พระราชประวัติ พระเจา้ พรหมมหาราช
มหาราชพระองคท์ ี่ 1 (ฉบบั ปรบั ปรงุ )
ผเู้ รยี บเรยี งนายประสาร ธาราพรรค์
มหาราช พระองคแ์ รก ของสยาม
ทรงพระนาม พระเจา้ พรหม ผู้ยิ่งใหญ่
ธ กอบกู้ เอกราช กอ้ งเกรกิ ไกร
ธ ทาให้ ความเปน็ ไทย ไดก้ ลับคนื
โยนกลา้ นนา แดนเหนือ พน้ จากทาส
ของทรราชย์ ทยี่ ่ายี ชาสุดฝนื
พวกขอมดา ข่มเหง สดุ กลากลนื
ทรงพลิกฟืน้ แกไ้ ข ไทยยนื ยง
ความเปน็ มา ของพระองค์ แปลกเลศิ ลา
เปน็ ผนู้ า กลการศกึ สดุ สงู สง่
สรา้ งชาตไิ ทย เรมิ่ ตน้ ใหม่ ไดม้ น่ั คง
ไทยดารง คงชอื่ ไท้ ให้จดจา
ทรงสรา้ งเมอื ง เชยี งแสน เป็นปกึ แผ่น
ขยายแดน กวา้ งไกล สุดเลศิ ลา
เพ่ือโยนก พฒั นล์ า้ นนา ทรงกระทา
ทรงน้อมนา พทุ ธศาสน์ ให้ย่ังยนื
.............................................................
ประสาร ธาราพรรค์ รอ้ ยกรอง
พระบรมราชานุสาวรยี ์ พระเจา้ พรหมมหาราช อาเภอไชยปราการ
“พระเจา้ พรหมมหาราช” พระนามของพระมหากษัตรยิ ์มหาราชพระองค์
นี หาน้อยคนนักจะรู้จักพระองค์ได้รับการยกย่องให้เป็น “มหาราช” พระองค์
แรกของแผน่ ดนิ สยาม นับตังแต่การรวมแผ่นดนิ ลา้ นนาเขา้ กบั สยามในสมัยของ
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช แห่งกรุงธนบุรี เหตุที่ได้รับการยกย่องเป็น
มหาราชเพราะทรงสถาปนาสร้างเมืองไชยปราการ พระองค์มีพระปรีชา
สามารถด้านการรบ สามารถกู้เอกราชตีเอาเมืองโยนกนครไชยบุรีราชธานีศรี
ช้างแสน คืนได้จากพระยาขอม (ขอมดา จากเมืองอุโมงคเสลานคร) ซ่ึงยกทัพ
มาชิงเมืองโยนกในสมัยพระเจ้าพังคราช พระเจ้าพรหม เป็นช่ือที่เรียกขาน
ของ “วีรบุรุษในตานาน” ของอาณาจักรโยนกนครไชยบุรีราชธานีศรีช้างแส่น
(หรือโยนกล้านนา)
เอกสารของ วัน วลิต, ตาชาต และลาลูแบร์ ท่ีได้บันทึกไว้ทาให้รู้ว่าชาว
พระนครศรีอยุธยาจานวนหนึ่ง พวกเขาก็มีความเชื่อว่าพระเจ้าพรหม
เปน็ “ปฐมบรมกษัตริย์” ของพวกเขามานานแลว้ ตงั แตก่ อ่ นแผน่ ดนิ สมเดจ็ พระ
เจ้าปราสาททอง และต้องถือว่าพระเจ้าพรหม เป็นกษตั ริยไ์ ทยทแ่ี ท้จริงองคแ์ รก
ท่ีได้ตงั อาณาจักรไทยขึน
พระบรมราชานุสาวรียพ์ ระเจา้ พรหมมหาราช
ทว่ี ดั พระเจ้าพรหมมหาราช (วัดปา่ ไมแ้ ดง)อาเภอไชยปราการ จังหวดั เชยี งใหม่
พระราชประวัตพิ ระเจา้ พรหมมหาราช
พระเจา้ พรหมมหาราช หรอื พระเจา้ พรหมกมุ าร ได้รับการยกย่องว่าเป็น
พระมหากษัตริย์ผู้องอาจกล้าหาญของไทย ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ไทยองค์
แรกที่ได้รบั การยกย่องเปน็ มหาราช พระองค์ทรงเปน็ ราชบุตรองคท์ ่ี 2 ของพระ
เจ้าพังคราชเม่ือประสูติออกมานันมีพระวรกายงดงามพระราชบิดาจึงทรงตัง
พระนามว่า “พรหมราชกุมาร” พระองค์ประสูติในวันอาทิตย์ แรม 8 ค่า เดือน
6 เหนือ (คือเดือน 4 ใต้) ปีมะเส็ง พ.ศ. 1461 ณ โยนกนคร พระองค์มีพระ
เชษฐามีพระนามวา่ พระเจ้าทกุ ขภกิ ขราช
แคว้นโยนกตกเปน็ ของขอม
ในสมัยเดียวกับสมัยน่านเจ้า ขณะท่ีพม่าได้เข้ามามีอานาจอยู่ในดินแดน
สุวรรณภมู นิ ันเป็นเวลาเดียวกบั ทพี่ วกไทยเร่มิ อพยพลงมาอยูใ่ นแคว้นโยนกและ
หลวงพระบางเป็นจานวนมาก (คือคราวอพยพเม่ือราวพุทธศตวรรษท่ี 16)
ฉะนันเมอ่ื พม่าหมดอานาจลงอยา่ งเด็ดขาดแล้ว พวกไทยในแคว้นโยนกกม็ กี าลัง
ขึนบ้างจึงได้เร่ิมปกครองตนเองขึนอีก โดยได้ช่วยกันสร้างเมืองขึน มีจานวน
หลายเมือง บางเมืองได้แซกอยู่ในเขตของอาณาจักรของพวกขอม ซ่ึงเป็น
เจ้าของถิ่นเดิม ในสมัยนันได้แบ่งเป็น 2 ภาค คือ ภาคเหนือมี “เมืองสยาม”
เป็นเมืองสาคัญ ภาคใต้มี “เมืองละโว้” ชนชาติไทยท่ีอยู่เหนือขึนไปจาก
