พระราชประวตั ริ ัชกาลที่ 7
พระบาทสมเดจ็ พระปกเกลา้ เจ้าอย่หู วั
ผ้เู รียบเรยี งนายประสาร ธาราพรรค์
เพลงราตรปี ระดบั ดาวพระราชนิพนธใ์ นพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยทรงพระ
ราชนิพนธ์เนื้อเพลงขึ้นและทรงประดิษฐ์ทานองขยายขึ้นเป็นอัตราสามช้ัน และตัดแต่งลงเป็นชั้น
เดยี วจนครบเปน็ เพลงเถา กบั ทรงพระราชนิพนธ์บทรอ้ งข้นึ สาหรับร้องเปน็ ประจาโดยเฉพาะวา่
(สามช้ัน) วันนี้แสนสุดยินดี พระจันทร์วันเพ็ญ ขอเชิญสายใจเจ้า ไปเท่ียวเล่น ลมพัดเย็น
เย็น หอมกล่ินมาลี หอมดอกราตรี แม้ไม่สดสีแต่หอมดีน่าดม เหมือนงามน้าใจ แม้ไม่ขาคม กิริยา
น่าชม สมใจจริงเอย ชมแต่ดวงเดือน ท่ีไหนจะเหมือนได้ชมหน้าน้อง พี่อยู่แดเดียวเปลี่ยวใจ
หมน่ หมอง เจ้าอยา่ ขนุ่ ขอ้ งจงไดเ้ มตตา หอมดอกชามะนาด กลิ่นไม่ฉูดฉาดแต่หอมยวนใจ เหมือน
น้าใจดปี รานีปราศรัย ผูกจิตสนิทได้ใหร้ ักจริงเอย
(สองชั้น) ขอเชิญเจ้าฟังเพลงวังเวงใจ เพลงของท่านแต่ใหม่ในวังหลวง หอมดอกแก้วยาม
เย็น ไมเ่ ห็นใจพเ่ี สยี เลยเอย ดวงจนั ทรห์ ลั่นลดเกอื บหมดดวง โอห้ นาวทรวงยอดชีวาไม่ปรานี หอม
มะลิกลบี ซ้อน ออ้ นวอนเจ้าไมฟ่ งั เอย
(ชัน้ เดยี ว) จวนจะรงุ่ แลว้ นะเจ้าพ่ขี อลา แสงทองส่องฟา้ สงา่ ศรี หอมดอกกระดังงา ชิชะช่าง
น่าเจ็บใจจริงเอย หมู่ภมรร่อนหาช่อมาลี แต่ตัวพี่จาจากพรากไปไกล หอมดอกจาปี น่ีแน่ะพรุ่งน้ี
จะกลบั มาเอย ฯ
พระราชประวตั พิ ระบาทสมเด็จพระปกเกลา้ เจา้ อยูห่ ัว
พระมหากษัตริย์ในราชวงศ์จักรีท่ีมีพระราชประวัติที่แปลกน่าศึกษาอีกพระองค์ คือ
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ซึ่งพระองค์เป็นพระโอรสรัชกาลท่ี 5 ซ่ึงตาม
ความเปน็ จรงิ โอกาสท่ีพระองค์จะได้ข้ึนครองราชย์เป็นเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้ เพราะพระองค์เป็น
โอรส ระดับที่ 7 ในสมเด็จพระศรีพัชรินทรบรมราชินีนาถ(รวมพระโอรสพระธิดา รัชกาลท่ี 7 อยู่
ในอันดบั ท่ี 14) ซ่งึ รัชกาลที่ 6 เป็นพระโอรส ระดับท่ี 1 ในสมเด็จพระศรีพัชรินทรบรมราชินี และ
รัชกาลที่ 7
พระองค์ยังมีพระเชษฐา อีก 5 พระองค์ ท่ีมีโอกาสข้ึนครองราชย์ก่อนพระองค์แต่ท้ายสุด
พระองค์ก็ได้ข้ึนครองราชย์ เมื่อได้ครองราชย์ยังมีปัญหาการเมืองติดตามมาถึงขั้นท่ีพระองค์
จาเป็นต้องสละราชสมบัติและเสด็จไปพานักต่างประเทศและส้ินพระชนม์ที่ต่างประเทศ พระราช
ประวัติที่สาคัญของพระองค์ท่ีคนไทยจดจาได้ถึงทุกวันน้ี คือ การพระราชทานรัฐธรรมนูญ ฉบับ
แรกของประทศไทย
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปกฯ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพระมหากษัตริย์
ในราชวงศ์จักรี ลาดับท่ี 7 แห่งราชอาณาจักรสยาม พระองค์เสด็จพระราชสมภพเม่ือวันพุธ แรม
14 ค่า เดือน 11 ปีมะเส็ง เวลา 12.25 นาฬิกา หรือตรงกับวันที่ 8 พฤศจิกายน พ .ศ.2436 ณ
พระที่น่ัง สุทธาศรีภิรมย์พระองค์เป็นพระราชโอรสองค์ที่ 76 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
เจ้าอยู่หัว เป็นปีท่ี 9 ในสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ สมเด็จพระพันปีหลวงมีพระนาม
เดิมว่า ทรงมีพระนามเดิมว่า “สมเด็จเจ้าฟ้าชายประชาธิปกศักดิเดชน์ ธเนศรมหาราชาธิราช
จุฬาลงกรณ์นาถวโรรส อุดมยศอุกฤษฐศักดิ์ อุภัยปักษนาวิล อสัมภินชาติพิสุทธ์ิ มหามงกุฎราช
พงศบริพัตรบรมขัตติยมหารัชฎาภิษิยจนพรรโษทัย มงคลสมัยสมากร สถาวรรัจฉริยคุณ อดุลย
ราชกุมาร” พระนามทั่วไปเรียกว่า “ทูล กระหม่อมเอียดน้อย” สมเด็จพระบรมราชชนนีทรงเรียก
พระองคว์ า่ “เอยี ดน้อย” และเน่อื งจากพระพลานามัยไม่ค่อยสมบูรณ์ สมเด็จพระบรมราชชนนีจึง
มอบพระองคใ์ ห้อยูใ่ นพระอภิบาลของเจา้ จอมมารดาเย้ือน ในรชั กาลที่ 5
พระองคม์ ีพระโสทรเชษฐาและพระโสทรเชษฐภคนิ รี วม 15 พระองค์ ได้แก่
พระเชษฐา 7 พระองค์ พระเชษฐภคินี 2 พระองค์ และตกเสยี ก่อนเป็นพระองค์ 6
พระองค์ ดังต่อไปนี้
ลาดบั พระรปู และพระนาม เพศ ประสูติ สน้ิ พระชนม์ ค่อู ภิเษกสมรส
1 ญ. 19 ธันวาคม พ .ศ. 27 สงิ หาคม
2421 พ .ศ.2430
สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศ์เธอ เจา้ ฟา้
พาหรุ ตั มณีมัย กรมพระเทพนารรี ัตน์
2 ตกเมื่อ 13 มกราคม พ .ศ.2423
สมเดจ็ พระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟ้า
สมเดจ็ พระนางเจ้า
อนิ ทรศักดิศจี พระวร
ราชชายา
3 ช. 1 มกราคม พ .ศ. 26 พฤศจิกายน พระสุจรติ สุดา
2424 พ .ศ.2468 (เปรอ่ื ง สจุ รติ กลุ )
พระบาทสมเด็จพระมงกฎุ เกล้า พระนางเธอ ลกั ษมลี า
เจา้ อยหู่ ัว วัณ
พระนางเจ้าสุวัทนา
พระวรราชเทวี
4 สมเด็จพระเจา้ บรมวงศ์เธอ เจา้ ฟ้า ช. 8 กมุ ภาพนั ธ์ 22 พฤศจิกายน
ตรีเพช็ รุตม์ธารง พ .ศ.2425 พ .ศ.2430
หม่อมคัทรนิ ณ พศิ ณุ
5 สมเดจ็ พระเชษฐาธริ าช เจ้าฟ้าจกั ร ช. 3 มีนาคม พ .ศ. 13 มิถนุ ายน โลก
2426 พ .ศ.2463 หม่อมเจา้ ชวลิต
พงษภ์ ูวนาถ กรมหลวงพษิ ณุโลก โอภาศ กติ ยิ ากร
ประชานาถ
6 ตกเมื่อ พ .ศ.2425
สมเดจ็ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจา้ ฟ้า
7 ตกเมอ่ื พ .ศ.2427
สมเด็จพระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจ้าฟา้
8 สมเด็จพระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจ้าฟ้าศิ ช. 27 พฤศจกิ ายน 31 พฤษภาคม
ริราชกกุธภณั ฑ์ พ .ศ.2428 พ .ศ.2430
9 ตกเมื่อ พ .ศ.2429
สมเด็จพระเจา้ บรมวงศ์เธอ เจา้ ฟา้
10 ญ. 13 ธันวาคม พ .ศ. ในวนั ประสูติ
2430
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ เจ้าฟ้า
11 สมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้า ช. 12 พฤษภาคม 9 กมุ ภาพนั ธ์ แผ้ว สนิทวงศ์เสนี
พ .ศ.2432 พ .ศ.2468
อัษฎางคเ์ ดชาวธุ กรมหลวง
นครราชสมี า
12 ตกเมื่อ พ .ศ.2432
สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้า
13 ตกเม่ือ พ .ศ.2433
สมเด็จพระเจา้ บรมวงศ์เธอ เจ้าฟา้
หม่อมละออ จุฑาธุช
14 ช. 5 กรกฎาคม พ .ศ. 8 กรกฎาคม ณ อยุธยา
2435 พ .ศ.2466 หม่อมระวี จุฑาธุช ณ
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟ้า
อยุธยา
จุฑาธุชธราดลิ ก กรมขุนเพ็ชรบูรณ์ หม่อมเจา้ บญุ จริ าธร
อินทราไชย จุฑาธชุ
15 ช. 8 พฤศจิกายน 30 พฤษภาคม สมเดจ็ พระนางเจ้า
พ .ศ.2436 [23] พ .ศ.2484 ราไพพรรณี พระบรม
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้า
ราชินี
เจ้าอยู่หวั
ทรงเขา้ พิธโี สกันต์
พระบาทสมเด็จพระปกเกลา้ เจ้าอยูห่ ัวขณะทรงพระราชพิธีโสกนั ต์
ทรงเขา้ พิธโี สกนั ตใ์ นวนั ท่ี 4 มีนาคม พ.ศ. 2448 ณ พระทนี่ ัง่ ดุสติ มหาปราสาทพร้อมกับ
สถาปนาข้นึ เป็นสมเดจ็ พระเจ้าลูกยาเธอ เจา้ ฟ้าประชาธปิ กศกั ดิเดชน์ กรมขนุ สโุ ขทัยธรรมราชา
มุสิกนาม
การศึกษา
วิทยาลัยอีตนั ประเทศอังกฤษ
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงได้รับการศึกษาข้ันแรกเมื่อพระชนมายุ 7
พรรษา โดยทรงศึกษาวิชาภาษาไทยกับพระยาอิศรพันธุ์โสภณ (หนู อิศรางกูร ณ อยุธยา) ต่อมา
สมเดจ็ พระบรมชนกนาถได้ทรงโปรดเกลา้ ฯ ให้เขา้ เป็นนกั เรยี นในโรงเรยี นนายร้อยพิเศษ จากน้นั
พระองค์ทรงเสด็จไปศึกษาวิชาการท่ีประเทศอังกฤษ เม่ือกรกฏาคม พ.ศ. 2449 ในขณะนั้น
พระองค์มีพระชนม์มายุเพียง 13 พรรษา ทรงศึกษาวิชาสามัญในวิทยาลัยอีตัน ซึ่งเป็นโรงเรียน
มัธยมช้ันหนึง่ ขององั กฤษ
เมอ่ื สาเร็จการศึกษาจากวทิ ยาลยั อีตนั แล้วทรงสอบเข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนนายร้อยทหารท่ี
เมอื งวลู ิช (Royal Military Academy Council) โดยทรงเลือกศกึ ษาวชิ าทหารแผนกปนื ใหญ่ม้า
แต่ขณะนั้นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตในปี พ.ศ.2453 พระองค์จึง
เสดจ็ กลับประเทศไทยเพ่ือเขา้ รว่ มพิธีพระบรมศพ แล้วจึงเสด็จกลับไปศกึ ษาต่อจนจบการศึกษา
ต่อมาพระองค์ทรงเข้าประจาการ ณ กรมทหารปืนใหญ่ม้าอังกฤษที่เมืองอัลเดอร์ชอต
( Aldershot) แ ล ะ ไ ด้ รั บ อ นุ ญ า ต ใ ห้ ท ร ง เ ค ร่ื อ ง แ บ บ น า ย ท ห า ร อั ง ก ฤ ษ ใ น
สงั กัด “Battery Royal Horse Artillery” พระองค์ทรงได้รบั สัญญาบตั รเป็นนายทหารยศรอ้ ย
ตรีกิตติมศักด์ิแห่งกองทัพอังกฤษ และในการที่พระองค์สาเร็จการศึกษาจากสถาน
ทน่ี ้ี พระบาทสมเด็จพระมงกฎุ เกลา้ เจ้าอย่หู ัว จึงโปรดเกลา้ ฯ ใหด้ ารงตาแหน่งพระยศนายร้อยตรี
นอกกองสังกดั กรมทหารมหาดเลก็ รักษาพระองค์ ต่อมาได้เล่ือนข้ึนเป็นนายร้อยโท และนายทหาร
นอกสังกดั กรมทหารนอกกองสังกัดกรมทหารปนื ใหญ่รกั ษาพระองค์
