สมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ 4 (ฉบับปรับปรุง) สมเด็จพระอริยวงษญาณ (สุก ญาณสังวร) พระสังฆราชไก่เถื่อน ผู้เรียบเรียง ประสาร ธาราพรรค์ สมเด็จพระอริยวงษญ าณ (สุก ญ าณสังวร) ทรงเป็นสมเด็จ พระสังฆราชพระองค์ที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงความเป็นพระองค์แรก ในคุณพิเศษต่างๆเริ่มจากเป็นเจ้าอาวาสองค์แรกของวัดราชสิทธาราม เป็น พระองค์แรกที่ได้สมณศักดิ์พระญาณสังวร เป็นพระองค์แรกในฝ่ายวิปัสสนา ที่ได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้ด ารงต าแหน่งสมเด็จพระสังฆราช เมื่อ สิ้นพระชนม์เป็นพระองค์แรกที่ได้รับพระราชทานพระโกศทองใหญ่ เป็น พระองค์แรกที่มีศิษย์เป็นสมเด็จพระสังฆราชถึง 5 พระองค์ เป็นพระองค์ แรกที่ได้รับพระราชทานฉัตร 7 ชั้น เมื่อคราวออกพระเมรุ ณ ท้อง สนามหลวง และเป็นพระสงฆ์ปาปมุต พ้นจากบาปทั้งปวง
สมเด็จพระสังฆราช (สุก) ทรงพระคุณพิเศษในด้านเมตตา เชี่ยวชาญ ในวิปัสสนากรรมฐาน จนมีพระฉายานามอันเป็นที่รู้กันทั่วไปในหมู่ประชาชน ว่า “พระสังฆราชไก่เถื่อน” เพราะทรงสามารถแผ่พรหมวิหารธรรมให้ไก่ป่า เชื่องเป็นไก่บ้านได้ คุณธรรมพิเศษทางด้าน และเป็นพระอาจารย์ พระมหากษัตริย์พระบรมราชจักรีวงศ์ถึง 4 พระองค์ พระประวัติสมเด็จพระอริยวงษญาณ(สุก ญาณสังวร) สมเด็จพระสังฆราช พระอริยวงษญาณ(สุก ญาณสังวร) ประสูติเมื่อวัน ศุกร์ ขึ้น 10 ค่ า เดือนยี่ ปีฉลู จ.ศ. 1095 ตรงกับวันที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2276 ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศแห่งอาณาจักรอยุธยา ในสมัย กรุงธนบุรี ได้เป็นพระอธิการอยู่วัดท่าหอย ริมคลองคูจาม (ในพระราช พงศาวดาร เรียกว ่าคลองตะเคียน) แขวงรอบกรุงเก่า มีพระเกียรติคุณ ในทางวิปัสสนาธุระบ าเพ็ญสมถภาวนา ผู้คนนับถือมาก
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พ.ศ.2325 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรง ปราบดาภิเษกเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ เป็นปฐมรัชกาลแห่งพระบรม ราชจักรีวงศ์ กรุงรัตน โกสินทร์ เมื่อได้ทรงจัดการข้างฝ่ายอาณาจักรเป็น ที่เรียบร้อยแล้ว ทรงพระราชด าริจัดการข้างฝ่ายพุทธจักร เพื่อท านุบ ารุง พระพุทธศาสนาจึงได้ทรงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งพระราชาคณะในต าแหน่ง ต่างๆ ตามโบราณราชประเพณี และได้ทรงแสวงหาพระเถระ ผู้ทรงคุณพิเศษจากที ่ต ่างๆ มาตั้งไว้ในต าแหน ่งที ่สมควร เพื ่อช ่วยรับ ภารธุระทางพระพุทธศาสนาสืบไป