อาณาจักรของขอม พยายามตังตัวเป็นอสิ ระคอื อาณาจักรไทย “โยนก”
สถาปตั ยกรรมอาณาจักรโยนก ลา้ นนา
อาณาจักรไทยโยนก มีกษัตริย์ไทยครอบครองติดต่อกันมาหลายสิบ
พระองค์ โดยพระเจ้าแผ่นดินอันสบื สนั ติวงศ์ตอ่ เน่ืองลงมา จากพระเจ้าเจิงหัวติ
ผู้เป็นต้นพระวงศ์จนถึงรัชกาลพระเจ้าพังคราช ทรงเสวยราชสมบัติตังแต่อายุ
18 พรรษา พระองค์ขนึ ครองราชยท์ รงเปน็ พระเจ้าแผน่ ดนิ ที่ค่อนข้างจะออ่ นแอ
ทังประจวบกับเป็นเวลาที่เพิ่งจะก่อร่างสร้างตัวขึนใหม่ ๆ พอพระชนมายุ ได้
20 ปี พวกขอมเหน็ วา่ พมา่ ไมเ่ อาใจใส่ในดนิ แดนที่ไดไ้ วน้ ันประสงค์จะแผ่อานาจ
ให้เหมือนอย่างเก่าอกี จึงคุมกองทัพขนึ ไปตเี อานครโยนก ขอมดายกทัพมา พระ
เจ้าพังคราช ได้เตรียมทัพออกรบ เพ่ือประวิงเวลาในการให้ เด็ก สตรี และ
คนชรา หลบหนี พรอ้ มทงั เตรียมขนย้ายทรัพยส์ มบัติไปซ่อนไว้ แถวดอยตุงบ้าง
แม่สายบา้ ง การรบครังแรก ก็ได้ปะทะกบั ทัพหนา้ ของขอมดา พระเจา้ พังคราช
กม็ ชี ยั ชนะ แต่พอทพั หลวงทพั ซ้ายทพั ขวาของขอมดามา ถึงซง่ึ กาลงั พลมากกวา่
4 เทา่ ในท่สี ุดพระเจา้ พงั คราช กย็ อมแพ้
วัดพระธาตนุ างคอย บา้ นเวยี งแกว้ อาเภอเชยี งแสน เชียงราย
พระราชบิดาและพระราชมารดาของพระองค์ต้องถูกพวกขอมเนรเทศให้
ออกจากอาณาจักรโยนกไปอยู่เมืองเล็กเมืองหนึ่ง เมืองนีมีช่ือว่า “เวียงสีทวง”
(ปจั จุบันอยู่ในท้องทอ่ี าเภอแม่สาย จงั หวัดเชยี งราย ใกล้ ๆ ชายแดนพม่าไปทาง
ทิศตะวันตกเฉียงใต้ของบ้านปางห่าประมาณ 6 กิโลเมตร มีช่ือใหม่ว่า “บ้าน
เวียงแก้ว” แต่เดิมเรียกว่า “สี่ตวง” เป็นเมืองออกของไทย ปกครองโดย
พวกลัวะ ความเจ็บปวดแสนสาหัส ความทุกข์ ทรมานท่ีถูกขอมดาย่ายี อย่าง
โหดร้าย ลูกใคร เมียใคร ที่มันต้องการ มันจะบังคับเอาตามอาเภอใจของ มัน
หรือจะฆ่าจะทาร้ายใครก็ทาได้ เพราะ เป็นนโยบายของเจ้าขอมดาท่ีจะกาจัด
คนไทยให้หมดภูมิภาคนีเวลาผ่านไป พระมเหสีของพระเจ้าพังราช ทรงพระ
ครรภ์ และคลอดพระราชโอรส ให้นามว่า ทุกขภิกข แปลว่า เกิดมาในทา่ มกลาง
ความทุกข์ เพราะ คนไทยในขณะนัน ต้องอยู่อย่างอดทน ต่างก็ช่วยกันทามา
หากินพร้อมกับออกไปร่อนทอง เพื่อเป็นส่วนส่งให้ขอมดา แม้แต่พระเจ้าพัง
คราชกเ็ สด็จไปรอ่ นทองด้วยพอถึงปีทตี่ ้องนาทองคาส่ีตวงลูกมะตูมมาส่งให้เป็น
บรรณาการ นานเขา้ เรยี กเพยี นเปน็ เวยี ง“สีต่ วง” )
ตานานการกาเนดิ พระเจ้าพรหมมหาราช
เหรยี ญพระเจ้าพรหมมหาราช
พระยาขอมดา(พญากลอมดา) เมืองอุโมงคเสลาได้ยกกองทัพยึดครอง
โยนกนคร คนไทยตอ้ งตกอยู่ใต้อานาจของพระยาขอมดาไดร้ ับความกดขข่ี ่มเหง
จากเจ้านายขอมต่างๆ นานา ทังดูถูก ดูหม่ินเหยียดหยามคนไทย เป็นการบีบ
คัน ทางจิตใจ คนไทยอย่างรุนแรง ตามตานานสิงหนวัติได้กล่าวไว้ว่า ได้มี
สามเณรเมอื งสตี่ วงองคห์ นง่ึ ซ่ึงมอี ายุได้ 19 ปี พกั อาศัยอย่วู ดั แห่งหนึ่ง ในเวียง
โยนก เชา้ วันหนึ่งสามเณรองค์นีได้ออกบิณฑบาต ได้เข้าไปในคุ้มของพญาขอม
สามเณรได้ไปยืนหยุดอยู่ เม่ือพญาขอม ได้เห็นสามเณร เข้าถึงในคุ้มของตน ก็
ได้สอบถามพวกไพร่ฟ้าท่ีเฝ้าประตู พวกไพร่ของพญาขอมก็ตอบว่า สามเณร
องคน์ เี ป็นพวกไทย จากเวียงส่ีตวงพญาขอมไดฟ้ งั ดังนันก็โกรธเป็นอันมาก และ
ได้กลา่ วปรภิ าษ ดว้ ยคาหยาบชา้ ว่า “เณรเป็นคนเมืองไพร่เท่านัน หาควรที่จะ
เข้ามารับบิณฑบาต ในบ้านของท้าวพญาขอม อันยิ่งใหญ่ไม่” แล้วจึงร้องบอก
ให้ไพร่ทังหลายว่า “สามเณรเป็นลูกคนเมืองส่วย พวกสูทังหลาย อย่าเอาข้าว
ของกูไปใส่บาตรให้มันเลย”สามเณรได้ฟังพญาขอม ว่าดังนันแล้ว ก็เกิดความ
