พระราชประวตั ิ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยูห่ วั อานนั ทมหิดล
รชั กาลท่ี 8 แหง่ ราชวงศจ์ กั รี )งบบั ปรบั ปรงบ (
ผเู้ รยี บเรียงนายประสาร ธาราพรรค์
พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล พระองค์เสด็จข้ึนทรงราชย์
เป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 8 แห่งราชวงศ์จักรี เม่ือวันท่ี 2 มีนาคม พ.ศ.
2478 ขณะที่มีพระชนมพรรษาเพียง 9 พรรษา พระองค์มีน้าพระราชหฤทัย
เป่ียมด้วยพระเมตตากรณบ าในพสกนิกร ทรงประกอบพระราชกรณียกิจ
นานัปการ ท้ังงานพระราชพิธี งานรัฐพิธี งานด้านการศาสนาและการศึกษา
เสด็จพระราชทานปริญญาบัตรท่ีจบฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เสด็จเย่ียม
โรงพยาบาล หนว่ ยทหาร สถานท่ีส้าคญั ตา่ งๆ และทรงรเิ ริม่ ประเพณีการเสด็จ
พระราชดา้ เนนิ เย่ียมราษฎรในชนบท
พระปรเมนทรมหาอานนั ทมหดิ ล
ประชาชน แซ่ซอ้ ง สรรเสรญิ
ทรงสรา้ งเสริม ชาติไทย ใหเ้ จรญิ
ทรงรบั เชญิ ขึน้ ครองราชย์ เพอื่ ชาตไิ ทย
พระปกเกลา้ ฯ ทรงสละ ราชสมบตั ิ
ดว้ ยทรงขดั คณะราษฎร์ เรอื่ งยง่ิ ใหญ่
รัฐบาล ทลู เชญิ องค์ภวู ไนย
พระชนมไ์ ด้ 9 พรรษา ขนึ้ ครองเมอื ง
กรมหลวงสงขลานครนิ ทร์ พระราชบดิ า
พระศรนี ครนิ ทรา พระราชมารดา นามกระเดอื่ ง
พระพน่ี าง เจา้ ฟา้ กลั ยาณฯิ ทรงลอื เลอ่ื ง
ไทยรง่บ เรอื ง พระอนชบ า องคภ์ มู พิ ล
ธ สถติ อยปู่ ระจา้ ประเทศสวสิ
พระทรงฤทธิ์ เสดจ็ นวิ ตั ไิ ทย หลากหลายหน
ทรงหมายมนั่ เรียนนติ ศิ าสตร์ เพอ่ื ปวงชน
ทรงเปยี่ มลน้ ความสามารถ ชนศรทั ธา
ทรงสง่ เสรมิ วงการแพทย์ ใหท้ นั สมยั
ทรงปกไทย มง่บ มนั่ พฒั น์ การศกึ ษา
บา้ บดั ทกบ ข์ บา้ รงบ สขบ ปวงประชา
พระเมตตา แผไ่ พศาล ทว่ั ธาตรี
9 มิถบนา วนั สวรรคต รชั กาลท่ี 8
แถลงการณแ์ พทย์ แจง้ เหตรบ า้ ย พระทรงศรี
มคี นรา้ ย ใชพ้ ระแสงปนื ยิงภบู ดี
องคจ์ กั รี สนิ้ พระชนม์ ในราชวงั
การสอบสวน มเี งอ่ื นงา้ มากซบั ซ้อน
บางข้ันตอน มปี ญั หา พาสิ้นหวัง
พบปรศิ นา ผลตามมา นา่ แปลกจงั
เร่อื งนย้ี ัง คงคไู่ ทย ไวน้ ริ นั ดร์
.....................................................................
ดว้ ยเกลา้ ดว้ ยกระหมอ่ ม ขา้ พระพทบ ธเจา้ นายประสาร ธาราพรรค์ ผู้ประพนั ธ์
พระราชประวตั ิ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั อานนั ทมหดิ ล
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานนั ทมหดิ ล พระอัฐมรามาธบิ ดนิ ทร
เสด็จพระราชสมภพเม่ือวันอาทิตย์ ข้ึน 3 ค้่า เดือน 11 ปีงลู ตรงกับวันที่ 20
กนั ยายน พ.ศ. 2468 ณ เมอื งไฮเดลแบร์ก สาธารณรัฐไวมาร์ ประเทศเยอรมนี
พระองค์ทรงเปน็ พระราชโอรสในสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ามหิดล
อดบลยเดช กรมขบนสงขลานครินทร์ กับ หม่อมสังวาลย์ มหิดล ณ อยบธยา
ขณะที่สมเด็จพระราชบิดาทรงศึกษาการแพทย์ที่ประเทศเยอรมัน โดยได้รับ
พระราชทานพระนามจากพระบาทสมเด็จพระมงกบฎเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า หม่อม
เจ้าอานันทมหิดล มหิดล หลังจากนั้น พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงสถาปนาขึ้นเป็น พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าอานันทมหิดล พระมารดา
ออกพระนามเรยี กพระองค์เปน็ การล้าลองว่า นนั ท
ทรงมีพระเชษฐภคินีและพระอนบชาร่วมพระชนกชนนีอีก 2 พระองค์
ได้แก่ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราช
นครินทร์ และสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดบลยเดช เมื่อทรงพระ
เยาว์ได้ตามเสด็จสมเด็จพระราชบิดาและสมเด็จพระราชชนนีไปยังประเทศ
ตา่ ง ๆ ไดแ้ ก่ ประเทศฝรัง่ เศส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และสหรัฐอเมริกา ซ่ึง
สมเด็จพระราชบิดาทรงเข้าศึกษาวิชาแพทย์ ณ มหาวิทยาลัยฮาวาร์ด
สหรัฐอเมรกิ า ในระหวา่ งปี พ.ศ. 2469 - 2471 แล้วจึงเสด็จกลับประเทศไทย
เป็นคร้ังแรกเม่ือพระชนมายบได้ 3 พรรษา ประทับ ณ วังสระปทบม ในระหว่าง
น้ันสมเด็จพระราชบิดาทรงพระประชวรและสิ้นพระชนม์ ดังน้ัน พระองค์จึง
อยู่ในความดูแลของสมเด็จพระราชชนนีเพียงพระองค์เดียวพระองค์ทรงเร่ิม
การศึกษาชนั้ ตน้ ท่ีโรงเรยี นมาแตรเ์ ดอี
รัชกาลที่ 8 งลองพระองคช์ ดบ นกั เรยี นโรงเรยี นเทพศริ นิ ทร์
ต่อมาได้เข้าศึกษาต่อท่ีโรงเรียนเทพศิรินทร์ )พ.ศ.2329 .( หลังจาก
เหตบการณ์การเปลี่ยนแปลงการปกครองใน พ.ศ. 2475 น้ัน สมเด็จพระราช
ชนนีได้ขอพระราชทานพระราชานบญาตจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้า
เจา้ อยู่หวั ในการท่จี ะทรงน้าพระโอรส และพระธิดาไปประทับท่ีเมือง โลซาน
ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยซ่ึงรวมไปถึงหม่อมเจ้าอานันทมหิดลพระองคห์ น่ึง
ดว้ ย
ต่อมาย้ายไปศึกษาที่โรงเรียนนูแวลเดอลา ซูวิสโรมองต์ และ ทรงศึกษา
ภาษาไทย ณ ทปี่ ระทบั โดยมีพระอาจารย์ตามเสด็จไปจากกรบงเทพฯพระองค์
ได้เข้าศกึ ษาตอ่ ท่โี รงเรยี นมเี รมองต์
