The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

โครงงานกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม เรื่องตามฮีต โตยฮอย พิธีสืบจ๊ะต๋าล้านนาวิถี

ผู้จัดทำโครงงาน

เด็กหญิงพวงชมพู เฟื่ องฟูกิจการ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3

เด็กหญิงณัฐกมล กมลชนก ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3

เด็กชายนพพล กาบหอม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3

ครูที่ปรึกษา

นางสุพัตรา เกษมเรืองวิชชญ์

นางสาวฤทัย บุญมาเมือง

ที่มาและความสำคัญ

ประเพณีและวัฒนธรรมล้านนาเป็นสิ่งที่มีคุณค่า ที่บรรพบุรุษได้สร้างสรรค์ขึ้นและถูก
ถ่ายทอดสืบต่อกันมาอย่างยาวนานจนถึงปัจจุบัน ชาวเชียงใหม่ไม่เคยลืมรากเง้าวัฒนธรรม
อันดีงาม ยังคงอนุรักษ์ประเพณี วัฒนธรรม ความเชื่อเกี่ยวกับวิถีชีวิตให้ปรากฎอยู่จนถึง
ปัจจุบัน ถึงแม้ว่ากาลเวลาจะเปลี่ยนแปลงไปมากก็ตาม ในการดำเนินชีวิตของชาวล้านนาก็ยัง
คงให้ความสำคัญกับความเชื่อและความศรัทธาในเรื่องของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ความเป็นสิริมงคลกับ
ชีวิตเป็นอย่างมาก

พิธีสืบชะตา เป็นพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตของชาวล้านนาที่เชื่อกันว่า
เป็นการต่ออายุหรือต่อชีวิตของบ้านเมือง หรือของคนให้ยืนยาว มีความสุข ความเจริญ ตลอด
จนเป็นการขจัดภัยอันตรายต่างๆที่จะบังเกิดขึ้นให้คลาดแคล้วปลอดภัย บางคนคงเคยได้ยิน
แต่ไม่เคยเห็นหรือเคยสัมผัส ไม่รู้จักว่าเป็นพิธีกรรมอย่างไรและบางคนอาจจะเคยเห็น
พิธีกรรมเหล่านี้มาบ้างแล้ว เป็นพิธีกรรมที่มีไม้ค้ำสามมุม และมีอุปกรณ์ข้าวของ เครื่องใช้
มากมาย มีผู้คนเอาด้ายสายสิญจน์เวียนรอบศรีษะตนเอง โดยมีพระสงฆ์นั่งสวดมนต์ไปด้วย
พิธีสืบชะตามีลักษณะที่แตกต่างกันออกไปหลายรูปแบบ มีทั้งการสืบชะตาแบบเดี่ยวหรือคน
เดียว และการสืบชะตาแบบกลุ่ม

จากการที่หนูได้ไปทำบุญที่วัดกับคุณแม่ในช่วงประเพณีปี๋ ใหม่เมืองที่ในวิหารวัดหนูเห็นมี
ไม้ค้ำทำเป็นรูปสามเหลี่ยมและมีอุปกรณ์ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ จึงเกิดความสงสัยว่าชาวบ้าน
เขาทำอะไรกัน คุณแม่อธิบายว่าเป็นพิธีสืบชะตา หลังจากนั้นจึงได้มาคุยให้เพื่อนที่โรงเรียนฟัง
และเกิดความสนใจที่จะศึกษาในรูปแบบของการทำโครงงาน เรื่อง ตามฮีต โตยฮอย
พิธีสืบจ๊ะต๋า ล้านนาวิถีและได้นำเอาเกมการศึกษา มาใช้ในการเผยแพร่ความรู้แก่ผู้ที่สนใจ
เพื่อเป็นการให้ความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับพิธีสืบชะตาในสังคมล้านนาที่กําลังจะสูญหาย
และถูกลืมเลือนไปให้ได้รับการเผยแพร่และอนุรักษ์ไว้สืบไป

วัตถุประสงค์

1.เพื่อศึกษาพิธีสืบชะตาตามคติความเชื่อของคนล้านนา
2.เพื่ออนุรักษ์สืบสานและเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับพิธีสืบชะตา

ขอบเขตการศึกษา

1.สืบค้น ศึกษาเกี่ยวกับพิธีสืบชะตาของล้านนา
2.นำเสนอข้อมูลและเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับพิธีสืบชะตา

ของล้านนา

สถานที่ศึกษา

1. โรงเรียนเทศบาลวัดศรีปิงเมือง สำนักการศึกษา เทศบาลนครเชียงใหม่
2. ชุมชนศรีปิงเมือง ตำบลช้างคลาน อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่

