corporate Veils) การสงวนสิทธิแก้ไขค าพิพากษา หลักสงวนสิทธิแก้ไขค าพิพากษานั ้น มีบัญญัติมานานตามประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์ มาตรา 444
50 ปัญหาน่าสนใจในคดีผู้บริโภค : รังสรรค์ วิจิตรไกรสร “ ในกรณีท าให้เสียหายแก่ร่างกายหรืออนามัยนั ้น ผู้ต้องเสียหายชอบที่จะได้ชดใช้ ค่าใช้จ่ายอันตนต้องเสียไป และค่าเสียหายเพื่อการที่เสียความสามารถประกอบการงานสิ ้นเชิงหรือ แต่บางส่วน ทั ้งในเวลาปัจจุบันนั ้นและในเวลาอนาคตด้วย ถ้าในเวลาที่พิพากษาคดี เป็ นพ้นวิสัยจะหยั่งรู้ได้แน่ว่าความเสียหายนั ้นได้มีแท้จริง เพียงใด ศาลจะกล่าวในค าพิพากษาว่ายังสงวนไว้ซึ่งสิทธิที่จะแก้ไขค าพิพากษานั ้นอีกภายใน ระยะเวลาไม่เกินสองปี ก็ได้” ส่วน พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551 บัญญัติเรื่องการสงวนสิทธิแก้ไขค า พิพากษาในมาตรา 40 “ ในกรณีที่ความเสียหายเกิดขึ ้นแก่ร่างกาย สุขภาพ หรืออนามัยและในเวลาที่ พิพากษาคดีเป็ นการพ้นวิสัยจะหยั่งรู้ได้แน่ว่าความเสียหายนั ้นมีแท้จริงเพียงใด ศาลอาจกล่าวใน ค าพิพากษาหรือค าสั่งว่ายังสงวนไว้ซึ่งสิทธิที่จะแก้ไขค าพิพากษาหรือค าสั่งนั ้นอีกภายในระยะเวลา ที่ศาลก าหนด ทั ้งนี ้ ต้องไม่เกินสิบปี นับแต่วันที่ศาลมีค าพิพากษาหรือค าสั่ง แต่ก่อนการแก้ไขต้อง ให้โอกาสคู่ความอีกฝ่ ายที่จะคัดค้าน ” ข้อแตกต่างหลักเกณฑ์สงวนสิทธิตามกฎหมายทั ้ง 2 ฉบับ อยู่ที่ระยะเวลาที่ศาล สงวนสิทธิแก้ไขค าพิพากษา ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ก าหนดไว้ไม่เกิน 2 ปี แต่ ตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551 ก าหนดไว้ไม่เกิน 10 ปี นับแต่ใช้กฎหมาย พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551 มา คดีที่ศาลในคดี ผู้บริโภคใช้อ านาจสั่งสงวนสิทธิแก้ไขค าพิพากษาเท่าที่ตรวจพบ คงมีคดีตามค าพิพากษาศาล อุทธรณ์ คดีหมายเลขแดงที่ 15759/2558 ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนสั่งให้โรงพยาบาลและ แพทย์ ชดใช้เงิน 10,000,000 บาท ฐานประมาทท าคลอดบุตรหญิงผิดพลาด เครื่องห้าม เลือดไฟฟ้าเกิดช ็ อต ไฟลุกไหม้เป็ นแผลท่ีข้างล าตัว ผิวหนังและเซลล์ประสาทถูกไฟไหม้ และข้อเท็จจริงในคดีได้ความยุติว่า จนถึงวันฟ้ อง บาดแผลก็ยังรักษาไม่หาย ทั ้งไม่อาจรักษาหาย ได้หลังวันฟ้ องไปอีกเป็ นเวลานาน ศาลอุทธรณ์จึงใช้อ านาจสงวนสิทธิแก้ไขค าพิพากษาโดยโจทก์ ซึ่งอุทธรณ์ไม่ได้ร้องขอโดยพิพากษาให้จ าเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชดใช้เงินจ านวน 10,273,000 บาท พร้อมดอกเบี ้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ...แต่ให้สงวนไว้ซึ่งสิทธิที่จะแก้จ านวนค่าเสียหาย ในอนาคต ภายในระยะเวลา 5 ปี เมื่อโจทก์ยังต้องรับการรักษาบาดแผลต่อเนื่อง