วัดพลับ (วัดราชสิทธาราม) พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงสร้างวัดพลับ ได้โปรดให้นิมนต์สมเด็จพระสังฆราชญาณสังวร (สุก) มาอยู่ที่วัดพลับ การที่ โปรดให้นิมนต์มาอยู่ที่วัดพลับ ก็เนื่องจากเป็นวัดส าคัญฝ่ายอรัญวาสีของกรุง ธนบุรี และให้เป็นพระราชาคณะที่พระญาณสังวรเถร และ ถวายให้อยู่จ า พรรษา พร้อมทั้งฝากฝังพระราชโอรสและพระราชนัดดาให้ได้ศึกษาวิชา ต่างๆ ในส านักพระญาณสังวรเถร บรรดาพระบรมวงศานุวงศ์ที่ทรงผนวชก็ ทรงเข้าศึกษาวิปัสสนาในส านักนี้ด้วยพระองค์เป็นพระอาจารย์ของ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า นอกจากนี้ ยังเคยเป็นพระอาจารย์บอก กรรมฐานแด่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระบาทสมเด็จพระ นั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว อีกด้วย วัด พลับ ต่อมาในรัชกาลที่ 3 พระราชทานชื่อใหม่ว่า วัดราชสิทธาราม ดังที่ ปรากฏสืบมาจนบัดนี้
สมเด็จพระสังฆราช (สุก) ปรากฏว ่าได้เป็นที ่นับถือของชาวบ้าน ตลอดขึ้นไปจนถึงเจ้านายเชื้อพระวงศ์ ต่างพากันไปฝากตัวเป็นลูกศิษย์ ท ่านเป็นจ านวนมาก ทั้งนี้ เห็นจะเป็นเพราะบรรดาสานุศิษย์เหล ่านั้น ต่างได้เห็นกฤตยาคมอันขลังด้านเมตตาพรหมวิหารของท่านซึ่งสามารถ เรียก ไก่เถื่อนจากป ่าเป็นฝูงๆ มารับการโปรยทานจากท ่านเต็มลานวัด ทุกวันเหตุนี้ชาวบ้านสมัยนั้นจึงพากันเรียกท่านว ่า พระสังฆราชไก่เถื่อน เพราะท่านสามารถเรียกไก่เถื่อนออกมาจากป่า และ ยิ่งได้ลิ้มรสอาหาร เสกจากท่านด้วยแล้ว ไก่เถื่อนที่ว่าถึงกับไม่ยอมกลับเข้าป่า และเชื่องเป็น ไก่บ้าน
สมเด็จพระสังฆราช (สุก) ทรงเป็นที่ทรงเคารพนับถือเป็นอันมากของ พระบรมราชวงศ์มาแต่ครั้งรัชกาลที่ 1 และรัชกาลที่ 2 ปรากฏนามพระ ญาณสังวรเถร เป็นพระกรรมวาจาจารย์แทบทุกพระองค์ นับแต่คราวทรง ผนวชพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย แต่ครั้งยังทรงเป็นสมเด็จ พระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิสรสุนทร เป็นต้นมา ดังปรากฏในพระ ราชพงศาวดารดังนี้ พ.ศ. 2331 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ขณะทรงด ารง พระราชอิสริยยศเป็น สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิสรสุนทร ทรงผนวชเป็นพระภิกษุ ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม สมเด็จพระสังฆราช (ศรี) เป็นพระราชอุปัธยาจารย์ พระญาณสังวรเถร เป็นพระราช กรรมวาจาจารย์ ทรงผนวชแล้ว วันแรกเสด็จประทับที่วัดพระศรีรัตนศาสดา
ราม มีการฉลองเสร็จแล้ว จึงเสด็จไปประทับ ณ วัดสมอราย (คือวัดราชาธิ วาสในปัจจุบัน) พ.ศ. 2337 สมเด็จกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ในรัชกาลที่ 2 แต่ ครั้งทรงด ารงพระราชอิสริยยศเป็น สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ากรมขุน เสนานุรักษ์ ในรัชกาลที่ 1 (พระนามเดิม จุ้ย) ทรงผนวชเป็นพระภิกษุ ณ วัด พระศรีรัตนศาสดาราม สมเด็จพระสังฆราช (ศุข) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระ ญาณสังวรเถร เป็นพระกรรมวาจาจารย์ กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท (พระนามเดิม บุญมา) พ.ศ. 2338 สมเด็จพระอนุชาธิราช กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิง หนาท (พระนามเดิม บุญมา) ทรงผนวชเป็นพระภิกษุ ณ วัดพระศรี สรรเพชญ์ สมเด็จพระสังฆราช (ศุข) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระญาณสังวรเถร วัดพลับ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระธรรมกิตติ เป็นพระอนุสาวนาจารย์