ในปีพ.ศ.2457 ได้เกิดสงครามโลกข้ึนในยุโรป แต่เน่ืองจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎ
เกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดาริว่าสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอยังทรงศึกษาวิชาการทหารได้เพียง
คร่ึงๆ กลางๆ หากจะกลับเมืองไทยก็ยังทาคุณประโยชน์ให้กับบ้านเมืองได้ไม่เต็มท่ีจึง โปรด
เกล้าฯ ให้พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าจรูญศักดิ์ กฤษดากร ทรงจัดหาครูเพ่ือสอนวิชาเพิ่มเติม
ให้สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ โดยเน้นวิชาที่จะเป็นคุณประโยชน์แก่บ้านเมือง คือ วิชากฎหมาย
ระหว่างประเทศ พงศาวดารศึก และยุทธศาสตร์การศึก แต่ต่อมาสงครามได้ทวีความรุนแรงข้ึน
มาก ทาให้การหาครูมาถวายพระอักษรเป็นเร่ืองลาบาก เน่ืองด้วยนายทหารท่ีมีความสามารถ
ตอ้ งออกรบในสงคราม พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกล้าเจ้าอยหู่ วั จงึ โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้า
นอ้ งยาเธอเสดจ็ กลับประเทศไทย ในปีพ.ศ. 2458
ครัน้ เมอ่ื เสดจ็ กลับประเทศไทย ทรงเขา้ รับราชการในตาแหน่ง นายทหารคนสนิทพิเศษ
จอมทัพสมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้ากรมหลวงพิษณุโลกประชานารถ ผู้ทรงเป็นพระเชษฐาใน
พระองค์ซ่ึงดารงตาแหน่งเป็นเสนาธิการทหารบก จากนั้นพระองค์ทรงเล่ือนเป็นผู้บังคับบัญชา
การกองพันนอ้ ยที่ 2 ในตาแหนง่ นายทหารเสนาธกิ าร และต่อมาเลอ่ื นเปน็ นายพันตรีแล้วเป็นพัน
โทบังคับการโรงเรยี นนายร้อยชนั้ ประถม ภายหลงั ได้เลื่อนตาแหนง่ เปน็ ลาดับจนเป็นนายพันเอก มี
ตาแหนง่ เปน็ ปลัดกรมเสนาธิการทหารบก ก่อนข้ึนครองราชสมบัติมีตาแหน่งเป็นผู้บัญชาการกอง
พลทหารราบท่ี 2และเป็นผู้บังคับการพิเศษกรมทหารปืนใหญ่ท่ี 2 ในคราวเดียวกัน และ
ต่อมา พระองค์ก็ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็น สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงสุโขทัย
ธรรมราชาในระยะแรกที่ทรงเข้ารบั ราชการ พระองคป์ ระทบั อยู่ ณ วงั พญาไทร่วมกับสมเด็จพระ
บรมราชชนนี และนอกจากวังพญาไทแล้ว สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงพิษณุโลกประชานารถ ยัง
ประทานบา้ นทา่ เตยี นใหเ้ ปน็ ที่ประทบั อกี แหง่ หน่ึงด้วยสมเดจ็ พระเจ้าน้องยาเธอทรงปฏิบัติราชการ
สนองพระเดชพระคณุ ในตาแหน่งหน้าทกี่ ารงานตา่ ง ๆ เป็นทีเ่ รียบรอ้ ยมาโดยตลอด
ทรงผนวช
ในปี พ.ศ. 2460 จึงทรงลาราชการเพื่อผนวช ณ อุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม แล้ว
เสด็จ ประทับจาพรรษา ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เม่ือสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอทรงลาผนวชและ
เสด็จเขา้ รับราชการอกี ครง้ั เป็นทเ่ี รียบรอ้ ย
ทรงอภเิ ษกสมรส
รชั กาลท่ี 7 และหม่อมเจา้ หญิงราไพพรรณี
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎ เกล้าเจ้าอยู่หัวจึงมีพระมหากรุณาธิคุณต รัสขอหม่อมเจ้าหญิงราไ พ
พรรณี ให้และประกอบพระราชพิธีมงคลสมรส ณ พระท่ีน่ังวโรภาสพิมาน พระราชวังบางปะอิน
พระนครศรีอยุธยา ในวนั ท่ี 26 สิงหาคม พ.ศ. 2461
หลังจากท่ีทรงอภิเษกสมรส และรับราชการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พระองค์ก็ทรงประสบ
ปัญหาเก่ียวกับพระพลานามัย จึงจาเป็นต้องลาราชการไปพักรักษาตัวในท่ีๆ มีอากาศเย็นตาม
ความเห็นของคณะแพทย์ พระองค์เสด็จไปพักรักษาตัวที่ยุโรปในปีพ.ศ.2463 ครั้นทรงหายจาก
พระอาการประชวรแล้ว เสดจ็ นิวัตกิ ลบั พระนคร
พระบาทสมเด็จพระมงกฎุ เกล้าเจ้าอยู่หัวเสดจ็ สวรรคต
ขบวนแหพ่ ระบรมศพพระบาทสมเด็จพระมงกฎุ เกล้าเจา้ อยูห่ วั
ในปี พุทธศักราช 2468 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต สมเด็จ
พระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ เจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุพันธวุ งษ์วรเดช ได้ทรงเป็นประธานในที่ประชุมพระ
บรมวงศานุวงศ์และเสนาบดี เพ่ือปรึกษาหารือเร่ืองการสืบราชสมบัติ ซึ่งจากการพิเคราะห์พระ
ราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวท่ีทรงแสดงไว้ในพระราชหัตถเลขานิติ
กรรมจะเห็นไดว้ า่ พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกล้าเจ้าอยหู่ ัวทรงไว้วางพระราชหฤทยั ในสมเด็จพระ
อนุชาธิราชมาก ทว่าสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงสุโขทัยธรรมราชา ไม่เต็มพระทัยจะรับราช
สมบัติ โดยทรงอ้างว่ายังมีเจ้านายที่อาวุโสมากกว่าพระองค์ แต่ในท่ีประชุมลงความเห็นเป็นเอก
ฉันท์ไว้วางใจในพระองค์ และต้องการปฏิบัติตามพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎ
เกล้าเจ้าอยู่หัว จึงพร้อมใจกันเชิญสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงสุโขทัยธรรมราชา ขึ้นครองราชย์
เป็นพระมหากษัตริย์พระองคท์ ่ี 7 แห่งกรงุ รตั นโกสนิ ทร์
พระราชพิธีบรมราชาภิเษก รัชกาลท่ี 7 : พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวประทับพระราชบลั ลังก์
พร้อมด้วยราชบริพาร เชิญเคร่ืองราชูปโภค
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้า อยู่หัว มีพระนามเต็มว่า "พระบาทสมเด็จพระปรมินทร
มหาประชาธิปก มหันตเดชนดิลกรามาธิบดี เทพยปรียามหาราชรวิวงศ์ อสัมภินพงศพีระกษัตร
บุรุษรัตนราชนิกโรดม จาตุรันตบรมมหาจักรพรรดิราชสังกาศ อุภโตสุชาตสังสุทธเคราะหณี จักรี
บรมนาถจุฬาลงกรณ ราชวรางกูร มหมกุฏวงศวีรสูรชิษฐ ราชธรรมทศพิธ อุต์กฤษฎานิบุณย์
อดุลยฤษฎาภินิหาร บูรพาธิการสุสาธิต ธันยลักษณ์วิจิตรเสาวภาคยสรรพางค์ มหาชโนตมางคมา
นท สนธมิ ตสมนั ตสมาคม บรมราชสมภาร ทิพยเทพวตารไพศาลเกียรติคุณ อดุลยศักดิเดช สรรพ
เทเวศปริยานุรักษ์ มงคลลคนเนมาหวัยสุโขทัยธรรมราชา อภิเนาวศิลปศึกษาเดชาวุธ วิ ชัย
ยทุ ธศาสตร์โกศล วิมลนรรยพินิต สุจริตสมาจาร ภัทรภิชญาณ ประดิภานสุนทร ประวรศาสโนปสุ
ดมภก มูลมุขมาตยวรนายกมหาเสนานี สราชนาวีพยูหโยธโพยมจร บรมเชษฏโสทรสมมต เอก
ราชยยศสธิคม บรมราชสมบัติ นพปฏลเศวตฉัตราดิฉัตร ศรีรัตโนปลักษณมหาบรมราชาภิเษ
กาภิศกิ ต์ สรรพทศทศิ วชิ ิตเดโชไชย สกลมไหศวรยมหาสยามินทร มเหศวรมหินทรมหารามาธิราช
วโรดม บรมนาถชาติอาชาวศรัย พุทธาธิไตรรัตนวิศิษฎศักดิ์อัครนเรศวราธิบดี เมตตากรุณาศีตล
หฤทัย อโนปไมย บุณยการ สกลไพศาลมหารัษฎราธบิ ดนิ ทร์ ปรมินทรธรรมิกมหาราชาธิราช บรม
นาถบพติ ร พระปกเกล้าเจา้ อยหู่ ัว"
ตราประจารชั กาลที่ 7 พระราชลญั จกร
พระบรมราชสัญลักษณ์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี 7 เรียกว่า พระราช
ลัญจกรพระแสงศรเป็นรูปพระแสงศร 3 องค์ คือ พระแสงศรพรหมาสตร์ พระแสงศรประลัยวาต
พระแสงศรอัคนีวาต เหนอื ราวพาดพระแสงเปน็ ดวงตรามหาจกั รบี รมราชวงศ์ภายใต้พระมหาพิชัย
มงกุฎ เบือ้ งซ้ายและเบ้อื งขวาของราวพาดพระแสงต้ังบังแทรก สอดแทรกด้วยลายกนกอยู่บนพ้ืน
ตอนบนของดวงตรา พระแสงศร 3 องค์น้ี เป็นพระราชสัญลักษณ์ของพระบรมนามาภิไธยว่า
“ประชาธิปกศักดิเดชน์” ซ่ึงมาจากความหมายของศัพท์ คาสุดท้ายของวรรคท่ีว่า “เดชน์”
แปลว่า ลูกศร
เครื่องราชอิสริยาภรณ์
เคร่อื งขัตตยิ ราชอิสริยาภรณ์อนั มเี กยี รตคิ ุณรงุ่ เรืองย่งิ มหาจกั รบี รม
ราชวงศ์ (ม.จ.ก.)
เครื่องราชอสิ ริยาภรณอ์ ันเปน็ โบราณมงคลนพรัตนราชวราภรณ์ (น.ร.) (ฝา่ ย
หนา้ )
เคร่อื งราชอสิ ริยาภรณจ์ ุลจอมเกลา้ ช้ันปฐมจุลจอมเกลา้ วิเศษ (ป.จ.ว.)
เคร่อื งราชอสิ ริยาภรณ์รัตนวราภรณ์ (ร.ว.)
เคร่ืองราชอิสรยิ าภรณ์อันมศี ักดิ์รามาธิบดี ช้ันท่ี 1 เสนางคะบดี (ส.ร.)
เครอ่ื งราชอิสรยิ าภรณ์อันเป็นทเี่ ชดิ ชูยิ่งช้างเผอื ก ช้นั สงู สดุ มหาปรมาภรณ์
ช้างเผอื ก (ม.ป.ช.)
เครอ่ื งราชอสิ รยิ าภรณ์อันมเี กียรตยิ ศยงิ่ มงกฎุ ไทย ชน้ั สูงสุด มหาวชิรมงกฎุ (ม.ว.ม.)
เหรียญรตั นาภรณ์ รชั กาลที่ 5 ชั้นที่ 1 (จ.ป.ร.1)
เหรียญรตั นาภรณ์ รชั กาลท่ี 6 ชน้ั ท่ี 1 (ว.ป.ร.1)
เหรยี ญรัตนาภรณ์ รัชกาลท่ี 7 ชน้ั ที่ 1 (ป.ป.ร.1)
เครอื่ งราชอสิ ริยาภรณต์ ่างประเทศ
เครือ่ งราชอิสรยิ าภรณอ์ ันสงู ส่งย่ิงดอกเบญจมาศ ช้นั สังวาล ประเทศญ่ีป่นุ 11
พฤษภาคม พ.ศ. 2469
เครือ่ งราชอิสรยิ าภรณช์ ้าง ประเทศเดนมาร์ก 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2469
เครอ่ื งราชอิสริยาภรณ์สิงห์เนเธอร์แลนด์ ประเทศเนเธอร์แลนด์ 11 เมษายน
พ.ศ. 2469
เครื่องราชอิสริยาภรณ์บาธ ช้นั ท่ี 1 สหราชอาณาจักร 28 พฤษภาคม พ.ศ.
