พระประวัติพลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ (ฉบับปรับปรุง) ผู้เรียบเรียงนายประสาร ธาราพรรค์ กรมหลวงชุมพรฯ พระนามเดิม อาภากร คนกาลก่อน ล้วนศรัทธา ในทุกที่ ทัพเรือไทย พัฒน์ก้าวหน้า ด้วยพระบารมี ทั้งชีวี ทรงมอบให้ ทัพเรือไทย เสด็จเตี่ย ทหารเรือ พร้อมเรียกท่าน คุณูปการ สุดบรรยาย เกินขานไข
วางรากฐาน ทหารเรือ เจริญไกล สู่ยุคใหม่ ทัพเรือไทย นั้นมั่นคง ตั้งโรงเรียน ทหารเรือ พระราชวังเดิม ทรงส่งเสริม การทัพเรือ สมประสงค์ การศึกษา ทรงปรับใหม่ สมจ านง ท่านผู้ทรง สามารถ ชาติเลื่องลือ ท่านศึกษา อาคมจาก หลวงปู่ศุข สงฆ์ในยุค ท่านโด่งดัง อย่างเหลือเชื่อ ทรงเรียนรู้ ด้านไสยศาสตร์ ไม่มีเบื่อ เรียนรู้เพื่อ น ามาใช้ คราอับจน ทรงสามารถ แพทย์แผนไทย ทรงรู้ซึ้ง เป็นที่พึ่ง คนทั่วไป ที่ขัดสน ชื่อหมอพร ทรงรักษา ให้ทุกคน ใครทุกข์ทน ทรงช่วยเหลือ รอดปลอดภัย กรมหลวงชุมพรฯ คือแบบอย่าง ทหารเรือไทย ท าสิ่งใด ทรงมุ่งมั่น สมสมัย องค์อาภากร ทหารเรือเทิด เต็มหัวใจ ปวงชาวไทย ภาคภูมิใจ ในทัพเรือ ................................................... ประสาร ธาราพรรค์ ประพันธ์
กรมหลวงช ุมพรและหลวงปู่ศุข โอม ชุมพร จ ุตติ อิทธ ิกรณัง สุโข นะโม พุทธายะ นะมะพะทะ จะพะกะสะ มะอะอุ คาถาบูชาเสด็จเตี่ย กรมหลวงชุมพรฯ พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ พระ บิดาแห่งทหารเรือ ไทย พระองค์ท่านเป็นที่เคารพรักของเหล่าทหารเรือ ชาวประมง และประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะชาวชุมพรนั้นกล่าวได้ว่า แทบทุกบ ้านจะม ีพระร ูปของพระองค ์ท ่านไว ้บ ูชา ด ้วยทรงเป็นที่เคารพ ศรัทธายิ่งจนมีพระสมัญญาว่า "เสด็จเตี่ย" “คนนับถือกรมหลวงชุมพรฯเยอะแต่คนไม่สนใจท่านในฐานะปุถุชน คนไม่สนใจว่า ท ่านเคยทำอะไรมา หร ือทรงม ีพระปร ีชาอย ่างไร คนสนใจ ท ่านแต ่ในฐานะสิ่งศ ักดิ์ส ิทธิ์”เป ็น ข้อความตอนหนึ่งในค าบอกเล่าของ ม.ร.ว. อภิเดช อาภากร ซึ่งมีศักดิ์เป็น “หลานปู่” ของพลเรือเอก พระเจ้า บรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ กล่าวถึงเสด็จปู่เมื่อครั้ง รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับกรมหลวงชุมพรฯ เพื่อเข ียนหนังสือเร ื่อง“หลวง ปู่ศ ุขกับกรมหลวงชุมพรฯ”
พระประวัติพลเร ือเอก พระเจ ้าบรมวงศ ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศ ักดิ์ พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ เป็น พระเจ้าลูกยาเธอ องค์ที่ 28 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ประสูติใน พระบรมมหาราชวัง เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2423 เวลา 15.57 น. ตรงกับแรม 3 ค่ า เดือนอ้าย ปี มะโรง จุลศักราช 1242 เป็นพระลูกยาเธอองค์ที่ 1 ในเจ้าจอมมารดา โหมด ธิดา เจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ ( วร บุญนาค) สมุหพระกลาโหมใน รัชกาลที่ 5นับล าดับราชสกุลวงศ์เป็นองค์ที่ 28 ทรงมีพระนามเดิมว ่า พระองค์เจ ้าอาภากรเกียรต ิวงศ ์ ทรงเป ็นต ้นราชสก ุล “อาภากร”
พระองค์เจ้าสุริยงประยูรพันธุ์ พระองค์ทรงมีพระกนิษฐาและพระอนุชา ร่วมพระมารดา 2 พระองค์ คือ พระองค์เจ้า หญิงอรองค์อรรคยุพา ( สิ้นพระชนม์เมื่อทรง พระเยาว์ ) และพระองค์เจ้าสุริยงประยูรพันธุ์(ต่อมาได้ดำรงพระยศเป็น กรมหมื่นไชยาศรีสุริโยภาส - ต้นราชสกุล สุริยง )
โรงเรียนหลวง ณ พระต าหนักสวนกุหลาบ การศึกษา เมื่อเสด็จในกรมหลวงชุมพรฯ ยังทรงพระเยาว์ ทรงได้รับ การศึกษาชั้นแรก ใน พระบรมมหาราชวัง มีพระยาอิศรพันธ์โสภร (พูน อิศรางกูร) เป็นพระอาจารย์ และทรงศึกษา ภาษาอังกฤษกับ Mr.Morant ซึ่งเป็นชาวอังกฤษ และได้ทรงเข้าเป็นนักเรียน ในโรงเรียนหลวง ณ พระ ตำหนักสวนกุหลาบ ในปี พ.ศ. 2436 เมื่อเสด็จในกรมหลวงชุมพรฯ ทรงมีพระชนมายุได้ 13 พรรษา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ ให้เสด็จในกรมฯ เสด็จไปทรงศึกษาต่อ ณ ประเทศอังกฤษ พร้อมกับ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ซึ่งใน ขณะนั้น ทรงด ารงพระอิสริยศักดิ์เป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ามหา วชิราวุธ โดยมีเจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี เมื่อครั้งมีบรรดาศักดิ์ เป็นสมเด็จพระมนตรีพจนกิจ เป็นพระอภิบาล ได้เสด็จออกจากกรุงเทพฯ
โดย ร.ล.มกุฎราชกุมาร (ลำที่ 1 ) เมื่อ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2436 ไปยัง สิงคโปร์ ต่อจากนั้น ได้ทรงโดยสารเรือเมล์ ชื่อ "ออเดร เบิด" ไปถึงเมือง ตูรินในอิตาลี เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม แล้วเสด็จโดยทางรถไฟ ไปยัง กรุงปารีส และลอนดอนตามลำด ับ พระบาทสมเด็จพระมงก ุฎเกล ้าฯ ในขั้นแรก เสด ็จในกรมฯ ได ้เสด ็จประท ับร ่วมก ับ พระบาทสมเด ็จ พระมงกุฎเกล้าฯ ที่ "ไบรตัน" และ "แอสคอต" เพื่อทรงศึกษาภาษา และ วิชาเบื้องต้น เสด็จในกรมฯ ได้เคยตามเสด ็จ พระบาทสมเด็จพระมงก ุฎ เกล ้าฯ ไปเฝ้าสมเด็จพระราชินีนาถวิคตอเร ีย ที่พระราชวังวินด์เซอร์ ตลอดจนตามเสด็จ ไปทัศนศึกษาทั้งในอังกฤษ และประเทศในยุโรป จนกระทั่งถึงวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2438 เสด็จในกรมฯ จึงเสด็จไปเข้า โรงเรียนส่วนบุคคลส าหรับกวดวิชา เพื่อเตร ียมเข ้าศ ึกษา ในโรงเร ียนนาย
