The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ส่วนบริหารจัดการคดี

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by bluegadang koisang, 2023-12-26 23:40:57

คู่มืองานอุทธรณ์ฎีกา

ส่วนบริหารจัดการคดี

คู่มือ การปฏิบัติงานอุทธรณ์ – ฎีกา ศาลจังหวัดสุโขทัย คู่มือการปฏิบัติงานอุทธรณ์ – ฎีกา


ขั้นตอนและวิธีการในการดำเนินงาน 1.1 การรับคำฟ้องอุทธรณ์ – ฎีกา คดีอาญา “การยื่นอุทธรณ์ – ฎีกาให้ยื่นต่อศาลชั้นต้นภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันอ่านหรือถือ ว่าได้อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งให้คู่ความฟัง” 1. กรณีที่คู่ความยื่นอุทธรณ์– ฎีกาต่อศาลชั้นต้นด้วยตนเอง - เมื่อคู่ความยื่นคำฟ้องอุทธรณ์ – ฎีกาต่อศาลชั้นต้น เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานจะขอเบิก สำนวนคดีจากห้องสำนวนหรือจากส่วนงานอื่นที่เก็บรักษาสำนวนนั้น และตรวจสอบความถูกต้องของ คำฟ้องอุทธรณ์ – ฎีกา ตรวจสอบว่ายื่นอุทธรณ์ – ฎีกา ภายในกำหนดอายุหรือไม่ กรณีที่จำเลยซึ่งศาล ชั้นต้นมีคำพิพากษาลงโทษจำคุกหรือประหารชีวิตและได้รับอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวในระหว่าง อุทธรณ์ – ฎีกา และรวมถึงจำเลยที่ศาลมีคำพิพากษาลงโทษจำคุกหรือประหารชีวิตแต่อยู่ระหว่าง หลบหนี โดยให้เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานต้องตรวจสอบบัตรประชาชนของจำเลยว่าถูกต้องและเป็นบุคคล คนเดียวกันกับจำเลยที่มายื่นอุทธรณ์ – ฎีกา หรือไม่ และให้จัดทำรายงานเจ้าหน้าที่ (รายงานการแสดง ตนต่อศาลของจำเลยที่ยื่นอุทธรณ์ – ฎีกา) ซึ่งมีรายละเอียดเกี่ยวกับการแสดงตนของจำเลย พร้อมทั้ง แนบสำเนาบัตรประชาชนของจำเลยเพื่อเสนอต่อศาลต่อไป “ในกรณีที่ตามคำพิพากษาจำเลยต้องรับโทษจำคุกหรือโทษสถานที่หนักกว่านั้น และจำเลย ไม่ได้ถูกคุมขัง จำเลยจะยื่นอุทธรณ์ – ฎีกา ได้ต่อเมื่อแสดงตนต่อเจ้าพนักงานศาลในขณะยื่นอุทธรณ์ – ฎีกา มิฉะนั้นให้ศาลมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์” 2. กรณีที่คู่ความยื่นอุทธรณ์– ฎีกา ต้องขังหรือจำคุกอยู่ในเรือนจำ - หากผู้อุทธรณ์ – ฎีกา เป็นจำเลยซึ่งต้องขังหรือจำคุกอยู่ในเรือนจำ ยื่นคำฟ้องอุทธรณ์ – ฎีกา ต่อศาลชั้นต้นผ่านเรือนจำ ซึ่งจำเลยต้องขังหรือจำคุกอยู่นั้น เมื่อเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานได้รับหนังสือ ส่งคำฟ้องอุทธรณ์ – ฎีกา พร้อมคำฟ้องอุทธรณ์ – ฎีกา ของจำเลยที่ยื่นผ่านจากเรือนจำจาก งานสารบรรณแล้ว ให้เบิกสำนวนคดีจากห้องสำนวนหรือจากส่วนงานอื่นที่เก็บรักษาสำนวนนั้น และตรวจสอบความถูกต้องของคำฟ้องอุทธรณ์ – ฎีกา ตรวจสอบว่ายื่นอุทธรณ์ – ฎีกา ภายในกำหนด อายุหรือไม่ เจ้าหน้าที่เรือนจำรับรองท้ายอุทธรณ์ – ฎีกา ของจำเลยหรือไม่ และให้จัดทำรายงาน เจ้าหน้าที่ (รายงานการแสดงตนต่อศาลของจำเลยที่ยื่นอุทธรณ์ – ฎีกา) ซึ่งมีรายละเอียดเกี่ยวกับการ แสดงตนของจำเลย และหมายเหตุในช่องการแสดงตนของจำเลยว่า “จำเลยถูกคุมขังในเรือนจำ” 3. เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบงานจะต้องตรวจสอบคำฟ้องอุทธรณ์– ฎีกา หมายเลขคดีดำ หมายเลขคดีแดง ชื่อศาล วันที่ ชื่อคู่ความ ฐานความผิดว่าถูกต้องครบถ้วนและตรงกับสำนวนคดีหรือไม่ ตรวจสอบชื่อผู้อุทธรณ์– ฎีกา ท้ายคำฟ้องอุทธรณ์– ฎีกาว่าลงชื่อผู้ยื่น ผู้เรียง ผู้พิมพ์ ถูกต้องครบถ้วน หรือไม่ หากทนายความเป็นผู้ลงชื่อยื่นคำฟ้องอุทธรณ์– ฎีกา จะต้องตรวจสอบว่าทนายความผู้ยื่น


คำฟ้องอุทธรณ์– ฎีกา นั้นมีอำนาจจัดการแทนจำเลยหรือไม่ โดยให้ทำการตรวจสอบใบแต่งทนายความ และสำเนาบัตรประจำตัวทนายความว่าเป็นผู้มีอำนาจจัดการแทนจำเลยหรือไม่ และตรวจสอบว่าสำเนา บัตรประจำตัวทนายความหมดอายุแล้วหรือไม่ด้วย พร้อมทั้งตรวจสอบแบบพิมพ์คำฟ้องอุทธรณ์ แบบ 32 และท้ายอุทธรณ์ แบบ 33 และแบบพิมพ์คำฟ้องฎีกา แบบ 36 และท้ายฎีกา แบบ 37 ว่าถูกต้องหรือไม่ และมีสำเนาคำฟ้องอุทธรณ์– ฎีกา รวมถึงกรณีที่ยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกา คู่ความผู้ยื่นจะต้องมีสำเนา คำร้องขออนุญาตฎีกามาพร้อมสำเนาคำฟ้องฎีกา เพื่อส่งให้คู่ความอีกฝ่ายครบถ้วนหรือไม่ ตรวจสอบว่า ยื่นอุทธรณ์– ฎีกาภายในกำหนดอายุอุทธรณ์– ฎีกาหรือไม่ 4. ประทับตรายางรับคำฟ้องอุทธรณ์ – ฎีกา มุมบนด้านขวา ลงวันที่ และเวลาที่รับคำฟ้อง พร้อมทั้งลงชื่อผู้รับกำกับไว้ด้วย 5. จัดทำรายงานเจ้าหน้าที่แสดงการรายงานตัวต่อศาลของจำเลย โดยมีหมายเลขคดีดำ หมายเลขคดีแดง วันเดือนปีที่ยื่น ชื่อคู่ความ ชื่อผู้จัดทำรายงาน วันเดือนปีที่ตัดสิน โทษที่จำเลยได้รับ ชื่อ – นามสกุล จำเลยที่ยื่น เลขบัตรประจำตัวประชาชน อายุ เชื้อชาติ สัญชาติ อาชีพ ที่อยู่ และแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับสถานะของจำเลยว่าถูกคุมขังหรือไม่ หากไม่ได้ถูกคุมขังเนื่องจาก เหตุผลอะไร และแสดงรายละเอียดว่าจำเลยได้มาแสดงตนในวันยื่นด้วยหรือไม่กรณีที่ไม่มาแสดงตน เนื่องจากถูกคุมขัง ให้ตรวจสอบหมายจำคุกของจำเลย และแสดงเหตุผลในช่องเนื่องจากว่า “จำเลยถูก คุมขัง” หากเป็นกรณีที่จำเลยไม่ได้ถูกคุมขัง จะต้องมาแสดงตนพร้อมยื่นบัตรประจำตัวประชาชน และ ส่งสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนพร้อมรับรองสำเนาแนบมาด้วย หากจำเลยไม่มีบัตรประจำตัว ประชาชนมาแสดงก็จะไม่สามารถรับคำฟ้องอุทธรณ์– ฎีกา นั้นได้ และให้จำเลยลงชื่อในช่องลงชื่อ จำเลย พร้อมทั้งเจ้าหน้าที่งานอุทธรณ์ – ฎีกาต้องลงชื่อในช่องเจ้าหน้าที่ศาลด้วย หากเป็นกรณีที่จำเลย ถูกคุมขังอยู่ก็ไม่ต้องลงชื่อได้ช่องลงชื่อจำเลย 6. จัดทำป้ายอุทธรณ์เพื่อติดหน้าสำนวนคดีเพื่อแสดงให้เห็นว่าเป็นสำนวนคดีที่มีการยื่น อุทธรณ์– ฎีกาแล้ว โดยให้ลงวันเดือนปีที่ยื่น ในช่องของผู้ที่ยื่น เช่นกรณีที่จำเลยเป็นผู้ยื่นอุทธรณ์ ให้ลง วันเดือนปีที่ยื่นอุทธรณ์ในช่อง “จำเลยอุทธรณ์เมื่อ” เมื่อคู่ความอีกฝ่ายได้รับหมายแจ้งและสำเนา อุทธรณ์แล้วให้ลงวันเดือนปีในช่องรับสำเนาเมื่อ เช่น คู่ความอีกฝ่ายเป็นโจทก์ ก็ให้ลงวันเดือนปีที่รับ สำเนาที่ช่อง “โจทก์รับสำเนาเมื่อ” และลงวันเดือนปี ในช่อง “ครบกำหนดยื่นคำแก้” ด้วยเพื่อเป็น การแจ้งเตือนว่าคู่ความอีกฝ่ายจะครบกำหนดยื่นคำแก้อุทธรณ์ในวันใด 7. บันทึกลงในสมุดบัญชีคุมรับและส่งคำฟ้องอุทธรณ์ – ฎีกา หมายเลขคดีดำ หมายเลขคดี แดง ชื่อโจทก์ ชื่อจำเลย เรื่อง ผู้ยื่นคำฟ้องอุทธรณ์ – ฎีกา วันเดือนปีที่ยื่นคำฟ้องอุทธรณ์ – ฎีกา และ ชื่อผู้พิพากษาเจ้าของสำนวน เพื่อความสะดวกในการตรวจสอบปริมาณคดีที่ยื่นอุทธรณ์ – ฎีกา จัดทำ ป้ายอุทธรณ์– ฎีกาเพื่อติดหน้าสำนวนคดีเพื่อแสดงให้เห็นว่าเป็นสำนวนคดีที่มีการยื่นอุทธรณ์– ฎีกาแล้ว


