พระประวัติ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (ปลด กิตฺติโสภโณ) สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 14 (ฉบับปรับปรุง) ประสาร ธาราพรรค์ เรียบเรียง สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (ปลด กิตฺติโสภโณ) เป็นสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก พระองค์ที่ 14 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สถิต ณ วัดเบญจม บพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร ทรงด ารงต าแหน่งเมื่อปี พ.ศ. 2503 ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพล อดุลยเดชมหาราช บรมนาถ บพิตร
พระนามเดิม “ปลด” นามบิดา ขุนพิษณุโลกประชานาถ (ล า เกตุทัต) นาม มารดา ท่านปลั่ง ประสูติเมื่อวันจันทร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2432 ตรงกับวัน แรม 13 ค่ า เดือน 6 ปีฉลูเอกศก จุลศักราช 1251 เวลา 10 ทุ่ม (04.00 น.) เศษ ที่บ้านในตรอกหลังตลาดพาหุรัด ติดกับวัดราชบุรณราชวรวิหาร ในพระนคร ท่านขุนพิษณุโลกประชานาถ (ล า) เป็นมหาดเล็กใกล้ชิดในพระบาทสมเด็จพระ ปรมินทร มหาจุฬาลงกรณ์พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 และสมเด็จ พระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ เป็นเจ้ากรม คนแรกในสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ ในเวลาที่สมเด็จเจ้าฟ้า พระองค์นั นทรงกรมเป็นกรมขุน ฯ และได้ลาออกเสียก่อนที่จะทรงกรมเป็นกรม หลวง ฯ เนื่องจากสุขภาพไม่สมบูรณ์ ถึงแก่กรรมเมื่ออายุได้ 51 ปี ส่วนท่านปลั่ง มารดานั น ได้ไปตั งหลักฐานอยู่ในตรอกหลังพระราชวังเดิม (โรงเรียนทหารเรือ ปัจจุบัน) และได้มีอาชีพค้าขายอยู่ที่ตลาดท่าเตียน ภายหลังได้ติดตามมาอยู่ที่ บ้านข้างวัดเบญจมบพิตรจนถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2485 อายุ ได้ 71 ปี
สมัยทรงพระเยาว์และเริ่มการศึกษา พระราชวังเดิม ท่านปลั่งได้พาสมเด็จพระสังฆราช แต่ยังทรงพระเยาว์ ไปอยู่กับท่านตาหรั่ง และท่านยายน้อย (ท่านตาและท่านยายของสมเด็จพระสังฆราช) ที่บ้านเดิมใน ตรอกหลังพระราชวังเดิมธนบุรี ทรงเจริญวัย ณ บ้านนี ได้ทรงศึกษาอักขรสมัยพออ่านออกเขียนได้แล้ว เริ่มเรียนภาษาบาลีแต่เมื่อ พระชนม์ได้ 8 ปี โดยท่านตาเป็นผู้พาไปเรียนกับอาจารย์และรับกลับบ้าน ได้ เรียนมูลกัจจายน์กับอาจารย์ฟัก วัดประยูรวงศาวาส จนจบการก และเรียน ธมฺมปทฏฺฐกถากับพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (เปีย) แต่ยังเป็นพระเทพมุนี วัด กัลยาณมิตร วัดพระเชตุพน และพระยาธรรมปรีชา (บุญ) แต่ยังเป็นพระวิจิตร ธรรมปริวัตร ซึ่งเป็นอาจารย์หลวงสอนพระปริยัติธรรม ณ วัด สุทัศนเทพวราราม
บรรพชา สามเณรปลด เมื่อได้ทรงศึกษาบาลีภาษา มีความรู้พอจะเข้าสอบได้แล้ว จึงได้รับการ บรรพชาเป็นสามเณรอยู่ในส านักพระสาธุศีลสังวร (บัว) วัดพระเชตุพน เมื่อพระ ชนม์ได้ 12 ปี ในปีชวด พ.ศ. 2443 ต่อมาอีก 3 เดือนก็ได้เข้าสอบพระปริยัติ ธรรมในปลายปีนั น ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ซึ่งพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า อรุณนิภาคุณากร วัดราชบพิธ ทรงเป็นอธิบดีการสอบไล่ และพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชด าเนินมาทรงฟังการแปลในวันนั น ด้วย และเมื่อสามเณรปลด (สมเด็จพระสังฆราช) จับประโยค 1 เพื่อเข้าแปลเป็น ครั งแรกนั น เป็นวันเดียวกับพระวัดเบญจมบพิตรเข้าแปลเป็นปีแรกเช่นเดียวกัน
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงทอดพระเนตรเห็น สามเณรปลดเข้าแปลได้ประโยค 1 ก็รับสั่งว่า “เณรเล็ก ๆ ก็แปลได้” และรับสั่ง ถามถึงอาจารย์ ท่านเจ้าคุณพระสาธุศีลสังวร (บัว) จึงน าถวายตัว ครั นทรง สอบถามได้ความว่าเป็นบุตรเจ้ากรมล าก็ยิ่งทรงพระกรุณา จึงโปรดให้อยู่วัด เบญจมบพิตร ดุสิตวนาราม ตั งแต่วันนั น ต่อมาได้เข้าแปลประโยค 2 และ ประโยค 3 ได้ในการสอบไล่คราวนั น ดังปรากฏตามรายการพระราชกุศล ในการสถาปนาวัดเบญจมบพิตร ดุสิต วนาราม ภาคที่สี่ ร.ศ. 120 ว่า “สามเณรปลด ประโยค 1 แปลวันที่ 23 มีนาคม รัตนโกสินทรศก 119 ธรรมบทบั นต้น ผูก 18 หนังสือ10 บรรทัด ขึ นต้น เตปิ วาณิชกา ราชกุล คนฺตวา ลงท้าย สาสน ปหิต เทวีติ แปลสองพัก 20 นาที ความรู้เป็นชั นสอง