เร ืออ ังกฤษ ต ่อไป โรงเร ียนที่ทรงไปกวดชานี้มีชื ่อว ่า The Seines ตั้งอยู ่ แขวงกร ีน ิช ทางตะว ันออกเฉ ียงใต้ ของกร ุงลอนดอน ม ีนาย Littlejohns เป็นครูใหญ่ ผลการศึกษานี้พระอภิบาลได้ทรงกราบบังคมทูลรายงานว่า "... ความรู้ภาษาอังกฤษดีขึ้นตามธรรมดา แต่วิชากระบวนทหารเรือชั้นต้น ก็วิ่งขึ้น เร็วตามสมควร แต่การเล่นแข็งแรง เช่น ฟุตบอล เป็นต้น นับว่า เป็นชั้นยอดของโรงเรียน เกือบ ว่าไม่ม ีใครอาจเข ้าเทียบเทียม” ภาพเรือ revenge ขณะอยู่ในน่านน้ าเมดิเตอร์เรเนียน เป็นเรือที่ กรมหลวงชุมพรฯ ประจ าการอยู่ตอนที่เกิดวิกฤติการเกาะครีต เมื่อเสด็จในกรมฯทรงกวดวิชาแล้ว จึงเข้าศึกษาต่อในโรงเรียนนาย เรืออังกฤษ การศ ึกษาในโรงเรียนนายเร ือของอ ังกฤษนั้นจะต ้องฝ ึกห ัด ศ ึกษา หล ับนอนอยู ่ในเรือประมาณ 3-4 เทอม เมื่อสอบความรู้ได้แล้วจะ มีฐานะเป็นนักเรียนท าการนายเรือ (Midshipman) และไปฝ ึกในเร ือรบ ประจำกองเร ือต ่างๆ อ ีกประมาณ 1-2 ปี และก ็จะท าการสอบเพื่อเป็น นายเรือตรี ต่อจากนั้นศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยทหารเรือ โรงเรียนปืน
ใหญ่ และ โรงเรียนตอร์ปิโด จนได้เลื่อนยศเป็นเรือเอก เท่ากับนายทหาร รุ่นเดียวกัน เมื่อเสด็จในกรมฯ ทรงเป็นนักเรียนท าการนายเรือ ในราชนาวี อังกฤษ ทรงเล่าว่า "...เมื่อเป็นนักเรียนท าการนายเร ือ ในราชนาว ีอ ังกฤษ ได ้ม ีโอกาสขั้นทำการปราบจลาจลที่เกาะคร ีท ที่ทะเลเมด ิเตอร ์เรเน ียน เป็นเวลาราว 3 เดือน ต้องนอนกลางดิน กินกลางทราย หนาวก็หนาว ใน สนามรบ ต้องนอนกับศพที่ตายใหม่ๆ และบางคราว ซ้ ายังอดอาหาร ต้อง จ ับหอยทากมาเสวยก ับห ัวหอม ศพที่ถ ูกยิงที่ท้องนับว่าเหม็นร้ายกาจมาก ถึงจะเป็นศพตายใหม่ๆ ก็ตาม..." รวมเวลาที่เสด็จในกรมฯ ทรงศึกษาอยู่ใน ราชนาวีอังกฤษ 6 ปีเศษ
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯพระองค์เจ้าอาภากร(ประทับบนพื้น) และนายทหารเรืออังกฤษ ในขณะที่เสด็จในกรมฯ ทรงเป็นนักเรียนนายเรืออยู่ที่ประเทศ อังกฤษนั้นประจวบกับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ เสด็จประพาส ยุโรปเป็นครั้งแรก เมื่อ พ.ศ.2440 เสด็จในกรมฯ ทรงขอลาทางโรงเรียนมา รับเสด็จสมเด็จพระบรมชนกนาถ โดยเข้าร่วมกระบวนเสด็จที่เกาะลังกา จึง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รับต าแหน่งนักเรียนนายเร ือในเร ือพระที่นั่ง มหาจ ักรี ภายใต้การบังค ับบัญชาของผู้บัญชาการเร ือและได ้ทรงถ ือท ้าย เรือพระที่นั่งมหาจักรีด้วยพระองค์เอง เพื่อทรงแสดงความสามารถให้ ปรากฏแก่พระเนตร สมเด็จพระบรมชนกนาถ นอกจากนั้นในลายพระ หัตถเลขาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ที่พระราชทานสมเด็จ พระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ ได้กล่าวถึงเสด็จใน กรมฯ ความว่า
กรมหลวงชุมพรฯ "...ในเวลาที่เขียนหนังสืออยู่นี้ อาภากรกับหลวงสุนทรมาถึง อาภากร โตขึ้นมากและขาวขึ้น เขาแต่งตัวมิดชิพแมน (Midshipman) มาพร้อม แล้ว ฉันได้มอบให้อยู่ในบังคับกัปตันเป็นสิทธิขาด เว้นแต่วันนี้เขาอนุญาต ให้มากินข้าวกับฉันวันหนึ่ง..." เมื่อเสด็จในกรมฯ เข้าเฝ้า พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าฯ ในเรือพระที่นั่งมหาจักรีแล้ว สมเด็จพระบรมชนกนาถ ทรงมีพระราชปรารภเกี่ยวกับเสด็จในกรมฯ ว่า "...ชายอาภากรนั้น อัธยาศัยเป็นคนซื่อมาแต่เดิม เป็นผู้ที่สมควรแก่วิชาที่เรียนอยู่แล้ว ไม่เป็น คนที่มีอัธยาศัย ที่จะใช้ฝีปากได้ในกิจการพลเรือน แต่ถ้าเป็นการในหน้าที่ อันเดียวซึ่งช านาญคงจะมั่นคงในทางนั้น และตรงไปตรงมา การที่ได้พบ คราวนี้ นับว่าอัธยาศัยดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก" เมื่อพระองค์ได้ตามเสด็จ สมเด็จพระบรมชนกนาถไปในเรือพระที่นั่งจนถึงประเทศอังกฤษแล้ว จึง ทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ ให้ทรงศึกษาวิชาการทหารเร ือต่อไป หล ังจาก
ทรงสำเร ็จการศ ึกษาที ่โรงเร ียนนายอ ังกฤษแล ้ว ก ็เสด ็จกล ับประเทศไทย โดยทางเรือ ดังปรากฏรายละเอียดในหนังสือราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 17 ร.ศ. 119 ดังนี้ เรือสุริยะมณฑล ...ได้เสด็จลงเรือเมล์เยอรมัน ชื่อ "เบเยน" ที่เมืองเยนัว เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม รัตนโกสินทรศก 119 วันที่ 7 มิถุนายน รัตนโกสินทรศก 119 ถึงเมืองสิงคโปร์ หลวงภักดีบรมนารถ และหลวงสุนทรโกษา ได้ออกรับ เสด็จ ได้เสด็จพักอยู่ที่สิงคโปร์คืนหนึ่ง รุ่งขึ้นวันที่ 8 มิถุนายน รัตนโกสินทร ศก 119 ได้เสด็จลงเรือเมล์ชื่อ "สิงคโปร์" ออกจากสิงคโปร์ ต่อมาวันที่ 11 ม ิถ ุนายน ร ัตนโกส ินทรศก 119 เวลาทุ ่มเศษถ ึงปากน้ า โปรดเกล ้าฯ ให ้ พระเจ ้าน ้องยาเธอกรมหลวงประจักษ์ศิลปคม พระเจ้าน้องยาเธอกรมหมื่น พิทยาลาภพฤฒิธาดา และพระยาสีหราชเดโชไชย หลวงปฏิยัตินาวายุกต์ น าเรือสุร ิยะมณฑล ออกไปคอยร ับเสด ็จอยู่ ณ ที ่นั้นแล ้ว ทรงเร ือไฟ มาขึ้น ที ่เม ืองสม ุทรปราการ ทางรถไฟจากที่นั้น มาถ ึงสเตชั่นห ัวล าพองเวลายาม
เศษแล ้วเสด ็จทรงรถต ่อไป พระบาทสมเด ็จพระเจ ้าอยู ่ห ัว ได ้ทรงเสด ็จ พระราชดำเน ินโดยรถยนต์พระที่นั่ง เพื่อเสด็จไปรับพระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ที่สเตชั่นรถไฟเสด็จถึงแล้วได้ฝ้าทูลละออง ธุล ีพระบาทในรถพระท ี่นั่งที ่ถนนเจร ิญกร ุงแล ้วเสด ็จกล ับระบรมมหาราชวัง ครั้นรุ่งขึ้น วันที่ 12 มิถุนายน รัตนโกสินทร์ศก 119 เวลาสองทุ่มเศษ โปรด เกล้าฯ ให้มีการเลี้ยงพระบรมวงศานุวงศ์ พระราชทานเป็นเกียรติแก่พระ เจ้าลูกยาเธอพระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ ที่พลับพลาสวนดุสิตด้วย..." พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 เสด็จในกรมฯจึงนับเป็นพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์แรก ของ พระบาทสมเด็จพระจ ุลจอมเกล้าเจ ้าอยู่หัว ที่ได้เสด็จไปทรงศ ึกษา เกี่ยวก ับว ิชาการทหารเร ือย ังต ่างประเทศ ทั้งนี้เพราะพระบาทสมเด ็จ พระจ ุลจอมเกล ้าฯ ทรงม ีพระราชดำร ิว ่า “...ก ิจการทหารเร ือไทย เท่าที่ได้เป็นอยู่ในขณะนั้น ต้องอาศัยชาวต่างประเทศเป็นผู้บังคับบัญชา การเรือ และป้อมอยู่เป็นอันมาก จึงไม่สู้จะมีความมั่นคงเท่าใดนัก ดังจะ เห็นได้จาก เหตุการณ์ ร.ศ.112 (พ.ศ. 2463) เป ็นต ัวอย ่างอ ันดี ฉะนั้น จ ึงน ับว ่า เป ็นพระราชดำริ ที ่เหมาะสม ในการส ่งพระราชโอรสไปทรง ศึกษาวิชาการทหารเร ือในคร ั้งนี้..."