8. บันทึกข้อมูลในโปรแกรมคอมพิวเตอร์งานอุทธรณ์ – ฎีกา ของศาล ลำดับที่ยื่นอุทธรณ์ วันเดือนปีที่ยื่น ผู้ยื่นอุทธรณ์ อุทธรณ์อะไร รับอุทธรณ์หรือไม่ แล้วบันทึกข้อมูลที่ปุ่ม Save 9. เสนอคำฟ้องอุทธรณ์พร้อมสำนวนคดีต่อผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนเพื่อพิจารณาสั่งต่อไป 10. การดำเนินการหลังจากศาลมีคำสั่งแล้ว ให้จัดพิมพ์หมายแจ้งการยื่นอุทธรณ์ – ฎีกา ให้กับคู่ความอีกฝ่าย โดยระบุให้คู่ความอีก ฝ่ายสามารถยื่นแก้อุทธรณ์ – ฎีกาได้ภายในกำหนดสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับสำเนาอุทธรณ์– ฎีกา 1.2 การรับคำฟ้องอุทธรณ์ – ฎีกา คดีแพ่งและผู้บริโภค “การยื่นอุทธรณ์ – ฎีกาให้ยื่นต่อศาลชั้นต้นภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันอ่านหรือ ถือว่าได้อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งให้คู่ความฟัง” 1. เมื่อคู่ความยื่นคำฟ้องอุทธรณ์ – ฎีกาต่อศาลชั้นต้น เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานจะขอเบิก สำนวนคดีจากห้องสำนวนหรือจากส่วนงานอื่นที่เก็บรักษาสำนวนนั้น และตรวจสอบความถูกต้องของ คำฟ้องอุทธรณ์ – ฎีกา ตรวจสอบว่ายื่นอุทธรณ์ – ฎีกา ภายในกำหนดอายุหรือไม่ 3. เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบงานจะต้องตรวจสอบคำฟ้องอุทธรณ์– ฎีกา หมายเลขคดีดำ หมายเลขคดีแดง ชื่อศาล วันที่ ชื่อคู่ความ ฐานความผิดว่าถูกต้องครบถ้วนและตรงกับสำนวนคดีหรือไม่ ตรวจสอบชื่อผู้อุทธรณ์– ฎีกา ท้ายคำฟ้องอุทธรณ์– ฎีกาว่าลงชื่อผู้ยื่น ผู้เรียง ผู้พิมพ์ ถูกต้องครบถ้วน หรือไม่ หากทนายความเป็นผู้ลงชื่อยื่นคำฟ้องอุทธรณ์– ฎีกา จะต้องตรวจสอบว่าทนายความผู้ยื่น คำฟ้องอุทธรณ์– ฎีกา นั้นมีอำนาจจัดการแทนจำเลยหรือไม่ โดยให้ทำการตรวจสอบใบแต่งทนายความ และสำเนาบัตรประจำตัวทนายความว่าเป็นผู้มีอำนาจจัดการแทนจำเลยหรือไม่ และตรวจสอบว่าสำเนา บัตรประจำตัวทนายความหมดอายุแล้วหรือไม่ด้วย พร้อมทั้งตรวจสอบแบบพิมพ์คำฟ้องอุทธรณ์ แบบ 32 และท้ายอุทธรณ์ แบบ 33 และแบบพิมพ์คำฟ้องฎีกา แบบ 36 และท้ายฎีกา แบบ 37 ว่าถูกต้องหรือไม่ และมีสำเนาคำฟ้องอุทธรณ์– ฎีกา รวมถึงกรณีที่ยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกา คู่ความผู้ยื่นจะต้องมีสำเนา คำร้องขออนุญาตฎีกามาพร้อมสำเนาคำฟ้องฎีกา เพื่อส่งให้คู่ความอีกฝ่ายครบถ้วนหรือไม่ ตรวจสอบว่า ยื่นอุทธรณ์– ฎีกาภายในกำหนดอายุอุทธรณ์– ฎีกาหรือไม่ 4. ให้คู่ความฝ่ายที่ยื่นเขียนใบวางเงินค่าธรรมเนียมศาล โดย 4.1 กรณีคดีมีทุนทรัยพ์จะคิดค่าขึ้นศาล 2 เปอร์เซ็นต์ของทุนทรัพย์ที่คู่ความอุทธรณ์ – ฎีกา หากทุนทรัพย์ไม่ถึง 50,000 บาท จะต้องมีการยื่นขออนุญาตอุทธรณ์ – ฎีกา แต่หากทุนทรัพย์ เกิน 50,000,000 บาท จะคิดค่าขึ้นศาล 1 เปอร์เซ็นต์ของทุนทรัพย์