สามเณรปลด ประโยค 2 แปลวันที่ 4 เมษายน รัตน โกสินทรศก 120 ธรรมบทบั นต้น ผูก 1 หนังสือ 10 บรรทัด ขึ นต้น ตตฺถ กิญฺจาปิ มโนติ ลงท้าย มโน เสฎฺโฐ แปล สองพัก 15 นาที ความรู้เป็นชั นที่สอง ประโยค 3 แปลวันที่ 8 เมษายน รัตนโกสินทรศก 120 ธรรมบทบั นต้น ผูก 3 หนังสือ 40 บรรทัด ขึ นต้นอสาเร สารมติโนติ อิม ลงท้าย ปธาน ปทหิตฺวา แปลพักเดียว 25 นาทีความรู้เป็นชั นที่สอง” ดังนี ชื่อว่า สามเณรปลด สอบได้ เปรียญ 3 ประโยค เมื่อได้มาอยู่วัดเบญจมบพิตรแล้ว ก็ได้ ศึกษาพระปริยัติธรรม สูงขึ นโดยล าดับ ประโยค ป.ธ. 4 - 5 - 6 ได้ศึกษากับท่านอาจารย์ คือ สมเด็จ พระวันรัต ปุณณทัตตมหาเถระ (จ่าย) เจ้าอาวาสวัดเบญจมบพิตรองค์ประถม และสมเด็จพระวันรัต อุทยมหาเถระ (ฑิต) เจ้าอาวาส วัดมหาธาตุ ผู้ก ากับการวัด เบญจมบพิตร และอาจารย์อื่น ๆ อีกหลายท่าน เช่นพระยาปริยัติธรรมธาดา ณ วัดสุทัศนเทพวราราม เป็นต้น ประโยค ป.ธ. 7-8-9 ได้ศึกษากับสมเด็จ พระ
มหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เป็นประจ า แต่บางครั งได้ไปศึกษากับ สมเด็จพระวันรัต อุทยมหาเถระ (ฑิต) บ้าง ส าหรับเจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ องค์นี สมเด็จพระสังฆราชเคยรับสั่งว่า ท่านแม้จะเป็นเปรียญเพียง 4 ประโยค แต่ ความรู้แล้ว พระเปรียญ 9 ประโยคท าอะไรไม่ได้ ประโยค 4 ได้เมื่อพระชนม์ได้ 13 ปี (พ.ศ. 2444) ประโยค 5 ได้เมื่อพระชนม์ได้ 14 ปี (พ.ศ. 2445๕) ประโยค 6 ได้เมื่อพระชนม์ได้ 15 ปี (พ.ศ. 2446) ประโยค 7 ได้เมื่อพระชนม์ได้ 16 ปี (พ.ศ. 2447) ประโยค 8 ได้เมื่อพระชนม์ได้ 19 ปี (พ.ศ. 2450) ประโยค 9 ได้เมื่อพระชนม์ย่างเข้าปีที่ 20 (พ.ศ. 2451) ซึ่งปรากฏตาม รายการพระราชกุศลในการสถาปนาวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ภาคที่ 17 รัตนโกสินทร์ศก 128 ว่า “สามเณรปลด ประโยค 9 แปลวันที่ 28 กุมภาพันธ์
รัตนโกสินทรศก 127 (พ.ศ. 2451) ฎีกาอภิธัมมัตถสังคห ผูก 8 ว่าด้วยอารมณ์ ของอภิญญา หนังสือ 10 บรรทัด ขึ นต้น เอตฺถหิ อิทฺธิวิธญาณสฺส ตาว ฯลฯ ลง ท้าย อยเมเตส อารมฺมณวิภาโค แปลพักเดียว 14 นาที ความรู้ชั น 1” สามเณรประยุทธ์ (อารยางกูร) ปยุตโต (พระพรหมคุณาภรณ์ ป.อ. ปยุตฺโต) การรับสามเณรปลดเป็นนาคหลวง กลายเป็นธรรมเนียมในระยะต่อมา เมื่อ สามเณรรูปใดสอบได้ประโยค 9 จะโปรดฯ ให้เป็นนาคหลวง สามเณรปลด นับเป็นสามเณรรูปที่สองแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ที่สอบได้เปรียญเก้าประโยคใน สมัยแปลปาก แต่หลังจากเปลี่ยนเป็นสอบข้อเขียนแล้ว ไม่มีใครสอบได้มาเป็น เวลาห้าสิบกว่าปี จนกระทั่งในปีมีสามเณรน้อยจากมหาสารคาม ชื่อ เสฐียรพงษ์ วรรณปก สอบได้เป็นรูปแรกในรัชกาลที่ 9 ที่สอบได้ ป.ธ. 9 พ.ศ. 2503 สามเณร
ประยุทธ์ (อารยางกูร) ปยุตโต (พระพรหมคุณาภรณ์ ป.อ. ปยุตฺโต) ที่สอบได้ ป.ธ. 9 พ.ศ. 2504 ถัดจากสามเณรประยุทธ์ ก็มีตามมาอีกจ านวนมาก เป็นต้น อุปสมบท พระมหาปลด เมื่ออายุครบอุปสมบท พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาล ที่ 5 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นนาคหลวง ทรงพระกรุณาจัดการในการ อุปสมบททุกอย่างตั งแต่ท าขวัญนาค ณ พระที่นั่งทรงธรรมวัดเบญจมบพิตร ใน วันอุปสมบท ในวันที่ 4 กรกฎาคม 2452 ทรงให้รถหลวง และรถที่ขอแรงมา รวมทั งสิ น 54 คัน แห่สามเณรปลดไปอุปสมบทที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดย พระองค์ทรงตรวจความเรียบร้อยที่วัดเบญจมบพิตร แล้วเสด็จฯ ล่วงหน้าไปคอย