ทรงอภิเษกสมรส กรมหลวงช ุมพร และหม ่อมเจ้าหญิงท ิพยส ัมพันธ กรมหลวงชุมพรฯและหม่อมเจ้าหญิงทิพยสัมพันธ์ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าภาณุรังษีฯ ทรงมีพระธิดาองค์โต หม่อมเจ้าหญิงทิพยสัมพันธ์ คร ั้นพอเสด็จในกรมฯ สำเร ็จการศ ึกษาจาก อ ังกฤษ กล ับมาร ับราชการแล ้วนั้นสมเด ็จพระพุทธเจ้าหลวงก็ได้ทรงสู่ขอ พระธิดาองค์โต ของพระอนุชามาพระราชทานเสกสมรสให้เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2443
พระองค์เจ้าทิพยสัมพันธ์ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าทิพยสัมพันธ์ เป็นพระธิดาองค์โตใน สมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยา ภาณุพันธุวงศ์วรเดช กับหม ่อมเลี ่ยม ภาณุพันธุ์ ณ อยุธยา สตรีชาว เพชรบุรี เมื่อแรกประสูติทรงฐานันดรศักดิ์เป็นพระบิดาทรง "หม่อมเจ้า " ประสูติ ณ วังบูรพาภิรมย์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ "หญิงทิพย์ " ออกพระนามว่า 7 กรกฎาคม พ .ศ .2428 ส่วนพระนาม หม่อมเจ้าทิพยสัมพันธ์ ภาณุพันธุ์ นั้นได้รับพระราชทานมาจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทั้ง ยังทรงมีความใกล้ชิดกับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู ่หัวมา ตั้งแต่ทรงพระเยาว์ เพราะโปรดให้ตามเสด็จประพาสหัวเมืองด้วยเสมอ ซึ่ง ในสมัยนั้นกล่าวกันว่า ท่านหญิงทิพย์เป็นกุลสตรีที่มีพระสิริโฉมงดงามและ
เพียบพร้อมไปด้วยคุณสมบัติที ่ฝ่ายในพึงมี หลังการเกศากันต์ได้ไม ่นาน ท่านหญิงทิพย์ก็ได้เข้าไปฝึกหัดอย่างชาววังในส านักของพระเจ้าบรมวงศ์ เธอ พระองค์เจ้าศรีวิไลยลักษณ์ สุนทรศักดิกัลยาวดี กรมขุนสุพรรณ ภาควดี เรียนรู้การเรือน และภาษาต่างประเทศตามที่กุลสตรีชั้นสูงพึงมี คุณสมบัติเพียบพร้อมสมบูรณ์ทุกประการ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ด้วยความเห็นชอบว่าสมกันดี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 จึงทูลกับสมเด็จวังบูรพาผู้เป็นพระอนุชาว่า "จะขอหม่อมเจ้าหญิงทิพย์ สัมพันธ์ให้ไปเป็นชายาพระราชโอรสของพระองค์คือ พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าชายอาภากร เจ้าชายหนุ ่มรูปงามที ่เพิ ่งส าเร็จการศึกษา หลักสูตรทหารเรือจากประเทศอังกฤษ " หม่อมเจ้าหญิงทิพย์สัมพันธ์ก็มิได้ ขัดข้องแต่ประการใด จึงเกิดงานมงคลสมรส สร้างความปลื้มปิติยินดีไปทั่ว
วังหลวง พระเจ้าอยู่หัวเองก็ทรงพอราชหฤทัยเป็นอย่างยิ่ง ถึงกับทรงพระ กรุณาโปรดเกล้าฯให้ทั้งสองพระองค์เข้ารับพระราชทานน้ าสังข์ในพิธี อภิเษกสมรส ณ พระที ่นั ่งจักรีมหาปราสาท พระบรมมหาราชวัง และ พระราชทานเลี้ยงพระกระยาหารอีกด้วย นับเป็นงานสมรสงานแรกใน ประเทศไทยที ่มีการรื ่นเริงเลี้ยงอาหารซึ ่งเป็นแบบอย ่างต ่อกันมาจน ปัจจุบัน กรมหลวงชุมพรฯ และวังนางเลิ้ง ในตอนค่ าวันเดียวกันนั้นทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระสัม พันธวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพรรณราย และเจ้าคุณพระประยูรวงศ์ เจ้าคุณ จอมม า รด าแพ ออกไปส ่งตัวท ่านหญิงที ่วังน างเลิ้ง อันเป็น วังที่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานเป็นที่ประทับ ทั้ง สองพระองค์ทรงครองรักกันเรื่อยมาจนมีพยานรักร่วมกันเป็นพระโอรส 3 พระองค์ แต่แล้วความรักความสุขที่มีร่วมกันก็เริ่มจางไป ด้วยมีเรื่องต้อง ขุ ่นข้องหมองใจอยู ่เป็นนิจ ไม ่ว ่าจะเป็นเรื ่องหน้าที ่ทางราชการของ พระองค์ชายอาภากรที่มากขึ้น ท าให้มีเวลาอยู่ร่วมกันน้อยลง และอีกเรื่อง
ที่เห็นจะเป็นชนวนใหญ ่ของปัญหาชีวิตคู ่นี้ ก็คือเรื ่องที ่พระองค์เจ้าชาย อาภากร รับเอาหม่อมเล็กๆเข้ามาอยู่ในวังด้วย ท าให้ปัญหาต่างๆเริ่มสั่งสม เพิ่มขึ้นเรื่อง ช่วงชีวิตหลังสมรสของพระองค์ แทบจะไม่ได้กลับวังของพระองค์ ทรงกินนอน ฝึกสอนทหารเรือตลอดเวลา ตลอดจนทรงเดินทางทั้งส่วน พระองค์และราชการต่างเมืองบ่อยจึงไม่ใคร่มีโอกาสได้อยู่ด้วยกัน หม่อม เจ้าหญิงทิพย์สัมพันธ์ ทรงมีพระอาการน้อยพระทัย พระสวามี ในวันหนึ่งก็ เกิดเหตุไม ่คาดฝันขึ้น หม ่อมเจ้าทิพยสัมพันธ์ ได้ตัดสินพระทัยปลงพระ ชนม์ชีพพระองค์เองด้วยการเสวยพระสุธาพิษ เมื ่อวันที ่ 26 กรกฎาคม พ .ศ .2451 และได้สิ้นชีพิตักษัยเวลา 10.50 นาฬิกา พระชนม์ 23 ปี ขณะที ่หม ่อมเจ้ารังษิยากร พระโอรสองค์เล็กมีพระชนมายุได้เพียง 1 พรรษา พระองค ์ทรงม ีโอรส และพระธิดา 3 พระองค์คือ 1. มจ. เกียรติ อาภากร ประสูติและสิ้นชีพิตักษัยในว ันเด ียวกัน 2. (พล.ท. , พล.ร.ท., พล.อ.ท) พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ ท ิพยอาภา 3. พล.อ.ท. มจ.รังษิยากร อาภากร บรรดาหม ่อมของเสด็จในกรม 1. หม่อมกิม 2. หม่อมแฉล้ม 3. หม่อมเมี้ยน 4. หม่อมช้อย 5. หม่อมแจ่ม
พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ท ิพยอาภา สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงทรงสลดพระทัยนัก เนื่องเพราะทรงเป็นผู้สู่ ขอ ด้วยพระองค์เอง และทรงเป็นพระปิตุลาโดยตรง ของหม่อมเจ้าหญิง อีกด้วย เหตุนี้สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง จึงทรงมีพระเมตตาต่อพระราช โอรสพระองค์ใหญ่ ของหม่อมเจ้าหญิงเป็นพิเศษ ทรงโปรดเกล้าฯ ตั้งขึ้น เป็นพระองค์เจ้า คือ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา และ เป็น "หลานรัก" ที่สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ทรงพระเมตตาเอ็นดูเป็น พิเศษ
ทรงเข้ารับราชการ เรือพาลีรั้งทวีป เรือสุครีพครองเมืองบ เรือปืนพญาพานนเรนทร หลังจากที่เสด็จในกรมฯ เสด็จกลับมาถ ึงกร ุงเทพฯแล ้ว ในว ันที่ 23 ม ิถ ุนายน พ.ศ.2443 จึงได้รับพระราชทานยศ เป็น นายเรือโท (เทียบเท่า นาวาตรีในปัจจุบัน) ทั้งนี้ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ จะให้เป็นผู้บังคับการ เรือปืน ที่ก าลังจัดซื้อ คือ ร.ล.พาลีรั้งทวีป หรือ ร.ล.สุครีพครองเมือง ล าใด ล าหนึ่ง ในขั้นแรก ทรงรับราชการ ในต าแหน่ง "แฟลคเลบเตอร์แนล" (นาย ธง) ของผู้บัญชาการกรมทหารเรือ คือ พลเรือโทพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรม หลวงประจักษ์ศิลปคม เสด็จในกรมฯได้ทรงส ารวจการป้องกันล าน้ า เจ้าพระยา และได้ทูลเกล้าฯ ถวายรายงานต่อผู้บัญชาการกรมทหารเร ือ โดย ละเอียด ทรงร ิเริ่มกำหนดแบบส ัญญาณธงสองม ือและโคมไฟ ตลอดจนเริ่ม ฝึกพล "พลอาณัติสัญญา" (ทัศนสัญญาณ) ขึ้นเป็นครั้งแรกในปีนี้ พลเรือโท พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงประจักษ์ศิลปคม ผู้บัญชาการกรมทหารเรือ ทรงพอพระทัย ในการปฏิบัติงานของเสด็จในกรมฯมากทรงยกย่องว ่า ทรงมีความรู้จริง และมีความกระตือรือร้นที่จะทำงาน
กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ในวันที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ.2444 เสด็จในกรมฯ ได้รับพระราชทาน ยศเป็นนายเรือเอก (เท ียบเท ่านาวาเอกในป ัจจ ุบ ัน) และได ้ตามเสด ็จ พระบาทสมเด ็จพระจ ุลจอมเกล ้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสชวาในเรือพระ ที่นั่งมหาจักรี ในระหว่างวันที่ 5 พฤษภาคม ถึงวันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2444 ครั้นต่อมาในวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2444 จึงทรงพระกรุณา โปรด เกล้าฯ ให้เป็นรองผู้บัญชาการกรมทหารเรือ ในวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ.2447 ทรงพระ กร ุณา โปรดเกล ้าฯ ให ้เลื่อนยศ เสด ็จในกรมฯ จาก นาวาเอก เป ็นพลเร ือตรีและคงทรงดำรงต าแหน่ง รองผู้บัญชาการกรม ทหารเรือ ครั้นในวันที่ 10 พฤศจิกายน ในปีเดียวกันนี้ ทรงพระกรุณาโปรด เกล้าฯ สถาปนาพระอิสร ิยศ เป็น กรมหม ื่นชุมพรเขตอุดมศ ักด ิ์
ในวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ.2448 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นาวาเอกหม่อมไพชยนต์เทพ (ม.ร.ว.พิณ สนิทวงศ์) เจ้ากรมยุทธศึกษาทหารเร ือ ออกจากราชการ ตามที่ได ้กราบบ ังคมท ูลลา ฉะนั้นจ ึงได ้ทรงพระกร ุณาโปรดเกล ้าฯ ให้ เสด็จในกรมฯทรงท าการในต าแหน่งเจ้ากรมยุทธศึกษาทหารเรือ จนถึง พ.ศ.2449 จึงได้ทรงเป็นเจ้ากรมยุทธศึกษาทหารเรือ เมื่อเสด็จในกรมฯ ทรงด ารงต าแหน่งเจ้ากรมยุทธศึกษาทหารเรือ แล้ว ได้ทรงแก้ไข ปรับปรุงการศึกษา ระเบียบการ ในโรงเรียนนายเรือทุก อย่าง ทั้งฝ่ายปกครอง และฝ่ายวิชาการ ให้รัดกุม ทัดเทียมอารยะประเทศ เพื่อให้ผู้ที่ส าเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนี้ เป็นนายทหารเร ือที่ม ีความรู้ ความสามารถเสมอด ้วยก ับนายทหารเร ือต ่างประเทศ และสามารถทำ การแทน ในต าแหน่งชาวต่างประเทศที่รับราชการอยู่ในกองท ัพเรือใน ขณะนั้นอีกด ้วย พระราชวังเดิม ถึงแม้ว่าเสด็จในกรมฯ จะทรงแก้ไข ปรับปรุง ระเบียบการศึกษา ให้ มีความก้าวหน้า แต่สถานที่ตั้งโรงเรียนนายเรือนั้น ไม่มีที่ตั้งเป็นหลัก แหล่งที่มั่นคง ต้องโยกย้ายสถานที่เรียน บ ่อยๆ ซึ่งเป ็นเหต ุผลประการ
หนึ่งที่ทำให ้ผลการเร ียนของน ักเร ียนนายเร ือไม ่ด ีเท ่าที ่ควร เสด็จในกรม ทรงพยายามทุกวิถีทาง ที่จะปรับปรุงกิจการด้านนี้ให้ก้าวหน้า จึงได้น า ความขึ้นกราบบังคมท ูล พระบาทสมเด็จพระจ ุลจอมเกล้าเจ ้าอยู ่ห ัว ขอ พระราชทานที่เพื ่อตั้งเป ็นโรงเรียนนายเรือ ซึ่งได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า พระราชทานที่ดินบริเวณ พระราชวังเดิมฝั่งธนบุรี และได้ดัดแปลงเป็น โรงเรียนนายเรือ เมื่อปี พ.ศ.2448 จึงนับวางรากฐานของทหารเร ือ ได้ หยั่งลงแล้วในการนี้ ซุ้มประตูทางเข้าโรงเรียนนายเรือ "... ต่อมาเมื่อปี 2448 นายพลเรือเอกพระเจ้าพี่ยาเธอกรมหลวงชุมพร เขตอุดมศักดิ์ได้ เสด็จด ารงต าแหน่งเจ้ากรมย ุทธศ ึกษาทหารเร ือ อ ีก ต าแหน ่งหนึ่ง เพื่อจ ัดการโรงเร ียน ได ้ทรงเพิ่มวิชาสามัญชั้นสูงขึ้น กับมี วิทยาศาสตร์ เพิ่มเติมบ้างส่วนวิชาการเดินเรือนั้น ก็ทรงให้คงอยู่ตาม ความประสงค์เดิม แต่ขยายหลักสูตรกว้างขวางออกไป ทั้งทรงตั้ง โรงเรียนนายช่างกลขึ้นเป ็นครั้งแรกด ้วย..." ว ิชาสำหร ับน ักเร ียนช ่าง
กลที่ศ ึกษานี้ บางว ิชาก ็เร ียนรวมก ันกับนักเรียนนายเรือ และบางวิชาก็ แยกไปศึกษาโดยเฉพาะ ส่วนระเบียบการปกครองก็เป็นไปแบบเดียวกับ นักเรียนนายเรือ หอสมเด็จว ัดโมลีโลกยาราม เมื่อมีโรงเรียนเพิ่มขึ้นเป็นสองโรงเรียน ทางราชการจึงได้รวมการ บังคับบัญชาโรงเรียนทั้งสองแห่งเข้าด้วยกัน และตั้งเป็นกองบังคับการขึ้น ใหม่ เรียกว่า "กองโรงเรียนนายเรือ" ค าว่า "กองโรงเรียนนายเรือ" จึง ปรากฏในท าเนียบทหารเรือตั้งแต่ครั้งนั้นเป็นต้นมา และเพื่อขยายกิจการ ของโรงเรียนให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นอีก ได้ทรงด าเนินการจัดซื้อที่ดินด้านหลัง ของโรงเรียนนายเรือในขณะนั้น จนจรดคลองวัดอรุณราชวราราม (เว้น ทางหลวง) ทรงสร้าง โรงงานช่างกลส าหรับฝึกหัดนักเรียนช่างกล และได้ สร้างโรงอาหาร ส าหรับนักเรียนนายเรือต่อกันไปจากโรงงาน บริเวณ นอกจากนั้นให้ท าเป็นสนาม ซึ่งต่อมาพื้นที่บริเวณสนามด้านหน้าวัดโมลี โลกยาราม (วัดท้ายตลาด) ก็ได้จัดสร้างเป็นโรงเรียนจ่าขึ้น จึงท าให้
บริเวณกว้างขวางขึ้นอีกมากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ ทรงพระกรุณาเสด็จพระราชด าเนิน ไปทรงกระทำพ ิธ ีเป ิดโรงเร ียนนายเร ือ ด ้วยพระองค ์เอง เมื่อว ันที่ 20 พฤศจ ิกายน พ.ศ.2449 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงบันทึกลายพระหัตถ์เป็น ข้อความในสมุดเยี่ยมโรงเรียนนายเรือว่า วันที่ 20 พฤศจิกายน ที่จึงถือเป็นวันมงคล และก าหนดให้เป็น "วัน กองทัพเรือ" อนึ่งเสด็จในกรมฯทรงเห็นว่าควรจะได้ฝึกหัดให้ทหารเรือไทยเดินเรือ ทะเลได้อย่างชาวต่างประเทศ เพราะในสมัยนั้นคนไทยยังต้องจ้างชาว ต่างประเทศมาเป็นผู้บังคับการเรือเป็นส่วนมาก ส าหรับคนไทยที่มี ความสามารถเดินเรือทะเลบริเวณอ่าวไทยได้ ก็มีแต่พวกอาสาจากบางคน ที่อาศ ัยความชำนาญเพ ียงอย ่างเด ียวเท ่านั้น ไม ่ได ้เกี่ยวด ้วยหล ักว ิชาเลย ด ังนั้นเสด ็จในกรมฯ จ ึงได ้ทรงร ิเริ่มที่จะท าการฝ ึกห ัด และส ั่งสอน นายทหารเร ือให ้ม ีความรู้ความช านาญ ในการเด ินเร ือทะเล มากยิ่งขึ้นซึ่ง
น ับได ้ว ่าเป ็นพระดำร ิที่ดี และสำค ัญอย ่างยิ่งอย่างหนึ่งในทางการทหารเรือ ของราชนาวีไทย และทางกองเรือก็ได้ยึดถือแบบฉบับอันดีงามนี้ ดำเนินการต่อมาจนตราบเท่าทุกวันนี้ ในทางด้านการกีฬา เสด็จในกรมฯได้ทรงขอครูมาจากกระทรวงธรรม การ เพื่อมาสอนบาร์คู่ บาร์เดี่ยวและห่วง เพื่อให้นักเรียนฝึกหัด จนได้ผล เป็นอย่างดียิ่ง เพราะปรากฏว่านักเรียนมีสุขภาพดี และแข็งแรงขึ้นเป็นอัน มาก และทุกวันพฤหัสบดีตอนบ่ายทุกคนต้องท าความสะอาดเรียบร้อยทุก อย่าง เช่น เตียงนอนเครื่องสนาม หม้อข้าว หีบเสื้อผ้าตลอดจนเล็บฟัน เป็นต้น เรือยงยศอโยชฌิยา ใน พ.ศ.2449 เสด็จในกรมฯ ได้ทรงน านักเรียนนายเรือทั้งหมด ไป ฝึกหัดทางทะเล ด ้วยเร ือยงยศอโยชฌ ิยา เร ือลำนี้เป ็นเร ือกลไฟ ขนาด กลาง ม ีเสาใบพร ้อมแต ่ทรงให ้ต ิดพรวนชั้นต่ าข ึ้นอีกเป็นพิเศษ และได้ให้ นักเร ียนขึ้นเสา ลงเสา กางใบ ถือท้ายใช้เข็มทิศ ทิ้งดิ่งและการเรือทุกชนิด เวลาใดที่มีคลื่นจัด เรือลำนี้ก็จะโคลง จึงท าให้นักเรียนทั้งหลาย หายเมา
