The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เล่มแผนการสอน ม.ปลาย

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by 421ed000047, 2021-09-14 23:17:57

เล่มแผนการสอน ม.ปลาย

เล่มแผนการสอน ม.ปลาย

ใบความรู้
คำสแลงของวยั รุ่นไทยในปจั จุบนั

คำสแลง หมายถึง ภาษาสแลง คำสแลง หรอื คำคะนอง (Slang)คอื ถอ้ ยคำ สำนวน หรอื ภาษาพดู ที่ใชส้ รา้ งความเข้าใจ
เฉพาะกลมุ่ ซึ่งส่วนใหญอ่ ยู่ในวัยหนมุ่ สาว เปน็ ภาษาทส่ี รา้ งข้ึนเพ่อื หลกี เลยี่ งการใช้ ภาษาไมส่ ุภาพ เป็นภาษาไม่เปน็ แบบแผน แต่
ไม่ใชค่ ำหยาบหรือ คำต่ำ แต่เปน็ คำ พเิ ศษทส่ี ร้างข้ึนเพ่ือให้เกดิ คำแปลกผดิ ไปจากปรกติท้ังด้านเสียง รูป คำ และความหมายเปน็
ภาษาท่ีไม่ปรากฏในพจนานุกรม หรือปรากฏในพจนานุกรมแต่ระบุ วา่ เป็นภาษาปาก คำสแลงมีระยะเวลาการใชไ้ ม่นานก็จะสูญ
หาย ไปเพราะหมดความนิยม
1. ประเภทของคำสแลง

คำสแลงสามารถจำแนกได้ 3 ประเภท คือ คำสแลงแท้ คำสแลงเทียม และคำสแลงลักษณะประสม คำสแลงแต่ละประเภทมี
ลักษณะแตกต่างกัน กลา่ วคือ
1.1.1 คำสแลงแท้ หมายถึง คำสแลงที่ถูกกำหนดเสยี งและความหมาย ขึ้นใหม่ อาจมเี คา้ ของเสยี งและความหมายจากคำท่ีมี
อยูเ่ ดิมกไ็ ด้ เช่น

ซา้ ว เป็นคำสแลงท่ีกำหนดเสียงใหม่โดยเปลี่ยนเสียง พยญั ชนะตน้ และเสยี งวรรณยุกต์จากคำเดิม “สาว” ซง่ึ มีเคา้ ของ
เสยี งเดิมแต่มี ความหมายต่างจากเดมิ คือ หมายถงึ ผ้ชู ายกะเทยทีม่ ีพฤติกรรมแสดงตนวา่ เป็นหญิง ไมใ่ ช่ชาย ดงั ตัวอย่างประโยค
“สมศกั ด์ิเปน็ ซา้ วนะ”

1.1.2 คำสแลงเทยี ม หมายถึง คำสแลงทีน่ ำคำซ่ึงมีอยู่ในภาษามาใชใ้ น ความหมายใหม่ อาจเป็นความหมายเชงิ อุปมา หรอื
ความหมายต่างจากเดิมโดยสิน้ เชงิ หรอื ใช้ในหน้าท่ซี ึง่ กำหนดขนึ้ ใหม่ เช่น

แหนม เป็นคำสแลงที่นำคำซงึ่ มีอยใู่ นภาษามาใชใ้ น ความหมายเชิงอุปมาโดยนำลักษณะแหนมท่มี ดั เป็นเปลาะอว้ นกลม
เปน็ ปล้อง ใชใ้ น เชงิ ความเปรียบลักษณะรูปร่างคนอ้วนเตีย้ ดังตัวอยา่ งประโยค“ยายแหนมเดนิ มา นั่นแลว้ ”

1.1.3 คำสแลงลกั ษณะประสม หมายถงึ คำสแลงทตี่ ัดพยางค์หรือประสมคำระหวา่ งคำสแลงแท้กบั คำสแลงเทียม เชน่
กะ๊ เป็นคำสแลงทตี่ ัดคำจากคำเดมิ “กะเทย” เปลี่ยน เสียงวรรณยุกต์เพื่อสอ่ื ความหมายทางอารมณ์ ดังตวั อยา่ ง

ประโยค
“โอย ! นงั หนุม่ เปน็ กะ๊ เหมือนเรา” องค์ประกอบทง้ั ๗ ประการน้ี จะเปน็ ตน้ กำหนดลักษณะภาษาทใี่ ชใ้ นการพูดทุกระดบั การพูด
ในแตล่ ะสถานการณ์จะมีความแตกต่างกนั ออกไปก็เพราะความแตกต่างขององคป์ ระกอบเหลา่ น้ีนัน่ เอง
2. การจำแนกชนดิ ของคำสแลง

คำสแลงแต่ละประเภทคอื คำสแลงแท้ คำสแลงเทยี ม และคำสแลงลกั ษณะประสม ดัง ท่ีกล่าวมานั้น แต่ละประเภทสามารถ
จำแนกออกเป็นชนดิ ย่อย ๆ ตามหนา้ ที่ของคำ ไดด้ งั ต่อไปนี้

1.2.1 ชนดิ ของคำสแลงแท้ จำแนกตามหน้าท่ขี องคำและการปรากฏในตำแหนง่ ประโยค ดงั น้ี
1. คำสแลงแท้ที่เปน็ คำนาม เชน่ ซ้าว ปอ๊ พ เก็กชง ช้งิ ฉอ่ ง ตะแนว็ มเู ตรู

2. คำสแลงแทท้ ี่เปน็ คำสรรพนาม จากข้อมลู พบเพียง 1 คำ คอื แม่ง
3. คำสแลงแท้ที่เป็นคำกรยิ า เช่น มิว่ ติงนัง เหวอเข่อเว่อ อิปเป๊ะอบิ ปั๋ง
4. คำสแลงแท้ทีเ่ ป็นคำวิเศษณ์ เชน่ อึ๋ม สะแด่ว สะปุ้ยต่ยุ
5. คำสแลงแท้ทเ่ี ป็นคำอุทาน จากข้อมลู มี 2 คำ คือ แมง่ เอย๊ แม่งโว้ย
1.2.2 ชนิดของคำสแลงเทยี ม จำแนกตามหนา้ ที่ของคำและการปรากฏในตำแหนง่ ประโยค ดังนี้

1. คำสแลงเทียมที่เป็นคำนาม เช่น แหนม มา่ ม่า ทอู นิ วัน หัวเหด็
2. คำสแลงเทียมทเี่ ป็นคำสรรพนาม เช่น (อี) เห็ดสด (อ)ี กระซู่

3. คำสแลงเทียมที่เป็นคำกริยา เช่น ตุ๋ย ขอเบยี ร์ ลอยกระทง หนีบโจ๊ะ
4. คำสแลงเทยี มที่เป็นคำวิเศษณ์ เชน่ ตูม้ บรู ิน สวิงก้งิ ประมาณน้ัน
5. คำสแลงเทยี มทเี่ ป็นคำสนั ธาน จากข้อมูลท่ีเกบ็ รวบรวมไดม้ ี 2 คำ คือ แบบวา่ ประมาณว่า
6. คำสแลงเทยี มทีเ่ ป็นคำอุทาน จากข้อมลู ท่ีเกบ็ รวบรวมไดม้ ี 2 คำ คือ ให้ตายเถอะโรบนิ้ และ อกอีแปน้ แลน่ ลึกเข้าตึก
แขก

1.2.3 ชนิดของคำสแลงลักษณะประสม จำแนกตามหนา้ ท่ีของคำและการปรากฏในตำแหน่งประโยค ดังน้ี
1. คำสแลงลักษณะประสมท่เี ปน็ คำนาม เช่น โบ หยามโฮ โม่ตาลา สะมะนะแฮป
2.คำสแลงลกั ษณะประสมที่เป็นคำสรรพนามและคำอทุ าน จากข้อมลู ท่เี กบ็ รวบรวมได้มี 1 คำ คอื อีแควด
3. คำสแลงลกั ษณะประสมท่ีเป็นคำกริยา จากข้อมลู ทเ่ี ก็บรวบรวมได้มี 5 คำ คือ แด็ะ แชท บวิ ท์ เฟริ ์ม มีพาว
4. คำสแลงลกั ษณะประสมท่เี ป็นคำวเิ ศษณ์ จากข้อมลู ท่เี กบ็ รวบรวมได้มี 6 คำ คือ ก็อบ เจิด แจ่ม เซวส์ เซอร์ ลำ้

นอกจากการวเิ คราะห์คำสแลงประเภทและชนิดต่างๆ แลว้ ผเู้ ขยี นยงั วเิ คราะห์การสรา้ งคำสแลงลักษณะคำประสม เชน่
กะเทยควาย หอยมด นางฟ้าออ นไลน์ ฯลฯ การสรา้ งคำสแลงลักษณะคำซำ้ เชน่ เด็กๆ ซ่วิ ๆ ฯลฯ การ สร้างคำสแลง
ลกั ษณะวลี เชน่ นิ่งหลบั ขยับแดก สายเดี่ยวเคี้ยว หมาก ฯลฯ และการสร้างคำสแลงลกั ษณะท่ีเปน็ ประโยค เช่น กระเป๋าร่วั
หมา รอ้ งไห้ ไข่ดาวถูกตะหลิวตบ เต่าเรียกแม่ เมด็ แมงลกั ไม่พองนำ้ สมองไม่ มรี อยหยกั ฯลฯ สดุ ทา้ ยคอื การวเิ คราะห์ท่ีมา
และความหมาย

การศกึ ษาคำสแลงนอกจากจะให้ความรเู้ ชงิ ภาษาดงั กล่าวข้างตน้ แล้ว คำ สแลงยงั ให้ความรเู้ กยี่ วกบั สภาพสังคม ความเจริญ
ทางเทคโนโลยี และวฒั นธรรม ประเพณใี นสงั คมช่วงปี พ.ศ.2540 – 2545 ดังต่อไปน้ี

1. สภาพสงั คม คำสแลงท่ีเกิดขนึ้ ในช่วงปี พ.ศ.2540 – 2545 ได้แสดงใหเ้ หน็ สภาพสงั คมไทยในช่วงน้นั หลายประการเชน่

1.1) สงั คมไทยเป็นสังคมเปิดมากข้ึน ยอมรับสิทธิส่วนบุคคลมาก ข้ึน โดยเฉพาะเรื่องเพศ เห็นได้จากการสร้างคำ
สแลงใชส้ ือ่ เฉพาะกลุม่ ผมู้ ี พฤตกิ รรมเบ่ยี งเบนทางเพศ และการสรา้ งคำสแลงเพ่ือหลีกเล่ียงคำต้องหา้ มเก่ยี ว กบั เพศมมี ากข้นึ เช่น

ตะแน็ว ตุ๊ด ทบี ี ทูอินวัน ทีพี น้องจงุ น้อง ตมุ้ เสือไบ หยามโฮ กระด้ยุ เก็กชง ซองจู เด้อ สวิงเดง้
หนีบ โจะ๊ แอบ๊ ลืมหลัง กระเทยความ ติงนัง บว๊ บ นอ้ ง อ๊ึบ กีฬาใน รม่ เปน็ ตน้

1.2) สงั คมกรงุ เทพฯเปน็ สังคมสมยั ใหม่มากขึ้น ซง่ึ เหน็ ไดจ้ าก คำสแลงที่มใี ช้เฉพาะกรงุ เทพฯเท่าน้ัน เชน่ หยามโฮ
ผีมะขาม ผี ขนุน ป๊อพ เป็นตน้

1.3) เหตกุ ารณ์ทีเ่ กิดขนึ้ ในสงั คม คำสแลงบางคำเกดิ ข้นึ เพราะ เกิดเหตุการณ์ในสังคมช่วงนั้น เชน่ ตุ๋ย สวิงกงิ้
โมต่ าลา น้อง ตุ้ม เปน็ ตน้

1.4) การติดต่อสัมพนั ธ์กับตา่ งประเทศมีมากขึ้น ซึ่งเห็นได้จาก อทิ ธพิ ลภาษาต่างประเทศที่นำมาสร้างคำสแลง
ลกั ษณะคำประสมระหวา่ งคำไทยกบั คำ ตา่ งประเทศ หรอื ทบั ศพั ท์ เชน่ เพ่ือนเทค เยเย่ มพี าว เป็นตน้

2. ความเจริญทางเทคโนโลยี คำสแลงท่ีเกดิ จากภาษาที่ใช้ในคอมพวิ เตอร์ หรอื โทรศัพท์ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีในสงั คมยคุ ข้อมูล
ขา่ วสารไร้ พรมแดน เช่น ดำดอทคอม แชท นางฟา้ ออนไลน์ เป็นตน้ ได้แสดงให้เห็น ถงึ ความเจรญิ ทางเทคโนโลยใี น
ชว่ งเวลาท่ีศกึ ษา