ทอดพระเนตรขบวนแห่นาคที่ประตูสวัสดิโสภา พระบรมมหาราชวังเมื่อขบวน มาถึง จึงทรงพระกรุณาพาสามเณรปลดเข้าสู่พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดา รามด้วยพระองค์เอง จากนั นสามเณรปลดเข้าขอนิสัยจากสมเด็จพระ วันรัต (ฑิต อุทยมหาเถระ) พระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายาว่า กิตฺติโสภโณ อุปสมบทแล้วมา ประจ าวัดเบญจมบพิตรตลอดมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่รัชกาลที่หก ทรงเปรยท านองจะชวนพระมหา ปลดสึกมารับราชการ แต่พระมหาปลดแสดงท่าทีว่ายินดีอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ มากกว่าตอนนั นท่านเป็นพระราชาคณะหนุ่ม ถวายพระธรรมเทศนาแด่ในหลวง เป็นที่โปรดปรานมาก ถ้าท่านลาสิกขาไปรับราชการ ท่านคงเจริญก้าวหน้าใน ต าแหน่งหน้าที่ราชการแน่นอน ที่พระมหาปลดไม่สึกนั นเพราะ “รับฝากวัด” ไว้จากในหลวงรัชกาลที่ห้า เรื่องมีอยู่ว่า ก่อนอุปสมบทหนึ่งวัน มีการประกอบพิธีท าขวัญนาคที่พระที่นั่งทรง ธรรม ในหลวงรัชกาลที่ห้าเสด็จในพิธีด้วย ในตอนเสร็จพิธีก่อนจะเสด็จกลับ
ทรงมีพระราชด ารัสกับสามเณรปลดว่า “เณร ฝากวัดด้วยนะ” สามเณรปลดก็ ได้เฝ้าวัดที่ทรงฝากไว้จนกระทั่งได้เป็นสมเด็จพระสังฆ ราช ถ้าหาก พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ รัชกาลที่ห้า ทรงทราบว่าสามเณรน้อยรูปนั น ได้รักษาวัดที่ทรงฝากไว้มาเป็นอย่างดี พระองค์ก็คงทรงปีติและโสมนัสมิใช่น้อย กิจการพระศาสนาที่ได้ทรงปฏิบัติตลอดพระชนมชีพของพระองค์นั น พอจะ สรุปลงได้ในองค์การพระศาสนาทั ง 4 องค์การ ดังต่อไปนี 1. องค์การปกครอง วัดเบญจมบพิตร
พอได้รับการอุปสมบทแล้ว ในฐานะที่เป็นเปรียญเอก 9 ประโยค ก็คงจะ ได้รับมอบหมายให้ช่วยการปกครองคณะเป็นการภายในบ้าง แต่ไม่ปรากฏ หลักฐาน ต่อล่วงมาอีก 6 ปี พระชนมายุได้ 26 ปี พรรษา 6 ในต้นรัชกาลที่ 6 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะ ที่พระศรีวิสุทธิวงศ์ เมื่อ พ.ศ. 2457 งานปกครองคณะสงฆ์ของพระองค์จึงปรากฏเป็นหลักฐานตั งแต่นั นมา ซึ่ง มีเป็นล าดับดังนี 1. เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดเบญจมบพิตร ตั งแต่ พ.ศ. 2457 ถึง พ.ศ. 2471 2. เป็นเจ้าอาวาสวัดเบญจมบพิตรตั งแต่ พ.ศ. 2471 ถึงสิ นพระชนม์ 3. เป็นเจ้าคณะแขวงกลาง จังหวัดพระนคร ตั งแต่พ.ศ. 2468 ถึง พ.ศ. 2485 4. เป็นเจ้าคณะมณฑลพายัพ ตั งแต่ พ.ศ. 2471 ถึง พ.ศ. 2485 5. เป็นกรรมการมหาเถรสมาคม ตั งแต่ พ.ศ. 2473 ถึง พ.ศ. 2485 6. เป็นเจ้าคณะมณฑลพิษณุโลก ตั งแต่ พ.ศ. 2481 ถึง พ.ศ. 2484
สมเด็จพระสังฆราช (แพ ติสสเทโว) 7. เป็นประธานคณะบัญชาการคณะสงฆ์แทนองค์สมเด็จพระสังฆราช แพ ติสสเทโวมหาเถระ วัดสุทัศนเทพวราราม ตั งแต่ พ.ศ. 2481 ถึง พ.ศ. 2484 8. เป็นสังฆนายก ตั งแต่ พ.ศ. 2494 ถึง พ.ศ. 2503
สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ 9. เมื่อสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ทรงประชวรและไม่ ทรงสามารถปฏิบัติหน้าที่ตามปกติได้ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯแต่งตั งให้เป็นผู้ บัญชาการคณะสงฆ์แทนสมเด็จพระสังฆราชเจ้า ตั งแต่วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2501 และเมื่อสมเด็จพระสังฆราชเจ้าสิ นพระชนม์แล้ว โปรดให้รักษาการใน ต าแหน่งสมเด็จพระสังฆราช ตั งแต่วันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2501
2. องค์การศึกษา สมเด็จพระสังฆราช ปลด สมเด็จพระสังฆราช ปลด ได้ทรงรับภารกิจพระศาสนาในด้านการศึกษามา เป็นอันมาก เริ่มแต่การศึกษาในส านักวัดเบญจมบพิตร อาจกล่าวได้ว่า นับตั งแต่ จบการศึกษาตามหลักสูตรแล้วก็ได้รับแต่งตั งให้เป็นครูสอนบาลีผู้หนึ่ง ดัง ปรากฏตามรายการพระราชกุศลในการสถาปนาวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ภาคที่ 17 รัตนโกสินทร 128 ว่าด้วยการเล่าเรียนพระปริยัติธรรม พระสงฆ์ สามเณรวัดเบญจมบพิตรได้จัดการเปลี่ยนแปลงใหม่ เพราะมีพระสงฆ์สามเณร และศิษย์วัดได้เล่าเรียนทวีมากขึ น มีระเบียบการสอนเป็นชั น ๆ ดังนี ฯลฯ ชั น เปรียญสามัญ ตั งแต่ประโยค 1 ถึง ประโยค 3 เรียนธรรมบทบั นต้นบั นปลาย พระมหาโชติ เปรียญ 8 ประโยคเป็นผู้สอนประจ าชั น แต่บางคราวให้พระมหา ปลด เปรียญ 9 ประโยคเป็นผู้สอนแทน” ดังนี