4.2 กรณีที่อุทธรณ์ – ฎีกา ในปัญหาข้อกฎหมายหรือเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์คู่ความจะ เสียค่าขึ้นศาล 200 บาท 4.3 หากเป็นคดีที่จะต้องจ่ายค่าขึ้นศาลในอนาคต คู่ความก็จะต้องวางเงินค่าขึ้นศาลใน อนาคตอีก 100 บาท 4.4 เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานจะต้องตรวจดูด้วยว่าผู้ยื่นเป็นฝ่ายที่จะต้องเสีย ค่าฤชาธรรมเนียมใช้แทนหรือไม่ หากมีจะต้องเสียค่าฤชาธรรมเนียมใช้แทนก็ต้องส่งสำนวนไปให้ผู้ที่มี หน้าที่คิดค่าฤชาธรรมเนียมของศาลคิดให้เสียก่อนแล้วจึงแจ้งให้ผู้ยื่นอุทธรณ์ – ฎีกาทราบว่าจะต้อง วางเงินในส่วนนี้ด้วยก่อนที่จะรับอุทธรณ์ – ฎีกา ได้ 4.5 คู่ความฝ่ายที่ยื่นอุทธรณ์ – ฎีกา จะต้องเสียค่าส่งคำคู่ความให้อีกฝ่ายเพื่อให้ทราบ ว่ามีการยื่นอุทธรณ์ – ฎีกาแล้ว และจะได้ดำเนินยื่นคำแก้อุทธรณ์ – ฎีกา ต่อไป โดยจะต้องมีคำแถลงขอ ปิดหมายแนบมาด้วยเพื่อเป็นการสะดวกต่อการส่งคำคู่ความในกรณีที่ไม่มีผู้รับหมายก็จะได้ดำเนินการ ปิดหมายไว้ได้ตามที่กฎหมายกำหนด 4. ประทับตรายางรับคำฟ้องอุทธรณ์ – ฎีกา มุมบนด้านขวา ลงวันที่ และเวลาที่รับคำฟ้อง พร้อมทั้งลงชื่อผู้รับกำกับไว้ด้วย 5. จัดทำป้ายอุทธรณ์เพื่อติดหน้าสำนวนคดีเพื่อแสดงให้เห็นว่าเป็นสำนวนคดีที่มีการยื่น อุทธรณ์– ฎีกาแล้ว โดยให้ลงวันเดือนปีที่ยื่น ในช่องของผู้ที่ยื่น เช่นกรณีที่จำเลยเป็นผู้ยื่นอุทธรณ์ ให้ลง วันเดือนปีที่ยื่นอุทธรณ์ในช่อง “จำเลยอุทธรณ์เมื่อ” เมื่อคู่ความอีกฝ่ายได้รับหมายแจ้งและสำเนา อุทธรณ์แล้วให้ลงวันเดือนปีในช่องรับสำเนาเมื่อ เช่น คู่ความอีกฝ่ายเป็นโจทก์ ก็ให้ลงวันเดือนปีที่รับ สำเนาที่ช่อง “โจทก์รับสำเนาเมื่อ” และลงวันเดือนปี ในช่อง “ครบกำหนดยื่นคำแก้” ด้วยเพื่อเป็น การแจ้งเตือนว่าคู่ความอีกฝ่ายจะครบกำหนดยื่นคำแก้อุทธรณ์ในวันใด 8. บันทึกลงในสมุดบัญชีคุมรับและส่งคำฟ้องอุทธรณ์ – ฎีกา หมายเลขคดีดำ หมายเลขคดี แดง ชื่อโจทก์ ชื่อจำเลย เรื่อง ผู้ยื่นคำฟ้องอุทธรณ์ – ฎีกา วันเดือนปีที่ยื่นคำฟ้องอุทธรณ์ – ฎีกา และ ชื่อผู้พิพากษาเจ้าของสำนวน เพื่อความสะดวกในการตรวจสอบปริมาณคดีที่ยื่นอุทธรณ์ – ฎีกา จัดทำ ป้ายอุทธรณ์– ฎีกาเพื่อติดหน้าสำนวนคดีเพื่อแสดงให้เห็นว่าเป็นสำนวนคดีที่มีการยื่นอุทธรณ์– ฎีกาแล้ว 9. บันทึกข้อมูลในโปรแกรมคอมพิวเตอร์งานอุทธรณ์ – ฎีกา ของศาล ลำดับที่ยื่นอุทธรณ์ วัน เดือนปีที่ยื่น ผู้ยื่นอุทธรณ์ อุทธรณ์อะไร รับอุทธรณ์หรือไม่ แล้วบันทึกข้อมูลที่ปุ่ม Save 10. ส่งสำนวนไปยังงานการเงินเพื่อดำเนินเก็บค่าธรรมเนียมศาลและจัดทำใบเสร็จรับเงิน 11. ประทับตรายาง (ตราดุน) ในท้ายอุทธรณ์ – ฎีกา เพื่อลงรายละเอียดเกี่ยวกับ ค่าธรรมเนียมศาล ค่าฤชาธรรมเนียมใช้แทน ค่าขึ้นศาลในอนาคต รวมไปถึงเลขที่ใบเสร็จด้วย


12. เสนอคำฟ้องอุทธรณ์พร้อมสำนวนคดีต่อผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนเพื่อพิจารณาสั่งต่อไป 13. การดำเนินการหลังจากศาลมีคำสั่งแล้ว


ขั้นตอนการลงรับอุทธรณ์โปรแกรมระบบสารสนเทศสำนวนศาลชั้นต้น (เริ่ม 1 ส ค 2566) การลงโปรแกรมอุทธรณ์/ฎีกา 1. เปิดระบบอุทธรณ์/ฎีกา 2. บันทึกข้อมูลอุทธรณ์/ฎีกา


3. ใส่เลขคดีที่คู่ความยื่นอุทธรณ์/ฎีกา จะปรากฏหน้าต่างรายละเอียดดังภาพ แล้วจะขึ้น วันที่รับฟ้องอุทธรณ์อัตโนมัติ 4. และสามารถเพิ่มข้อมูลว่า คู่ความฝ่ายใดเป็นผู้ยื่นอุทธรณ์ในรายการผู้ยื่นอุทธรณ์/ฎีกา และหากคดีไหนมีการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้ว จะมีข้อมูลผลคำสั่ง/คำ พิพากษาปรากฏในรายการคำสั่ง/คำพิพากษา


5. พิมพ์รายงานแสดงตน “รายงานเจ้าหน้าที่แสดงตนของจำเลย(ศาลจังหวัดแขวง)” โดยกดเข้าไปเมนูแถบนี้โดยไม่จำต้องกรอกข้อมูลใด ๆ หลังจากนั้นกดพิมพ์เพื่อแสดง เอกสารออกมา ตรวจดูความถูกต้อง และสั่งพิมพ์อีกครั้ง 6. พิมพ์หมายถึงคู่ความอีกฝ่าย โดยใช้เมนู หมายส่งคำคู่ความ หลังจากนั้น เลือกประเภท ของหมาย หากเป็นอุทธรณ์ ให้ใช้รหัสหัว 1078 ฎีกา 1079 และเลือกคำสั่งศาล เป็น หมายศาล ไม่มีผู้รับโดยชอบให้ปิด(กรณีหมายฟรี) และ ไม่มีผู้รับโดยชอบให้ปิด (กรณี หมายมีเงินค่าธรรมเนียมในการส่ง) และเลือกประเภทคู่ความ พร้อมทั้งคลิกช่องปลด หมาย พิมพ์เอกสารตรงเครื่องหมายพิมพ์ 2 ชุด ตามลำดับภาพ


7. การลงสมุดคุมหัวโต 1.3 การรับคำแก้อุทธรณ์ – ฎีกา (หากมี) 1. เมื่อมีคู่ความอีกฝ่ายยื่นคำแก้อุทธรณ์ ให้เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานตรวจสอบคำแก้อุทธรณ์– ฎีกา ว่าถูกต้องครบถ้วนหรือไม่ ตรวจสอบหมายเลขคดีดำ หมายเลขคดีแดง ชื่อคู่ความ ผู้ยื่นคำแก้ อุทธรณ์– ฎีกา ท้ายคำแก้อุทธรณ์– ฎีกา ลงชื่อผู้ยื่นคำแก้ผู้เรียง ผู้พิมพ์ ครบถ้วนถูกต้องหรือไม่ หากทนายความเป็นผู้ลงชื่อยื่นคำแก้อุทธรณ์– ฎีกา จะต้องตรวจสอบว่าทนายความผู้ยื่นคำแก้อุทธรณ์