ประเภทและพิธีกรรมการสืบชะตา

การสืบชะตาคน

มีวิธีการที่อาจแตกต่างกันไปบ้างในเครื่องพิธีบางอย่าง และชื่อของเครื่องในพิธีเท่านั้น
สถานที่จะจัดทำพิธีสืบชะตาจะทำในห้องโถง หากเป็นวัดก็จะจัดในพระวิหาร หรือที่ “หน้าวาง”
คือ ห้องรับแขกของเจ้าอาวาส ถ้าเป็นบ้านก็จัดทำ “บนเติ๋น” คือ ห้องรับแขก ซึ่งต้องใช้ห้องกว้าง
เพราะให้เพียงพอสำหรับแขกที่มาร่วมงาน หากเป็นวัดก็มีพระภิกษุสามเณรรวมทั้งอุบาสก
อุบาสิกาทั้งหลาย ถ้าเป็นบ้านก็ต้อนรับญาติมิตรแขกที่มาร่วมงาน แขกที่มาร่วมงานนี้โดยมากจะ
เป็นญาติพี่น้องลูกหลาน บางครั้งก็มีผู้สนิทสนมคุ้นเคยมาร่วมด้วย นับเป็นประเพณีสำคัญอย่าง
หนึ่ง ที่ชาวล้านนาไทยนิยมทำกันในหลายโอกาส เช่น เนื่องในวันเกิด วันได้ยศศักดิ์ตำแหน่ง วัน
ขึ้นบ้านใหม่ กุฏิใหม่ หรือไปอยู่ที่ใหม่ บางครั้งเกิดเจ็บป่วย เมื่อหมอดูทายทักว่าชะตาไม่ดี ชะตา
ขาดควรจะทำพิธีสะเดาะเคราะห์ และสืบชะตาต่ออายุเสีย จะทำให้คลาดแคล้วจากโรคภัย และ
อยู่ด้วยความสวัสดีต่อไป

สำหรับสิ่งของที่ต้องใช้ ไม้ง่ามขนาดเล็กนำมามัดรวมกัน มีจำนวนมากกว่าอายุผู้สืบ
ชะตา 1 อัน ,ไม้ค้ำศรียาวเท่ากับความสูงของผู้เข้าพิธี 3 ท่อน นอกจากนี้มี กระบอกข้าว กระบอก
ทราย กระบอกน้า สะพานลวดเงิน -ทอง เบี้ยแถว (ใช้เปลือกหอยแทน) หมากแถว มะพร้าวอ่อน
กล้วย อ้อย หมอน เสื่อ ดอกไม้ธูปเทียนและมีเทียนชัยเล่มยาว 1 เล่ม การจัดสถานที่ใช้ไม้ค้ำศรี
ทำเป็นกระโจมสามเหลี่ยม ตรงกลางเป็นที่ว่างสำหรับวางสะตวง และสิ่งของเครื่องใช้ในพิธีจัดที่
ว่างใกล้ ๆ กระโจมให้เป็นที่นั่งสำหรับผู้เข้าไปรับการ สืบชะตา แล้ววนด้านสายสิญจน์ 3 รอบ โยง
กับเสากระโจมทั้งสามขา แล้วนาไปพันรอบพระพุทธรูป และพระที่สวดทำพิธีโดยปกติการสืบ
ชะตาคนโดยทั่วไปใช้พระสงฆ์ประกอบพิธี 9 รูป ส่วนการสืบชะตาคนพร้อมกับขึ้นบ้านใหม่ใช้
พระ 5 รูปขึ้นไป เพื่อสวดพระปริตร สวดชยันโต ให้ศีลให้พร ฟังเทศน์สังคหะและเทศน์สืบชะตา
ตัวแทนที่เข้าไปนั่งในสายสิญจน์ คือ ผู้นำครอบครัวหรือผู้ที่อาวุโสสูงสุดในครอบครัว เพื่อเป็นสิริ
มงคลแก่บ้านและครอบครัว

การสืบชะตาบ้าน

มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้จะขับไล่สิ่งที่เป็นเสนียดจัญไรในหมู่บ้าน และเพื่อให้เกิดมงคล
แก่หมู่บ้านนั้น ๆ ในปีหนึ่งมักจะจัดให้การสืบชะตาบ้านหนึ่งครั้ง และมักจะทำก่อนเข้าพรรษา
บางแห่งก็ทำในวันปากปี และทำกันที่ “หอเสื้อบ้าน” โดยชาวบ้านจะมาช่วยกันเตรียมสถานที่ มี
การประดับฉัตร ธง ต้นกล้วย ต้นอ้อย ด้ายสายสิญจน์ ปักธงทิวต่าง ๆ และทำที่บูชาสังเวยท้าว
ทั้งสี่ และ เทพยดาอารักษ์ พระเสื้อบ้าน พระเสื้อเมือง

ความเชื่อของคนส่วนมากคิดว่าบ้านที่ตั้งมาตามฤกษ์ยามวันดีวันเสียนั้น มีเวลาที่ราหู
มฤตยูเข้ามาทับเบียดเบียนทำให้ชะตาบ้านขาดลง เป็นเหตุให้ประชาชนที่อยู่อาศัยในบ้านนั้น
ประสบความเดือดร้อนเจ็บป่วยกันไป ทั่วบ้าน ในกรณีที่มีคนตายติด ๆ กันในบ้านเกิน 3 คน ขึ้น
ไปในเวลาไล่เลี่ยกันนั้น ชาวบ้านถือว่าอุบาทว์ตกลงมาสู่บ้าน หรือชาวบ้านถือเป็นเรื่อง “ขึดบ้าน
ขึดเรือน” จะทำพิธีขจัดปัดเป่า เรียกว่า สืบชะตาบ้าน อีกประการหนึ่ง เมื่อปีใหม่สงกรานต์ล่วง
ไประยะวันปากปี ปากเดือน ปากวัน ได้แก่วันที่ 16, 17, 18 เมษายน ชาวบ้านจะกำหนดเอาวัน
ใดวันหนึ่งสืบชะตาบ้าน เพื่อให้เกิดความสวัสดีแก่ประชาชนภายในบ้านของตน