น้อยอกน้อยใจเป็นอันมาก และพร้อมกันนัน ก็เกิดทิฏฐิมานะ คิดหาหนทางท่ี
จะตอบแทน ความหยาบชา้ ของพญาขอมให้จงได้คิดแลว้ ก็เดินออกจากคุ้มพญา
ขอม
เมือ่ เดนิ ถงึ กูแ่ กว้ จึงยกเอาอาหารบณิ ฑบาต ทต่ี นได้มาจากบ้านอ่ืน ถวาย
เป็นพทุ ธบชู าแด่พระธาตุ แล้วก็ได้ตังจิตสัจจะอธิษฐานว่า “ด้วยเดชบุญกุศล ท่ี
ขา้ ได้ประพฤติปฏิบัติ ในธรรม ของพระพุทธเจ้า จะเป็นด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา
ภาวนากุศล จงดลบันดาลให้ข้าจงจุติ (ตาย) จากโลกนี ภายใน 7 วันเถิด แล้ว
ขอใหข้ า้ จงไดไ้ ปเกิดในครรภ์ ของนางเทวี มเหสเี จา้ เมอื งเวียงส่ีตวง (พระเจา้ พัง
คราช) และเมื่อหากว่าข้าได้เกิดมาแล้ว ขอให้ผู้ข้ามีรูปอันงาม มีกาลังอันกล้า
แข็งมีอายุย่ังยืนนาน เป็นท่ีรักของเจ้าเมืองเวียงสี่ตวง ผู้เป็นพระบิดา เม่ืออายุ
ข้าได้ 16 ปี ขอให้ข้าได้รับชัยชนะ ในการปราบพญาขอมดาผู้โอหัง ด้วยเหตุว่า
พญาขอมผ้นู ี ไมร่ ู้คุณของพระรัตนตรยั แก้วสามประการ”
พระธาตดุ อยก่แู ก้ว
เม่ือสามเณร ได้ตังสัจจะอธิษฐาน ต่อพระบรมธาตุดอยกู่แก้วแล้ว ก็น่ัง
สมาธอิ ยู่ใตต้ น้ ไมต้ น้ หนึง่ ไม่ยอมฉันข้าวและนาครันล่วง 7 วัน สามเณรองค์นีก็
ไดถ้ งึ แก่มรณภาพ ด้วยสัจจวาจา ดวงวิญญาณ ของสามเณร ก็ได้ไปถือปฏิสนธิ
ในครรภ์ของพระนางเทวี มเหสีของพระเจ้าพงั คราช ส่วนพระนางเทวี ในราตรี
นันกาลคืนนัน ขณะท่ีพระนางทรงบรรทมอยู่ พอใกล้สว่าง ก็ทรงสุบินนิมิตรว่า
ได้เห็นช้างเผือกตัวหน่ึง มายืนอยู่ใกล้พระองค์ แล้วเดินผ่านเข้าไปในเวียงทาง
ทิศใต้ เม่ือพ้นเวียงออกไปแล้ว ได้วิ่งไล่คนทังหลาย ฝูงชนได้แตกตื่นหนีกันเป็น
วุ่นวาย เมอื่ พระนางสะด้งุ ตื่นขนึ จงึ ไดท้ รงเล่านมิ ติ นี ใหพ้ ระราชสวามีฟัง พระ
เจา้ พังคราชทรงทานายว่า จะมีผูม้ ีบุญมาเกิดในครรภ์ของพระนาง ตงั แตน่ ีตอ่ ไป
ขอให้พระนางจงรักษาพระครรภไ์ วใ้ ห้ดเี ถิด
มีตานานกล่าวว่า ท้าวโกสีสักเทวราช คือ พระอินทร์ ทราบว่า กรรมเก่า
ของพระเจ้าพังคราช และราษฎรคนไทยได้สลายตัวแล้ว จึงแปลงกายเป็นเด็ก
อายุประมาณ 12 ปี เดินมาจากป่าตรงไปหา พระเจ้าพังคราช ทีแรกบรรดา
ประชาชนกก็ นั ไว้ แต่พระเจ้าพังคราชบอกว่าอย่ากัน "จะเป็นใครมาจาก ไหนก็
ตามเราถอื ว่าเป็นคนเหมอื นกนั เราจะต้องอยู่ร่วมกันได้" แล้วเด็กคนนันก็เข้าไป
หาพระเจ้าพังคราชแนะนาวิธีทาทอง โดยบอกส่วนผสม ที่ใช้ในการหลอมทา
ทอง คือ แร่เพรียงไฟ ดีบุก แร่ทอง แดง สารปากนกแก้ว และสารอีกชนิดหน่ึง
(ขอปิดไว้) พร้อมบอก สถานที่มีสารแร่เหล่านี และทาให้ดูเป็น ตัวอย่าง จะได้
ทองคา 100%หลงั จากนนั พระเจา้ พงั คราช และราษฎรคนไทยก็มีความเป็นอยู่
ดีขึนผ่านไป 3 ปี ในขณะนัน "ท้าวผกาพรหม" ได้ไปเรียก "สัพเกศีพรหม" บอก
วา่ ขณะนคี นไทยลาบากอยู่ ท่านจะมาเสวยสุข อยู่เฉพาะผู้เดียว โดยไม่เหลียว
แลคนไทยทอ่ี ยูข่ า้ งหลังไม่เปน็ การสมควร ท่านควรจะ ลงไปเกิดเปน็ ลูกชายพระ
เจา้ พังคราช แล้วชว่ ยก้ชู าติไทย ใหป้ ลอดภยั จากความเป็นทาสหลงั จากนนั ทา้ ว
ผกาพรหมก็ประกาศว่า มีพรหมองค์ใดที่นับถือ พระพุทธศาสนา เคยเกิดเป็น
คนไทยมา ก่อนจะลงไปช่วยคนไทย กม็ พี รหมอกี 250 องคล์ งไปเกดิ พร้อมๆกัน
เปน็ สหชาติ และมพี รหมอีก 3 องค์ บอกว่าจะมาช่วยไปเกิดเป็นชา้ งคูบ่ ารมี
พระพรหม
ตอ่ มา สัพเกศพี รหม พร้อมด้วยพรหมอีก 250 องค์ ก็ได้มาเกิด พร้อมกัน
ทกุ องค์ ต่างมรี ูปรา่ งผวิ พรรณ สวยงามมาก เพราะต่างกม็ าจากพรหม โอรสพระ