คลื่นไปตามๆ กัน แต่ทรงฝึกให้บรรดานักเรียนทั้งหลายหายเมาคลื่น โดย ให้ขึ้นลงเสาจนชิน เพราะทรงถือว่า "ทหารเรือต้องเมาคลื่นไม่เป็น" พลเรือโทพระยาราชวังสัน (ศรี กมลนาวิน) การไปฝึกครั้งนี้ได้ไปทางภาคตะวันออกของอ่าวไทย จนถึงจังหวัด จันทบุรี ราวหนึ่งเดือนจึงกลับ ภายใต้การบังคับบัญชาของพระองค์ท่าน และพลเรือโทพระยาราชวังสัน (ศรี กมลนาวิน) ปรากฎผลว่านักเรียน มี ความคล่องแคล่ว และเข้มแข็งในการเดินเรือเป็นอย่างดียิ่ง นอกจากทรง ใฝ่พระทัย ในด้านการศึกษาของนักเรียนนายเร ือแล้ว เสด็จในกรมฯ ทรง ดำริ สำหร ับการช ่วยเหล ือราษฎรในด ้านการด ับเพล ิงนั้น ควรจะได ้ให ้ น ักเร ียนนายเร ือได ้ม ีการฝ ึกท าการช ่วยเหล ือราษฎร ทำการด ับเพล ิง เนื่องจากในสมัยนั้นพระนครธนบุรี ไม่มีกองดับเพลิงที่อื่นเลย นอกจากที่ กรมทหารเรือแห่งเดียว เพราะมีเร ือสูบน้ า และเร ือกลไฟเล็ก ซึ่งขึ้นอยู่กับ
กรมเร ือกลอยู่แล้ว และมีหน ้าที่ด ับเพล ิง ฉะนั้นเมื่อเก ิดเพล ิงไหม ้ที่ใด เร ือ กลไฟจะทำหน ้าที่ลากจ ูงเร ือส ูบน้ าไปทำการด ับเพล ิงเป ็นประจ า ทรงตั้ง กองดับเพลิงขึ้น เสด็จในกรมฯ ได้ทรงฝึกหัดอบรมสั่งสอนนักเรียนนายเรือแล้ว ยังได้ ทรงเห็นความสำค ัญในการศ ึกษาของพลทหารเร ือ ซึ่งถ ูกเกณฑ์มาร ับ ราชการอ ีกด ้วย จ ึงได ้ทรงตั้งโรงเรียนต่างๆ ดังนี้ วันที่ 11 เมษายน พ.ศ.2449 ตั้งกองโรงเรียนพลทหารเร ือที่ 1 ที่จังหว ัด สมุทรสงครามวันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ.2449 ตั้งกองโรงเรียนพลทหารเร ือ ที่ 2 จ ังหวัดสมุทรสาคร วันที่ 15 มีนาคม พ.ศ.2449 ตั้ง กองโรงเรียนพลทหารเรือที่ 5 ที่ต าบล บางพระจ ังหวัดชลบ ุรี และตั้งกองโรงเรียนพลทหารเรือที่ 6 ณ ต าบล บ้านแพ จังหวัดระยอง และตั้งกองโรงเรียนพล ทหารเร ือที่ 7 ที่ จังหวัด จันทบุรี วันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ.2451 ตั้ง กองโรงเร ียนพลทหารเร ือที่ 4 จ ังหวัดสมุทรปราการ วันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ.2451 ตั้ง กองโรงเรียนพลทหารเรือที่ 3 ที่จังหวัดพระประแดง
เรืออ ัคเรศรัตนาสน ์ ในการตั้งกองโรงเรียนต่างๆ ดังกล่าวมาแล้วนี้ นอกจากจะได้ฝึกหัด อบรมพลทหารเร ือ ให ้ได ้ร ับการศ ึกษาแล ้ว ย ังทรงหว ังที่จะให ้เป ็นหน ่วย กำล ังทหารสำหร ับร ักษาชายฝั่งทะเลอีกด้วย สิ่งก่อสร้างก็ดี กิจการต่างๆ ของแต่ละกองก็ดีได้จัดท าขึ้นคล้ายคลึงกัน และแล ้วแต ่ความเหมาะสม ก ับ สถานที่ของหน ่วยนั้นๆ และพระองค ์ได ้เสด ็จ ไปทรงด ูแลสั่งสอนทหาร ตามกองโรงเรียนต่างๆอย่างใกล้ชิดเสมอ จะเห็นได้จากกองจดหมายของ นาวาตรี หลวงรักษาทรัพย์ (รักษ์ เอกะวิภาต) เข ียนไว้ตอนหนึ่งว่า "...เรื่องปลูกสร้าง ตั้งกองทหารที่บางพระชลบุรี เมื่อปลูกสร้างเสร็จ แล้วได้แบ่งเอาทหารที่อยู่ ในกรุงเทพฯ ทั้งฝ่ายบกและฝ่ายเร ือ ตลอดจน ฝ่ายธุรการ ทุกแผนก แห ่งละครึ่งหนึ่ง ให้เตรียมตัวขนของลงบรรทุกเรือ อยู่ 3 วัน คือ เรือมกุฎราชกุมาร เรือมูรธาสิตสวัสดิ์ เร ืออ ัคเรศร ัตนาสน์ เร ือส ุร ิยะมณฑล เร ือนฤเบนทรบ ุตรี เร ือจ าเร ิญ รวม 6 ล า บรรท ุกของ เพียบไปตามๆ กันเสร็จแล้วออกเรือ แต่เจ้าพ่อประทับในเรืออัคเรศฯ พร้อมด้วยพวกฝ่ายธุรการ..."นอกจากนี้เสด็จในกรมฯ ยังได้ทรงฝึกหัดให้ ทหารเรือได้ซ้อมรบบนบก ในบริเวณจ ังหวัดชลบ ุรี เพื่อให้ทหารเรือมี ความรู้ ความช านาญในทางบกอีกด ้วย
เรือหลวงมกุฎราชกุมาร (ล าที่ 1) ใน พ.ศ.2450 เสด็จในกรมฯ ได้ทรงน าคณะนักเรียนนายเรือ และนักเรียน นายช่างกล ประมาณ 100 คนไป "อวดธง" ที่สิงคโปร์ ปัตตาเวียชวา และ เกาะบิลลิทัน โดย ร.ล.มกุฎราช กุมาร (ล าที่ 1) ในการเดินทาง ไป ต่างประเทศครั้งนี้นับเป็นครั้งแรก และเสด็จในกรมฯ ทรงบัญชาการฝึก นักเรียนนายเรือด้วยพระองค์เอง ให้นักเรียนท าการ ฝึกหัดปฏิบัติการใน เรือทุกอย่าง เพื่อให้มีความอดทนต่อการใช ้ช ีว ิตด ้วยความล าบาก เพื่อให ้ ร ่างกายแข ็งแรง และเพื่อให ้เป ็นผู ้เชี ่ยวชาญในการปฏ ิบ ัติหน้าที่ของตน จริงๆ มีความกล้าหาญรักชาติ ให้รู้จักชีวิต ของการเป็นทหารเรือโดย แท้จริง ซึ่งผู้บังคับเรือเองพร้อมด้วยนักเรียน และจะต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญ
ในการปฏิบัติการต่างๆในเรือ ทุกฝ่ายต้องรู้จักหน้าที่ตั้งแต่พลทหาร จนถึง นายทหาร นักเรียนนายเรือได้ฝึกอย่างจริงจังเผชิญทั้งภัยธรรมชาติ ทั้งการฝึกของพระองค์ ดังจะกล่าวให้ทราบเพียงบางส่วน เช่น ในระหว่าง ที่เรือแล่นจาก สิงคโปร์ เรือได้แล่นลัดช่องทาง เดินเรือระหว่างเกาะแก่ง มาหลายวัน ขณะที่แล่นอยู่ในระหว่างเกาะเล็กๆ 2 ข้าง ปรากฏเป็นคลื่น คะนอง คลื่นลูกใหญ ่ซัดเร ือท าให้เร ือเอียงไปมาเสด็จในกรมฯซึ่งขณะนั้น ประท ับอยู ่ท ้ายเรือ รีบเสด็จขึ้นไปบนสะพานเดินเรือ ทรงเปลี่ยนเข็มเบน หัวเรือและลดฝีจักรเรือ รับสั่งให้ทางห้องเครื่องจักรระวังเครื่องให้พร้อม เพรียงที่สุด ขณะนั้นภายในเรือเกิดการโกลาหลชั่วขณะหนึ่ง แต่ด้วยพระ สติปัญญา อันสุขุมของพระองค์ และทรงพิจารณาสั่งการต่างๆ ตลอดจน อธิบายให้นักเร ียนและทหารในเร ือม ิให ้ตื่นเต ้น หร ือหวาดกล ัวจนเก ินไป จนท าอะไรไม่ถูก จึงทรงหาทางปลอดภัยให้แก่เรือได้ เรือหลวง มกุฎราชกุมาร จึงได้แล่นไปโดยสวัสดิภาพ จนเข้าช่องลิกา (Linga Strait)
เพื่อทอดสมอ และท าพิธีข้ามเส้นอิเคว ทหารประจ าเรือ ซึ่งล้วนแล้วแต่ เป็นคนไทยทั้งสิ้น การออกฝึกครั้งนั้น นอกจากจะท าให้นักเรียนนายเร ือ ได้รู้จ ัก ปฏ ิบ ัต ิการจร ิงๆ ทางทะเลแล้ว ยังทรงน าสิ่งใหม่ มาสู่วงการทหารเรืออีก คือแต่เดิมเรือรบของไทยทาสีขาว พระองค์ได้ทรงเปลี่ยนสีเรือ มกุฎราชกุมาร ให้เป็นสีหมอกตามแบบอย่างเรือรบอังกฤษ และต่อมาเรือ รบทุกล าของไทยก็ทาสีหมอกมาจนทุกวันนี้ จอมพลเรือสมเด็จเจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิจ ครั้นถึงสมัยรัชกาลที่ 6 เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ.2453 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล ้าเจ ้าอยู ่ห ัว ได ้ทรงเห ็นความสำค ัญของ ก ิจการทหารเร ือ จ ึงได ้ทรงพระกร ุณาโปรดเกล ้าฯ ให้จอมพลเรือสมเด็จ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิจ ทรงด ารงต าแหน่ง