เครื่องบูชาส่วนใหญ่คล้ายกับพิธีสืบชะตาคน คือ มีกระโจมสามขาตั้งไว้กลางบ้านบริเวณที่เรียก
ว่า “ใจบ้าน” และมีส่วนประกอบต่าง ๆ ที่นิยมให้มีจำนวนเท่าอายุ หรือมากกว่าอายุ ในการสืบ
ชะตาคนนั้น ส่วนสายสิญจน์ใช้ขึงในระดับเหนือศีรษะรอบหมู่บ้าน ปลายทั้งหมดจะรวมกันอยู่ที่
พระพุทธรูปบริเวณใจบ้านที่ประกอบพิธี ทั้งนี้ เจ้าของบ้านแต่ละหลังจะนำสายสิญจน์ที่วงรอบ
บ้านตัวเองมาเชื่อมต่อกับสายสิญจน์ส่วนกลาง นอกจากนี้ยังมีเฉลวขนาดใหญ่ปักไว้ตามมุม
หมู่บ้าน 4 มุมและแขวนไว้ตามปากทางเข้าหมู่บ้าน พร้อมทั้งมีอาหารและเครื่องไทยทาน สาย
ด้านชุบน้ำมัน มีจานวนเท่าคนในครอบครัว เฉลวขนาดเล็กแขวนขวางประตูบ้านเหนือศีรษะ
หลังจากเสร็จพิธี น้ำขมิ้นส้มป่อย บางหมู่บ้านอาจมีตุงหลวงแขวนบริเวณรอบพิธี

การสืบชะตาเมือง

มีหลักฐานปรากฏมีมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าสามฝั่ งแกน กษัตริย์ล้านนาใน
ราชวงศ์มังราย เชื่อกันว่าการสร้างบ้านแปงเมืองจะต้องมีดวงชะตาเมือง มี
จุดศูนย์กลางของเมือง จะต้องหาฤกษ์หายาม ดังนั้น เพื่อให้บ้านเมืองเจริญ
รุ่งเรือง ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุขก็มักจะทำพิธีสืบชะตาเมืองเพราะบ้าน
เมืองนั้นจะต้องมีเทพเจ้าที่ปกปักรักษาคุ้มครอง เช่น พระเสื้อเมือง พระทรง
เมือง พระหลักเมือง การสืบชะตาเมืองจึงเป็นพิธีที่แสดงออกซึ่งความ
เคารพกตัญญูต่อผู้พิทักษ์รักษาบ้านเมืองให้อยู่รอดปลอดภัย ในทางกลับกัน
หากมีเหตุการณ์ผิดปกติในบ้านเมือง เป็นเหตุให้ได้รับความเดือดร้อนด้วย
ประการต่าง ๆ ก็มักจัดให้มีการสืบชะตาเมืองด้วยเช่นกัน

ใน “วันดา” หรือ “วันแต่งดา” ก่อนการทำพิธี ชาวบ้านจะนำสิ่งของ และเงินไป
รวมกันเพื่อทำบุญ หรือบางแห่งแต่ละบ้านอาจนำอาหารมาทำบุญเลี้ยงพระร่วม
กัน โดยจะเริ่มพิธีด้วยการทำบุญ ตักบาตร ถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์ที่นิมนต์
มาสวดพระปริตร และชัยมงคล เวลาจุดเทียนหรือสายด้านชุบน้ำมันอาจจะจุด
ของใครของมัน หรือจะเอารวมเข้ากองกลางแล้วจุดก็ได้ เมื่อพระสวดเสร็จแล้ว
จะมีการประพรมน้ำมนต์เป็นอันเสร็จพิธี เมื่อเสร็จพิธีชาวบ้านจะน้ำตาเหลวคา
เขียว หรือเฉลวของตนกลับบ้านพร้อมแบ่งน้ำมนต์ไปประพรมบริเวณบ้านของ
ตน

การสืบชะตาแม่น้ำ

เป็นการนำความเชื่อทางพระพุทธศาสนามาประยุกต์กับภูมิปัญญา
ท้องถิ่น พื้นเมืองทางภาคเหนือ ที่มนุษย์มีความเชื่อเกี่ยวข้องหรือสัมพันธ์กับ
ธรรมชาติ มีความสำนึกว่าแม่น้ำมีประโยชน์ มีคุณค่าต่อสรรพสิ่งทั้งหลาย แต่
บางครั้งเราก็อาจทำผิดต่อแม่น้ำ จึงร่วมกันทำพิธีสืบชะตาเพื่อขอขมา รวมทั้ง
การจัดพิธีดังกล่าวเป็นการสร้างจิตสำนึกให้ชาวบ้านรักษาป่าและแม่น้ำ นับว่า
เป็นการอนุรักษ์ป่าไม้พร้อมฟื้ นฟูระบบนิเวศน์ลุ่มน้ำ โดยมีเครื่องบูชาเหมือนกับ
เครื่องบูชาในการสืบชะตาคน