ปรากฏว่าทรงเป็นครูที่ดี สามารถถ่ายเทความรู้ให้แก่ศิษย์ได้เป็นอย่างดี ศิษย์ของพระองค์ได้ส าเร็จการศึกษาเป็นเปรียญประโยคต่าง ๆ เป็นจ านวนมาก ได้เป็นก าลังพระศาสนา และที่ออกไปรับราชการและประกอบอาชีพต่าง ๆ มี เป็นอันมากทรงรักงานสอนหนังสือมาก เคยรับสั่งเสมอว่าเวลาที่สุขสบายใจ ก็คือ การสอนและการแสดงธรรมโดยปฏิภาณโวหาร ทรงท าการสอนด้วยพระองค์เอง และอ านวยการให้พระภิกษุอื่น ๆ สอน ทั งในส านักเรียนวัดเบญจมบพิตรและใน มณฑลพายัพ โดยส่งพระเปรียญจากจังหวัดพระนครไปท าการสอนในจังหวัดต่าง ๆ เป็นอันมาก ท าให้การศึกษาภาษาบาลีใน 7 จังหวัดมณฑลพายัพได้ เจริญรุ่งเรืองมาจนตราบเท่าทุกวันนี สมเด็จพระสังฆราช ปลด ส าหรับพระองค์เองได้สอนตั งแต่ชั นสามัญ คือประโยค 3 จนถึงประโยค 9 โดยเฉพาะประโยค 9 ทรงสอนมาจนถึง พ.ศ. 2487 จึงได้ยุติการสอน เพราะมี
พระเปรียญที่เป็นศิษย์สามารถสอนแทนได้แล้ว และเพราะภาวะสงคราม พระภิกษุสามเณรต่างกลับไปอยู่ตามภูมิล าเนาเดิมเสียเป็นส่วนมาก ครั นเสร็จ ภาวะสงครามแล้ว ก็ต้องทรงรับภาระพระพุทธศาสนาในฝ่ายอื่นมาก ไม่มีเวลาที่ จะท าการสอนได้ แต่ถึงอย่างนั น ในการสอนพระภิกษุใหม่ซึ่งเป็นสัทธิวิหาริกของ พระองค์ ได้ทรงสอนนับแต่ได้รับมอบหมายจาก สมเด็จ ฯ เจ้าอาวาสองค์ ประถมเป็นต้นมา จนถึงพรรษาสุดท้าย คือพรรษาในปี พ.ศ. 2504 ในฝ่าย การศึกษาพระปริยัติธรรม ในส่วนการสร้างสถานที่ศึกษา โดยเฉพาะในวัดเบญจมบพิตร ทรง อ านวยการให้จัดการสร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรมขึ น 2 หลัง เป็นตึกสองชั นก่อ อิฐถือปูน และให้สร้างหอสมุด ป. กิตติวัน ขึ นอีกหลังหนึ่ง ในส่วนการศึกษาวิชา สามัญทางคดีโลก พระองค์ได้ทรงอุปการะอุปถัมภ์ในการศึกษาแผนกนี โดย สมควรแก่ความจ าเป็น และได้สร้างโรงเรียนเทศบาลขึ น ในวัดเบญจมบพิตร หลังหนึ่ง ทางการศึกษามีต าแหน่งดังนี 1.เป็นผู้อ านวยการรักษาในส านักเรียนเบญจมบพิตร ในฐานเป็นอาจารย์ ใหญ่และเจ้าส านัก เรียน 2. เป็นพระคณาจารย์โท ในทางภาษาบาลี พ.ศ. 2463 3. เป็นผู้อ านวยการรักษาในแขวงกลางจังหวัดพระนคร ตั งแต่ พ.ศ. 2468 ตลอดพระชนมายุ 4. พ.ศ. 2471 เป็นเจ้าอาวาสวัดเบญจมบพิตร และเป็นกรรมการมหาเถร สมาคม 5. เป็นผู้อ านวยการรักษาในมณฑลพายัพ นับแต่เป็นผู้ช่วย และตั งแต่ พ.ศ. 2471 ถึง พ.ศ. 2485
6. เป็นแม่กองสอบไล่นักธรรมสาขามณฑลพายัพ และเป็นแม่กองธรรม สนามหลวงเองตั งแต่ พ.ศ. 2485 ถึง พ.ศ. 2486 7. เป็นกรรมการสอบพระปริยัติธรรมในสนามหลวง ที่วัดพระศรีรัตน ศาสดารามตั งแต่พรรษาแรกที่ได้อุปสมบท และในสมัยทีสอบโดยวิธีเขียนก็ได้ เป็นกรรมการตรวจข้อสอบประโยคบาลีสนามหลวง ตลอดมา 8. เป็นแม่กองบาลีสนามหลวง ตั งแต่ พ.ศ. 2479 ถึง พ.ศ. 2503 สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ปลด กิตฺติโสภโณ) สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 14 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงฉายพระรูปร่วมกับ “คณะสังฆมนตรี พุทธศักราช 2503” 9. เป็นสังฆมนตรีว่าการองค์การศึกษาตั งแต่ พ.ศ. 2485 ถึง พ.ศ. 2503
2. องค์การเผยแผ่ รัชกาลที่ 6 ในการเผยแผ่ศาสนธรรมค าสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั น สมเด็จ พระสังฆราช ทรงแสดงธรรมทั งที่ได้เรียบเรียงขึ นแสดง และทรงแสดงโดย ปฏิภาณโวหารในโอกาสต่าง ๆ และในวันธรรมสวนะเป็นประจ า ครั งหนึ่งใน รัชกาลที่ 6 สมัยเมื่อยังด ารงสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะที่พระศรีสุทธิวงศ์ ในปี พ.ศ. 2466 ได้ถวายพระธรรมเทศนาในงานพระราชพิธีวิสาขบูชา ที่ค่ายหลวง หาดเจ้าส าราญ จังหวัดเพชรบุรี พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว พระ มหาธีรราชเจ้า ได้มีพระราชด ารัสชมเชยพระธรรมเทศนาวิสาขบูชาที่ถวายใน คราวนั นว่า “เป็นเทศนาที่เหมาะใจของข้าพเจ้ายิ่งนัก เพราะพระศรีวิสุทธิวงศ์ได้ เก็บคดีธรรมผสมกับคดีโลกอย่างสนิทสนมกลมกล่อมและใช้ส านวนโวหารอัน เข้าใจง่าย ส าหรับบุคคลไม่เลือกว่าชั นใด” หนังสือธรรมที่ทรงเรียบเรียงและพิมพ์ ออกเผยแผ่ก็มีมาก เรื่องที่มีผู้พิมพ์แจกเป็นธรรมบรรณาการมากที่สุดที่ควรยกขึ น