เสนาบดีกระทรวงทหารเรือ และในวันที่ 23 ธันวาคม ศกเดียวกันนี้ ก็ได้ ทรงพระกรุณา โปรดเกล ้าฯ ให ้เสด ็จในกรมฯ ซึ่งขณะนั้นก าล ังทรงดำรง ตำแหน ่งเจ ้ากรมย ุทธศ ึกษาทหารเร ืออ ีกต าแหน่ง ท าไมนักเรียนนายเรือจึงเรียกพระองค์ว่า “เสด็จเตี่ย” ส่วนกรณีที่นักเรียนนายเรือพากันเรียกพระองค์ว่า “เสด็จเตี่ย” นั้น พลเรือโท ศรี ดาวราย สันนิษฐานว่า มาจากการที่พระองค์ทรงขัดดาดฟ้า ให้นักเรียนนายเรือใหม่ๆ ที่ฝึกภาคทางทะเลบนเรือหลวงพาลีรั้งทวีปดู เป็นแบบอย่าง ในปี พ .ศ.2462 หลังจากที่ทอดพระเนตรเห็นนักเรียน เหล่านั้นท างานนี้ด้วยท่าทางเงอะงะเก้งก้าง โดยตรัสกับพวกนักเรียน เหล่านั้นว่า “อ้ายลูกชาย มานี่เตี่ยจะสอนให้”
ทรงถูกปลดจากราชการ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ครั้นถึงวันที่ 14 เมษายน พ.ศ.2454 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎ เกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดให้พระองค์ออกจากราชการอยู่ ชั่วระยะหนึ่งรวม เวลาที่เสด็จในกรมฯ ทรงรับราชการ 11 ปี เรื่องที่ นายพลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดม ศักดิ์ทรงถูกปลดจากราชการทหารเรือในตอนต้นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระ มงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น มีผู้กล่าวถึงกันหลายกระแส
น(เจือ สหนาวิน) หลวงเจนจบสมุทร.ต. กระแสหนึ่งที่มีการอ้างถึงกันมากคือ เรื่องที่นักเรียนนายเรือวิวาทกับ มหาดเล็กในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า เจ้าอยู่หัวในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่ง นายนาวา ตรี หลวงจบเจนสมุท (เจือ สหนาวิน ) ได้บันทึกไว้ว่าหนึ่งนักเรียนนายเรือ หนุ่ม 2 คนซึ่งเป็นศิษย์ของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดม ศักดิ์แต่งตัวเครื่องแบบขาวนักเรียนนายเรือเดินผ่านไปทางถนนสนามไชย ผ่านพวกมหาดเล็กหนุ่มๆ กลุ่มใหญ่ที่ก าลังเตะฟุตบอลกันอยู่ พอมหาดเล็ก เห็นนักเรียนนายเรือ 2 คน ซึ่งหนึ่งในสองคนนั้นคือ นักเรียนนายเรือเจือ สหนาวิน เดินผ่านไป แล้วหยุดท าความเคารพธงชาติตอนหกโมงก่อนที่จะ ก้าวเดินออกไปพร้อมกัน ในขณะเดียวกันพวกมหาดเล็กเกิดนึกสนุกขึ้นมาส่ง เสียงเป็นจังหวะว่า หนึ่ง หนึ่ง หนึ่งสอง ตามจังหวะก้าวเดิน นักเรียนนายเรือ เห็นมหาดเล็กมาลูบคม จึงเกิดถามท านองต่อว่ากัน ถามกันไปถามกันมาไม่มี
ใครยอมรับ ก็เลยเกิดเป็นมวยหมู่ขึ้นมาระหว่างนักเรียนนายเรือ 2 คนและ มหาดเล็กหลายสิบชกต่อยกันชุลมุนอยู่พักใหญ่ มหาดเล็กตะโกนให้ทหาร ยามหน้ากระทรวงกระลาโหมจับนักเรียนนายเรือ ทหารยามไม่กล้าจับ มี นายทหารคนหนึ่งเห็นเหตุการณ์ก็ร้องบอกให้นักเรียนนายเรือหลบหนีไปเสีย เพราะว่าก าลังของอีกฝ่ายมากกว่า นักเรียนนายเรือทั้งสองก็เลยแหวกพวก มหาดเล็กซึ่งไม่กล้าท าอะไรจริงกลับบ้านไปได้ รัชกาลที่ 6 เมื่อความทราบไปถึงผู้บังคับการโรงเรียน นายนาวาตรี หลวงพินิจจักร พันธุ์ (สุริเยศ อมาตยกุล) ภายหลังเลื่อนขึ้นเป็นพระยาสาครสงครามเรียกตัว ไปตักเตือนและให้ท ารายงาน เรื่องที่นึกว่าจบกันไปแล้วก็กลับลุกลามเป็น เหตุใหญ่โต ด้วยมหาดเล็กกลุ่มนั้นไปกราบบังคมทูลฟ้องสมเด็จพระบรม โอรสาธิราชฯ ว่าถูกนักเรียนนายเรือมาข่มเหงถึงหน้าวัง สมเด็จพระบรม โอรสาธิราชฯ กริ้วว่าผู้ก่อเหตุเป็นนักเรียนของกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ม า รังแกมห าดเ ล็กของพ ร ะองค์ จึงท รงท าเ รื่องก ร าบบังคมทูล พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท
กรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์ เมื่อกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ทรงทราบและทรงสืบสาวราวเรื่อง หาข้อเท็จจริงได้แล้ว ก็ไปเฝ้าพระเจ้าลูกยาเธอกรมหมื่นราชบุรีดิเรก ฤทธิ์เสนาบดีกระทรวงยุติธรรม ชวนกันไปเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กราบบังคมทูลว่าในความเป็น จริง มีนักเรียนนายเรือแค่ 2 คนเท่านั้น แต่มหาดเล็กหลายสิบคน ใครข่มเหง ใครกันแน่ ไม่มีกฎหมายที่ไหนออกว่าคนน้อยข่มเหงคนมาก กรมหมื่นราชบุรี ดิเรกฤทธิ์ก็ทรงสนับสนุนว่าเป็นความจริง ทั่วโลกไม่มีกฎหมายว่าคนน้อยข่ม เหงคนมาก มีแต่คนมากข่มเหงคนน้อย
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงผินพระพักตร์ไปทาง สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ แล้วมีกระแสพระราชด ารัสว่า “พ่อโตก็ไม่ควร เอาเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้มากล่าวให้เป็นเรื่องเป็นราว เสียเวลา” นายเจือ ก็เลยรอดพ้นจากความผิด เรียนจบเข้ารับราชการในกองทัพเรือ เข้าวังได้ ใกล้ชิดกับพระโอรสธิดาที่ทรงพระเยาว์ จนกระทั่งชราจึงได้เขียนบันทึกเรื่อง นี้ไว้ให้รู้กันส าหรับคนรุ่นหลัง นอกจ ากนั้น ยังมีเ รื่องเ ล่ าในหมู่ทห า รเ รืออีก ว่ า เมื่อแ รกที่ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จเสวยสิริราชสมบัตินั้น นายพล เรือตรีพระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหมื่นชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ บังคมทูลเชิญเสด็จ พระราชด าเนินไปทรงเยี่ยมโรงเรียน พระราชด าเนินกลับแล้วถึงได้เกิดเรื่อง ขึ้นมา เมื่อนักเรียนนายเรือหนุ่มบางคนไม่ระวังปาก พูดจาพาดพิงถึง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในท านองล้อเลียนว่าพระเกศาบางบ้าง อวด ว่าเจ้านายตนเก่งกว่าบ้าง พูดจากันเสียงดังไปหน่อย สันนิษฐานว่าเสียงลอย
ลมข้ามคลองวัดแจ้งไปถึงบ้านพระยานรฤทธิ์ราชหัช ความจึงทราบถึงพระ เนตรพระกรรณ เพราะเป็นไปได้ว่าพระยานรฤทธิ์ราชหัชน าความขึ้นกราบ บังคมทูล ไม่ใช่ว่าเป็นคนช่างฟ้อง แต่ทว่าเรื่องหมิ่นพระบรมเดชานุภาพนี่ถ้า รู้แล้วอุบเงียบไว้ก็เท่ากับสมรู้ร่วมคิด ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์นั้น อาจจะถึงกับติดคุกหัวโต หรือไม่ก็ต้องพระราชอาญาถึงประหารชีวิตกันทั้ง ครอบครัว กล่าวกันว่า พระยานรฤทธิ์ราชหัชนั้นก็ต้องระวังตัวกลัวทหารเรือ เอาเรื่อง ประตูหน้าบ้านจึงต้องตีไม้ทับปิดตายเอาไว้ ต้องเดินเข้าออกทาง หลังบ้านทะลุตรอกไปท างาน เจ้าฟ้าฯกรมหลวงนครสวรรค์วรพินิต เรื่องนี้พวกทหารเรือเชื่อกันว่า น่าจะเป็นสาเหตุส าคัญที่ท าให้ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ไม่ทรงไว้วางพระราชหฤทัยในนาย พลเรือตรี พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหมื่นชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ว่าอาจจะทรงคบ