การสืบชะตาพืชผล

ไม่ค่อยเป็นที่แพร่หลายมากนักส่วนใหญ่การจัดให้มีการสืบชะตาพืชผลก็
เพื่อให้พืชพันธุ์ธัญญาหารอุดมสมบูรณ์ ได้ผลผลิตดีเป็นการสร้างขวัญและ
กำลังใจให้กับเกษตรกรอีกทางหนึ่งรวมทั้งให้ทุกคนตระหนักถึงคุณค่าของอาชีพ
การเพาะปลูกซึ่งเป็นอาชีพดั้งเดิมของคนในท้องถิ่น และเพื่อให้เกิดสิริมงคลแก่
สวน ไร่ นาของผู้ที่ทำการสืบชะตาโดยมีเครื่องบูชาเหมือนกับเครื่องบูชาการสืบ
ชะตาคน

ตำนานเรื่องการสืบชะตา

ตำนานที่มาของความเชื่อเรื่องการสืบชะตา ปรากฏในคัมภีร์สืบชะตาที่
กล่าวถึง พระสารีบุตรเถระ อัครสาวกของพระพุทธเจ้า และมีสามเณรองค์หนึ่ง
ชื่อ ติสสะ อายุ 7 ปี มาบวชเรียนกับท่านเป็นเวลาหนึ่งปี วันหนึ่งพระสารีบุตร
สังเกตเห็นลักษณะของสามเณรว่าจะมีอายุได้อีก 7 วันเท่านั้น ตามตำราหมอดู
และตำราดูลักษณะ ท่านจึงเรียกสามเณรมาบอกความจริง และให้กลับไปร่ำลา
พ่อแม่ และญาติ สามเณรเศร้าโศกเสียใจมาก และเดินทางกลับบ้านด้วยใบหน้า
ที่หม่นหมอง ระหว่างทางไปพบปลาน้อยใหญ่ในสระน้ำที่กำลังแห้งเขิน และได้
โปรดสัตว์ คือ ช่วยปลาเหล่านั้นให้พ้นจากความตาย โดยช้อนปลาทั้งหมดไปไว้
ในบาตรของตน และนำไปปล่อยที่แม่น้ำใหญ่ ระหว่างทางพบเก้งถูกแร้วของ
นายพราน สามเณรก็ปล่อยเก้งอีก เมื่อเดินทางถึงบ้านจึงบอกเรื่องที่ตนจะตาย
แก่พ่อแม่ ทุกคนต่างสงสารสามเณรยิ่งนัก และได้เพียงแต่คอยเวลาที่สามเณร
จะมรณภาพ แต่จนล่วงกำหนดไป 7 วัน สามเณรก็ยังไม่ตาย และกลับมีผิว
พรรณผ่องใสยิ่งขึ้น พ่อจึงให้สามเณรกลับไปหาพระสารีบุตร ซึ่งท่านประหลาด
ใจถึงกับจะเผาตำราทิ้ง สามเณรจึงกราบเรียนเรื่องการโปรดสัตว์ทั้งปลา และ
เก้ง การกระทำเพื่อยืดชีวิตสัตว์เหล่านั้นจึงเป็นบุญกรรมที่เป็นพลังให้พ้นจาก
ความตายได้ ด้วยตำนานนี้เองทำให้คนล้านนานิยมการสืบชะตา

พิธีสืบชะตาเดิมนั้นเป็นเพียงพิธีที่ต่ออายุให้เฉพาะคนเท่านั้น ในส่วน
บ้าน หรือเมืองนั้นจะ เรียกว่า ส่งเคราะห์บ้าน ส่งเคราะห์เมือง หรือบูชาบ้าน
บูชาเมือง ต่อมาภายหลังได้เรียกพิธีส่งดังกล่าวเป็น “พิธีบูชาสืบชะตาเมือง”
ต่อมาคำว่า “บูชา” ได้หายไป จึงคงเหลือแค่ว่า “พิธีสืบชะตาเมือง” และผู้ที่จะ
ประกอบพิธีสืบชะตาไม่ว่าจะของคน บ้าน หรือเมือง แต่เดิมคือ ฆราวาสผู้ที่มี
ความรู้ เป็นที่เคารพนับถือของคนในท้องถิ่นนั้น ๆ หรือ อาจารย์วัดเท่านั้น พระ
สงฆ์ไม่ได้เข้ามีมาบทบาทในพิธีกรรมดังกล่าว ต่อมาพระสงฆ์ได้เข้ามามีบทบาท
ในพิธีกรรมดังกล่าวมากขึ้น และผู้คนทั่วไปเห็นว่าการที่มีพระสงฆ์เข้ามาร่วมใน
พิธีสืบชะตาทำให้ดูมีความศักดิ์สิทธิ์ เข้มขลังมากยิ่งขึ้น จึงกลายเป็นว่าพระสงฆ์
เป็นผู้ประกอบพิธีดังกล่าวดังที่ปรากฏให้เห็นในปัจจุบัน