51 ปัญหาน่าสนใจในคดีผู้บริโภค : รังสรรค์ วิจิตรไกรสร การเปลี่ยนสินค้าช ารุดบกพร่อง (Lemon Law) ความรับผิดเพื่อสินค้าช ารุดบกพร่องนั ้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บัญญัติไว้ใน บรรพ 3 ลักษณะ 1 ซื ้อขายหมวด 2หน้าที่และความรับผิดของผู้ขายส่วนที่ 2 ความรับ ผิดเพื่อช ารุดบกพร่อง มาตรา 472 ถึง มาตรา 474 ซึ่งให้กับกรณีการเช่าด้วย โดยมาตรา 549 บัญญัติให้น าบทความรับผิดของผู้ขายกรณีช ารุดบกพร่องไปใช้แก่กรณีของผู้ให้เช่าด้วยโดยอนุโลม แต่บทบัญญัติดังกล่าวเพียงกล่าวถึงการช ารุดบกพร่องเพียงกว้าง ๆ ไม่มีความชัดเจน จึงส่งผลให้ ผู้บริโภคไม่ได้รับความคุ้มครองเพียงพอ จึงมีการบัญญัติความรับผิดเพื่อสินค้าที่ช ารุดบกพร่องให้ ชัดเจนขึ ้นใน พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551 ตาม มาตรา 41 ในคดีที่ผู้บริโภคหรือผู้มีอ านาจฟ้ องคดีแทนผู้บริโภคเป็ นโจทก์ฟ้ องขอให้ผู้ประกอบ ธุรกิจรับผิดในความช ารุดบกพร่องของสินค้า หากศาลเชื่อว่าความช ารุดบกพร่องดังกล่าวมีอยู่ ในขณะส่งมอบสินค้านั ้นและไม่อาจแก้ไขให้กลับคืนสภาพที่ใช้งานได้ตามปกติหรือถึงแม้จะ แก้ไขแล้วแต่หากน าไปใช้บริโภคแล้วอาจเกิดอันตรายแก่ร่างกาย สุขภาพ หรืออนามัยของ ผู้บริโภคที่ใช้สินค้านั ้น ให้ศาลมีอ านาจพิพากษาให้ผู้ประกอบธุรกิจเปลี่ยนสินค้าใหม่ให้แก่ ผู้บริโภคแทนการแก้ไขซ่อมแซมสินค้าที่ช ารุดบกพร่องนั ้นก็ได้ทั ้งนี ้ โดยค านึงถึงลักษณะของ สินค้าที่อาจเปลี่ยนทดแทนกันได้ พฤติการณ์ของผู้ประกอบธุรกิจ ตลอดจนความสุจริตของ ผู้บริโภคประกอบด้วย และหากข้อเท็จจริงปรากฏว่า ผู้บริโภคได้รับประโยชน์จากการใช้สินค้าหรือ ได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่สินค้านั ้น ให้ศาลมีค าสั่งให้ผู้บริโภคชดใช้ค่าใช้ทรัพย์หรือค่าเสียหาย แล้วแต่กรณี ให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจนั ้นได้ตามที่เห็นสมควร การฟ้ องคดีตามวรรคหนึ่ง ถ้าผู้ถูกฟ้ องมิใช่ผู้ผลิตหรือผู้น าเข้าสินค้านั ้น ให้ศาลมี ค าสั่งเรียกผู้ผลิตหรือผู้น าเข้าดังกล่าวเข้ามาในคดีตามมาตรา 57 (3) แห่งประมวลกฎหมายวิธี พิจารณาความแพ่งและมีอ านาจพิพากษาให้บุคคลดังกล่าวร่วมรับผิดในหนี ้ที่ผู้ประกอบธุรกิจตาม วรรคหนึ่งมีต่อผู้บริโภคได้ด้วย อ านาจศาลในการเปลี่ยนสินค้ าใหม่ให้ แก่ผู้ บริโภคตามมาตรา 41 วรรคหนึ่ง กระท าได้โดยผู้บริโภคซ่ึงเป็ นโจทก์ไม่จ าต้องร้องขอ อย่างไรก็ตาม ศาลค านึงถึงความ ต้องการผู้บริโภคประกอบด้วย แม้กรณีเข้าเกณฑ์ใช้อ านาจเปลี่ยนสินค้าให้ได้ แต่หากผู้บริโภค