ในวนั ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ.2470 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ 7 ได้มีพระบรมราชโองการประกาศสถาปนา ให้พระโอรสธิดาใน
สมเด็จเจ้าฟ้า ซึ่งมีพระราชชนนีเป็นสมเด็จพระอัครมเหสีในพระมหากษัตริย์
แต่พระมารดาในพระโอรสธิดาเป็นสามัญชน ตามธรรมเนียมราชสกบล
พระโอรสธิดาจะต้องมีพระยศเป็นหม่อมเจ้า ให้ยกข้ึนเป็นพระวรวงศ์เธอ
พระองค์เจ้าท้ังหมด ดังนั้น พระโอรสพระธิดาในสมเด็จพระพ่ียาเธอเจ้าฟ้า
มหิดลอดบลยเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์ จึงได้ด้ารง พระยศเป็น พระว
รวงศ์เธอพระองค์ เจา้ ต้ังแต่นนั้
พระบาทสมเดจ็ พระปกเกลา้ เจา้ อยหู่ วั
วันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2477 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรง
สละราชสมบัติ และมิได้ทรงสมมติเจ้านายพระองค์ใดพระองค์หนึ่งเป็นรัช
ทายาท ดังนั้น คณะรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรจึงได้
อัญเชิญเสด็จพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันมหิดลซ่ึงเป็นเจ้านายเช้ือพระ
บรมวงศพ์ ระองคท์ ี่ 1 ในล้าดับพระราชสันตติวงศ์แห่งกฎมณเฑียรบาลว่าด้วย
การสืบราชสันตติวงศ์ พ.ศ. 2467 ข้ึนทรงราชย์สืบพระราชสันตติวงศ์ต่อไป
ต้ังแต่วันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2477 โดยได้รับการเงลิมพระนามเมื่อวันท่ี 25
มีนาคม พ.ศ. 2477 ว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ในขณะน้ัน
พระองค์มีพระชนมายบ 8 พรรษา และยังคงประทับอยู่ ณ ประเทศ
สวิตเซอร์แลนด์ จึงต้องมีผู้ส้าเร็จราชการแทนพระองค์เพ่ือบริหารราชการ
แผน่ ดินแทนจนกวา่ จะทรงบรรลนบ ติ ิภาวะ
คณะผสู้ า้ เรจ็ ราชการแทนพระองค์
คณะผสู้ ้าเรจ็ ราชการแทนพระองค์ไดแ้ ก่ พระเจา้ วรวงศ์เธอ กรมหม่นื อนบ
วัตรจาตบรนต์ พระเจา้ วรวงศ์เธอ พระองคเ์ จ้าอาทติ ยท์ พิ อาภา และ เจ้าพระยา
ยมราช )ป้นั สบขมบ (
นายปรีดี พนมยงค์
วันท่ี 12 สิงหาคม พ.ศ. 2478 พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหม่ืนอนบวัตร
จาตรบ นต์สิน้ พระชนม์ สภาผู้แทนราษฎรจึงได้แต่งต้ังให้นายพลเอก เจ้าพระยา
พิชเยนทรโยธิน )อ่บม อินทรโยธิน( เป็นผู้ส้าเร็จราชการแทนพระองค์ และเมื่อ
เจ้าพระยายมราช )ปั้น สบขบม( ถึงแก่อสัญญกรรม จึงมีการแต่งต้ังให้นายปรีดี
พนมยงค์ เป็นผู้ส้าเร็จราชการแทนพระองค์แทน หลังจากน้ัน เมื่อเจ้าพระยา
พิชเยนทรโยธิน )อ่บม อินทรโยธิน( ถึงแก่อสัญญกรรม รวมท้ัง พระเจ้าวรวงศ์
เธอ พระองคเ์ จ้าอาทติ ย์ทิพอาภาไดก้ ราบถวายบงั คมลาออกจากต้าแหนง่ นาย
ปรีดี พนมยงค์ จึงด้ารงต้าแหน่งผู้ส้าเร็จราชการแทนพระองค์เพียงผู้เดียว
จนกว่าสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั จะเสดจ็ กลับสพู่ ระนคร
สมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ วั อานันทมหดิ ล
รฐั บาลไดก้ ราบบังคมทลู อญั เชิญสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเสด็จ
นิวัติพระนคร เมื่อปลายปี พ.ศ. 2477 เพ่ือประกอบพระราชพิธีบรม
ราชาภิเษก แต่เนื่องจากพระพลานามัยของพระองค์ไม่สมบูรณ์จึงได้เล่ือน
ก้าหนดออกไปก่อน และได้กราบบังคมทูลอัญเชิญเสด็จฯ อีกคร้ังในปี พ.ศ.
2478 แต่ก็ทรงติดขัดเรื่องพระพลานามัยอีกเช่นกัน หลังจากน้ัน รัฐบาลได้ส่ง
พลโท พระยาวิชิตวงศ์วบฒิไกร )ม.ร.ว.สิทธ์ิ สบทัศน์( ไปเข้าเฝ้าสมเด็จพระราช
ชนนีที่โลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อทูลอัญเชิญสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
อานันทมหิดลเสด็จนิวัติพระนครอีกคร้ังในปี พ.ศ. 2479 อย่างไรก็ตาม ใน
ระหว่างเตรียมการเสด็จนิวัติพระนครนั้น ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลใหม่
คณะรฐั บาลใหมจ่ ึงขอเลือ่ นการรบั เสดจ็ ออกไปอยา่ งไม่มกี ้าหนด
พระบาทสมเดจ็ พระปรเมนทรมหาอานนั ทมหดิ ล ทรงงายพระบรมงายาลกั ษณ์
ในงลองพระองคเ์ ต็มยศ เมอ่ื เสดจ็ นิวตั พระนครครง้ั ที่ 1 พ.ศ. 2481-2482
หลังจากนั้น รัฐบาลได้กราบบังคมทูลเชิญเสด็จนิวัติพระนครอีกครั้ง ใน
คร้ังนี้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล พร้อมด้วยสมเด็จพระราชชนนี
สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ และสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เสด็จพระราชด้าเนิน
จากเมืองโลซานท่ีประทับโดยทางรถไฟมายังเมืองมาเชลล์ เพ่ือประทับเรือเม
โอเนีย ในการเสด็จพระราชด้าเนินกลับสู่ประเทศไทย และเมื่อวันท่ี 15
พฤศจกิ ายน พ.ศ. 2481 เรอื พระทน่ี ั่งได้เทยี บจอดทอดสมอที่เกาะสีชงั รฐั บาล
ได้จัดเรือหลวงศรีอยบธยาออกไปรับเสด็จมายังจังหวัดสมบทรปราการ ณ ท่ีน้ัน
สมเด็จพระศรีสวรนิ ทริ าบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ได้เสด็จไปคอย
รับพระราชนดั ดาและพระสบนิสาดว้ ย
เรอื หลวงศรอี ยบธยา
หลังจากนั้น จึงได้เสด็จโดยเรือหลวงศรีอยบธยาเข้าสู่กรบงเทพมหานคร
และประทับที่พระต้าหนักจิตรลดารโหฐาน ซึ่งนับเป็นการเสด็จนิวัติประเทศ