3. การเปลีย่ นแปลงทางวัฒนธรรมประเพณี คำสแลงบางคำทำให้เห็นความ เปลีย่ นแปลงวัฒนธรรมประเพณี เชน่ สายเดยี่ ว
เคี้ยวหมาก หมายถึง ผู้หญงิ ที่มี อายุแต่แตง่ ตวั แบบวยั รนุ่ คือ สวมเส้อื สายเด่ียวที่เปิดเผยเนือ้ หนงั การ แต่งกายเช่นน้ีไม่เหมาะสม
กับผมู้ ีอายุ เมื่อผมู้ ีอายแุ ตง่ กายเช่นนกี้ จ็ ะ ถูกล้อเลยี นดว้ ยคำสแลงวา่ “สายเด่ยี วเค้ยี วหมาก”

คำสแลงทเ่ี กดิ ขึ้นและใช้อยใู่ นชว่ งปี พ.ศ.2540 – 2545 ดังทรี่ วบรวม มาไดจ้ ากการศึกษาครั้งน้ีนับเป็นปรากฎการณท์ าง
ภาษาท่ีสอดคล้องกบั สภาพสังคม และวฒั นธรรมในเวลานัน้ ในช่วงเวลาต่อไปสภาพสงั คมและวฒั นธรรมก็จะเปลย่ี น แปลงไป
อีกและคำสแลงก็จะเกิดขึ้นใหม่อีก จงึ ควรมกี ารศกึ ษารวบรวมปรากฏการณ์ ทางภาษาลักษณะน้ีไว้ เพอ่ื เปน็ หลักฐานท่ีมี
ประโยชน์ต่อการศกึ ษาภาษาและ พฒั นาการทางสงั คม ในปีช่วงระยะเวลาน้จี ะพบว่าเกิดคำสแลงใหมห่ ลายคำ อาทิ เด็กสก็ อย
เด็กแว็นส์ ฯลฯ คำสแลงท่ีพบในทผี่ ้เู ขยี นศึกษาบางคำก็หายไป เช่น คำ ว่า นุย ตะแนว็ เป็นตน้ และคำสแลงบางคำก็
ยังคง อยู่ เชน่ อึบ๊ กะเทยควาย ได้หนา้ ลืมหลัง เปน็ ตน้

คำสแลง(ภาค 1) ทีผ่ ูเ้ ขียนรวบรวมในปี พ.ศ.2540 – 2545 ผเู้ ขยี นรวบรวมได้ ทั้งหมด374 คำ และไดน้ ำคำสแลงทกุ คำ
มาวเิ คราะหป์ ระเภท ชนิด การสรา้ งคำ และ ความหมายของคำสแลงไวใ้ นหนังสือเร่อื ง “คำสแลง” ที่พมิ พ์เป็นรปู เลม่ และมอบ
ให้หอ้ งสมุดตา่ ง ๆ ได้แก่ หอสมุดแห่งชาติ หอสมุดมหาวทิ ยาลัยศรนี ครนิ ทรวิ โรฒ ศูนย์วิทยบริการ จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย
หอสมดุ กลางมหาวทิ ยาลัย ศิลปากร วังทา่ พระ เป็นตน้ หากทา่ นใดสนใจอ่านฉบับเต็มกส็ ามารถหาอา่ นได้ ที่หอสมุดขา้ งต้น

แบบทดสอบก่อนเรียน

1. ประเภทของคำสแลง มีกี่ประเภท? ค. 3
ก. 1 ง. 4
ข. 2
ค.เกาเหลา
2. คำใคจัดว่าเปน็ คำสแลงแท้? ง.แหนม
ก. ซ้าว
ข.กว๋ ยเตีย๋ ว ค.เกาเหลา
ง.ฟรุ้งฟรงิ้
3.คำใดจดั ว่าเป็นคำสแลงเทยี ม?
ก.นุย
ข.สงกรานต์

4. นยุ จัดเป็นคำสแลงประเภทใด?

ก.คำไทยแท้ ค.คำสแลงแท้

ข.คำสแลงเทยี ม ง.คำสแลงประสม

5. ข้อความใดตอ่ ไปนีถ้ ูกต้อง

ก.คำสแลงเทียมที่เป็นคำนาม เช่น ซ้าว ป๊อพ เกก็ ชง ชง้ิ ฉอ่ ง ตะแน็ว มูเตรู

ข.คำสแลงแทท้ ี่เปน็ คำอทุ าน จากขอ้ มูลมี ๒ คำ คือ แมง่ เอ๊ย แม่งโว้ย

ค.คำสแลงแท้ท่ีเป็นคำสรรพนาม เช่น (อ)ี เห็ดสด (อ)ี กระซู่

ง.คำสแลงเเท้ที่เปน็ คำนาม เช่น โบ หยามโฮ โม่ตาลา สะมะนะแฮป

แบบทดสอบหลังเรียน

1. ประเภทของคำสแลง มีกี่ประเภท? ค. 3
ก. 1 ง. 4
ข. 2
ค.เกาเหลา
2. คำใคจดั วา่ เปน็ คำสแลงแท้? ง.แหนม
ก. ซา้ ว
ข.กว๋ ยเต๋ียว ค.เกาเหลา
ง.ฟรุ้งฟรง้ิ
3.คำใดจัดวา่ เป็นคำสแลงเทียม?
ก.นยุ
ข.สงกรานต์

4. นุย จดั เปน็ คำสแลงประเภทใด?

ก.คำไทยแท้ ค.คำสแลงแท้

ข.คำสแลงเทยี ม ง.คำสแลงประสม

5. ขอ้ ความใดตอ่ ไปนถ้ี ูกต้อง

ก.คำสแลงเทียมที่เป็นคำนาม เช่น ซา้ ว ป๊อพ เก็กชง ช้งิ ฉอ่ ง ตะแน็ว มูเตรู

ข.คำสแลงแทท้ ่เี ปน็ คำอุทาน จากข้อมลู มี ๒ คำ คอื แม่งเอย๊ แมง่ โวย้

ค.คำสแลงแทท้ ี่เปน็ คำสรรพนาม เช่น (อี) เห็ดสด (อ)ี กระซู่

ง.คำสแลงเเท้ที่เปน็ คำนาม เชน่ โบ หยามโฮ โม่ตาลา สะมะนะแฮป

เฉลยแบบทดสอบ

13
21
33
41
51

ครัง้ ที่ 6

แผนการจดั การเรียนรรู้ ายสปั ดาห์ วันที่ 18/07/2564

ภาคเรียนที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2564

รายวิชาภาษาไทยในชีวิตประจำวนั (พท32011) ระดบั มัธยมศกึ ษาตอนปลาย (2 หนว่ ยกติ )

หนว่ ยท่ี 2 ลักษณะและความสำคัญของภาษาไทยในชีวิตประจำวนั (1 ช่ัวโมง)

ศนู ยก์ ารศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศัยอำเภอเมืองระยอง

1. มาตรฐานการเรยี นรูร้ ะดับ
มีความร้คู วามเข้าใจและทักษะพื้นฐานเกี่ยวกบั ภาษาและการสอ่ื สาร

2. เนอื้ หาตามหลกั สตู ร
- ความสำคญั ของภาษาไทย
- ลักษณะของภาษาไทย

3. ผลการเรียนรูท้ ่คี าดหวัง (ตัวชว้ี ดั )
- บอกความสำคัญของภาษาไทย
- บอกลกั ษณะของภาษาไทย

4. กระบวนการจัดการเรียนรแู้ ละกจิ กรรมเพ่ิมเติม
ขั้นนำ (Warm-up Activity)
1. ผสู้ อนชแี้ จงผลการเรียนรทู้ ่คี าดหวัง
2. ผสู้ อนให้ผู้เรยี นทำแบบทดสอบก่อนเรียน
3. ผู้สอนทกั ทายกลา่ วนำและอธบิ ายความสำคญั ของการเรยี นร้ดู ว้ ยตนเองซงึ่ เปน็ เครอ่ื งมือสำคญั ในการเรยี น กศน.
4. ผ้สู อนสนทนากับผู้เรยี นเพื่อเช่ือมโยงเข้าส่บู ทเรียน
5. ผู้เรียนทำแบบทดสอบก่อนเรยี น
ข้นั สอน
1. ผู้สอนอธบิ ายเกยี่ วกบั เนอ้ื หาที่เรียน
2. ผสู้ อนอธิบายถึงความสำคัญของภาษาไทย
3. ผสู้ อนให้ผู้เรยี นศึกษาหาความรู้ในใบกจิ กรรม
4. ทำใบกจิ กรรม
ข้นั สรปุ
1. ผูส้ อนและผู้เรียนร่วมกนั สรปุ สาระสำคญั ท่ีได้เรียนรู้
2. ให้นักเรยี น จดบนั ทกึ ความรู้ที่ได้รบั ลงในสมุด
3. ทำแบบทดสอบหลงั เรียน
4. ผสู้ อนเฉลยแบบทดสอบก่อนและหลงั เรียน

งานที่มอบหมาย
1. ใบกิจกรรม

5. แหลง่ เรยี นรู้

5.1 มมุ หนงั สือ กศน.ตำบลเชงิ เนิน
5.2 หอ้ งสมุดประชาชนจังหวดั ระยอง
5.3. รายวชิ าภาษาไทยในชวี ิตประจำวนั (พท32011)
6. การเรยี นรดู้ ว้ ยตนเอง (กรต.)

ท่ี ตัวช้ีวัด เนื้อหา (กรต.) จำนวนชั่วโมง หมายเหตุ
บอกความสำคญั ของ 1. ความสำคัญของภาษาไทย
2. ลักษณะของภาษาไทย 19 ชั่วโมง ใบกิจกรรม
1 ภาษาไทย กรต.
บอกลกั ษณะของภาษาไทย

7. การวัดผลและประเมินผล

การวัดผลตามจดุ ประสงค์ เครอ่ื งมอื การวัดผล เกณฑก์ ารประเมินผล
1. ทำแบบทดสอบได้ 70% ขึ้นไป
ความรู้ (Knowledge) แบบทดสอบ
1. ประเมนิ ในระดบั ผา่ น ของแบบ
1. บอกความสำคญั ของภาษาไทย ประเมินการทำใบกจิ กรรม
1. มีผลการประเมนิ ในระดับ ผา่ น
ทกั ษะ (Skill) -ใบกจิ กรรม ของแบบสงั เกตพฤติกรรมการ
ทำงาน (รายบคุ คล)
1. บอกความสำคญั ของภาษาไทย 2. มีผลการประเมินในระดับ ผ่าน
ของแบบสงั เกตการมีสว่ นร่วมใน
เจตคติ (Attitude) - การมีสว่ นร่วมในการอธิบาย การแลกเปลยี่ นเรยี นรู้ ขน้ึ ไป

1. มคี วามรสู้ ึก เจตคติทีด่ ตี ่อ ความคิดเหน็

ภาษาไทยในชวี ิตประจำวัน - การถามตอบข้อซักถาม

- แบบสังเกตพฤตกิ รรมการ

ทำงาน (รายบคุ คล)

ลงชือ่ .............................................................ผสู้ อน
(…………………………..………………)

วันท…่ี ......เดือน…………….......พ.ศ……………....

ขอ้ เสนอแนะของหัวหน้าสถานศึกษาหรือผทู้ ี่ได้รับมอบหมาย
............................................................................................................................. .....................................
............................................................................................ ......................................................................

ลงชอื่ ...................................................ผอู้ ำนวยการ กศน.อำเภอเมืองระยอง
(……....................…………………………)
วนั ท่ี......เดือน…………….......พ.ศ………..