เจ้าพังคราชมีนามว่า "พรหมกุมาร" หลังจากพรหมกุมาร และ สหชาติทัง 250
ได้มาเกดิ ความอุดมสมบรู ณ์ ก็ปรากฏแก่ประชาชนชาวไทย
พระเจา้ พรหมมหาราชประสตู ิ
ขณะท่ีพระมเหสีทรงครรภ์ราชโอรสองค์นีได้ 7 เดือน ได้กราบทูลพระ
สวามีว่า ขอให้นาเอาศาตราวุธมาให้ดูว่ามีอะไรบ้าง ท่ีใช้ในราชการสงคราม
พระสวามีก็แสวงหามาตกแต่งไว้ในห้องให้พระมเหสีทอดพระเนตรทุกวัน ครัน
พระครรภ์ครบถว้ นทศมาส พระนางก็ประสตู ิพระกมุ ารในวนั อาทติ ย์ แรม 8 คา่
เดือน 6 เหนอื (คือเดอื น 4 ใต้) ปมี ะเส็ง พ.ศ. 1461
"....ยามรงุ่ แจ้ง ครรภน์ างเต็มทศมาสได้ 10 เดือนแล้ว นางกป็ ระสตู ิได้ลกู
ชายผหู้ น่งึ เกดิ มามีวรรณะผุดผ่อง สริ โิ ฉมงดงาม ดังพรหม เนือตนอนั หมดจดหา
มลทินมิได้ เป็นด่ังล้างไว้สะอาดแล้ว ครังนันญาติทังหลายฝูงอันมีอยู่ในบ้าน
ศรีทองนัน และเสนาอามาตย์พราหมณ์ปุโรหิตก็มารับเอาแล้วเบิกบายนามกร
เอานิมติ อันงามเหมือนดัง่ พรหมมาเกิดนันจ่ึงใสช่ ื่อวา่ พรหมกมุ าร นันแล
เม่ือทรงเจริญวัย พรหมกุมารก็ขึนใหญ่มาได้ 7 พรรษา หาพญาธิโรคา
พระราชบิดาได้ทรงให้พระองค์เข้ารับการศึกษา จากครูอาจารย์ที่มีวิชาความรู้
ทางศิลปศาสตร์ และวิชาพิชัยสงคราม พระองค์ทรงเป็นผู้มีจิตใจกล้าหาญ
สามารถเรียนศิลปศาสตร์ จากครูบาอาจารย์ได้อย่างว่องไว สามารถใช้อาวุธ
และตาหรับตาราพิชัยสงคราม ได้เป็นอย่างดี พระเจ้าพังคราชพระราชบิดา ได้
ทรงคน้ หาครบู าอาจารย์ ผู้ทรงความรู้ทางพิชัยสงคราม และพระฤาษีผู้ทรงวิชา
ดว้ ยอิทธิฤทธิ์ ใหพ้ ระกมุ ารได้ศึกษาอบรม จนพระราชกมุ ารได้ศึกษาจนจบ ทรง
มฝี พี ระหัตถ์ อนั เขม้ แข็ง ยากทีจ่ ะหาผูท้ เี่ สมอเหมือนในยุคนนั
พระเจา้ พรหมมหาราชสบุ นิ นมิ ติ ฝัน
เมื่อพรหมกุมารทรงพระเจริญวัยขึนมีพระชนม์ 13 พรรษา คืนหน่ึงทรง
พระสบุ นิ ว่ามเี ทวดามาบอกพระองค์วา่ ถา้ อยากไดช้ า้ งเผอื กคู่พระบารมสี าหรับ
ทาศึกสงครามแล้วไซร้ วนั พร่งุ นตี อนเชา้ ก่อนดวงอาทติ ยข์ นึ ใหอ้ อกไปทฝ่ี งั่ แมน่ า
โขง แล้วคอยดูจะมีช้างเผือกล่องนามาตามแม่นาโขง 3 ตัวด้วยกัน ถ้าจับได้ตัว
ใดตัวหน่ึงก็จะใช้เป็นพาหนะทาศึกสงคราม ถ้าจับได้ตัวท่ีหน่ึงจะปราบได้ทังส่ี
ทวีป ถ้าจับได้ตัวท่ีสองจะปราบได้ทั่วชมพูทวีป ถ้าจับได้ตัวท่ีสามจะได้ดินแดน
แคว้นล้านนาไทยได้ทังหมด สินสุบินนิมิตแล้ว เจ้าพรหมราชกุมารต่ืนจาก
บรรทม ไม่ทันสรงพระพักตร์ไปเรียกมหาดเล็กของท่าน ซ่ึงเป็นลูกทหารแม่ทัพ
นาย กองจานวน 50 คน ให้ไปตัดไม้รวกเป็นขอตามคาเทวดาบอก ให้ใช้ขอไม้
รวกและเกาะคอช้างจะได้ลากขึนฝ่ัง แล้วพากันไปที่ฝ่ังแม่นาโขง พอได้สักครู่
ใหญ่ ๆ ทอ้ งฟา้ กส็ ว่าง ในขณะนันมีงูใหญ่ตัวหนึ่งสีเหลืองตัวใหญ่โตประมาณ 3
อ้อม ยาว 10 กว่าวา ลอยมาตามแม่นาโขง เข้ามาใกล้ฝั่งที่พระองค์และ
มหาดเล็กอยู่นนั เจ้าพรหมราชกมุ ารและมหาดเล็กเห็นเขา้ ก็ตกใจกลัวมิอาจเข้า
ไปใกล้ได้ เจ้างูนันก็เลยล่องผ่านไป พออีกสักครู่ใหญ่ ๆ ก็มีงูลอยตามนามาอีก
แตต่ ัวเล็กกวา่ เกา่ ขนาดก็สันกวา่ ตัวเก่าเปน็ งูอยา่ งเดียวกันก็ลอยล่องไปอีก เจ้า
พรหมราชกุมารไมก่ ลา้ ทาอะไร พอตัวทีส่ องนผี า่ นไปได้ครู่ใหญ่ ๆ กน็ ึกว่าเทวดา
บอกว่าจะมีช้างเผือกลอยมา 3 ตัว ไม่เห็นช้างเผือกลอยมาสักตัวเห็นแต่งูลอย
มาสองตัวแล้ว ถ้าหากว่ามีอีกตัวหนึ่งต้องเป็นช้างเผือกแน่ ตัวท่ีสามนีอย่างไรก็
ต้องเอาละเพราะเป็นตัวสุดท้ายแล้ว พอเจ้างูตัวท่ี 3 ลอยมา เจ้าพรหมก็ลงนา
และบุกนาลงไป ไปถึงก็เอาไม้รวกเกาะคองูนัน พอขอไม้รวกเกาะคองู งูก็แปร
สภาพเป็นช้างเผือกทันที มหาดเล็ก 50 คน ก็ช่วยกันเอาขอไม้รวกเกาะคอช้าง
