สมเดจ็ พระบวรราชเจ้ามหาสรุ สงิ หนาท
ผู้เรยี บเรียงนายประสาร ธาราพรรค์
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
ในรัชสมัยของพระมหากษัตริย์ทั้งสองพระองค์ พระราชภาระในการกู้ชาติและสร้างชาตินั้น มี
ขุนพลแก้วคู่พระทัย ผู้ได้ตรากตราทาศึกขับเค่ียวกับอริราชศัตรูด้วยความเข้มแข็ง กล้าหาญ
และเด็ดเด่ียว มาตลอดสองแผน่ ดิน มหาบุรุษท่ีได้ทรงร่วมศึกสงครามขับไล่อริราชศัตรูปกป้อง
พระราชอาณาจักรตลอดพระชนมชีพของพระองค์ ทั้งยังเป็นกาลังสาคัญในการฟ้ืนฟู
ศิลปวัฒนธรรมของชาติอีกด้วย มหาบุรุษของชาติไทยผู้นี้ก็คือสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหา
สุรสิงหนาท กรมพระราชวังบวรสถานมงคลหรือวังหน้าในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า
จฬุ าโลกมหาราช รัชกาล ที่ 1 แห่งกรุงรตั นโกสินทร์
พระประวัติสมเด็จพระบวรราชเจา้ มหาสรุ สงิ หนาท
สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสรุ สงิ หนาท หรอื กรมพระราชวังบวรมหาสุรสงิ หนาท พระ
นาม เดิม บุญมา ประสูติในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เม่ือวันพฤหัสบดีขึ้น 1 ค่า
เดือน 11 ปีกุน พ.ศ. 2286 ตรงกับวันที่ 8 กันยายน 2286 เป็นพระโอรสพระองค์ที่ 5 ใน
สมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก (ทองดี) และพระชนนีหยก ขณะประสูติน้ันพระบิดายังคงเป็น
พระพนิ จิ อักษร (ทองดี) พระชนนมี พี ระนามวา่ “ดาวเรอื ง” หรอื “หยก”
มีพระเชษฐา พระเชษฐภคณิ ี พระอนชุ ารว่ มพระชนก ประกอบดว้ ย
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟา้ กรมพระยาเทพสุดาวดี (นามเดิมวา่ สา)
สมเดจ็ พระเจ้าขนุ รามณรงค์ (นามเดมิ ว่า ราม)
สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจ้าฟ้ากรมพระศรสี ุดารกั ษ์ (นามเดิมว่า แก้ว)
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟา้ จุฬาโลก (นามเดมิ ว่า ดว้ ง)
สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสรุ สิงหนาท (นามเดมิ วา่ บญุ มา)
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าลา กรมหลวงจักรเจษฎา (นามเดิมว่า ลา) พระอนุชา
ต่างพระชนนี
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากุ กรมหลวงนรินทรเทวี (นามเดิมว่า กุ) พระขนิษฐา
ตา่ งพระชนนี
ทรงมีนิวาสถานอยู่หลังป้อมเพชร ในกรุงศรีอยุธยา เมื่อทรงเจริญวัยได้ 16 ปี บิดาได้
นาไปถวายตัวเป็นมหาดเล็กในสมเด็จพระเจ้าพระเอกทัศ ตาแหน่งนายสุดจินดา มหาดเล็ก
ห้มุ แพร
พระบวรราชานุสาวรีย์สมเดจ็ กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ณ วดั ชนะสงคราม
รายพระนามพระภรรยาเจ้าและพระสนมในสมเดจ็ พระบวรราชเจา้ มหาสุรสงิ หนาท
ประสตู ิกอ่ นอปุ ราชาภเิ ษก (ในรชั กาลสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบรุ ี)
1. เจ้าฟ้าหญงิ พิกุลทอง (พ.ศ. 2320-2353) ประสตู ใิ นพระอัครชายาเจา้ ศรอี โนชา พระ
ขนิษฐาในพระเจา้ กาวลิ ะ เจ้าผคู้ รองนครเชยี งใหม่ ทรงได้รับสถาปนาเป็น "กรมขุนศรี
สนุ ทร" ในรชั กาลที่ 1
2. พระองคเ์ จ้าชายลาดวน (พ.ศ. 2322-2347) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาขะ
3. พระองคเ์ จา้ หญงิ เกสร (พ.ศ. 2322) ประสตู ิแตเ่ จ้าจอมมารดาแกว้ สิ้นพระชนมใ์ น
รัชกาลท่ี 3
4. พระองค์เจา้ ชายอนิ ทปตั (พ.ศ. 2323-2346) ประสตู แิ ต่เจา้ จอมมารดาตนั
5. พระองค์เจา้ ชายกอ้ นแกว้ (พ.ศ. 2324) ประสตู ิแต่เจา้ จอมมารดาลา่ สิ้นพระชนมใ์ น
รัชกาลที่ 3
6. พระองค์เจา้ ชายช้าง(พ.ศ. 2324)ประสตู แิ ตเ่ จ้าจอมมารดาปุย สนิ้ พระชนม์ในรชั กาลท่ี3
พระบวรราชานสุ าวรียส์ มเดจ็ กรมพระราชวงั บวรมหาสุรสิงหนาท จันทบุรี
ประสตู เิ ม่อื อุปราชาภเิ ษกแลว้
7. พระองค์เจา้ หญงิ ดวงจันทร์ (พ.ศ. 2326-2411) ประสตู แิ ตเ่ จา้ จอมมารดาฉิม
ส้ินพระชนมใ์ นรชั กาลที่ 5
8. พระองค์เจ้าชายอสนุ ี (พ.ศ. 2326-2351) ประสตู แิ ต่เจ้าจอมมารดาขา ทรงไดร้ บั
สถาปนาเปน็ กรมหม่นื เสนีเทพ เมื่อ พ.ศ. 2351 ในรชั กาลท่ี 1 สน้ิ พระชนม์ในรชั กาลท่ี 3
ทรงเปน็ ตน้ สกลุ อสนุ ี
9. พระองค์เจา้ หญงิ โกมล (พ.ศ. 2326) ประสตู ิแต่เจ้าจอมมารดาแกว้ ศาลาลอย
สิ้นพระชนมใ์ นรชั กาลท่ี 3
10.พระองคเ์ จา้ หญงิ บุนนาค (พ.ศ. 2328) ประสตู ิแต่เจา้ จอมมารดามา ส้ินพระชนม์ใน
รชั กาลท่ี 3
พระองค์เจ้าหญงิ ดาราวดี
11.พระองคเ์ จ้าหญงิ ดาราวดี (พ.ศ. 2328-2410) ประสตู ิแตเ่ จา้ จอมมารดาน้อย เสกสมรส
กบั สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศกั ดพิ ลเสพย์ ส้ินพระชนมใ์ นรัชกาลที่ 4
12.พระองคเ์ จา้ หญงิ (พ.ศ. 2328) ประสูตแิ ต่เจ้าจอมมารดาสวุ รรณา สิน้ พระชนมใ์ น
รชั กาลท่ี 4
13.พระองค์เจา้ หญงิ โกสุม (พ.ศ. 2328) ประสตู ิแตเ่ จ้าจอมมารดาพ่วง สิ้นพระชนมใ์ น
รชั กาลท่ี 2
14.พระองค์เจ้าหญิงกาพชุ ฉตั ร (พ.ศ. 2329) ประสตู ิแตเ่ จา้ จอมมารดานักองค์อี
สิน้ พระชนมใ์ นรชั กาลท่ี 4