เจ้าฟ้ากรมหลวงอนุรักษ์เทเวศร์ พระนามเดิม ทองอิน พ.ศ. 2345 สมเด็จพระเจ้าหลานเธอกรมพระราชวังหลัง ในรัชกาลที่ 1 (เจ้าฟ้ากรมหลวงอนุรักษ์เทเวศร์ พระนามเดิม ทองอิน) ทรงผนวชเป็น พระภิกษุ สมเด็จพระสังฆราช (ศุข) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระญาณสังวรเถร เป็นพระกรรมวาจาจารย์. พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่ครั้งยังทรงด ารงพระราช อิสริยยศเป็นสมเด็จพระเจ้าหลานเธอ ในรัชกาลที่ 1 ทรงผนวชเป็นพระภิกษุ พระญาณสังวรเถร (สุก) เป็นพระราชอุปัธยาจารย์ พระพุทธโฆษาจารย์(ขุน) วัดโมลีโลกยาราม เป็นพระราชกรรมวาจาจารย์
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พ.ศ. 2360 ในรัชกาลที่ 2 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่ ครั้งยังทรงด ารงพระราชอิสริยยศเป็น สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ามงกุฎฯ ทรงผนวชเป็นสามเณร ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม สมเด็จพระญาณสังวร (สุก) เป็นพระราชอุปัธยาจารย์.แต่ในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 2 ว่า สมเด็จพระสังฆราช (มี) เป็นพระอุปัชฌาย์สมเด็จพระญาณ สังวร (สุก) วัดราชสิทธารามเป็นพระอาจารย์ ซึ่งกลับกันเป็นตรงกันข้าม
สมเด็จกรมพระยาด ารงราชานุภาพ ในเรื่องนี้ สมเด็จกรมพระยาด ารงราชานุภาพทรงอธิบายไว้ในพระ นิพนธ์เรื่อง ความทรงจ า ว่า ‘พิเคราะห์ตามเหตุการณ์ น่าจะกลับกันกับที่ กล่าว (ในพระราชพงศาวดาร) คือสมเด็จพระญาณสังวรเป็นพระอุปัชฌาย์ และสมเด็จพระสังฆราช เป็นพระอาจารย์ถวายศีล เพราะสมเด็จพระญาณ สังวรเป็นผู้มีอายุพรรษามาก นั่งหน้าสมเด็จพระสังฆราช (มี) ทั้งเป็นที่เคารพ นับถือของพระราชวงศ์มาแต่ในรัชกาลที่ 1 แม้สมเด็จพระพุทธเลิศหล้า นภาลัย และพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็เป็นศิษย์ของสมเด็จ พระญาณสังวรมาแต่ก่อน น่าจะได้เป็นพระอุปัชฌาย์ และยังมีหลักฐ านป ระกอบอีกอย่างหนึ่ง ด้วยถึงรัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดฯ ให้สร้างพระเจดีย์ขึ้น 2 องค์ เป็นคู่กัน อยู่ที่ลานหน้าวัดราชสิทธาราม (อันเป็นที่สถิตของสมเด็จพระญาณ
สังวร) องค์หนึ่งขนานนามว่า ‘พระศิราศนเจดีย์’ ทรงอุทิศในพระนามของ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว อีกองค์หนึ่งมีนามว่า ‘พระศิรจุมภฏเจดีย์’ เป็นพระบรมราชูทิศในพระนามของพระองค์เอง ยังปรากฏอยู่ ตรัสว่าเพราะได้เคยเป็นศิษย์สมเด็จพระญาณสังวรมาด้วยกัน ทั้ง 2 พระองค์’ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 โปรดให้สถาปนา เป็นสมเด็จพระราชาคณะที่ สมเด็จพระญาณสังวร มีส าเนาประกาศที่ทรงตั้ง ดังนี้