จะเอาขึนฝั่งทาอย่างไรมันก็ไม่ยอมขึนฝ่ัง เดินไปเดินมา อยู่ในนานั่นเอง เจ้า
พรหมราชกุมาร ก็ใช้ให้มหาดเล็กไปกราบทูลพระราชบิดาว่าได้ช้างเผือกแล้ว
แต่ไม่ยอมขึนฝั่ง เมื่อพระเจ้าพังคราชทรงทราบเช่นนันก็เรียกโหรหลวงมาถาม
โหรหลวงก็ทูลว่า ให้เอาทองคาประมาณย่ีสิบตาลึงมาตีพางทองอันหน่ึง (พาง
คือระฆงั หรอื กระดงิ่ ผกู คอชา้ ง)
พางกระดง่ิ ผกู คอช้าง
ทรงรับสัง่ ใหพ้ ระราชโอรสองคใ์ หญ่เอาพางไปที่ฝ่ังแม่นา และเอาไม้ตีพาง
ทองเข้าพอพางทองดงั ช้างจะขึนฝงั่ เอง พระเจ้าพังคราชก็มีรับสั่งให้ทาพางทอง
ขึนและนาไปที่ฝง่ั แม่นาโขง และไมเ้ คาะที่พางทองกม็ ีเสยี งดงั เหมอื นระฆงั ชา้ งก็
ขึนมาจากฝง่ั เจา้ พรหมกมุ ารกน็ าชา้ งเขา้ เมอื ง พระราชบดิ าก็สร้างโรงช้างเผอื ก
เข้าเลยี งบารุงไวท้ น่ี ั่น ชา้ งก็เลยได้ช่ือว่า “ช้างเผือกพางคา” เมื่อช้างเผือกพาง
คาจะไปไหน จะเข้าป่า ก็ไม่มีสัตว์ตัวใดกล้าทาร้าย ช้างป่าก็เข้ามาเป็นบริวาร
มากมายโดยไม่ตอ้ งไปตอ่ หรือไปดงึ มา
เวยี งพางคา เมอื งพานคา ในปจั จบุ นั
ต่อมาเจ้าพรหมกุมารก็ได้โปรดให้สร้างเมืองขึนท่ีนั่น โดยขุดคูเอานาจาก
แม่นาสายมาเป็นคูเมืองและให้ช่ือวา่ “เวียงพางคา ” ( ตังอยู่รมิ แม่นาสายตรงท่ี
สานักงานไร่ยาสูบ อ.แม่สายในปัจจุบัน ) และทรงใช้เวียงพานคานีเป็นแหล่ง
ชุมนุมไพรพ่ ล เพราะเวียงพางคามีอาณาเขตเปน็ ทร่ี าบกวา้ งอดุ มสมบรู ณด์ ว้ ยพชื
พันธ์ธุ ญั ญาหารเหมาะแก่การประชุมพล
การกเู้ อกราชประกาศอสิ รภาพจากขอมดา
พระบรมราชานุสาวรียพ์ ระเจา้ พรหมมหาราช วดั ทา่ ซงุ จังหวดั อุทัยธานี
เม่อื พระเจา้ พรหมมหาราชอายุได้ 16 ปี ด้วยความปรารถนาอยา่ งแรงกลา้
ของพระองค์ในท่ีจะปลดแยกอาณาจักรโยนกออกจากการปกครองของพวก
ขอมพระองค์ได้กราบทูลพระราชบดิ าว่า "ตอ่ ไปนีเราจะไม่เปน็ ผแู้ พ้ ดนิ แดนของ
เราอย่เู พยี งไหน เราจะยดึ เอามาใหห้ มด แลว้ จะยดึ พนื ท่อี กี ไมน่ ้อยกวา่ 4 เท่า"
พระราชานสุ าวรยี ์พระเจา้ พรหมมหาราช
ทรงชา้ งพลายประกายแกว้ วดั ทา่ ซงุ
พรหมกุมารก็เริ่มสะสมอาวธุ ฝกึ การรบ เตรยี มไพรพ่ ล เพอ่ื กเู้ อกราช เมื่อ
เตรียมการเสร็จก็ได้งดส่งส่วย ให้ขอมดา เม่ือขอมดารู้ว่า คนไทยงดส่งส่วย
แสดงวา่ แขง็ เมือง จึงยกทัพมาตี ฝา่ ยไทยเตรยี มพรอ้ มอยู่ แลว้ จึงจดั ทัพออกไป
รบทันที ในขณะทที่ าศึก พรหมกมุ าร ก็ได้กราบทลู พระราชบิดา ขอเป็นกษัตริย์
ชว่ั คราว เพือ่ สะดวกในการออกคาส่ัง การสงครามระหว่างไทยกับขอมดาก็เร่มิ
ขึนอีกครังหนึ่ง พระยาขอมดาจึงดารัสส่ังให้ระดมพลด่วน ข่าวนีทราบมาถึง
พรหมกมุ าร จึงรวบรวมพลไว้ประมาณหนงึ่ แสนคน ยกออกจากเวียงพางคา ไป
ประจนั หนา้ กบั ทัพขอมทก่ี ลางทงุ่ สนั ทราย
พระเจ้าพรหมมหาราช
"....ครังนัน พระยาขอมดาปรารถนาจักต่อรบกับพรหมกุมาร ก็ไปทันรบ
ช้างที่น่ังพระยาขอมดานันก็เห็นช้างมงคลพางคาในท่ีนัน อันพรหมกุมารเจ้าขี่
อยูน่ ัน พระยาขอมดาก็มคี วามสะดุ้งตกใจหวั่นไปทงั ตัว แล้วกห็ ันหน้ากลับด้นวงิ่
ไปครังนัน หมู่ช้างแห่งพระยาขอมดาทังหลายก็แตกตื่นเหยียมย่าหัวขอมดา
ทังหลายตายมากนัก แตกกระจัดกระจายพ่ายหนีไปสู่เสียง ส่วนพระเจ้าพรหม
กมุ ารกข็ ่ชี ้างพาคนหาญเลยไปกาจัดขอม ไปตลอดถึงเวยี งโยนกนครนนั แล พระ
ยาขอมดาก็พาลูกน้องเข้าไปในเวียง แล้วปิดประตูเวียงเสียทุกแห่ง ครันพรหม
กุมารเจ้าก็ไสช้างพานคาเข้าแทงประตูเวียงทะลุ เข้าไปกาจัดขับไล่พระยาขอม
ในเวียงท่ีนนั ผู้คนบ่าวไพรแ่ หง่ พระยาขอมดากฉ็ บิ หายตายมากนกั แล...."