2469
เครอ่ื งราชอิสริยาภรณ์เลโอโปลด์ ชนั้ ท่ี 1 ประเทศเบลเยยี ม 28 พฤษภาคม
พ.ศ. 24
วัดประจารชั กาล
วัดราชบพิธสถติ มหาสีมาราม
วัดประจารัชกาลท่ี 7. วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม นอกจากจะเป็นพระอารามหลวง ประจา
รัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แล้ว ยังเป็นวัดประจารัชกาลท่ี 7 วัดราชบพิธ
สถติ มหาสมี าราม ราชวรวิหาร เปน็ พระอารามหลวงชน้ั เอก ชนิดราชวรวิหาร ฝ่ายธรรมยุต เป็นวัดแห่ง
เดียวของกรุงรัตนโกสินทร์ ที่เป็นวัดประจารัชกาลของพระมหากษัตริย์ถึง 2 พระองค์ เหนืออ่ืนใด วัด
แห่งน้ียังเคยเป็นท่ีประทับของสมเด็จพระสังฆราช องค์พระประมุขแห่งคณะสงฆ์ไทย 2 พระองค์
คือ พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า(หม่อมเจ้าภุชงค์ ชมพูนุท
สิริวฑฺฒโน) สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 11 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ทรงครองวัดในระหว่างปี
พุทธศักราช 2464 - 2480 และ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (วาสน์
วาสโน) สมเด็จพระสงั ฆราชพระองค์ที่ 18 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงครองวัด ในระหว่างปีพุทธศักราช
2517 - 2531 และเคยเป็นทพี่ านักของสมเดจ็ พระราชาคณะและพระราชาคณะหลายรปู
เหตุการณใ์ นสมยั พระบาทสมเดจ็ พระปกเกล้าเจา้ อยูห่ ัว
ทรงจดั ตัง้ คณะอภริ ัฐมนตรี
คณะอภิรัฐมนตรี
เมื่อพระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์แล้ว พระองค์จัดตั้ง “คณะอภิรัฐมนตรี” ข้ึน เพ่ือทา
หน้าที่ถวายคาปรึกษาเกี่ยวกับราชการแผ่นดิน และราชการในพระองค์ ด้วยทรงพระราชดาริ
ว่า “ไมท่ รงสนั ทดั ในการแผ่นดินมากนัก” คณะอภริ ฐั มนตรีนี้ประกอบไปด้วยพระบรมวงศานุวงศ์
ชัน้ ผู้ใหญ่ 5 พระองค์ คือ
1. สมเดจ็ เจ้าฟ้าฯ กรมพระยาภาณุพันธุวงษ์วรเดช
2. สมเด็จเจ้าฟา้ ฯ กรมพระนครสวรรค์วรพินติ
3. สมเด็จเจา้ ฟ้าฯ กรมพระยานรศิ รานวุ ัดตวิ งศ์
4. สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดารงราชานภุ าพ
5. พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระจันทรบุรีนฤนาท
เม่ือได้เสด็จขึ้นครองราชย์แล้ว โปรดแต่งตั้งสภาอิรัฐมนตรีขึ้นให้มีหน้าท่ีให้คาปรึกษา
ราชการและบริหารการเมือง โปรดให้ร่วมการศึกษาวิทยุคมนาคมกับต่างประเทศ ในช่วง
ระยะเวลาท่ีพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติ เป็นระยะที่ทุก
ประเทศทั่วโลกกาลังประสบปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ อันเป็นผลเน่ืองมาจากสงครามโลกครั้งท่ี 1
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรง ต่อสู้กับปัญหาดังกล่าวด้วยการประหยัด โดยทรงเร่ิม
จากตัดทอนรายจ่ายส่วนพระองค์ก่อน จากนั้นทรงตัดทอนรายจ่ายของแผ่นดินลงทุกวิถีทางเท่าที่
จะกระทาได้ เร่ิมด้วยการยุบรวมหน่วยราชการท่ีพอจะรวมกันได้ โดยมีการดุล (ปลด) ข้าราชการ
ท่ีล้นงานออกจากกระทรวง ทบวง กรมต่างๆ มากมาย ซึ่งก่อให้เกิดความไม่พอใจในหมู่
ข้าราชการเป็นอันมาก และการแก้ปัญหาด้วยวิธีการดังกล่าวก็ไม่สามารถฟ้ืนฟูเศรษฐกิจของ
ประเทศให้ดีได้ ประกอบกับขณะน้ันมีพวกข้าราชการและนายทหารที่กลับจากการไปศึกษา
ต่างประเทศ และมีหัวคิดรุนแรงต้องการจะเปล่ียนแปลงระบบการปกครองเสียใหม่ เพราะเข้าใจ
วา่ จะเปน็ หนทางแกป้ ญั หาทางบ้านเมอื งได้
โปรดเกล้าฯให้สร้างพระราชวังไกลกงั วล
พระราชวงั ไกลกังวล
เมื่อพระบาทสมเดจ็ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จ ขึ้นครองราชย์ พระองค์ได้โปรดเกล้าฯ ให้
สร้างพระราชวังที่ประทับ ณ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ด้วยโปรดการประพาสชายทะเลเป็นอย่าง
มาก เมอ่ื สรา้ งเสรจ็ ได้พระราชทานนามว่า พระราชวังไกลกังวล พระราชวังแห่งนี้ประกอบไปด้วย
พระตาหนักต่างๆ มากมาย เช่น พระตาหนักเป่ียมสุข พระตาหนักน้อย พระตาหนักปลุกเกษม
พระตาหนกั เอมปรดี ี ศาลาเริง เปน็ ต้น
การเปลี่ยนแปลงการปกครอง
คณะราษฎร
หลังจากท่ีพระองค์ทรงครองราชย์ได้ 7 ปี ในเช้ามืดของวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475
ระหว่างที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้า เจ้าอยู่หัวเสด็จไปประทับที่พระราชวังไกล
กังวล “คณะราษฎร” นาโดย พันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนาก็ได้เข้ายึดอานาจการปกครอง
แผ่นดินที่กรุงเทพมหานคร โดยเข้าควบคุมพระบรมวงศานุวงศ์บางพระองค์ และข้าราชการ
ตาแหน่งสาคัญๆ ไว้เป็นตัวประกัน แล้วส่งหนังสือไปกราบบังคมทูลเชิญเสด็จนิวัติกลับพระนคร
เพ่ือเป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญการปกครองที่คณะราษฎรได้ทาขึ้น ซ่ึงแม้ว่าพระองค์
จะได้ทรงเตรียมพระราชทานอานาจอธิปไตยน้ีแก่ประชาชนอยู่แล้ว แต่เมื่อคณะราษฎรแสดงออก
ถงึ ความปรารถนาอันแรงกลา้ เช่นน้ี พระองค์กม็ ิได้ทรงถือทฐิ มิ านะ โดยทรงละพระบรมเดชานุภาพ
ยอมรับการเป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ และหลังจากเสด็จพระราชดาเนินกลับคืนสู่
พระนครแล้ว ทรงพระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับช่ัวคราวให้ เม่ือวันท่ี 27 มิถุนายน พ.ศ. 2475
และได้พระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยามฉบับแรก เมื่อวันท่ี 10ธันวาคม
พ.ศ. 2475 เม่ือคณะราษฎร์ยึดอานาจได้แล้ว จึงประกาศใช้หลัก 6 ประการบริหารประเทศ
ได้แก่ หลักเอกราช หลักความปลอดภัย หลักเศรษฐกิจ หลักเสมอภาค หลักเสรีภาพ หลัก
การศกึ ษา
1. จะต้องรักษาความเป็นเอกราชท้งั หลาย เชน่ เอกราชทางการเมอื ง ทางการศาล ทาง
เศรษฐกิจของประเทศ ไวใ้ หม้ ั่นคง
2. จะตอ้ งรกั ษาความปลอดภยั ในประเทศ ใหก้ ารประทษุ รา้ ยต่อกนั ให้น้อยลงมาก
3. จะตอ้ งบารุงความสุขสบายของราษฎรในทางเศรษฐกจิ โดยรัฐบาลจะจดั หางานให้
ราษฎรทาและจัดวางโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ ไม่ปลอ่ ยให้ราษฎรอดอยาก
4. จะตอ้ งให้ราษฎรมีสิทธิเสมอภาคกนั
5. จะต้องใหร้ าษฎรมีเสรีภาพ มคี วามเป็นอสิ ระ เม่ือมเี สรีภาพไม่ขัดต่อหลกั 4 ประการ
ดังกลา่ วขา้ งต้น
6. จะต้องให้การศึกษาแก่ราษฎรอย่างเต็มที่
พระยาพหลพลพยหุ เสนา
พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจา้ บวรเดช กอ่ นการเปลย่ี นแปลงการปกครองเม่ือ พ.ศ. 2475 ได้
ทรงวิพากษ์วจิ ารณ์เรื่องการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชอย่างเปิดเผย คณะราษฎร โดย
พันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา หัวหน้าคณะราษฎรได้ลองทาบทามพระองค์ เพ่ือดูท่าที แต่
พระองค์ได้รับส่ังให้พระยาพหลฯ และพรรคพวกเขียนความเห็นในเรื่องการเปล่ียนแปลงการ
ปกครองลงหนังสือพิมพ์ ทานองขอประชามติเช่นเดียวกับอารยประเทศในทวีปยุโรป ซึ่งพระยา
พหลฯกราบทูลว่า ผู้ท่ีทาเช่นน้ันติดคุกไปแล้วหลายคน วิธีท่ีดีที่สุดคือ ใช้กาลังบุกจู่โจมจับคณะ
อภิรัฐมนตรีขังไว้ แล้วกราบขอพระราชทานรัฐธรรมนูญ ก็คงจะสาเร็จ แต่ พระวรวงศ์เธอ
พระองค์เจ้าบวรเดช ได้ทรงตอบพระยาพหลฯไปว่า ตัวพระองค์เกิดในพระราชวงศ์จักรี หากทา
เช่นนน้ั จะไดช้ ่อื วา่ อกตญั ญู
ในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช ถือเป็นเจ้านาย
ระดับสูงเพียงไม่ก่ีพระองค์ท่ีไม่ถูกควบคุมองค์ไว้ในฐานะองค์ประกัน แต่ในเวลาราว 23.00 น.