‘ศรีศยุภมัศดุ ฯ ล ฯ ลงวันพฤหัสบดี เดือน ๙ แรม ๗ ค่ า (ปีชวด พ.ศ. ๒๓๕๙) ให้พระญาณสังวรขึ้นเป็นสมเด็จพระญาณสังวร อดิ สรสังฆเถรา สัตวิสุทธิจริยาปรินายก สปิฎกธรามหาอุดมศีลอนันต์ อรัญวาสี สถิตย์ในราชสิทธาวาศวรวิหาร พระอารามหลวง ให้ จาฤกกฤตฤกาลอวยผลพระชนมายุศม ศรีสวัสดิพิพัฒนมงคล วิมลทฤ ฆายุศม ในพระพุทธศาสนาเถิด’ ต าแหน่งสมเด็จพระราชาคณะที่ สมเด็จพระญาณสังวรนั้น นับว่าเป็น ต าแหน่งพิเศษในยุคกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นต าแหน่งที่พระราชทานสถาปนา แก่พระเถระผู้ทรงคุณทางวิปัสสนาธุระโดยเฉพาะ ดังจะเห็นได้ว่าเมื่อครั้ง พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงตั้งพระอาจารย์สุก วัดท่าหอย ซึ่งเป็นผู้ทรงคุณพิเศษในทางวิปัสสนาธุระเป็นที่พระราชาคณะ นั้น ก็ทรงตั้งในราชทินนามว่า พระญาณสังวรเถร อันเป็นราชทินนามที่แสดง ถึงความเป็นผู้ทรงคุณในทางวิปัสสนาธุระ
ครั้นมาในรัชกาลที่ 2 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรง โปรดให้สถาปนาพระญาณสังวรเถร ขึ้นเป็นสมเด็จพระราชาคณะ ก็โปรดให้ สถาปนาในราชทินนามว่า สมเด็จพระญาณสังวร ตามราชทินนามเดิมที่ ได้รับพระราชทานแต่ครั้งรัชกาลที่ 1 ครั้นสมเด็จพระญาณสังวร (สุก) ได้รับ สถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชในเวลาต่อมา ราชทินนามที่ สมเด็จญาณ สังวร ก็ไม่ได้โปรดพระราชทานสถาปนาพระเถระรูปใดอีกเลยนับแต่รัชกาล ที่ 2 เป็นต้นมา กระทั่งถึงรัชกาลปัจจุบัน ซึ่งเป็นรัชกาลที่ 9 แห่งกรุง รัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงได้โปรดให้สถาปนา พระสาสนโสภณ (สุวฑฺฒโน เจริญ คชวัตร) วัดบวรนิเวศวิหารในราชทินนามที่ สมเด็จพระ ญาณสังวร ในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม 2515 นับเป็น สมเด็จพระญาณสังวร รูปที่ 2 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
นับแต่ปีที่สมเด็จพระสังฆราช (สุก ญาณสังวร) สิ้นพระชนม์เมื่อ พ.ศ. 2365 ในรัชกาลที่ 2 มาจนถึงปีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 โปรดให้สถาปนา พระสาสนโสภณ (สุวฑฺฒโน) ขึ้นเป็น สมเด็จพระญาณ สังวร เมื่อ พ.ศ.2515 นั้น เป็นเวลา 150 ปีพอดี ซึ่งเป็นเวลายาวนานถึง 6 รัชกาลที่ว่างเว้นมิได้ทรงพระกรุณาโปรดให้สถาปนาพระเถระรูปใดในราช ทินนามต าแหน่งนี้ เพราะฉะนั้นต าแหน่งที่สมเด็จพระญาณสังวรนี้จึงกล่าวได้ ว่าเป็นต าแหน่งที่มีความหมายส าคัญในประวัติการณ์ของ คณะสงฆ์ไทย ต าแหน่งหนึ่ง สมเด็จพระสังฆราช (สุก) สมเด็จพระญาณสังวรได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะ ในปี เดียวกันกับสมเด็จพระสังฆราช (มี) ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช และนั่งหน้าสมเด็จพระสังฆราช ‘ด้วยได้เห็นบัญชีนิมนต์พระสวดมนต์ในสวน