15.พระองคเ์ จ้าหญิงปัทมราช (พ.ศ. 2330-2408) ประสตู แิ ตเ่ จ้าจอมมารดานยุ้ เล็ก ธดิ า
เจา้ พระยาสุธรรมมนตรี (พฒั น์ ณ นคร) กบั ท่านผู้หญงิ ชุ่ม สนิ้ พระชนม์ในรชั กาลท่ี 4
พระบวรราชานสุ าวรยี ์สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสรุ สงิ หนาท จนั ทบรุ ี
16.พระองค์เจา้ ชาย (พ.ศ. 2330) ประสูติแต่เจา้ จอมมารดาฉิม ส้นิ พระชนม์ในรชั กาลท่ี 1
17.พระองค์เจ้าชายม่ัง(พ.ศ. 2331)ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาเกศ ส้ินพระชนมใ์ นรัชกาลท่ี 3
18.พระองคเ์ จ้าชายสิงหราช (พ.ศ. 2331) ประสูติแตเ่ จ้าจอมมารดาลา่ ส้ินพระชนมใ์ น
รชั กาลท่ี 3
19.พระองคเ์ จ้าหญิงกลดั (พ.ศ. 2332) ประสตู ิแตเ่ จ้าจอมมารดามใี หญ่ สนิ้ พระชนมใ์ น
รชั กาลที่ 3
20.พระองค์เจ้าหญงิ ฉิมพลี (พ.ศ. 2332) ประสตู แิ ตเ่ จา้ จอมมารดางิว้ ส้นิ พระชนม์ใน
รัชกาลที่ 2
21.พระองคเ์ จา้ ชายสงั กะทตั (พ.ศ. 2332) ประสตู แิ ต่เจา้ จอมมารดา กรมหม่นื นรานุชติ ใน
รัชกาลท่ี 3 ทรงไดร้ ับสถาปนาเป็นกรมขนุ นรานชุ ิต ในรัชกาลที่ 4 สิ้นพระชนม์ในรัชกาล
ท่ี 4 ทรงเป็นตน้ สกุล สงั ขทตั
22.พระองคเ์ จ้าหญิงแก้ว (พ.ศ. 2332) ประสตู แิ ต่เจ้าจอมมารดาแจ่ม สิน้ พระชนมใ์ น
รัชกาลท่ี 1
23.พระองค์เจา้ หญงิ (พ.ศ. 2334) ประสตู แิ ตเ่ จ้าจอมมารดานกั องคเ์ ภา สนิ้ พระชนม์ใน
รัชกาลท่ี 1
24.พระองคเ์ จ้าหญิงศรีสดุ าอับสร (พ.ศ. 2334-2367) ประสตู ิแต่เจา้ จอมมารดาเพง็
ส้ินพระชนม์ในรชั กาลท่ี 3
25.พระองคเ์ จา้ หญงิ ลมดุ (พ.ศ. 2334-2417) ประสูตแิ ต่เจา้ จอมมารดามีน้อย ส้ินพระชนม์
ในรัชกาลท่ี 5
26.พระองค์เจา้ ชายบวั (พ.ศ. 2335) ประสตู แิ ต่เจ้าจอมมารดาศรี สิ้นพระชนมใ์ นรัชกาลท่ี
3 ทรงเป็นตน้ สกลุ ปัทมสงิ ห์
27.พระองคเ์ จา้ หญงิ ปุก (พ.ศ. 2335) ประสตู ิแตเ่ จ้าจอมมารดานกั องค์เภา ส้นิ พระชนม์ใน
รัชกาลท่ี 3
28.พระองค์เจา้ หญิงดษุ ฎี (พ.ศ. 2335-2406) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาเสม สิ้นพระชนมใ์ น
รชั กาลที่ 4
29.พระองค์เจ้าชายสุก (พ.ศ. 2335)ประสตู แิ ต่เจา้ จอมมารดาเอม สิ้นพระชนมใ์ นรัชกาลท4ี่
30.พระองค์เจ้าชายเพช็ รหงึ (พ.ศ. 2336) ประสตู ิแต่เจ้าจอมมารดาชู ส้ินพระชนม์ใน
รชั กาลที่ 2
31.พระองค์เจ้าหญิงวงศมาลา (พ.ศ. 2336) ประสตู แิ ตเ่ จา้ จอมมารดานกั องค์อี
สิน้ พระชนม์ในรัชกาลท่ี 4
32.พระองคเ์ จา้ หญงิ นลิ วตั ถา (พ.ศ. 2336) ประสตู แิ ต่เจา้ จอมมารดาน้อย สิน้ พระชนมใ์ น
รชั กาลท่ี 4
33.พระองคเ์ จ้าหญิงกาพรา้ (พ.ศ. 2337) ประสตู ิแต่เจ้าจอมมารดาบบั ภา ส้ินพระชนม์ใน
รชั กาลท่ี 2
34.พระองค์เจา้ หญงิ กลนิ่ (พ.ศ. 2337)ประสตู แิ ตเ่ จ้าจอมมารดาภู่ ส้นิ พระชนม์ในรชั กาลที่ 4
35.พระองคเ์ จา้ หญงิ รุ่ง (พ.ศ. 2337) ประสตู ิแต่เจ้าจอมมารดาพลับจนี ส้ินพระชนม์ใน
รชั กาลท่ี 2
36.พระองคเ์ จา้ หญงิ (พ.ศ. 2337) ประสูตแิ ตเ่ จ้าจอมมารดาลอ้ ม ส้ินพระชนม์ในรัชกาลท่ี 2
37.พระองค์เจ้าชายนพเก้า (พ.ศ. 2338) ประสตู ิแตเ่ จา้ จอมมารดาสวน สิน้ พระชนม์ใน
รชั กาลที่ 4
38.พระองคเ์ จา้ หญิง (พ.ศ. 2338) ประสตู ิแต่เจ้าจอมมารดาตุ๊ สนิ้ พระชนมใ์ นรัชกาลท่ี 3
39.พระองคเ์ จา้ ชาย (พ.ศ. 2339)ประสตู ิแตเ่ จา้ จอมมารดาทรพั ย์ สิน้ พระชนมใ์ นรชั กาลท1ี่
40.พระองค์เจา้ ชายสุด (พ.ศ. 2340) ประสตู ิแต่เจา้ จอมมารดานอ้ ย ส้นิ พระชนมใ์ นรัชกาลท1่ี
41.พระองค์เจา้ ชายเณร (พ.ศ. 2343) ประสูตแิ ต่เจา้ จอมมารดาไผ่ สน้ิ พระชนม์ในรัชกาลที่
4 ทรงเป็นตน้ สกุล นีรสิงห์
42.พระองคเ์ จ้าชายหอย(พ.ศ.2343)ประสตู แิ ตเ่ จา้ จอมมารดาตานีส้นิ พระชนมใ์ นรชั กาลท่ี1
43.พระองค์เจา้ ชายแตน(พ.ศ.2344)ประสตู ิแต่เจา้ จอมมารดาตานีสนิ้ พระชนม์ในรชั กาลท1ี
นอกจากน้ียังปรากฏพระราชโอรสพระนามว่าพระองค์เจ้าแทน มีพระชนมช์ ีพอยใู่ น
รัชกาลที่ 2 ซงึ่ อาจต่างพระองคก์ ับพระองค์เจา้ แตน
กรงุ ศรีอยธุ ยาเสยี แกพ่ ม่าครง้ั ที่ 2
ปีพุทธศักราช 2306 - 2310 พม่ายกมาล้อมกรุงศรีอยุธยา ขณะน้ันพระนครออ่ นแอ
มาก พระยาวชิรปราการ (สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี) จึงพาสมคั รพรรคพวกทหารกล้าจานวน
500 คน ตีฝ่าวงล้อมทหารพม่าออกจากพระนครศรีอยุธยา มุ่งไปรวบรวมกาลังท่ีหัวเมือง
ชายทะเลตะวันออก เม่อื กรุงศรอี ยธุ ยาใกล้เสยี แก่ข้าศกึ บา้ นเมอื งสับสนเป็นจลาจล
ก่อนกรุงศรีอยุธยาแตก เจ้าพระยาสุรสีห์ฯรับราชการเป็นมหาดเล็กในเจ้าฟ้าอุทุมพร มี
ตาแหน่งเปน็ นายสดุ จนิ ดา หุ้มแพร
นายสุจินดากบั เพื่อนอีก 3 คนได้ พากนั ออกจากกาแพงพระนคร ลงเรือ ได้เสด็จลงเรือ
เล็กหลบหนีออกจากกรุงศรีอยุธยา ตอนพลบค่าพายไปตามแม่น้าเจ้าพระยา จุดหมาย
ปลายทางคือ ต้องการไปหาหลวงยกกระบัตร(พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช)พระเชษฐา ที่
ได้นาครอบครัว และบริวารอพยพหลบภัยข้าศึกไปประทับอยู่ ณ อาเภออัมพวา เมือง
สมุทรสงครามซ่ึงแต่เดิมขึ้นกับ เมืองราชบุรีและได้ทรงชวนพระเชษฐาให้เสด็จไปหลบภัย ณ