52 ปัญหาน่าสนใจในคดีผู้บริโภค : รังสรรค์ วิจิตรไกรสร ไม่ประสงค์จะใช้สินค้ายี่ห้อนั ้นต่อไปเพราะขาดศรัทธาเชื่อมั่นในคุณภาพสินค้าแล้ว ศาลก็ไม่ พิพากษาเปลี่ยนสินค้าให้เพราะเป็ นการฝื นเจตนาของผู้บริโภค กรณีเช่นนี ้ ศาลอาจใช้อ านาจ ประกอบมาตรา 39 ให้ใช้เงินเป็ นการทดแทนได้ ฎีกาที่ 4567/2561 ศาลในคดีผู้บริโภคย่อมมีอ านาจบังคับให้จ าเลยทั ้งสองใช้ ค่าเสียหายเป็ นเงินแก่โจทก์ได้ตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551 มาตรา 39 และ 41 ในกรณีที่จ าเลยทั ้งสองไม่อาจแก้ไขเหตุช ารุดบกพร่องที่เกิดขึ ้นแก่โจทก์ผู้บริโภคได้ ค่าเสียหายเชิงลงโทษ (Punitive Damages) พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551 ก าหนดให้ศาลอาจบังคับให้ผู้ประกอบ ธุรกิจใช้ค่าเสียหายเชิงลงโทษแก่โจทก์ซึ่งเป็ นผู้บริโภคได้ หากเข้าเกณฑ์ที่กฎหมายบัญญัติตาม มาตรา 42 “ ถ้าการกระท าที่ถูกฟ้ องร้ องเกิดจากการที่ผู้ประกอบธุรกิจกระท าโดยเจตนาเอา เปรียบผู้บริโภคโดยไม่เป็ นธรรมหรือจงใจให้ผู้บริโภคได้รับความเสียหายหรือ ประมาทเลินเล่ออย่าง ร้ ายแรงไม่น าพาต่อความเสียหายที่จะเกิดแก่ผู้บริโภคหรือกระท าการอันเป็ นการฝ่ าฝื นต่อความ รับผิดชอบในฐานะผู้มีอาชีพหรือธุรกิจอันย่อมเป็ นที่ไว้วางใจของประชาชน เมื่อศาลมีค าพิพากษา ให้ ผู้ ประกอบธุรกิจชดใช้ ค่าเสียหายแก่ผู้ บริโภค ให้ ศาลมีอ านาจสั่งให้ ผู้ ประกอบธุรกิจจ่าย ค่าเสียหายเพื่อการลงโทษเพิ่มขึ ้นจากจ านวนค่าเสียหายที่แท้จริงที่ศาลก าหนดได้ตามที่เห็นสมควร ทั ้งนี ้โดยค านึงถึงพฤติการณ์ต่างๆ เช่น ความเสียหายที่ผู้บริโภคได้รับ ผลประโยชน์ที่ผู้ประกอบ ธุรกิจได้รับ สถานะทางการเงินของผู้ประกอบธุรกิจ การที่ผู้ประกอบธุรกิจได้บรรเทาความเสียหาย ที่เกิดขึ ้น ตลอดจนการที่ผู้บริโภคมีส่วนในการก่อให้เกิดความเสียหายด้วย การก าหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษตามวรรคหนึ่ง ให้ศาลมีอ านาจก าหนดได้ไม่ เกินสองเท่าของค่าเสียหายที่แท้จริงที่ศาลก าหนด แต่ถ้าค่าเสียหายที่แท้จริงที่ศาลก าหนดมีจ านวน เงินไม่เกินห้าหมื่นบาท ให้ศาลมีอ านาจก าหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษได้ไม่เกินห้าเท่าของ ค่าเสียหายที่แท้จริงที่ศาลก าหนด ”