ศกึ คราวนีขอมพา่ ยแพ้ พระองค์จึงยกกองทัพใหญ่ ไล่จับพวกขอมที่เป็นชายฆ่า
เสียเกือบหมด พวกที่รอดตายไปได้ คือพวกที่มาทางใต้ พระเจ้าพรหมฯ ตัง
พระทัยที่จะทาลายพวกขอมให้หมดสิน เป็นการขับไล่ชนิดที่เรียกว่า “กวาด
ลา้ ง” เพราะพวกขอมมีหลายหัวเมืองด้วยกัน เช่น เมืองหริภุญชัย เมืองสุโขทัย
เมืองละโว้ เมอื งศรีสชั ชนาลัยด้วยการรบอย่างรุนแรง เพ่ือจะขจัดอิทธิพลของ
พวกขอมนัน่ เอง การรบแม้ไทยมีกาลังน้อยกว่าถึง 4 เท่าแต่การรบครังนี
กาลังใจของคนไทยแข็งแกร่งมากเพราะการรบ ครัง นี รบเพื่อหวังประโยชน์
สองอยา่ ง คือ
1.รบเพอื่ หวังอิสรภาพ ไทยตอ้ งเปน็ ไท
2.รบเพื่อขับไล่ขอมดาใหอ้ อกไปนอกเขตไทย
ในที่สุด พระเจ้าพรหมมหาราช และสหชาติ ใช้กลยุทธต่าง ๆ ในการรบ
จนสามารถขบั ไล่ขอมออกไปจากเขตแดน ไทยได้ แต่ในการไปตีเมืองขอม พระ
มเหษีของพระองค์ ซึ่งไดอ้ อกรบดว้ ย ได้ถกู ขอมฆ่าเสียชีวิต ทาให้พระเจ้าพรหม
กุมารโกรธแคน้ ขอมมาก ไดไ้ ลล่ ่าฆา่ ขอมเป็นเวลา 3 วัน 3 คนื จึงหยุดพักทหาร
แลว้ จึงเคลอื่ นทัพ ไล่ฆา่ ขอมต่อขึนช่อื ว่าขอมจะตอ้ งไมม่ ชี วี ติ อยู่ ไลไ่ ปจนถงึ เมอื ง
กาแพงเพชร
เมืองวชริ ปราการ กาแพงเพชร ในอดตี
ในตานานโยนกจงึ ไดก้ ลา่ วถึงปาฏิหารยิ ท์ จ่ี ะยบั ยงั มใิ ห้พระองค์ทาการรุก
ไล่พวกขอมต่อไปว่า ร้อนถึงพระอินทร์เจ้าสวรรค์ชันดาวดึงส์เล็งทิพย์เนตรมา
เห็น ถ้าไม่ไปช่วยไว้ ขอมจะต้องตายหมด ชีวิตมนุษย์ก็จะเป็นอันตรายมาก
จาต้องช่วยป้องกันไว้ จึงมีเทวองค์การส่ังให้พระวิศณุกรรมเทพบุตรลงไป
เนรมิตรกาแพงแก้ว ก็หยุดเพียงแค่นัน ไม่ได้ไล่ตามต่อไป ที่ตังกาแพงแก้วนี
ตอ่ มาเกดิ มเี มืองขึนเมืองหนง่ึ มีชือ่ ว่า “เมืองวชิรปราการ” แปลตามพยญั ชนะวา่
“กาแพงเพชร” คือจงั หวัดกาแพงเพชรในปัจจบุ ันนี
พระบรมราชานสุ าวรยี ์วดั พระเจา้ พรหมมหาราช (วดั ปา่ ไมแ้ ดง)
ข้อความในตานานนีพอจะสันนิษฐานได้ว่าเม่ือพระเจ้าพรหมลุกไล่พวก
ขอมลงไปทางใต้เป็นระยะทางไกลพอสมควรแล้ว ทรงเห็นว่าพวกขอมท่ีแตก
พ่ายไปอย่างไม่เป็นกระบวนนัน คงไม่สามารถที่จะรวมกาลังยกกองทัพมารวบ
กวนได้อีก และประกอบกบั บรรดาไพร่พลของพระองค์อิดโรยอ่อนกาลัง เพราะ
ทาการสู้รบติดพันกันเป็นเวลานานถึง 1 ปีเศษ ได้อาณาเขตกว้างขวางมากอยู่
พอแลว้ มพี ระราชประสงคจ์ ะหยุดพักไพรพ่ ลเสียบา้ งจงึ ไดย้ กกองทัพกลับมายัง
บ้านเมือง คืออาณาจกั รโยนกนคร
เมืองชยั บรุ เี ชยี งแสนในอดตี
ครันพระเจ้าพรหมเสด็จมาถึงโยนกนครแล้วก็ทรงอัญเชิญให้พระเจ้า
พังคราชพระราชบิดาเสดจ็ ขึนครองราชย์สมบัติในนครโยนกตามเดิมและให้เจ้า
ทุขติ ราชกมุ ารพระเชษฐาเป็นมหาอุปราช แต่ทรงเปล่ียนช่ือใหม่เป็น “เมืองชัย
บรุ ี” เพราะวา่ ทต่ี มี านีได้ชัยชนะ ( บางทีเรียกว่า “ชัยบุรีเชียงแสน” หรือไม่
กเ็ รยี กว่า “เมืองเชยี งแสนชยั บุรี” )
พระธาตจุ อมกติ ติ
นอกจากนันพระเจา้ พรหมฯ กบั พระราชบิดายงั ชว่ ยกนั สร้างพระเจดีย์ขึน
แห่งหนึ่งในราชอาณาจักร พระเจดีย์ที่ทรงสร้างขึนในประวัติศาสตร์เรียกว่า
“เจดีย์จอมกิตติ” (เดี๋ยวนีเรียกว่าพระธาตุจอมกิตติ เป็นเจดีย์องค์ใหญ่
ประดิษฐานอยู่บนเขาสูงบนฝั่งนาแม่โขง ห่างจากท่ีว่าการอาเภอเชียงแสน
ปัจจุบันไปทางซ้ายมือประมาณ 1 กิโลเมตร เป็นปูชนียสถานที่สาคัญเป็นท่ี
กราบไหว้ของคนทั่วไป) ฝ่ายพระเจ้าพรหมกุมาร เมื่อทรงปราบพวกขอมสงบ
ราบคาบแลว้ ไดย้ กเมืองคนื ให้พระเจา้ พังคราช พระราชบิดา มาครองเมอื งเชยี ง
แสนต่อไป หลังเสร็จศึกพระองค์จึงทรงประกาศอิสรภาพของชาติไทย
ใน พ.ศ. 1497 ซ่ึงเป็นเวลาภายหลังท่ีอาณาจักรโยนกหรือโยนกนาคพันธ์
ต้องตกอยู่ภายใต้อานาจของขอมมาเป็นเวลา 20 ปี พระเจ้าพังคราช ทรงรัก
ใคร่พระเจ้าพรหมกุมารเป็นอย่างมาก แล้วทรงยกเมืองเชียงแสน ให้พระเจ้า
พรหมกมุ าร ทรงครอบครองต่อไป แต่พระเจา้ พรหมกุมารไม่ทรงรับ พระเจ้าพัง