ไทยเป็นครั้งแรกหลังจากเสด็จข้ึนทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ ทรงใช้เวลา
อยใู่ นประเทศไทยเปน็ ระยะเวลาประมาณ 2 เดือน จึงได้เสด็จพระราชด้าเนิน
กลบั ไปศึกษาต่อท่ีประเทศสวติ เซอร์แลนด์
เม่ือสงครามโลกคร้ังที่ 2 สงบลง พระองค์จึงเสด็จนิวัติพระนครอีกคร้ัง
พรอ้ มด้วยสมเดจ็ พระบรมราชชนนี และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยหู่ ัวภูมพิ ลอ
ดบลยเดช เม่ือวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2488 ซ่ึงการเสด็จนิวัติประเทศในครั้งน้ี
ทางราชการได้จัดพระท่ีนั่งบรมพิมาน ภายในพระบรมมหาราชวังเป็นที่
ประทับ และเน่ืองจากพระองค์ทรงบรรลบนิติภาวะแล้ว จึงสามารถบริหาร
ราชการแผ่นดนิ โดยไมต่ ้องมผี ูส้ า้ เร็จราชการแผน่ ดินอีกต่อไป
การเงลมิ พระปรมาภไิ ธย
เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล ไม่ได้ทรง
ประกอบการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกตามโบราณราชประเพณี ดังนั้น เพื่อ
เป็นการเงลิมพระบรมขัติยราชอิสสริยยศ รวมท้ัง ยังได้ถวายเคร่ืองราช
กกธบ ภัณฑ์บางองค์ เชน่ นพปฎลเศวตงตั ร ซึง่ ใชใ้ นการกางกั้นพระบรมศพและ
พระบรมอัฐิ จึงได้มีการประกาศเงลิมพระปรมาภิไธยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
อานันทมหิดลขึ้นเป็น "พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล
อดลบ ยเดชวิมล รามาธิบดี จักรีนฤบดินทร์ สยามินทราธิราช" โดยประกาศเมื่อ
วนั ท่ี 11 สิงหาคม พ.ศ. 2489
หลังจากนั้น เมื่อวันท่ี 8 มิถบนายน พ.ศ. 2539 ในวโรกาสพระราชพิธี
งลองทรงครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล
อดบลยเดช ทรงพระกรณบ าโปรดเกล้าฯ ให้เงลมิ พระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จ
พระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล เป็นพระปรมาภิไธยอันวิเศษตามแบบแผน
โบราณราชประเพณีวา่
"พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล อดบลยเดชวิมล
รามาธิบดี จบฬาลงกรณราชปรียวรนัดดา มหิตลานเรศวรางกูร ไอศูรยสันตติ
วงศวิสบทธ์ วรบตมขัตติยศักตอรรคอบดม จักรีบรมราชวงศนิวิฐ ทศพิธราชธรรม
อบกฤษฎนบิ บณ อดบลยกฤษฎาภินิหารรงั สฤษฎ์ สบสาธิตบรู พาธกิ าร ไพศาลเกยี รติ
คบณอดลบ ยพเิ ศษ สรรพเทเวศรานรบ ักษ์ ธญั อรรคลักษณวิจิตรโสภาคยสรรพางค์
มหาชโนตมงคประณตบาทบงกชยบคล อเนกนิกรชนสโมสรสมมต ประสิทธิวร
ยศมโหดมบรมราชสมบัติ นพปฎลเศวตงัตราดิงัตร สรรพรัฐทศทิศวิชิตไชย
สกลมไหศวรยิ มหาสวามนิ ทร มเหศวรมหินทรมหารามาธิราชวโรดม บรมนาถ
ชาติอาชาวไศรย พบทธาทิไตรรัตน สรณารักษ์วิศิษฎศักตอัครนเรศรามาธิบดี
พระอัฐมรามาธบิ ดินทร สยามนิ ทราธริ าชบรมนาถบพติ ร"
นอกจากนี้ ยังทรงพระกรบณาโปรดเกล้าฯ ให้ขานพระปรมาภิไธยอย่าง
มัธยมว่า "พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล สกลไพศาล
มหารัษฎธิบดี พระอัฐมรามาธิบดินทร สยามมินทราธิราช บรมนาถบพิตร"
และอย่างสังเขปว่า "พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระ
อฐั มรามาธบิ ดนิ ทร"
ชวี ิตสว่ นพระองค์
แมรีลนี เฟอร์รารี
ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ เขียนว่า พระองค์ทรงคบกับหญิงชาวสวิส ช่ือ
แมรลี นี เฟอร์รารี เปน็ คนรัก แตท่ รงถกู พระราชชนนีตักเตือน“มาริลนี ไมใ่ ชค่ น
โนเนมเสยี ทีเดียว เป็นคนท่ีอยใู่ นแวดวงสงั คมช้นั สงู ของเมอื งโลซานน์เพราะวา่
เปน็ ลกู สาวของอารค์ บิชอปของอาสนะวิหารแหง่ เมอื งโลซานน์ การทม่ี าริลนี ได้
เรียนต่อปริญญาตรีในชว่ งทศวรรษ 1940 ถือว่าคอ่ นข้างพิเศษเพราะวา่ ในสมยั
นน้ั ผู้หญิงยงั ไม่ไดร้ ับการสง่ เสริมให้เรียนตอ่ ในระดบั อดบ มศกึ ษา ทส่ี า้ คญั กวา่ นนั้
คือวิชาที่มาริลีนเลือกเรียนคือวิชากฎหมาย ในคลาสมีแค่ 16 คน เธอเป็น
ผหู้ ญงิ คนเดียวในคลาส”จากการวิจยั ของปวินพบว่าเมอ่ื รชั กาลท่ี 8 เจอมารลิ นี
ในนคลาสเรียนวันแรก รัชกาลท่ี 8 ก็ชอบมาริลีนทันที คบกันเป็นเพ่ือนสนิท
เร่มิ ออกไปเทยี่ วด้วยกัน ใช้เวลาดว้ ยกัน กระทั่งรู้ถงึ หูแม่หรือสมเด็จพระศรีนค
รินทราบรมราชชนนี หรือสมเด็จย่าที่คนไทยค้บนเคยดี เป็นเหตบให้เกิดความ
พยายามไมใ่ ห้ทัง้ คคู่ บกัน
ตราประจ้าพระองค์
ธงประจา้ พระอิสรยิ ยศ
พระราชลัญจกรประจา้ พระองค์
ในปี พ.ศ. 2481 คณะผูส้ ้าเร็จราชการแทนพระองคไ์ ดใ้ ห้ส้านกั พระราชวัง
จัดสร้างพระราชลญั จกรประจา้ พระองคพ์ ระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันท
มหิดลขึ้น ซ่ึงเจ้าพระยาธรรมาธิกรณาธิบดี สมบหพระราชวัง ได้ปรับปรบงพระ
ราชลัญจกรรูปพระโพธิสัตว์สวนดบสิต ท่ีเคยใช้ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระ
จลบ จอมเกลา้ เจ้าอยูห่ ัว มาใชเ้ ปน็ พระราชลัญจกรประจ้าพระองค์ โดยการสร้าง
พระราชลัญจกรน้ัน ใช้แนวคิดจากพระบรมนามาภิไธยก่อนทรงราชย์ น่ันคือ
"อานันทมหิดล" ซ่ึงหมายถึง เป็นที่ยินดีแก่แผ่นดิน ดังนั้น จึงได้ใช้รูปพระ