กล่าวในที่นี ก็คือ “มงคลภาษิต” “ปราภวภาษิต ศีลธรรมอันดีของประชาชน” เป็นต้น พระองค์ได้รับการยกย่องให้เป็นพระคณาจารย์โททางเทศนา 3. องค์การสาธารณูปการ พระพุทธชินราช(จ าลอง) ภายในพระอุโบสถวัดเบญจมบพิตร ในการพระศาสนาส่วนนี ทรงปฏิบัติได้ดีจนเป็นตัวอย่างและได้รับความ ชมเชยโดยเฉพาะวัดเบญจมบพิตร ความสะอาดสะอ้านในพระอารามนับแต่ สนามหญ้า, ต้นไม้, เสนาสนะ, พระอุโบสถ, พระวิหาร, กุฏิที่อยู่อาศัย นอกจากนี พระองค์ได้ทรงอ านวยการปฏิสังขรณ์ซ่อมแซมถาวรวัตถุอันวิจิตรงดงามในพระ อาราม รักษาศิลปกรรมประณีตศิลป์ไว้เป็นอันดี ความเป็นระเบียบของเสนาสนะ ไม่ท าการก่อสร้างขึ นจนเสียแบบแปลนแผนผังของวัด ไม่ให้มีบ้านคฤหัสถ์ติด ก าแพงวัด และโดยเฉพาะศาสนสมบัติทั งของวัดและศาสนสมบัติกลาง พระองค์
ทรงเอาพระทัยใส่เป็นพิเศษ พยายามรักษามิให้รั่วไหล ด้วยการทรงสอดส่องดูแล เป็นอย่างดี ในฐานะเจ้าคณะมณฑลพายัพ พระองค์ได้เสด็จไปเกือบทุกจังหวัด และโดย ที่ได้ด ารงต าแหน่งประธานคณะบัญชาการคณะสงฆ์พระองค์ได้ไปตรวจการคณะ สงฆ์ในมณฑลปักษ์ใต้ เกือบจะกล่าวได้ว่าทุกจังหวัดเช่นกัน วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม การในวัดเบญจมบพิตร ในธุรกิจเกี่ยวกับการบริหารวัดเบญจมบพิตรนั น นับตั งแต่ได้รับมอบหมาย ให้เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาส รองเจ้าอาวาส และเป็นเจ้าอาวาสเอง เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2471 สืบต่อจากสมเด็จ ฯ เจ้าอาวาสองค์ประถมแล้ว พระองค์ได้ปฏิบัติ กรณียกิจ อ านวยให้เกิดประโยชน์และความเจริญแก่วัดเบญจมบพิตรหลายสถาน
ในการปกครอง ได้กวดขันให้ภิกษุสามเณรรักษาระเบียบแบบแผนประเพณีอันเป็นพระราช ประสงค์ในรัชกาลที่ 5 ไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการประพฤติปฏิบัติตามพระ ธรรมวินัย และเพื่อให้การปกครองเป็นไปโดยเรียบร้อย พระองค์ได้ออกระเบียบ กติกาของวัดขึ นโดยเฉพาะในวันธรรมสวนะ เวลาเช้าภิกษุสามเณรจะต้องลงท า วัตรฟังเทศน์เสมอ เว้นแต่มีกิจนิมนต์ แต่ก็ต้องบอกลาไว้เป็นหลักฐาน ส าหรับ การฟังพระปาติโมกข์ทุกกึ่งเดือนแล้วภิกษุรูปใดจะขาดมิได้เว้นแต่อาพาธหรือมี กิจนิมนต์จ าเป็นจริง ๆ โดยเฉพาะพระองค์ได้ทรงท าเป็นตัวอย่างอันดีเสมอ อันนี เป็นที่ทราบกันดีของบรรดาภิกษุสามเณรวัดเบญจมบพิตร ในการศึกษา โดยพระราชประสงค์ในรัชกาลที่ 5 ทรงต้องการให้วัดเบญจมบพิตรเป็นแหล่งกลาง การศึกษาพระปริยัติธรรมแห่งหนึ่ง ซึ่งจะเห็นได้จากการที่ทรงสนับสนุนด้วยประการ ต่าง ๆ เช่น ภายหลังจากการสอบไล่พระปริยัติธรรมแล้วหากภิกษุสามเณรใดสอบได้ ก็
พระราชทานรางวัลเป็นพิเศษและเลี ยงพระเป็นการฉลองสมโภชด้วย ซึ่งในการเลี ยงพระ นี ภิกษุสามเณรรูปใดสอบตก จะไม่ถูกนิมนต์เข้าร่วมในพิธีการนี เลยเป็นต้น และหาก ภิกษุสามเณรรูปใดสอบตกติด ๆ กัน 3 ปีแล้ว ไม่มีพระราชประสงค์จะให้อยู่ต่อไป ฯ พระราชประสงค์ดังกล่าวนี สมเด็จพระสังฆราชทรงทราบ ดีมาแต่ต้น พระองค์จึงทรงเอาพระทัยใส่ในเรื่องการศึกษาเป็นพิเศษ นับตั งแต่เป็นครู อาจารย์สอนด้วยพระองค์เอง และอ านวยการให้ภิกษุอื่น ๆ ได้ช่วยท าการสอน ควบคุมวิธีการเรียนการสอนด้วยพระองค์เอง ทั งในฐานะเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาส และในฐานะเป็นเจ้าอาวาส ซึ่งผลของการศึกษานั น นับตั งแต่พระองค์ด ารง ต าแหน่งเจ้าอาวาสเป็นต้นมา ปรากฏมีผู้ที่เรียนพระปริยัติธรรมและสอบไล่ได้ เป็นเปรียญเป็นจ านวนมาก โดยเฉพาะในสมัยที่ทรงด ารงต าแหน่งเจ้าอาวาสนี มี ผู้ที่สอบไล่ได้เป็นเปรียญธรรม 9 ประโยค เกินกว่า 10 รูปแล้ว นับเป็นเกียรติ ประวัติอันดียิ่งของวัดเบญจมบพิตร ซึ่งโดยปกติในจ านวนภิกษุสามเณรอยู่