ของคืนวันท่ี 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 อันป็นวันท่ีมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ณ พระที่น่ัง
อนันตสมาคม ซงึ่ เปน็ สถานที่ ๆ คณะราษฎรได้ยึดกุมเอาไว้เป็นสถานที่บัญชาการ พระวรวงศ์เธอ
พระองค์เจ้าบวรเดช ก็ยังได้ไปปรากฏพระองค์ที่หน้าพระที่น่ังอนันตสมาคม ทรงแจ้งความ
ประสงค์ว่า จะขอพบกับหัวหน้าคณะผู้ก่อการ เมื่อได้พบแล้ว พระองค์ท่านได้สนทนาเพียงส้ัน ๆ
วา่ ทาอะไรกัน ทาไมไมบ่ อกใหร้ ูก้ ันก่อน เมอื่ หวั หน้าผู้ก่อการ คือ พระยาพหลพลพยุหเสนา ได้ทูล
ตอบว่า จะให้ทรงทราบไม่ได้ ไม่เช่นนั้นจะไม่สาเร็จ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช จึงกล่าว
ว่า เมือ่ ทาแล้ว กข็ อใหท้ าใหถ้ งึ ท่ีสดุ เสรจ็ แล้วกเ็ สด็จกลบั
พระยามโนปกณน์ ิติธาดา
ภายหลงั การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 เกิดความแตกแยกในคณะราษฎร พระ
ยาพหลพลพยุหเสนา ก่อรัฐประหารยึดอานาจรัฐบาล พระยามโนปกรณ์นิติธาดา และข้ึนดารง
ตาแหน่งนายกรัฐมนตรีหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เกิดความขัดแย้งระหว่าง
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวกับผู้นาในคณะราษฎรหลายคร้ังเกี่ยวกับแนวทางการเมือง
ของประเทศ สาเหตุสาคญั มอี าทิการกาหนดสถานภาพของพระมหากษตั ริย์ในระบอบการปกครอง
ใหม่ จนถึงข้อเสนอของนายปรีดี พนมยงค์ที่เรียกว่า "เค้าโครงเศรษฐกิจ" ซ่ึงนาเสนอรัฐสภาและ
ทูลเกล้า ฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ เพื่อมีพระราชวินิจฉัย ซ่ึงทรงวิพากษ์วิจารณ์
ข้อเสนอดังกล่าวอย่างรุนแรง โดยทรงเห็นว่าจะส่งผลกระทบต่อพ้ืนฐานทางการเมืองและ
เศรษฐกิจของประเทศอย่างมาก ซ่ึงอาจจะนาไปสู่ความวุ่นวายได้ ขณะที่ฝ่ายคณะราษฎรถือว่า
ปฏิกิริยาดังกล่าวเป็นการต่อต้านการเปลี่ยนแปลงและเป็นความต้องการรักษาอานาจของ "ฝ่าย
ศกั ดนิ า" หรือ "ระบอบเกา่ "
นายปรดี ี พนมยงค์
ความขัดแย้งดังกล่าวขยายตัวชัดเจนมากขึ้นจนมีการอภิปรายในรัฐสภาคัดค้านเค้าโครง
เศรษฐกิจดังกล่าว กดดันให้นายปรีดี พนมยงค์ ต้องเดินทางไปพานักในฝร่ังเศส ก่อนที่ผู้นาฝ่าย
ทหารของคณะราษฎรคือ พระพหลพลพยุหเสนา ต้องก่อรัฐประหารเพ่ือรักษาอานาจของ
คณะราษฎรไว้ ทาให้ความขัดแย้งของทัง้ สองฝา่ ยรุนแรงมากขน้ึ
กบฏบวรเดช
พระองคเ์ จา้ บวรเดช
ในวันท่ี 11 ตุลาคม พ.ศ. 2476 พลเอก พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช ทรงส่งกาลัง
ทหารจากหัวเมืองภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลางนครราชสีมา อุบลราชธานี สระบุรี
พระนครศรีอยธุ ยา และเพชรบุรี เคลื่อนกาลังทางรถไฟเข้ายึดกองทัพอากาศดอนเมืองได้เม่ือวันท่ี
12 และเคลอ่ื นกาลงั ทหารเข้ายึดพ้ืนท่ีไปตามแนวคลองบางเขนจนถึงสถานีรถไฟบางเขน เพื่อบีบ
บังคับให้รัฐบาลพระยาพหลพลพยุหเสนา กระทาตามเง่ือนไข 6 ข้อ ใจความโดยย่อคือ ให้รักษา
สถาบันพระมหากษัตริย์ ให้อานาจรัฐสภามากข้ึนและจากัดอานาจของรัฐบาลมิให้กลายเป็นคณะ
เผด็จการ อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวของพระองค์เจ้าบวรเดชในครั้งนั้นถูกมองจากฝ่ายนิยม
คณะราษฎรว่าเป็นความพยายามในการฟ้ืนระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์และต่อต้านระบอบ
ประชาธปิ ไตยในเวลาเดียวกัน
จอมพล ป.พิบูลสงคราม
ฝ่ายรัฐบาลได้มอบหมายให้ พันโทหลวงพิบูลสงคราม รองผู้บัญชาการทหารบก เป็นผู้
บังคับกองผสมทาการรุกตอบโต้ จนทหารบาดเจ็บล้มตายเป็นจานวนมาก จนถึงวันท่ี 15 กาลัง
พระองค์เจ้าบวรเดชจึงสั่งให้ถอนกาลังกลับนครราชสีมา โดยมีคาอธิบายว่ามีพระ
ราชหัตถเลขาจากรัชกาลที่ 7 ขอให้ “ถอนทหารออกไปจากแหล่งที่ปฏิบัติการ”เคลื่อนที่ไปยัง
ปากช่องอันเป็นท่ีมั่นด่านสุดท้าย ขณะที่กองหน้าของกองบังคับการผสมได้ติดตามไปจนถึงสถานี
ปากช่อง และ พันเอกพระยาศรีสิทธิสงคราม (ดิ่น ท่าราบ) แม่ทัพซึ่งรับหน้าที่เป็นกองระวังหลัง
ถูกยิงเสียชีวิตบนทางรถไฟใกล้สถานีหินลับ อาเภอปากช่อง ในเวลาพลบค่าเม่ือที่ม่ันแห่งสุดท้าย
คอื สถานปี ากช่องถกู ยึด และแม่ทพั เสยี ชวี ติ
พระองคเ์ จา้ บวรเดชและพระชายาจงึ เสดจ็ หนีโดยทางเครื่องบินจากฐานบินโคราช มีหลวง
เวหนเหิรเป็นนักบิน ไปขอลภี้ ยั ทางการเมืองที่เมืองไซ่ง่อน ประเทศเวียดนาม จนหลังสงครามโลก
ครั้งท่ี 2 จึงย้ายไปประทับที่ประเทศกัมพูชา และเสด็จกลับประเทศไทยโดยรถยนต์เข้าทางอาเภอ
อรัญประเทศ จังหวัดปราจีนบุรี พร้อม หม่อมเจ้าผจงรจิตร์ กฤดากร พระชายา เม่ือวันที่ 12
พฤษภาคม พ.ศ. 2491หลังจากท่ีรัฐบาลในขณะน้ันได้ออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้กับนักโทษ
การเมืองทุกคดี โดยที่ไซง่อนและกัมพูชา ทรงเปิดโรงงานทอผ้าและค้าขายถ่าน รวมระยะเวลาท่ี
ทรงล้ภี ยั นานถงึ 16 ปี
พระราชกรณยี กิจ
พระราชกรณยี กจิ ดา้ นการวางรากฐานปกครองในระบอบประชาธิปไตย
และพระราชทานรัฐธรรมนูญ
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจา้ อยู่หัว พระราชทานรฐั ธรรมนูญ
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชป ระสงค์แน่วแน่ท่ีจะทรงมอบ
อานาจการปกครองให้แก่ประชาชนในรัชกาลของพระองค์ จึงได้มีการจัดต้ังสภากรรมการ
องคมนตรี อันประกอบดว้ ยกรรมการ 40 คน อยู่ในตาแหน่งคราวละ 3 ปี ทาหน้าท่ีในการประชุม
พจิ ารณากฎหมายและปญั หาอืน่ ๆ ตามแตจ่ ะโปรด เกล้าฯ อกี ท้ังมีพระราชประสงค์ให้สภา
กรรมการองคมนตรีเป็นสภาทดลองระดับท้องถิ่น พระองค์ ทรงเปิดโอกาสให้ราษฎรมีส่วนร่วม
ในกิจการสุขาภิบาล ซึ่งพระองค์ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ปรับปรุงกิจการเป็นรูปแบบการบริหารงาน
ส่วนท้องถิ่นแบบเทศบาล โดยทรงแต่งตั้งกรรมการจัดการประชาภบิ าลคอยสารวจดูงานสุขาภบิ าล
ตามหัวเมือง ท่ัวราชอาณาจักร แต่พระราชบัญญัติเทศบาลท่ีร่างเสร็จเม่ือปี พ.ศ.2473 ต้องมี
ขั้นตอนผ่านการพิจารณาจากเสนาบดีสภา สภากรรมการองคมนตรี จึงยังมิได้ประกาศ
พระราชบัญญตั เิ ทศบาลดังกล่าว
“คณะราษฎร” ซึ่งประกอบด้วยข้าราชการสายทหารบก ทหารเรือ และสายพลเรือน
จานวน 99 คน ภายใต้แกนนาของพระยาพหลพลพยุหเสนา ร่วมกันยึดอานาจการปกครอง
ประเทศจากพระมหากษัตริย์ เพื่อเปล่ียนแปลงการปกครองประเทศ จากระบอบ
สมบูรณาญาสทิ ธริ าชย์ ให้เปน็ “ระบอบประชาธปิ ไตย”
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) จึงได้พระราชทานรัฐธรรมนูญแห่ง
ราชอาณาจักรไทย แก่ เจ้าพระยาพิชัยญาติ (ดั่น บุนนาค) ประธานสภาผู้แทนราษฎร เม่ือวันท่ี
10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 หลงั จากนนั้ ทรงสละราชสมบตั ิ ในวันท่ี 2 มีนาคม พ.ศ. 2477 ขณะทรง
ประทับอยู่ที่สหราชอาณาจักร หลังจากเปล่ียนแปลงการปกครองเพียงปีเศษ โดยทรงมีเหตุผลใน
การตดั สินพระทยั ตามความในพระราชหัตถเลขา (ต้นฉบับ) ดงั น้ี
“ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละอานาจ อันเป็นของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิมให้แก่ราษฎร
โดยทั่วไป แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอานาจทั้งหลายของข้าพเจ้า ให้แก่ผู้ใด คณะใด โดยเฉพาะ
เพอ่ื ใชอ้ านาจนั้นโดยสทิ ธิขาด และโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของประชาราษฎร บัดนี้ ข้าพเจ้าเห็น
ว่า ความประสงค์ของข้าพเจ้า ที่จะให้ราษฎรมีสิทธิออกเสียง ในนโยบายของประเทศไทยโดย
แท้จริงไม่เป็นผลสาเร็จ และเม่ือข้าพเจ้ารู้สึกว่า บัดนี้ เปนอันหมดหนทาง ที่ข้าพเจ้าจะช่วยเหลือ
ให้ความคุ้มครองแก่ประชาชนได้ต่อไปแล้ว ข้าพเจ้าจึงขอสละราชสมบัติ และออกจากตาแหน่ง
พระมหากษัตริย์ แต่บัดน้ีเปนต้นไป ข้าพเจ้าขอสละสิทธิของข้าพเจ้าท้ังปวง ซ่ึงเปนของข้าพเจ้า
อยู่ในฐานะที่เปนพระมหากษัตริย์ แต่ข้าพเจ้าสงวนไว้ซ่ึงสิทธิทั้งปวง อันเปนของข้าพเจ้าแต่เดิม
มา กอ่ นท่ขี า้ พเจ้าไดร้ ับราชสมบัตสิ ืบสันตติวงศ์”
หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี7ทรงพระราชทานรัฐธรรมนูญ
ในวันที่10 ธันวาคม2475แล้วพระองค์จึงตัดสินพระทัยเสด็จพระราชดาเนินกลับไปประทับยังวัง
สวนไกลกังวล อาเภอหัวหินแต่รัฐบาลในขณะน้ันทูลขอให้พระเจ้าอยู่หัวประทับต่อในพระนคร
ถึงกับสง่ ตวั แทนเขา้ มาเจรจาเชญิ เสด็จกลับทางรถไฟจนเป็นทีน่ ่าแปลกใจวา่ ทาไมจงึ อยากให้เสด็จ
พระราชดาเนินกลับซึ่งในขณะนั้นมีข่าวลือมากมายว่าหากพระเจ้าอยู่หัวเสด็จกลับเข้าพระนคร
ฝา่ ยพระยาทรงสุรเดชจะคอยดกั ยึดขบวนรถไฟพระทนี่ งั่ ทบ่ี างซื่อแล้วจะบังคับให้พระองค์ทรงเซ็น
ลาออกจากการเป็นพระเจ้าอยู่หัวเสียแต่หากมิทรงยินยอมท่ีจะเซ็นก็จะจับพระองค์ไว้เป็นตัว
ประกันแล้วให้พระราชวงศ์นาสมบัติมาถ่ายพระชนม์ชีพของพระเจ้าอยู่หัวไปเมื่อพระเจ้าอยู่หัว
ทรงทราบการเช่นนั้นแล้วจึงตรัสกับพระยามโนปกรณฯผู้เป็นประธานคณะกรรมการราษฎรที่ใน
ขณะนั้นมาเข้าเฝ้าว่าเร่ืองนี้เห็นจะจริงเพราะพระยาทรงสุรเดชเป็นผู้เดียวที่ไม่ได้มาเข้าเฝ้าพระ
เจ้าอยู่หัว พระยาทรงสรุ เดชผนู้ ้เี ป็นหวั หนา้ ของเหลา่ ทหารท่ีมีความเข้มแข็ง พวกทหารเชื่อฟังเสีย
ด้วย พระยามโนปกรณได้ฟังรับส่ังเช่นนั้นแล้วจึงรีบกลับไปหาพระยาทรงสุรเดชและพามาเข้าเฝ้า
พระเจ้าอยู่หัวเพื่อรับรองกับพระองค์ว่าจะไม่เป็นไปตามข่าวลืออย่างแน่นอน ไม่นานนัก ในเดือน
มีนาคมปีถัดมาพระเจ้าอยู่หัวจึงตัดสินพระทัยเสด็จพระราชดาเนินกลับเข้าพระนครโดยมีพระยา
ทรงสุรเดชตรวจตราดูแลรักษาพระองค์อย่างกวดขันทาให้การเสด็จกลับคร้ังน้ีพระราชวงศ์และ
ประชาชนเบาใจกันไปว่า “ทหารไม่ได้เป็นพวกนั้นเสียหมด”ไม่ช้าก็มีเสียงติเตียนหาว่าพระ
เจ้าอยู่หัวข้ีขลาด จะเสด็จไปไหนก็ต้องพกปืนกระบอกเล็กๆไปด้วยบางคนก็หัวเราะเยาะพระ
เจ้าอยหู่ วั ว่า ปนื กระบอกเล็กเพยี งนนั้ จะไปสอู้ ะไรเขาได้
พระเจ้าอยู่หัวจงึ ตรสั วา่ สมเดจ็ พระ)สนุ เพยี งสองลกู ลกู หนึง่ สาหรบั หวั หญงิ ปืนกระบอกนม้ี ีกระ"....
(บรมราชินี แลว้ เปน็ ของฉนั เองอกี ลูกหนงึ่ เพราะถ้าจะบงั คับใหฉ้ ันเซ็นอะไรทเ่ี ปน็ การหลอกลวง
ราษฎรของฉันแลว้ เป็นยงิ ตัวตาย!”
ท่มี าสิ :ง่ ท่ีขา้ พเจ้าพบเห็น โดย หม่อมเจ้าพนู พิศมัย ดิศกลุ (หญิง)
จะเห็นได้วา่ ศกั ดศิ์ รสี าหรับพระเจ้าอยู่หัวน้ันเป็นเร่ืองสาคัญและย่ิงใหญ่ เพราะศักดิ์ศรีของ
พระเจ้าอยู่หัวในท่ีน้ีมันหมายถึง การเดิมพันด้วยพระชนม์ชีพของพระองค์เพ่ือแลกกับความ
ถูกต้องและประโยชนอ์ ันสงู สดุ ทีป่ ระชาราษฎรของพระองค์พึงจะได้รับซึ่งหมายถึงอานาจท่ีตกอยู่..