โพธิสัตว์ ซง่ึ มหี มายความเดียวกนั ว่า เปน็ ความยนิ ดแี ละเป็นเดชยิ่งในพื้นพิภพ
มาเปน็ พระราชลญั จกรประจ้าพระองค์ พระราชลญั จกรประจ้ารชั กาลท่ี 8 นั้น
เป็นตรางา ลักษณะกลมศูนย์กลางกว้าง 7 เซนติเมตร มีรูปพระโพธิสัตว์
ประทับอยเู่ หนือบัลลังก์ดอกบวั พระบาทขวาหอ้ ยอยู่เหนอื บัวบาน ซง่ึ หมายถงึ
แผ่นดิน พระหัตถ์ซ้ายถือดอกบัวตูม มีเรือนแก้วอยู่ด้านหลังแถบรัศมี ซ่ึงมีข้อ
แตกต่างจากพระราชลญั จกรทใ่ี ช้ในรัชกาลที่ 5 คือ มีการเพิ่มรูปงัตรต้ังไว้ข้าง
แทน่ ทปี่ ระทบั ของพระโพธสิ ัตว์
วัดประจ้ารชั กาลที่ 8
พระบรมราชานสบ าวรีย์ ณ วดั สบทศั นเทพวรารามราชวรมหาวหิ าร
วัดสบทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร ถือเป็นวัดประจ้ารัชกาลของ
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร
เนือ่ งจากเปน็ สถานทท่ี ีป่ ระดษิ ฐานพระบรมราชสรรี างคารของพระองค์ ดังนั้น
จึงมกี ารจัดสร้างพระบรมราชานบสาวรีย์ข้ึน ณ บริเวณลานประทักษิณ ชั้นล่าง
มบมทิศตะวันตกเงียงเหนือ พระวิหารหลวง พระบรมรูปหล่อด้วยส้าริด ขนาด
เท่าพระองค์จริง ทรงงลองพระองค์ชบดจอมทัพ ประทับยืน ประดิษฐานบน
แท่นหินอ่อนยกพ้ืนสูง มีแผ่นทองเหลืองจารึกเก่ียวกับก้าหนดการสร้างพระ
บรมราชานบสาวรีย์ เบ้ืองหลังเป็นแผ่นหินอ่อนวงโค้ง ประดิษฐานพระ
ปรมาภิไธยย่อ "อปร" ภายใต้พระมหาพิชยั มงกฎบ
พระพทบ ธรปู ประจา้ รชั กาลที่ 8
พระพบทธรปู ประจา้ รัชกาลที่ 8 และพระพทบ ธรปู ประจ้าพระชนมวาร
รัชกาลที่ 8 พระอฐั มรามาธบิ ดทิ ร์ ปางถวายเนตร
เครอ่ื งราชอสิ รยิ าภรณ์
เคร่ืองราชอสิ รยิ าภรณ์นเี้ ปน็ เครอื่ งราชอิสรยิ าภรณท์ ไ่ี ดร้ บั พระราชทาน
กอ่ นที่จะขน้ึ ครองราชยส์ มบตั มิ ดี งั นี้
เครื่องขตั ตยิ ราชอสิ ริยาภรณอ์ นั มเี กยี รตคิ ณบ รงบ่ เรอื งยง่ิ มหาจักรี
บรมราชวงศ์
เครอ่ื งราชอิสรยิ าภรณอ์ นั เปน็ โบราณมงคลนพรตั นราชวรา
ภรณ์
เครอื่ งราชอสิ รยิ าภรณ์จบลจอมเกล้า ชั้นท่ี 1 ปฐมจบลจอมเกล้า
วเิ ศษ
เครือ่ งราชอิสรยิ าภรณอ์ นั เปน็ ทเี่ ชดิ ชยู งิ่ ช้างเผอื ก ชั้นมหา
ปรมาภรณช์ า้ งเผือก )ม.ป.ช.(
เครอ่ื งราชอิสรยิ าภรณอ์ ันมเี กยี รตยิ ศยงิ่ มงกฎบ ไทย ชน้ั มหาวชิร
มงกฎบ )ม.ว.ม.(
เหรยี ญรตั นาภรณ์ รัชกาลที่ 7 ชนั้ ท่ี 1 )ป.ป.ร.1(
เหรยี ญรตั นาภรณ์ รชั กาลที่ 8 ชน้ั ที่ 1 )อ.ป.ร.1(
พระบรมราชอสิ รยิ ยศ
20 กนั ยายน พ.ศ. 2468 - 26 พฤศจกิ ายน พ.ศ. 2468 :
หมอ่ มเจา้ อานนั ทมหดิ ล
26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 - 2 มนี าคม พ.ศ. 2478 : พระวรวงศเ์ ธอ
พระองคเ์ จ้าอานนั ทมหิดล
2 มนี าคม พ.ศ. 2478 - 25 มนี าคม พ.ศ. 2478 : สมเดจ็ พระเจา้ อยู่หวั
พระวรวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ อานนั ทมหดิ ล
25 มีนาคม พ.ศ. 2478 - 9 มถิ นบ ายน พ.ศ. 2489 : สมเดจ็ พระเจา้ อยู่หัว
อานนั ทมหดิ ล
11 สงิ หาคม พ.ศ. 2489 : พระบาทสมเดจ็ พระปรเมนทรมหาอานนั ท
มหิดล อดลบ ยเดชวมิ ลรามาธบิ ดี จักรีนฤบดนิ ทร สยามนิ ทราธริ าช
พระมหากษตั รยิ แ์ หง่ ประเทศไทย
8 มถิ นบ ายน พ.ศ. 2539 : พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานนั
ทมหิดล อดลบ ยเดชวมิ ลรามาธบิ ดี จฬบ าลงกรณราชปรยี วรนัดดา มหิตลานเรศ
วรางกรู ไอศรู ยสนั ตติวงศวสิ ทบ ธ์ วรบตมขตั ตยิ ศกั ตอรรคอดบ ม จักรบี รมราชวงศนิ
วฐิ ทศพธิ ราชธรรมอบกฤษฎนบิ ณบ อดลบ ยกฤษฎาภนิ หิ ารรงั สฤษฎ์ สสบ าธติ
บรู พาธกิ าร ไพศาลเกยี รตคิ ณบ อดบลยพเิ ศษ สรรพเทเวศรานบรกั ษ์ ธญั อรรค
ลักษณวจิ ติ รโสภาคยสรรพางค์ มหาชโนตมางคประณตบาทบงกชยคบ ล อเนก
นิกรชนสโมสรสมมต ประสทิ ธวิ รยศมโหดมบรมราชสมบตั ิ นพปฎลเศวตงตั
ราดิงตั ร สรรพรฐั ทศทศิ วชิ ติ ไชย สกลมไหศวรยิ มหาสวามนิ ทร มเหศวรมหินท
รมหารามาธริ าชวโรดม บรมนาถชาตอิ าชาวไศรย พทบ ธาทไิ ตรรตั นสรณารักษ์
วศิ ษิ ฏศกั ตอคั รนเรศรามาธบิ ดี เมตตากรณบ าสตี ลหฤทยั อโนปมยั บญบ การ สกล
ไพศาลมหารษั ฎาธบิ ดี พระอฐั มรามาธบิ ดินทร สยามนิ ทราธริ าช บรมนาถ
บพิตร
พระบรมราชานสบ าวรยี ์
พระบาทสมเดจ็ พระปรเมนทรมหาอานนั ทมหดิ ลไดท้ รงปฏบิ ตั พิ ระราชกจิ
สา้ คญั นอ้ ยใหญเ่ ปน็ จ้านวนมาก ดงั นนั้ จึงมกี ารสร้างพระบรมราชานสบ าวรยี ข์ น้ึ
เพ่ือเปน็ การรา้ ลกึ ถงึ พระมหากรณบ าธคิ ณบ ของพระองค์ เชน่
พระบรมราชานสบ าวรยี ์ ณ วดั สทบ ศั นเทพวรารามราชวรมหาวิหาร
พระบรมราชานสบ าวรยี ์ ณ โรงเรยี นเทพศริ นิ ทร์
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานนั ทมหิดล พระอฐั มรามาธิบดินทร
พระองค์ทรงเข้ารับการศึกษา ณ โรงเรียนเทพศิรินทร์ เมื่อปี พ.ศ. 2475 เลข
ประจ้าพระองค์ 2329 หลังจากนั้นอีกเพียง 2 ปี พระองค์เจ้าอานันทมหิดลก็
ได้เสด็จเถลิงถวัลย์ครองสิริราชสมบัติ เป็นพระมหากษัตริย์ องค์ที่ 8 แห่ง
ราชวงศ์จักรี พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรา
มาธิบดินทร ทรงมีความผกู พนั กับโรงเรยี นเทพศิรินทร์มาโดยตลอด มพี ระมหา
กรณบ าธคิ ณบ ล้นเกล้าลน้ กระหมอ่ มแก่ โรงเรียนเทพศิรินทร์ สมาคมนักเรียนเก่า