ประจ าพระอารามประมาณ 70 - 80 รูปนั น มีที่เป็นเปรียญธรรม ตั งแต่ 3 ประโยค ถึง 9 ประโยค ประมาณ 60 - 70 รูป ในการเผยแผ่ นอกจากจะทรงแสดงธรรมสั่งสอนพุทธบริษัทโดยปฏิภาณโวหารประจ าวัน ธรรมสวนะแล้ว ได้ทรงอ านวยการให้มีการเผยแผ่ด้วยประการอื่น ๆ อีกหลาย ประการ เป็นต้นว่ากวดขันความเป็นอยู่ของภิกษุสามเณรให้อยู่ในระเบียบแบบ แผนขนบธรรมเนียมประเพณีของวัด ในการสาธารณูปการ สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ส าหรับพระอาราม พระองค์เคยรับสั่งว่าสมเด็จพระพันปีหลวงเคยรับสั่งกับ พระองค์ไว้ว่าการที่รัชกาลที่ 5 ทรงยกย่องและอุปถัมภ์บ ารุงพิเศษนั น ก็ด้วยมี พระราชประสงค์จะให้ได้รักษาพระอารามสืบพระราชกุศลให้ถาวรมั่นคงตลอดไป ฉะนั นในการดูแลรักษาและจัดการเกี่ยวกับการสาธารณูปการในพระอาราม เช่น ความสะอาด การปฏิสังขรณ์ซ่อมแซมถาวรวัตถุอันวิจิตรงดงาม และการกุฏิ
เสนาสนะวิหารภายในพระอารามโดยทั่วไป จึงทรงเอาพระทัยใส่เป็นพิเศษ ถึงแม้ ในการปฏิสังขรณ์ซ่อมแซมถาวรวัตถุต่าง ๆ เช่นพระอุโบสถ พระวิหาร และกุฎิ เสนาสนะ อันต้องท าการปฦิสังขรณ์เป็นอันมากนั น จักไม่มีทุนมาท าการ ปฏิสังขรณ์มาแต่เดิม พระองค์ได้ทรงขวนขวายจัดให้มีขึ น โดยจัดการฟื้นฟูพระ ราชประเพณี มีการจัดงานมนัสการพระพุทธชินราชประจ าปีขึ นในพระบรม ราชูปถัมภ์ และขอความอุปถัมภ์จากรัฐบาลและประชาชนมาท าการ ซึ่งได้จัดท าการปฎิสังขรณ์ส าเร็จมาแล้วเป็นอันดี และเสนาสนะอันจ าเป็นแก่ การศึกษาเช่นโรงเรียนพระปริยัติธรรม ก็ได้จัดการให้กอสร้างหอศึกษาพระปริยัติ ธรรมขึ น 2 หลัง และหอสมุดอีกหลังหนึ่ง แม้วัตถุเครื่องประดับในพระอุโบสถ ซึ่ง แต่เดิมก็ไม่มีบริบูรณ์ก็ได้จัดให้มีขึ นหลายประการ คือ 1. โต๊ะหมู่เครื่องบูชาหมู่ 9 หน้าพระพุทธชินราช 2. โคมตราพระเกี ยวแขวนเพดานพระอุโบสถ ภาพจอมเจดีย์ 3 ใน 8 ในช่องหน้าต่างตันในพระอุโบสถวัดเบญจมบพิตร 4. ภาพจอมเจดีย์ทั ง 8 ในช่องหน้าต่างตันในพระอุโบสถ
กระจกภาพเทพประนมลายสี บนกรอบหน้าต่างพระอุโบสถวัดเบญจมบพิตร 4. กระจกภาพเทพประนมลายสี บนกรอบหน้าต่างพระอุโบสถ เป็นต้น
โรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตรในอดีต ในฝ่ายการศึกษาทางคดีโลก สมเด็จพระสังฆราชในฐานะเจ้าอาวาสวัดเบญจมบพิตร ได้เอาพระทัยใส่ สนับสนุนการศึกษาฝ่ายนี โดยสมควร คือได้ร่วมกับทางราชการสร้างโรงเรียนชั น ประถมศึกษาเทศบาลขึ นหลังหนึ่ง ในการอุปถัมภ์บ ารุงนั น ในวัดเบญจมบพิตร มี โรงเรียนที่สอนวิชาสามัญ 2 โรง คือ โรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร และ โรงเรียนเทศบาล 8 ที่ได้สร้างขึ น นั น สมเด็จพระสังฆราชได้ทรงอุปถัมภ์อุปการะ ตามโอกาส เช่น อบรมสั่งสอนเด็ก และให้รางวัลแก่เด็กนักเรียนที่สอบได้คะแนน เป็นเยี่ยม เป็นการสนับสนุนการศึกษาของนักเรียนให้ดีขึ น
สมเด็จพระสังฆราช ปลด และพระภิกษุ อุบาสก วัดเบญจมบพิตร สรุปรวมความแล้ว วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ในสมัยที่สมเด็จ พระสังฆราช ปลดทรงด ารงต าแหน่งเจ้าอาวาส เป็นเวลา 33 ปี 9 เดือน และ 1 วัน ได้เจริญขึ นโดยล าดับ ทั งในด้านการศึกษา การเผยแผ่ และในด้านการ ปกครองก็พยายามกวดขันภิกษุสามเณร ให้ประพฤติดีปฏิบัติชอบตามพระธรรม วินัย และระเบียบแบบแผนประเพณีอันดีของวัด ตามพระราชประสงค์ในรัชกาล ที่ 5 และพยายามท านุบ ารุงรักษาศิลปกรรมถาวรวัตถุต่าง ๆ ในพระอารามเป็น อันดี สมกับความไว้วางพระราชหฤทัยในรัชกาลที่ 5 และสมเด็จพระพันปีหลวง