คิดกับ นายพลเรือเอกสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าฯกรมหลวง นครสวรรค์วรพินิต และเมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จ ขึ้นครองราชย์ได้เพียง 6 เดือนก็ทรงปลดพระเจ้าพี่ยาเธอกรมหมื่นชุมพร เขตรอุดมศักดิ์จากกองทัพเรือแบบสายฟ้าแลบ หลวงปู่ศุข เมื่อทรงถูกปลดจากราชการแล้ว เล่ากันในแวดวงทหารเรือว่า ข่าวลือ ท าท่าจะเป็นข่าวจริง แต่หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า พระอาจารย์ ทรงห้ามไว้ โดยเตือนสติว่า “ท่านเป็นพระเจ้าแผ่นดิน อย่าไปขัดท่านเลย” พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหมื่นชุมพรเขตรอุดมศักดิ์จึงทรงได้สติ ถึงกับก้มลง กราบถวายบังคมแทบเบื้องพระยุคลบาทพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า เจ้าอยู่หัว แต่หลังจากนั้นก็ยังไม่ได้กลับเข้ารับราชการในทันที ต้องทรงอยู่ นอกราชการถึง 6 ปี จึงได้เสด็จกลับเข้ารับราชการกองทัพเรืออีกครั้ง ภายหลังจากที่สยามประกาศสงครามกับเยอรมนีแล้ว โดยระหว่างที่ทรงอยู่ นอกราชการนั้นได้ทรงหาเลี้ยงชีพเป็นหมอยา ใช้พระนามว่า “หมอ
พร” และในช่วงนี้เองที่กล่าวกันว่า ทรงปราบนักเลงนางเลิ้งอยู่หมัด ได้ นักเลงมาเป็นลูกน้องด้วย อีกกระแสกล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวและกองเสือป่า ในตอนฝ ึกเสือป ่า ก ็ม ีเรื ่องไม ่เป ็นที่พอพระท ัย ค ือซ ้อมรบม ีก ันหลาย ฝ่าย พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงซ้อมรบด้วยหลายครั้ง ปรากฏว่าฝ่ายลูกน้องเสด็จ ในกรมฯ ไปจับเอาพระเจ ้าอยู่หัว และองคร ักษ์มาโดยไม ่ทราบว่าเป็น พระ เจ ้าอยู่หัว แล้วมาทูลเสด ็จในกรมฯ ว ่าตนได้จ ับฝ ่ายตรงข ้ามได ้สองคนเข ้าใจ ว ่าจะเป ็นคนสำค ัญ เสด ็จในกรมฯ ได ้แอบด ูก ็รู ้ว ่าเป ็นพระเจ้าอยู่หัว จึง รับสั่งให้ปล่อยไป โดยให้ลูกน้องของพระองค์ แกล้งลืมกุญแจไว้ เพราะถ้า ปล่อยโดยตรง รัชกาลที่ 6 ก็จะไม่โปรดอีก จะกริ้วเอาเปล่าๆ จะหาว่าเสด็จ ในกรมฯ ทรงแกล้งแพ้ในระยะนั้นม ีข ่าวล ือว ่า เสด ็จในกรมฯ ทรงค ิดจะ ขบถ หากสำเร ็จจะยกให้กรมพระนครสวรรค์ฯ เป็นพระเจ้าแผ่นดิน และ
เสด็จในกรมฯ จะเป็นวังหน้า เนื่องจากเสด็จในกรมฯ และกรมพระ นครสวรรค์ เป็นพี่น้องที่รักกันมากเพราะถูกอัธยาศัยกัน อีกทั้งฝ่ายมารดาก็ ต่างเป ็นคนในตระก ูลบ ุนนาคด ้วยก ัน คนเป ็นจำนวนมากจ ึงเชื่อว ่าเป ็น เรื่องจร ิง กรมพระนครสวรรค์ฯก็ทรงเสียพระทัยมาก คิดจะกราบถวาย บังคมลาออกจากราชการอยู่หลาย ครั้งแต่มีคนทูลอ้อนวอน ไม่ให้ออกก็เลย อ่อนพระทัยระงับการลาออก ทรงกลับเข้ารับราชการอีกครั้ง ส่วนการที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงปลดนายพล เรือตรี พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหมื่นชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ออกจากราชการเป็น กองหนุนเมื่อวันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2454 ทั้งที่เพิ่งจะทรงตั้งพระเจ้าพี่ยา เธอพระองค์นี้ให้ด ารงต าแหน่งผู้ช่วยเสนาบดีกระทรวงทหารเรือและเจ้ากรม ยุทธศึกษาทหารเรือไปเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2453 นั้น ความในพระ
ราชบันทึกก็ปรากฏชัดอยู่แล้วว่า เพราะไม่เสด็จไปทรงงานที่กระทรวง ทหารเรือ ทั้งยังทรงเป็นต้นแบบให้นายทหารเรือรุ่นหนุ่มคิดกระด้าง กระเดื่องต่อผู้บังคับบัญชา จึงต้องทรงปลดพระเจ้าพี่ยาเธอพระองค์นั้น ออกเป็นกองหนุน เพื่อให้ทรงส านึกผิด แต่ถัดมาวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2454 หรืออีกเพียง 3 เดือนเศษ ก็ได้โปรดเกล้าฯ ให้เสด็จเข้ารับราชการใน กรมมหาดเล็ก รับพระราชทานยศชั้น “หัวหมื่น” หรือที่ในเวลานั้นเรียกว่า “ชั้นที่ 2 เอก” ซึ่งเป็นชั้นยศเทียบเท่านายพันเอกทหารบก และคงโปรดให้ รับราชการในกรมมหาดเล็กมาจนคราวที่ทรงประกาศสงครามกับเยอรมนี และออสเตรีย-ฮังการี เมื่อวันอาทิตย์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2460 นายพลเรือตรี พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหมื่นชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ นายพลเรือตรีพระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหมื่นชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ได้กราบ บังคมทูลส านึกผิดและทรงอาสาเข้ารับราชการทหารเรือเพื่อท าหน้าที่ ป้องกันพระราชอาณาจักรในสภาวะสงครามอีกครั้ง จึงทรงพระกรุณาโปรด เกล้าฯ ให้เสด็จกลับเข้ารับราชการทหารเรือในต าแหน่งจเรทหารเรือ
ว ันที่ 1 ส ิงหาคม พ ุทธศ ักราช 2460 กระทรวงทหารเร ือ ได ้ม ีคำสั ่งที่ 189/04338 ให้ ทราบว่า พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรง พระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นายพล เรือตรีพระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหมื่นชุมพร เขตอุดมศักดิ์ กลับเข้ารับราชการ เมื่อได้เสด็จกลับเข้ารับราชการทหารเรือและทรงอุทิศพระองค์ปฏิบัติ ราชการทหารเรือด้วยพระอุตสาหะวิริยะแล้ว ก็ได้ทรงรับความไว้วางพระ ราชหฤทัยโปรดเกล้าฯ ให้เป็นที่ปรึกษาแห่ง “คณะที่ปฤกษาส าหรับ เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี” ทั้งยังได้รับพระราชทานฐานันดร เป็น “มหาโยธิน” แห่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี และต่อมา ยังได้ทรงเป็นผู้แทนราชนาวีสมาคมแห่งกรุงสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ ออกไปจัดซื้อเรือหลวงพระร่วง และทรงบังคับการเรือนั้นร่วมกับนายทหาร เรือไทยน าเรือรบหลวงพระร่วงเดินทางจากประเทศอังกฤษมาถึงประเทศ ไทยโดยสวัสดิภาพ นับเป็นการเดินเรือข้ามทวีปครั้งแรกโดยคนไทย เป็นอาทิ จึงท าให้ได้รับพระมหากรุณาธิคุณเลื่อนพระยศเป็นนายพลเรือโท และนาย