ใบกจิ กรรมท่ี 1
รายวชิ า ภาษาไทยในชวี ิตประจำวัน (พท32011)
จงบอกความสำคัญของภาษาไทย
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ชื่อ-นามสกลุ ………........................…………………………………. รหัสกลุม่ …………….............รหสั นกั ศึกษา........…..……..………

ใบกจิ กรรมท่ี 2
รายวชิ า ภาษาไทยในชีวติ ประจำวัน (พท32011)
ลักษณะและความสำคัญของภาษาไทย
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ชอื่ -นามสกุล ………........................…………………………………. รหัสกลุ่ม…………….............รหัสนกั ศกึ ษา........…..……..………

ใบกิจกรรมท่ี 3 (กรต.)
รายวิชา ภาษาไทยในชีวิตประจำวนั (พท32011)

1. การสรา้ งคำภาษาไทยมีวิธกี ารอยา่ งไรบ้าง
2. ผู้เรยี นคดิ วา่ ภาษาเปน็ เครื่องมือสรา้ งความเข้าใจอนั ดีต่อกันอยา่ งไรบ้าง จงยกตัวอยา่ ง ประกอบใหช้ ดั เจน
3. ผูเ้ รียนมีแนวทางในการสง่ เสรมิ ให้คนในสงั คมตระหนักถึงความสำคญั ของภาษาไทย อยา่ งไรบา้ ง

ใบความรู้

ความสำคญั ของภาษาไทย
ภาษาไทยเปน็ เอกลกั ษณป์ ระจำชาติ เป็นสมบัตทิ างวฒั นธรรมอนั ก่อให้เกิดความเป็นเอกภาพ และเสริมสรา้ ง

บคุ ลกิ ภาพของคนในชาตใิ ห้มีความเปน็ ไทย เปน็ เคร่ืองมือในการตดิ ต่อสื่อสารความเข้าใจและความสัมพนั ธ์ทดี่ ตี ่อกนั ทำให้
สามารถประกอบกิจธรุ ะการงานและดำรงชีวิตร่วมกนั ในสังคมประชาชาติได้อย่างสนั ติสขุ และเปน็ เคร่อื งมือในการ
แสวงหาความรู้ ประสบการณ์ จากแหล่งข้อมลู สารสนเทศต่างๆ เพ่ือพฒั นาความรู้ ความคิด วิเคราะห์ วจิ ารณ์ และ
สร้างสรรคใ์ ห้ทันตอ่ การเปลย่ี นแปลงทางสงั คม และความก้าวหน้า ทางวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยตี ลอดจนนำไปใช้ในการ
พฒั นาอาชีพให้มีความมัน่ คง ทางสังคมและเศรษฐกจิ นอกจากนี้ยงั เปน็ ส่ือที่แสดงภูมิปัญญาของบรรพบรุ ุษดา้ นวัฒนธรรม
ประเพณี ชวี ทศั น์ โลกทศั น์ และสุนทรยี ภาพ โดยบันทึกไวเ้ ป็นวรรณคดแี ละวรรณกรรมอันล้ำคา่ ภาษาไทยจึงเปน็
สมบตั ิของชาติที่ควรคา่ แก่การเรียนรู้ เพอ่ื อนรุ ักษ์และสืบสานใหค้ งอยู่คชู่ าตไิ ทยตลอดไป
ธรรมชาติ / ลกั ษณะเฉพาะ ของภาษาไทย

ภาษาไทยเป็นเครอื่ งมอื ใชส้ อ่ื สาร เพ่ือใหเ้ กดิ ความเขา้ ใจตรงกนั และตรงตามจุดหมายไม่ว่าจะเปน็ การแสดง
ความคิด ความตอ้ งการและความ ร้สู ึก คำในภาษาไทยย่อมประกอบด้วยเสยี ง รูปพยัญชนะ สระ วรรณยุกต์ และ
ความหมาย สว่ นประโยคเป็นการเรียงคำตามหลักเกณฑ์ของภาษา และประโยคหลายประโยคเรียงกันเป็นขอ้ ความ
นอกจากนนั้ คำในภาษาไทยยังมเี สียงหนัก เบา มรี ะดับของภาษา ซึ่งใช้ใหเ้ หมาะแกก่ าลเทศะและบคุ คล ภาษายอ่ มมีการ
เปล่ยี นแปลงตามกาลเวลา ตามสภาพวฒั นธรรมของกลมุ่ คน ตามสภาพของสังคมและเศรษฐกิจ การใชภ้ าษาเป็นทกั ษะที่
ผใู้ ชต้ ้องฝกึ ฝนใหเ้ กดิ ความชำนาญ ไม่ว่าจะเป็นการอา่ น การเขยี น การพดู การฟัง และการดูสื่อตา่ งๆ รวมทั้งต้องใช้ให้
ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ทางภาษา เพือ่ สื่อสารใหเ้ กดิ ประสิทธิภาพ และ ใชอ้ ย่างคล่องแคล่ว มีวิจารณญาณและมีคุณธรรม
วิสยั ทศั นก์ ล่มุ สาระการเรียนรภู้ าษาไทย

ภาษาไทยเป็นเครื่องมือของคนในชาติเพื่อการสอ่ื สารทำความเขา้ ใจกนั และใช้ภาษาในการประกอบกิจการงานทัง้
สว่ นตัว ครอบครวั กิจกรรมทางสงั คมและประเทศชาติ เป็นเครือ่ งมอื การเรียนรู้ การบนั ทึกเร่ืองราวจากอดตี ถึงปจั จุบัน
และเป็นวฒั นธรรมของชาติ ดงั น้ันการเรียนภาษาไทย จึงต้องเรียนรู้เพ่ือให้เกิด ทกั ษะอย่างถูกต้อง เหมาะสมในการ
สอ่ื สาร เป็นเคร่ืองมอื ในการเรียนแสวงหาความรู้ และประสบการณ์ เรียนรูใ้ นฐานะเป็นวัฒนธรรมทางภาษาให้เกิดความ
ชื่นชม ซาบซงึ้ และภมู ใิ จในภาษาไทย โดยเฉพาะคุณค่าของวรรณคดี และภูมปิ ญั ญาทางภาษา ของบรรพบรุ ุษได้
สร้างสรรค์ไว้ อันเป็นส่วนเสรมิ สรา้ งความงดงามในชีวิต

การเรียนรู้ภาษาไทยย่อมเก่ยี วพันกบั ความคิดของมนุษย์ เพราะภาษาเปน็ สื่อของความคิดการเรยี นรภู้ าษาไทยจงึ
ตอ้ งส่งเสรมิ ให้ผู้เรยี นได้สรา้ งสรรค์ คดิ วิพากษ์วจิ ารณ์ คิดตัดสินใจแก้ปัญหา และวนิ จิ ฉัยอย่างมีเหตุผล ขณะเดยี วกนั การใช้
ภาษาอยา่ งมเี หตุผลใชใ้ นทางสรา้ งสรรคแ์ ละใชภ้ าษาอย่างสละสลวยงดงาม ย่อมสรา้ งเสริมบคุ ลิกภาพของผูใ้ ช้ภาษาให้
น่าเชือ่ ถอื และ เชอื่ ภมู ิดว้ ย

ภาษาไทยเป็นทกั ษะทต่ี ้องฝึกฝนจนเกิดความชำนาญ ในการใช้ภาษาเพอ่ื การสือ่ สาร การอา่ น การฟงั เปน็ ทกั ษะ
ของการแสดงออกดว้ ยการแสดงความคดิ เห็น ความรู้และประสบการณ์การเรียนรู้ภาษาไทยจึงตอ้ งเรยี นเพ่ือการส่ือสารให้
สามารถรบั ร้ขู ้อมูลขา่ วสารได้อยา่ งพินจิ พิเคราะหส์ ามารถเลอื กใช้คำ เรียบเรียงความคิด ความรู้ และใชภ้ าษาได้ถกู ต้อง
ตามกฎเกณฑ์ ได้ตรงตามความหมาย และถกู ต้องตามกาลเทศะ บคุ คล และใช้ได้อยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ

ภาษาไทยมีส่วนทีเ่ ป็นเนื้อหาสาระ ไดแ้ ก่ กฎเกณฑท์ างภาษา ซึ่งผใู้ ช้ภาษาจะต้องรแู้ ละใช้ภาษาใหถ้ ูกต้อง
นอกจากน้นั วรรณคดแี ละวรรณกรรม ตลอดจนบทรอ้ งเลน่ ของเด็ก เพลงกลอ่ มเดก็ ปริศนาคำทาย เพลงพืน้ บ้าน
วรรณกรรมพนื้ บา้ น เป็นสว่ นหน่งึ ของวัฒนธรรม ซ่งึ มีคุณคา่ ตอ่ การเรียนภาษาไทยจงึ ต้องเรยี นวรรณคดีวรรณกรรม ภมู ิ
ปญั ญาทางภาษา ทถ่ี ่ายทอดความรู้สึก นกึ คิด ค่านิยม ขนบธรรมเนยี มประเพณี เรอื่ งราวของสังคมในอดตี และความ
งดงามของภาษา ในบทประพนั ธ์ทงั้ ร้อยแกว้ ร้อยกรองประเภทต่างๆ เพอ่ื ใหเ้ กดิ ความซาบซงึ้ ความภูมใิ จในสงิ่ ที่บรรพ
บรุ ษุ ไดส้ ่งั สมและสบื ทอดมาจนถงึ ปจั จุบนั

แบบทดสอบกอ่ นเรยี น

1. ข้อใดจดั เป็นสระเกนิ ตามตําราของพระยาอุปกิตศลิ ปสาร

1. อาํ ไอ เอา ฤ 2. เอยี อัว เอือ เอียะ

3. อา อี อู โอ 4. โอะ ออ อือ เออ

2. ข้อใดมีท้ังอกั ษรควบและอักษรนํา

1. เปน็ มนุษย์สุดนยิ มเพยี งลมปาก 2. จะได้ยากโหยหวิ เพราะชิวหา

3. แมน้ พูดดมี คี นเขาเมตตา 4. จะพดู จาจงพิเคราะห์ให้เหมาะความ

3. ประโยคในข้อใดมีคาํ ทีใ่ ช้อักษรควบไม่แท้มากท่ีสุด

1. ผสู้ มัครกลา่ วปราศรัยหาเสียงบนเวที 2. คนท่พี ดู แต่ความจริงย่อมไม่โศกเศรา้

3. สาวทรวดทรงดซี อ้ื สรอ้ ยรมิ หาดทราย 4. นอ้ งสาวรอ้ งไห้คร่ำครวญจนตาบวม

4. คํานามที่ขีดเสน้ ใตใ้ นข้อใดตา่ งจากข้ออ่นื

1. จังหวัดเชียงใหม่นา่ ไปท่องเทย่ี วมาก 2. หา้ งมาบญุ ครองต้ังอยสู่ ่ีแยกปทมุ วัน

3. นายกรฐั มนตรแี ถลงการณเ์ รื่องสำคัญ 4. เจมส์ จิรายุเป็นขวัญใจของวยั รนุ่ ทกุ คน

5. คาํ ด้งั เดิมในทุกภาษาจะเป็นคาํ พยางคเ์ ดียวหรอื หลายพยางค์ก็ไดเ้ ราเรียกคําชนดิ น้นั ว่าอะไร

1. คาํ พ้อง 2. คาํ นาม 3. คําซ้อน 4. คํามลู

แบบทดสอบหลังเรียน

1. ข้อใดจัดเปน็ สระเกิน ตามตําราของพระยาอุปกิตศลิ ปสาร

1. อาํ ไอ เอา ฤ 2. เอยี อัว เออื เอยี ะ

3. อา อี อู โอ 4. โอะ ออ อือ เออ

2. ข้อใดมีทงั้ อกั ษรควบและอักษรนํา

1. เปน็ มนุษยส์ ดุ นยิ มเพยี งลมปาก 2. จะได้ยากโหยหิวเพราะชวิ หา

3. แมน้ พูดดมี คี นเขาเมตตา 4. จะพดู จาจงพเิ คราะหใ์ หเ้ หมาะความ

3. ประโยคในข้อใดมีคาํ ทใี่ ช้อักษรควบไม่แท้มากทีส่ ดุ

1. ผสู้ มัครกลา่ วปราศรยั หาเสียงบนเวที 2. คนทพี่ ดู แต่ความจรงิ ย่อมไม่โศกเศรา้

3. สาวทรวดทรงดีซื้อสร้อยรมิ หาดทราย 4. น้องสาวรอ้ งไห้ครำ่ ครวญจนตาบวม

4. คํานามทขี่ ีดเส้นใตใ้ นขอ้ ใดตา่ งจากข้ออน่ื

1. จังหวดั เชียงใหมน่ ่าไปท่องเทยี่ วมาก 2. ห้างมาบุญครองต้ังอยสู่ ่ีแยกปทมุ วัน

3. นายกรฐั มนตรีแถลงการณเ์ รื่องสำคญั 4. เจมส์ จิรายเุ ป็นขวัญใจของวยั รนุ่ ทกุ คน

5. คําดง้ั เดมิ ในทกุ ภาษาจะเป็นคาํ พยางคเ์ ดยี วหรอื หลายพยางคก์ ็ไดเ้ ราเรียกคาํ ชนิดน้นั ว่าอะไร

1. คาํ พอ้ ง 2. คํานาม 3. คําซอ้ น 4. คํามลู

เฉลยแบบทดสอบ

11
24
33
43
54

ครั้งที่ 9

แผนการจัดการเรียนรรู้ ายสปั ดาห์ วันท่ี 7/08/2564

ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2564

รายวิชาภาษาไทยในชีวิตประจำวนั (พท32011) ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (2 หนว่ ยกิต)

หน่วยที่ 2 การพจิ ารณาประกาศ โฆษณาและการพูด ประชาสัมพันธ์สนิ คา้ และผลิตภัณฑ์ (1 ช่ัวโมง)

ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศัยอำเภอเมอื งระยอง

1. มาตรฐานการเรยี นรรู้ ะดับ
มีความรู้ความเข้าใจและทักษะพน้ื ฐานเกีย่ วกับภาษาและการสอ่ื สาร

2. เนื้อหาตามหลกั สตู ร
- การประกาศโฆษณาท่ีพบใน ปัจจุบัน
- การประชาสัมพันธ์สินคา้ ผลติ ภณั ฑ์

3. ผลการเรยี นรทู้ ่คี าดหวัง (ตัวชี้วัด)
- พจิ ารณาข้อเท็จจรงิ ท่พี บจาก ประกาศโฆษณา
- พดู ประชาสมั พนั ธ์สนิ ค้า ผลิตภัณฑ์ได้อย่างเหมาะสม

4. กระบวนการจัดการเรียนรู้และกจิ กรรมเพ่ิมเตมิ
ขั้นนำ (Warm-up Activity)
1. ผู้สอนชี้แจงผลการเรียนรทู้ ่ีคาดหวงั
2. ผูส้ อนให้ผู้เรียนทำแบบทดสอบก่อนเรียน
3. ผู้สอนทักทายกลา่ วนำและอธบิ ายความสำคัญของการเรยี นรดู้ ้วยตนเองซง่ึ เปน็ เคร่ืองมือสำคญั ในการเรยี น กศน.
4. ผสู้ อนสนทนากับผู้เรียนเพอ่ื เช่อื มโยงเขา้ สบู่ ทเรียน
5. ผู้เรยี นทำแบบทดสอบกอ่ นเรยี น
ขน้ั สอน
1. ผสู้ อนอธบิ ายเกย่ี วกับเน้ือหาท่ีเรียน
2. ผู้สอนอธิบายถึงความสำคญั ของการประชาสมั พันธส์ ินคา้ ผลติ ภัณฑ์
3. ผสู้ อนใหผ้ เู้ รียนศึกษาหาความรูใ้ นใบกิจกรรม
4. ทำใบกจิ กรรม
ขัน้ สรปุ
1. ผ้สู อนและผเู้ รยี นร่วมกันสรปุ สาระสำคญั ที่ไดเ้ รยี นรู้
2. ให้นักเรียน จดบนั ทกึ ความรทู้ ี่ไดร้ ับลงในสมดุ
3. ทำแบบทดสอบหลังเรียน
4. ผสู้ อนเฉลยแบบทดสอบก่อนและหลังเรียน

งานทม่ี อบหมาย
1. ใบกิจกรรม

5. แหลง่ เรียนรู้

5.1 มมุ หนังสอื กศน.ตำบลเชิงเนิน
5.2 ห้องสมุดประชาชนจงั หวดั ระยอง
5.3. รายวชิ าภาษาไทยในชีวิตประจำวัน (พท32011)
6. การเรียนรู้ด้วยตนเอง (กรต.)