ชลบุรี ด้วย แต่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ยังไม่พร้อม แต่ได้
พระราชทานเรือใหญ่ พร้อมเสบียงอาหาร และพระราชดาริให้ไปฝากตัวทาราชการกับพระยา
ตากสิน และทรงแนะนาให้เสด็จไปรับท่านนกเอ้ียง พระชนนีของพระยาตากสิน ซ่ึงอพยพไป
อยู่ท่บี ้านแหลม พร้อมท้ังทรงฝากดาบคร่า และแหวน 2 วง ไปถวายเป็นของกานัลกับพระเจ้า
ตากดว้ ย
ไทยเสียกรุงศรีอยุธยาให้พมา่ วันองั คารข้ึน 9 ค่า เดือน 5 ปีกนุ พ.ศ.2310 พมา่ ได้เผา
ผลาญบา้ นเมือง วัดวาอาราม เก็บรวบรวมทรัพยส์ นิ มีค่า แล้วยกทพั กลับไป ใหท้ หารรกั ษาการ
อยู่ทค่ี า่ ยโพธิส์ ามต้น และที่ธนบรุ ี บ้านเมืองตกอย่ใู นภาวะระส่าระสาย แยกเป็นก๊กเป็นเหล่าถึง
6 กก๊ พระยาตากสนิ เปน็ กก๊ หนงึ่ รวบรวมไพล่พลตง้ั อยูท่ จ่ี ันทบรุ ี
นายสุจินดาครั้นได้ทราบข่าวว่าพระยาตากมาตั้งมั่นรวบรวมผู้คนอยู่ที่เมอื งจันทบุรี จึง
เสด็จพาพรรคพวกดาเนินทางบกไปเข้าด้วย เหตุทรงคุ้นเคยกันมาแต่คร้ังรับราชการกรุงเก่า
พรอ้ มนาท่านนกเอีย้ งพระชนนีของพระยาตากไปยงั จันทบรุ ีดว้ ย
พระบรมราชานุสาวรยี ส์ มเด็จพระเจ้าตากสนิ มหาราชทจี่ ันทบรุ ี
ครั้นเจ้าตากยกจากจันทบุรีเข้าตีพมา่ ซึ่งต้ังรักษากรุงเก่าอยู่น้ันแตกไปแล้ว กเ็ สด็จเถลิง
ถวัลยราชสมบัติ ณ กรุงธนบุรีในปีชวด สัมฤทธิศก ท่านผู้น้ีเป็นขุนศึกคู่บัลลังก์รบเคียงคู่กับ
พระเจ้าตากมาตั้งแต่ศึกกู้แผ่นดินหลังกรุงศรีอยุธยาแตก โดยมีความก้าวหน้าในราชการเป็น
ลาดบั คอื เมอ่ื แรกถวายตวั ร่วมรบกับพระเจ้าตาก ไดเ้ ป็นท่ีพระมหามนตรี เจ้ากรมตารวจ แล้ว
เล่ือนเป็นพระยาอนุชิตราชา พระยายมราช และกินตาแหน่งเจ้าพระยาสุรสีห์ สาเร็จราชการ
เมืองพิษณุโลก เมืองชั้นเอกของหัวเมืองฝ่ายเหนือ เจ้าพระยาสุรสีห์ ในแผ่นดินกรุงธนบุรี ถือ
เป็น “ข้าหลวงเดิม” ทพี่ ระเจา้ ตากทรงโปรดปรานมากทสี่ ดุ คนหนงึ่
ทรงรับราชการสงครามมีความชอบย่ิงๆ ข้ึน ได้ทรงรับบรรดาศักด์ิเลื่อนขึ้นเป็นลาดับ
เม่ือพระเจ้ากรุงธนบุรีเสด็จข้ึนไปปราบเจ้าพระฝางในปีขาลโทศก จุลศักราช 1132 นั้น โปรด
เกล้าฯ ให้กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท (เมื่อเป็นพระยายมราช) คุมทัพบกไปทางฟาก
ตะวันออกก่อนทัพหลวง คร้ันปราบเจ้าพระฝางแล้ว โปรดเกล้าฯ ให้พระยายมราชเป็น
เจ้าพระยาสุรสีห์พิษณวาธิราช ครองเมืองพิษณุโลก ทรงบังคับบัญชาการป้องกันพระ
ราชอาณาจักรอยู่ทางฝ่ายเหนือแต่นั้นมา พระเดชานุภาพเลื่องลือจนพม่าเรียกพระนามว่า
“พระยาเสือ” ในคร้ังนั้นเม่ือสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ พระ
มหามนตรีได้ตามเสด็จมารับราชการยังกรุงธนบุรี และได้แสดงความสามารถในราชการ
สงครามจนเป็นทปี่ ระจักษ์
พระบรมสาทสิ ลกั ษณ์กรมพระราชวงั บวรมหาสุรสิงหนาท สมเด็จพระเจา้ ตากสินมหาราช
ตลอดรชั สมัยพระเจา้ ตาก ได้เปน็ แม่ทพั สศู้ กึ สาคัญมไิ ดข้ าด และเป็นบคุ คลหนึ่งที่พระเจ้า
ตากทรงโปรดจน “ฆ่าไม่ลง” ดังท่ีปรากฏความโดยพิสดารในหนังสืออภินิหารบรรพบุรุษ
โดยสังเขปดงั น้ี วันหน่ึงพระเจา้ ตากทรงนัง่ พระกรรมฐานทพี่ ระตาหนักแพ โดยมสี มเด็จพระวัน
รัตน (ทองอย)ู่ นงั่ กากับเป็นประธาน เวลาน้ันเจ้าพระยาสุรสีหข์ ้ามฟากมาจากบ้านประสงค์จะ
เข้าเฝ้า เจ้าพนักงานท่ีล้อมวงรักษาการอยู่ เห็นเข้าจึงร้องห้ามมิให้เฝ้าเพราะทรงน่ังพระ
กรรมฐานอยู่ ฝ่ายพระยาพิทักษภูบาล จางวางรักษาพระองค์ ก็ได้โบกมือให้ออกไปเสีย แต่
เจ้าพระยาสุรสีห์เข้าใจผิดคิดว่ากวักมือเรียก จึงค่อยย่องเข้าไป สมเด็จพระวันรัตน (ทอง
อยู่) แลเห็นเข้าก็ถวายพระพรว่า เจ้าพระยาสุรสีห์ย่องเข้ามาจะทาร้ายพระองค์เป็นแน่ พระ
เจ้าตากลุกกระโดดเข้าจับตัวเจ้าพระยาสรุ สีห์ไว้ได้โดยฉับไว แต่เม่ือค้นตัวดูไม่พบอาวุธซ่อนอยู่
จึงมีพระราชดารัสถามว่า “เหตุใดจ่ึงย่องเข้ามาในท่หี ้าม จะเปนกระบถฤา” เจ้าพระยาสุรสีห์
จึงกราบทูลว่าพระยาพิทักษภูบาลกวักมือให้เข้ามา ฝ่ายพระยาพิทักษภูบาลก็แก้ว่าไม่ได้กวัก
มือเรียก แต่โบกมือให้ออกไป พระเจ้าตากจึงมีพระราชดารัสว่า ตัวเป็นเสนาบดีผู้ใหญ่ย่อมรู้
กฎหมายข้อห้ามดี เม่ือทาผิดเช่นนี้จะว่าอย่างไร เจ้าพระยาสุรสีห์จึงกราบทูลว่า โทษน้ีต้อง
ริบราชบาตร เฆ่ียน 90 ที แล้วประหารชีวิตเสียไม่ให้เป็นเย่ียงอย่างต่อไป พระเจ้าตากได้ทรง
ฟังก็สังเวชพระทัย “กลั้นน้าพระเนตรไว้ไม่ได้” ทรงกันแสงแล้วตรัสว่า ปรับโทษหนัก
เกินไป “ข้าได้สัญญาไว้กับเจ้าเม่ือเจ้ารับแม่ของข้ามาให้แก่ข้าน้ัน ข้าว่าข้าจะไม่ฆ่าเจ้า” ให้
ปรับโทษให้เบาลง เจ้าพระยาสุรสีห์จึงกราบทูลว่า เมื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ไม่ประหาร
ชีวิต ก็ต้องลงพระราชอาญาเฆ่ียน 60 ที แล้วจาคุกไว้จนตาย พระเจ้าตากจึงมีพระราชดารัส
อีกว่า หากจาคุกจนตาย “ข้าจะได้ใครใช้เล่า พ่ีเจ้าคนเดียวไม่ภอใช้” ให้ปรับใหม่เบาลงอีก
เจ้าพระยาสุรสีห์กราบทูลว่า ถ้าเช่นนั้นให้เฆี่ยน 60 ที แล้วถอดเป็นไพร่ พระเจ้าตากทรงไม่
ยอมอีก มีพระราชดารัสว่า “เปนไพร่ เข้าใกล้พระเจ้าแผ่นดินไม่ได้ ข้าจะปรึกษาหาฤากับใคร