ขวา มีนามสมเด็จพระญาณสังวรอยู่หน้าสมเด็จพระสังฆราช เห็นจะเป็นด้วย มีพรรษาอายุมากกว่า’ สมเด็จพระญาณสังวรได้รับพระราชทานพัดงาสาน ซึ่งโปรดให้ท าวิจิตรกว่าพัดส าหรับพระราชาคณะสมถะสามัญ วัดพลับ หรือวัดราชสิทธาราม ส าหรับวัดพลับ หรือวัดราชสิทธารามนั้น นับแต่สมเด็จพระสังฆราช (สุก) ได้มาอยู่ครองแต่ครั้งยังทรงเป็นที่ พระญาณสังวรเถรแล้ว ก็ได้ กลายเป็นส านักปฏิบัติทางวิปัสสนาธุระที่ส าคัญ ดังที่สมเด็จกรมพระยาด ารง ราชานุภาพทรงพระนิพนธ์ไว้ใน เรื่องประวัติวัดมหาธาตุ ว่า “ในกรุง รัตนโกสินทร์นี้ วัดอรัญวาสีที่ส าคัญ ก็คือวัดสมอราย 1 กับวัดราชสิทธาราม 1” และพระเกียรติคุณในทางวิปัสสนาธุระของสมเด็จพระสังฆราช (สุก) นั้น คงเป็นที่เคารพนับถือทั้งในฝ่ายเจ้านายในพระบรมราชวงศ์และในหมู่ ประชาชนทั่วไป จึงได้ทรงเป็นพระราช อุปัธยาจารย์และเป็นพระอาจารย์ ของพระมหากษัตริย์ และเจ้านายชั้นสูงในพระบรมราชวงศ์หลายพระองศ์ ดังได้กล่าวมาแล้ว
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะทรงด ารงพระราชอิสริยยศ เป็นพระเจ้าหลานเธอใน รัชกาลที่ 1 ทรงผนวชเป็นพระภิกษุ ก็ได้เสด็จมา ประทับทรงบ าเพ็ญเนกขัมมปฏิบัติ และทรงศึกษาวิปัสสนาธุระในส านัก สมเด็จพระสังฆราช (สุก) แต่ครั้งยังทรงด ารงสมณศักดิ์ที่ พระญาณสังวรเถร ณ วัดราชสิทธารามนี้เป็นเวลา 1 พรรษา โดยมีพระต าหนักส าหรับทรง บ าเพ็ญสมาธิกรรมฐานโดยเฉพาะเรียกว่า พระต าหนักจันทน์ ซึ่งสมเด็จพระ บรมราชนกนาถ คือ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ขณะทรง ด ารงพระราชอิสริยยศเป็น กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ได้ทรงสร้าง ถวาย ยังคงมีอยู่สืบมาจนบัดนี้
พระศิรจุมภฏเจดีย์กับพระศิราศนเจดีย์ เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะทรงด ารงพระ ราชอิสริยยศเป็น สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามงกุฎฯ ทรงผนวชเป็น พระภิกษุ ในรัชกาลที่ 2 ก็ได้เสด็จไปประทับศึกษาวิปัสสนาธุระในส านัก สมเด็จพระสังฆราช (สุก) แต่ครั้งยังทรงด ารงสมณศักดิ์ที่ พระญาณสังวรเถร ณ วัดราชสิทธารามเช่นกัน ดังที่พระบาทสมเด็จจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ ทรงมีพระบรมราชาธิบายไว้ใน เรื่องวัดสมอรายอันมีนามว่า ราชาธิวาส ว่า “ได้ทรงประทับศึกษาอาจาริยสมัยในส านักวัดราชาธิวาส ทรงทราบเสร็จสิ้น จนสุดทางที่จะศึกษาต่อไปอีกได้ จึงได้เสด็จย้ายไปประทับอยู่ ณ วัดราช สิทธาราม คือวัดพลับ ซึ่งเป็นแหล่งส าคัญเชี่ยวชาญในการวิปัสสนาอีกแห่ง
หนึ่ง ซึ่งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงผนวชในที่นั้น แต่หาได้ ประทับประจ าอยู่เสมอ ไม่เสด็จไปอยู่วัดพลับบ้าง กลับมาอยู่สมอรายบ้าง เมื่อเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติแล้ว จึงทรงสร้างพระศิรจุมภฏเจดีย์ไว้เป็นคู่ กันกับพระศิราศนเจดีย์ ที่ทรงพระราชอุทิศถวายสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นส าคัญว่า เคยเสด็จ ประทับศึกษา ณ ส านักอาจารย์เดียวกัน.” เกี่ยวกับราชประเพณีนิยมทรงศึกษาวิปัสสนา ธุระ ของเจ้านายในพระบรมราชวงศ์ที่ทรงผนวชนั้น สมเด็จกรมพระยาด ารง ราชานุภาพ ทรงมีพระอธิบายไว้ว่า “อนุโลมตามราชประเพณีครั้งกรุงเก่า ดังเช่น สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร ทรงผนวชแล้วเสด็จไปประทับอยู่ ณ วัดประดู่นั้นเป็นตัวอย่าง ด้วยเป็นวัด อรัญวาสี อยู่ที่สงัดนอกพระนคร เพราะการศึกษาธุระในพระศาสนามีเป็น 2