จริงในมอื ของประชนชนอยา่ งแท้
พระราชกรณียกิจด้านการปกครอง
พระบาทสมเดจ็ พระปกเกลา้ เจ้าอยู่หัวทรงจัดระเบียบการบริหารงานบุคคลของชาติ ด้วย
การตราพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2471 ขึ้นบังคับใช้ โดยจะมีกลุ่มคนท่ี
เรียกว่า คณะกรรมการข้าราชการพลเรือน คอยดูแลการบรรจุแต่งตั้ง การเคลื่อนย้าย รวมท้ัง
ควบคุมให้อยู่ใน ระเบียบวินัยของราชการ และโปรดเกล้าฯ ให้มีการสอบแข่งขันบุคคลเข้าบรรจุ
เป็นข้าราชการพลเรือนเป็นครั้งแรก ซ่ึงแตกต่างจากเดิมท่ีใครประสงค์จะเข้ารับราชการก็ไปฝาก
ตวั แกห่ วั หน้าส่วนราชการนนั้ โดยตรง
นอกจากนี้พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวยังโปรดเกล้าฯ ให้ออกพระราชบัญญัติ
ควบคุมกิจการค้าขายอันกระทบถึงความปลอดภัยหรือความผาสุกแห่งสาธารณชน พ.ศ. 2471
เพอ่ื เปน็ การคุ้มครองสวัสดิภาพของประชาชนชาวไทย โดยมีขอบเขตครอบคลุมการค้าขายที่เป็น
สาธารณูปโภคและการเงิน เช่น กิจการไฟฟ้า การประปา รถราง รถไฟ ฯลฯ ซ่ึงนับว่าเป็น
รากฐานของระเบียบที่ใชก้ นั มาจนทุกวนั นี้
พระราชกรณยี กิจดา้ นประเพณีและวฒั นธรรม
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรง เป็นผู้ริเริ่มในการสร้างค่านิยมให้ชายไทยมี
ภรรยาเพยี งคนเดียว ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของสังคมไทยแต่โบราณท่ีชายไทยมักนิยมมี
ภรรยาหลายคนโดยชอบด้วยกฎหมาย โดยโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม
กฎหมายลักษณะผัวเมีย พ.ศ. 2473 และ ทรงริเร่ิมให้มีการจดทะเบียนสมรส ทะเบียนหย่า
ทะเบียนรับรองบุตร อันเป็นการปลูกฝังค่านิยมใหม่ทีละน้อยตามความสมัครใจ นอกจากนี้ยังทรง
ปฏิบตั ติ นเปน็ แบบอย่างโดยมพี ระบรมราชินเี พยี งพระองค์เดียว และไมม่ สี นมนางในใดๆ ทั้งส้นิ
พระราชกรณยี กจิ ด้านการทานุบารุงบ้านเมอื ง เศรษฐกจิ
โรงภาพยนตร์ศาลาเฉลิมกรุง
สืบเนื่องจากผลของสงครามโลกครั้งที่ 1 ประเทศทั่วโลกประสบปัญหาภาวะเศรษฐกิจ
ตกต่า ซึ่งมีผลกระทบกระเทือนมาสู่ประเทศไทย พระองค์ได้ทรงพยายามแก้ไขการงบประมาณ
ของประเทศให้งบดุลอย่างดีที่สุด โดยทรงเสียสละตัดทอนรายจ่ายส่วนพระองค์ โดยมิได้ขึ้นภาษี
ให้ราษฎร เดือดร้อนการสุขาภิบาลและสาธารณูปโภค โปรดให้ปรับปรุงงานสุขาภิบ าลทั่ว
ราชอาณาจักรให้ทัดเทียมอารยประเทศ ขยายการสื่อสาร และการคมนาคม โปรดให้สร้างสถานี
วิทยุกระจายเสยี งแห่งแรกใน ประเทศไทย ในสว่ นกจิ การรถไฟ ขยายเส้นทางรถทางทิศตะวันออก
จากทาง จังหวดั ปราจนี บุรี จน กระทงั่ ถงึ ต่อเขตแดนเขมรการส่งเสริมกิจการสหกรณ์ให้ประชาชน
ได้มีโอกาสร่วม กันประกอบกิจการทางเศรษฐกิจ โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตรา
พระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. 2471 ขึ้นทรงสละพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์สร้างโรงภาพยนตร์
ศาลาเฉลิมกรุง ซึ่งนับเป็นโรงภาพยนตร์ทันสมัยในสมัยนั้น ติดเครื่องปรับอากาศ เพื่อเป็นสถาน
บันเทิงให้แก่ผู้คนในกรุงเทพมหานคร สาหรับในเขตหัวเมือง ทรงได้จัดต้ัง สภาจัดบารุงสถานท่ี
ชายทะเลทศิ ตะวนั ตกขึ้น เพือ่ ทานุบารุงหัวหนิ และใกลเ้ คียงให้เป็นสถานที่ตากอากาศชายทะเลแก่
ประชาชน ทมี่ าพักผ่อนในปี พ.ศ. 2475 เป็นระยะเวลาท่ีกรุงเทพฯ มีอายุครบ 150 ปี ทรงจัดงาน
เฉลิมฉลองโดยทานุบารุง บูรณปฏิสังขรณ์ส่ิงสาคัญอันเป็นหลักของกรุงเทพฯ หลายประการ คือ
บูรณะวัดพระศรรี ตั นศาสดาราม พระบรมมหาราชวงั
สะพานปฐมบรมราชานุสรณ์(สะพานพุทธยอดฟา้ )
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้าง สะพานปฐม
บรมราชานุสรณ์ ข้ึน ด้วยทรงระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า
จุฬาโลกมหาราช ผู้สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ สะพานแห่งน้ีเป็นสะพานข้ามแม่น้าเจ้าพระยา
เชื่อมระหว่างฝั่งพระนครกับฝ่ังธนบุรี พร้อมกับทรงชักชวนประชาชนชาวไทยร่วมกันสร้าง พระ
บรมรูปของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ที่บริเวณเชิงสะพานแห่งน้ี
ด้วย โดย พระองค์เสด็จไปทาพิธีเปิดด้วยพระองค์เองในวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2475 และโปรด
เกล้าฯ ให้มีมหรสพสมโภชเป็นการเฉลิมฉลองท่ีกรุงเทพฯ มีอายุครบ 150 ปีด้วย และ
พระราชทานนามสะพานแห่งนว้ี ่าสะพานปฐมบรมราชานสุ รณ์
พระราชกรณียกิจด้านการดนตรี
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดการทรงดนตรีเป็นอย่างมาก พระองค์ทรง
ตั้งวงดนตรีไทยส่วนพระองค์ขึ้นในปี พ.ศ.๒๔๗๐ ซ่ึงประกอบไปด้วยเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ และ
ขา้ ราชการที่ใกล้ชิด รวมถึงมีพระปรีชาสามารถในการพระราชนิพนธ์เพลงอีกด้วย โดยพระองค์
ไดท้ รงพระราชนิพนธเ์ พลงไทยเดิมไว้ 3 เพลง คือ
1. ราตรีประดับดาว (เถา) ทรงพระราชนิพนธ์ข้ึนจากเพลงมอญดูดาว 2 ชั้น ของเถา เม่ือ
พ .ศ.2472 ท้ังเน้ือร้องและทานองเพลง เพลงน้ีเป็นเพลงแรกที่ทรงพระราชนิพนธ์ มี
เนือ้ หาเรือ่ งราวเกีย่ วกับค่รู ักท่ีชักชวนกนั ชมเดอื น ดาว ดอกไม้ แต่มีความจาเป็นท่ีต้องจาก
กนั ในเวลาอนั ใกล้นี้
2. เพลงเขมรละออองค์ (เถา) ทรงพระราชนิพนธ์ขณะเสด็จแปรพระราชฐานไปประทับแรม
ณ พระที่น่ังเปี่ยมสุข สวนไกลกังวล เม่ือ พ .ศ.2473 โดยทรงพระราชนิพนธ์ดัดแปลงจาก
เพลงเขมรเอาบาง 2 ช้ัน ส่วนบทร้องน้ันทรงใช้บทร้องซึ่งคัดมาจากพระราชนิพนธ์ใน
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เรื่อง พระร่วง แต่ได้ทรงพระราชนิพนธ์ดัดแปลง
แก้ไขบ้างบางส่วน
3. เพลงคลื่นกระทบฝั่ง 3 ช้ัน ทรงพระราชนิพนธ์ในขณะที่ทรงเสด็จประพาสสัตหีบทาง
ชลมารคใน พ .ศ. 2473 ทรงพระราชนิพนธ์ทานองเพลงนี้ให้มีทานองคล้ายเสียงระลอก
คลื่น ได้ทรงเลือกทานองเพลงคลื่นกระทบฝ่ัง 2 ชั้น มาดัดแปลงเป็นเพลง 3 ช้ัน แต่มิได้
พระราชนิพนธ์เน้ือเพลง ก็โปรดให้ใช้เป็นเพลงโหมโรงไปก่อน และคงใช้กันสิบมาจนทุก
วันน้ี
พระราชกรณยี กิจดา้ นความสมั พนั ธก์ ับต่างประเทศ
ในต้นรัชสมัย ได้ทรงดาเนินกิจการสาคัญที่ทรงเก่ียวข้องกับต่างประเทศที่ค้างมาตั้งแต่รัช
สมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวให้สาเร็จลุล่วงไป เช่น การให้สัตยาบันสนธิสัญญา
ต่าง ๆ นอกจากน้ียังทรงทาสัญญาใหม่ ๆ กับประเทศเยอรมนีหลังสถาปนาความสัมพันธ์ข้ันปกติ
เมื่อ พ .ศ.2471 และทาสนธิสญั ญากบั ฝร่งั เศสเก่ียวกับดินแดนในลุ่มแมน่ า้ โขงเรยี กวา่ สนธิสัญญา
อนิ โดจนี พ .ศ.2469 ท่ี กาหนดให้ มีเขตปลอดทหาร 25 กิโลเมตร ท้ัง สองฝั่งน้าโขง แทนท่ี จะมี
เฉพาะฝงั่ สยามแต่เพยี งฝา่ ยเดียว
พระราชกรณยี กจิ ดา้ นความสมั พันธ์กบั ตา่ งประเทศ
รชั กาลที่ 7 ทรงเปน็ พระมหากษตั ริยท์ ่ีได้เสด็จพระราชดาเนนิ เยอื นต่างประเทศด้วยพระราช
ประสงค์เชน่ เดยี วกบั พระราชบิดาคอื เสด็จไปเจริญพระราชไมตรีกบั ตา่ งประเทศกบั การเสด็จไปรักษา
พระวรกายของพระองค์ มเิ พียงแตเ่ ท่าน้นั ยงั ทรงขยายเส้นทางไปสู่อินโดจนี ญ่ีป่นุ สหรัฐอเมริกาและ
แคนาดา และทุกคร้ังยังมสี มเด็จพระนางเจา้ ราไพพรรณี พระบรมราชินี เสด็จเคยี งคเู่ สมอ ในระยะ
เวลา 9ปแี ห่งรชั สมยั พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจา้ อยหู่ วั (พ.ศ. 2468 - 2477)
พระบาทสมเดจ็ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หวั และสมเด็พระนางเจา้ ราไพพรรณีฯไดเ้ สดจ็ ประพาสต่างประเทศ
รวม 4 ครง้ั ดังน้ี
ครงั้ ท่ี 1 พ.ศ. 2472
ระหว่างวันที่ 31กรกฎาคม – 11 สิงหาคม พ.ศ.2472พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและ
สมเด็จพระนางเจ้าราไพพรรณฯี เสดจ็ พระราชดาเนินเยือนสิงคโปร์ ชวา และบาหลี ซึ่งขณะนั้นอยู่
ในการปกครองของประเทศอังกฤษ และเนเธอร์แลนด์ ท้ังน้ีเพ่ือเจริญทางพระราชไมตรีและ
ทอดพระเนตรภมู ิสถานบา้ นเมืองและความเป็นอยู่ของประชาชนในประเทศเหล่าน้ัน
ครัง้ ที่ 2 2473
เสดจ็ เยอื นอนิ โดจนี
ระหว่างวันที่ 6 เมษายน – 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2473 พระบาทสมเด็พระปกเกล้า
เจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าราไพพรรณีฯเสด็จพระราชดาเนินเยือนอินโดจีน (เฉพาะส่วนที่
เป็นประเทศเวยี ดนาม และกมั พชู าปัจจุบนั )ซึง่ ขณะนัน้ อยู่ในการปกครองของประเทศฝรงั่ เศส
การเสด็จเยือนประเทศใกล้เคียง พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงสังสรรค์ทา
ความรู้จักกับชาวต่างประเทศ ภายในพระราชอาณาจักรแล้ว พระองค์ยังหาโอกาสไปเยือน
ประเทศตา่ ง ๆ ทีม่ อี าณาเขตใกล้ชิดติดต่อกับประเทศของเรา เพือ่ ทรงเช่ือมความสัมพันธไมตรี ให้
ดียิ่งขึ้น อาทิได้เสด็จเมืองสิงคโปร์ ชวา และปัตตาเวีย เม่ือ พ .ศ.2472 เริ่มเดินทางออกจาก
กรุงเทพฯ เม่ือ 24 กรกฎาคม 2472 โดยเรือพระที่นั่งมหาจักรี ถึงสิงคโปร์ ในวันท่ี 31 กรกฎาคม
2472 เจ้าของเกาะสงิ คโปร์ มีพระราชโทรเลขถวายบนเรือพระที่นั่ง ความ (ผ้แู ทนรฐั บาลองั กฤษ)
ทร"ว่า งหวังว่าพระราชหฤทัย รัชกาลที่)7) คงจะทรงพระสาราญ การเสด็จเยือนสิงคโปร์ "...