53 ปัญหาน่าสนใจในคดีผู้บริโภค : รังสรรค์ วิจิตรไกรสร ตัวอย่างคดีที่ศาลอุทธรณ์ก าหนดค่าเสียหายเชิงลงโทษ เช่น 4715/2554 ผู้เช่าซื ้อช าระค่าเช่าซื ้อครบจ านวนแล้ว ผู้ให้เช่าซื ้อไม่จดทะเบียนโอน ให้ ทั ้งไม่มอบสมุดคู่มือการจดทะเบียน เป็ นเหตุให้ผู้เช่าซื ้อขาดต่อภาษีรถยนต์ประจ าปี ผู้ให้เช่าซื ้อ อ้างว่า มอบให้ผู้ขายด าเนินการจดทะเบียน แต่เมื่อได้รับสมุดคู่มือจดทะเบียนจากผู้ขายแล้ว ผู้ให้ เช่าซื ้อจัดส่งให้แก่ผู้เช่าซื ้อล่าช้าโดยไม่ปรากฏมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ เป็ นเหตุให้ การจด ทะเบียนต้ องเนิ่นนานออกไปโดยไม่จ าเป็ นแสดงถึงการละเลยเมินเฉยไม่เอาใจใส่ตาม ส ม ค ว ร ต่อ สิท ธิอัน พึง มีข อ ง ผู้ เ ช่า ซื ้อ ผู้ เ ป็ น ลูก ค้ า ข อ ง ต น ซึ่ง เ ป็ น ผู้ บ ริโ ภ ค ศ า ล ใ ห้ ค่าเสียหายเชิงลงโทษ 245/2557 รับประกันความเสี่ยงภัยการช าระหนี ้เงินกู้ของผู้ค ้าประกันกรณีลูกหนี ้พ้น สภาพสมาชิกสหกรณ์พนักงานซึ่งมีกรณีรับผิดเฉพาะลูกหนี ้ถูกไล่ออกจากงาน กรณีที่เกิดแก่ราย อื่นก็เคยจ่ายสินไหมทดแทน แต่รายพิพาทไม่จ่าย เข้าเกณฑ์ต้องจ่ายค่าเสียหายเชิงลงโทษ 585/2557 ให้ค่าเสียหายเชิงลงโทษกรณีผู้ให้ บริการโทรศัพท์มือถือก าหนดให้ ผู้บริโภคเติมเงินรายเดือนเกินกว่าต้องใช้จริง โดยไม่มีระเบียบให้ท าได้ ตัวอย่างคดีที่ศาลอุทธรณ์ไม่ก าหนดค่าเสียหายเชิงลงโทษ เช่น 762/2557 ประกันอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ ผู้เอาประกันภัยเกิดอุบัติเหตุต้องตัดขา บริษัทประกันฯสอบถามแพทย์แล้ว เคยผ่าตัดขาขวา มีแผลติดเชื ้อเป็ นๆหายๆ จึงมีเหตุผลที่ไม่จ่าย สินไหมทดแทนอ้างว่า ตัดขาไม่ได้เหตุโดยตรงจากอุบัติเหตุ ไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายเชิงลงโทษ 305/2558 ผู้บริโภคต้องพิสูจน์ว่า พฤติการณ์แห่งคดีเข้าเกณฑ์จ่ายค่าเสียหายเชิง ลงโทษ หรือต้องมีพฤติการณ์ให้ศาลเห็น มิฉะนั ้น ศาลไม่ให้ค่าเสียหายเชิงลงโทษ การเรียกคืนสินค้า (Recall) พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551 ก าหนดให้ศาลมีอ านาจเรียกคืนสินค้า จากท้องตลาดได้ ตาม มาตรา 43 “ ในคดีผู้บริโภค เมื่อศาลวินิจฉัยชี ้ขาดคดีหรือจ าหน่ายคดีเสียจากสารบบความ หากข้อเท็จจริงปรากฏแก่ศาลว่ายังมีสินค้าที่ได้จ าหน่ายไปแล้วหรือที่เหลืออยู่ในท้องตลาดอาจเป็ น
54 ปัญหาน่าสนใจในคดีผู้บริโภค : รังสรรค์ วิจิตรไกรสร อันตรายต่อชีวิต ร่างกาย สุขภาพ หรืออนามัยของผู้บริโภคโดยส่วนรวม และไม่อาจใช้วิธีป้ องกัน อย่างอื่นได้ ให้ศาลมีอ านาจออกค าสั่งดังต่อไปนี ้ (1) ให้ผู้ประกอบธุรกิจจัดการประกาศและรับสินค้าดังกล่าวซึ่งอาจเป็ นอันตรายคืน จากผู้บริโภคเพื่อท าการแก้ไขหรือเปลี่ยนให้ใหม่ภายในเวลาที่ก าหนดโดยค่าใช้จ่ายของผู้ประกอบ ธุรกิจเองแต่ถ้าเป็ นกรณีที่ไม่อาจแก้ไขหรือด าเนินการตามที่กล่าวข้างต้นได้ ก็ให้ใช้ราคาตามที่ศาล