– ฎีกา นั้นมีอำนาจจัดการแทนคู่ความหรือไม่ โดยให้ทำการตรวจสอบใบแต่งทนายความ และสำเนา บัตรประจำตัวทนายความว่าเป็นผู้มีอำนาจจัดการแทนคู่ความหรือไม่ และตรวจสอบว่าสำเนาบัตร ประจำตัวทนายความหมดอายุแล้วหรือไม่ด้วย พร้อมทั้งตรวจสอบแบบพิมพ์คำแก้อุทธรณ์ แบบ 34 ท้ายคำแก้อุทธรณ์ แบบ 35 แบบพิมพ์คำแก้ฎีกา แบบ 38 และท้ายคำแก้ฎีกา แบบ 39 ว่าถูกต้อง หรือไม่ และมีสำเนาคำแก้อุทธรณ์ – ฎีกา เพื่อให้อีกฝ่ายครบถ้วนหรือไม่ ตรวจสอบว่า ยื่นคำแก้อุทธรณ์– ฎีกา ภายในกำหนดระยะเวลาหรือไม่ โดยมีการตรวจสอบผลการส่งหมายแจ้งและ สำเนาอุทธรณ์ – ฎีกา ในสำนวนคดีว่ามีการรับหมายแจ้งและสำเนาอุทธรณ์– ฎีกาด้วยวิธีใด หากรับ หมายแจ้งและสำเนาอุทธรณ์– ฎีกาด้วยวิธีรับด้วยตนเองหรือมีผู้รับไว้แทน ต้องยื่นคำแก้อุทธรณ์– ฎีกา ภายในกำหนด 15 วัน นับแต่วันรับหมายแจ้งและสำเนาอุทธรณ์– ฎีกา ในกรณีที่รับหมายแจ้งและ สำเนาอุทธรณ์– ฎีกาได้ด้วยวิธีปิดหมาย ต้องยื่นคำแก้อุทธรณ์– ฎีกา ภายในกำหนด 30 วัน นับแต่วัน ปิดหมายแจ้งและสำเนาอุทธรณ์– ฎีกา หรือในกรณีที่ศาลอนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นคำแก้อุทธรณ์– ฎีกา ได้ให้ยื่นภายในระยะเวลาตามที่ได้รับอนุญาต 2. ประทับตรายางรับคำแก้มุมบนด้านขวา ลงวันที่ และเวลาที่รับคำแก้พร้อมทั้งลงชื่อผู้รับ กำกับไว้ด้วย 3. เสนอคำแก้อุทธรณ์ – ฎีกาพร้อมสำนวนคดีต่อผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนเพื่อพิจารณาสั่ง ต่อไป 4. เมื่อผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนมีคำสั่งรับคำแก้อุทธรณ์ – ฎีกาแล้ว จัดเก็บคำแก้อุทธรณ์ – ฎีกาเข้าสำนวนพร้อมทั้งจัดทำสารบาญให้เรียบร้อย รวมไปถึงสแกนเอกสารลงในระบบการจัดทำ สารบบและสำนวนความอิเล็กทรอนิกส์ (E-CMS) 1.4 การตรวจสอบสำนวนครบกำหนดส่งศาลสูง - เมื่อเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ได้รับรายงานผลการส่งหมายแล้ว จะทำการตรวจสอบว่าเป็น การส่งหมายแจ้งและสำเนาอุทธรณ์ – ฎีกาได้ด้วยวิธีใด - ในกรณีรับหมายแจ้งและสำเนาอุทธรณ์ – ฎีกาด้วยวิธีรับด้วยตนเองหรือมีผู้รับไว้ แ ท น ต้องยื่นคำแก้อุทธรณ์ – ฎีกาภายในกำหนด 15 วัน นับแต่วันรับหมายแจ้งและสำเนาอุทธรณ์ – ฎีกา - ในกรณีรับหมายแจ้งและสำเนาอุทธรณ์ – ฎีกาได้ด้วยวิธีปิดหมาย ต้องยื่น คำแก้อุทธรณ์ – ฎีกาภายในกำหนด 30 วัน นับแต่วันปิดหมายแจ้งและสำเนาอุทธรณ์ – ฎีกา ทำการจดบันทึกวันรับหมายรวมถึงวันครบกำหนดแก้อุทธรณ์ – ฎีกา หรือครบส่ง สำนวนอุทธรณ์ – ฎีกา ลงในป้ายอุทธรณ์ – ฎีกาที่ติดไว้หน้าปกสำนวนคดี


ในกรณีที่มีการยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นคำแก้อุทธรณ์ เมื่อเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน อุทธรณ์ได้เสนอคำร้องดังกล่าวต่อผู้พิพากษาเจ้าของสำนวน และผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนได้มีคำสั่ง อนุญาตแล้ว เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานอุทธรณ์จะดำเนินการจัดเก็บคำร้องเข้าในสำนวนคดีพร้อมทั้งจัดทำ สารบาญให้เรียบร้อย รวมไปถึงสแกนเอกสารลงในระบบการจัดทำสารบบและสำนวนความ อิเล็กทรอนิกส์ (E-CMS) 1.5 การส่งสำนวนไปยังศาลอุทธรณ์ 1. เมื่อได้รับคำแก้อุทธรณ์– ฎีกาหรือพ้นกำหนดระยะเวลายื่นคำแก้อุทธรณ์– ฎีกาแล้ว ก่อนส่งสำนวนไปยังศาลสูงเพื่อพิจารณา ให้ตรวจสอบสำนวนคดีว่ามีความถูกต้องครบถ้วนเรียบร้อยแล้ว ก่อนทำการจัดส่ง ได้แก่ - ตรวจสอบหมายเลขคดีดำ หมายเลขคดีแดง - ตรวจสอบชื่อคู่ความ - ตรวจสอบข้อหาว่าเป็นคดีทั่วไป หรือคดีที่เกี่ยวกับยาเสพติด เพื่อจะได้ดำเนินการ จัดส่งสำนวนไปยังศาลสูงได้อย่างถูกต้อง โดยไม่ก่อให้เกิดการผิดพลาดในการส่งสำนวนคดีผิดศาล - ตรวจสอบคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ – ฎีกา และยื่นคำแก้อุทธรณ์ – ฎีกา ว่าคู่ความมีการยื่นคำฟ้องอุทธรณ์ – ฎีกาและยื่นคำแก้อุทธรณ์ – ฎีกาภายในระยะเวลาที่กำหนดหรือไม่ - ตรวจสอบว่าได้ดำเนินการส่งหมายแจ้งและสำเนาอุทธรณ์ – ฎีกาให้แก่คู่ความอีกฝ่าย เพื่อแก้แล้วหรือไม่ - ตรวจสอบว่าคู่ความอีกฝ่ายได้รับหมายแจ้งและสำเนาอุทธรณ์ – ฎีกาถูกต้องครบถ้วน แล้วหรือไม่ โดยตรวจสอบจากรายงานผลการส่งหมาย รวมไปถึงตรวจสอบว่าพ้นกำหนดระยะเวลายื่น คำแก้อุทธรณ์ – ฎีกาแล้วหรือไม่ (ในกรณีที่คู่ความอีกฝ่ายไม่ได้มีการยื่นคำแก้อุทธรณ์ – ฎีกา) - ตรวจสอบสำเนาบัตรประจำตัวทนายความหมดว่าอายุหรือไม่ - ตรวจสอบสารบาญว่าจัดเก็บถูกต้องครบถ้วนหรือไม่ -ตรวจสอบว่ามีการลงชื่อในเอกสารต่างๆ ในสำนวนถูกต้องครบถ้วนทั้งสำนวนแล้วหรือไม่ - ตรวจสอบพยานเอกสารรวมถึงเอกสารแยกเก็บมีความถูกต้องครบถ้วนหรือไม่ -ตรวจสอบสำนวนที่มีคำสั่งให้นำมาพ่วงรวมเพื่อทำการพิจารณามีความถูกต้องครบถ้วนหรือไม่ - ตรวจสอบว่าได้มีการปฏิบัติตามคำสั่งศาลถูกต้องครบถ้วนแล้วหรือไม่