เครื่องประกอบพิธีสืบชะตา

ในส่วนของเครื่องประกอบพิธีสืบชะตาตามคติความเชื่อของชาวล้านนา
ว่าบรรพบุรุษได้แฝงไว้ซึ่งปรัชญาและคติความเชื่ออะไรไว้บ้าง องค์ประกอบ
ของเครื่องสืบชะตาหลักนั้นประกอบไปด้วยสิ่งต่างๆ ดังนี้

ไม้ก้ำ หรือไม้ค้ำ ซึ่งมีลักษณะเหมือนไม้ง่ามลูกเสือ จำนวนสามเล่ม ซึ่ง
ขนาดของไม้ค้ำนี้จะเล็กหรือใหญ่ขึ้นอยู่กับว่าพิธีนั้นเป็นการสืบชะตาทั่วไปหรือ
สืบชะตาหลวง ถ้าเป็นพิธีสืบชะตาหลวงไม้ค้ำก็จะมีขนาดใหญ่ขึ้นตามลำดับ ใน
คติความเชื่อของชาวล้านนาแต่อดีตเชื่อกันว่า ไม้ค้ำ เป็นสิ่งที่จะคอยช่วยค้ำจุน
ให้เกิดความมั่นคงในชีวิต ซึ่งนอกจากจะนำมาใช้ประกอบในพิธีสืบชะตาแล้ว
เรามักจะเห็นชาวบ้านในล้านนานำไม้ค้ำไปถวายวัดเพื่อใช้ค้ำต้นโพธิ์ในช่วง
สงกรานต์ซึ่งบางแห่งจะมีพิธีจัดขบวนแห่อย่างยิ่งใหญ่และถือเป็นประเพณีที่
สืบทอดกันมานานหลายชั่วอายุคน การใช้ไม้มาค้ำทำมุมกันเป็นสามมุมนั้นเลข
3 นี้มาจากไหน จำนวน 3 นี้หมายถึงพระรัตนตรัยสามประการ อันประกอบไป
ด้วยคุณพระพุทธ คุณพระธรรม และคุณพระสงฆ์ ดังนั้นไม้ค้ำดังกล่าวจึงมีนัยว่า
ขอให้คุณพระรัตนตรัยนั้นช่วยค้ำจุนชีวิตให้มีความมั่นคงสืบไป

ไม้ง่าม 108 เป็นกิ่งไม้แขนงลักษณะเหมือนกับไม้ค้ำ แต่มีขนาด
เล็กกว่าซึ่งมีความยาวประมาณ 50-70เซนติเมตร มัดรวมกัน 108 เล่ม
วางไว้ตรงโคนไม้ค้ำมุมใดมุมหนึ่ง ที่มาของจำนวนไม้ง่าม 108 นี้มาจาก
คุณของพระรัตนตรัย ซึ่งตามคติความเชื่อของชาวพุทธถือว่าคุณของ
พระพุทธนั้นมีอยู่ 56 ประการ คุณพระธรรมมี 38ประการ และคุณพระ
สงฆ์มี 40 ประการ รวมแล้วได้ 108 หรือที่เรียกว่ามงคล 108 ในปัจจุบัน
ไม้ง่ามจำนวนดังกล่าวมักหาได้ยากขึ้น บางแห่งจะใช้ “แหย่ง” ซึ่งเป็น
พืชตระกูลกกชนิดหนึ่งลำต้น มีลักษณะกลม ผิวของลำต้นเป็นสีเขียวมัน
เงา ส่วนปลายยอดมีกิ่งแขนง ซึ่งชาวบ้านจะตัดมาแทนไม้ที่หายากขึ้น

เกิ๋นเงิน-เกิ๋นคำ “เกิ๋น” เป็นภาษาเหนือหมายถึงเกริน หรือบันได ประโยชน์
ของบันใดใช้สำหรับปีนป่ายหรือขึ้นที่สูง ดังนั้นความหมายและคติความเชื่อที่คน
โบราณท่านแฝงไว้นั้น หมายถึงการก้าวขึ้นสู่ที่สูง มีความสูงส่ง มีความก้าวหน้าใน
ชีวิต ถ้าเป็นข้าราชการจะแทนความหมายของการเลื่อนชั้นเลื่อนตำแหน่งหรือยศ
ศักดิ์ให้สูงขึ้น โดยจะทำเป็นรูปบันใดเล็กๆ พันด้วยกระดาษสีเงินและสีทอง ซึ่ง
หมายถึงบันใดเงินบันใดทอง สีเงินและสีทองแฝงความหมายให้มีเงินมีทองไว้ใช้ ให้
เกิดความมั่งคั่งด้วยเช่นกัน บางแห่งถ้าสถานที่ไม่เอื้ออำนวยหรือเป็นพิธีสืบชะตา
แบบเล็กๆ ไม่ได้ใหญ่โตมาก ก็จะมีการย่อขนาดลงเหลือเพียงอันเดียวหรือทำเป็น
รูปบันใดเล็กๆ