ฯ ตลอดจนมวลหมู่ลกู แม่รา้ เพยทบกคน ซง่ึ พระบรมราชานสบ าวรยี ์ ณ โรงเรียน
เทพศริ ินทร์ มีขนาดเทา่ พระองคจ์ ริง ทรงงลองพระองค์ชดบ จอมทพั ประทับยนื
เชน่ เดยี วกับ พระบรมราชานบสาวรีย์ ณ วัดสบทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร
ซึ่งสมเด็จพระศรนี ครินทราบรมราชชนนเี สด็จพระราชด้าเนินทรงเปดิ พระบรม
ราชานบสาวรยี ์ ด้วยพระองค์เอง
พระบรมราชานบสาวรยี ์ ณ โรงเรยี นอยธบ ยาวทิ ยาลัย
โรงเรียนอยบธยาวิทยาลัยได้รับพระมหากรบณาธิคบณจากพระบาทสมเด็จ
พระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร พระราชทานพระ
ราชทรัพย์ส่วนพระองค์จ้านวนหน่ึงแสนบาท สร้างอาคารเรียน 2 ชั้น 1 หลัง
หอประชบม 1 หลังพร้อมบ้านพักครูอีก 20 หลัง และในวันที่ 19 กรกฎาคม
พ.ศ. 2519 พระบาทสมเดจ็ พระปรมินทรมหาภูมพิ ลอดบลยเดช สมเด็จพระนาง
เจ้าสิริกิต์ิ พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอท้ังสองพระองค์เสด็จ
มาเปิดพระบรมราชานบสาวรยี ร์ ัชกาลท่ี 8
พระบรมราชานบสาวรยี ์ ณ โรงพยาบาลอานนั ทมหดิ ล
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดลทรงบริจาคพระราช
ทรพั ยส์ ่วนพระองคใ์ นการสร้างโรงพยาบาลในจงั หวัดลพบบรี และพระราชทาน
นามโรงพยาบาลแห่งน้ีว่า โรงพยาบาลอานันทมหิดล หลังจากการสร้างแล้ว
เสร็จ พระองค์เสด็จพระราชด้าเนินมาทรงเปิดโรงพยาบาลแห่งนี้เม่ือวันท่ี 6
มกราคม พ.ศ. 2481 ดงั น้ัน คณะกรรมการโรงพยาบาลจึงได้สร้างพระบรมรา
ชานสบ าวรียป์ ระดษิ ฐาน ณ หนา้ ตกึ อ้านวยการของโรงพยาบาล
พระบรมราชานบสาวรีย์ ณ คณะแพทยศาสตร์ จฬบ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เน่ืองด้วยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดลมีพระราช
ปรารภต่อรัฐบาลในสมัยน้ัน เร่ืองการผลิตแพทย์เพิ่มให้เพียงพอต่อประชาชน
อันเป็นจบดก้าเนิดโรงเรียนแพทย์แห่งท่ี 2 ของประเทศ ซึ่งปัจจบบัน คือ คณะ
แพทยศาสตร์ จบฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อเป็นการน้อมร้าลึกถึงพระมหา
กรบณาธิคบณ คณะกรรมการบริหารสมาคมศิษย์เก่าแพทย์จบฬาลงกรณ์ ร่วมกับ
คณะแพทยศาสตร์ จบฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและโรงพยาบาลจบฬาลงกรณ์
สภากาชาดไทย จงึ ได้ติดตอ่ ให้ คณบ ไข่มกบ ด์ ชโู ต เป็นผู้ออกแบบป้ันพระบรมรา
ชานสบ าวรีย์ โดยสมเด็จพระกนษิ ฐาธริ าชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรตั นราชสดบ าฯ
สยามบรมราชกบมารี เสด็จพระราชด้าเนินทรงวางศิลาฤกษ์แท่นประดิษฐาน
พระบรมราชานบสาวรยี ์ เม่ือวนั ที่ 9 มิถนบ ายน พ.ศ. 2528 และ พระบาทสมเด็จ
พระปรมินทรมหาภูมพิ ลอดลบ ยเดช ไดเ้ สด็จพระราชด้าเนนิ ทรงเปิดพระบรมรา
ชานบสาวรีย์ เมื่อวันท่ี 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2529 พระบรมรูปหล่อด้วย
ส่วนผสมของทองเหลืองและทองแดง มีขนาดหนึ่งเท่าครึ่งของพระองค์จริง
ประทบั นงั่ เหนือพระเก้าอ้ี ผนิ พระพกั ตร์ไปทางเบื้องขวาเล็กน้อย ประดิษฐาน
ณ ลานหนา้ อาคาร อานนั ทมหิดล ภายในโรงพยาบาลจฬบ าลงกรณ์
พระบรมราชานบสาวรีย์ ณ สวนหลวงพระราม 8
สวนหลวงพระราม 8 เป็นสวนสาธารณะเน้ือที่ประมาณ 35 ไร่ ติดแม่น้า
เจ้าพระยา บริเวณเชิงสะพานพระราม 8 เขตบางพลัด ฝั่งธนบบรี ได้รับ
พระราชทานนามจากพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดบลยเดชว่า
"สวนหลวงพระราม 8" ณ สวนแห่งน้ี มีพระบรมราชานบสาวรีย์ท่ีทาง
กรบงเทพมหานคร สรา้ งรว่ มกับกรมศิลปากร ความสูงขนาด 3 เทา่ ของพระองค์
จรงิ คอื ประมาณ 5.4 เมตร พระอริ ยิ าบถทรงยืน ประดิษฐานบนแทน่ ทค่ี วาม
สงู ระดบั เดยี วกนั กับราวสะพานพระราม 8 เพื่อเปน็ สริ มิ งคลแก่สวนแห่งน้ีด้วย
นอกจากนน้ั บริเวณอาคารเงลิมพระเกียรตขิ ้างใต้พระบรมราชานบสาวรียย์ ังจดั
ให้มีห้องรวบรวมพระราชประวัติและพระราชกรณียกิจขององค์รัชกาลท่ี 8
เพ่ือให้ประชาชนที่สนใจพระราชประวัติเข้าไปทรงศึกษาค้นคว้าเร่ืองราว
พระบาทสมเดจ็ พระบรมชนกาธเิ บศร มหาภูมิพลอดบลยเดชมหาราช บรมนาถ
บพิตร พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราช
ชนนีพันปีหลวง และสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพ
รัตนราชสดบ าฯ สยามบรมราชกบมารี เสด็จพระราชด้าเนิน ทรงเปิดพระบรมรา
ชานบสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรา
มาธิบดินทร และสวนหลวงพระราม 8 อย่างเป็นทางการ เมอ่ื วันที่ 9 มิถบนายน
พ.ศ. 2555
พระราชกรณยี กจิ
การปกครอง
พระองค์ได้เสด็จพระราชด้าเนินไปในพระราชพิธีพระราชทาน
รัฐธรรมนูญงบับใหม่ในวันท่ี 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2489 และเปิดประชบมสภา
ผู้แทนในวนั ที่ 1 มถิ บนายน พ.ศ. 2489
นอกจากนี้ ยงั เสดจ็ พระราชดา้ เนนิ ทรงเยีย่ มราษฎรในจงั หวัดต่าง ๆ และ
ทรงเย่ียมชาวไทยเช้ือสายจีนเป็นครั้งแรก ณ ส้าเพ็ง พระนคร พร้อมด้วย
สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดบลยเดช เมื่อวันที่ 3 มิถบนายน พ.ศ.