- หากเป็นกรณีที่มีจำเลยหลายคน และจำเลยถูกคุมขังหรือจำคุกอยู่ในเรือนจำ ซึ่งมี จำเลยยื่นอุทธรณ์ – ฎีกาไม่ครบทุกคน ให้ตรวจสอบว่าได้มีหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดให้แก่จำเลยที่ไม่ได้ ยื่นอุทธรณ์ – ฎีกาแล้วหรือยัง เพื่อเป็นการคุ้มครองสิทธิให้แก่จำเลยที่ไม่ได้ยื่นอุทธรณ์ – ฎีกาด้วย 2. เมื่อทำการตรวจสอบเอกสารทั้งสำนวนว่าถูกต้องครบถ้วนเรียบร้อยแล้ว ให้จัดทำ รายงานเจ้าหน้าที่เสนอต่อผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนเพื่อขออนุญาตส่งสำนวนไปยังศาลอุทธรณ์ - ฎีกา โดยมีการระบุว่ามีการยื่นคำฟ้องอุทธรณ์ – ฎีกาวันใด คู่ความอีกฝ่ายรับหมายแจ้งและสำเนาอุทธรณ์ – ฎีกาวันใด และมีการยื่นคำแก้ภายในกำหนดเวลาหรือไม่โดยตรวจดูว่าสำนวนคดีที่จะทำการส่งอยู่ในเขต อำนาจของศาลใด ดังนี้ - สำนวนคดีที่อยู่ในเขตอำนาจศาลอุทธรณ์ (แผนกคดียาเสพติด) คือสำนวนที่เป็นการ กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด - สำนวนคดีที่อยู่ในเขตอำนาจศาลอุทธรณ์ภาค คือสำนวนที่เป็นการกระทำความผิดใน ข้อหาอื่นๆ นอกจากการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด - สำนวนคดีที่อยู่ในเขตอำนาจศาลฎีกา คือทุกกรณี 3. เมื่อศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ดำเนินการจัดส่งสำนวนไปยังศาลอุทธรณ์ – ฎีกาแล้ว ให้จัดทำ สำนวนคดีเพื่อจัดเก็บไว้ที่ศาลชั้นต้น ด้วยวิธีการจัดเก็บกากสำนวนในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ โดยวิธีการ สแกนเอกสารสำคัญในสำนวนคดีอุทธรณ์ เช่น คำฟ้อง ใบแต่งทนายความ คำพิพากษา หมายจำคุก คำ ร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว สัญญาประกัน หนังสือแจ้งอายัดหรือหนังสือแจ้งต้นสังกัดกรณีประกันด้วย บุคคล คำฟ้องอุทธรณ์ คำแก้อุทธรณ์ รายงานผลการส่งหมาย รายงานเจ้าหน้าที่ขอส่งสำนวนไปศาล อุทธรณ์ และเอกสารที่จำเป็นอื่นๆ เพื่อประโยชน์ในการออกหมายปล่อย กรณีหากได้รับอนุญาตให้ ปล่อยตัวชั่วคราวในภายหลัง หรือกรณีนายประกันขอส่งตัวจำเลยต่อศาลและขอถอนหลักประกัน เป็น ต้น ด้วยการใช้วิธีการสแกนเอกสารแทนการถ่ายเอกสารและให้รีบดำเนินการจัดส่งสำนวนภายใน 3 วัน ทำการนับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ส่งสำนวน 4. พิมพ์หนังสือนำส่งสำนวนคดีไปยังศาลอุทธรณ์ – ฎีกา ใบส่งสำนวนแบบ ก ใบรับสำนวน แบบ ข ในโปรแกรมงานอุทธรณ์ – ฎีกา ใบตรวจสำนวนคดีอาญาพร้อมส่งสำนวนเอกสารแยกเก็บ (ถ้ามี ลงวันที่ส่งสำนวนในสมุดคุมอุทธรณ์ – ฎีกาในช่องวันส่งศาลอุทธรณ์ – ฎีกาและสมุดคุมส่งสำนวนศาล อุทธรณ์ – ฎีกา โดยกรอกวันที่ยื่น หมายเลขคดีดำ หมายเลขคดีแดง ชื่อโจทก์ จำเลย ข้อหา วันที่ส่ง สำนวน และเสนอหัวหน้าส่วนบริหารจัดการคดีตรวจสอบความเรียบร้อยและความถูกต้องครบถ้วนของ สำนวนคดี ก่อนจะลงชื่อในหนังสือนำส่งสำนวนต่อไป ขั้นตอนการพิมพ์หนังสือส่งสำนวนในโปรแกรม งานอุทธรณ์ – ฎีกา มีดังนี้


ขั้นตอนการพิมพ์รายงานเจ้าหน้าที่ขออนุญาตส่งสำนวน (ตัวอย่าง) - บันทึกข้อมูลในโปรแกรมคอมพิวเตอร์งานอุทธรณ์ – ฎีกา =>เลือกงาน From อุทธรณ์ =>กรอกหมายเลขคดีดำที่ยื่นอุทธรณ์แล้วกด Enter จะปรากฏรายละเอียดสำนวนคดี => และเลือกเมนู หนังสือส่งอุทธรณ์และใบส่งสำนวนอุทธรณ์(ศาลจังหวัดแขวง) หรือ หนังสือส่งฎีกาและใบส่งสำนวนฎีกา เสนอสำนวนและสำเนาหนังสือนำส่งสำนวนพร้อมเอกสารแยกเก็บ (ถ้ามี) เพื่อให้หัวหน้าส่วนบริหาร จัดการคดีตรวจสอบความถูกต้องเรียบร้อยและลงชื่อในหนังสือนำส่งสำนวนอุทธรณ์ แล้วส่งสำนวนไปยัง งานสารบรรณเพื่อดำเนินการจัดส่งสำนวนไปยังศาลอุทธรณ์ และคืนสำเนาหนังสือนำส่งสำนวนให้แก่ เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานเพื่อเก็บไว้ในแฟ้มจัดเก็บสำเนาหนังสือนำส่งสำนวนอุทธรณ์ – ฎีกา 5. ขอไฟล์คำพิพากษาหรือคำสั่งศาลชั้นต้นของสำนวนคดีที่ดำเนินการส่งศาลอุทธรณ์แล้ว เพื่อดำเนินการส่งไฟล์คำพิพากษาไปยังศาลอุทธรณ์ทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ด้วย ขั้นตอนการส่งไฟล์ คำพิพากษาไปยังศาลอุทธรณ์มีดังนี้ - เข้าไปยังเว็บไซต์ของศาลฎีกา เปิดระบบรับ –ส่งเอกสาร ศาลฎีกา ไปยังกล่องรับส่ง เอกสาร - กรณีศาลอุทธรณ์ภาค ให้ส่งไปที่กล่อง 02 - กรณีส่งศาลอุทธรณ์ ให้ส่งไปที่กล่อง 03


เลือกเมนู ส่งเอกสาร => กรอกข้อมูล “หัวข้อ” / ส่งถึง “เลือกศาลที่จะส่ง” โดยคลิกเลือกจากปุ่ม “เลือก ผู้รับ” / คลิกที่ปุ่ม “เลือกไฟล์” เพื่อทำการอัพโหลดไฟล์คำพิพากษา => กดปุ่ม Upload เพื่อทำการส่ง ไฟล์คำพิพากษา


กรณีที่เป็นสำนวนคดีผู้บริโภคที่เป็นคดี E –Filing นั้น ให้เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานโหลดไฟล์เอกสารทั้งหมด ของสำนวนคดีนั้นจากระบบ E - Filing เพื่ออัพโหลดไฟล์เอกสารทั้งหมดเข้าไปใน “ระบบส่งคำพิพากษา ศาลชั้นต้น” ของศาลอุทธรณ์ภาค 6 เพื่อนำไปประกอบการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 6 ต่อไป 1.6 การรับหนังสือแจ้งวันนัดฟังคำพิพากษาล่วงหน้า ศาลอุทธรณ์จะดำเนินการจัดส่งหนังสือแจ้งวันนัดฟังคำพิพากษาล่วงหน้ามาเพื่อให้ ศาลชั้นต้นได้มีหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้แก่คู่ความล่วงหน้าก่อนถึงวันนัดฟังคำพิพากษา - กรณีศาลอุทธรณ์ภาค จะจัดส่งหนังสือแจ้งวันนัดฟังคำพิพากษาล่วงหน้ามาทางไปรษณีย์


- กรณีศาลอุทธรณ์ จะจัดส่งหนังสือแจ้งวันนัดฟังคำพิพากษาล่วงหน้ามาทางกล่อง 03 ผ่านทางเว็บไซต์ของศาลฎีกา เมื่อได้รับหนังสือแจ้งวันนัดฟังคำพิพากษาล่วงหน้าแล้ว ให้เสนอหนังสือแจ้งวันนัดฟัง คำพิพากษาล่วงหน้าพร้อมสำเนาหนังสือส่งสำนวนไปยังศาลอุทธรณ์ที่เก็บไว้ในแฟ้มจัดเก็บสำเนาหนังสือ นำส่งสำนวนต่อศาลเพื่อมีคำสั่งให้มีหมายนัดฟังคำพิพากษาล่วงหน้าต่อไป หากมีกรณีแจ้งเลื่อนวันนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ภาคก็ดำเนินการ จัดส่งมาในรูปแบบเดียวกันกับการส่งหนังสือแจ้งวันนัดฟังคำพิพากษาล่วงหน้าเช่นกัน ขั้นตอนการรับหนังสือแจ้งวันนัดฟังคำพิพากษาล่วงหน้าจากศาลอุทธรณ์มีดังนี้ - เข้าไปยังเว็บไซต์ของศาลฎีกา เปิดระบบรับ – ส่งเอกสาร ศาลฎีกา ไปยังกล่องรับส่ง เอกสารกล่อง 03