เห็นสมควรโดยค านึงถึงลักษณะและสภาพของสินค้าขณะรับคืน รวมทั ้งความสุจริตของผู้ประกอบ ธุรกิจประกอบด้วย (2) ห้ามผู้ประกอบธุรกิจจ าหน่ายสินค้าที่เหลืออยู่และให้เรียกเก็บสินค้าที่ยังไม่ได้ จ าหน่ายแก่ผู้ บริโภคกลับคืนจนกว่าจะได้ มีการแก้ ไขเปลี่ยนแปลงสินค้ าดังกล่าวให้ มีความ ปลอดภัย แต่ถ้าเป็ นกรณีที่ไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ ศาลจะมีค าสั่งห้ามผู้ประกอบธุรกิจ ผลิตหรือน าเข้าสินค้านั ้นก็ได้และหากเป็ นที่สงสัยว่าผู้ประกอบธุรกิจจะเก็บสินค้าที่เหลือไว้เพื่อ จ าหน่ายต่อไป ให้ศาลมีอ านาจสั่งให้ผู้ประกอบธุรกิจท าลายสินค้าที่เหลือนั ้นด้วย ถ้าความปรากฏในภายหลังว่าผู้ประกอบธุรกิจไม่ปฏิบัติตามค าสั่งศาล ให้ศาลมี อ านาจสั่งจับกุมและกักขังผู้ประกอบธุรกิจหรือผู้มีอ านาจท าการแทนของผู้ประกอบธุรกิจในกรณีที่ ผู้ประกอบธุรกิจเป็ นนิติบุคคลไว้จนกว่าจะได้ปฏิบัติตามค าสั่งดังกล่าว หรือสั่งให้เจ้าพนักงานคดี หรือบุคคลหนึ่งบุคคลใดด าเนินการโดยให้ผู้ประกอบธุรกิจเป็ นผู้รับผิดชอบในค่าใช้จ่าย และหากผู้ ประกอบธุรกิจไม่ช าระให้บุคคลนั ้นมีอ านาจบังคับคดีกับผู้ประกอบธุรกิจเสมือนหนึ่งเป็ นเจ้าหนี ้ ตามค าพิพากษา ผู้ประกอบธุรกิจหรือผู้มีอ านาจท าการแทนของผู้ ประกอบธุรกิจในกรณีที่ผู้ ประกอบธุรกิจเป็ นนิติบุคคลที่ถูกจับกุมโดยเหตุจงใจขัดขืนค าสั่ง จะต้องถูกกักขังไว้จนกว่าจะมี ประกัน หรือประกันและหลักประกันตามจ านวนที่ศาลเห็นสมควรก าหนดว่าตนยินยอมที่จะปฏิบัติ ตามค าสั่งทุกประการ แต่ทั ้งนี ้ ห้ามไม่ให้กักขังผู้ประกอบธุรกิจหรือผู้มีอ านาจท าการแทนของผู้ ประกอบธุรกิจในกรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจเป็ นนิติบุคคลแต่ละครั ้งเกินกว่าหกเดือนนับแต่วันจับหรือ กักขัง แล้วแต่กรณี” นับแต่ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551 ออกใช้บังคับเรื่อยมา ขณะนี ้ยังไม่ ปรากฏคดีขึ ้นสู่ศาลสูงว่ามีกรณีข้อพิพาทตามมาตรา 43
55 ปัญหาน่าสนใจในคดีผู้บริโภค : รังสรรค์ วิจิตรไกรสร การแหวกม่านนิติบุคคล (Piercing the Corporate Veils) พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551 มาตรา 44 บัญญัติว่า “ ในคดีที่ผู้ประกอบธุรกิจซึ่งถูกฟ้ องเป็ นนิติบุคคล หากข้อเท็จจริงปรากฏว่านิติ บุคคลดังกล่าวถูกจัดตั ้งขึ ้นหรือด าเนินการโดยไม่สุจริต หรือมีพฤติการณ์ฉ้อฉลหลอกลวงผู้บริโภค หรือมีการยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินของนิติบุคคลไปเป็ นประโยชน์ของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง และ ทรัพย์สินของนิติบุคคลมีไม่เพียงพอต่อการช