สมณศักดิ์ ด ารงต าแหน่ง โดยที่ได้ทรงรับภาระธุระพระศาสนามาด้วยพระอุตสาหะวิริยะ และด้วย ความเอาพระทัยใส่เป็นอันดี ทางราชการและทางคณะสงฆ์ได้เห็นพระคุณธรรม นั น ๆ ปรากฏ จึงได้ยกย่องให้มีสมณศักดิ์ประดับพระเกียรติประวัติมาโดยล าดับ คือ:- พ.ศ. 2457 เป็นพระราชาคณะที่ พระศรีวิสุทธิวงษ์ พ.ศ. 2466 เป็นพระราชาคณะชั นราชที่ พระราชเวที ตรีปิฎกภูษิต ธรรม บัณฑิต ยติคณิศร บวรสังฆาราม คามวาสี พ.ศ. 2468 เป็นเจ้าคณะแขวงกลาง จังหวัดพระนคร พ.ศ. 2469 เป็นพระราชาคณะชั นเทพที่ พระเทพมุนี ศรีวิสุทธศีลาจารย์ ญาณนายก ตรีปิฎกธรา มหาคณฤศร บวรสังฆาราม คามวาสี พ.ศ. 2471 เป็นเจ้าคณะมณฑลพายัพ
พ.ศ. 2473 เป็นพระราชาคณะชั นธรรมที่ พระธรรมโกศาจารย์ สุนทรญาณ ดิลก ตรีปิฎกธรรมภูษิต ยติคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี พ.ศ. 2481 เป็นเจ้าคณะมณฑลพิษณุโลกและเป็นประธานคณะบัญชาการ คณะสงฆ์แทนองค์สมเด็จพระสังฆราช (แพ ติสฺสเทโว) พ.ศ. 2482 เป็นพระราชาคณะเจ้าคณะรองหนกลางที่ พระพรหมมุนี ศรีวิ สุทธิญาณนายก ตรีปิฎกธรรมาลังการวิภูษิต มัชฌิมคณิศร บวรสังฆาราม คามวาสี สังฆนายก พ.ศ. 2490 เป็นสมเด็จพระราชาคณะที่ สมเด็จพระวันรัต ปริยัติพิพัฒ นพงศ์ วิสุทธิสงฆปริณายก ตรีปิฎกโกศล วิมลคัมภีรญาณสุนทร มหาคณะปธา นาดิศร บวรสังฆาราม คามวาสี อรัณยวาสี พ.ศ. 2501 เป็นผู้บัญชาการคณะสงฆ์แทนสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรม หลวง วชิรญาณวงศ์ และรักษาการในต าแหน่งสมเด็จพระสังฆราช
สมเด็จพระสังฆราช (ปลด) พ.ศ. 2503 เป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 14 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ที่ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สุขุมวิธานธ ารง สกลมหาสงฆปรินายก ตรีปิฎก กลากุสโลภาส ภูมิพลมหาราชอนุศาสนาจารย์ กิตติโสภณาภิธานสังฆวิสุต ปาวจ นุตตมโศภน วิมลศีลสมาจารวัตร พุทธศาสนิกบริษัทคารวสถาน วิจิตรปฏิภาณ พัฒนคุณ อดุลคัมภีรญาณสุนทร บวรธรรมบพิตร สมเด็จพระสังฆราช
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (ปลด กิตฺติโสภโณ) สมเด็จพระสังฆราช เสด็จต่างประเทศ 9 ครั งดังนี ครั งที่ 1 เมื่อ พ.ศ. 2482 ในฐานประธานคณะบัญชาการคณะสงฆ์ แทน พระองค์สมเด็จพระสังฆราช ติสสเทวมหาเถระ วัดสุทัศนเทพวราราม ไปตรวจ การคณะสงฆ์ภาคใต้ ได้ไปไทรบุรี ปีนัง ในสหพันธรัฐมลายา ครั งที่ 2 เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2498 เป็นหัวหน้าคณะไปร่วมปฏิบัติงาน ฉัฎฐสังคายนาจตุตถสันนิบาต (สมัยไทย) โดยเป็นประธานกระท าพิธีเปิดประชุม สังคายนาสมัยที่สี่นั น ณปาสาณคูหา ประเทศสหภาพพม่า เป็นเวลา 15 วัน ครั งที่ 3 เมื่อเดือนพฤษภาคม และ มิถุนายน พ.ศ. 2499 ได้เป็นหัวหน้า คณะ ไปร่วมพิธีฉลองพุทธชยันตี 25 ศตวรรษแห่งพระพุทธศาสนา ณ ประเทศ ลังกาโดยผ่านไปพักที่สิงคโปร์ 3 วัน แล้วไปร่วมพิธีที่เมืองซีลอนหรือโคลัมโบ เมืองแคนดี เมืองอนุราชปุระ เมื่อเสร็จพิธีที่ประเทศลังกาแล้ว ได้เสด็จเลยไป สังเกตการพระศาสนา ในประเทศอินเดียอีกด้วย เป็นเวลา 30 วัน ครั งที่ 4 เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2501 ได้เป็นหัวหน้าคณะ ไปร่วมงาน และเป็นประธานประกอบพิธีบรรจุพระบรมธาตุ ณ วัดบุบผาราม เมืองปีนัง สหพันธรัฐมลายา ซึ่งในการเสด็จไปครั งนี ได้เสด็จไปเมืองกัวลาลัมเปอร์ เมือง หลวงเป็นเวลา 7 วัน ครั งที่ 5 เมื่อเดือนมีนาคม และ เมษายน พ.ศ. 2502 ได้เป็นหัวหน้าคณะ ไปร่วมพิธีฉลองพุทธยันตี 25 ศตวรรษแห่งพระพุทธศาสนา ณ ประเทศญี่ปุ่น เป็นเวลา 30 วัน
ครั งที่ 6 เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2502 ได้เป็นหัวหน้าคณะ น าพระสงฆ์ ไทยไปอยู่ ณ วัดไทยพุทธคยา ประเทศอินเดีย และได้เสด็จไปนมัสการปูชนีย สถานส าคัญ คือ สังเวชนียสถาน 4 ต าบลด้วย เป็นเวลา 10 วัน ครั งที่ 7 เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2503 ในการไปประกอบพิธีเปิดโรงเรียน พระปริยัติธรรม ณ วัดโพธิ์ชัย จังหวัดหนองคาย ได้เลยไปเยี่ยมคณะสงฆ์และ เยี่ยมวัดต่าง ๆ ในประเทศลาวด้วย สมเด็จพรสังฆราช ปลด เสด็จประเทศสหรัฐอเมริกาและยุโรป ครั งที่ 8 เมื่อเดือนมิถุนายน และ กรกฏาคม พ.ศ. 2504 ได้เสด็จไปสังเกต การพระศาสนาการศึกษา และเยี่ยมประชาชน ในประเทศสหรัฐอเมริกาและ ยุโรปบางประเทศ ตามค าทูลอาราธนาของมูลนิธิเอเซีย เป็นเวลา 45 วัน