ฝ่าย ฝ่ายคันถธุระต้องเล่าเรียนพระปริยัติธรรมโดยมคธภาษา อันต้องใช้ เวลาช้านานหลายปี ไม่ใช่วิสัยผู้ที่บวชอยู่ชั่วพรรษาเดียวจะเรียนให้ตลอดได้ แต่วิปัสสนาธุระอีกฝ่ายหนึ่งนั้น เป็นการฝึกหัดใจในทางสมถภาวนา อาจ เรียนได้ในเวลาไม่ช้านัก และถือกันอีกอย่างหนึ่งว่า ถ้าช านิช านาญในทาง สมถภาวนาแล้ว อาจจะน าคุณวิเศษอันนั้นมาใช้ในการปลุกเศกเพื่อ ประโยชน์อย่างอื่น ตลอดจนในวิชา พิไชยสงครามได้ในภายหลัง ด้วยเหตุนี้ เจ้านายที่ทรงผนวชมาแต่ก่อนจึงมักเสด็จไปประทับอยู่ ณ วัดอรัญวาสี เพื่อ ทรงศึกษาภาวนาวิธี.” นัยว่าการศึกษาวิปัสสนาธุระ ของส านักวัดราชสิทธาราม ในสมัยที่ สมเด็จพระสังฆราช (สุก) ทรงครองวัดอยู่นั้นเจริญรุ่งเรืองมาก เพราะผู้ ครองวัดทรงเชี่ยวชาญและมีกิตติคุณในด้านนี้เป็นที่เลื่องลือ. ครั้นสมเด็จ พระสังฆราช (สุก) ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช และเสด็จมาสถิต
ณ วัดมหาธาตุแล้ว การศึกษาวิปัสสนาธุระแม้จะยังมีอยู่ ก็ไม่รุ่งเรืองเท่ากับ สมัยที่สมเด็จพระสังฆราช (สุก) ยังทรงครองวัดนั้นอยู่. สมเด็จพระสังฆราช (มี) พ.ศ. 2362 สมเด็จพระสังฆราช (มี) สิ้นพระชนม์, พระบาทสมเด็จพระ พุทธเลิศหล้านภาลัย จึงได้ทรงสถาปนาสมเด็จพระญาณสังวร (สุก) เป็น สมเด็จพระสังฆราช แล้วโปรดให้แห่มาสถิต ณ วัดมหาธาตุ เดิมทรง พระราชด าริที่จะตั้งสมเด็จพระพนรัตน (อาจ) วัดสระเกศ เป็นสมเด็จ พระสังฆราช ถึงได้แห่มาสถิต ณ วัดมหาธาตุ เมื่อ ณ เดือน 4 ปีเถาะ เอกศก นั้นแล้ว แต่เมื่อปีมะโรง โทศก ข้างต้นปี เกิดอหิวาตกโรคมาก ยังไม่ทันจะได้ ทรงตั้งสมเด็จพระพนรัตน (อาจ) เป็นสมเด็จพระสังฆราช, ถึงเดือน 11 มี
โจทก์ฟ้องกล่าวอธิกรณ์สมเด็จพระพนรัตน (อาจ) ว่าชอบหยอกเอินศิษย์ หนุ่มด้วยกิริยาที่ไม่สมควรแก่สมณะ ช าระได้ความเป็นสัตย์ อธิกรณ์ไม่ถึง เป็นปาราชิก จึงเป็นแต่ให้ถอดเสียจากต าแหน่งพระราชาคณะ และเนรเทศ ไปจากพระอารามหลวง ต าแหน่งพระสังฆราชนั้น ทรงพระราชด าริว่า สมเด็จพระญาณสังวร (สุก) วัดราชสิทธาราม เป็นสมเด็จพระราชาคณะผู้ใหญ่และได้เป็นพระ อาจารย์ เป็นที่เคารพในพระราชวงศ์ จึงโปรดให้แห่สมเด็จพระญาณสังวร (สุก) มาสถิต ณ วัดมหาธาตุ เมื่อ ณ วันพฤหัสบดีเดือน 12 ขึ้น 4 ค่ า ครั้งถึง ณ วันพฤหัสบดี เดือน 1 ขึ้น 2 ค่ า ปีมะโรง โทศก จุลศักราช 1182 พ.ศ. 2363 จึงทรงตั้งสมเด็จพระญาณสังวร (สุก) ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช
มีส าเนาประกาศที่ทรงตั้ง ดังนี้ “ศริศยุภอดีตกาล พระพุทธสักราช ชไมยสหัสสสังวัจฉรไตรส ตาธฤกไตรสัตฐีสัตมาศ ปัตยุบันกาล นาคสังวัจฉรมฤคศฤระมาศ ศุกข ปักขคุรุวาระนวมีดิถี ปริจเฉทกาลอุกฤษฐ สมเด็จบรมธรรมมฤกะ มหาราชารามาธิราชเจ้า ผู้ทรงทศพิธราชธรรม์ อนันตคุณวิบุลยปรีชา อันมหาประเสริฐ มีพระราชโองการมารพระบัณฑูรสุรสิงหนาทด ารัส สั่งพระราชูทิศถาปนา ให้สมเด็จพระญาณสังวรเปนสมเด็จพระอริ ยวงษญาณปริยัติวราสังฆราชาธิบดี ศรีสมณุตมาปรินายกติปิฎกธรา จารย์ สฤทธิขัติยสารสุนทร มหาคณฤศร วรทักษิณาสฤทธิสังฆาราม คามวาสีอรัญวาสี เป็นประธานถานาทุกคณาธิกร จัตุพิธบรรพสัช สถิตในพระศรีรัตนมหาธาตุบวรวิหารพระอารามหลวง