าระหนี ้ตามฟ้ องเมื่อคู่ความร้องขอหรือศาลเห็นสมควร ให้ศาลมีอ านาจเรียกหุ้นส่วน ผู้ถือหุ้นหรือบุคคลที่มีอ านาจควบคุมการด าเนินงานของนิติบุคคล หรือผู้รับมอบทรัพย์สินจากนิติบุคคลดังกล่าวเข้ามาเป็ นจ าเลยร่วม และให้มีอ านาจพิพากษาให้ บุคคลเช่นว่านั ้นร่วมรับผิดชอบในหนี ้ที่นิติบุคคลมีต่อผู้บริโภคได้ด้วย เว้นแต่ผู้นั ้นจะพิสูจน์ได้ว่าตน มิได้มีส่วนรู้เห็นในการกระท าดังกล่าว หรือในกรณีของผู้รับมอบทรัพย์สินนั ้นจากนิติบุคคลจะต้อง พิสูจน์ได้ว่าตนได้รับทรัพย์สินมาโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน ผู้รับมอบทรัพย์สินจากนิติบุคคลตามวรรคหนึ่งให้ร่วมรับผิดไม่เกินทรัพย์สินที่ผู้นั ้น ได้รับจากนิติบุคคลนั ้น ” ตัวอย่างคดีที่ศาลอุทธรณ์เรียกผู้ถือหุ้นเข้ามาในคดีและให้ร่วมรับผิดกับนิติบุคคล ตามมาตรา 44 8978/2558 ให้เรียกผู้ถือหุ้นเข้าเป็ นจ าเลยร่วมกับนิติบุคคล และให้ผู้ถือหุ้นร่วมรับ ผิดในพฤติการณ์ไฟไหม้ ซานติก้า ผับ ด้วยเหตุนิติบุคคลมีการด าเนินการโดยไม่มีทางหนีไฟ ไม่มี ระบบตรวจจับความร้ อนและควันไฟ ไม่มีแสงสว่างฉุกเฉิน ไม่มีระบบดับเพลิงอัตโนมัติ หรือสปริงเกอร์ ประตูหนีไฟ 3 จุด คับแคบ และมีการเปลี่ยนระดับพื ้นทางเดิน ภาระการพส ิ ู จน ์ในคด ี ผ ้ ู บร ิโภค ปกติในคดีแพ่ง มีหลักผู้ใดกล่าวอ้างข้อเท็จจริง ผู้นั ้นต้องเป็ นผู้พิสูจน์ เว้นแต่จะเข้า ข้อยกเว้นข้อสันนิษฐานไว้ในกฎหมายหรือมีข้อสันนิษฐานที่ควรจะเป็ นซึ่งปรากฏจากสภาพปกติ ธรรมดาของเหตุการณ์เป็ นคุณแก่คู่ความฝ่ ายใด คู่ความฝ่ ายนั ้นต้องพิสูจน์เพียงว่าตนได้ปฏิบัติ ตามเงื่อนไขแห่งการที่ตนจะได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานนั ้นครบถ้วนแล้ว (ประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84/1)
56 ปัญหาน่าสนใจในคดีผู้บริโภค : รังสรรค์ วิจิตรไกรสร ตัวอย่างคดีที่วินิจฉัยให้ผู้ประกอบธุรกิจแพ้คดีเพราะภาระการพิสูจน์ตามมาตรา 29 ดังฎีกาที่ 4567/2561 ...จ าเลยทั ้งสองซึ่งเป็ นผู้ร่วมกันรับประกันการซ่อมบ ารุงรักษารถยนต์ พิพาทดังวินิจฉัยแล้วจึงต้องร่วมกันรับผิดในความช ารุดบกพร่องดังกล่าว จ าเลยทั ้งสองน าสืบต่อสู้ คดีว่าได้ซ่อมแซมข้อช ารุดบกพร่องของรถยนต์พิพาทกรณีเครื่องยนต์ไม่มีก าลังหรือเร่งไม่ขึ ้นเสร็จ เรียบร้อยแล้ว ซึ่งเป็ นข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับการให้บริการที่อยู่ในความรู้เห็นโดยเฉพาะของจ าเลยทั ้ง สองซึ่งเป็ นฝ่ ายผู้ ประกอบธุรกิจ ภาระการพิสูจน์ในปัญหานี ้จึงตกอยู่แก่จ าเลยทั ้งสองตาม พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551 