กระบอกทรายและกระบอกน้ำ เป็นลำไม้ไผ่ที่มีขนาดความยาวสูงเท่าๆ
กับไม้ค้ำ ส่วนหัวและท้ายกรอกทรายลงไป หุ้มปลายทั้งสองด้านให้แน่นไม่ให้ทราย
รั่วออกมา บางแห่งใช้ลำของต้นอ้อที่มีขนาดเล็กมัดรวมกัน ๑๐๘ อัน กรอกทรายลง
ไปให้ครบวางไว้มุมหนึ่งของไม้ค้ำ ซึ่งกระบอกทรายนี้เป็นเสมือนสิ่งที่แทนธาตุดินใน
ร่างกายของคนเรา และกระบอกน้ำก็มีลักษณะเช่นเดียวกันนี้ ซึ่งใช้แทนความหมาย
ของธาตุน้ำ

ตุงจ้อ หรือช่อ ตุงจ้อนี้ลักษณะจะแตกต่างจากตุงผืนผ้ายาวๆ ตุงชัยจะเป็นตุงที่มีรูปร่าง
ลักษณะเป็นตุงสามเหลี่ยมทำด้วยผ้าหรือกระดาษ ส่วนมากในพิธีสืบชะตามักจะใช้กระดาษว่าว
หลากหลายสี มาตัดเป็นรูปสามเหลี่ยมและฉลุลวดลายให้เกิดความสวยงาม ถ้าเป็นเครื่องสืบชะตา
ขนาดเล็กชาวบ้านจะนำตุงมาปักลงบนก้านกล้วยแล้วมัดรวมกับไม้ค้ำ แต่ถ้าเป็นพิธีสืบชะตาหลวง
มักนิยมนำมาปักลงบนต้นคาหรือต้นกล้วย วางไว้ตามมุมของเครื่องสืบชะตา และบริเวณส่วนยอด
ของไม้ค้ำ ซึ่งความหมายของตุงชัยนี้จะโบกไสวไปมาก็ต่อเมื่อมีลมพัดผ่าน จึงเป็นเครื่องหมาย
แสดงถึงพลังลม หรืออีกนัยหนึ่งใช้แทนธาตุลม

เทียน หรือเทียนชัย ทำด้วยขี้ผึ้งแท้ ไส้เทียนมีจำนวน 108 เส้น ซึ่งแฝง
ไว้ด้วยมงคล 108 ประการ นำมาปักไว้ส่วนบนของไม้ค้ำหรือมุมใดมุมหนึ่งของ
ไม้ค้ำ ที่สะดวกพอที่จะเอื้อมจุดเทียนถึง เทียนเล่มนี้จะจุดขณะที่พระสงฆ์เริ่ม
เจริญพระพุทธมนต์ แสงเทียนที่ลุกโชติช่วงนั้นเปรียบได้กับแสงแห่งปัญญา
และนำความสว่างไสวตลอดจนความรุ่งโรจน์มาสู่เจ้าชะตาที่ประกอบพิธีนั้นๆ
นอกจากนี้แล้วเปลวเทียนยังทำให้เกิดความร้อนซึ่งแสดงถึงธาตุไฟที่ประกอบ
เป็นธาตุของคนเรา

หน่วยเงิน-หน่วยคำ หน่วยภาษาเหนือหมายถึง “ลูก” เป็นลูกๆ หน่วย
เงิน-หน่วยคำในที่นี้จึงหมายถึงลูกเงิน-ลูกทอง หรือก้อนเงิน-ก้อนทอง ทำด้วย
กระดาษสีเงินและทอง เอามาพับเป็นลูกสามเหลี่ยมคล้ายเพชร แล้วนำมาร้อยผูก
ติดกับราวไม้ไผ่ ขนาดความยาวเท่ากับไม้ง่ามของเครื่องสืบชะตา ซึ่งหมายถึง
ความอุดมสมบูรณ์ ความมั่งคั่ง มั่งมี

ฮาวดอก หรือราวดอกไม้ คำว่า “ฮาว” หมายถึงราว โดยการนำลำไม้ไผ่
ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1-2 ความยาวเท่ากับไม้ค้ำสืบชะตาใช้เป็นแกน
กลาง จากนั้นนำเอาดอกไม้มาผูกติดกับราวไม้ไผ่ด้วยตอก ดอกไม้ที่นำมาใช้นั้น
ได้แก่โกสน และดอกดาวเรือง เพื่อจะได้มีกุศลหนุนนำ และดอกดาวเรืองหมาย
ถึงความเจริญรุ่งเรือง ปัจจุบันฮาวดอกนี้มีเฉพาะบางแห่งเท่านั้นที่ยังคงทำขึ้น
บางแห่งใช้ฟลอร่าโฟมปักด้วยดอกไม้อื่นๆ ทั่วไปที่มีจำหน่ายตามท้องตลาด
แทน