บรรดาชาวเมือง ห้างร้าน ธนาคาร หยุดทาการ ในวันท่ี1 สิงหาคม 2472 เพื่อถวายพระเกียรติ
จากสงิ คโปร์ได้เสด็จถึงเมืองปัตตาเวียในเกาะชวา ในวันที่ 5 สิงหาคม 2475 ผู้สาเร็จราชการ ข้ึน
เฝ้าแล้วเชิญเสด็จประทับท่ีวังประจาเมือง พระองค์ได้เสด็จทอดพระเนตร การอุตสาหกรรมสวน
ชา และสวนยางของชาวเมืองต่าง ๆ อาทิ บันดง การุต สุราบายา ฯลฯ จนถึงวันที่ 9 ตุลาคม
2472 เสด็จข้ึนปีนัง ประทับรถไฟกลับพระนคร ใช้เวลาเดินทางรวม 78 วัน พ .ศ.2473
พระบาทสมเดจ็ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จประพาสอินโดจีน อย่างเป็นทางการ ตั้งแต่ วันท่ี 5
เมษายน 2473 โดยเรือพระที่น่ังมหาจักรี ถึงกรุงไซ่ง่อน ข้าราชการฝ่ายอินโดจีนจัดการรับเสด็จ
แล้วเสด็จต่อไปถึงเมืองเว้ วันที่ 22 เมษายน 2473 วันรุ่งขึ้นเสด็จไปทอดพระเนตรชมเมืองและ
พระราชวงั จักรพรรดเิ บาได๋ ซ่งึ ขณะนั้นมพี ระชนมายุเพียง 16 พรรษา กาลังศึกษาอยู่ในกรุงปารีส
ประเทศฝร่ังเศส ผู้สาเร็จราชการกรุงเว้ ได้ออกมาต้อนรับ พร้อมด้วยบรรดาพระราชวงศ์ญวน
พระราชชนนีของจักรพรรดิเบาได๋ คอยรับเสด็จ มีการเล้ียงต้อนรับและถวายพระพรกันตามธรรม
เนียม นอกจากน้ียังได้เสด็จ ประพาสพิพิธภัณฑ์ สถานที่ฝังศพพระเจ้าแผ่นดินญวนทุกแห่ง
ตลอดจนพระอารามท่ีสาคัญในกรุงเว้ จากนั้นได้เสด็จ ทางรถยนต์มาไซ่ง่อนถึงพนมเปญผ่านพระ
ตะบองกลับประเทศไทยทางรถไฟจาก อรัญประเทศถึงกรุงเทพฯ วันที่ 8 พฤษภาคม 2473 รวม
เวลาเสด็จประพาสอินโดจีน 33 วนั
คร้ังที่ 3 พ.ศ. 2474
เสด็จประพาสประเทศแคนาดา
ระหว่างวันท่ี 6 เมษายน – 28 กันยายน พ.ศ. 2474 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้า
เ จ้ า อ ยู่ หั ว แ ล ะ ส ม เ ด็ จ พ ร ะ น า ง เ จ้ า ร า ไ พ พ ร ร ณี ฯ เ ส ด็ จ พ ร ะ ร า ช ด า เ นิ น เ ยื อ น ป ร ะ เ ท ศ ญ่ี ปุ่ น
สหรัฐอเมริกา และแคนาดา การเสด็จฯคร้ังน้ีนอกจากเพื่อกระชับสัมพันธไมตรีกับนานาประเทศ
แล้วยังเพื่อรักษาพระเนตรท่ีสหรัฐอเมริกาด้วย เป็นเวลานานถึง 3 เดือนเต็ม และในพระราช
วโรกาสท่ีเสด็จฯถึงกรุงวอชิงตันเมื่อวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2474 นั้นเอง พระบาทสมเด็จ
พระปกเกลา้ เจ้าอยู่หวั ได้พระราชทาสมั ภาษณ์หนังสอื พมิ พ์นวิ ยอร์คไทม์ แสดงพระราชประสงค์จะ
ทรงจากัดพระราชอานาจของพระองค์ และพระราชทานอานาจน้ันแก่ราษฎรในการปกครอง
ประเทศในรูปแบบเทศบาลขึ้นกอ่ นเพอ่ื เป็นฐานกา้ วไปสรู่ ะบอบประชาธปิ ไตยในโอกาสต่อไป
ครั้งท่ี 4 พ.ศ. 2476
เสดจ็ ประพาสเยอรมนั
ทั้ ง ส อ ง พ ร ะ อ ง ค์ เ ส ด็ จ ป ร ะ พ า ส ยุ โ ร ป 9 ป ร ะ เ ท ศ ไ ด้ แ ก่
ฝรั่งเศส อิตาลี วาติกัน อังกฤษ เดนมาร์ก เยอรมนี เบลเย่ียม เชคโกสโลวาเกีย ฮังการีและ
สวิตเซอร์แลนด์ ตั้งแต่วันที่ 12 มกราคมพ.ศ. 2476 เพื่อกระชับสัมพันธไมตรีกับนานา
ประเทศ และเพ่อื ทรงรักษาพระเนตรอีกคร้ังในประเทศอังกฤษจนกระทั่งถึงวันท่ี 2 มีนาคม พ.ศ.
2477 อันเปน็ วันสละราชสมบตั ิทีป่ ระเทศอังกฤษ
อาจสรปุ ได้วา่ การเสดจ็ ฯ ท้งั 4 ครั้งของพระบาทสมเด็จพระปกเกลา้ เจ้าอยหู่ ัวน้ันเปน็ ไปเพือ่
การเจรญิ สมั พนั ธไมตรี การทอดพระเนตรความเจรญิ ของตา่ งประเทศเพอื่ นามาประยุกตใ์ นการ
พฒั นาประเทศสยามใหเ้ จรญิ ก้าวหน้าวัฒนาสถาพรตอ่ ไป
พระราชกรณยี กิจระเบียบบริหารราชการสว่ นกลาง
รัชกาลที่ 7 ได้โปรดให้รวมกระทรวงธรรมการไว้ในกระทรวงศึกษาธิการแล้วเปล่ียนชื่อ
เป็น กระทรวงธรรมการ ยกเลิกกระทรวงมุรธาธรโดยโอนงานไปอยู่รวมกับ กรมราช
เลขาธิการ รวมกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงคมนาคมจัดเป็นกระทรวงเดียวกันเรียกช่ือ
ว่า กระทรวงพาณิชย์และคมนาคม รวมกระทรวงทหารเรือเข้ากับกระทรวงกลาโหม มีการจัดต้ัง
สภาท่ีปรึกษาราชการ ได้แก่อภิรัฐมนตรีสภา เพื่อเป็นที่ปรึกษาราชการท้ังปวงในพระองค์ สมาชิก
ของสภานล้ี ้วนเป็นพระบรมวงศา นุวงศ์ช้ันผู้ใหญ่ สภานี้กาหนดให้มีการประชุมสัปดาห์ละ 1 คร้ัง
ในวันศุกร์ โดยมี รัชกาลท่ี 7 เป็นประธาน มีการประชุมคร้ังแรกเมื่อ 29 พฤศจิกายน 2468
ณ พระที่น่งั บรมพิมาน
ดา้ นการศาสนา การศึกษา ประเพณแี ละวัฒนธรรม
หอสมดุ สาหรบั พระนคร
ทรงส่งเสริมการศึกษาของชาติท้ังส่วนรวมและส่วนพระองค์ โปรดให้สร้างหอพระสมุด
สาหรับพระนคร เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าศึกษา ไดอ้ ยา่ งเสรี ทรงต้ังราชบัณฑิตยสภา เพื่อมี
หน้าที่บริหารและเผยแพร่วิชาการด้านวรรณคดี โบราณคดี และศิลปกรรม ในด้านวรรณกรรม
โปรด ตราพระราชบัญญัติคุม้ ครองวรรณกรรมและศลิ ปกรรมใน พ.ศ. 2475 พระราชทานเงินส่วน
พระองค์ เป็นรางวัลแก่ผู้แต่งหนังสือยอดเย่ียม และให้ทุนนักเรียนไปศึกษาวิชาวิทยาศาสตร์จาก
ต่างประเทศ การศาสนา ทรงปลูกฝังเยาวชนให้มีคุณธรรมดีงาม โดยยึดหลักคาสอนของ
พระพุทธศาสนา โปรดให้ราชบัณฑิตยสร้างหนังสือสอนพระพุทธศาสนาสาหรับเด็ก ซ่ึงนับว่า
พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกที่ทรงสร้าง หนังสือสาหรับเด็ก ส่วนการศึกษาใน
เน้ือแท้ของพระพุทธศาสนานั้น ทรงโปรดให้สร้างหนังสือพระไตรปิฎกฉบับสมบูรณ์ เรียกว่าฉบับ
สยามรัฐ ชุดหน่ึง จานวน 42 เล่ม ซึ่งใช้สืบมาจนทุกวันน้ี ในด้านศิลปวัฒนธรรมของชาติได้ ทรง
วางรากฐานเปน็ อยา่ งดกี ลา่ วคอื ได้ทรงสถาปนาราชบัณฑิตยสถานสภาขึ้น เพ่ือจัดการหอพระสมุด
สาหรับพระนครและสอบสวนพิจารณาวิชาอักษรศาสตร์ เพื่อจัดการพิพิธภัณฑสถานตรวจรักษา
โบราณสถานและโบราณวัตถุ และเพื่อจัดการบารุงรักษาวิชาช่างผลงานของราชบัณฑิตสภาเป็น
ผลดีต่อการ อนรุ กั ษแ์ ละส่งเสริมศลิ ปวัฒนธรรมของชาติเป็นอย่างมาก เช่นการตรวจสอบต้นฉบับ
เอกสารโบราณออกตีพิมพ์เผยแพร่ มีการส่งเสริมสร้างสรรค์วรรณกรรมรุ่นใหม่ด้วยการประกวด
เรียบเรียงบทประพนั ธ์ ทั้งรอ้ ยแก้วและรอ้ ยกรอง
พระราชกรณยี กิจด้านการถา่ ยภาพยนตร์
เม่ือทรงว่างจากพระราชภารกิจ ทรงโปรดในการถ่ายภาพนิ่งและถ่ายภาพยนตร์ ทรง
ทดลองใช้เอง กลอ้ งถ่ายภาพและภาพยนตร์จานวน มากที่ทรงสะสมไว้ สะท้อนให้เห็นพระอุปนิสัย
โปรดการถ่ายภาพและภาพยนตร์ ภาพยนตร์ทรงถ่ายมีเนื้อหาท้ังที่เป็นสารคดีและท่ีให้ความ
บันเทิง ในจานวนภาพยนตร์เหล่าน้ี เร่ืองที่เป็นเกียรติประวัติของวงการภาพยนตร์ไทยและแสดง
พระราชอัจฉริยภาพดี เยีย่ มในการสรา้ งโครงเร่ือง กากบั ภาพ ลาดบั ฉาก และอานวยการแสดง คือ
เรื่องแหวนวิเศษ นับได้ว่าพระองค์เป็นหนึ่งในบุคคลท่ีบุกเบิกวงการภาพยนตร์ไทยอีกพระองค์
หนงึ่
เหตกุ ารณ์สาคญั ในรัชสมัยพระบาทสมเดจ็ พระปกเกลา้ เจ้าอยหู่ วั
ปีพทุ ธศกั ราช 2468
ตั้งอภิรฐั มนตรีสภา
ยุบมณฑลเพชรบูรณ์ เนอื่ งจากสภาพเศรษฐกจิ ตกต่า
พิมพ์พระไตรปฎิ กฉบบั สยามรฐั เพอ่ื เปน็ ท่ีระลกึ ใหพ้ ระเจ้าอยูห่ ัวในพระบรมโกฐ (พระบาทสมเดจ็
พระมงกฏุ เกล้าเจ้าอยหู่ ัว) ครบ 45 เลม่ จานวน 1,500 ชดุ และพระราชทานแก่ประเทศตา่ ง ๆ
ประมาณ 500 ชดุ เน่อื งจากพระไตรปิฎกฉบบั พมิ พ์ ร.ศ. 112 พิมพ์ไม่ครบถว้ นบรบิ ูรณ์เนอ่ื งจาก
หาต้นฉบบั หลวงมาไมท่ ันการณ์ ฉลองรัชดาภเิ ษก เมื่อ ร.ศ. 112
ตัดเงินปีสาหรับพระเจา้ อยู่หวั จาก ปลี ะ 9 ล้านบาทเหลือ ปีละ 6 ลา้ นบาท และใหย้ ุบกรม
มหาดเล็กในรัชการที่ 6 ลงดว้ ย
ประกอบพิธีบรมราชาภเิ ษก เมอ่ื 25 กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. 2468
งานถวายพระบรมศพ รัชกาลที่ 6
งานถวายพระเพลงิ พระบรมศพ รัชกาลท่ี 6 วนั ที่ 24 มนี าคม พ.ศ. 2468
โปรดฯให้ยา้ ยกรมธรรมการกลับเขา้ มารวมกับกระทรวงศึกษาธกิ าร และเปล่ียนชอื่
กระทรวงศึกษาธกิ ารเป็นกระทรวงธรรมการอย่างเดิม โดยมีพระราชดาริว่า "การศกึ ษาไมค่ วรแยก
ออกจากวดั "
ปีพุทธศักราช 2469
ดลุ ข้าราชการคร้ังใหญค่ ราวแรก เนือ่ งจากเศรษฐกิจตกต่า
ตั้งราชบณั ฑติ สภา
เปิดหอพระสมดุ วชริ าวุธ (หอสมดุ แหง่ ชาติในปัจจุบนั )
เปิดทางรถไฟคู่ขนานกรงุ เทพ - บางซ่อื
เปดิ ทางรถไฟจากบางซอ่ื ไป ชมุ ทางตลงิ่ ชันความยาว 16 กิโลเมตร
เปิดทางรถไฟ จากกบนิ ทร์บรุ ี ไปถงึ อรญั ประเทศ เมอื่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2469
รัชกาลท่ี 7 ทรงเปดิ พระราม 6
เปดิ สะพานพระราม 6 เมอื่ 1 มกราคม พ.ศ. 2469
สมเด็จพระนางเจ้าราไพพรรณี พระบรมราชนิ ี เสดจ็ พระราชดาเนนิ โดยทางรถไฟ ไปทรงเยย่ี ม
ราษฎร ในจงั หวดั พษิ ณุโลก แพร่ ลาปาง เชยี งราย เชยี งใหม่ และลาพูน (มณฑลพายัพ) เม่ือ 6
มกราคม 2469 - 5 กมุ ภาพันธ์ พ.ศ. 2469 คร้ังน้ีเปน็ การใชง้ านรถโบกีพ้ ระที่นัง่ บรรทมที่สง่ั จาก
บรษิ ัทเครเวนเปน็ คร้งั แรก
สั่งรถจักรไอนา้ สวิสลอ้ คอนโซลิเดต (2-8-0) 12 คันแรก ใช้งานกับทางภูเขาสายเหนอื
ปีพทุ ธศกั ราช 2470
แปรสภาพบริษทั ไฟฟ้าสยามจากัดเปน็ บรษิ ทั ไฟฟา้ สยามคอปอเรชนั จากัด เมอื่ 5 พฤษภาคม พ.ศ.