เล่า”เจ้าพระยาสุรสีห์จึงกราบทูลว่า ให้ลงพระราชอาญาเฆ่ียน 60 ที แล้วอยู่ในตาแหน่งเดิม
พระเจา้ ตากก็ทรงพอพระทยั “พอ่ ชอบใจแล้ว” เรอ่ื งจึงยุตลิ ง
พระบาทสมเดจ็ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
จนเม่ือแผ่นดินกรุงธนบุรีเป็นกลียุค บทบาทของเจ้าพระยาสุรสีห์ให้ต้องมาอยู่ตรงกลาง
ระหวา่ ง “เจา้ เหนอื หัว” กับ “พีช่ าย” ความเคล่ือนไหวของผ้สู าเร็จราชการเมืองพิษณุโลกเม่ือ
เกิดเหตุรัฐประหารกรุงธนบุรี ปรากฏอยู่แล้วในพระราชพงศาวดารฉบับต่างๆ ทง้ั ท่ีมีเน้ือความ
ตรงกันและแตกต่างกัน ซ่ึงจะเป็นหลักฐานสาคัญในการตรวจสอบ “ท่าที” ของเจ้าพระยา
สุรสีห์ทม่ี ีต่อเหตุการณน์ ี้
จดุ กาเนดิ อวสานกรุงธนบุรี จับความได้เมื่อเกดิ เหตุกบฏข้ึนทกี่ รุงกัมพูชา พระเจ้าตากจึง
มีพระราชดารัสให้แม่ทัพนายกองผู้ใหญ่ตระเตรียมทัพยกไปปราบกบฏ ณ กรุงกัมพูชา มี
เจ้าพระยาจักรีเป็นแม่ทัพใหญ่ เจ้าพระยาสุรสีห์เป็นทัพหน้า พระเจ้าลูกเธอ กรมขุนอินทรพิ
ทักษ์และพระยากาแหงสงครามอดีตเจ้าเมืองนครราชสีมาเป็นกองหนุน (เอกสารบางฉบับว่า
กรมขุนอินทรพิทักษ์เป็นแม่ทัพใหญ่) พระยานครสวรรค์เป็นยกกระบัตรทัพ พระเจ้าหลานเธอ
กรมขุนรามภูเบศเป็นทัพหลัง พระยาธรรมาเป็นกองลาเลียง ท้ัง 6 ทัพรวมพล 10,000 นาย
การตระเตรียมทัพครัง้ น้เี ริ่มต้นต้ังแต่ เดือนย่ี ปีชวด เมื่อข่าวกบฏกรุงกัมพูชาแจ้งมาถึงพระเจ้า
ตาก กาลังพล 10,000 นาย จัดกระบวนทัพอยู่ท่ีเมืองนครราชสีมา ซึ่งขณะน้ันมีพระยาสุริยอ
ภัย หลานเจ้าพระยาจักรีเป็นผู้สาเร็จราชการเมืองอยู่ หนึ่งปีถัดมา ในเดือนย่ี ปีฉลู จึงออก
เดินทัพสู่กรงุ กมั พชู า เป้าหมายคือตเี มอื งพทุ ไธเพชรให้ได้ตามพระราชประสงค์ หากส้าเร็จตาม
น้ีก็จะต้ังให้กรมขุนอินทรพิทักษ์ให้อยู่ครองกรุงกัมพูชาสืบไป พระราชพงศาวดารกรุงธนบุรี
ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ไม่ได้กล่าวถึงรายละเอียดในการวางกาลังทหารเข้ายึดกรุงกัมพูชา
แต่พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขามีเน้ือความเล่าถึงตอนนี้ว่ากองทัพกรุงธนบุรีมี
การจัดวางกาลังทัพอย่างไร “เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกไปต้ังทัพใหญ่อยู่ ณ เมืองนครเสียม
ราบ ให้กองทพั เจ้าพระยาสุรสีห์ยกไปทางเมอื งปัตบองฟากทะเลสาบข้างตะวันตก เอากองทัพ
เขมร พระยายมราช และพระยาพระเขมรท้ังปวงยกออกไปตีเมืองพุทไธเพชร ทัพพระเจ้าลูก
เธอกรมขุนอินทรพิทักษ์และพระยาก้าแหงสงคราม ก็ยกหนุนออกไป และให้ทัพพระเจ้าหลาน
เธอกรมขนุ รามภเู บศ และทัพพระยาธรรมายกไปทางฟากทะเลสาบฝ่ายตะวันออก ไปตั้งทัพอยู่
ณ เมืองกา้ พงสวาย”
ราชพงษาวดารกรงุ กัมพูชา กล่าวถึงการรกุ รบของเจา้ พระยาสรุ สหี ์ในสนามรบวา่
“ฝ่ายเจ้าพระยาสรุ สีห์ไดย้ กทัพมาถงึ เมืองก้าปงสวาย ก็เขา้ ตเี มอื งกา้ ปงสวายและขับไล่
กองทัพออกญาเดโช (แทน) ซง่ึ ตั้งรับอยู่ท่ีเนินปเู ปล แตกหนเี ขา้ ป่าไปสิ้น แล้วเจ้าพระยาสุรสีห์
ยกทัพมาต้ังอยู่ท่เี ปียมจีกอง แลข้ามมาต้ังอยู่ที่ฝัง่ ตะวันออกแม่น้าด้วย องพอมา แม่ทัพญวน
จึงจัดให้องกวางนัมกับออกญากะลาโหม (ปา) ยกทัพญวนแลเขมรไปตั้งรับทัพเจ้าพระยาสุร
สหี อ์ ยู่ที่เกาะอนั แดด (เกาะลอย) แลจดั ใหอ้ อกญายมราช ชื่อปาง ยกทัพญวนเขมรไปต้ังรับทพั
พระองค์เจา้ น้อย (กรมขุนอนิ ทรพทิ กั ษ์) ทปี่ ากคลองขุด ตง้ั แต่เดือนยี่ จนถึงเดอื นส่ี ปฉี ลู”
พระราชพงศาวดารฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ระบุไว้ชัดเจนว่า เดือนยี่ ปีฉลู กองทัพ
กรุงธนบุรีออกเดินทางเข้าสู่กรุงกมั พูชา สอดคล้องกับ ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา ที่ว่าแม่ทัพ
ญวนออกตั้งรับกองทัพกรุงธนบุรีตั้งแต่เดือนย่ีเช่นกันหมายความว่าการรบในศึกครั้งนี้เกิดขึ้น
แล้วต้ังแต่เดือนยี่จนถึงเดือน 4 จะเห็นได้ว่าทั้งเจ้าพระยาสุรสีห์กรมขุนอินทรพิทักษ์และทัพ
อื่นๆรบบุกตะลุยสู่หัวใจของกรุงกัมพูชาตามคาส่ังพระเจ้าตากแต่เจ้าพระยา จักรีแม่ทัพใหญ่
กลบั มีท่าทีตา่ งออกไป พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หวั ทรงมีพระราชวิจารณ์ในเรื่อง
นี้ว่า “ดูเหมือนจะระแวงการข้างในอยู่มากแล้ว จึงได้รั้งรอไม่ดูจะท้าการเดินออกเร็ว ”
สอดคล้องกบั พระราชพงศาวดารที่วา่ เจ้าพระยาจักรีออกคาส่ังยกทัพกลับไปยึดกรุงธนบุรีก่อน
เดือน 4 ซ่ึงเป็นเดือนที่เร่ิมเกิด “กบฏพระยาสรรค์” “แต่ก่อนเม่ือพระยาสรรค์ยังไม่เข้าตีกรุง
ธนบุรีน้ัน ฝ่ายพระยาสุริยอภัยผู้ครองนครราชสีมาได้ทราบข่าวว่าแผ่นดินเป็นจลาจลมีคนขึ้น
ไปแจ้งเหตุ จึงออกไป ณ เมืองนครเสียมราบ แถลงการแผน่ ดินซง่ึ เกดิ ยุคเข็ญนั้นแก่เจ้าพระยา
มหากษัตริย์ศึกๆ จึงให้พระยาสุริยอภัยรีบยกกองทัพลงมายังกรุงธนบุรีก่อน แล้วจะยกทัพ
หลวงตามลงไปภายหลัง…”และในเดือน 4 อีกเช่นกัน เจ้าพระยาจักรีก็ได้เจรจาความสงบศึก
กับแม่ทัพญวน อ้างเหตุความไม่สงบในกรุงธนบุรี จากนั้นจึงมีคาสั่งเลิกทัพไปยังแนวหน้า
รวมถึงกองทัพของเจ้าพระยาสุรสีห์“ฝ่ายเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก เมื่อให้พระยาสุริยอภัย