ท่ี ตวั ชวี้ ัด เนอื้ หา (กรต.) จำนวนชั่วโมง หมายเหตุ

พจิ ารณาข้อเทจ็ จรงิ ท่ีพบจาก - การประกาศโฆษณาท่ีพบใน 19 ชว่ั โมง ใบกิจกรรม
กรต.
1 ประกาศโฆษณา ปัจจุบัน

พดู ประชาสัมพนั ธส์ ินค้า - การประชาสัมพนั ธ์สนิ ค้า

ผลติ ภัณฑ์ได้อยา่ งเหมาะสม ผลิตภัณฑ์

7. การวดั ผลและประเมินผล เครอ่ื งมือการวัดผล เกณฑ์การประเมนิ ผล
แบบทดสอบ 1. ทำแบบทดสอบได้ 70% ขึ้นไป
การวดั ผลตามจดุ ประสงค์
ความรู้ (Knowledge) -ใบกิจกรรม 1. ประเมนิ ในระดบั ผ่าน ของแบบ
1. พูดประชาสัมพนั ธ์สินค้า ประเมนิ การทำใบกิจกรรม
ผลติ ภณั ฑไ์ ด้อยา่ งเหมาะสม - การมสี ว่ นรว่ มในการอธิบาย
ทกั ษะ (Skill) ความคดิ เหน็ 1. มีผลการประเมนิ ในระดับ ผ่าน
1. พิจารณาข้อเท็จจริงทีพ่ บจาก - การถามตอบข้อซักถาม ของแบบสังเกตพฤติกรรมการ
ประกาศโฆษณา - แบบสงั เกตพฤติกรรมการ ทำงาน (รายบคุ คล)
เจตคติ (Attitude) ทำงาน (รายบุคคล) 2. มผี ลการประเมนิ ในระดบั ผา่ น
1. มคี วามรู้สกึ เจตคติท่ดี ีตอ่ ของแบบสงั เกตการมสี ว่ นรว่ มใน
ภาษาไทยในชวี ติ ประจำวนั การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ขน้ึ ไป

ลงชอื่ .............................................................ผสู้ อน
(…………………………..………………)

วนั ท…ี่ ......เดือน…………….......พ.ศ……………....
ข้อเสนอแนะของหัวหนา้ สถานศึกษาหรือผูท้ ่ีไดร้ ับมอบหมาย
............................................................................................................................. .....................................
..................................................................................................................................................................

ลงช่อื ...................................................ผู้อำนวยการ กศน.อำเภอเมืองระยอง
(……....................…………………………)
วนั ท.่ี .....เดือน…………….......พ.ศ………..

ใบกจิ กรรมท่ี 1
รายวิชา ภาษาไทยในชวี ติ ประจำวัน (พท32011)
กจิ กรรมการเรยี นรู้
1. ให้ผเู้ รยี นหาขอ้ ความประกาศ โฆษณา จากสอื่ ต่าง ๆ คนละ 1 ชน้ิ พร้อมทัง้ อธบิ ายประกอบบรรยายนำเสนอใน
หอ้ งเรยี น
............................................................................................................................. .................................................
............................................................................................................................. .................................................
............................................................................................................................. .................................................
............................................................................................................................. ................................................
............................................................................................................................. .................................................
............................................................................................................................. .......................................... .......
........................................................................................................................... .. .................................................
............................................................................................................................. ................................................
............................................................................................................................. .................................................
............................................................................................................................. .................................................
......................................................................................................................................................................... .....
............................................................................................................................. ................................................

ชื่อ-นามสกุล ………........................…………………………………. รหสั กลุ่ม…………….............รหสั นักศกึ ษา........…..……..………

ใบกิจกรรมท่ี 2 (กรต.)
รายวชิ า ภาษาไทยในชีวิตประจำวัน (พท32011)
1. ใหผ้ เู้ รยี นออกแบบประกาศ โฆษณา คนละ 1 ชน้ิ พรอ้ มนำเสนอ
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ช่อื -นามสกุล ………........................…………………………………. รหัสกล่มุ …………….............รหสั นกั ศึกษา........…..……..………

ใบความรู้
การพจิ ารณาประกาศ โฆษณา ที่พบในปัจจบุ ัน การอ่านอย่างมีประสิทธภิ าพ การตคี วามสารประเภทต่างๆ ในการอ่านนั้น
บางครงั้ สำนวนข้อความเน้ือเร่ืองของส่งิ ที่อ่านไม่ไดม้ ีความหมายตามตวั อักษร แต่ผอู้ ่าน ต้องอาศัยการตคี วามจึงจะเข้าใจ
ความหมายของเรื่องท่ีอ่านได้ตรงเรื่องกบั ทผี่ เู้ ขียนเขยี น ดังนน้ั การตีความจงึ มี ความสำคัญอยา่ งย่งิ ต่อการทำความเข้าใจ
ความหมายของเรื่องให้ถกู ต้อง หนงั สือท่ีเราอา่ นนนั้ มีหลายประเภท ผอู้ า่ นต้องรู้จกั ลักษณะของเรื่องที่อา่ น แลว้ อา่ นให้ถกู ต้อง
และตีความตามลกั ษณะเนือ้ หาของเร่ืองน้นั ๆ ความหมายของการตีความ การตีความ เป็นความเข้าใจความหมายของคำสำนวน
ขอ้ ความ หรือเนอ้ื เร่อื ง ซึ่งไม่ได้มคี วามหมาย ตามตวั อักษร การอ่านตีความนตี้ ้องอาศัยประสบการณ์ของผอู้ า่ นท่ีตรงกันกับ
ประสบการณ์ทีผ่ ู้เขียนส่ือมาใน สาร ถ้าผูอ้ า่ นกบั ผูเ้ ขียนมปี ระสบการณต์ รงกัน ผอู้ า่ นก็จะตคี วามได้ถูกต้องตรงกับที่ผู้ส่งสารสอ่ื มา
แต่ถา้ ไมม่ ี ประสบการณ์ตรงกัน ผเู้ ขยี นมปี ระสบการณ์อย่างหนึง่ ส่วนผู้อ่านมปี ระสบการณ์อีกอย่างหนึง่ ก็จะตีความไป ตาม
ประสบการณ์ของตน ความหมายที่ได้กจ็ ะไมต่ รงกบั ความหมายท่ีผู้เขียนต้องการสง่ มาสารที่เราอ่านน้นั แบ่งเปน็ ประเภทใหญ่ๆ
ได๒้ ประเภท คือ ประเภทร้อยแกว้ และประเภทร้อยกรอง การตีความสารประเภทรอ้ ยแก้ว 1. บทความ มหี ลายประเภทแยกไป
ตามลกั ษณะเน้ือหา เช่น บทความแสดง ความคิดเหน็ บทความ ทางวชิ าการ ประเภทวจิ ารณป์ ระเภทชวี ประวตั ิสารคดีการอ่าน
บทความกเ็ หมือนการอ่านหนังสอื โดยทัว่ ไป คือ ตอ้ งจบั ใจความสำคญั ใหไ้ ดว้ า่ ใคร ท าอะไร ทไี่ หน เม่ือไร เกิดผลอยา่ งไรและรจู้ กั
แยกข้อความทีเ่ ปน็ ข้อเท็จจริงพิจารณาใหไ้ ด้ว่าข้อความน้นั มเี หตุผลถกู ต้องสมควรเช่อื ถือได้เพยี งใด ตวั อยา่ งบทความแสดงความ
คิดเห็น “เป็นท่ียอมรับกนั อยู่ว่า ในปัจจบุ ันผพู้ ูดและผ้เู ขยี นภาษาไทยไม่ค่อยคำนงึ ถึงแบบแผนของภาษานัก จะเปน็ ดว้ ยการศึกษา
เลา่ เรยี นภาษาไทยเด๋ยี วน้ีไม่ไดผ้ ลเหมอื นแต่ก่อน เพราะขาดครผู ู้รภู้ าษาไทยดพี อกต็ าม จะเป็นเพราะคะแนนภาษาไทยและชว่ั โมง
เรียนภาษาไทยท่กี ระทรวงก าหนดให้มีน้อยมาก จนแทบจะไร้ ความหมายสำหรบั เด็กนกั เรยี นกต็ าม หรอื จะเป็นเพราะความไม่
รับผิดชอบ ส่วนบุคคลผู้คิดเพียงว่าท าอะไรได้ ตามใจเป็นไทยแท้ก็ตาม รวมทงั้ สน้ิ นีย้ ่อมเป็นปัจจยั แห่งความเส่ือมของภาษาไทย
ทง้ั สน้ิ ผลจงึ ปรากฏออกมา ในรูปทผ่ี ิดๆ แพรห่ ลายเต็มบา้ นเตม็ เมืองอยู่ในขณะนี้ไม่ว่าจะทางวทิ ยุ โทรทัศน์ป้ายโฆษณา จอ
ภาพยนตร์ หรอื หนงั สอื พมิ พ์และนิตยสารต่างๆ ถ้าจะประมวลมาบนั ทกึ กันจริงๆ กจ็ ะไดเ้ อกสารแหง่ ความผิดเล่มมหึมา ซง่ึ จะต้อง
ใช้เวลานานปเี ต็มท่ีกว่าจะทำความเข้าใจใหถ้ กู ต้องโดยตลอดได้การพดู ตวั “ร” “ล” และการออก เสยี งพยัญชนะควบกล้ านนั้
แทบจะแกไ้ ขให้ถูกต้องไม่ได้แลว้ แม้จะพยายามอย่างแสนเขญ็ เพียงไรก็ตาม” 8 บทความนี้ผู้เขยี นแสดงความคดิ เห็นว่ารัฐบาล
ไมไ่ ด้ใหค้ วามสำคญั แกก่ ารเรียนการสอนภาษาไทย ครูท่ี ร้ภู าษาไทยดีพอก็ขาดแคลน และคนไทยปจั จบุ ันก็ขาดความรับผดิ ชอบ
ในการใช้ภาษาไทย ซ่งึ ตีความไดว้ ่า ผเู้ ขยี นคดิ ว่าการใช้ภาษาไทยเสอ่ื มทรามลงเปน็ เพราะคนไทยไม่สงั วรในความเปน็ ไทย ไม่
ตระหนกั ว่าภาษาไทย เป็นเอกลักษณ์ของความเปน็ ชาติไทย การตีความบทความช้ินนี้จะเห็นได้ว่าผู้อ่านตอ้ งทราบภมู ิหลงั ของ
เรือ่ งก่อน คือ มคี นจำนวนมากเขยี น หรอื พูดถึงเรอ่ื งคนไทยปัจจุบนั เขียนและพูดภาษาไทยไม่ถูกต้อง ผ้เู ขยี นเป็นอาจารยส์ อน
ภาษาไทยในคณะ อักษรศาสตรจ์ ุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัยก็ต้องพบปญั หานี้มากในการสอนลูกศิษยข์ องทา่ น นอกจากนี้ยังมีเรือ่ ง
จำนวนครูสอนภาษาไทยท่ีรู้และสอนภาษาไทยได้ดีมีน้อยและชวั่ โมงเรียนภาษาไทยก็ลดลง จากเดมิ เคยเรยี น 3 คาบ/สัปดาห์
เหลอื เปน็ 2 คาบ/สัปดาห์คะแนน 100 คะแนน ก็จริง แตเ่ วลาสอบเขา้ มหาวทิ ยาลัยหรือเขา้ เรียนตอ่ ในโรงเรียนแต่ละระดบั ชนั้ ก็
พจิ ารณาคะแนนวชิ าอื่นมากกวา่ วชิ าภาษาไทย คนไทยก็พูดและเขียนผดิ ๆ ให้พบเหน็ ประจ า ถา้ ผอู้ ่านทราบภมู ิหลังหรือมี
ประสบการณ์เชน่ ทเี่ ขียนมาน้ีย่อมตีความสารทสี่ ง่ มาไดต้ รงกับท่ี เขียนใหด้ ูเป็นตัวอย่าง 2. ข่าว ในการอ่านข่าว มีหลกั อยวู่ า่