ในกรณีที่ศาลอุทธรณ์ได้ดำเนินการส่งหนังสือแจ้งวันนัดฟังคำพิพากษาล่วงหน้ามาให้ เมื่อเปิดกล่อง 03 ขึ้นมาแล้วคลิกที่เมนู “กล่องเอกสารขาเข้า” หากปรากฏว่ามีแถบข้อความเป็นสีชมพู แสดงว่าได้มีการ ส่งหนังสือแจ้งวันนัดฟังคำพิพากษาล่วงหน้ามาให้แล้ว


- เมื่อคลิกไปที่ไฟล์เอกสารใหม่จะปรากฏหน้าเพจและมีรูปเอกสารเพื่อให้ Download หนังสือแจ้งวัน นัดฟังคำพิพากษาล่วงหน้า เมื่อ Download หนังสือแจ้งวันนัดฟังคำพิพากษาล่วงหน้ามาแล้วให้เสนอ พร้อมสำเนาหนังสือนำส่งสำนวนต่อศาลเพื่อมีคำสั่งให้มีหมายนัดฟังคำพิพากษาล่วงหน้าให้แก่คู่ความ เมื่อศาลมีคำสั่งแล้วให้จัดพิมพ์หมายนัดฟังคำพิพากษาล่วงหน้าและลงวันนัดฟังคำพิพากษาในโปรแกรม วันนัดของศาล และดำเนินจัดส่งให้แก่คู่ความต่อไป 1.7 การรับสำนวนกลับจากศาลสูง - เมื่องานสารบรรณลงรับสำนวนเรียบร้อยแล้ว จะดำเนินการจัดส่งต่อมายังงานอุทธรณ์ – ฎีกา เมื่อได้รับสำนวนกลับมาแล้วก็จะดำเนินการลงลายมือชื่อในใบรับสำนวนแบบ ข ที่แนบมาพร้อมกับ หนังสือนำส่ง และส่งใบรับสำนวนแบบ ข คืนให้งานสารบรรณดำเนินการจัดส่งใบตอบรับสำนวนคืน - ลงวันนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่หน้าปกสำนวนคดี ลงวันที่ที่รับสำนวนในสมุดคุมส่ง สำนวนอุทธรณ์และสมุดคุมอุทธรณ์ เพื่อเป็นการสะดวกต่อการตรวจสอบสำนวนคงค้างประจำปีในช่วง เดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี กำหนดเลขกำกับซองคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยดูจากสมุดคุมซอง คำพิพากษา/คำสั่งศาลอุทธรณ์ – ฎีกา โดยจะลงรายละเอียดคือ วันเดือนปีที่ส่งซอง เลขกำกับซอง หมายเลขคดีดำ หมายเลขคดีแดง ของศาลชั้นต้น เลขซองของศาลสูง ชื่อศาลที่ส่งซองคำพิพากษามา และในกรณีที่มีการอ่านผ่านจอภาพจะระบุในช่องหมายเหตุว่า “มีอ่านผ่านจอภาพ” และติดป้าย หน้าปกสำนวนคดีว่า “มีอ่านผ่านจอภาพ” และ “ขัง” เพื่อให้เจ้าหน้าที่หน้าบัลลังก์ได้ทราบว่าสำนวน คดีนี้มีจำเลยถูกคุมขัง และจะต้องดำเนินการอ่านคำพิพากษาในลักษณะประชุมทางไกลผ่านจอภาพด้วย โดยมีการลงเลขกำกับไว้ที่ซองคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และที่หนังสือนำส่งสำนวนกลับจากศาลอุทธรณ์


ด้วย เพื่อเป็นการสะดวกแก่เจ้าหน้าที่หน้าบัลลังก์ในการขอเบิกซองคำพิพากษาเพื่อเสนอผู้พิพากษา เจ้าของสำนวนในวันนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ และที่หน้าซองคำพิพากษานอกจากจะมีเลขกำกับ ซองแล้วจะต้องมีหมายเลขคดีดำ หมายเลขคดีแดง ชื่อโจทก์ จำเลย ด้วย - ดำเนินการตรวจสอบว่าจำเลยถูกคุมขังหรือไม่ ถ้าหากจำเลยถูกคุมขังให้ตรวจสอบดูว่ามี การถูกคุมขังที่เรือนจำใด ถ้าหากจำเลยมีอัตราโทษจำคุกมากกว่า 15 ปีขึ้นไป ทางเรือนจำจังหวัด สุโขทัยจะดำเนินขออนุญาตศาลเพื่อขอย้ายจำเลย (กรณีเป็นเพศชาย) ไปคุมขังที่เรือนจำกลางพิษณุโลก และ (กรณีเป็นเพศหญิง) จะส่งไปคุมขังที่ทัณฑสถานหญิงพิษณุโลก ด้วยเหตุนี้เมื่อจำเลยของ ศาลจังหวัดสุโขทัยถูกย้ายไปคุมขังที่เรือนจำกลางพิษณุโลกหรือทัณฑสถานหญิงพิษณุโลก ทางเจ้าหน้าที่ ผู้ปฏิบัติงานอุทธรณ์จะต้องดำเนินการจัดทำรายงานเจ้าหน้าที่เพื่อขอดำเนินการอ่านคำพิพากษาศาลสูง โดยลักษณะการประชุมทางไกลผ่านจอภาพต่อไปและโทรศัพท์ประสานไปยังเรือนจำกลางพิษณุโลกหรือ ที่ทัณฑสถานหญิงพิษณุโลก เพื่อกำหนดวันนัดล่วงหน้าเสียก่อน เมื่อทำการประสานกับเจ้าหน้าที่เรืนจำ เรียยบร้อยแล้วให้จัดทำรายงานเจ้าหน้าที่ขออนุญาตอ่านคำพิพากษาศาลสูงโดยลักษณะการประชุม ทางไกลผ่านจอภาพและให้มีหนังสือแจ้งทางเรือนจำทราบต่อไป พร้อมทั้งตรวจสอบข้อมูลผู้ต้องขังผ่าน ทางระบบ Awis (หัวหน้าส่วนบริหารจัดการคดีจะเป็นผู้ตรวจสอบให้) เพื่อจะได้ทราบแน่ชัดว่าจำเลยได้ ถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำใดเพื่อจะได้ไม่เป็นการเบิกตัวจำเลยผิดเรือนจำเพราะจะทำให้เกิดความล่าช้าและ อาจจะต้องเลื่อนการอ่านคำพิพากษาศาลสูงออกไป - การพิมพ์รายงานเจ้าหน้าที่เพื่อขอดำเนินการอ่านคำพิพากษาศาลสูงโดยลักษณะการ ประชุมทางไกลผ่านจอภาพ เข้าโปรแกรมคอมพิวเตอร์งานอุทธรณ์ – ฎีกา =>เลือกงาน From อุทธรณ์ =>กรอกหมายเลขคดีดำที่ยื่นอุทธรณ์แล้วกด Enter จะปรากฏรายละเอียดสำนวนคดี => เลือกเมนู รายงานเจ้าหน้าที่ จะปรากฏหน้าฟอร์มรายงานเจ้าหน้าที่ ให้กรอกหมายเลขคดีดำ เลือกชื่อผู้พิมพ์ รายงาน ตำแหน่ง ตรายาง เลือกที่ “อ่านผ่านจอภาพ(อุทธรณ์)” พิมพ์ข้อความในรายงานเจ้าหน้าที่เพื่อขอ ดำเนินการอ่านคำพิพากษาศาลสูงโดยลักษณะการประชุมทางไกลผ่านจอภาพต่อไป (เฉพาะกรณีที่ จำเลยถูกย้ายไปคุมขังที่เรือนจำกลางพิษณุโลกหรือทัณฑสถานหญิงพิษณุโลกเท่านั้น)=>คลิกที่ปุ่ม รายงานเจ้าหน้าที่เพื่อทำการ Print รายงานเจ้าหน้าที่ เพื่อเสนอศาลพิจารณาสั่งต่อไป