ฮาวเงิน-ฮาวคำ ซึ่งหมายถึงราวหรือที่จับ เช่นราวสะพานหรือราวบันได
หรือบางแห่งชาวบ้านจะเรียกกันว่า “ลวดเงิน-ลวดคำ” ซึ่งจะใช้เชือกหรือลวด
ความยาวเท่ากับไม้ค้ำ พันด้วยกระดาษสีเงินและทองมัดติดกับก้านไม้ไผ่ และนำ
มาผูกรวมไว้กับไม้ค้ำ ซึ่งความหมายของราวนี้จะให้แทนความหมายว่าช่วยประ
คับประครอง ไม่ให้ล้มหรือเพื่อให้เกิดความมั่นคงขึ้น

ขันข้าว ภาษาเหนือหมายถึง สำรับอาหาร โดยในเครื่องสืบชะตานั้นจะต้องมี
สำหรับอาหารจำนวนหนึ่งสำรับวางไว้ที่มุมไม้ค้ำ ในปัจจุบันลักษณะของสำรับอาหารก็
เปลี่ยนมาเป็นปิ่ นโต เนื่องจากสะดวกในการจัดเตรียมและประหยัดพื้นที่ในการจัดวาง
นอกจากสำรับอาหารแล้วยังมีหมาก เมี่ยง บุหรี่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ สามสิ่งนี้เป็นสิ่งที่อยู่
คู่กับวิถีชีวิตของชาวล้านนามาอย่างยาวนาน โดยจะนำมาประดิดประดอยให้เกิดความ
สวยงาม บางแห่งจะถักบุหรี่เป็นรูปผืนตุง บางแห่งจะตัดเป็นคำๆ รวมไปถึงหมาก เมี่ยง ใบ
พลู และนำมาผูกติดกับก้านไม้ไผ่ ให้มีขนาดความยาวเท่ากับไม้ค้ำ และผูกติดไม้ค้ำไว้ด้วย
เช่นกัน

หม้อน้ำ หรือตุ่มดินเผาใบเล็กๆ ใส่น้ำไว้ข้างในพอเป็นพิธี ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่
เช่นกัน เมื่อเราทานข้าวเสร็จเราก็ต้องดื่มน้ำตามทุกครั้ง ซึ่งเป็นวิถีชีวิตของผู้คนอยู่แล้ว ดัง
นั้นในความหมายที่แฝงไว้ของคนโบราณ เพื่อให้มีกินไม่อดอยาก

หม้อต่อม เป็นหม้อดินเผาก้นกลมไม่มีหู ใช้ในการประกอบอาหาร นำมาใช้ใน
เครื่องสืบชะตา บางแห่งใช้สองใบ ห่อด้วยกระดาษเงิน-กระดาษทอง หรือบางแห่ง
ทาสีเงิน-สีทอง เรียกว่าหม้อเงิน-หม้อคำ

เครื่องนอน อันประกอบไปด้วย เสื่อ(ภาษาเหนือเรียกว่า สาด) หมอน
ผ้าห่ม ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ของคนเรา แทนความหมายของการมีนุ่งห่มและได้มี
ที่อาศัยหลับนอน เสื่อที่นิยมใช้ในพิธีสืบชะตาได้แก่เสื้อที่ทอจากต้นกก ไม่ย้อมสี
เรียกว่า “สาดตายหย่า” ปัจจุบันมีผู้ทอสาดตายหย่าน้อยลง จึงใช้เสื้อทออีก
ชนิดหนึ่งคล้ายเสื่อจันทบูรมาแทน

แปเตียน แปบุหรี่ แปเตียน หรือแพรเทียน โดยการนำเอาเทียนไขมาถักด้วยเส้น
ด้ายให้เป็นแพ คั่นด้วยดอกไม้ ความยาวของแพเทียนนั้นยาวเท่ากับความยาวของไม้ค้ำ
เช่นเดียวกัน นอกจากแพเทียนแล้วยังมีแพบุหรี่ โดยการนำเอายาเส้น ชาวล้านนาเรียน
ว่า “ยาขื่น” ขื่น แปลว่าฉุน หรือยาฉุนในภาษาภาคกลาง และยาจ๋าง “จ๋าง” แปลว่า จืด
ชืด ยาจ๋างจึงมีความฉุนน้อยกว่ายาขื่น ความแตกต่างระหว่างยาขื่นกับยาจ๋าง ยาขื่น ทำ
มาจากใบยาสูบที่แก่จัดจึงมีกลิ่นฉุน ส่วนยาจ๋างนั้นทำมาจากใบยาสูบใบอ่อนที่ไม่แก่จัด
ดังนั้นความฉุนจึงน้อยกว่า จากนั้นมวนด้วยใบตองหรือกระดาษ และนำมาถักด้วยเส้น
ด้ายเช่นเดียวกับเทียนไข