จะตอ้ งอ่านพาดหัวขา่ ว ซึ่งเป็นข้อความส้นั ๆตัวโตๆ กอ่ นเสมอ เพื่อใหร้ ู้เรื่องราวท้ังหมดจากหนงั สือพมิ พแ์ ลว้ จงึ อ่านสรุปข่าวยอ่ ๆ
ซ่ึงขา่ วทกุ ขา่ วจะมีสรปุ หวั ข้อขา่ วกอ่ นที่จะ บรรยายรายละเอยี ดจะท าให้ผู้เรยี นทราบว่า ขา่ วน้นั เป็นขา่ วอะไร กล่าวถึงใครทำไม
จึงเป็นเชน่ นแ้ี ละขา่ วนี้เกิด ท่ีไหน ท าใหเ้ กดิ ผลอยา่ งไรแลว้ จึงอ่านข้อความละเอียดของข่าวตอ่ ไป ข่าวทั่ว ๆ ไปจะไม่ค่อยต้องอา่ น
แบบตีความ เพราะการเขยี นข่าวจะพยายามใช้ภาษาชาวบ้านอา่ นแล้ว เขา้ ใจได้ทนั ทีแต่กม็ ีข่าวบางประเภทท่ีตอ้ งอาศัยการอ่าน
แบบตคี วามจึงจะเข้าใจความหมายไดถ้ ูกต้อง ได้แก่ ขา่ วการเมอื ง ข่าวเศรษฐกิจ ขา่ ววิชาการตา่ งๆ ข่าวพวกนผ้ี อู้ ่านต้องมคี วามรู้
เกยี่ วกับเรื่องที่อ่านพอสมควร ตอ้ ง ทราบภมู หิ ลงั ของขา่ วและตอ้ งมีประสบการณ์พอจงึ จะตีความไดโ้ ดยเฉพาะขา่ วการเมอื งจะมี
การใชภ้ าษาที่ อาจท าให้เกิดความเขา้ ใจอยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ การเล่นสำนวนภาษาจะพบเสมอในการใช้ภาษาของนักการเมือง และ
นักขา่ วการเมอื ง ฉะนนั้ จงึ มีความจ าเป็นต้องอ่านแบบตีความและต้องหาความรู้ประกอบข่าวนน้ั ดว้ ยเพ่ือ การตคี วามจะได้มี
ความถกู ตอ้ งย่ิงขึน้ ตัวอยา่ งข่าวจากหนงั สอื พิมพร์ ายวนั พระวรชายาทรงห่วงเดก็ ให้ชว่ ยกวดขันโฆษณาทีวี พระเจ้าวรวงศเ์ ธอ
พระองค์เจ้าโสมสวลพี ระวรชายา ทรงมคี วามหว่ งใยในเยาวชนของชาติฝากผ้มู ีสว่ น เกีย่ วขอ้ งช่วยกวดขันโฆษณาทวี ซี ึ่งมีอิทธิพล
ต่อเดก็ อย่างมาก ในวโรกาสท่ีเสดจ็ เป็นองคป์ ระธานเปดิ การสัมมนา“การพัฒนาเยาวชนเพ่อื พัฒนาสังคม” ซึง่ ฝา่ ยเนติ ธรรม สภา
สตรีแห่งชาตฯิ และคณะกรรมการคุ้มครองผบู้ รโิ ภค ส านักนายกรฐั มนตรีร่วมกันจัดข้ึนที่หอประชมุ บา้ นมนังคศิลา เมื่อวนั ศกุ ร์ที่
ผ่านมาในตอนหน่ึงของพระดำรัสเปดิ การสัมมนาทรงมีรับสั่งว่า “เยาวชนและเด็ก เปน็ ความหวงั ท่สี ำคัญของประเทศ ในการท่ีจะ
เป็นผธู้ ารงไวซ้ ่งึ ความม่นั คงและรกั ษาวฒั นธรรมอนั ดีงามของ 9 ชาตใิ หย้ ั่งยนื ต่อไป แตท่ ี่นา่ เป็นหว่ งกค็ ือระยะนเ้ี ยาวชนของเรา
บางสว่ นเปลย่ี นแปลงไปในทางเส่ือมลง ทัง้ ใน ความประพฤตแิ ละจติ ใจการกระท าที่ไม่ถูกต้องหลายอย่าง มีท่าทีจะกลายเปน็ สงิ่
ท่ีคนทวั่ ไปยอมรบั และสม ยอมใหก้ ระท ากันได้เปน็ ธรรมดา สภาวการณเ์ ชน่ นเี้ ป็นปญั หาใหญ่จ าเปน็ ท่จี ะต้องไดร้ ับการแก้ไข
และ ช่วยเหลืออยา่ งเรง่ ด่วน เพราะแท้จริงแลว้ เยาวชนเหลา่ น้ัน มไิ ด้ต้องการทำตัวให้แตกตา่ งหรือใหเ้ ป็นปญั หาแก่ สงั คมประการ
ใด ทุกคนตอ้ งการจะเปน็ คนดีมปี ระโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติดว้ ยกนั ท้ังน้ัน แต่การท่จี ะ บรรลุถงึ ความประสงคน์ ้ีไดจ้ าต้อง
อาศยั ผู้แนะน าควบคุมใหด้ าเนนิ การอยา่ งถูกต้อง ผทู้ ี่มีหน้าทดี่ า้ นนท้ี ุกฝา่ ยทกุ ระดับจงึ ตอ้ งร่วมมือกัน เพือ่ เสริมสรา้ งเยาวชน
เหล่านั้นให้พัฒนาไปในทางท่ีถูกในทุกๆ ดา้ นเพ่ือทจ่ี ะได้เติบโต ขึ้นเป็นพลเมืองดีมีคุณภาพสามารถสบื ทอดทกุ ส่ิงทุกอยา่ งต่อไปได้
ดงั ที่ทกุ คนปรารถนา” ก่อนเสดจ็ กลับได้เสด็จทอดพระเนตรนิทรรศการเกย่ี วกบั เร่ืองผู้บรโิ ภคทค่ี วรรู้ดว้ ย ศ.ลน้ิ จี่หะวานนท์ รอง
ประธานสภาสตรฯี และประธานฝ่ายเนติธรรม ซ่ึงเป็นผ้จู ัดการสมั มนาในคร้ังนีไ้ ดเ้ ปิดเผยว่าพระเจา้ วรวงศ์ เธอพระองคเ์ จา้ โสมส
วลพี ระวรชายา ทรงเป็นหว่ งใยเยาวชนของชาติมาก โดยเฉพาะการจัดสมั มนานี้กท็ รงชื่น ชมมาก เพราะเหตุวา่ เรื่องการบริโภค
ขณะนี้มสี งิ่ ทจ่ี ะตอ้ งช่วยเหลอื ประชาชนมากทีเดียว โดยเฉพาะการ โฆษณาในทีวตี อนนี้ไม่ค่อยจะดมี รี ับส่ังวา่ น่าจะได้มีการดูแล
กนั บา้ ง พร้อมกับฝากให้คณะกรรมการได้ ด าเนินการอย่างตอ่ เนอ่ื งตอ่ ไป อย่าท าเพียงแคน่ ีแ้ ละในการที่ได้น าเยาวชนมาอบรม
เช่นนท้ี รงให้การสนบั สนนุ วา่ ท าถูกต้องแลว้ แต่อย่างไรก็ตาม ศ.ล้ินจ่ีก็ได้กราบทลู ว่า ถ้าจะใหด้ ตี ้องอบรมผู้ใหญ่ด้วย แล้วมาพบ
กันคร่ึง ทางจะได้ไม่สวนทางกัน แตพ่ ระวรชายาทรงแยง้ ว่าผู้ใหญ่น้นั ดือ้ จึงควรให้ความรู้และคำแนะน าท่ีถกู ต้องแก่เด็ก (จาก
หนงั สือพมิ พ์ไทยรัฐ ฉบับวันจันทรท์ ่ี 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2525) ผ้เู รยี นอ่านขา่ วตามวิธีการที่เสนอแนะมาแลว้ คราวนล้ี องถาม
ตัวเองดู ซิวา่ 1. ผูเ้ รยี นอา่ นข่าวไดร้ วดเรว็ และเขา้ ใจเน้ือเร่ืองโดยตลอดหรือไม่ 2. ขา่ วนี้กล่าวถงึ ใคร ท าอะไรท่ีไหนและผลจาก
ขา่ วน้เี ปน็ อยา่ งไร 3. ข่าวน้ีเป็นจรงิ หรอื ไม่อย่างไร มีข้อความท่ีน่าเชื่อถอื ได้หรอื ไม่พิจารณาให้ถ่องแท้ ถา้ ผู้เรียนสามารถตอบค า
ถามเหลา่ นี้ได้และฝึกฝนตนเองสม่ าเสมอผเู้ รียนก็จะอา่ นขา่ ว ไดอ้ ยา่ งมี ประสิทธภิ าพ 3. ประกาศและโฆษณาต่างๆ ประกาศ

และโฆษณาตา่ งๆ ส่วนใหญ่ใช้ภาษางา่ ยๆ และมคี วามหมาย ตรงตามตวั อักษร แต่กม็ ปี ระกาศและโฆษณาจำนวนมากเชน่ กันที่
ต้องตีความใหด้ ไี ม่เชน่ นัน้ กจ็ ะเขา้ ใจไม่ ตรงกัน หรืออาจถกู หลอกใหซ้ ้ือสนิ ค้าหรือบริการเพราะความเขา้ ใจผดิ การอ่านสาร
ประเภทนีบ้ างคร้ังตอ้ ง อาศยั ความร้ปู ระกอบดว้ ย เช่น โฆษณาเคร่ืองตดั ไฟตราหนึ่งใช้ข้อความว่า “ป้องกันไฟดูด–ไฟรวั่ –
ไฟชอ็ ต–ไฟเกนิ ไดแ้ น่นอนกว่า วางใจได้มาตรฐานระบบ GFCI สหรฐั อเมรกิ า เซอรก์ ิตมาตรฐาน U/C สหรฐั อเมรกิ า มีจำหน่าย
ตามรา้ นไฟฟ้าชน้ั น าทัว่ ประเทศ พูดถึงเครื่องตัดไฟฟ้าช่างไฟ พูดถงึ ……” การอา่ นตีความโฆษณาช้นิ นต้ี ้องมีความร้เู ร่ืองไฟดดู
ไฟช็อต ไฟรว่ั และไฟเกนิ ว่าเม่ือมีไฟร่วั จาก 10 อปุ กรณ์ไฟฟา้ หรือสายไฟ ถ้ามใี ครไปแตะต้องตรงทมี่ ีไฟร่วั อยกู่ ็จะถูกไฟดูด และ
ถา้ ใช้ไฟเกินก าลงั ไฟในหม้อ แปลงไฟฟ้า กจ็ ะเกิดไฟชอ็ ตตามมา นอกจากนั้นตอ้ งรวู้ ่าเครือ่ งตัดไฟคอื อะไร รูปรา่ งเปน็ อยา่ งไร มี
หน้าที่ท า อะไรบ้าง มาตรฐานระบบ GFCI และเซอรก์ ิตU/C เป็นอย่างไร ถา้ ผอู้ า่ นไม่มีความรเู้ รื่องดังกลา่ วก็ไม่อาจ ตีความ
ขอ้ ความโฆษณาชิน้ นี้ได้เพราะไมม่ ีความรู้จงึ ไมเ่ ขา้ ใจความหมายซ่ึงน าไปสปู่ ัญหา คอื ตดั สนิ ใจ ไมไ่ ดว้ ่า จะซอื้ สนิ คา้ ช้นิ น้ีดีหรอื ไม่
แต่การโฆษณาสินคา้ ทไ่ี ม่ใช่สนิ ค้าพเิ ศษเฉพาะผู้ใชบ้ างอาชพี แล้วมกั ใชภ้ าษาง่ายๆ อ่านแลว้ เขา้ ใจหรือตคี วามได้ทนั ทีเชน่ “น้ำมนั
ถวั่ เหลอื ง…รนิ …คุณคา่ ถ่ัวเหลืองเพ่ือสุขภาพ” ผูอ้ า่ นตีความได้ ทันทวี า่ น้ ามันพชื ตราน้ที ามาจากถ่ัวเหลอื งรับประทานแลว้
สุขภาพแข็งแรง