- หาสำเนาหนังสือนำส่งสำนวนเพื่อนำมาเสนอศาลพร้อมสำนวนคดีและหนังสือนำส่งสำนวนกลับจาก ศาลอุทธรณ์และรายงานเจ้าหน้าที่เพื่อขอดำเนินการอ่านคำพิพากษาศาลสูงโดยลักษณะ การประชุมทางไกลผ่านจอภาพต่อไป (เฉพาะกรณีที่จำเลยถูกย้ายไปคุมขังที่เรือนจำกลางพิษณุโลกหรือ ทัณฑสถานหญิงพิษณุโลกเท่านั้น) ส่วนซองคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้แยกเก็บ ส่งไปยังส่วนพิจารณาคดี เพื่อดำเนินการจัดเก็บต่อไป - เมื่อศาลมีคำสั่งในสำนวนคดีแล้ว ให้ดำเนินการจัดเก็บสำเนาหนังสือนำส่งสำนวน หนังสือ แจ้งวันนัดฟังคำพิพากษาล่วงหน้า หมายนัด รายงานผลการส่งหมาย และหนังสือนำส่งสำนวนจาก ศาลอุทธรณ์พร้อมทั้งจัดทำสารบาญให้เรียบร้อย รวมไปถึงสแกนเอกสารลงในระบบการจัดทำสารบบ และสำน วน ความ อิเล็กท รอนิ กส์ (E-CMS) ใน กรณี ที่ จำเลยป ระกัน ตัวห รือถูกคุมขังที่ เรือนจำจังหวัดสุโขทัยให้จัดส่งสำนวนให้ห้องเก็บสำนวนเพื่อเก็บรักษาสำนวนไว้จนกว่าจะถึงวันนัด ในกรณีที่จำเลยถูกคุมขังที่เรือนจำกลางพิษณุโลกหรือทัณฑสถานหญิงพิษณุโลกให้จัดส่งสำนวนไปยัง งานสารบรรณเพื่อจัดทำหนังสือนำส่งเพื่อแจ้งไปยังเรือนจำเพื่อให้ดำเนินการเตรียมสถานที่เพื่อการ ประชุมทางไกลผ่านจอภาพและเบิกตัวจำเลยมาฟังคำพิพากษาในวันนัดต่อไป


- ในกรณีสำนวนกลับจากศาลสูงที่เป็นคดีแพ่งทั้งอุทธรณ์ – ฎีกา ให้เจ้าหน้าที่กำหนดวันนัด ฟังคำพิพากษาศาลสูงละจัดพิมพ์หมายนัดฟังเพื่อส่งไปให้คู่ความทราบ - ในกรณีที่เป็นสำนวนกลับจากศาลสูงที่เป็นคดีอาญาของศาลฎีกาก็จะดำเนินการ เช่นเดียวกับกรณีของสำนวนอาญากลับจากศาลอุทธรณ์ช่นกันเพียงแค่เพิ่มเติมในส่วนของการกำหนดวัน นัดฟังคำพิพากษาและจัดพิมพ์หมายนัด 1.8 การแจ้งการอ่าน เมื่อมีการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ – ฎีกา เรียบร้อยแล้ว เจ้าหน้าที่หน้าบัลลังก์จะส่ง สำนวนมายังเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานเพื่อดำเนินการลงสารบบคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ – ฎีกา โดย ดำเนินการดังนี้


กรอกข้อมูลรายละเอียดว่าอ่านวันไหน แจ้งการอ่านวันที่เท่าไร คดียุติโดย เลขซองที่อ่าน คำสั่ง/คำพิพากษา ขั้นตอนต่อไป ลงบันทึกข้อมูลคำสั่ง/คำพิพากษา โดยกรอกเลขคดีดำและกดเอ็นเตอร์ กดรูปสัญลักษณ์มือ


โดยกรกอกรายละเอียดดังภาพ และกดบันทึก 2. การจัดทำสถิติคดีงานอุทธรณ์ – ฎีกา ประจำเดือน และสถิติคดีค้างที่ศาลสูงทุก ๆ วันที่ 5 ของ เดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี - ในทุกๆสิ้นเดือนเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานจะต้องจัดทำรายงานสถิติคดีงานอุทธรณ์ – ฎีกา ประจำเดือน โดย - เปิดโปรแกรมงานอุทธรณ์ – ฎีกา =>เลือกงาน From อุทธรณ์ =>เลือก Print เอกสารอุทธรณ์แล้วเลือกที่ บัญชีอุทธรณ์ต่างๆ จะปรากฏรายละเอียดขึ้นมา => ให้กรอก วัน/เดือน/ปี ที่ต้องการเริ่มเก็บสถติ และ วัน/เดือน/ปี ที่จะให้นับสถิติถึง แล้วเลือกชื่อเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน จากนั้น ให้สั่ง Print ทุกเมนูออกมาเพื่อจะมาทำการตรวจสอบข้อมูลจากสมุดคุมต่างๆ เพื่อจัดทำสถิติ ประจำเดือนต่อไป เมื่อตรวจสอบสมุดคุมต่างๆ กับใบรายงานสถิติที่ได้ทำการ Print ออกมาว่าถูกต้อง ครบถ้วนตรงกันแล้วให้กรอกข้อมูลสถิติลงใน “รายงานอุทธรณ์ฎีกา(ประจำเดือน)” และ “บันทึก


รายงานผลสแกนคำพิพากษา” เพื่อเสนอผู้บังคับบัญชาเพื่อทำการตรวจสอบตามลำดับ และในกรณีเป็น สถิติคดีของการฎีกาก็ทำเช่นเดือนกันกับอุทธรณ์แต่ให้เปลี่ยนไปเลือก =>เลือกงาน From ฎีกา แทน - ในทุก ๆ เดือนกุมภาพันธ์ ของทุกปี โดยจะไม่เกินวันที่ 5 ของเดือนเจ้าหน้าที่ ผู้ปฏิบัติงานจะต้องจัดทำรายงานการตรวจสอบบัญชีคดีค้างพิจารณาอยู่ที่ศาลสูง โดย - เปิดโปรแกรมงานอุทธรณ์ – ฎีกา =>เลือกงาน From อุทธรณ์ =>เลือก Print เอกสารอุทธรณ์แล้วเลือกที่ บัญชีอุทธรณ์ต่างๆ จะปรากฏรายละเอียดขึ้นมา => ให้กรอก วัน/เดือน/ปี ที่ต้องการเริ่มเก็บสถติ และ วัน/เดือน/ปี ที่จะให้นับสถิติถึง แล้วเลือกชื่อเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน จากนั้น ให้สั่ง Print ที่เมนู “บัญชีสำนวนค้างที่ศาลอุทธรณ์ / ภาค ” ออกมาเพื่อจะมาทำการตรวจสอบข้อมูล จากสมุดคุมต่างๆ เพื่อจัดทำบัญชีคดีค้างพิจารณาอยู่ที่ศาลสูงต่อไป เมื่อตรวจสอบสมุดคุมต่างๆ กับใบ รายงานสถิติที่ได้ทำการ Print ออกมาว่าถูกต้องครบถ้วนตรงกันแล้วให้กรอกข้อมูลลงใน “บันทึก ข้อความตรวจสอบสำนวนระหว่างอุทธรณ์ – ฎีกาและคดีค้างอยู่ที่ศาลอุทธรณ์ - ฎีกา” และ “หนังสือ นำส่งการตรวจสอบบัญชีคดีค้างพิจารณาอยู่ที่ศาลอุทธรณ์ – ฎีกา” เพื่อเสนอผู้บังคับบัญชาเพื่อทำการ ตรวจสอบตามลำดับ และในกรณีเป็นการตรวจสอบบัญชีคดีค้างของการฎีกาก็ทำเช่นเดือนกันกับ อุทธรณ์แต่ให้เปลี่ยนไปเลือก =>เลือกงาน From ฎีกา แทน


3. การตรวจรับคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ – ฎีกา คำร้องขอขยายระยะเวลายื่นคำแก้ อุทธรณ์ – ฎีกา ทางระบบ E - Filing - เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานจะต้องเข้าไปตรวจสอบในระบบ E-Filing เพื่อไปตรวจสอบว่าการ ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ – ฎีกา คำร้องขอขยายระยะเวลายื่นคำแก้อุทธรณ์ – ฎีกา หรือไม่ โดย เมื่อเข้าไปในระบบแล้วให้ไปที่เมนู “ตรวจสอบ” เลือกที่ “งานรอตรวจสอบ” ไปที่ช่อง “ประเภทรายการ” แล้วคลิกเลือกที่ “คำร้อง/คำขอ/คำแถลงทั่วไป” แล้วกดที่ปุ่ม “ค้นหา” จะปรากฏ หน้าจอของคำร้องที่คู่ความยื่นมาทางระบบและยังไม่ได้รับการตรวจสอบ ให้เลือกไปที่คำร้องที่เป็น “คำ ร้องขอขยายอุทธรณ์ – ฎีกา” แล้วให้เลื่อนลงมาที่หน้า “เอกสารที่ยื่นโดยคู่ความ” คลิกเลือกที่ “ตรวจสอบเอกสาร” จะปรากฏหน้าเอกสารคำร้องขึ้นมา ให้ทำการตรวจสอบ เลขคดีดำ เลขคดีแดง ชื่อ ศาล วันที่ ชื่อโจทก์ จำเลย คำร้องขอขยายครั้งที่เท่าไร คู่ความลงชื่อถูกต้องครบถ้วนหรือไม่


- ถ้าตรวจสอบแล้วถูกต้องครบถ้วนทั้งหมดให้คลิกเลือก “เอกสารครบถ้วน” แล้วกด ยืนยัน และตกลง เพื่อเป็นการส่งคำร้องนี้เสนอผู้พิพากษาเพื่อพิจารณาสั่งต่อไป - ถ้าตรวจสอบแล้วไม่ถูกต้องหรือมีจุดไหนที่ต้องแก้ไขให้คลิกเลือก “เอกสารไม่ ครบถ้วน” และพิมพ์รายงานเจ้าหน้าที่ตรงช่องรายงานเจ้าหน้าที่ : (ขอเสนอต่อท่านผู้พิพากษา) แล้วกด ยืนยัน และตกลง ระบบจะขึ้นหน้าจอว่า “ดำเนินการสำเร็จ” ให้กดปุ่ม “ยืนยัน” เพื่อเป็นการส่งคำร้อง นี้เสนอผู้พิพากษาเพื่อพิจารณาสั่งต่อไป - เมื่อผู้พิพากษามีคำสั่งในคำร้องแล้วให้เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานพิมพ์คำร้องนั้นมาเพื่อลงคำสั่ง ในระบบและนำคำร้องใส่ในสำนวนต่อไป - กรณีการยื่นคำฟ้องอุทธรณ์ – ฎีกา ทางระบบ E-Filing จะไม่สามารถทำได้เนื่องจาก ระบบ E-Filing ยังไม่รองรับการยื่นคำฟ้องอุทธรณ์ –ฎีกา ได้


4. การตรวจรับอุทธรณ์ – ฎีกา และคำแก้อุทธรณ์ – ฎีกา ทางระบบ Cios - เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานจะต้องเข้าไปตรวจสอบในระบบ Cios เพื่อไปตรวจสอบว่ามีการยื่น อุทธรณ์ – ฎีกา หรือคำแก้อุทธรณ์ – ฎีกา หรือไม่ โดย เมื่อเข้าไปในระบบแล้วให้ไปที่เมนู “รับคำร้อง” จะปรากฏหน้าจอของคำร้องที่คู่ความยื่นมาทางระบบและยังไม่ได้รับการตรวจสอบ ให้เลือกไปที่คำร้อง ที่เป็น “คำฟ้องอุทธรณ์ – ฎีกาหรือ คำแก้อุทธรณ์ – ฎีกา” แล้วให้คลิกเลือกที่ “ตรวจสอบคำร้อง” จะ ปรากฏหน้า “รายละเอียดคำคู่ความ” ให้กดที่ช่อง “คำร้อง” จะปรากฏเอกสารคำร้องขึ้นมา ให้ทำการ


ตรวจสอบ เลขคดีดำ เลขคดีแดง ชื่อศาล วันที่ ชื่อโจทก์ จำเลย ท้ายอุทธรณ์ – ฎีกา คู่ความลงชื่อ ถูกต้องครบถ้วนหรือไม่ สำเนาใบอนุญาตทนายความหมดอายุหรือไม่ เป็นต้น - การรับคำฟ้องอุทธรณ์ – ฎีกาจะรับได้แค่คำฟ้องอุทธรณ์คดีแพ่งและคดีผู้บริโภคเท่ นั้น และให้ตรวจสอบด้วยว่ามีการยื่นคำแกลงขอปิดหมาย และใบวางเงินค่าธรรมเนียมศาลมาด้วย หรือไม่ หากตรวจสอบแล้วครบถ้วนถูกต้องให้ส่งเอกสารไปยังงานการเงินเพื่อออกใบเสร็จ แล้วจึง ดำเนินการดังเช่นเดียวกับการรับอุทธรณ์ที่มายื่นเองที่ศาล - หากเป็นการยื่นคำฟ้องอุทธรณ์ – ฎีกา คดีอาญาจะไม่สามารถทำได้เนื่องจาก คดีอาญาจะต้องมีการแสดงตัวต่อศาลถึงจะรับคำฟ้องอุทธรณ์ – ฎีกาได้ - ถ้าตรวจสอบแล้วถูกต้องครบถ้วนทั้งหมดให้สั่งพิมพ์เอกสารนั้นออกมาจากระบบเพื่อ แล้ว เลื่อนลงไปที่ “ตรวจสอบสถานะคำร้อง” เลือกช่อง “เจ้าหน้าที่รับคำร้องฯ” หรือ “อยู่ระหว่างเสนอ ศาล” แล้วกด “บันทึก” และส่งคำร้องนี้ให้แก่ผู้ที่เก็บสำนวนนั้นไว้เพื่อเสนอผู้พิพากษาพิจารณาสั่งต่อไป - ถ้าตรวจสอบแล้วไม่ถูกต้องหรือมีจุดไหนที่ต้องแก้ไขให้เลื่อนลงไปที่ “ตรวจสอบ สถานะคำร้อง” เลือกช่อง “เจ้าหน้าที่ไม่รับคำร้อง” แล้วพิมพ์เหตุผลของการไม่รับคำร้องลงในช่อง “รายละเอียด” แล้วกด “บันทึก”


การตรวจผลหมายและการรายงานผลการส่งหมาย - ในแต่ละสัปดาห์เจ้าหน้าที่ส่งหมายจะนำผลหมายและสำนวนความมาให้ตรวจผลหมาย ก่อนที่จะทำการเบิกจ่ายค่าส่งคำคู่ความ เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานอุทธรณ์ – ฎีกา จะต้องตรวจรายงานผล การส่งหมายให้แล้วเสร็จภายในวันพุธของทุกสัปดาห์ - ในแต่ละวันเจ้าหน้าที่งานหมายขาวจะนำผลการส่งหมายไปรษณีย์มาให้ตรวจ เจ้าหน้าที่ ผู้ปฏิบัติงานอุทธรณ์ – ฎีกา จะต้องตรวจรายงานผลการส่งหมาย แล้วส่งต่อไปยังผู้ที่เก็บสำนวนนั้นไว้ เพื่อดำเนินการต่อไป โดยจะต้องลงสมุดคุมส่งผลการส่งหมายไว้ด้วย


- ในแต่ละวันเจ้าหน้าที่งานสารบรรณจะนำผลการส่งหมายข้ามเขตที่พิมพ์ออกมาจากระบบ Sommon ซึ่งเป็นการส่งผลการส่งหมายทางระบบ มาให้เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานอุทธรณ์ – ฎีกา จะต้อง ตรวจรายงานผลการส่งหมาย และรายงานผลการส่งหมายนั้นลงในระบบผลหมายด้วย แล้วจึงส่งต่อไป ยังผู้ที่เก็บสำนวนนั้นไว้เพื่อดำเนินการต่อไป โดยจะต้องลงสมุดคุมส่งผลการส่งหมายไว้ด้วย


Click to View FlipBook Version