คราช จะทรงตังให้เป็นมหาอุปราช พระเจ้าพรหมกุมารก็ไม่ทรงรับอีก กราบ
บังคมพระราชบิดาว่า ขอให้ยกพระเชษฐาธิราช คือ เจ้าฟ้า “ทุขิตกุมาร” ขึน
เป็นมหาอุปราชเถิด พระเจ้าพงั คราชในเมอื่ เห็นวา่ ความตงั พระทยั ของพระราช
โอรสนอ้ ย เป็นอย่างนัน จึงทรงได้ปฏิบัติตามความประสงค์ ของพระเจ้าพรหม
กมุ าร คือ ทรงตงั เจ้าฟา้ ทุขติ กุมาร เปน็ มหาอุปราช
พระเจ้าพรหมมหาราชครองเมอื งไชยปราการ
กาดเมืองผี เมอื งเกา่ ไชยปราการ
พระเจ้าพรหมกุมารทรงคิดในอนาคต ไปข้างหน้าว่า เม่ือพวกขอมได้
ปราชัยพ่ายแพ้ไปแล้ว ในภายหลังพวกขอมอาจจะคิดการแก้แค้นอีกก็เป็นได้
พระเจ้าพรหม จึงได้กราบถวายเร่ืองราว ให้พระราชบิดาทรงทราบ แล้วกราบ
ลา พาเอาไพรพ่ ล พร้อมทังชา่ งทังหลาย มชี ่างตเี หลก็ ชา่ งทอง ช่างไม้ บณั ฑิตผู้
มีปัญญา พร้อมทัง พระสังฆมหาเถร อพยพไปทรงตังเมืองใหม่ขึน ทางทิศ
ตะวนั ตก ของเมืองเชยี งแสน เมอื งนีตังอยู่บนฝ่งั ของแมน่ าฝางตอนบน ทรงเห็น
เป็นท่ีทาเลเหมาะดี ก็ทรงสร้างนครขึนท่ีน่ันทรงสถาปนาเมืองนีว่า
“เมอื งชัยปราการ ” ซ่ึงได้มีซากเมือง ปรากฏอยใู่ นปจั จบุ นั นี การทพ่ี ระองค์ทรง
สรา้ งเมอื งชัยปราการนขี นึ กเ็ พ่อื จะใหเ้ ป็นเมืองหน้าด่าน เพ่อื ปอ้ งกนั ขา้ ศึก ทีจ่ ะ
มาทางทศิ ตะวนั ตกของเมอื งเชยี งแสน
เมืองหรภิ ญุ ไชย
จึงทรงสร้างเมืองขึนอีกแห่งหน่ึง ทรงขนานนามว่า “ไชยปราการ” และ
ทรงสถาปนาพระองคข์ ึนเปน็ กษตั ริย์ มเี มืองชะเลียง (สวรรคโลก) เปน็ เมืองหนา้
ดา่ นใต้ ประชดิ อาณาเขตขอม และทรงสถาปนาเมอื งหรภิ ุญไชย ซึ่งเคยเปน็ ของ
ละว้าและขอมมาก่อน เป็นหัวเมืองเอก ในรัชสมัยพระเจ้าพรหมมหาราชเสด็จ
มาครองราชยส์ มบตั ิ ณ เมืองไชยปราการนนั
แวน่ แควน้ โยนก แบง่ ออกเปน็ 4 มหานคร คือ
เมอื งโบราณเชยี งแสน
ไชยบุรีเชียงแสน เป็นราชธานี ภายหลังได้จมลงสู่พืนธรณีในสมัยพระเจ้า
ไชยมหาชนะ หรือพระเจ้ามหาไชยชนะทรงครองราชสมบัติอยู่ ปัจจุบันอยู่ใน
ท้องทท่ี ่าข้าวเปลือก ไกลจากท่วี ่าการอาเภอเชยี งแสนไปทางทิศตะวนั ออกเฉยี ง
ใต้ ระยะทาง 112 กโิ ลเมตร
เวียงไชยนารายณ์ คอื ท้องท่ีอาเภอเมืองเชียงรายในปจั จบุ นั นี
เวียงไชยปราการ อยู่ที่อาเภอฝางมาทางทิศใต้ระยะทางประมาณ 32
กิโลเมตร (โปรเฟสเซ่อรแคมแมน นักสารวจโบราณวัตถุแห่งมหาวิทยาลัย
มลรัฐเพ็นซิลวาเนีย อเมริกา ให้ข้อสันนิษฐานว่า เมืองไชยปราการที่พระเจ้า
พรหมมหาราชทรงสรา้ งขึนนนั มใิ ช่ตัวเมืองฝางปัจจุบันนี แต่เป็นเวียงริมนาฝาง
ทางทิศตะวันออก อยู่ในท้องท่ีตาบลแม่งอน ทางทิศใต้ของอาเภอฝาง ยัง
ปรากฏรากกาแพงเมือง ซุ้มประตู และซากพระราชฐาน พระราชวังอยู่โดยชัด
แจ้ง สว่ นตวั เมอื งฝางนันเปน็ เมืองท่ีสรา้ งขนึ ใน)
เวยี งพางคา
เวียงพางคา ตังอยู่ริมฝ่ังแม่นาสาย ในเขตอาเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย
ในปจั จบุ นั นี ในครงั นัน แว่นแคว้นโยนกนับว่ามีกาลังแข็งแรงมาก พระเจ้า
พรหมมหาราช ไดท้ รงวางกาลงั ปอ้ งกันพวกขอมไวอ้ ย่างแข็งแรง จนพวกขอมไม่
ยกกองทพั มารบกวนอีกตลอดรัชสมยั ของพระองค์
สง่ิ ศักดิส์ ทิ ธป์ิ ระจาเมอื ง พระเจ้าพรหมมหาราช
พระธาตจุ อมกติ ติ
พญาขอมได้ครองเมืองเชียงแสน นานได้ 17 ปีก็หมดอานาจแล้วก็หนีลง
ทางใต้ ไม่กลับมารุกรานไทยอีก ตลอดสมัยพระเจ้าพรหมมหาราช ครันทรง
สร้างเมืองชยั ปราการ เสรจ็ เรียบรอ้ ยแลว้ ประมาณ 3 ปี พระพุทธศักราชล่วงได้
949 ปี (ตามบันทึกของกรมศิลปากร ว่า พ.ศ.1483) มีพระมหาเถระองค์หนึ่ง
ชื่อว่า พระพุทธโฆษาจารย์ เป็นชาติมอญ มีบ้านเดิมอยู่เมืองสะเทิม (พม่า
เรียกว่า ตะโถ่ง) อยใู่ กลก้ ับเมอื งเมาะลาเลิง ประเทศพมา่ พระพทุ ธโฆษาจารย์นี
ท่านได้ออกจากเมืองมอญ ลงสาเภาไปศึกษาพระพุทธศาสนาในประเทศลังกา
มคี วามรู้พระพุทธศาสนา จบพระไตรปิฏกอย่างแตกฉาน ก็ได้กลับมาสู่ประเทศ