แบบทดสอบก่อนเรยี น

1. ในฐานะเปน็ ผบู้ รโิ ภค นักเรียนได้รบั อะไรจากส่อื โฆษณากับสขุ ภาพ
1. ขอ้ มลู ข่าวสารดา้ นสขุ ภาพเพ่ือสนองความต้องการท้ังทางดา้ นร่างกายและจิตใจ
2. ขอ้ มลู ขา่ วสารด้านท่อี ยอู่ าศยั เพอ่ื สนองความตอ้ งการท้งั ทางด้านร่างกายและจิตใจ
3. ขอ้ มลู ขา่ วสารดา้ นการเดนิ ทางเพื่อสนองความต้องการทงั้ ทางด้านร่างกายและจติ ใจ
4. ขอ้ มูลข่าวสารด้านกาอตุ สาหกรรมเพ่ือสนองความต้องการทั้งทางดา้ นร่างกายและจติ ใจ

2. องค์ประกอบของการสื่อสารมีกที่ างอะไรบ้าง
1. มี 4 ทาง คือ การส่ือสาร ผสู้ ง่ ขา่ ว ข่าวสาร ผ้รู บั ขา่ วสาร
2. มี 4 ทาง คอื การสอ่ื สาร ขา่ วสาร การโฆษณา การประชาสัมพันธ์
3. มี 4 ทาง คอื ผูส้ ่งข่าว การโฆษณา การประชาสัมพันธ์ ชอ่ งทางสอ่ื
4. มี 4 ทาง คือ ช่องทางสอื่ ผู้ส่งขา่ ว ข่าวสาร ผรู้ ับข่าวสาร

3. Consumer Society มคี วามหมายตรงกับขอ้ ใด

1. สงั คมผู้บรโิ ภค 2. สงั คมข่าวสาร

3. สังคมธุรกจิ 4. สงั คมโฆษณา

4. ประเภทของสื่อโฆษณาทน่ี ักเรียนไดส้ ัมผัสในชวี ติ ประจำวันมากท่ีสดุ คือประเภทใด

1. สอ่ื กจิ กรรม 2. สอื่ โทรทศั น์

3. สอื่ ส่ิงพิมพ์ 4. สอื่ บคุ คล

5. สื่อโฆษณาเก่ียวกบั สุขภาพมีความสำคัญอย่างไร
1. มอี ิทธพิ ลต่อผขู้ ายทจี่ ะใหส้ นิ คา้ สุขภาพขายได้ในตลาด
2. มอี ทิ ธพิ ลตอ่ ผู้ค้าสง่ สินคา้ สุข
3. มีอทิ ธิพลตอ่ ทศั นคตจิ ิตใจและพฤติกรรมท่ผี ู้บริโภคจะนำไปเลือกซื้อสินค้า
4. ภาพทจ่ี ะนำไปใช้

แบบทดสอบหลังเรียน

1. ในฐานะเปน็ ผบู้ รโิ ภค นักเรียนได้รบั อะไรจากสือ่ โฆษณากับสุขภาพ
1. ขอ้ มลู ข่าวสารดา้ นสขุ ภาพเพื่อสนองความต้องการทั้งทางด้านร่างกายและจติ ใจ
2. ขอ้ มลู ขา่ วสารด้านท่อี ยอู่ าศยั เพ่อื สนองความต้องการทง้ั ทางด้านรา่ งกายและจติ ใจ
3. ขอ้ มลู ขา่ วสารดา้ นการเดนิ ทางเพื่อสนองความต้องการท้ังทางดา้ นร่างกายและจิตใจ
4. ขอ้ มูลข่าวสารด้านกาอตุ สาหกรรมเพ่ือสนองความต้องการท้งั ทางดา้ นร่างกายและจติ ใจ

2. องค์ประกอบของการสื่อสารมีกที่ างอะไรบ้าง
1. มี 4 ทาง คือ การส่ือสาร ผู้ส่งข่าว ขา่ วสาร ผรู้ ับข่าวสาร
2. มี 4 ทาง คอื การสอ่ื สาร ข่าวสาร การโฆษณา การประชาสัมพันธ์
3. มี 4 ทาง คอื ผูส้ ่งข่าว การโฆษณา การประชาสัมพนั ธ์ ช่องทางสือ่
4. มี 4 ทาง คือ ช่องทางสอื่ ผู้ส่งขา่ ว ข่าวสาร ผู้รับข่าวสาร

3. Consumer Society มคี วามหมายตรงกบั ขอ้ ใด

1. สงั คมผู้บรโิ ภค 2. สงั คมขา่ วสาร

3. สังคมธุรกจิ 4. สังคมโฆษณา

4. ประเภทของสื่อโฆษณาทน่ี ักเรียนได้สัมผัสในชีวติ ประจำวนั มากที่สุดคือประเภทใด

1. สอ่ื กจิ กรรม 2. ส่ือโทรทศั น์

3. สอื่ ส่ิงพิมพ์ 4. สื่อบุคคล

5. สื่อโฆษณาเก่ียวกบั สุขภาพมีความสำคญั อยา่ งไร
1. มอี ิทธพิ ลต่อผขู้ ายที่จะใหส้ ินค้าสุขภาพขายไดใ้ นตลาด
2. มอี ทิ ธพิ ลตอ่ ผู้ค้าส่งสนิ ค้าสขุ
3. มีอทิ ธิพลตอ่ ทศั นคติจติ ใจและพฤติกรรมท่ผี ้บู ริโภคจะนำไปเลอื กซ้อื สินค้า
4. ภาพทจ่ี ะนำไปใช้

เฉลยแบบทดสอบ

11
24
31
42
53

คร้งั ท่ี 6

แผนการจดั การเรยี นรรู้ ายสปั ดาห์ วนั ท่ี 18/07/2564

ภาคเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2564

รายวิชาภาษาอังกฤษเพื่อชีวิตและสงั คม (พต31001) ระดับมธั ยมศกึ ษาตอนปลาย (5 หน่วยกิต)

หน่วยที่ 1 EVERYDAY ENGLISH ( 2 ชวั่ โมง)

ศนู ย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอเมืองระยอง

1. มาตรฐานการเรียนร้รู ะดบั
มีความรูค้ วามเขา้ ใจทกั ษะและเจตคติเกี่ยวกบั ภาษา ทา่ ทาง การฟงั พดู อ่าน เขยี น ภาษาตา่ งประเทศดว้ ยประโยค

ที่ซับซอ้ นมากขน้ึ ในชีวิตประจำวนั และงานอาชีพของตนถูกต้องตามหลักภาษา วัฒนธรรม และกาลเทศะของเจา้ ของภาษา

2. เนือ้ หาตามหลักสตู ร
2.1 เร่ืองท่ี 1 การออกเสียงพยัญชนะ ตน้ คำ ทา้ ยคำ และการออกเสียงท้ายคำทถ่ี ูกต้อง
2.2 เร่อื งที่ 2 การออกเสยี งหนักเบา
2.3 เร่ืองท่ี 3 การออกเสียงตามระดบั เสยี ง สูง-ตำ่
2.4 เร่อื งท่ี 4 การออกเสียงเชื่อมโยง
2.5 เร่อื งที่ 5 การพูดแสดงความรู้สึก ดีใจ-เสียใจ
2.6 เรอ่ื งท่ี 6 การแสดงความพอใจ / ไม่พอใจ
2.7 เรอื่ งท่ี 7 การแสดงความปรารถนา / เหน็ ใจ และการตอบรบั
2.8 เรอ่ื งท่ี 8 การแสดงความต้องการ / การเสนอความชว่ ยเหลือ / บรกิ าร รวมทงั้ การตอบรบั / ปฏิบัตกิ าร

ให้ความชว่ ยเหลอื / บริหาร

3. ผลการเรยี นร้ทู ่ีคาดหวงั (ตวั ชี้วดั )
3.1 ออกเสียงพยัญชนะ คำ การออกเสยี งเช่ือมโยง การออกเสยี ง หนัก เบา สูง ตำ่ ได้
3.2 ใชน้ ้ำเสียงในการแสดงความรูสึก และตีความหมายจากนำ้ เสยี งของผู้พดู ได้
3.3 พูดแสดงความปรารถนาในโอกาสตา่ ง ๆ ได้

4. กระบวนการจัดการเรียนรู้และกิจกรรมเพิ่มเตมิ
ขนั้ นำ (Warm-up Activity)
1. ผู้สอนชแี้ จงผลการเรียนรทู้ ค่ี าดหวัง
2. ผู้สอนให้ผู้เรียนทำแบบทดสอบก่อนเรยี นเรอื่ ง EVERYDAY ENGLISH จำนวน 5 ข้อ เวลา 5 นาที
3. ผู้สอนทกั ทายกล่าวนำและอธิบายความสำคญั ของการเรยี นรูด้ ว้ ยตนเองซ่ึงเปน็ เครื่องมือสำคัญในการเรียน กศน.
4. ผสู้ อนสนทนากับผู้เรียนเพือ่ เช่อื มโยงเข้าส่บู ทเรียน เรอื่ ง EVERYDAY ENGLISH
5. ผสู้ อนและผู้เรยี นรว่ มกันสร้างความเขา้ ใจการออกเสียงภาษาอังกฤษทีถ่ ูกต้อง

ข้นั สอน
1. ผสู้ อนอธบิ ายเก่ยี วกับเนอื้ หาท่ีเรยี นเรื่อง EVERYDAY ENGLISH
2. ผสู้ อนอธิบายถึงความสำคญั ในการออกเสียงพยัญชนะ sz ch sh
3. ผู้สอนใหผ้ ู้เรียนหาความหมายของศพั ทและฝกออกเสยี งตามผ้สู อนคำละ 2 ครัง้
4. ทำใบกิจกรรมที่ 1 เรือ่ ง หาความหมายของคำศัพท์
5. ผู้สอนสอนการออกเสยี งคำท่ีเติม ed และการออกเสยี งเนนในคำหลายพยางค์
6. ทำใบกิจกรรมท่ี 2 เร่อื ง จงนำคำต่อไปน้ีไปเตมิ ลงในตารางตามหลักการออกเสียง
7. ผู้สอนสอนการใช้น้ำเสียงในภาษาองั กฤษ และ การออกเสียงเชอื่ มต่อระหว่างคำ (Linking sound) ศึ ก ษ า

จากใบความรู้การออกเสยี งภาษาอังกฤษเกยี่ วกับการออกเสยี งพยญั ชนะต้นคำ –ทา้ ยคำ การออกเสียงหนัก-เบา (Stress)
การออกเสียงตามระดับเสยี งสงู -ต่ำ (Intonation)

8. ผู้สอนการพูดแสดงความรูสึก ความปรารถนา
9. ผู้สอนสอนหลกั ไวยากรณ (Grammar focus)
10. ผู้เรียนทำใบงานท่ี 3 เรอ่ื ง หลกั ไวยากรณ (กริยา 3 ช่อง)
11. ผู้เรียนลงมอื ทำใบงานทไี่ ด้มอบหมาย
12. ผูเ้ รยี นออกมานำเสนอใบงานของตนเอง

ขั้นสรุป
1. ผ้สู อนและผ้เู รยี นร่วมกันสรุปสาระสำคญั ท่ีไดเ้ รียนรู้ EVERYDAY ENGLISH
2. ผ้สู อนเฉลยใบงานท่ี 1 2 และ 3
3. ใหน้ ักเรยี น จดบนั ทกึ ความรู้ท่ีได้รับลงในสมดุ
4. ทำแบบทดสอบหลงั เรยี น
5. ผสู้ อนเฉลยแบบทดสอบก่อนและหลงั เรยี น

งานทมี่ อบหมาย
1. ใบกิจกรรมท่ี 1-3
2. อดั คลปิ วิดีโอ การออกเสยี ง s z ch sh
3. ผสู้ อนมอบหมายใหผ้ ้เู รยี นทำใบกจิ กรรมที่ 4-6 (กรต.)

5. ส่ือ/แหลง่ เรยี นรู้

5.1 มมุ หนังสอื กศน.ตำบลเชิงเนิน
5.2 หอ้ งสมดุ ประชาชนจังหวัดระยอง
5.3. หนังสือเรียนวชิ าภาษาอังกฤษเพื่อชวี ิตและสงั คม หน่วยที่ 1
5.4 ส่ือการออกเสยี ง Native Speaker จาก YouTube

6. การเรียนรู้ดว้ ยตนเอง (กรต.)

ท่ี ตัวช้ีวัด เน้ือหา (กรต.) จำนวนช่วั โมง หมายเหตุ
ออกเสียงพยัญชนะ คำ การ
1. การออกเสยี งพยญั ชนะต้นคำ - ใบกจิ กรรมท่ี
1 ออกเสียงเชือ่ มโยง การออก 1 พบกลมุ่
เสยี ง หนัก เบา สูง ต่ำได้ ท้ายคำ ใบกิจกรรมท่ี
2 พบกลุ่ม
1.1 ทบทวนการออกเสียง พยัญชนะ

ตน้ คำทย่ี าก เช่น เสียง s z ch sh

- sit, see, soon

- zebra, zero, zoo

- cheap, chat, choose

- ship, shoe, shut

etc.

1.2 การอา่ นออกเสยี งท้ายคำที่

ถกู ต้อง

เชน่ เสียง [d] , [t] , หรอื [id] เม่อื

เป็นกริยา ช่อง 2 และ past 3 ช่ัวโมง

participle เชน่

- moved, turned, loved

- walked, talked, knocked

- wanted, rented, waited

etc.