มาแล้ว จึงแต่งหนังสือบอกข้อราชการแผ่นดินอันเป็นจลาจล ให้คนสนิทถือไปแจ้งแก่
เจา้ พระยาสุรสหี ์ ซ่ึงลงไปตัง้ อยู่ ณ เมืองพนมเปญ ให้กองทพั เขมร พระยายมราช เขา้ ล้อมกรม
ขนุ อินทรพิทกั ษ์ไว้อย่าให้ร้คู วาม แล้วใหร้ บี เลกิ ทัพกลับเข้ามา ณ กรุงโดยเรว็ แล้วใหบ้ อกไปถึง
พระยาธรรมาซึ่งต้ังทัพอยู่ ณ เมืองก้าพงสวาย ให้จับกรมขุนรามภูเบศจ้าครบไว้ แล้วให้เลิก
ทัพตามเขา้ มา ณ กรงุ ธนบุรี
เนื้อความตรงน้ีนาไปสู่ปริศนาข้อใหญ่ท่ีว่า หากเจ้าพระยาสุรสีห์ “รู้เห็น” แผนการยึด
กรุงธนบุรี ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นก่อนเดือน 4 นานแล้ว เหตุใดจึงไม่ “ร้ังรอ” แต่กลับรุกรบใน
ดินแดนกรุงกัมพูชา และเหตุใดเจ้าพระยาจักรีจึงต้องส่ัง ให้เจ้าพระยาสุรสีหเ์ ลิกทัพกลับธนบุรี
โดยอ้างเหตุ “แผน่ ดนิ อนั เปน็ จลาจล” ทง้ั ที่กบฏพระยาสรรคย์ ังไม่เกิดขน้ึ อย่างไรก็ดี จะเห็นได้
ว่าค้าสั่งเลิกทัพน้ีเกิดข้ึนก่อนเจ้าพระยาจักรีเจรจาสงบศึกกับแม่ทัพญวน ดังนั้นค้าส่ังการเข้าตี
กรุงกัมพูชาจากพระเจ้าตากยังมีผลอยู่ การศึกของแม่ทพั ต่างๆ รวมทั้งกรมขุนอินทรพิทักษ์จึง
ด้าเนินต่อไปจนกระท่ังค้าส่ังเลิกทัพน้ีตกมาถึง บทบาทของเจ้าพระยาสุรสีห์ก่อนการยึดกรุง
ธนบุรี จึงน่าจะยังคงเป็นบทบาทของแม่ทัพหน้ากรุงธนบุรี กระทาการรบอันเป็นคาส่ังของพระ
เจา้ ตาก จนกระท่ังมีคาสงั่ เลิกทัพจากแมท่ ัพใหญ่ให้ยกกลบั มายังกรุงธนบุรี
เจ้าพระยาสุรสีห์ปรากฏตัวในพระราชพงศาวดารอีกครั้งหลังจากมีการยึดกรุงธนบุรี
เบ็ดเสร็จเด็ดขาดแล้ว 9 วัน และได้รับการสถาปนาเป็น กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท
ในแผ่นดินใหม่
สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ได้ทรงร่วมศึกสงครามขับไล่อริราชศัตรูปกป้อง
พระราชอาณาจักรตลอดพระชนมชีพของพระองค์ ได้เสด็จไปในการพระราชสงครามท้ังทาง
บก และทางเรอื ในรัชกาลสมเดจ็ พระเจ้ากรุงธนบุรี ถึง 16 คร้งั ดังน้ี
ศกึ ค่ายโพธส์ิ ามตน้
คร้งั ที่ 1 พ.ศ. 2310 ตคี ่ายโพธ์ิสามต้นของข้าศึก
ครั้งท่ี 2 พ.ศ. 2311 ตีค่ายพม่าท่ีบางกุ้ง และทสี่ มทุ รสงคราม ขณะนั้นทรงมีบรรดาศักดิ์
เปน็ พระมหามนตรี และเสด็จไปรับพระเชษฐาธริ าช จาก อาเภออัมพวา เข้ามารับราชการกับ
สมเดจ็ พระเจ้ากรุงธนบรุ ี และทรงรบั สถาปนาเป็น พระราชวรินทร์
ครั้งท่ี 3 พ.ศ. 2311 สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ทรงยกกองทัพไปปราบชุมนุมเจ้า
พษิ ณโุ ลก
ครั้งที่ 4 พ.ศ.2311 สมเด็จพระเจ้ากรุงธน ยกไปปราบชุมนุมเจ้าพิมายท่ี
นครราชสีมา พระมหามนตรี และพระราชวรินทร์ได้ร่วมการสงครามท่ีด่านขุนทด มีชัยชนะใน
เวลา 3 วัน ความชอบในการสงครามคร้ังนี้ พระราชวรินทร์ได้รับการเล่ือนบรรดาศักดิ์เป็น
พระยาอภยั รณฤทธ์ิ และพระมหามนตรี เปน็ พระยาอนชุ ิตราชา จางวางตารวจ
ครั้งท่ี 5 พ.ศ. 2312 สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี โปรดให้พระยาอภัยรณฤทธิ์ และพระยา
อนชุ ิตราชา ยกทพั ไปปราบกรงุ กัมพูชา ตไี ด้เมอื งเสยี มราฐ
ครั้งที่ 6 พ.ศ. 2313 พระยาอนุชิตราชาได้เล่ือนบรรดาศักดิ์ เป็น พระยายมราช ได้ยก
ทพั ไปร่วมกับทัพหลวงปราบชุมนุมเจ้าพระฝาง ตีได้เมืองสวางคบุรี และได้หัวเมืองเหนือไว้ใน
พระราชอานาจทง้ั หมด เมื่อเสรจ็ ราชการศกึ คร้งั นี้ ได้รับเลื่อนบรรดาศักด์ิเป็น เจ้าพระยาสุรสีห
พษิ ณวาธริ าช สาเรจ็ ราชการเมืองพิษณุโลก เป็นผู้ปกปอ้ งพระราชอาณาจกั รฝ่ายเหนือ
ครั้งที่ 7 พ.ศ. 2313 ไดย้ กทพั ไปตีทัพโปมยุงว่ นท่ีมาล้อมเมืองสวรรคโลก
ครัง้ ที่ 8 พ.ศ. 2315 เจา้ พระยาสุรสีหพิษณวาธิราช ได้ยกทัพไปปราบพมา่ ทีย่ กมาตีเมือง
ลบั แล หรอื อุตรดติ ถ์ และเมืองพชิ ยั จนแตกพา่ ยไป
พระยาพิชัยดาบหกั
คร้ังท่ี 9 พ.ศ. 2316 เจ้าพระยาสุรสีหพิษณวาธิราช และพระยาพิชัย ได้ยกทัพไปรบถึง
ประจัญบาน กับทพั โปสพุ ลาทเ่ี มืองพชิ ยั จนขา้ ศึกแตกพ่าย ครง้ั นเ้ี องที่พระยาพิชัยได้รับสมญา
นามวา่ "พระยาพชิ ยั ดาบหัก"
คร้ังท่ี 10 พ.ศ. 2317 สมเดจ็ พระเจา้ กรงุ ธนบรุ ี โปรดให้พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟ้า
จุฬาโลกมหาราช ซ่ึงขณะนั้นเป็น เจ้าพระยาจักรี กับเจ้าพระยาสุรสีหพิษณวาธริ าช ยกทัพหัว
เมืองเหนอื ไปตเี มืองเชยี งใหม่ มีชยั ชนะ
ครงั้ ที่ 11 พ.ศ. 2317 เจ้าพระยาสุรสีหพิษณวาธริ าชได้คุมทัพเหนือไปล้อมทพั พม่าทเ่ี ขา
ชะงุ้ม ตคี ่ายพมา่ ท่เี ขาชะง้มุ และปากแพรกแตกจนพม่ายอมแพ้
ภาพเขยี นอะแซหว่นุ กข้ี อดูตวั เจา้ พระยาจกั รี
ครัง้ ที่ 12 พ.ศ. 2318 อะแซหวุ่นก้แี มท่ ัพพมา่ ที่เคยรบชนะจีนมาแล้ว ได้ยกพล 30,000
เศษเข้ามาทางเหนือ เจ้าพระยาจักรีและเจ้าพระยาสุรสีห์รีบรุดยกทัพกลับจากเมืองเชียงใหม่
เข้ารักษาเมืองพิษณุโลกด้วยกาลังพลไม่เกิน 10,000 แต่พม่าก็ไม่อาจรุกรบหักเอาเมือง
พิษณุโลกได้ พม่าล้อมเมืองพิษณุโลกอยู่ถึง 4 เดือน จนภายในเมืองขาดแคลนเสบียงอาหาร