2470 พร้อมยบุ บรษิ ทั รถรางไทย จากดั สินใช้ ท่ไี ด้ซอื้ กจิ การจากกรมหมืน่ นราธปิ ประพนั ธพ์ งศ์ แต่
1 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2450 เขา้ เป็นสว่ นหนง่ึ ของบริษัทไฟฟ้าสยาม คอปอเรชันจากดั
ให้แก้ทางรถรางสายดุสิต (สเ่ี สาเทเวศน์ - แม้นศรี - วดั เลียบ) ช่วงท่ีผา่ นเข้าเขตพระราชวังดสุ ติ
(บรเิ วณพระตาหนักสวนกุหลาบ) ใหต้ รงไปตามถนนพิษณโุ ลกแลว้ เล้ียวขวาผ่านวัดเบญจมบพติ ร
ดสุ ิตวนาราม เพราะมพี ระราชปรีสงค์ท่จี ะขยายเขตพระราชฐานออกไป
จัดงานชุมนุมลกู เสอื แหง่ ชาตคิ รัง้ แรก ทีว่ ังสราญรมย์
ไดช้ า้ งเผือก มพี ธิ สี มโภชนเ์ ม่ือ 15-6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2470 และได้พระราชทานามช้างเผือกว่า
"พระเศวตคชเดชนด์ ิลกฯ" โดยมนี ามเตม็ คือ "พระเศวตคชเดชน์ดิลก ประชาธิปกปทุมรตั นดาริ
เทวอคั นนี ริ ฒุ ชบุ เชดิ กาเหนดิ นภสี ีฉวนเฉลยี ง ฉวีเยีย่ งบุษกรโกมล นขาขนขาวผอ่ งแผว้ แกว้ เนตร
น้าเงินงามลกึ วันวณึกบรรณาการ คชเชนทรยานยวดย่ิง มง่ิ มงคลฉนาเฉลมิ ฉตั ร สัตตมกษตั รทรง
ศร อมรรัตนโกสนิ ทร์ รบือรบนิ บารมที ศ ยนื พระยศธรรมราชัย นิรามัยมนญุ คุณ บณุ ยโศลกเสศิ
ฟ้า" พระเศวตคชเดชนด์ ิลกฯ ยนื โรงอยู่ 16 ปแี ลว้ ลม้ (ตาย) 19 มกราคม พ.ศ. 2486 ขณะยนื โรง
เมื่อคนื วันที่ 23 มถิ ุนายน พ.ศ. 2475 พระเศวตคชเดชน์ดลิ กฯ ได้ร้องเป็นอบุ าทว์ข้นึ อย่างผิดปกติ
และ เมอ่ื พระปกเกลา้ เจ้าอยู่หวั สวรรคต พระเศวตมงี างอกขึน้ ไขวก้ ันแล้วงวงไปตดิ ท่ปี ลายงาซง่ึ
ไขวก้ ันทาใหเ้ จา้ หนา้ ทกี่ รมคชบาล ตอ้ งเลือ่ ยเอางาออกไป
สรา้ งรถจกั รไอน้าสวสิ ลอ้ คอนโซลเิ ดต (2-8-0) 6 คันหลงั ใช้งานกบั ทางภูเขาสายเหนอื
สง่ั รถโบกกี้ ลไฟบอลด์วิน เพ่ือใชแ้ ทนรถราง 4 ลอ้ แต่ใชง้ านไม่ได้ผลดีเท่าทคี่ วร
ปพี ุทธศักราช 2471
ตราพระราชบัญญัตเิ งินตรา ทาให้ตอ้ งเปล่ยี นคากากบั ธนบตั รจาก "สัญญาจะจา่ ยเงินใหแ้ ก่ผู้นา
ธนบัตรมาขนึ้ เปน็ เงินตราสยาม" (ซงึ่ เปน็ การแจง้ ใหท้ ราบวา่ สามารถนาธนบตั รไปแลกกับเหรยี ญ
บาทเงนิ หรอื เหรยี ญเงินอนื่ ๆ) เปน็ "ธนบัตรเปน็ เงินทใ่ี ช้ชาระหน้ไี ด้ ตามกฎหมาย" (ซง่ึ เปน็ การ
แจ้งใหท้ ราบว่าสามารถนาไปใช้ชาระหนี้ไดเ้ ลย ไมต่ อ้ งนามาแลกเปน็ เหรียญเงนิ กอ่ น)
สั่งรถจักรดเี ซลกลจากสวสิ มาใช้ในงาน ปรบั ขบวนในยา่ นสถานแี ละใช้กับรถชานเมอื ง และ รถ
จกั รฮาโนแม็กล้อแปซฟิ ิก (4-6-2) เพื่อแทนรถจกั รบอลด์วินในเส้นทางสายเหนือ
พระบาทสมเด็จพระปกเกลา้ เจ้าอยูห่ ัว พร้อมดว้ ย สมเด็จพระนางเจ้าราไพพรรณี พระบรมราชินี
ไดเ้ สดจ็ เลยี บมณฑลภูเก็ต ทรงเยี่ยมราษฎรและทอดพระเนตรสถานทตี่ า่ งๆ ในจังหวัดตรัง ระนอง
ภูเก็ต และพังงา โดยทางรถไฟและ ทางเรอื เมื่อ วนั ที่ 24 มกราคม -11 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2471
คร้งั น้ีเปน็ การใช้รถจักรฮาโนแม็กทาขบวนรถพระท่นี ัง่ เป็นคร้งแรก
กระทรวงธรรมการประกาศเพิ่มหลกั สูตรทางจรยิ ศึกษาสาหรับนักเรยี น ได้เปดิ ใหฆ้ ราวาสไดม้ า
เรยี นพระปริยัติธรรม แผนกธรรม โดยจดั หลกั สตู รใหม่ เรยี กว่า "ธรรมศึกษา" ในรัชสมยั รัชกาลที่
7 ได้มกี ารเปล่ียนแปลงการปกครองครั้งยิ่งใหญข่ องไทย เมื่อคณะราษฎรไ์ ด้ทาการปฏิวตั ิ
เปลยี่ นแปลงการปกครองจากระบอบสมบรู ณาญาสิทธริ าช เป็นระบอบประชาธปิ ไตย เม่อื วันท่ี 24
มถิ นุ ายน พ.ศ. 2475
เสด็จประพาสสิงคโปร์ ชวา บาหลี เมือ่ วันที่ 31 กรกฎาคม - 11 ตุลาคม พ.ศ. 2472
เสดจ็ ชมสรุ ยิ ปุ ราคาเต็มดวงท่ี สายบรุ ี มณฑลปตั ตานี
พระราชทานทุนเลา่ เรยี นหลวงเพ่มิ อีกปลี ะ 1 ทุน ในสาขาวชิ าวิทยาศาสตร์
สง่ั รถจกั รกาแรตต์ 6 คัน เข้ามาใชก้ บั ทางชว่ งแก่งคอย - ปากช่อง ทีท่ ั้งชนั (24 ใน 1000) ทงั้ หกั
ขอ้ ศอก (รศั มี 200 เมตร)
ปพี ทุ ธศกั ราช 2473
เสดจ็ ประพาสญวน เขมร ระหวา่ งวนั ท่ี 6 เมษายน ถงึ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2473 มกี ารมอบชา้ ง
สมั ฤทธ์ิให้เรสิดัง (ผ้สู าเร็จราชการอาณานิคมอนิ โดจนี ฝร่งั เศส) ที่นครฮานอย
เสดจ็ ฯ พระราชทานปรญิ ญาแพทย์ศาสตรบ์ ัณฑิต ซึ่งเป็นพิธีพระราชทานปรญิ ญาบตั รครั้งแรก
แห่งกรงุ สยาม ครงั้ แรก
เปิดทางรถไฟถงึ วารินทร์ชาราบ (ฝั่งตรงข้ามตวั เมอื งอบุ ลราชธานี) เมอ่ื 1 เมษายน พ.ศ. 2473 -
สายอุบลสาเรจ็ บริบรู ณ์
เปดิ เสน้ ทางรถไฟจากบุ่งหวาย (สถานสี ุดทา้ ยกอ่ นถงึ สถานวี ารินทร์) ถึงบา้ นโพธ์มลู เมื่อ1
สิงหาคม พ.ศ. 2473 เพ่ือขนสินค้าจากแม่น้ามูล
ปพี ทุ ธศกั ราช 2474
เสด็จเยือนญ่ีปนุ่ ระหว่างวันท่ี 6 ถึง 9 เมษายน พ.ศ. 2474
เกิดเศรษฐกิจตกตา่ ครงั้ ใหญ่ เงนิ ปสี าหรบั ในหลวงเหลอื ปลี ะ 3 ลา้ นบาท
ยุบมณฑล จาก 14 มณฑลเหลือ 10 มณฑล ยุบจังหวัดจาก 79 จังหวัดเหลอื 70จงั หวัด
ยบุ กองทพั จาก 10 กองพล เหลอื 4 กองพล แล้วเหลอื 2 กองพลในปี พ.ศ. 2474
ยบุ กระทรวงกลาโหม และ กระทรวงทหารเรอื เปน็ กระทรวงกลาโหม เม่ือ 8 พฤศจกิ ายน 2474
เลกิ เก็บเงนิ ศกึ ษาพลี คนละ 1 บาท/ปี
ท่ปี ระชมุ สมุหเทศาภบิ าลลงมตริ บั หลกั การรา่ ง พระราชบญั ญัติเทศบาลฉบบั แรก
เปิดทางรถไฟจาก ถนนจริ ะถงึ บัวใหญ่ ทางรถไฟคู่ขยายจากชมุ ทางบางซื่อไปถึงคลองรังสิต
รถจักรดเี ซลของสวสิ ขนาด 450 แรงม้าจานวน 6 คัน และ รถจกั รดีเซลฟริกซ์ 2คนั แรก มาถึง
กรุงสยาม
เสด็จประพาสแคนาดา และ อเมริกา เพ่ือรกั ษาพระเนตร พรอ้ มให้สัมภาษณน์ กั ขา่ วอเมริกนั เรอื่ ง
โครงการมอบรฐั ธรรมนญู และเร่อื งเทศบาล ระหว่างวนั ท่ี 28 เมษายน - 12 กันยายน พ.ศ. 2474
ปีพทุ ธศกั ราช 2475
ฉลองพระนครครบรอบ 150 ปี พรอ้ มเปิดสะพานพทุ ธยอดฟ้า เมื่อ 6 เมษายน พ.ศ. 2475
คณะราษฎรดาเนนิ การเปล่ยี นแปลงการปกครอง เมอื่ 24 มถิ นุ ายน พทุ ธศักราช 2475
พระราชทานธรรมนูญการปกครองชั่วคราว เม่อื 27 มิถนุ ายน พุทธศักราช 2475
เจา้ พระยาธรรมศกั ด์มิ นตรี เป็นประธานรัฐสภาท่านแรก
พระยามโนปกรณน์ ติ ธิ าดา เป็นนายกรัฐมนตรที ่านแรก
ขา้ ราชการเลิกนุง่ ผ้ามว่ ง โจงกระเบน
พระราชทานรัฐธรรมนญู ฉบับถาวร เมือ่ 10 ธนั วาคม พทุ ธศกั ราช 2475
ประกาศใชแ้ ผนการศกึ ษาฉบบั ใหม่
ยุบตาแหนง่ นายพล และ กองพล ให้เหลือแค่ 18 กองพนั ทหารราบ 4 กองพนั ทหารม้า 2 กองพัน
ทหารปนื ใหญ่ 2 กองพนั ทหารชา่ ง และ 2 กองพันทหารสือ่ สาร สว่ นทหารเรอื ใหเ้ ป็นไปตามแบบ
แผนเดมิ เนื่องจากเปน็ กรมทเ่ี ล็ก
ปพี ทุ ธศกั ราช 2476
เปดิ ทางรถไฟจากบวั ใหญ่ ไป ขอนแก่น เมื่อ 1 เมษายน พ.ศ. 2476
เลิกพธิ ถี ือนา้ พิพฒั นส์ ตั ยา
เกิดกบฏบวรเดช (14-23 ตลุ าคม 2476)
ยุบกระทรวงวังเปน็ สานักพระราชวงั
เลิกการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาล ด้วย พ.ร.บ. การปกครองพระราชอาณาจักรสยาม พ.ศ.