2. การออกเสยี งหนกั -เบา (Stress)

วิธกี ารออกเสียง หนัก-เบา ของคำใน

ลักษณะต่าง ๆ เชน่ คำเดยี่ ว คำ

ประสมในลักษณะต่าง ๆ เป็นตน้ วา่

คำประเภทใดจะต้องออกเสียงเนน้ ท่ี

พยางค์แรก พยางค์กลางหรือ พยางค์

หลงั

ท่ี ตวั ช้วี ัด เน้อื หา (กรต.) จำนวนช่ัวโมง หมายเหตุ

3. การออกเสียงตามระดบั เสียงสูง-

ต่ำ (Intonation) วธิ กี ารออกเสยี ง

ของประโยคลกั ษณะตา่ ง ๆ ซึ่ง

จะตอ้ งออกเสยี งสูง-ตำ่ ให้ถกู ต้อง

เพ่อื ให้สอ่ื ความหมายทผี่ ู้พูดต้องการ

ประโยคประเภทเดียวกัน ถ้าออก

เสยี งสงู -ตำ่ ต่างกนั จะใหค้ วามรสู้ ึกท่ี

ต่างกนั

2 ใช้นำ้ เสยี งในการแสดงความรู 4. การออกเสียงเชื่อมโยง (Linking

สึก และตีความหมายจาก Sound)วธิ ีการอ่านออกเสยี ง

น้ำเสียงของผู้พดู ได้ เช่ือมโยงระหว่างคำในภาษาอังกฤษที่

ถกู ต้องตามกฎเกณฑ์ของ

ภาษาองั กฤษ เช่น

- Ten years ago.

- Far away etc. ใบกจิ กรรมท่ี

5. การแสดงความดีใจ/เสียใจ 3 พบกลมุ่

การใช้คำ วลีและรปู ประโยคทจ่ี ะ

นำมาใช้ในการแสดงความดีใจและ

เสียใจในโอกาสตา่ ง ๆ ไดถ้ ูกต้อง เชน่

แสดงความดใี จทีไ่ ด้พบกนั อีกคร้ัง

หรือแสดงความเสยี ใจทท่ี ำผดิ เปน็ 3 ชั่วโมง

ตน้

ตัวอย่าง คำวลี และรูปประโยค -

Congratulations! ใบกจิ กรรมท่ี

- Sorry. 4 กรต.

Glad i hear about that.

- Sorry about that.

- I’m glad to......................

- I’m pleased to........................

- I love to...........................

- I’m sorry to.........................

- It’s my fault

that............................

ที่ ตวั ชีว้ ดั เนื้อหา (กรต.) จำนวนชั่วโมง หมายเหตุ

3 พูดแสดงความปรารถนาใน 6. การแสดงความพอใจ/ไม่พอใจ ให้
โอกาสต่าง ๆ ได้ รจู้ ักคำ วลี และรูปประโยคท่ีจะทจี่ ะ
นำมาใช้ในการแสดงความพอใจ/ไม่
พอใจในโอกาสต่าง ๆ ได้ถกู ต้อง เช่น ใบกิจกรรมท่ี
แสดงความพอใจ/ไม่พอใจในการรับ 5 กรต.
บรกิ าร เป็นต้น
ตวั อยา่ งคำ วลี และรูปประโยค เชน่ 5 ชว่ั โมง
- Great!
- Awful!
- Good news!
- How nice!
- How terrible!
- That’s fantastic!
- I can’t stand it!
- I’m very disappointed
with.................
- It’s ashamed
that.............................
7. การแสดงความปรารถนา/ เห็นใจ
และการตอบรับ การใช้คำ วลี และ
รปู ประโยคท่ีจะนำมาใชใ้ น การแสดง
ความปรารถนาดี/เหน็ ใจในโอกาส
ตา่ ง ๆ ได้ถูกต้อง เช่น การแสดง
ความระลกึ ถึง การแสดงความเหน็ ใจ
เมื่อผอู้ ื่นประสบปญั หา เปน็ ต้น
ตัวอยา่ งคำ วลี และรปู ประโยค เช่น
- Best wishes.
- Take care.
- Get well soon.
- Good luck.
- With sympathy.
- We hope everything go well

ท่ี ตวั ช้วี ดั เน้ือหา (กรต.) จำนวนช่ัวโมง หมายเหตุ

through this suffering period.

- I understand how difficult it

is.

- It must be for you.

- I feel sympathy for you.

- Thank you for your

hospitality.

- Thanks a million

for............................

- I’m very grateful to

your...........................

- It’s very appreciative

that....................

- I’m very appreciated

for......................

8. การแสดงความต้องการการเสนอ/

ใหค้ วามช่วยเหลือ/บรกิ าร รวมทง้ั

การตอบรับ/ปฏเิ สธ การ ใหค้ วาม

ชว่ ยเหลือ/บริการ การใชค้ ำ วลี และ

รูปประโยคเพื่อแสดงความต้องการ

การเสนอ/ ให้ความช่วยเหลอื /

บรกิ าร รวมทงั้ การตอบรบั /ปฏิเสธใน

การให้ความชว่ ยเหลือ/บริการใน

โอกาสและสถานที่ตา่ ง ๆ ได้อยา่ ง

ถูกต้อง ได้แก่ การซื้อสินค้า/บรกิ าร

ในรา้ น การส่ังจองตั๋วเคร่ืองบิน/

รถไฟ/ภาพยนตร/์ การบรกิ ารใน

บริษัททัวร์ การจองโรงแรม/ ทพ่ี กั

การใช้บรกิ ารในท่ีทำการไปรษณีย/์

ธนาคาร/รา้ นอินเตอร์เนต็ ตัวอยา่ ง

คำ วลี และรูปประโยค เช่น

- May I help you?

- What can I do for you?

ที่ ตวั ชว้ี ัด เนื้อหา (กรต.) จำนวนช่วั โมง หมายเหตุ

- Let me..............................

- Shall I ...............................?

- Is there anything I can do for

you?

- I would like.........................

- I prefer.................................

- I’d rather..............................

- How much..............................?

- How about..............................?

- I’m afraid..............................?

- We

recommend..............................

- Would you

please..............................?

- Please let me

know............................

- It’s occupied.

etc.

7. การวดั ผลและประเมินผล เครอ่ื งมือการวดั ผล เกณฑก์ ารประเมนิ ผล
-คลปิ วดิ โี อ 1. ผา่ นการตอบคำถามได้
การวัดผลตามจุดประสงค์ 80% ขึน้ ไป
ความรู้ (Knowledge) -ใบกจิ กรรม 2. ทำแบบทดสอบได้ 70% ข้ึนไป
1. มีความรู้ความเขา้ ใจการออก
เสียงภาษาองั กฤษ 1. ประเมนิ ในระดับ ผา่ น ของแบบ
2. มีความรู้ความเข้าใจในการใช้ ประเมินการทำใบกจิ กรรม
ประโยคในความรู้สึกตา่ งๆ
ทักษะ (Skill)
1. ออกเสยี งพยญั ชนะ คำ การ
ออกเสยี งเชอ่ื มโยง การออกเสียง
หนกั เบา สูง ต่ำได้
2. ใชน้ ้ำเสยี งในการแสดง
ความรูส้ ึก และตีความหมายจาก

การวัดผลตามจดุ ประสงค์ เครอื่ งมือการวัดผล เกณฑ์การประเมนิ ผล
นำ้ เสยี งของผู้พูดได้
3.พูดแสดงความปรารถนาใน - การมสี ่วนรว่ มในการอธิบาย 1. มผี ลการประเมินในระดับ ผา่ น
โอกาสต่าง ๆ ได้ ความคิดเห็น ของแบบสังเกตพฤติกรรมการ
เจตคติ (Attitude) - การถามตอบข้อซักถาม ทำงาน (รายบุคคล)
1. มีความรู้สกึ เจตคติทด่ี ตี ่อ - แบบสังเกตพฤติกรรมการ 2. มีผลการประเมนิ ในระดบั ผ่าน
การเรียนภาษาอังกฤษเร่ือง ทำงาน (รายบุคคล) ของแบบสังเกตการมสี ่วนร่วมใน
Everyday English การแลกเปลยี่ นเรียนรู้ ขน้ึ ไป

ลงชื่อ.............................................................ผสู้ อน
(…………………………..………………)

วนั ท…่ี ......เดอื น…………….......พ.ศ……………....
ขอ้ เสนอแนะของหวั หน้าสถานศกึ ษาหรือผทู้ ่ีได้รับมอบหมาย
............................................................................................................................. .....................................
............................................................................................ ......................................................................

ลงชื่อ...................................................ผูอ้ ำนวยการ กศน.อำเภอเมอื งระยอง
(……....................…………………………)
วนั ที่......เดอื น…………….......พ.ศ………..

ใบกจิ กรรมท่ี 1
รายวิชา ภาษาองั กฤษเพื่อชวี ติ และสังคม (พต31001)

ช่อื -นามสกลุ ………........................…………………………………. รหัสกลุม่ …………….............รหสั นกั ศึกษา........…..……..………

ใบกิจกรรมท่ี 2
รายวชิ า ภาษาอังกฤษเพื่อชีวิตและสังคม (พต31001)

ช่อื -นามสกลุ ………........................…………………………………. รหัสกลมุ่ …………….............รหสั นักศกึ ษา........…..……..………

ใบกจิ กรรมที่ 3

รายวชิ า ภาษาองั กฤษเพื่อชวี ติ และสงั คม (พต31001)

1. Write the correct sentence from the sound given.
1. its-sa-book
2. whipe-paper
3. week-kend
4. Vin-neard
5. bal-dea-gle
6. who-wis
7. put tit tin
8. fain-dout
9. That’s senough.
10. Can-you-add-da-poll?

2. Underline the stress syllable.
1. photography
2. pencil
3. tobacco
4. extract
5. sofa
6. subject
7. telephone
8. actually
9. specialist
10. bookcase

ชือ่ -นามสกุล ………........................…………………………………. รหสั กลุม่ …………….............รหสั นักศกึ ษา........…..……..………

ใบกจิ กรรมท่ี 4 (กรต.)
รายวชิ า ภาษาองั กฤษเพ่ือชวี ติ และสังคม (พต31001)

ช่อื -นามสกุล ………........................…………………………………. รหสั กลุ่ม…………….............รหสั นักศกึ ษา........…..……..………

ใบกจิ กรรมที่ 5 (กรต.)
รายวิชา ภาษาองั กฤษเพื่อชวี ติ และสังคม (พต31001)
คำช้ีแจง : ใหผ้ เู้ รียนนำคำศัพทใ์ นบทสนทนาเติมลงในช่องว่าง

ชื่อ-นามสกุล ………........................…………………………………. รหัสกลุม่ …………….............รหสั นักศกึ ษา........…..……..………

ส่ือ/แหล่งเรียนร้/ู ใบความรู้

1. English Alphabet Sounds 2. แหล่งเรียนรู้เพิม่ เตมิ

3. หนังสือเรยี น

ใบความรู้

Everyday English

การเนน้ เสียงในภาษาองั กฤษ Stress

ลกั ษณะสำคญั ของภาษาอังกฤษคือ มีการออกเสยี งเน้นหนักเบา ซงึ่ เป็นปญั หาสำคญั อนั หนงึ่ สำหรบั ผพู้ ดู
ภาษาอังกฤษท่ีไมใ่ ช่เจ้าของภาษา เพราะถา้ ออกเสยี งเน้นหนักผดิ พยางคก์ ็อาจจะทำให้การสือ่ สารเกิดความเขา้ ใจผิดได้
เพราะฉะนน้ั เราจึงตอ้ งออกเสียงเน้นหนักเบาให้ถูกต้อง

1. ระดบั เสยี งเนน้ หนกั ท่สี ุด (Primary Stress) ใชเ้ ครอื่ งหมาย ( , ) หนา้ พยางค์ทีล่ งเสียงหนกั ทสี่ ุดในคำน้นั มที ี่
สังเกตคือ เสียงดังท่ีสดุ และเสียง pitch สงู จะเกดิ ในคำเดย่ี วทกุ ครั้ง เช่น calendar

2. ระดับเสยี งรอง (Secondary Stress) ใช้เครื่องหมาย ( ^ ) เหนอื พยางค์ทลี่ งเสียงรอง เชน่ êducátion พยางค์
แรกจะได้ secondary stress แตพ่ ยางค์ทส่ี ามจะได้ primary stress

3. ระดับเสยี งเบาปานกลาง (Teritiary Stress) ใช้เครอื่ งหมาย ( ` ) เหนอื พยางค์ระดับเสยี งนจ้ี ะเกิดรวมกับ
primary stress ในคำเดีย่ ว ๆ ท่ีมหี ลายพยางค์ เชน่ fÓotbàll

4. ระดับเสียงเบาทส่ี ดุ (Weak Stress) ใช้เคร่ืองหมาย ( ˇ ) เหนือพยางค์ หรือไม่ใสเ่ ครอื่ งหมายใด ๆ เลย โดยถือวา่
พยางค์ท่ีไม่มีเครื่องหมายกำกับคือ การไม่ลงเสียงหนัก (unstress) เช่น ŕhythm (พยางค์ทีส่ องเป็นเสยี งเบา)