เจ้าพระยาทง้ั สองจึงนาไพร่พลและราษฎรตีหักออกไปอยู่ทเ่ี มอื งเพชรบูรณ์ ถึงพม่าจะเข้าเมอื ง
พิษณุโลกได้แต่ก็ได้เพียงเมืองเปล่า ท้ังยังไม่สามารถทาลายกองทัพไทยได้ อะแซหวุ่นกี้ถึงกับ
ประกาศวา่ "ไทยเดยี๋ วนฝี้ ีมอื เขม้ แขง็ นัก ไมเ่ หมือนไทยแต่ก่อน และเมืองพิษณุโลกเสียคร้ังน้ีจะ
ได้เสียเพราะฝีมือทแกล้วทหารเราน้ันหามิได้ เพราะเขาอดข้าวขาดเสบียงอาหารจึงเสียเมือง
และซง่ึ จะมารบเมืองไทยสืบไปภายหน้าน้ัน แมท่ ัพที่มีสติปัญญาและฝีมือแต่เพียงเสมอเราและ
ตา่ กว่าเรานั้นอย่ามาทาสงครามตีเมอื งไทยเลย จะเอาชัยชนะเขามไิ ด้ แมน้ ดีกว่าเราจึงจะมาทา
ศกึ กบั ไทยได้ชัยชนะ"
คร้ังที่ 13 พ.ศ. 2319 เจ้าพระยาสุรสีหพิษณวาธิราช และเจ้าพระยาจักรี ได้รับพระราช
บัญชาให้ยกทัพจากพิษณุโลกไปขับไล่โปสุพลา ที่ยกมาตีเมืองเชียงใหม่ และต่อมาอะแซหวุ่น
กี้ ยกมาล้อมเมืองพิษณุโลก เจ้าพระยาทั้งสองจึงนาไพล่พลออกจากพิษณุโลกไปต้ังมั่นท่ีเมือง
เพชรบูรณ์ ต่อมาพม่าถอนกาลัง จึงได้คุมกาลังเมืองนครราชสีมาติดตามตีทัพที่กาลังถอยแตก
กลับไป
คร้ังที่ 14 พ.ศ. 2320 ได้ยกทัพจากกรุงธนบุรีไปสมทบทัพเจ้าพระยาจักรีที่นครราชสีมา
ตีเมืองนครจาปาศักดิ์ เมืองอัตบือ สุรินทร์ สังขะ ขุขันธ์ ไว้ได้ จากความชอบในการพระราช
สงครามคร้งั นี้ เจา้ พระยาจักรี ได้รบั เลอ่ื นบรรดาศกั ดิ์เปน็ "สมเดจ็ เจา้ พระยามหากษตั ริยศ์ ึก"
ครั้งท่ี 15 พ.ศ. 2321 สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก กับเจ้าพระยาสุรสีหพิษณวาธิ
ราช เกณฑ์ทัพเรือจากกัมพูชา ไปล้อมเมืองเวียงจันทน์ 4 เดือนจึงตีได้ และตีหัวเมืองต่างๆ ใน
แคว้นลาวจนจดตังเก๋ียของญวนไว้ได้ด้วย และในครั้งนั้น สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกได้
อัญเชิญพระพุทธมหามนุ รี ตั นปฏมิ ากร กลบั คืนเวียงจนั ทนม์ าประดิษฐานที่กรงุ ธนบรุ ีด้วย
คร้ังที่ 16 พ.ศ. 2324 เจ้าพระยาสุรสีหพิษณวาธิราช เป็นแม่ทัพหน้าร่วมกับสมเด็จ
เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ยกทัพไปตีกัมพูชา แต่ต้องเสด็จกลับกรุงธนบุรี เน่ืองจากสมเด็จพระ
เจ้ากรุงธนบรุ ีทรงพระประชวร บา้ นเมอื งเกิดจลาจล
พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
สมเด็จพระพุทธเจา้ อยู่หัวมหากษตั ริย์ศกึ พระพทุ ธยอดฟ้าจุฬาโลก เมอื่ พระองค์ทรง
ระงับการแผน่ ดนิ ทว่ี ิปริตผันแปรในกรงุ ธนบรุ รี าบคาบแลว้ ก็โปรดใหม้ ตี ราให้หากองทัพทกุ ๆ
กองกลบั มาจากกรงุ กมั พชู า และไดเ้ ร่ิมการย้ายพระมหานครข้ามฟากมาจากเมอื งธนบรุ ีฟาก
ตะวนั ตกมาสร้างกรุงเทพรัตนโกสนิ ทร์พระมหานครทางข้างตะวนั ออกแตฝ่ ง่ั เดยี ว ตัง้ พระราช
พิธยี กหลักเมอื ง ณ เมอื่ วันอาทติ ย์ เดือนหก พฤษภาคม แรม 9 ค่า ปขี าล พ.ศ. 2325 รงุ่ ขน้ึ
ณ วันจันทร์ เดอื นหก แรม 10 คา่ จดั การต้งั พระราชวังใหม่ท่ีกรุงเทพมหานคร ณ ฝ่งั ฟาก
ตะวนั ออก ทรงปราบดาภิเษกเปน็ พระมหากษัตริย์ รชั กาลท่ี 1 แหง่ กรงุ รัตนโกสินทร์ ทรง
สถาปนาพระบรมราชจักรวี งศ์ และสถาปนากรุงเทพมหานคร เป็นราชธานี ทรงมพี ระราช
โองการโปรดเกล้าโปรดกระหมอ่ ม ดารสั ให้พระอนชุ า (บญุ มา) ซง่ึ มีพระชนมม์ ายุได้ 38
พรรษา เสดจ็ เถลิงราชมไหศวรรย์ ณ ทีพ่ ระมหาอปุ ราชกรมพระราชวงั บวรสถานมงคล รับ
พระราชบัณฑูรประทับ ณ พระราชวงั บวร (วงั หน้า) ทรงอานาจว่าราชการพระนครกง่ึ หนึง่
เรียกพระนามว่า “สมเด็จกรมพระราชวงั บวรมหาสรุ สิงหนาทราชอนุชา” ทช่ี นในสมยั นัน้ เรียก
เป็นคาสามญั วา่ “สมเด็จพระเจา้ อยหู่ ัววงั หน้า” หรือมอี ีกพระนามหนง่ึ ทเี่ รยี กกนั ก็คอื “พระ
เจา้ เสือ”
พ.ศ.2325 พระบาทสมเด็จพระพทุ ธยอดฟ้าจุฬาโลกได้จดั ตง้ั กรุงเทพมหานครและได้
สถาปนาเจา้ พระยาสรุ สหี ์พิษณวาธริ าช(บญุ มา) เปน็ สมเดจ็ กรมพระราชวังบวรมหาสุรสงิ
หนาท กรมพระราวังบวรสถานมงคล ตาแหน่งพระอปุ ราช(วงั หนา้ ) และ ไดท้ รงร่วมการพระ
ราชสงคราม ระหวา่ ง พ.ศ. 2325 ถึง พ.ศ. 2345 รวม 7 คร้งั คือ
สงครามเกา้ ทัพ
ครั้งท่ี 1. พ.ศ.2328 สงครามเก้าทพั (ไทย-พมา่ ) ศึกพระเจ้าปดุง ประวัติศาสตร์ใน
ระยะต่อมาได้พิสูจน์ให้เห็นว่า คากล่าวของอะแซหวุ่นกี้ แม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ของพม่าท่ีเคยทาศึก
กันไว้ในปี 2318 เป็นจริงทุกประการ โดยเม่ือ พ.ศ. 2328 พระจ้าปดุง กษัตริย์พม่าทรงขึ้น
ครองราชย์ได้ 3 ปไี ดย้ กกองทพั บก เรือ ถึง 9 กองทัพ กาลงั พลถึง 120,000 เศษ เขา้ สู่ประเทศ
ไทยถึง 5 ทาง ทางที่สาคัญคือเข้าทางด่านเจดีย์ 3 องค์ ถึง 5 กองทัพ มีกาลังคน
ถึง 89000 คน ก็ยังไม่อาจตีเอาประเทศไทยได้ สงครามครั้งน้ีไทยมีกาลังพลเพียง 70,000
เศษ จึงวางยุทธวิธีรวบรวมกาลังไปตีทัพสาคัญๆ ของข้าศึกเสียก่อน เม่ือได้ชัยชนะแล้วจึงจะ
ปราบปรามข้าศกึ ในทางอนื่ ตอ่ ไป พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกโปรดใหส้ มเด็จพระ
บวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทเป็นจอมทัพนาทัพ 30,000 เข้าตั้งรับทัพพม่าท่ีสาคัญที่สุดคือทัพ