พลเรือเอก ทั้งยังได้โปรดเกล้าฯ เฉลิมพระอิสริยยศเป็น กรมขุนและกรม หลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ตามล าดับ กับได้โปรดเกล้าฯ ให้ทรงด ารงต าแหน่ง เสนาธิการทหารเรือซึ่งเป็นต าแหน่งบังคับบัญชาก าลังพลเทียบเท่าต าแหน่งผู้ บัญชาการทหารเรือในปัจจุบัน ก่อนที่จะโปรดเกล้าฯ ให้ทรงด ารงต าแหน่ง เสนาบดีกระทรวงทหารเรืออันเป็นต าแหน่งสูงสุดในราชการทหารเรือ เนื่องจาก ประเทศไทย ได้เข้าสงครามโลก และ ทหารเรือยังขาดผู้ สามารถจริงๆ อยู่ขณะนั้น และต่อมาในวันที่ 30 มกราคม พ.ศ.2461 เสด็จ ในกรมฯ ได้รับพระราชทานยศเป็น นายพลเรือโท ฐานทัพเรือสัตหีบ ฐานทัพเรือสัตหีบ ในปี พ.ศ.2463 เนื่องจากผลของการส ารวจ พื้นภูมิประเทศบริเวณ สัตหีบ เสด็จในกรม ฯ ทรงม ีความเห ็น ทางด ้านย ุทธศาสตร ์ว ่า “สมควรใช ้ พื้นที ่บร ิเวณตำบลที ่ส ัตห ีบสร ้างเป ็นที ่มั่นสำหร ับก ิจการทหารเร ือขึ้นตาม ชายฝั่งและเกาะต ่างๆในอ ่าวส ัตห ีบ เพราะทำเลเหมาะแก ่การสร้างเป็น ฐานทัพเรือตามพระราชประสงค์”
ฐานทัพเรือสัตหีบ ในด้านการป้องกันฐานทัพ ได้ทรงให้ความเห็นไว้ว่า “ควรสร้างป้อม ปืนใหญ่ขนาดตั้งแต่ 16 นิ้ว ลงมาจนถึง 4.7 นิ้ว และปืนยิงเครื่องบินด้วย โดยพร้อมขึ้นไว้บนยอดเกาะต่างๆในอ่าวสัตหีบ นอกจากนี้ ควรสร้างป้อม วางปืนใหญ่ชนิดต่างๆ เพื่อป้องกันการส่งทหารยกพลขึ้นบกของข ้าศ ึกด ้วย ส ่วนสถานที่ทำการ จะต ้องสร ้างสิ่งต ่างๆ เช ่น โรงพยาบาล โรงทหาร โรงงาน สถาน ีเร ือบ ินทะเล การประปา การคมนาคม การส ุขาภ ิบาล ฯลฯ ด ังนั้นในว ันที่ 6 กันยายน พ.ศ.2464 เสด็จในกรมฯ ในฐานะเสนาบดี กระทรวงทหารเรือ ได้มีลายพระหัตถ์ ท ูลเกล ้าฯ ขอพระราชทานที่ด ิน ที่ ส ัตห ีบ เพื่อเป ็นกรรมส ิทธิ์แก ่กองท ัพเร ือ ด ังลายพระห ัตถ์ ดังนี้คือ ทรงตั้ง ฐานทัพเรือที่สัตหีบในวันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2461 ได้ทรงกระกรุณา โปรดเกล้าฯ ให้เสด็จในกรมฯ ทรงด ารงต าแหน่ง เจ้ากรมยุทธศึกษา ทหารเรือ อีกต าแหน่งหนึ่ง ซึ่งน ับเป ็นครั้งที่สอง ที่พระองค ์กล ับมาดำรง ตำแหน ่งเจ ้ากรมย ุทธศ ึกษาทหารเร ือในปี พ.ศ.2457
ทรงจัดหาเรือรบ เรือหลวงพระร่วง เรือหลวงพระร่วง ข้าราชกา รทั้งหลายพากันส า นึกในพระมหากรุณ าธิคุณของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ ได้ปรึกษากันในอันที่จะแสดงความ จงรักภักดี กตัญญูกตเวที บรรดาข้าราชการมีความเห็นว่า เป็นการจำเป็นท ี่ จะต้องมีการป้องกันราชอาณาจ ักรทางทะเล จ ึงเห ็นพ ้องก ันว ่า ควรจะได ้ม ี การ ช่วยกันออกทุนทรัพย์คนละเล็กละน้อยเพื่อรวบรวมซื้อหรือสร้างเรือรบ ถวายพระบาทสมเด็จ พระเจ ้าอยู่หัวสักล าหนึ่ง ในการด าเนินการจ ัดหา เงินท ุนนี้ เพื่อความเป็นระเบียบเร ียบร ้อย และสะดวกจำเป ็นต ้องตั้งเป ็น สมาคมขึ้น พระบาทสมเด ็จพระมงก ุฎเกล ้าเจ ้าอยู ่ห ัวทรงเห ็นชอบ และได้ พระราชทาน ชื่อสมาคมที่จัดตั้งนี้ว่า "ราชนาวีสมาคมแห่งกรุงสยาม" และ ทรงรับเป็น องค์อุปถัมภ์สมาคม พร้อมทั้งพระราชทาน พระราชทรัพย์ส่วน พระองค์ สมทบด้วย ส าหรับเรือที่จะจ ัดซ ื้อนี้ได้รับพระราชทาน นามว่า "เร ือ หลวงพระร ่วง"
เสด็จในกรมฯ ทรงได้รับพระกรุณาธิคุณ โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็น ข้าหลวงพิเศษออกไป จัดสรรหาซื้อเรือในภาคพื้นยุโรป พระองค์ได้เสด็จ เสาะแสวงหาอยู่หลายประเทศ จึงได้ทรงพบเรือพิฆาตตอร์ปิโด ของบริษัท ทอร์นิครอฟท์ แห่งประเทศอังกฤษ ซึ่งมีชื่อเดิมว่า "เรเดียนท์" ทรงพิจารณา เห็นว่าเป็นที่เหมาะสม แก่ความต้องการของกองทัพเรือ และเป ็นเร ือที่เพิ่งต่อ ขึ้นใหม่ จึงได้ทรงชี้แจงมายังกรรมการราชนาวีสมาคม ซึ่งคณะกรรมการ ของสมาคม ก็มีความเห็นชอบเสด็จในกรมฯ ทรงเป็นผู้บังคับการเรือพระร่วง เองพร้อมด้วย นายทหารเรือไทย และเจ ้าหน ้าที่อื่นๆ ซึ่งเป ็นทหารเร ือ อ ังกฤษ นำเร ือจากประเทศอ ังกฤษ เข ้ามาถึง กรุงเทพมหานคร ปรากฏพระ เกียรติยศ เป็นครั้งแรกที่นายทหารเรือไทย สามารถเดินเรือทะเลได้ไกลถึง เพียงนี้ จึงถือเป็นเกียรติประวัติของราชนาวีไทย และเป็นการปรากฏพระ เกียรติ คุณแห่งเสด็จในกรมฯ เรือหลวงพระร่วงได้เดินทาง เข้ามาถึงประเทศ เมื่อ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2463 การต้อนรับ และการสมโภชเรือหลวงพระร่วง ได้เป็นไปอย่างมโหฬาร และเอิกเกริกอย ่างยิ่ง ในพระราชดำร ิของ
พระบาทสมเด ็จพระมงก ุฎเกล ้าเจ ้าอยู ่ห ัว ในการพระราชทานเลี้ยง เนื่องใน การฉลองเรือหลวงพระร่วง ณ สมาคมสหทัยสมาคม เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2463 ได ้ทรงกล ่าวถ ึงพระเก ียรต ิค ุณ ของเสด ็จในกรมฯ ในการน าเร ือ พระร ่วงมาสู ่ประเทศไทย ว่า "...ส่วนกรมหลวงชุมพร ข้าพเจ้าได้กล่าวแล้ว ว่าเป็นนายทหารเรือไทยคนแรก ที่น าเรือรบไทยมาจากต่างประเทศได้ และ ที่ยากมากปานใด ในการน ามานั้น ท่านทั้งหลายคงพอจะเดาเอาได้ เมื่อ ทราบว่าบรรดาลูกเรือนั้น เป็นชาวต่างประเทศทั้งนั้น และที่น ามาได้โดย สวัสดิภาพก็แสดงให้เห็นได ้ว่าเป็นผู้ช านาญทะเลจร ิง นับว่าสมควรที่จะได ้ร ับ ความขอบใจของข ้าพเจ ้าและท่านทั้งหลาย..." เสด็จในกรมฯ ได้ทรงปฏิบัติราชการสืบมา จนได้รับพระราชทานเลื่อน ยศจาก พลเรือโท ขึ้นเป็น พลเรือเอก เมื่อวันที่ 23 เมษายน พุทธศักราช 2463 ทรงพระกรุณา โปรด เกล้าฯ พระราชทาน พระอิสริยศักดิ์ เลื่อนจาก "กรมหมื่น" ขึ้นเป็น "กรมหลวง" เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2463 และ ในวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2466 ได้ทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ให้เสด็จในกรมฯ ทรงด ารงต าแหน่งเสนาบดี กระทรวงทหารเรือ ทรง บัญชาการ ทหารเร ือ เสด็จในกรมฯ ทรงดำรงตำแหน ่ง เสนาบด ีกระทรวง ทหารเร ือ เพ ียงไม ่กี ่ว ันเท ่านั้น ก็ ได้กราบบังคม ลาออกจากราชการ ไปตาก อากาศเพื่อพักผ่อนรักษาพระองค์
ศึกษาวิชาแพทย์แผนโบราณรับรักษาบุคคลทั่วไป ในช่วงไม่ได้ทรงปฏิบัติราชการ พระองค์ทรงเห็นว่าการช่วยชีวิตคนเป็น บุญกุศลแก่พระองค์ จึงทรงตั้งหน้าเล่าเรียนกับพระยาพิษณ ุฯ หัวหน้าหมอ หลวง แห ่งพระราชสำน ัก ซึ่งห ัวหน ้าฝ ่ายยาไทย ของประเทศไทยผู ้นี้ก ็ได้ พยายามถ่ายเทความรู้ให้ พระองค์ได้พยายามค้นคว้า และปรับปรุงอยู่ ตลอดเวลา เช่น เอา ส ัตว ์ป ีกจำพวก นก เป ็ด ไก่ ที่ตายแล ้วใส ่ขวดโหล ดองไว้ที่เป ็นๆ ก ็จ ับเลี้ยงไว ้ในกรงอ ีกมากมายไว ้ที ่ว ังทรงหมกมุ ่นอยู ่ก ับการ แยกธาตุ และทดลองทั้งว ัน ถ ึงแม ้ว ่าจะทรงชำน ิชำนาญในกิจการแพทย์ฝ่าย แผนโบราณแล้วก็ตาม แต่จะไม่ทรงยินยอมรักษาใคร เป็นอันขาดจนกว่าจะ ได ้ร ับการทดลองแม ่นยำแล ้วว ่าเป ็นยาที่ร ักษาโรคชน ิดพื้นๆ ให ้หายขาดได้ อย ่างแน ่นอน ให้ทรงทดลองให้สัตว์เล็กๆ กินก่อน เมื่อสัตว์เล็กกินหาย ก็ ทดลองสัตว์โต เมื่อสัตว์โตหายจึงทดลองกับคน และประกาศอย่างเปิดเผยว่า จะทรงสามารถรักษาโรคนั้นโรคนี้ให้หายขาด พระองค์ไม่ทรงโปรดให้ใคร