ของตน ท่านได้เผยแผ่พระพุทธศาสนา ในประเทศมอญ และประเทศพม่า
ตามลาดับ แล้วได้เดินทางเข้ามาในเมืองสุโขทัย ลาดับมา จนถึงเมืองโยนก ถึง
เมืองเชียงแสน ในสมัยพระเจ้าพังคราช นอกจากพระพุทธโฆษาจารย์ จะนา
พุทธศาสนา มาเผยแผ่ในนครโยนกแล้ว ท่านยังได้อัญเชิญพระบรมธาตุของ
พระพทุ ธเจา้ มาด้วย 16 องค์ เปน็ อฏั ฐหิ นา้ ผาก มีขนาดใหญ่ กลาง เล็ก ได้แบ่ง
พระบรมธาตุขนาดใหญ่ 1 องค์ ขนาดกลาง 2 องค์ และขนาดเล็ก อีก 2 องค์
ถวายแก่พระญาเรือนแก้ว ส่วนที่เหลือได้ถวายแก่พระเจ้าพังคราช พระเจ้าพัง
คราชไดน้ าพระโกฏเงนิ พระโกฏทอง และพระโกฏแก้ว มารองรับพระบรมธาตุ
ทัง 11 องค์นัน ทรงมอบให้พระเจ้าพรหมมหาราช นาไปประดิษฐาน ก่อพระ
เจดีย์ไว้ที่บนดอยน้อยหรือจอมกิตติ ซึ่งเป็นดอยท่ี พระพุทธเจ้า ทรงประทาน
เกษาธาตุ บรรจไุ ว้กอ่ นแล้ว ในสมยั โน้น
พระเจ้าพรหมราชใหช้ ่างก่อพระเจดียช์ นึ กว้าง 3 วา สูง 6 วา 2 ศอก บน
ดอยจอมกิตติ พระเจดีย์แล้วเสร็จ ในวันจันทร์ เดือน 6 เพ็ญ พ.ศ.1483 โดย
บริบูรณ์ ได้ให้มีการทาบุญฉลองอย่างมโหฬาร ทรงบาเพ็ญพระราชกุศล ถวาย
มหาทานแก่ประชาราษฎร์ เป็นการมหาปางอันย่ิงใหญ่ พระพุทธศาสนาก็ได้
เจริญรุ่งเรืองในเมืองเชียงแสน โดยเฉพาะในสมัยพระเจ้าพรหมมหาราชนี ได้
เกดิ ศิลปกิจกรรม ในสรา้ งพระพทุ ธรปู ด้วยทองสาริด ซึง่ เรียกวา่ ศลิ ปกรรมสมยั
เชียงแสน เม่ือพระเจ้าพรหมมหาราช ได้สร้างเจดีย์จอมกิตติสาเร็จเรียบร้อย
แล้ว พระองค์เสด็จกลับ นครชัยปราการ พระองค์ได้ให้ช่างก่อพระเจดีย์ขึน ณ
บนดอยพระธาตุสบฝาง หลังจากได้สร้าง เมืองชัยปราการเสร็จแล้ว 4 ปี
พระองค์ไดน้ าเอาพระบรมธาตทุ ่ีทรงแบ่งไว้ จากการสร้างพระธาตุดอยกิตติ ได้
นามาบรรจไุ ว้ที่เจดยี ว์ ัดพระธาตสุ บฝางนี นอกจากนี พระองค์ยงั ได้ให้ช่าง หล่อ
พระพุทธรูปขึนด้วยทองสาริด เป็นจานวนมาก ได้นาไปถวายไว้ตามวัดท่ี
พระองค์ทรงสร้าง มีวัดส้มสุก วัดเก้าตือ วัดป่าแดง วัดดอกบุญนาคเป็นต้น
ประชาชนท่ีนับถือพุทธศาสนา ก็พากันสร้างพระพุทธรูป ตามเจตนาของแต่ละ
คนเป็นจานวนหลายองค์ ถวายไวท้ ี่บนพระธาตสุ บฝางนัน
พระเจ้าพรหมมหาราชขึนครองราชย์
หลังจากที่พระเจ้าพังคราชเสด็จสวรรคต ราชสมบัติก็ตกเป็นของพระเจ้า
ทุขิตราช และเม่ือพระทุขิตราชเสด็จสวรรคตพระราชสมบัติก็ตกเป็นของพระ
เจา้ พรหมมหาราชพระองค์ทรงครองราชย์บัลลังก์ได้ 60 ปี พระองค์ มีพระราช
โอรสองค์เดียว คือพระเจา้ สริ ิชัยหรอื ชัยสิริ
พระเจา้ พรหมมหาราชเสด็จสวรรคต
วัดพระเจา้ พรหมมหาราช มศี ลิ ปะการก่อสรา้ งทเี่ กา่ แกส่ วยงามเปน็ ศลิ ปกรรม
แบบลา้ นนา เปน็ ทป่ี ระดษิ ฐานของอนสุ าวรยี ข์ องพระเจา้ พรหมมหาราช
ผูส้ รา้ งนครไชยปราการ
พวกขอมยังคงตังราชธานีอุปราชอยู่เมืองลพบุรีและมีเมืองใหญ่ซึ่งเป็น
เมืองหน้าดา่ นอยูท่ ี่สุโขทยั แต่พวกขอมยงั ไม่มีกาลังพอจะขึนไปปราบปรามพวก
ไทยในลานนาและลานช้างได้ก็ต้องสงบอยู่พระเจ้าพรหมได้ครองราชย์อยู่เมือง
ชัยประการเป็นเวลา 59 ปี พอพระชนมายุได้ 77 พรรษาก็สวรรคตเม่ือ พ.ศ.
1538 เมื่อพระเจ้าพรหมมหาราชเสด็จสวรรคตแล้วมุขมนตรีก็อัญเชิญพระเจ้า
ชัยสิริราชโอรสขึนครองราชย์ปกครองบ้านเมืองเป็นกษัตริย์นครไชยปราการ
อนั ดบั ท่ี 2 สืบแทนต่อมา
.....................................................................
ขอ้ มลู แหลง่ อ้างองิ
www.chiangmainews.co.th
www.lovemaesai.com/story3.htm
www.m-culture.go.th
www.silpa-mag.com
www.sujitwongthes.com/.../พระเจา้ พรหม-“มหาราช
www.thairath.co.th
www.web-pra.com
th.wikipedia.org/wiki/พระเจ้าพรหมมหาราช
\https://th-th.facebook.com/.../วดั ป่าไมแ้ ดง
lek-prapai.org
sites.google.com
ขอขอบคณุ เนอื หาและภาพจากเวบ็ ไซตต์ า่ งๆ
..........................................................