สมเด็จพระสังฆราช (สุก ญาณสังวร) วัดมหาธาตุ สมเด็จพระสังฆราช (สุก) ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อทรงได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชนั้น พระชนมายุได้ 88 พรรษาแล้ว ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชอยู่ไม่ถึง 2 ปี ก็ สิ้นพระชนม์ เหตุที่ไม่ได้ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชมาแต่ก่อน เพราะทรง เป็นพระราชาคณะฝ่ายสมถะ, แต่ประเพณีการเลือกสมเด็จพระสังฆราช คง ถือเอาคันถธุระเป็นส าคัญ สมเด็จพระสังฆราช (สุก) ทรงเป็นฝ่ายวิปัสสนา ธุระจึงไม่ได้เป็นสมเด็จพระสังฆราชมาแต่ก่อน มาในครั้งนี้เห็นจะทรง พระราชด าริว่า พรรษาอายุท่านมากอยู่แล้ว มีพระราชประสงค์จะสถาปนา ให้ถึงเกียรติยศที่สูงสุดให้สมกับที่ทรงเคารพนับถือ เข้าใจว่าเห็นจะถึงทรง วิงวอน ท่านจึงรับเป็นสมเด็จพระสังฆราช.
ธรรมเนียมแห่สมเด็จพระสังฆราชมาสถิต ณ วัดมหาธาตุ วัดมหาธาตุ อนึ่ง ธรรมเนียมแห่สมเด็จพระสังฆราชมาสถิต ณ วัดมหาธาตุนั้นได้มี ขึ้นในรัชกาลที่ 2 โดยได้โปรดให้แห่สมเด็จพระสังฆราช (มี) วัดราชบุรณะ ซึ่ง เป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ มาสถิต ณ วัด มหาธาตุเป็นพระองค์แรก พระองค์ที่ 2 คือสมเด็จพระสังฆราช (สุก) ซึ่งเป็น สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ แห่จากวัดราชสิทธา รามมาสถิต ณ วัดมหาธาตุ พระองค์ที่ 3 คือสมเด็จพระสังฆราช (ด่อน) ซึ่ง เป็น สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ แห่จากวัดสระ เกศมาสถิต ณ วัดมหาธาตุ พระองค์สุดท้ายคือ สมเด็จพระสังฆราช (นาค) ซึ่งเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 6 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ (รัชกาลที่ 3)
ในประกาศสถาปนาว่าสถิต ณ วัดมหาธาตุ แต่ไม่ได้แห่มาสถิต ณ วัด มหาธาตุตามประกาศ เพราะขณะนั้นวัดมหาธาตุก าลังปฏิสังขรณ์ทั่วพระ อาราม สมเด็จพระสังฆราช (นาค) จึงสถิต ณ วัดราชบุรณะอันเป็นพระ อารามเดิมจนสิ้นพระชนม์ แต่นั้นมาธรรมเนียมการแห่สมเด็จพระสังฆราช มาสถิต ณ วัดมหาธาตุก็เป็นอันเลิกไป สมเด็จพระสังฆราช (สุก)สิ้นพระชนม์ โกศไม้บรรจุอังคารธาตุของ สมเด็จพระสังฆราช(สุก ญาณสังวร) อยู่ที่พิพิธภัณฑ์กรรมฐานมัชฌิมา แบบล าดับ คณะ 5 วัดราชสิทธาราม กรุงเทพฯ
พระอังคารธาตุสมเด็จพระสังฆราช (สุก) สมเด็จพระสังฆราช (สุก) ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชอยู่ 1 ปีกับ 10 เดือน ก็สิ้นพระชนม์ เมื่อวันพฤหัสบดี ที่ 4 กันยายน เดือน 10 ขึ้น 13 ค่ า ปี มะเมีย พ.ศ. 2365 มีพระชนม์มายุได้ 89 โดยปี