มาตรา 29…ตามข้อเท็จจริงที่ได้ความจาก พยานหลักฐานที่โจทก์และจ าเลยทั ้งสองน าสืบดังกล่าวจึงเป็ นการน าสืบกล่าวอ้างข้อเท็จจริงยันกัน ไม่อาจรับฟังเป็ นยุติได้ ดังนี ้ เมื่อจ าเลยทั ้งสองซึ่งเป็ นฝ่ ายมีภาระการพิสูจน์ว่าได้ซ่อมแซมรถยนต์ พิพาทกรณีเครื่องยนต์ไม่มีก าลังหรือเร่งไม่ขึ ้นจนข้อช ารุดบกพร่องสิ ้นไปแล้ว ไม่อาจน าสืบพิสูจน์ ข้อเท็จจริงตามที่กล่าวอ้างได้ คดีจึงรับฟังไม่ได้ว่าข้อช ารุดบกพร่องของเครื่องยนต์ได้รับการ แก้ไขแล้วจ าเลยทั ้งสองจึงยังคงต้องร่วมกันรับผิด แต่หากผู้ประกอบธุรกจิซ่งึมีภาระการพสิูจน์น าสืบพิสูจน์ได้ศาลก ็ รับฟัง เช่น ฎีกาที่ 4829/2558 ซึ่งศาลฎีการับฟังว่าจา เลยน าสืบได้ตามภาระการพิสูจน์โดยวินิจฉัยว่า... เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ข้าวสารหอมมะลิบรรจุถุงของจ าเลยที่โจทก์ผู้บริโภคซื ้อมาจากร้านค้ามี เชื ้อราปนเปื ้อน จ าเลยในฐานะผู้ ประกอบธุรกิจหรือผู้ ประกอบการจึงมีภาระการพิสูจน์ถึง ข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับการผลิตหรือส่วนผสมของสินค้าหรือการด าเนินการใด ๆ ซึ่งอยู่ในความรู้เหน ็ เฉพาะของจ าเลยตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551 มาตรา 29 เมื่อพยาน บุคคลฝ่ ายจ าเลยเบิกความประกอบพยานเอกสารแสดงให้เห็นถึงขั ้นตอนและวิธีการผลิตข้าวสาร บรรจุถุงของจ าเลยจนกระทั่งขนส่งให้แก่ลูกค้า จ าเลยมีการตรวจสอบคุณภาพอยู่ตลอดเวลา โดย ด าเนินการจัดท าระบบตามหลักการผลิตที่ดีเพื่อเป็ นหลักในการประกันคุณภาพด้ านความ ปลอดภัยของอาหาร และระบบควบคุมอันตรายไม่ให้ไปสู่ผู้บริโภคเพื่อเป็ นหลักประกันในการ ควบคุมการผลิต โดยโรงงานบรรจุข้าวถุงของจ าเลยเป็ นแห่งแรกในประเทศไทยที่ผ่านการรับรองทั ้ง สองระบบ ระบบคุณภาพและมาตรฐานต่าง ๆ ได้รับการประเมินตรวจสอบและได้ใบรับรองจาก หน่วยงานของรัฐและเอกชนว่า ผลิตภัณฑ์สินค้าตรามาบุญครองของจ าเลยมีความสะอาดและถูก
57 ปัญหาน่าสนใจในคดีผู้บริโภค : รังสรรค์ วิจิตรไกรสร สุขอนามัยโดยใส่ใจในเรื่องความปลอดภัยเพื่อตอบสนองความพึงพอใจให้ แก่ผู้ บริโภค ทั ้ง ข้อเท็จจริงยังได้ความอีกว่าข้าวสารบรรจุถุงที่ผลิตในวันเดียวกันกับข้าวสารบรรจุถุงปัญหาที่โจทก์ ซื ้อไปไม่ปรากฏว่ามีข้าวสารบรรจุถุงที่มีเชื ้อราปนเปื ้อนอีก แสดงว่าเชื ้อราที่ปนเปื ้อนไม่ได้เกิดขึ ้นใน ขั ้นตอนการผลิตหรือส่วนผสมของสินค้าหรือการขนส่งของจ าเลย โจทก์ไม่ได้น าสืบพยานหลักฐาน หักล้างข้อน าสืบของจ าเลย...ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ ้น ทรัพย์ส่วนกลาง อาคารชุด เมื่อเป็ นทรัพย์ส่วนกลางของอาคารชุดโดยผลของกฎหมาย แม้ไม่จด ทะเบียนก็ไม่ท าให้ไม่เป็ นทรัพย์ส่วนกลาง ฎ .8555/2561 ...เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ.2522 ก าหนดอ านาจ หน้าที่ของนิติบุคคลอาคารชุดว่ามีวัตถุประสงค์เพื่อจัดการและดูแลรักษาทรัพย์ส่วนกลาง และให้มี อ านาจกระท าการใด ๆ เพื่อประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ดังกล่าวตามมติของเจ้าของร่วม ดังบัญญัติ ความตามมาตรา 33 และนิติบุคคลอาคารชุดยังอาจใช้สิทธิของเจ้าของร่วมครอบไปถึงทรัพย์ ส่วนกลางทั ้งหมดในการต่อสู้บุคคลภายนอก หรือเรียกร้ องเอาทรัพย์สินคืนเพื่อประโยชน์ของ เจ้าของร่วมทั ้งหมดได้ ดังบัญญัติความตามมาตรา 39ส าหรับความหมายของ ทรัพย์ส่วนกลาง ของอาคารชุดนั ้นนอกจากทรัพย์สินอื่น ๆ ตามที่กฎหมายบัญญัติแล้ว ยังหมายความถึงทรัพย์สิน อื่นที่มีไว้เพื่อใช้หรือเพื่อประโยชน์ร่วมกันส าหรับเจ้าของร่วมซึ่งกฎหมายบัญญัติให้ถือเป็ น ทรัพย์ส่วนกลางด้วยดังบัญญัติความตามมาตรา 4 และมาตรา 15 ทั้งนี้ ไม่ว่าทรัพย์สินนั้น จะขึ้นทะเบียนอาคารชุดระบุว่าเป็ นทรัพย์ส่วนกลางหรือไม่ หรือเจ้าของทรัพย์สินนั้นจะ แสดงเจตนายกกรรมสิทธ์ิทรัพย์สินนั้นให้เป็ นทรัพย์ส่วนกลางหรือไม่ก็ตาม เพราะเป็ น กรณีตกเป็ นทรัพย์ส่วนกลางของอาคารชุดโดยผลของกฎหมาย ดังนี ้ ที่ศาลล่างทั ้งสองฟังว่า โจทก์ไม่มีอ านาจฟ้ องด้วยเหตุอาคารสโมสรและสระว่ายน ้าพิพาทไม่เป็ นทรัพย์ส่วนกลางเพราะไม่ ปรากฏว่าได้จดทะเบียนไว้ โจทก์จึงไม่มีสิทธิจัดการและดูแลรักษารวมทั ้งไม่มีอ านาจหน้าที่ ด าเนินการแทนเจ้าของร่วมตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ.2522 มาตรา 39 นั ้น ศาลฎีกา แผนกคดีผู้บริโภคไม่เห็นพ้องด้วย โจทก์จึงมีอ านาจฟ้ อง ฎีกาของโจทก์ฟังขึ ้น…
58 ปัญหาน่าสนใจในคดีผู้บริโภค : รังสรรค์ วิจิตรไกรสร เอกสารนี ้ จัดท าขึ ้นโดยเร่งด่วน เพื่อใช้ประกอบบรรยายในการสัมมนา หลักสูตร เจ้าพนักงานคดี ระดับช านาญการพิเศษ หัวข้อ ปัญหาชัน้สูงในคดีผู้บริโภค ซึ่งสถาบันพัฒนา ข้าราชการฝ่ ายตุลาการศาลยุติธรรม จัดขึ ้น ณ วันที่ 10 กันยายน 2564 เวลา 9 –12 น. เท่านั ้น จึง หยิบยกเฉพาะข้อที่ให้ผู้ฟังใช้ศึกษาประกอบการฟังค าบรรยายเป็ นสังเขป วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค ยังมีข้อควรสนใจศึกษาอีกมาก ผู้ที่สนใจอาจศึกษาเรื่องเหล่านี ้เพิ่มเติมเพื่อความเข้าใจในวิธี พิจารณาคดีผู้บริโภคเพิ่มขึ ้นก็จะยังประโยชน์แก่การปฏิบัติหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับคดีผู้บริโภคให้ได้ สมบูรณ์ยิ่งขึ ้น ---------------------------------------