พระเจ้าปดุง ซ่งึ ยกเข้ามาทางด่านเจดีย์สามองค์ ทพั สมเด็จพระบวรราชเจ้าต้ังรับทัพพม่าทีท่ ุ่ง
ลาดหญ้า เมืองกาญจนบุรี ศึกคร้ังนี้ไทยยึดชัยภูมิที่ได้เปรียบ เพราะทุ่งลาดหญ้าอยู่ต่อเชิงเขา
บรรทัดซึ่งพมา่ ต้องเดินทพั ข้ามมา ทาให้ทัพหน้าพม่าต้องหยุดเพียงเชิงเขา และทัพที่ตามมาก็
ต้องหยุดย้งั บนภเู ขาเปน็ ระยะๆ ทาใหห้ าเสบยี งอาหารในแดนไทยไม่ได้ตอ้ งหาบหามเสบียงจาก
แดนพม่า และทัพไทยก็ไม่ต้องปะทะกับทัพพม่าท่ียกมาด้านนี้ท้ังหมด นอกจากนี้สมเด็จพระ
บวรราชเจ้ายังทรงใช้ยุทธวิธีแบบกองโจร จัดทหารไทยคอยซุ่มสกัดแย่งชิงเสบียงอาหารที่จะ
ส่งไปค่ายพม่าทาให้พม่าขาดแคลนหนักข้ึน นอกจากนี้ยังทรงดาเนินกลอุบายทาลายขวัญ
ทหารพมา่ โดยให้ทหารไทยลอบออกจากค่ายในเวลากลางคืน รุ่งเช้าก็ให้ทหารเหล่าน้ันยกเป็น
กองทัพถือธงทิวเดินเข้าสมทบทัพไทยที่ทุ่งลาดหญ้าอยู่เนืองๆ พม่าจึงสาคัญผิดว่าไทยมีกาลัง
เพิ่มเติมมิได้ขาด ก็ยิ่งครั่นคร้ามหนักข้ึน เม่ือสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาททรง
สังเกตเห็นทหารพม่าอดอยากและเสียขวัญมากแล้ว จึงระดมทัพไทยเข้าตีค่ายพม่าพร้อมกัน
ทุกค่าย ซ้าทัพกองโจรของไทยยังเข้าตีซ้าเติมทหารพม่าท่ีแตกพ่ายไปอีก ศึกครั้งน้ีทหารพม่า
ถูกฆ่าฟันล้มตายก็มากจนพระเจ้าปดุงต้องส่ังใหเ้ ลิกทัพกลับ ส่วนทพั พม่าทย่ี กเข้ามาโจมตีไทย
ด้านอ่ืนก็พ่ายแพ้แตกไปเช่นกันและเป็นท่ีน่าภาคภูมิใจของคนไทยท่ียุทธวิธีในการรบคร้ังนี้ได้
จัดไว้เปน็ บทเรียนสาคญั ในสถาบันการศึกษาช้ันสูงของกองทัพไทยในปัจจุบันในการรบท่ใี ช้คน
น้อยเอาชนะคนจานวนมาก
ครั้งท่ี 2 พ.ศ. 2328 สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ยังได้เสด็จนาทัพเรือไปตี
พม่าทไ่ี ชยา เสด็จไปปราบปัตตานีทีเ่ อาใจออกห่าง และ ตีเมืองกลันตัน ตรังกานู เป็นเมืองขึ้น
ของไทย
รบพมา่ ที่ทา่ ดนิ แดง
ครั้งที่ 3 พ.ศ. 2329 สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ได้เสด็จนาทัพไปรบกับ
พระเจา้ ปดุง ท่ีเข้ามายดึ ตาบลท่าดนิ แดง และสามสบ ได้ตที พั พมา่ แตก
ครั้งท่ี 4 พ.ศ. 2330 สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ได้เสด็จยกทัพไปตีเมือง
ลาปางคืน และตีทพั พมา่ ทป่ี ่าซางแตก เสร็จการสงครามน้ี ได้อัญเชิญพระพุทธสิหงิ ค์จากเมอื ง
เชยี งใหม่ มาประดษิ ฐาน ณพระราชวงั บวรสถานมงคล ทีก่ รุงเทพฯ
คร้ังท่ี 5 พ.ศ. 2336 เสดจ็ ไปตเี มืองทวายสาเร็จ
ครั้งที่ 6 พ.ศ. 2340 เสด็จยกทัพไปป้องกันเมอื งเชียงใหม่ ตีพมา่ ที่ลาพูน และเชียงใหม่
แตก
คร้ังท่ี 7 พ.ศ. 2345 ได้เสด็จไปขับไล่กองทัพข้าศึกออกจากเชียงใหม่ แต่เม่ือเสด็จไปถึง
เมืองเถิน ทรงพระประชวรโรคนิ่ว ต้องเสด็จกลับพระนคร
พระบวรราชานสุ าวรียส์ มเดจ็ พระบวรราชเจา้ มหาสรุ สิงหนาท ณ วดั ชนะสงครามราชวรมหาวิหาร
ต้ังแต่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติในพ.ศ. 2325
และทรงสถาปนาสมเด็จพระอนุชาคู่พระทัยเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคลตาแหน่งพระ
มหาอุปราชแล้ว สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทเสด็จเป็นแม่ทัพในพระราชการ
สงครามอีกถึง 7 คร้ัง ทาให้พระราชอาณาเขตขยายออกไปกว้างขวางกว่าสมัยใดๆ กล่าวคือ
ทศิ เหนือได้เมืองเชียงใหม่ และเวียงจันทน์ ทศิ ตะวันตกได้เมืองทวาย มะริด และตะนาวศรี ทิศ
ตะวันออกได้กัมพูชา และทิศใตไ้ ด้ถึงกลนั ตัน และตรังกานู
พระอโุ บสถวดั มหาธาตยุ วุ ราชรงั สฤษฎ์ิ
นอกจากสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท จะทรงอุทิศพระองค์เสด็จไปในการศึก
สงครามกอบกู้เอกราช และป้องกันพระราชอาณาจักรตลอดพระชนมชีพ ยังทรงเสริมสร้าง
ค ว า ม มั่ น ค ง ใ ห้ แ ก่ บ้ า น เ มื อ ง ท้ั ง ท ร ง ตั้ ง พ ร ะ ทั ย ท่ี จ ะ ใ ห้ ก รุ ง เ ท พ ม ห า น ค ร มี ค ว า ม รุ่ ง เ รื อ ง
เช่นเดียวกับกรุงศรีอยุธยา เม่ือทรงเห็นว่าบ้านเมืองค่อยสงบเรียบร้อยเป็นปกติสุข ทรง
อุปถัมภ์บารุงการพระศาสนา ศิลปวรรณกรรม และสถาปัตยกรรม ทรงเป็นประธานร่วมกับ
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกสังคายนาพระไตรปิฎก ณ วัด นิพพานารามหรือวัด
มหาธาตุยุวราชรังสฤษฎ์ิในปัจจุบัน แล้วทรงมีพระราชศรัทธาทรงผนวช ณ วัดน้ันอยู่ 7 ราตรี
ทรงเป็นแม่กองสร้างมณฑปพระพุทธบาท ทรงอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์จากเชียงใหม่มา
ป ร ะ ดิ ษ ฐ า น ณ พ ร ะ ร า ช วั ง บ ว ร ฯ ( ซึ่ ง ปั จ จุ บั น คื อ บ ริ เ ว ณ
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร โรงละครแห่งชาติ และวิทยาลัย
นาฏศิลป์) ทรงสร้างกาแพงพระนครต้ังแต่ประตูวัดสังเวชวิศยารามจนถึงวัดบวรนิเวศ และ
ทรงสร้างป้อมอิสินธร ป้อมพระอาทิตย์ ป้อมพระจันทร์ ป้อมยุคนธร (ซ่ึงร้ือลงแล้ว) คงเหลือ
แต่ป้อมพระสเุ มรุ และทรงสร้างประตูยอดของบรมมหาราชวัง คือ ประตูสวัสดิโสภา ประตูมณี
นพรตั น์ ประตอู ดุ มสุดารกั ษ์ และทรงสรา้ งโรงเรือทีฟ่ ากตะวันตก สร้างวัดชนะสงคราม(วัดตอง