ใบเงิน-ใบทอง ถือเป็นไม้มงคลที่ใช้ในพิธีกรรมสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นสืบ
ชะตา ยกเสาเอก วางศิลาฤกษ์ เป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่ง ความอุดมสมบูรณ์
โดยการนำเอาใบเงิน-ใบทอง มาผูกติดกับฮาวเงิน-ฮาวคำ หรือบางแห่งนำมามวน
แล้วใช้ไม้ไผ่หนีบเป็นแพขนาดความสูงเท่ากับไม้ง่าม ทำให้มีความสวยงามยิ่งขึ้น
จำนวนเทียน บุหรี่ ใบเงินและใบทองที่นำมาทอเป็นแพนั้น มีจำนวนหนึ่งร้อยแปด
อันเท่ากันหมด ทั้งนี้จากคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ที่ทำเครื่องสืบชะตากล่าวว่า
จำนวนทั้งหมดนี้ถือเป็นการบูชาซึ่งคุณพระรัตนตรัย ซึ่งมีทั้งหมดหนึ่งร้อยแปด
ประการดังที่ได้กล่าวมาแล้ว

ตุงค่าคิง ที่มีความยาวเท่ากับความสูงของผู้ทำหรือผู้อุทิศ เพื่อการสะเดาะเคราะห์
หรือสืบชะตา อันเป็นคติความเชื่อของชาวล้านนา และเป็นการสะบัดทุกข์โศก โรคภัย
เสนียดจัญไร ภยันตราย ให้ได้มอดไหม้มลายหายสิ้น หมดไปจากตัวตนของเรา ทำให้มีแต่
ความสุข ความเจริญ ความรุ่งเรือง ประสบแต่สิ่งที่ดีงาม

กล้วยเครือ มะพร้าว รวมถึง ต้นกล้วย, ต้นหมาก, ต้นมะพร้าว เหตุที่ต้องนำมาใส่
ไว้เป็นเครื่อง สืบชะตา มีความหมายคือ เป็นต้นไม้ที่หาได้ง่ายในสมัยนั้น อีกทั้งต้นไม้เหล่า
นี้ยังมีคุณประโยชน์ต่อ การดำรงชีวิตอีกด้วย

ขั้นตอนในการประกอบพิธีสืบชะตา

ผู้ดำเนินการและผู้ประกอบพิธี
1. พระสงฆ์จำนวน ๙ รูป
2. อาจารย์ฝ่ายคฤหัสถ์
3. ผู้เข้าร่วมพิธีสืบชะตา (เจ้าชะตาและคณะ)

ขั้นตอนพิธีการ
1. ตั้งเครื่องสืบชะตา จัดโต๊ะหมู่บูชา ตั้งอาสนะสงฆ์ ๙ ที่
2. เจ้าชะตาจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย
-ประเคนบาตรน้ำมนต์ให้พระสงฆ์
-ประเคนขันสืบชะตา ด้ายสายสิญจน์
-ประเคนขันขอศีล แล้วกลับไปนั่งซุ้มพิธี
3. อาจารย์ (ผู้นำในการประกอบพิธี) นำกล่าวบูชาพระรัตนตรัย
4. อาจารย์กล่าวอาราธนาศีล -ประธานสงฆ์ให้ศีล
5. อาจารย์อาราธนาพระปริตร
-พระสงฆ์องค์ที่ ๓ กล่าว สักเค ชุมนุมเทวดา
-คณะสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์
6. อาจารย์สมาธรรม และขอสมาครัวทาน
7. อาจารย์อาราธนาธรรม พระสงฆ์เทศนาธรรมสืบชะตา ๙ ผูก
8. ประธานสงฆ์มอบเครื่องสืบชะตาให้แก่เจ้าชะตาและคณะ
9. ประธานสงฆ์ประพรมน้ำพระพุทธมนต์ พระสงฆ์เจริญชัย
มงคลคาถา
10. เจ้าชะตาและคณะถวายจตุปัจจัยไทยธรรมแก่พระสงฆ์
พระสงฆ์อนุโมทนา
11. อาจารย์นำกราบพระ บูชา พระรัตนตรัย เจ้าชะตาถวาย
ภัตตาหารและไทยทานเป็นอันเสร็จพิธี

ศึกษาเรียนรู้จากปราชญ์ชาวบ้าน

เตรียมเครื่องสืบชะตาและฝึกซ้อมการนำเสนอ

ประโยชน์ที่ได้รับจากการศึกษาค้นคว้า
1. ได้รับความรู้จากการศึกษาเรื่อง พิธีสืบชะตา
2. มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์วัฒนธรรมเกี่ยวกับพิธีสืบชะตา
3. ได้เผยแพร่ความรู้เรื่องพิธีการสืบชะตา

ข้อเสนอแนะ

1. การศึกษาประเพณีพิธีกรรมของชาวล้านนาควรไปศึกษาจาก
สถานที่จริง เพื่อที่จะได้รับข้อมูลที่เป็นปฐมภูมิ

2. ประเพณีพิธีกรรมของชาวล้านนามีอีกมากมายหลายพิธีกรรม
ควรศึกษาไว้เพื่อการอนุรักษ์ สืบสาน และส่งเสริมให้นักเรียนได้เห็นถึงความ
สำคัญของภูมิปัญญาท้องถิ่น


Click to View FlipBook Version