2477
หลวงศภุ ชลาศัย
ตง้ั กรมพลศกึ ษา เมือ่ 1 เมษายน 2477 นาวาเอกหลวงศภุ ชลาศยั เป็นอธิบดคี นแรกหลงั ถูกให้ออก
จากราชการกรมทหารเรือ เนื่องจากกอ่ ความวุ่นวายในกองทพั เรือเมื่อปลายปี พ.ศ. 2476
ข้าวปนิ่ แก้วได้รับรางวัลชนะเลิศในการประกวดท่แี คนาดา
เสด็จทวปี ยโุ รปเพอื่ รักษาพระเนตรระหวา่ งในประเทศสหราชอาณาจกั รวนั ที่ 12 มกราคม พ.ศ.
2476 - 27 สงิ หาคม พ.ศ. 2477
ปีพุทธศกั ราช 2477
แปรสภาพจากกรมทหารเรือเปน็ กองทัพเรือ
เปิดมหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ เม่ือ 27 มถิ ุนายน พ.ศ. 2477
ทรงสละราชสมบตั ิ
สมเดจ็ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระนริศรานวุ ดั ตวิ งศ์
หลังจากเหตุการณ์การปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475 พระองค์เสด็จพระราชดาเนินพร้อมด้วย
สมเด็จพระนางเจ้าราไพพรรณี พระบรมราชินีไปเจริญทางพระราชไมตรีกับประเทศในแถบยุโรป
พร้อมท้ังเสด็จประทับท่ีประเทศอังกฤษ เพ่ือทรงเข้ารับการผ่าตัดและรักษาพระเนตร ในการน้ีได้
แต่งต้ังสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัดติวงศ์เป็นผู้สาเร็จราชการแทน
พระองค์ ในระหว่างน้ีพระองค์ยังทรงติดต่อราชการกับรัฐบาลผ่านทางผู้สาเร็จราชการแทน
พระองคซ์ งึ่ ยงั คงปรากฏขอ้ ขดั แยง้ ต่าง ๆ ที่ไมส่ ามารถหาข้อยุติกันได้ และไม่เป็นไปตามที่พระองค์
ได้วางแผนให้เป็น คือ ต้องการมอบประชาธิปไตยให้กับคนไทยทุกคน ดังนั้นเมื่อพระบาทสมเด็จ
พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จต่างประเทศเพ่ือผ่าตัดพระเนตรแล้ว ก็มิได้เสด็จกลับประเทศไทย
ยงั คงประทับอยู่ ณ ประเทศองั กฤษ
คณะรัฐบาลจัดตั้งกรรมการขึ้นมาคณะหน่ึงเดินทางไปเฝ้ากราบบังคมทูลเชิญพระองค์
เสด็จกลับประเทศไทย แต่การกราบบังคมทูลเชิญเสด็จกลับนั้นกลับไม่เป็นผล ทาให้
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตัดสินพระราชหฤทัยประกาศสละราชสมบัติ ในวันที่ 2
มีนาคม พ.ศ. 2477 และหลงั จากท่ีทรงสละราชสมบัติแล้ว พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
พรอ้ มด้วยสมเด็จพระนางเจ้าราไพพรรณี พระบรมราชินี และพระประยูรญาติที่สนิทบางพระองค์
ก็ได้เสด็จประทับท่ีรัฐเวอร์จิเนียวอเตอร์ (Virginia Water) อันเป็นชนบทใกล้กรุงลอนดอนเป็น
การถาวร
คาประกาศสละราชสมบัติ
“…ข้าพเจ้าเต็มใจท่ีจะสละอานาจอันเป็นของข้าพเจ้าอยู่เดิมให้แก่ราษฎรโดยทั่วไป แต่
ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอานาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใด คณะใด โดยเฉพาะเพื่อใช้อานาจน้ัน
โดยสิทธ์ิขาดและโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของประชาราษฎร บัดนี้ข้าพเจ้าเห็นว่าความประสงค์
ของข้าพเจา้ ที่จะให้ราษฎรมีสิทธิ์ออกเสียงในนโยบายของประเทศโดยแท้จริงไม่เป็นผลสาเร็จและ
เมื่อข้าพเจ้ารู้สึกว่าบัดนี้เป็นอันหมดหนทางที่ข้าพเจ้าจะช่วยเหลือหรือให้ความคุ้มครองแก่
ประชาชนได้ต่อไปแล้ว ข้าพเจ้าจึงขอสละราชสมบัติและออกจากตาแหน่งพระมหากษัตริย์แต่
บัดน้ีเป็นต้นไป ข้าพเจ้าขอสละสิทธิของข้าพเจ้าท้ังปวง ซ่ึงเป็นของข้าพเจ้าในฐานท่ีเป็น
พระมหากษัตริย์ แต่ข้าพเจ้าสงวนไว้ซ่ึงสิทธิทั้งปวงอันเป็นของข้าพเจ้าแต่เดิมมาก่อนที่ข้าพเจ้า
ได้รบั ราชสมบตั ิสบื สนั ตติวงศ์…”
-บางส่วนของคาประกาศสละราชสมบัติของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยหู่ ัว รชั กาลที่ 7 ใน
พระราชหตั ถเลขา ลงวันท่ี 2 มนี าคม พ.ศ. 2477 เวลา 13.45 น.
ทรงเสด็จสวรรคต
ตาหนกั Compton House
หลังจากที่พระองค์ทรงสละราชสมบัติแล้ว พระองค์ยังคงประทับอยู่ ณ ประเทศอังกฤษ
พร้อมกับสมเด็จพระนางเจา้ ราไพพรรณี พระบรมราชินี และพระประยูรญาติสนิทบางพระองค์ จึง
ทรงย้ายท่ีประทับจากใจกลางเมืองไปอยู่ในชนบท ณ ตาหนัก Compton House ตาบลเวอร์
ยเิ นยี วอร์เตอร์ ใกล้กรุงลอนดอน
ทรงวางพระองค์เย่ียงคหบดีชนบท ทรงจัดสวน เล้ียงนกเล้ียงปลา เสด็จประพาสทัศน
ศึกษาตามโบราณสถานต่าง ๆ เป็นต้น พระองค์ทรงพระประชวรอยู่เน่ือง ๆ อันเน่ืองมาจากพระ
พลนามัยของพระองค์ไม่ทรงแข็งแรงมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ โดย พ.ศ. 2480 พระองค์ทรงพระ
ประชวรมากดว้ ยโรคตัวบดิ เขา้ ไปอยู่ในพระยกนะ (ตับ) แต่แพทย์ได้รักษาจนเป็นปกติ พระอาการ
ประชวรของพระองค์กาเริบหนักขึ้นโดยลาดับตั้งแต่ ธันวาคม พ.ศ. 2483 แต่ก็เริ่มทุเลาข้ึน
เรื่อยมา ต่อมาได้เริ่มประชวรหนักด้วยโรคพระหทัยพิการอีก และทรงอ่อนเพลียลงทุกวัน ทุก
วัน เนื่องจากเสวยไม่ค่อยได้ ต้องบรรทมอยู่บนพระท่ีแทบตลอดวันในระยะที่ประชวรหนักนี้
เอง จึงจาเป็นต้องจ้างพยาบาลมาประจาพระองค์ และเป็นผู้ที่ได้ถวายการพยาบาลอยู่ตราบจน
วาระสุดท้าย ขณะท่ีทรงบรรทมอยู่บนพระท่ี ดร.หลุย เวลเลน หมอประจาพระองค์ได้พยายาม
ถวายการรักษาจนสดุ ฝีมือ และยังได้นาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะโรคมาร่วมด้วยเป็นบางครั้ง ถึง
กระนั้นก็หาได้ทาให้พระอาการของพระองค์ดีขึ้นไม่ สมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงส่ังไว้ว่า “ถ้า
พระองค์สวรรคตเม่ือไรให้ทรงพระภูษาแดงและทรงสะพักผ้าขาวผืนเดียวเอาลงหีบแล้วให้รีบ
ถวายพระเพลิงพระบรมศพให้เร็วเท่าท่ีจะทาได้ และไม่ให้รับเกียรติยศอย่างใดๆ จนอย่างเดียว
ทง้ั ในทางตา่ งประเทศและทางไทย ให้เอาซอไวโอลินไปเล่นเพลงที่พระองค์โปรดคันเดียวในเวลา
ท่ีกาลังถวายพระเพลิง เพ่ือแทนการประโคม และถ้า......ยังมีอานาจอยู่ตราบใด ก็ไม่ให้นาพระ
บรมอัฐกิ ลบั มาบา้ นเมอื งเปน็ อันขาด”
วันท่ี 30 พฤษภาคม 2484 พระเจ้าอยู่หัวทรงฉลองพระองค์ชุดบรรทมเป็นสนับเพลาแพร
และฉลองพระองค์แขนยาว ทรงต่ืนพระบรรทมแต่เช้าตรู่ พระอาการดูดีข้ึนมาก จึงรับส่ังกับ
สมเด็จฯ วา่ หากจะเสดจ็ ไปพระตาหนกั เวนคอร์ตกไ็ ด้ ไม่ตอ้ งทรงเป็นพระกังวล คาตรัสครั้งสุดท้าย
คือ จะไปไหนก็ได้ ฉันสบายดี .... อยู่ได้ ไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วง จะอ่านหนังสือพิมพ์ สมเด็จฯ จึง
เสด็จออกไปโดยรถยนต์พระท่ีนั่งตั้งแต่เวลา 08.00 น.พระเจ้าอยู่หัวทรงเสวยไข่ลวกนิ่มๆ ซึ่งนาง
พยาบาลประจาพระองค์จัดถวาย ทรงหนังสือพิมพ์แล้วบรรทมต่อ สักพักหนึ่งก็ทรงบ่นว่ามีอาการ
วิงเวียนไม่สบาย นางพยาบาลจึงลุกไปหยิบยา พอกลับมาอีกที ก็เห็นพระหัตถ์ตกห้อยลงมาอยู่
ข้างๆ หนังสือพิมพ์ตกอยู่กับพ้ืน หลับพระเนตรเหมือนกาลังหลับอย่างสบาย ประมาณ 09.00 น.
นางพยาบาลจับพระชีพจรดู จึงรู้ว่าพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จสวรรคตเสียแล้ว โดยไม่มีผู้ใดทราบว่า
เวลา แต่ตามคติไทยก็คือทรงพระบุญญาธิการ จึงเสด็จสวรรคตอย่างสงบนิ่ง สิริรวมพระชนม์มายุ
ได้ 48 พรรษา และเป็นเวลา 6 ปี 3 เดือน นับต้ังแต่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรง
สละราชสมบัติ
ขณะที่รถพระท่ีนั่งสมเด็จพระนางเจ้าราไพพรรณีฯ ว่ิงออกจากพระตาหนักได้สักพักใหญ่
และต้องชะลอแล่นช้าลงเพราะหมอกบดบัง พลันพระองค์ทอดพระเนตรเห็น พระบาทสมเด็จ
พระปกเกล้าฯ ประทับยืนขวางอยู่ ทรงสังหรณ์พระราชหฤทัยยง่ิ นกั ต่อมาตารวจอังกฤษได้สกัดรถ
พระท่ีน่ังสมเด็จฯ เพื่อแจ้งข่าว สมเด็จฯ ทรงรีบเสด็จพระราชดาเนินกลับพระตาหนักคอมพ์ตัน
เฮาส์ทันที เมอื่ เสดจ็ ฯ กลบั ถึงพระตาหนกั ทรงควบคุมพระสติอารมณ์ได้อย่างดีเย่ียม ทรงเข้มแข็ง
ทรงจัดการพระบรมศพเปน็ การภายใน โดยอญั เชิญพระบรมศพประดิษฐาน ณ พระตาหนักคอมพ์
ตัน โดยรัฐบาลอังกฤษ ได้อนุญาตเป็นกรณีพิเศษ ในการประดิษฐานพระบรมศพเป็นเวลา 4 วัน
เพือ่ ให้ประยรู ญาตทิ ่ีอยูห่ ่างไกลมาถวายบังคมลาเปน็ ครง้ั สดุ ทา้ ย การจดั การพระบรมศพนั้นเป็นไป
อย่างเงยี บ ๆ โดยไม่มีการบาเพ็ญพระราชกุศลทางพระพุทธศาสนาเพราะไม่มีพระสงฆ์ รวมทั้งไม่
มกี ารพระราชพธิ ีอน่ื ๆ ตามราชประเพณีด้วย
สสุ านโกดเดอร์สกรีน สถานทถ่ี วายพระเพลิงพระบรมศพรชั กาลที่ 7
หลังจากทราบข่าวการเสด็จสวรรคต พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ท่ียังอยู่
ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดการบาเพ็ญพระราชกุศล ทักษิณานุป
ทานอุทิศถวายรัชกาลท่ี 7 ขึ้น ท่ีพระอุโบสถวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม กรุงเทพ ตามราช
ประเพณี โดยมคี ณะผู้สาเรจ็ ราชการแทนพระองค์ ปฏิบตั ิพระราชกรณยี กจิ แทนพระองค์
วันท่ี 3 มิถุนายน 2484 อัญเชิญพระบรมศพข้ึนประดิษฐาน บนรถซ่ึงตกแต่งอย่างงดงาม มีธง
มหาราชคลุมพระบรมศพ เชิญพระชัยวัฒน์ไว้ทางเบื้องพระเศียร รถเคล่ือนขบวนออกจากพระ
ตาหนักคอมพ์ตัน ไปยังสุสานโกดเดอร์สกรีน ซ่ึงอยู่ทางเหนือของกรุงลอนดอน มีรถตามเสด็จ