2489 ซึ่งเป็นช่วงท่ีเกิดความขัดแย้งกันระหว่างชาวไทยและชาวไทยเชื้อสาย
จีนจนเกือบเกิดสงครามกลางเมอื ง เม่อื พระองค์ทรงทราบเรื่อง มีพระราชด้าริ
ว่า หากปล่อยความข่บนข้องบาดหมางไว้เช่นน้ี จะเป็นผลร้ายตลอดไป จึงทรง
ตัดสินพระทัยเสด็จพระราชด้าเนินส้าเพ็ง ซ่ึงใช้ระยะเวลาประมาณ 4 ชั่วโมง
และพระองค์ทรงพระราชด้าเนินด้วยพระบาทเป็นระยะประมาณ 3 กิโลเมตร
การเสด็จพระราชดา้ เนนิ สา้ เพ็งในคร้งั นจี้ งึ เป็นการประสานรอยรา้ วทเ่ี กดิ ขน้ึ ให้
หมดไป
การศาสนา
ภาพขบวนเสดจ็ ของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานนั ทมหดิ ล
เมอ่ื คราวเสด็จนวิ ัตพิ ระนครเปน็ ครงั้ แรก เมอ่ื 15 พฤศจกิ ายน 2481
ในการเสด็จนิวัติพระนครคร้ังแรกนั้น พระองค์ได้ประกอบพิธีทรง
ปฏิญาณตนเป็นพบทธมามกะ ท่ามกลางมณฑลสงฆ์ในพระอบโบสถวัดพระศรี
รัตนศาสดารามเมอื่ วนั ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2481 นอกจากน้ี ยังเสด็จพระ
ราชดา้ เนินไปทรงนมัสการพระพบทธรูปในพระอารามท่ีส้าคัญ เช่น วัดพระเชตบ
พนวิมลมังคลาราม วัดเบญจมบพิตรดบสิตวนารามราชวรวิหาร วัดสระเกศราช
วรมหาวิหาร วัดอรบณราชวรารามราชวรมหาวิหาร วัดบวรนิเวศวิหารราช
วรวหิ าร และวัดเทพศิรินทราวาสราชวรวหิ าร
วดั สบทศั นเทพวรารามราชวรมหาวหิ าร
โดยเงพาะที่วัดสบทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหารนั้น พระองค์เคยมี
พระราชด้ารัสกล่าวว่า "ที่นี่สงบเงียบน่าอยู่จริง" ดังนั้น เม่ือพระองค์เสด็จ
สวรรคต จึงได้น้าพระบรมราชสรีรางคารของพระองค์มาประดิษฐาน ณ วัด
แห่งนพี้ ระองค์ยงั ทรงตง้ั พระราชหฤทยั ว่าจะผนวชในพระพทบ ธศาสนา โดยไดม้ ี
พระราชหัตเลขาถึงสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ เมื่อวันท่ี
19 มีนาคม พ.ศ. 2489 ทรงขอสังฆราชานบเคราะห์ในการศึกษาต้าราทาง
พระพบทธศาสนาเพื่อใช้ในการเตรียมพระองค์ในการท่ีจะอบปสมบท แต่ก็มิได้
ผนวชตามที่ตั้งพระราชหฤทัยไว้นอกจากน้ียังได้พระราชทานพระราชทรัพย์
บ้ารบงวัดวาอาราม กับพระราชทานพระบรมราชูปถัมภ์แก่ศาสนาอื่นตาม
สมควร
การศึกษา
รัชกาลท่ี 8 ทรงพระราชทานปรญิ ญาบตั ร ณ ศริ ริ าชพยาบาล
ในการเสด็จนิวัติพระนครในคร้ังท่ี 2 พระองค์ทรงได้ประกอบพระราช
กรณียกิจที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาของประเทศ โดยเสด็จพระราชด้าเนิน
ทอดพระเนตรกจิ การของหอสมดบ แหง่ ชาติ รวมทัง้ เสด็จพระราชดา้ เนินไปทรง
เย่ียมสถานศึกษาหลายแห่ง เช่น จบฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โรงเรียนเทพศิริ
นทร์ ซงึ่ เปน็ โรงเรียนทท่ี รงศกึ ษาขณะทรงพระเยาว์ นอกจากนี้ พระองค์ยังได้
เสด็จพระราชด้าเนินพระราชทานปริญญาบัตรเป็นคร้ังแรกของพระองค์ ณ
หอประชมบ จฬบ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมือ่ วนั ท่ี 13 เมษายน พ.ศ. 2489 และอกี
ครั้งที่ หอประชบมราชแพทยาลัยศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์
เมื่อวันที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2489 โดยในการพระราชทานปริญญาบัตรคร้ังน้ี
มีพระราชปรารภให้มกี ารผลติ แพทย์เพมิ่ มากขนึ้ เพอ่ื ใหเ้ พยี งพอทจี่ ะชว่ ยเหลอื
ประชาชน โรงเรียนแพทย์แห่งท่ี 2 จึงได้ถือก้าเนิดข้ึนที่โรงพยาบาล
จบฬาลงกรณ์ ซง่ึ ในปัจจบบ ัน คอื คณะแพทยศาสตร์ จฬบ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย
การเกษตร
ในวนั ที่ 5 มถิ นบ ายน พ.ศ. 2489 พระองคท์ รงหวา่ นขา้ ว ณ แปลงสาธติ ของ
มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ ซงึ่ ถอื เปน็ พระราชกรณยี กจิ สดบ ทา้ ย
ก่อนเสดจ็ สวรรคต
วันที่ 5 มิถบนายน 2489 พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันท
มหดิ ล ได้เสดจ็ พระราชด้าเนนิ พรอ้ มดว้ ย สมเดจ็ พระเจ้านอ้ งยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิ
พลอดบลยเดช เสด็จทอดพระเนตรกิจการของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ใน
วันท่ี 5 มถิ บนายน พ.ศ. 2489 เพอื่ พระราชทานพระบรมราชวโรกาสใหอ้ าจารย์
ข้าราชการ และนิสิตเฝ้าฯ และพระราชทานพระบรมราโชวาท แล้วเสด็จฯ
ต่อไปยังสโมสรข้าราชการ จากนั้นประทับรถยนต์พระท่ีนั่งไปยังตึกขาว และ
เสวยพระกระยาหารที่นั่น หลงั จากน้ัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลท่ี
8 เสด็จลงยงั ช้ันลา่ งเพ่ือทอดพระเนตรการแสดงเก่ยี วกบั การเกษตร แลว้ เสด็จ
ไปยังนาทดลองซ่ึงอยู่หลังตึก ทรงหว่านข้าว และพระราชทานพระบรมรา
ชานญบ าตให้ราษฎรทูลเกลา้ ฯถวายของ แลว้ เสดจ็ ฯกลับ
เหตกบ ารณส์ า้ คญั ในรชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยูห่ วั อานนั ทมหดิ ล
รชั สมัยของพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั อานนั ทมหิดลถงึ แมจ้ ะเปน็
ระยะเวลาอนั สนั้ แตก่ ม็ เี หตกบ ารณส์ า้ คญั เกดิ ขน้ึ ดงั นี้
เปลยี่ นชอ่ื จากประเทศสยามมาเปน็ ประเทศไทย
จอมพล ป. พบิ ลู สงคราม
วันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2482 รัฐบาลซงึ่ มจี อมพล ป. พิบูลสงคราม
เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ประกาศ เปล่ียนช่ือจากประเทศสยามมาเป็นประเทศ
ไทย โดยให้เหตบผลว่าค้าว่าสยามมักใช้กันแต่ในวงราชการและในหมู่
ชาวตา่ งชาติ ส่วนคนไทยโดยเงพาะชาวบ้านไมค่ อ่ ยใช้ค้าว่าสยาม แต่ใช้ค้าว่า
ไทยอีกประการหน่ึงคือ การขนานนามประเทศส่วนมากมักเรียกตามเชื้อชาติ
ของคนผู้เป็นเจ้าของประเทศนน้ั ดังนั้นในเม่ือคนไทยมเี ชือ้ สายไทยกค็ วรมีช่ือ
ประเทศใหต้ รงกบั เชอ้ื ชาติ
เปลยี่ นวนั ข้นึ ปีใหม่
กา้ หนดให้วันท่ี 1 มกราคม เปน็ วันข้ึนปีใหม่ โดยมีประกาศเมอื่ วนั ท่ี 29
สงิ หาคม พ.ศ.2483 ให้ใชว้ ันท่ี 1 มกราคม เปน็ วันข้นึ ปีใหม่ โดยมีเหตบผลว่า
ชาติไทยแต่โบราณมาได้ก้าหนดวันขึ้นปีใหม่ในเดือนอ้ายต่อมาคตินิยมแบบ
พราหมณ์แพร่หลายเข้ามาด้วยการก้าหนดเอาวันท่ี 1 เมษายน เป็นวันขึ้นปี
ใหม่ทางจันทรคติ ในขณะที่ประเทศที่เจริญแล้วทางตะวันตกถือเอาวันท่ี
1 มกราคม เป็นวันข้ึนปีใหม่ งะน้ันเพ่ือความสะดวกในการติดต่อกับต่าง
ประทศ จึงเรม่ิ ใช้วนั ที่ 1 มกราคม เปน็ วันขึน้ ปใี หม่นบั แตน่ ั้นเปน็ ต้นมา
สรา้ งอนสบ าวรียป์ ระชาธปิ ไตย
อนสบ าวรียป์ ระชาธปิ ไตย
อนบสาวรีย์ประชาธิปไตย บริเวณถนนราชด้าเนินกลาง อนบสาวรีย์นี้
รัฐบาลได้สร้างข้ึนเพ่ือเป็นการแสดงให้เห็นว่าประเทศไทยมีการปกครองตาม
ระบอบประชาธปิ ไตย โดยได้มีการวางศิลาฤกษ์ในวันที่ 24 มิถบนายน พ.ศ.