ครั งที่ 9 เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2505 ก่อนหน้าสิ นพระชนม์เดือนเศษ คือ ระหว่างวันที่ 7 เมษายน ถึงวันที่ 27 เมษายน ได้เสด็จไปสังเกตการพระศาสนา และเยี่ยมประชาชนอินเดีย ตามค าทูลอาราธนาของรัฐบาลอินเดีย เป็นเวลา 20 วัน ผลงานส าคัญสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (ปลด กิตฺติโสภโณ) สมเด็จพระสังฆราช มีดังนี ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้รับมอบให้เป็นผู้ ช าระคัมภีร์อรรถกถาพระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย 4 คัมภีร์ คือ อรรถกถา อุทาน อิติวุตตก มหานิเทศ และจุลนิเทศ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้รับมอบให้เป็นผู้ช าระ คัมภีร์พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย 3 คัมภีร์ คือ มหานิเทศ จุลนิเทศ และชาดก และได้ช าระคัมภีร์ สารัตถทีปนี ฎีกาพระวินัย
ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ได้เป็นประธานกรรมาธิการ แปลพระไตรปิฎกภาษาบาลีเป็นภาษาไทย จนจบพิมพ์เป็นเล่มได้จ านวน 80 เล่ม เมื่อปี พ.ศ. 2500 เมื่อปี พ.ศ. 2500 ได้เป็นประธานสงฆ์ในงานรัฐพิธีฉลอง 25 พุทธศตวรรษ ของไทย
พระอวสานกาล พระโกศสมเด็จพระสังฆราช (ปลด) ในวันที่ 17 มิถุนายน 2505 เวลาเช้าพระอาการทั่วไปเป็นปกติ จะมีก็เพียง คงปวดพระเศียรตามธรรมดาซึ่งไม่หนักอะไร เวลาเพลได้เสด็จไปเจริญพระพุทธ มนต์และเสวยภัตตาหารเพล เนื่องในงานท าบุญของท่านจอมพลสฤษฎิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรีได้เป็นปกติ และเสด็จกลับมาถึงวัดเวลาประมาณ 13.00 น. แล้วก็ ได้ทรงพักผ่อนตามที่ทรงเคยปฏิบัติมา และในเวลาประมาณ 14.00 น.และได้
ทรงสนทนากับบิดา มารดาของกุลบุตรผู้น าบุตรมาฝากบวชเป็นเวลานาน พอสมควร จนถึงเวลาประมาณ 15.00 น. เศษ พระอาการทั่วไปก็ยังปกติอยู่ ครั นผู้ที่น าบุตรมาฝากบวชนั นกลับแล้ว ก็เสด็จเข้าสรงน าตามปกติเช่นเคยมา แต่ แล้วพระอาการที่ไม่มีใครคาดฝันก็ปรากฏขึ น นั่นคือพระอาการปวดพระเศียรจน เกินก าลังความสามารถที่ทรงอดทนได้ เมื่อพระปฏิบัติรับใช้รีบเชิญนายแพทย์มา เฝ้าพระอาการ พอทรงเห็นหน้านายแพทย์และรับสั่งได้เพียงไม่กี่ค าพระองค์ก็ สิ นพระชนม์ด้วยพระอาการอันสงบ ถึงแม้บรรดานายแพทย์จะพยายามช่วย เพื่อให้ทรงฟื้นขึ นมาอย่างเต็มความสามารถและความรู้ อย่างไรก็ตาม พระองค์ก็ ทรงฟื้นมาได้ไม่ คณะแพทย์ได้ลงความเห็นพร้อมกันว่าสมเด็จพระสังฆราชได้ สิ นพระชนม์ด้วยพระโรคเส้นโลหิตใหญ่ในพระสมอง แตกอย่างปัจจุบัน สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ กิตติโสภณมหาเถระ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก สิ นพระชนม์ เมื่อวันอาทิตย์ขึ น 15 ค่ า เดือน 7 ปีขาล ตรงกับวันที่ 17 มิถุนายน 2505 เวลา 16.27 น. สิริพระชนมายุได้ 73 พรรษา กับอีก 21 วัน นับเป็นการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ของคณะสงฆ์ไทย ที่สมเด็จพระสังฆราช ที่ทรง เป็นต้นแบบนาคหลวง ส าหรับสามเณรประโยค 9 ทั งหลายในปัจจุบัน สิ นพระชนม์แบบไม่คาดคิดมาก่อน .....................................................................
แหล่งข้อมูลอ้างอิง บทความพิเศษ สามเณรปลด โดย ศาสตราจารย์ (พิเศษ) เสฐียรพงษ์ วรรณปก หน้า 67 หนังสือมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 1866 ประจ าวันที่ 20-26 พฤษภาคม 2559. in.pinterest.com koha.tulibs.net mgronline.com shopee.co.th th.wikipedia.org › wiki www.dharma-gateway.com www.lungthong.com › product www.posttoday.com ขอขอบคุณภาพและข้อมูลจากเว็บไซต์ต่าง ๆ