พระรูปปั้น สมเด็จพระสังฆราช (สุก) พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย โปรดให้ปั้นขึ้น ประดิษฐาน ณ วัดราชสิทธาราม พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระราชทานพระโกศทอง ใหญ่ให้ทรงพระศพ เมื่อตั้งที่พระเมรุท้องสนามหลวง พระโกศองค์นี้ นอกจากสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับพระบรมวงศานุวงศ์ที่พระเกียรติยศสูงบาง พระองค์ มีปรากฏว่าได้ทรงแต่พระศพสมเด็จพระสังฆราชพระองค์นี้ พระองค์เดียว นับเป็นการถวายพระเกียรติอย่างสูงด้วยเหตุที่ทรงเป็นที่ทรง เคารพนับถือ อย่างยิ่งนั้นเอง ส่วนการพระเมรุนั้นโปรดให้ท าเมรุผ้าขาวที่ ท้องสนามหลวง พระราชทานเพลิงพระศพเมื่อเดือน 12 พ.ศ. 2365 นั้น ครั้นพระราชทานเพลิงพระศพแล้ว พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า นภาลัย ได้โปรดให้ปั้นพระรูปบรรจุพระอัฐิ ประดิษฐานไว้ในกุฏิกรรมฐาน หลังหนึ่ง บริเวณด้านหน้าพระอุโบสถวัดราชสิทธาราม เพื่อเป็นที่ทรง สักการบูชาตลอดจนสานุศิษย์และผู้เคารพนับถือ สืบมาจนกระทั่งทุกวันนี้
รูปหล่อสมเด็จพระสังฆราช สุก องค์นี้อยู่ภายในอุโบสถ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ต่อมาในรัชกาลที่ 3 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดให้ ช่างหล่อพระรูปสมเด็จพระสังฆราช (สุก) ขนาดย่อมขึ้นอีก ประดิษฐานไว้ใน หอพระนาก พร้อมกันกับรูปสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ขุน) วัดโมลีโลกยา ราม ซึ่งเป็นพระราชกรรมวาจาจารย์ของพระองค์ ในปีมะโรง พ.ศ. 2387 ได้ โปรดให้หล่อพระรูปสมเด็จพระสังฆราช (สุก) อีกองค์หนึ่งขนาดเท่าพระองค์ จริง พระราชด าริเดิม เข้าใจว่าคงจะทรงสร้างขึ้นส าหรับประดิษฐานไว้ ณ วัดมหาธาตุ อันเป็นที่สถิตของพระองค์เมื่อทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราช, แต่ ยังไม่ทันได้เชิญไปประดิษฐาน เพราะการบูรณะปฏิสังขรณ์ วัดมหาธาตุยังไม่ แล้วเสร็จบริบูรณ์ พระองค์ก็เสด็จสวรรคตเสียก่อน, พระรูปสมเด็จ
พระสังฆราช (สุก) องค์ดังกล่าวนี้ จึงค้างอยู่ในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ต่อมาในรัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระเจ้าจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดให้ แห่ไปประดิษฐาน ณ วัดมหาธาตุ ปรากฏตามหมายรับสั่งในรัชกาลที่ 4 ว่า โปรดให้เชิญไปเมื่อวันแรม 2 ค่ า เดือน 4 ปีชวด จัตวาศก จ.ศ. 1214 พ.ศ. 2395 และโปรดให้สร้างแท่นจ าหลักมีลวดลายเป็นรูปไก่เถื่อนเป็นที่รองรับ พระรูปเพิ่มเติมขึ้น และยังคงสถิตอยู่ในพระวิหารวัดมหาธาตุมาจนบัดนี้ ............................................................ แหล่งข้อมูลอ้างอิง http://www.มูลนิธิสมเด็จพระสังฆราชวัดบวร.com http://www.madchima.org https://www.posttoday.com http://www.thammapedia.com https://th.wikipedia.org › wiki http://www.dharma-gateway.com https://www.winnews.tv › news https://www.matichon.co.th https://sites.google.com ขอขอบคุณข้อมูลและภาพจากเว็บไซต์ต่างๆ