นอกจากนี้ เสยี งเน้นหนกั (stress) ยงั แบง่ ออกเป็น 2 ประเภท คอื

1. เสียงเน้นหนักในคำ (Word Stress)

2. เสียงเนน้ หนักในประโยค (Sentence Stress)

1. เสียงเน้นหนกั ในคำ (Word Stress)

เสียงเนน้ หนกั ในคำ คือ การเน้นเสยี งหนักในพยางค์หน่ึงของคำ โดยท่ีผพู้ ูดจะออกเสยี งพยางคน์ ัน้ ดงั กวา่
พยางค์อ่ืน ๆ ในคำเดยี วกัน เชน่ páper, contínue เป็นตน้ คำในภาษาอังกฤษทุกคำจะมพี ยางคห์ นึง่ เท่านั้นท่ีได้รบั เสียง
หนักเสมอผู้เรียน จงึ จำเปน็ ท่ีจะต้องเรียนรู้ถงึ การออกเสยี งเนน้ หนกั ในแต่ละคำให้ถกู ต้องเสียก่อน

หลกั เกณฑส์ ำหรบั การลงเสียงเนน้ หนกั ในคำ (Word Stress) และในพยางค์ (Syllabic Stress)

ทีพ่ อจะสรปุ ได้มดี ังน้ี

1. การลงเสียงเน้นหนักในคำท่ีมี 2 พยางค์ขนึ้ ไป

ในคำสองพยางค์ข้นึ ไปเสียงเนน้ หนกั สดุ จะได้แก่ primary stress เสียงที่รองลงมาจะเปน็
secondary stress ดงั ตัวอยา่ งต่อไปนี้

คำท่มี ีเสยี งเน้นหนักสดุ หรือ primary stress บนพยางคต์ น้ ของคำ ได้แก่

คำสองพยางค์ คำสามพยางค์ คำส่ีพยางค์

húsband póssible críticism

télephone spécialist ańswer

prógram ánimal écretary

órange ínnocent

súbject béautiful

คำท่มี ีเสียงเนน้ หนักสดุ หรือ primary stress บนพยางค์ที่สองของคำ ไดแ้ ก่

คำสองพยางค์ คำสามพยางค์ คำสพี่ ยางค์

cashíer proféssor affírmative

helló relátion philósopher

prefér impórtant devélopment

corréct eléven signíficant

resígn phonetic

2. การลงเสยี งเนน้ หนกั ในคําประสม

คํานามประสม

a. คํานามประสมระหว่างคํานามกับคํานามเวลาออกเสียงจะเน้นหนกั ทสี่ ดุ ทีส่ ว่ นแรก หรอื คํานามแรก เชน่

téapot drúgstorebús station

fóotball hándbagbírthday cake

eárthquake hóusewifelánguage laboratory

แตถ่ า้ คาํ นามประสมท่ีประกอบด้วยคํานาม 3 คาํ บางครัง้ จะเน้นหนักท่ีคาํ ทส่ี อง เช่น

waste-páper-basket

ginger-béer-bottle

หรอื อาจจะมีการเน้นเสยี งลงบนคำทีห่ นึง่ ทส่ี องก็ได้ เชน่

hót wáter-bottle

b. คำนามประสมระหว่างคำคุณศัพท์กับคำนาม เวลาออกเสยี งเนน้ หนักทส่ี ดุ ที่คำแรกคือที่คำคุณศัพท์ เช่น

bláckbird hígh school hótdog díning room

c. คำนามประสมระหว่างคำกรยิ ากับคำนาม เวลาออกเสยี งจะเนน้ หนักทีส่ ุดที่คำแรก เชน่

wálking stick wríting pad líving room

คำกรยิ าประสม

a. คำกริยาประสมระหว่างคำบุพบทกบั คำกริยา เวลาออกเสยี งจะเนน้ หนักทสี่ ดุ ท่คี ำหลัง เช่น

understánd overlóok overcóme undertáke

b. คำกรยิ าประสมประเภทคำกรยิ าสองคำ (two-word-verbs) เวลาออกเสยี งจะเน้นหนกั ท่ีคำหลงั คือท่ีคำ
วิเศษณ์หรอื บุพบทนน้ั

call úp get ón watch óut take óff

put ón give úp take óver look áfter

c. คำกริยาประสมประเภทคำกรยิ าสามคำ (three-word-verbs) เวลาออกเสยี งจะเน้นหนักที่สว่ นประกอบ
ส่วนท่สี อง เชน่

run óut of get alóng with catch úp with take cáre of

คำคณุ ศัพท์ประสม

a. คำคุณศัพทป์ ระสมระหว่างคำคณุ ศัพท์กับคำคุณศัพทเ์ วลาออกเสียงจะเนน้ เสยี งหนักทคี่ ำคุณศัพท์คำแรก
เช่น

cóld-blooded bád-tempered

b. คำคณุ ศพั ท์ประสมระหวา่ งคำนามกบั คำคุณศัพท์ เวลาออกเสียงจะเน้นเสียงหนักทีค่ ำนาม

péach-coloured

คำประเภทอนื่ ๆ

a. คำทีล่ งทา้ ยดว้ ย –self หรือ –selves (reflexive pronouns) เวลาออกเสยี งจะลงเสียงเน้นหนักท่ีส่วน
หลังคือที่ –self หรือ –selves เช่น

mysélf himsélf yoursélf oursélves

b. คำท่ลี งท้ายดว้ ย –teen จะลงเสียงหนักทีส่ ่วนหลงั คือคำวา่ –teen แตต่ รงกนั ขา้ มกับคำวา่ –ty จะลง
เสียงหนกั ทสี่ ว่ นหนา้

sixtéen sixty

c. คำสองพยางคท์ เี่ ปน็ ได้ท้ังคำนามและคำกริยา ถา้ เปน็ คำนามลงเสียงเน้นหนกั ท่พี ยางค์แรกของคำถ้า
เป็นคำกริยาลงเสียงเนน้ หนักท่พี ยางค์หลงั ของคำคำนามคำกรยิ า

ábstract abstráct

cóntest contést

récord recórd

désert desért

prógress progréss

éxploit exploít

cónduct condúct

íncrease incréase

cónflict conflíct

dígest digést

d. คำท่ีลงท้ายด้วย suffix ตอ่ ไปนี้ –tion, -sion, -ic, -ian, -tor, -ious,-ity, -ify, -itive,
-ish จะเนน้ หนักทพ่ี ยางคห์ นา้ suffix นั้น

-tion -sion

informátion discússion

imaginátion comprehénsion

-ic -ian

públic librárian

Pacífic comédian

-ious -tor

calculátor suspícious

diréctor tédious

-ify -ty

nobílity clássify

univérsity beáutify

-ish -itive

pósitive estáblish

sénsitive accómplish

e. คำท่ีเติม prefix หน้าคำ และเติม suffix ทา้ ยคำ เวลาออกเสียงจะเน้นเสยี งหนักทีพ่ ยางคเ์ ดิมของคำท่ี
ยงั ไม่ไดเ้ ติม prefix หรือ suffix นนั้

cleverness retúrn

abándonment unimpórtant

wónderful impóssible

qúickly kindness

f. คาํ ที่มีตั้งแต่ 3 พยางคข์ ึน้ ไป ถ้าพยางค์ทา้ ยลงท้ายดว้ ย –al, -ate, -ble, -lly, -lar, -ment, y เวลา
ออกเสยี งจะเนน้ หนักท่ีพยางค์ท่สี ามนบั จากพยางค์ท้าย

-ate -al

appréciate oríginal

lassóciate práctica

-ble -lly

póssible áctually

suítable náturally

-lar -ment

fórmular góvernment

pópular mánagement

-y

photógraphy moméntary

นอกจากน้ี จะยกตัวอย่างทลี่ งเสียงหนักตา่ งกัน ซง่ึ จะทําให้มคี วามหมายต่างกันได้

1. green house = a house that is green

greenhouse = a grass structure used for growing plants.

2. black bird = any bird that is black.

blackbird = a particular kind of bird.

3. white house = a house that is white in color.

White House = the residence of the President of the U.S.

4. cheapskates = people that are stingy.

cheap skates = inexpensive skates.

5. longboat = a particular kind of boat.

ong boat = any boat that is long.

2. เสียงเน้นหนักในประโยคและจังหวะ (Sentence Stress and Rhythm)

การลงเสยี งเน้นหนกั ในประโยคกเ็ ป็นสงิ่ จาํ เปน็ ที่ผพู้ ดู ควรต้องลงเสียงเน้นหนักให้ถกู ตอ้ ง เพราะจะมีความ
แตกต่างกนั ไปคือ ในประโยคภาษาองั กฤษอาจจะมกี ารเนน้ เสียงหนักในคาํ ได้หลายแหง่ บางประโยคอาจมีการเนน้ ถึง 3-4
แห่ง ซงึ่ ขึ้นอยกู่ บั ความยาวของประโยคและความหมายที่ผู้พูดตอ้ งการใหเ้ ขา้ ใจ สว่ นคาํ หรอื พยางค์ ท่ไี มเ่ น้นอาจจะมีการ
ออกเสียงเรว็ และรวบมากขึ้น เสียงเนน้ หนักในประโยคนี้มักจะตกลงบนพยางคท์ ่ีลงเสียงเนน้ หนักตวั สดุ ทา้ ยของประโยค แต่
เสยี งเน้นหนักในประโยคก็อาจจะเลื่อนจากคาํ หนึง่ ไปอีกคาํ หนึ่งได้ในประโยคน้นั และความหมายกจ็ ะเปลี่ยนไปดว้ ยในเวลา
ทเ่ี สยี งเนน้ หนักเปล่ียนท่ีไป ดังน้ัน จึงมีข้อพงึ ระวงั ในการพูดภาษาอังกฤษ ใหถ้ ูกต้องตามลกั ษณะภาษา ดงั นี้

1. การลงเสยี งเนน้ หนักในประโยคต้องลงให้ถกู ต้อง มักจะลงเสียงหนักทคี่ าํ จําพวก content words ซง่ึ
เป็นคําประเภททีม่ คี วามหมายในตวั เอง ได้แก่ พวกคํา nouns,verbs, adjectives, demonstratives or Interrogative
ส่วนคําจําพวก function words ซ่งึ เปน็ คำพวกไม่ค่อยมีความหมายหรือมี ความหมายน้อยจะลงเสียงเบาได้แก่
พวก articles, prepositions, pronouns, conjunctions, auxiliary verbs และ relative pronouns เช่น

He won it in the afternoon.

She can swim.

แตถ่ า้ ลงเสยี งหนักทคี่ ําประเภท function words ในประโยคน้ัน ก็แสดงว่าผู้พูดต้องการใหผ้ ู้ฟงั สนใจ
จดุ นั้น ๆ เชน่

Bob got the first prize. (not you or Jim)

The teacher will give it to her. (not to him)

2. การออกเสียงพยางค์ ท่ีไม่ลงเสียงเน้นหนกั เรามักออกเสยี งเบาหรือบางคร้ังตัดเสยี งพยัญชนะหนา้
หรอื หลงั ออกตามความนยิ มของเจา้ ของภาษา ซ่ึงอันนจ้ี ะเป็นปัญหาสาํ หรบั คนไทยท่ีจะให้ความสําคญั ของคาํ แต่ละคํา
เท่ากนั หมด

I don’t like them. / ai don’t laik >m /

คําทีโ่ ดยท่วั ไปจะไม่ลงเสียงเน้นไดแ้ ก่ a, an, and, of, or, the และ to นอกจาก

คําพวกนี้ก็ยงั มีคาํ ประเภท function words อนื่ ๆ อีก

get an egg / gεt әn εg /

both of you / bouθ әv yu /

3. ในการพูดประโยคยาว ๆ น้นั เรามักจะหยุดเล็กน้อยระหวา่ งห่วงความคิด

(thought group) กเ็ พ่ือเหตุผลดังนี้
3.1 ช่วยใหค้ วามหมายของสงิ่ ท่ีผู้พูดตอ้ งการพูดเดน่ ชัดขึ้น เช่น
When my husband comes home / I’ll tell him the truth.
3.2 เพื่อจะเนน้ ข้อความที่เราต้องการส่อื ความหมายเปน็ พเิ ศษ
3.3 ถา้ เปน็ ประโยคยาว ๆ เราหยุดเพ่อื ผ่อนลมหายใจกอ่ นพดู ต่อไป เชน่
His parents / come from America/ to see their new grandson.

4. การออกเสียงเชือ่ มคําหรือพยางค์ (Linking) การออกเสียงเชื่อมคำหรือพยางค์อาศยั ความเข้าใจ
ในเรอ่ื งการแบ่งหว้ งความคิดเปน็ สําคญั จะมีการทอดเสียงสุดทา้ ยของคาํ หนา้ ให้ต่อเนื่องกับเสยี งแรกของคําตอ่ ไป
โดยเฉพาะเสยี งแรกของคําต่อไปทเ่ี ปน็ สระ เชน่

one or two
bacon and eggs


Click to View FlipBook Version