2489
สรา้ งอนบสาวรยี ช์ ยั สมรภมู ิ
อนสบ าวรียช์ ยั สมรภมู ิ
อนบสาวรีย์ชัยสมรภูมิ บริเวณถนนพญาไทต่อกับถนนราชวิถี สร้างขึ้น
เพ่อื เชดิ ชเู กียรติของทหาร ต้ารวจ พลเรือน ที่ได้สละชีพเพื่อชาติ มีพิธีเปิด
เมื่อวนั ท่ี 24 มิถนบ ายน พ.ศ. 2485 เดิมทีจารึกช่ือผู้เสียชีวิตในสมรภูมิอินโด
จีนจ้านวน 59 นาย ต่อมาภายหลังได้จารึกชื่อทหารท่ีเสียชีวิตในสงคราม
เกาหลีเพม่ิ เติมดว้ ย
สรา้ งสะพานขา้ มแมน่ า้ แควใหญ่และทางรถไฟสายมรณะ
สะพานขา้ มแมน่ า้ แควและทางรถไฟสายมรณะ
สะพานข้ามแม่น้าแควใหญ่ ที่ช่ือว่า สะพานข้ามแม่น้าแควและทาง
รถไฟสายมรณะ เนื่องจากระหว่างสงครามโลกคร้ังที่ 2 ญ่ีป่บนที่ประกาศ
สงครามกับฝ่ายสัมพันธมิตร ได้ขอเดนิ ทพั ผ่านประเทศไทยในการท้าสงคราม
กับอังกฤษและสหรัฐอเมริกา และได้ยกพลขึ้นบกอย่างกะทันหันตามจังหวัด
ชายทะเลของไทย ไทยจึงจ้าต้องยอมให้ญี่ป่บนผ่าน ญ่ีป่บนสร้างทางรถไฟจาก
ชบมทางหนองปลาดบก จ. ราชบบรี ผ่าน จ. กาญจนบบรี ต่อ ไปยังพม่า เพื่อใช้
เปน็ เส้นทางลา้ เลียงยบทธสมั ภาระไปพม่าและอนิ เดียในการสรา้ งทางรถไฟ สาย
น้ีญี่ปบ่นได้เกณฑ์เชลยศึกฝ่ายสัมพันธมิตร และว่าจ้างกรรมกรสร้างอย่าง
เรง่ ดว่ นแต่เน่ืองจากทางรถไฟจะต้องผา่ นเทอื กเขา และป่าทบึ อากาศร้อนจดั
และหนาวจัด อีกท้ังมีไข้ป่าชบกชบม เชลยศึกและกรรมกรขาดแคลนอาหาร
และยา เจ็บป่วยล้มตายเป็นจ้านวนมากทบกวัน ทางรถไฟเส้นน้ีจึงถูกขนาน
นามวา่ ทางรถไฟสายมรณะ ในการสร้างทางรถไฟสายน้ี ได้สร้างสะพานเพ่ือ
ใชข้ ้ามแมน่ ้าดว้ ย ช่ือว่าสะพานข้ามแม่น้าแคว สะพานนี้สร้างเสร็จเม่ือเดือน
กันยายน พ.ศ. 2486 ตอ่ มาเม่อื ฝา่ ยญ่ีปบ่นแพ้สงคราม ไทยจึงไดซ้ อ้ื ทางรถไฟ
สายน้ีจากฝา่ ยสมั พนั ธมิตร
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานนั ทมหดิ ลสวรรคต
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลทรงตั้งพระทัยจะทรงศึกษาปริญญา
เอก สาขานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยโลซาน ที่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์จน
เรียบร้อยแล้วจึงจะเสด็จนิวัติพระนครเป็นการถาวรและทรงเข้ารับการ
บรมราชาภเิ ษกในภายหลงั
ณ ห้องพระบรรทมพระทนี่ งั่ บรมพิมาน
พระองค์ได้เสด็จสวรรคตเสียก่อนด้วยพระแสงปืนในวันที่ 9 มิถบนายน
พ.ศ. 2489 เวลาประมาณ 9 นาฬิกา ณ ห้องพระบรรทมพระท่ีน่ังบรมพิมาน
ภายในพระบรมมหาราชวัง กอ่ นกา้ หนดการเสด็จพระราชด้าเนินไปทรงศึกษา
ตอ่ ท่ปี ระเทศสวสิ เซอร์แลนด์เพยี ง 4 วนั
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล )รัชกาลท่ี 8)
ส้ินพระชนม์ด้วยต้องพระแสงปืนในวันน้ี ณ ในห้องพระบรรทม ณ พระที่น่ัง
บรมพิมาน ในพระบรมมหาราชวงั เหตบการณเ์ กดิ ขึ้นเวลาประมาณ 9.30 น. ได้
เกิดเสียงปืนดังข้ึนในห้องบรรทมของรัชกาลท่ี 8 พบพระวรกายของพระองค์
ทรงทอดอยู่บนพระแท่นบรรทม โดยมีแผลกระสบนท่ีพระนลาฏ )หน้าผาก(
พระกรท้ังสองวางอยู่ข้างพระวรกาย พระวิสูตร )ม้บง( ถูกตลบขึ้นเหนือพระ
แทน่ บนพระแท่นบรรทมบริเวณใกล้พระหัตถ์ซ้าย มีพระแสงปืนสั้นวางอยู่ใน
ลักษณะชิดพระกัประ )ข้อศอก( ด้ามพระแสงปืนหันออกจากพระวรกาย
ปากกระบอกชี้ไปที่ปลายพระแท่นบรรทมในชั้นต้นทางราชการได้มีการแถลง
ขา่ วสาเหตกบ ารสววรคตว่าเป็นอบบัติเหตบจากพระแสงปนื ล่นั แต่การสอบสวนใน
ภายหลงั กลบั พบสาเหตวบ า่ เป็นการลอบปลงพระชนม์
นายชดิ สงิ หเสนี นายบศบ ย์ ปทั มศริน นายเงลยี ว ปทมบ รส
ขน้ึ ศาลฟงั การพจิ ารณาคดลี อบปลงพระชนม์
จากการสอบสวนพบว่า ณ ที่ห้องบรรทมไม่พบร่องรอยการปีนป่ายจาก
ภายนอก และทางเข้าออกห้องบรรทมมีแค่ทางเดียวซ่ึงมหาดเล็กได้เฝ้าอยู่
ตลอดเวลา สง่ ผลให้ศาลฏกี าตดั สินให้จา้ เลยท้งั สาม คอื นายชติ และนายบบศย์
ผู้เป็นมหาดเล็กประจ้าห้องบรรทม และนายเงลียว อดีตสมาชิกคณะราษฎร
และอดตี ราชเลขาธิการสว่ นพระองค์ มีความผดิ ตอ้ งโทษประหารชีวติ
9 มถิ นบ ายน 2489 (วนั เกดิ เหต(บ
พระทน่ี ง่ั บรมพมิ าน พระบรมมหาราชวงั (สถานทเ่ี กดิ เหตบ(
ประมวลจากหนงั สือ กรณสี วรรคต 9 มถิ นบ ายน 2489หนา้ 7-20 และ คดี
ประวัตศิ าสตรล์ อบปลงพระชนมร์ .8 หนา้ 17-19
เวลาประมาณ 5.00 น. สมเดจ็ พระบรมราชชนนที รงปลกบ บรรทม