ปุ) วัดโบสถ์ วัดเทวราชกุญชร (วัดสมอแครง) วัดราชผาติการาม (วัดส้มเกล้ียง) วัดปทุมคง
คา (วัดสาเพ็ง) วัดครุฑ วัดสุวรรณคีรี (วัดข้ีเหล็ก) วัดสุวรรณดาราราม ทรงสร้างหอมณเฑียร
ธรรมในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม วิหารคต ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดสลักขึ้นใหม่ วัดสลัก
เป็นวัดโบราณขนาดเล็กท่ีคราวเสด็จล่องเรือหนีพม่า ได้เคยพักอาศัยท่ีวัดน้ี ทรงสถาปนาวัด
สลักน้ีให้ข้ึนเป็นพระอารามหลวงขนาดใหญ่ พระราชทานพระนามว่า "วัดนิพพานาราม" ซ่ึง
เม่ือมีการสังคยานาพระไตรปิฎกทรงเปลี่ยนนามวัดน้ีเป็น "วัดพระศรีสรรเพชฌ์" และใน
ปัจจบุ นั คอื "วัดมหาธาตยุ ุวราชรงั สฤษด์ิ" และในช่วงสุดท้ายแหง่ พระชนม์ชีพได้ถวายพระแสง
ดาบเป็นราวเทยี นพุทธบูชาพระพทุ ธปฏมิ าองค์ประธานในพระอุโบสถวดั มหาธาตุ
นอกจากนั้นสมเด็จพระบวรราชเจ้ายังทรงเช่ียวชาญด้านอักษรศาสตร์อีกด้วย ดังจะเห็น
ไดจ้ ากพระราชนพิ นธเ์ พลงยาวถวายพยากรณ์เมื่อเพลิงไหม้พระท่ีน่ังอินทราภิเศกมหาปราสาท
และเพลงยาวเร่ืองตีเมอื งพมา่
สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท มพี ระโอรสธิดารวม 43 องค์ พระธดิ าองค์ใหญ่
คือ "สมเด็จพระเจา้ หลานเธอ เจ้าฟ้าพิกลุ ทอง กรมขนุ ศรีสนุ ทร" ซึ่งประสตู แิ ต่ "เจ้าศรีอโนชา"
พระราชขนษิ ฐาในพระเจา้ กาวิละ ทรงเปน็ ตน้ ราชสกลุ อสนุ ี สังขทัต ปทั มสิงห์ และนรี สงิ ห์ห์
ประตูเมืองเชยี งใหม่
สมเด็จพระบวรราชเจา้ มหาสุรสิงหนาททรงประชวรพระโรคน่ิว ตั้งแต่คราวเสด็จยกทัพ
ไปตีพม่าที่ล้อมเมืองเชียงใหม่ เมื่อพ.ศ. 2345 จนต้องประทับแค่เมืองเถินไม่อาจเป็นแม่ทัพไป
ช่วยเมืองเชียงใหม่ได้ ต่อมาพระอาการทุเลาขึ้น จน พ.ศ.2346 พระโรคนิ่วกาเริบ ต้องประทับ
รักษาพระองค์โดยมีกรมพระราชวงั บวรสถานพิมขุ ทรงพยาบาลพระอาการ
เสดจ็ สวรรคต
พระทนี่ ั่งภมิ ขุ มณเทียร ในหมู่พระวิมาน
เมื่อเสด็จกลับกรุงเทพฯ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเสด็จพระราชดาเนิน
พร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร เสด็จไปประทับท่ีพระราชวัง
บวรสถานมงคล เพือ่ ทรงพยาบาลสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสงิ หนาทจนกระท่ังพระอาการ
ประชวรกาเริบและได้เสด็จสวรรคต ณ พระท่ีน่ังบูรพาภิมุขในหมู่พระวิมาน เมื่อวันที่ 3
พฤศจิกายน พ.ศ. 2346 พระชนมายุ 60 พรรษา พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระโกศ (พระลอง) ย่อมุมไมส้ ิบสองหุ้ม
ทองคาประดิษฐานพระบรมศพไว้ที่พระที่น่ังศิวโมกขพิมานในพระราชวังบวรสถานมงคล
หลังจากการถวายพระเพลิง ณ พระเมรุมาศ ท้องสนามหลวง เสร็จสิ้น พระบรมอัฐิถูกอัญเชิญ
ไปประดิษฐานไว้ที่พระท่ีน่ังวายุสถานอมเรศ ในหมู่พระวิมาน ปัจจุบันอัญเชิญมาประดิษฐาน
ไวท้ หี่ อพระนาคในพระบรมมหาราชวัง
ความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวและพระปรีชาสามารถในการศึกของสมเด็จพระบวรราชเจ้า
มหาสุรสิงหนาท ได้เป็นท่ีประจักษ์แกชาวไทยหรือแม้แต่ข้าศึกยังครั่นคร้าม และขนานนาม
พระองค์ว่า "พระยาเสือ" หรือ "เจ้าพระยาเสือ" มาแต่คร้ังแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าตากสิน
มหาราช ถึงรัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวถวายพระนาม "กรม
พระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท" และ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้
เปล่ียนเป็น "สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท"
สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ทรงปกปักษ์รักษาผืนแผ่นดินไทยจึงขอให้ชาว
ไทยทุกคนน้อมสักการะในพระมหากรุณาธิคุณ พร้อมทั้งน้อมราลึกและยึดถือพระเกียรติคุณ
ของพระองค์ท่านเป็นหลักในการดารงตน เพ่ือเสริมสร้างความม่ันคงและความเจริญก้าวหน้า
ของชาตบิ า้ นเมืองสืบไป
..................................................................
แหลง่ ขอ้ มูลอ้างอิง
กรมศลิ ปากร กองโบราณคด.ี (2525). น้าชมกรุงรตั นโกสินทร.์ กรุงเทพฯ : กรมศลิ ปากร
พระนพิ นธ์ในสมเด็จฯ กรมพระยาดารงราชานภุ าพ .พระราชประวตั กิ รมพระราชวงั บวรมหาสุรสงิ หนาท .
วณี า โรจนธารา. สมเด็จพระบวรราชเจา้ มหาสรุ สิงหนาท. บรรยายทางสถานวี ิทยกุ ระจายเสยี ง
แหง่ ประเทศไทย วันท่ี 3 พฤศจิกายน พ.ศ.2523.
ศุภวฒั ย์ เกษมศร,ี พลตรี หม่อมราชวงศ,์ และรชั นี ทรัพยว์ ิจติ ร. พระอนวุ งศช์ ้นั หม่อมเจา้ ในพระราชวงศ์จักร.ี
กรุงเทพ : สานักพิมพบ์ รรณกจิ , พมิ พ์ครง้ั ท่ี 3 พ.ศ. 2549.
สทุ ธลิ กั ษณ์ อาพนั วงศ์.คนเดน่ ในอดตี .สานักพมิ พส์ ุวีรยิ าสาสน์ ,2543.
https://th.wikipedia.org
www.lib.su.ac.th/rattanagosin_web
watchanasongkram.com
www.watmahathat.com
pioneer.chula.ac.th
Facebookhttps://th-th.facebook.com
www.watthakhanun.com
www.lucky4u.org
www.thaioldbooks.com
www.blockdit.com
www.sac.oc.th
mgronline.com
pioneer.chula.ac.th
ขอขอบคุณภาพและข้อมลู จากเวบ็ ไซต์ตา่ งๆ