พระบาทสมเด็จพระเจา้ อย่หู วั อานนั ทมหดิ ล เพ่ือถวายพระโอสถใหเ้ สวย
จากนนั้ พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ วั บรรทมตอ่
เวลาประมาณ 6.00 น. ทรงพระประชวรพระนาภี สมเด็จพระราชชนเี สด็จไป
ถวายนา้ มันละหง่บ นม และบรนั่ ดแี ต่พระบาทสมเดจ็ พระปรเมนทรมหาอานนั ท
มหิดลแลว้ เสดจ็ กลบั
เวลาประมาณ 6.20 น. นายบศบ ย์ ปทั มศรนิ มหาดเลก็ ห้องพระบรรทมของ
พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ ัว มาเขา้ เวรถวายงานท่พี ระทน่ี งั่ บรมพิมาน ซง่ึ
เปน็ ทปี่ ระทบั ของพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั และได้รนิ นา้ สม้ คน้ั ท่ีห้องเสวย
เพือ่ คอยทลู เกลา้ ฯ ถวาย
เวลาประมาณ 7.00 น. - 8.00 น. มหาดเลก็ รบั ใชข้ น้ึ ไปบนพระทเ่ี ตรยี มจดั ตง้ั
โตะ๊ เสวย
เวลาประมาณ 8 นาฬกิ าเศษ นายบศบ ยเ์ หน็ พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยูห่ วั ตนื่
พระบรรทมจึงนา้ นา้ สม้ คน้ั ไปถวาย แตพ่ ระองค์โบกพระหตั ถไ์ มเ่ สวย แล้วเสดจ็
ขนึ้ พระแทน่ บรรทมตามเดมิ นายบศบ ยจ์ งึ กลบั มาประจา้ หน้าที่ ทีห่ น้าหอ้ งพระ
บรรทมตามเดมิ
เวลาประมาณ 8.30 พระบาทสมเดจ็ พระปรเมทรมหาอานนั มหดิ ลทรงตนื่
บรรทมเขา้ ห้องสรง ยน่ื ประทบั ในหอ้ งแตง่ พระองค์ นายบศบ ยถ์ วายนา้ สม้
พระองคไ์ ม่ทรงรบั เสดจ็ เขา้ หอ้ งพระบรรทมนายบศบ ยถ์ อื นา้ ส้มเดนิ ตามเสดจ็
พระองคเ์ สดจ็ ขนึ้ พระแท่นบรรทม โบกพระหตั ถใ์ ห้นายบศบ ย์ออกไป นายบศบ ย์
ถอื นา้ สม้ ออกไป มานง่ั อยทู่ ีร่ ะเบยี งหน้าพระทวารเขา้ ห้องแตง่ พระองค์
เวลา 8.55 นายชติ สงิ หเสนี ขน้ึ ไปบนพระท่ีนงั่ )บางหนงั สอื เลา่ วา่ นายชิดมา
กบั พระยาอนรบ กั ษ์ราชมณเฑยี ร( เพอ่ื วัดขนาดดวงพระตราเพอ่ื เอาไปใหช้ า่ งทา้
หีบดวงพระตรา นายชิตกับนายบศบ ยน์ ง่ั คอยอยู่หน้าห้องแตง่ พระองค์
เวลา 9.00 น. พระพเ่ี ลย้ื งเนอ่ื ง )นางสาวเนอื่ ง จิตตดบลย์( ขน้ึ ไปบนพระทน่ี ง่ั
เขา้ เฝา้ สมเด็จพระบรมราชชนจี ัดห้องแล้วเกบ็ ฟลิ ม์ หนงั ในห้องพระบาทสมเดจ็
พระปรมนิ ทรมหาภมู ิพลอดลบ ยเดช
เวลาประมาณ 9 นาฬิกาเศษ พระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภมู พิ ลอดลบ ย
เดชทรงเสวยพระกระยาหารเช้าพระองคเ์ ดยี ว ณ มขบ พระทนี่ งั่ ดา้ นหนา้ มี
มหาดเลก็ รบั ใช้ 2 -3 คนเสดจ็ ออกจากโต๊ะเสวยไปทางหอ้ งพระบรรทมของ
พระบาทสมเดจ็ พระปรเมนทรมหาอานนั ทมหดิ ลพบนายชดิ สงิ หเสนี บศบ ย์
ปทั มศรนิ ที่หนา้ ห้องแตง่ พระองคท์ รงถวายพระอาการของพระบาทสมเดจ็
พระปรเมนทรมหาอานนั ทมหิดล แลว้ เสดจ็ กลบั หอ้ งของพระองค์
เวลาประมาณ 9.20 น. เสียงปนื ดงั ขน้ึ หนง่ึ นดั ภายในหอ้ งพระบรรทมของ
พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หัวอานนั ทมหดิ ล นายชติ สะดง้บ อยมู่ องหนา้ นาย
บศบ ยแ์ ละคิดหาทมี่ าของเสยี งปนื อยปู่ ระมาณ 2 นาที จึงเขา้ ไปในหอ้ งพระ
บรรทม พบว่าพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ ัวบรรทมหลบั อยเู่ ปน็ ปกติ แต่
ปรากฏวา่ มพี ระโลหติ )เลอื ด( ไหลเปอ้ื นพระศอ )คอ( และพระอังสะ )ไหล่(
ด้านซา้ ย
นายชติ จึงวง่ิ ไปท่หี ้องบรรทมของสมเดจ็ พระบรมราชชนนีแล้วกราบทลู วา่ “ใน
หลวงถกู ยงิ ” สมเดจ็ พระบรมราชชนนีตกพระทยั ทรงรอ้ งขน้ึ ไดเ้ พยี งคา้ เดียว
และรบี วงิ่ ไปท่ีหอ้ งพระบรรทมของพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ ัวอานนั ทมหดิ ล
ทนั ที นายชติ , พระพเี่ ลย้ี งเนอื่ ง, สมเดจ็ พระอนชบ าธริ าช, และนางสาวจรญู ได้
วง่ิ ตามเสดจ็ สมเดจ็ พระบรมราชชนนไี ปติด ๆ
ผลกระทบ
สมเดจ็ พระเจ้าน้องยาเธอ เจา้ ฟา้ ภมู พิ ลอดบลยเดช สบื ราชสมบตั ิ เปน็
พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หัวภูมพิ ลอดลบ ยเดช รัชกาลท่ี 9 แหง่ พระบรมราช
จกั รวี งศ์
นายปรีดี พนมยงค์ได้รับผลกระทบจากคดีนี้มากท่ีสบด เพราะถูกคน
กลา่ วหาว่า "ปรดี ีฆา่ ในหลวง" เน่ืองจากชแ้ี จงสาเหตบการสวรรคตแก่ประชาชน
ได้ไม่ชัดเจนและคล่ีคลายคดีนี้ไม่ส้าเร็จ และกลายเป็นหนึ่งในสาเหตบที่ท้าให้
นายปรีดีไมเ่ ดนิ ทางกลับมาประเทศไทยอกี เลยจนส้นิ ชวี ิต